เมื่อผละริมฝีปากออก ใบหน้าหวานแดงจัดก็ปรากฎสู่สายตา งดงามยิ่งกว่ามวลดอกไม้และสว่างไสวยิ่งกว่าจันทรา จาฮอนเฝ้าชื่นชมอยู่เช่นนั้น โซกังทำท่าละล้าละลัง ก่อนริมฝีปากแดงฉ่ำจะขยับเอ่ย
“ฝ่าบาท… ขยับออกไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่ถึงยามชิน[1]ที่เสียงสัญญาณดังเลย กว่าจะถึงตอนนั้นเราต้องสำราญกับความยินดีในการร่วมหอให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ”
คำกล่าวนั้นทำเอาโซกังถึงกับหน้าซีดเผือด ตอนนี้ยังเป็นยามอิน[2]อยู่เลย จะทำเรื่อยๆ จนถึงตอนนั้นเชียวหรือ จาฮอนยังคงสอดประสานส่วนนั้นไว้ในตัวของโซกัง เจ้าตัวยิ้มออกมาพร้อมขยับโยกสะโพกเบาๆ ทีหนึ่ง เสียงโอดครวญแผ่วเบาจึงหลุดออกมาจากปากคนใต้ร่าง
“ฝ่าบาท!”
“ที่นี่กับในตำหนักฮงฮวา ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อได้”
ร่างสูงหัวเราะแผ่วเบาและกล่าวต่อว่า “เรียกว่าท่านพี่ก็ยิ่งดีใหญ่” จนใบหน้าหวานแดงก่ำอยู่แล้วยิ่งเห่อแดงเข้าไปใหญ่ โซกังยกแขนสั่นน้อยๆ หลังเรี่ยวแรงหมดไปกับการร่วมหอเพียงครั้งเดียวเพื่อตีลงบนไหล่ของอีกฝ่าย
“กระหม่อมเป็นบุรุษ จะให้เรียกท่านพี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หากแต่งงานแล้ว จะบุรุษหรือสตรี เจ้าก็คือคนของข้า เรียกอย่างที่เจ้าสบายใจก็ได้ทั้งนั้น”
“อ๊ะ! ฝ่า…ท่าน…จาฮอน”
บ่นพึมพำว่า “เกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พร้อมสีหน้าเหยเก บนริมฝีปากของจาฮอนพลันปรากฎรอยยิ้ม ด้วยเพราะตัวตนภายในช่องทางอบอุ่นเริ่มแข็งขืนขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อรู้สึกถึงความแข็งตึงเต็มที่ของส่วนนั้น จาฮอนจึงเริ่มขยับสะโพกอย่างเนิบนาบจนกระทบถูกส่วนอ่อนไหวภายใน ความสุขสมก็เอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากถูกเติมเต็มภายในอยู่ตลอด อาการต่อต้านเลยสลายหายไปจนสิ้น ด้วยเหตุนั้น โซกังจึงไม่มีความเจ็บหรือความรู้สึกแปลกปลอมใดๆ เพราะได้รับเพียงความเสียวกระสันอย่างรุนแรง
“ฮึก!”
“อย่างที่กล่าว ทั้งตัว ทั้งใจของเจ้าต้องมีเพียงข้า วันหน้าอย่าได้คิดเรื่องอื่นเฉกเช่นเมื่อครู่อีก”
“อึก! จาฮอน อื้อ!”
ทั้งน้ำเสียงกระซิบข้างหู ทั้งตัวตนที่กระแทกกระทั้นช่วงล่าง ทั้งการทิ้งร่องรอยดูดกัดตามต้นคอ หน้าอก และช่วงสะโพก ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการเติมความปรารถนาแก่โซกังเท่านั้น
* * *
แม้ดวงอาทิตย์จะโผล่พ้นขึ้นกลางท้องนภาแล้ว ทว่าตำหนักคอนรยุงยังคงเงียบสงัด กรอบประตูด้านหน้ายังคงประดับด้วยผ้าแพรสีแดง ทั้งสองฝั่งมีโคมสีแดงแขวนอยู่เช่นเดิม แสดงความหมายว่าฝ่าบาทยังคงร่วมหอกับใครบางคนอยู่ ดังนั้น บรรดานางกำนัลและบรรดาขันทีจึงขยับตัวกันอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงใดๆ รบกวน
และขณะนั้นประตูห้องบรรทมเงียบสงัดก็เปิดออก เหล่านางกำนัลที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าต่างตกใจจนเกือบเผลอส่งเสียงร้อง จึงต้องรีบยกมือปิดปากในทันที นางกำนัลใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อค้อมคำนับพร้อมเอ่ยด้วยเสียงไม่ดังนัก
“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท”
“ช่างเถอะ”
พวกนางไม่เคยคาดคิดฝันเลยว่าฝ่าบาทจะเปิดประตูออกมาด้วยพระองค์เองเช่นนี้ อีกทั้งไม่ได้ทรงเรียกหาเหล่านางกำนัลผู้คอยปรนนิบัติเรื่องการผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยซ้ำ แต่ก็ทรงสวมอาภรณ์อย่างเรียบร้อยแล้ว
นางกำนัลเลยถือโอกาสเอ่ยปากไถ่ถามเกี่ยวกับสำรับอาหารเช้าและน้ำสำหรับอาบ หากทรงออกมาอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ เห็นทีพระสนมโซอีคงจะยังไม่ตื่นบรรทมแน่
“ฝ่าบาท”
“ชู่ อย่าเสียงดัง เราจะไปอาบน้ำที่ตำหนักฮงฮวา แจ้งให้ขันทีโชไปที่นั่นด้วยล่ะ”
“เพคะ”
“โซอียังหลับอยู่ จงอย่ารบกวน หลังจากเราออกไปแล้วก็อย่าให้ใครเข้าไปข้างใน กระทั่งขันทีฝ่ายในก็เข้าไปไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
“เพคะฝ่าบาท”
แต่เมื่อเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ จาฮอนก็ชะงักฝีเท้า เพราะนึกถึงร่างบางที่ยังอยู่ในห้วงนิทราขึ้นมา
‘ทรงทำเกินไปแล้ว เหตุใดยังไม่หยุดอีกพ่ะย่ะค่ะ’
มือเรียวบางตีลงมาบนแผ่นอกเขาตุบตับ ขณะเจ้าตัวบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงปนหอบหายใจ เมื่อปลดปล่อยน้ำรักเข้าไปเติมเต็มภายในตัวอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย โซกังก็สลบไปทันที แน่นอนว่าเพียงไม่นานก็จะตื่นขึ้นมา
แม้ไม่รู้ว่าความมานะของหมอหลวงบังเกิดผลหรือไม่ แต่ร่างบางก็เหมือนจะแข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะด้วยสำนึกรู้ที่ดึงรั้งไว้ เขาเติมเต็มภายในด้วยน้ำรักของตนจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้เล็ดรอดออกมา โซกังไม่ได้หมดสติโดยสมบูรณ์เสียทีเดียว ทว่าหลังจากการร่วมรักครั้งสุดท้าย จาฮอนก็ทำความสะอาดช่องทางด้านหลังให้ ก่อนจะขับกล่อมให้ผล็อยหลับด้วยความอ่อนล้าในอ้อมกอดตน เดิมทีการทำความสะอาดเป็นงานของเหล่าขันที แต่เขาไม่อนุญาตให้มือของคนพวกนั้นแตะต้อง ทั้งในตอนนี้ ทั้งในวันข้างหน้า นอกจากมือของตนแล้ว เขาก็ไม่มีใจยอมให้ผู้ใดได้แตะต้องโซกังอีกเด็ดขาด
จาฮอนหวนกลับคืนมาสู่ช่วงเวลาในขณะนี้อีกครั้ง แต่พอขยับก้าวเท้าก็เอ่ยรับสั่งสิ่งหลงลืมเมื่อครู่
“หากโซอีตื่นแล้ว จงมาแจ้งเรา”
“เพคะฝ่าบาท”
นางกำนัลผู้หนึ่งขยับก้าวไปด้านนอกก่อนอย่างเงียบเชียบเพื่อแจ้งแก่ขันทีโช จาฮอนจึงยกมือส่งสัญญาณให้นางออกไปโดยไม่ต้องกล่าวถวายความเคารพตน จากนั้นก็หันกลับไปจ้องมองประตูห้องบรรทมพร้อมวาดรอมยิ้ม ก่อนจะก้าวเดินต่ออย่างเนิบนาบ
ระหว่างขยับก้าวเดินไปทางตำหนักฮงฮวา ก็พลันนึกถึงท่าทางของโซกังเมื่อคืนหรืออาจจะเป็นเมื่อเช้า น้ำเสียงยั่วยวนทั้งๆ ที่อ่อนล้าไปทั้งตัว ใบหน้าเปรอะเปื้อนรอยน้ำตา รวมถึงช่องทางที่ขยับตอดรัดด้วยความกระสันในตัวตนของเขาทุกครั้ง
‘ฮึก! เหมือนจะตายแล้ว ตอนนี้กระหม่อมรับไม่ไหว…แล้ว อ๊า!’
ยามรักอีกฝ่ายในครั้งสุดท้าย โซกังก็เอ่ยมันออกมาก่อนเขาจะปลดปล่อยเข้าไปในตัว
ทั้งๆ ที่บอกว่ารับไม่ไหวอีกแล้ว ทว่าภายในกลับตอดรัดเสียแน่น เอาแต่บีบรัดกันราวกับจะกลืนกินเข้าไปให้หมดทุกครา ความย้อนแย้งนั้นช่างน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก
จาฮอนเผลอหลุดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่อีกฝ่ายกล่าวว่าแทบบ้า ทุกครั้งที่ตะโกนร้องอย่างยินดีพร้อมบิดสะโพก หยาดเหงื่อที่เปียกชุ่มทั้งลาดไหล่และแผ่นหลัง รวมถึงรอยข่วนบนผิวเนื้อ มันเพียงพอจะกระตุ้นไฟตัณหาให้ลุกโชน
“เพิ่งรู้สึกว่าเวลาสามชั่วยาม ช่างสั้นนัก”
พึมพำเสียงแผ่ว เขาปลดปล่อยความปรารถนาร่วมกับโซกังตั้งแต่เริ่มยามอินจนจบเมื่อยามชิน แต่มันก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ จาฮอนหยุดชะงักฝีเท้าไปครู่ หลังจากคิดขึ้นมาได้ว่าจะต้องรื้อค้นบันทึกธรรมเนียมของราชวงศ์
ในยามอินที่ได้รับความเป็นมงคล การร่วมหอในยามนี้เชื่อว่าจักรพรรดิจะซึมซับความเป็นศิริมงคลจากสรวงสวรรค์ นั่นคือการให้กำเนิดพระโอรส และฝ่ายหญิงเองก็จะสามารถตั้งครรภ์ได้ในเร็ววัน ทว่าโซกังเป็นบุรุษ จึงไม่มีทางตั้งครรภ์และให้กำเนิดพระโอรส ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรักษาช่วงเวลาในการร่วมหอ
เขาคิดจะลองค้นหาบรรดาธรรมเนียมเกี่ยวกับการร่วมหอกับบุรุษ เพราะหากเป็นสตรีจะจัดเดือนละหนึ่งครั้งด้วยฤกษ์อันไม่แน่นอนจึงไม่เหมาะจะใช้ตำหนักร่วมกัน ทว่าในกรณีของบุรุษ มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนั้นเลย
คิดไปคิดมาแล้ว จาฮอนก็มาถึงตำหนักฮงฮวาอย่างอารมณ์ดี สัมผัสได้ว่าเหล่านางกำนัล ขันที รวมถึงขันทีโชกำลังรออยู่ตรงประตูทางเข้าตำหนัก สีหน้าของทหารยามเฝ้าประตูก็เป็นเช่นนั้น เขาเดินเข้าไปทางประตูด้านหลังแล้วก้าวเข้าไปทางประตูหน้า จากนั้นส่งสัญญาณให้เหล่าทหารยามด้านในและเปิดประตูออกในทันใด ขันทีโชยืนรออยู่ด้านนอกจริงๆ แล้วบรรดานางกำนัลกับขันทีที่ยืนเรียงแถวด้านหลังอีกฝ่ายก็เดินเข้ามาด้านในอย่างนอบน้อม
“ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“อื้อ เข้ามาสิ”
จาฮอนนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างโต๊ะกลม เหล่านางกำนัลถืออ่างล้างหน้าเข้ามา และหลังจากสางผมเสร็จแล้วจึงถอยออกไป
เมื่อเหลือเพียงขันทีโช ร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยออกมา
“วันนี้คงต้องไปตำหนักอุนฮยองสักหน่อย”
“จะเสด็จไปที่นั่นด้วยเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หาอะไรนิดหน่อย”
“ทราบแล้วกระหม่อม แล้วทรงรับสำรับเช้าหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทพยักหน้ารับบ่งบอกให้รู้ว่าทานแล้ว ก่อนโซกังจะผล็อยหลับ ระหว่างหยุดพักเขาได้สั่งให้นางกำนัลเอาของว่างเข้ามาให้พวกเขาทานรองท้อง ข้ารับใช้ผู้หนึ่งที่ได้รับคำสั่งเรียกตัวจากขันทีโชล่วงหน้าไปที่ตำหนักอุนฮยอนเพื่อแจ้งข่าว จาฮอนถึงค่อยๆ เดินออกจากตำหนักฮงฮวาไป
และวันนั้นทั้งวันองค์จัรพรรดิก็ใช้เวลาอยู่ที่ตำหนักอุนฮยอน ทว่าหากจะพูดให้ชัด ก็คือจนกระทั่งก่อนถึงยามเย็นเท่านั้น
[1] ยามชิน ช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า
[2] ยามอิน ช่วงเวลาตีสามถึงตีห้า