ภายในวังหลวงมีคุกอยู่ไม่กี่แห่ง และในคุกแห่งนี้ก็มีผู้ถูกคุมขังเพียงแค่สองคนเท่านั้น เนื่องจากเหล่านักโทษเดิมที่ได้รับการคุมขังอยู่ในนี้ล้วนถูกโยกย้ายไปยังคุกอื่น เพื่อกักขังสองคนนี้โดยเฉพาะ ดังนั้น เขาจึงไม่ได้แปลกใจกับความว่างเปล่าของคุกหลวงแห่งนี้
บุรุษผู้นั้นเดินตรงไปยังกรงขังด้านในสุด เมื่อมองไปทางด้านซ้ายก็เอ่ยขึ้น
“ท่านมหาเสนาบดีตุลาการ สบายดีหรือไม่ขอรับ”
“ในสายตาเจ้าเห็นข้าดูสบายดีหรืออย่างไร ยังจะย้ำทำไม แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน เหล่าขุนนางฝ่ายเชเป็นอย่างไรบ้าง”
ชายชราผู้สวมใส่ชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ แทนอาภรณ์ผ้าแพรอันหรูหราเฉกเช่นปกติ นั่งอยู่ในสภาพผมเผ้าปล่อยกระเซอะกระเซิงคือแพคมีกัง ทว่าท่าทางวางอำนาจยังคงเดิม เอ่ยตำหนิบุรุษผู้นั้นยามถามคำถามที่เห็นคำตอบอยู่กับตา แต่สุดท้ายก็ต้องเพิกเฉยแล้วถามถึงกลุ่มของตนว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรแทน ผู้มาเยือนจึงตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าสลดลง
“ด้วยเพราะท่านมหาเสนาบดีอยู่ในสภาพเช่นนี้ กำลังทั้งหมดจึงลดทอนลงตามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ขอรับ”
“ถวายฎีกาไปเยอะแล้วหรือ”
“ตั้งแต่ผู้อาวุโสจนถึงขุนนางระดับล่างต่างกำลังถวายขึ้นไปตามลำดับ ทั้งมีแผนจะรวบรวมหาแนวร่วมจากการประชุมขุนนางครั้งหน้า เพื่อช่วยงานด้วยขอรับ”
“ไปที่ห้องตำราในจวนของข้า มีบันทึกการไต่สวนและธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับการลงโทษขุนนางสามฝ่ายอยู่ เดิมทีนั่นเป็นสิ่งที่ห้ามคัดลอกอยู่แล้ว ดังนั้น จงทำให้ฝ่าบาทไม่อาจใช้มันอ้างอิงบทลงโทษเสีย เข้าใจหรือไม่”
“ทราบแล้วขอรับท่านมหาเสนาบดี”
อีกฝ่ายค้อมคำนับแสดงความเคารพต่อแพคมีกัง หลังจากนั้นจึงคลุมกายด้วยชุดคลุมเช่นเดิมและเดินออกจากคุก พรางตัวภายในความมืดมิดของกำแพงวังหลวง เมื่อปลดชุดคลุมออก คนผู้นั้นในเครื่องแบบเต็มยศก็ปรากฏกายในวังหลวงด้วยฐานะของขุนนางผู้หนึ่ง ก้าวผ่านประตูวังหลวงออกไปด้านนอกอย่างผ่าเผย
เมื่อออกมาถึงด้านนอกแล้ว เขาก็เข้าไปยังกรมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เพื่อขอยืมม้า จากนั้นก็ขึ้นขี่แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังจวนของมหาเสนาบดีตุลาการทันที ทว่าจวนของแพคมีกังกลายเป็นเขตที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บุคคลภายนอกจึงไม่สามารถเข้าไปได้ แม้จะไม่ใช่การจับกุมในฐานะกบฏ แต่ฝ่าบาททรงตัดสินแล้วว่าจำเป็นต้องสืบค้น จึงส่งทหารหลวงมาขับไล่ผู้คนในตระกูลทั้งหมดออกจากจวนแห่งนี้และห้ามให้ผู้ใดเข้าออก
ชายผู้นี้พยายามครุ่งคิดว่าจะไม่มีช่องว่างให้แอบเข้าไปได้เลยหรือ จึงกวาดมองโดยรอบอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้และเลี้ยวกลับไปทางจวนของตนแทน
ยามนี้ภายในจวนของเขา มีการรวมตัวของผู้มีตำแหน่งสำคัญของบรรดาขุนนางฝ่ายเช ทุกคนกำลังรอคอยเพื่อสอบถามถึงเรื่องลักลอบเข้าไปในคุกหลวงวันนี้ เมื่อเจ้าของจวนก้าวเข้ามาด้านใน ทันทีที่ทักทายด้วยการแสดงความเคารพต่อกัน เหล่าขุนนางฝ่ายเชก็ถามถึงมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ รวมถึงคำสั่งว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป เขาจึงเริ่มต้นจากการเล่าเรื่องที่ไปยังจวนของมหาเสนาบดี แล้วจบด้วยเรื่องการหาแนวร่วม
“เวลานี้ทุกคนต่างรู้ว่าในวังหลวงกำลังวุ่นวายเพราะต้องเตรียมการไต่สวน แต่หากการไต่สวนเริ่มต้นแล้ว การหาแนวร่วม หรือฎีกาใดก็ล้วนไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าเราต้องรวบรวมแนวร่วมให้ได้ภายในวันเดียว”
“เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเพราะไอ้เด็กเร่ร่อนของร้านผ้าไหมนั่นมิใช่หรือ! ข้าบอกว่าแล้วอย่าปล่อยมันไป ให้ใช้แต่พวกที่เหลืออยู่”
ขุนนางผู้หนึ่งระบายความโกรธแค้นด้วยเสียงดัง คนผู้นั้นคือหนึ่งในบรรดาขุนนางที่เคยคัดค้านเมื่อครั้นมหาเสนาบดีตุลาการสร้างกลุ่มยาอึมขึ้นมา กล่าวว่าสัตว์หัวดำล้วนไม่รู้จักบุญคุณไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ทั้งยังคอยปรามมหาเสนาบดีตุลาการตลอด
ความจริงแล้ว ทุกคนในที่นี้รู้เพียงเรื่องการทรยศของทันยองเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ความจริงว่าคำให้การของเหล่ามือสังหารยาอึม จะทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวออกจากลานไต่สวนได้ หากรู้ความจริงว่าเหล่านักฆ่ายาอึมทั้งหมดหันหลังให้ฝ่ายเช คนผู้นี้คงอกแตกตายและโกรธแค้นยิ่งกว่าตอนนี้ ขุนนางผู้อื่นล้วนคัดค้านคำกล่าวของผู้ทำเสียงดัง
“เช่นนั้นก็เชิญกล่าวมาว่าเราควรทำสิ่งใด เวลานี้มิใช่ว่าเราต้องรวบรวมเจตนารมณ์ให้มากขึ้นเพื่อช่วยชีวิตท่านมหาเสนาบดีหรือ ถึงแม้จะมีเพียงคนเดียวก็ตาม หน้าที่ของพวกเราก็คือทำให้ท่านมหาเสนาบดี ผู้อาวุโสที่สุดของฝ่ายเรา ไม่ต้องยืนอยู่ในลานไต่สวนมิใช่หรือ!”
คำกล่าวเช่นนั้นทำให้ขุนนางที่เหลือสนับสนุนว่าถูกต้องชอบธรรม ด้วยเหตุนั้นภายในจวนจึงเกิดความอึกทึกอยู่ครู่หนึ่ง จนต้องมีการเอ่ยตักเตือนห้ามปรามถึงสงบลง จากนั้นก็เริ่มการหารือเกี่ยวกับวิธีการว่าควรทำอย่างไรต่อไปอย่างจริงจัง
ขุนนางฝ่ายเชยังคงทำการหารือและถวายฎีกาควบคู่กันอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้จาฮอนหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด ยังมีฎีกาอื่นที่ต้องตรวจทานอีกมากมาย ทว่าฎีกาของเหล่าขุนนางกลุ่มเชกลับมีมากเกินควร ด้วยเหตุนั้น เพียงแค่คัดแยกพวกมันก็นับเป็นเรื่องใหญ่แล้ว อีกทั้งเหล่าคนเจ้าเล่ห์เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ตอนต้นก็พร่ำพูดเรื่องอื่นออกมายาวเหยียด และเมื่อถึงช่วงกลางเรื่องก็เป็นอันต้องเอ่ยถึงมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ
จาฮอนพยายามอดทนอดกลั้น รวมถึงให้เหล่าบัณฑิตแห่งตำหนักอุนฮยอนได้ดื่มยาบำรุงกำลังรักษาอาการอ่อนล้าด้วย
แต่อารมณ์ก็ต้องแปรปรวนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะในการประชุมขุนนางทุกๆ เช้า เหล่าขุนนางสังกัดกลุ่มเชมักจะผลัดเปลี่ยนกันสอบถามเกี่ยวกับมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ พร้อมทราบทูลว่าเวลานี้ไม่เหมาะจะทำการไต่สวน แน่นอนว่าจาฮอนเองก็ปฏิเสธอย่างเฉียบขาดทุกครั้ง แต่มันก็ทำให้อารมณ์ไม่ดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทุกวันนี้กว่าจะกลับถึงตำหนักฮงฮวาก็ล่วงเลยยามแฮไปแล้ว ความรู้สึกสุดท้ายอันเลือนรางก็คืออยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย จาฮอนซุกซบใบหน้าลงกับอ้อมกอดของโซกัง สูดกลิ่นกายหอมแล้วผล็อยหลับไปจนเป็นเรื่องปกติ
หากทวงถามว่าเป็นเพราะมัวแต่จัดการราชกิจเพื่อราษฎร ถึงได้เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้จักรพรรดิพยายามจัดการราชกิจอันยุ่งยากอย่างสุดความสามารถเพื่อราษฎรทั้งหลาย ทว่าจาฮอนก็ทำได้เพียงเท่านั้น
ราชสำนักเกือบถูกเหล่าขุนนางฝ่ายเชยึดครองก็จริง ทว่าเหล่าบัณฑิตแห่งตำหนักอุนฮยอนและหน่วยฮวังรยง เขาก็เลือกสรรผู้ที่นับว่าสามารถเชื่อใจเข้ามาด้วยตนเอง และหลังจากขึ้นครองราชย์ก็ทำการจัดตั้งเหล่าทหารหลวงขึ้นใหม่ด้วย จำกัดเพราะผู้ที่ตนคุ้นเคย
ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มสั่งการเตรียมการไต่สวน จนถึงการจัดการหลักฐานต่างๆ ทุกอย่างล้วนเป็นหน้าที่ของจาฮอนเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนการโอดครวญและความหงุดหงิดของร่างสูง โซกังก็ช่วยรับมือทั้งหมด
ค่ำคืนที่ผ่านมาก็เช่นกัน จาฮอนพร่ำบ่นจนเกือบใกล้เคียงอาการงอแงของเด็กน้อย ก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของโซกัง คล้ายจะหลับตาลงเพียงครู่ ทว่ากลับสัมผัสถึงความชุ่มชื้นและอบอุ่นบนใบหน้า
“อืม…”
ร่างสูงส่งเสียงครางแผ่วเบาพร้อมกับพลิกตัวหนี แต่ความอบอุ่นและความชุ่มชื้นนั่นก็ยังตามมาถึงใบหูและต้นคอ หลังจากสัมผัสทั่วหน้าแล้ว แม้จะอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น จาฮอนก็รู้ดีว่าความชุ่มชื่นนี้คือสิ่งใด เพราะมันสัมผัสใบหน้าของตนทุกเช้า
“โซกัง ข้าต้องการสิ่งอื่นนอกจากผ้าซับหน้า”
เขาไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีเลศนัยอย่างยิ่ง แต่น้ำเสียงที่ดังออกมากลับแหบแห้งกว่าปกติ แว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบามากระทบหูขณะหลับตานิ่ง จากนั้นสิ่งอ่อนนุ่มก็ประทับลงบนแก้ม
ทันทีที่จาฮอนเปิดเปลือกตาอันหนักขึ้น ภาพโซกังเฝ้ามองตนอย่างใกล้ชิดก็พลันปรากฏในครรลองสายตา เขาจึงรั้งตัวคนน่ารักเข้ามากอดและมอบจูบจนอีกฝ่ายล้มลงมาสู่อ้อมอก ก่อนจะขยับกายพลิกวางร่างบางลงบนแท่นบรรทมและจัดการปลดสายรัดอาภรณ์ออก
“ท่านจาฮอน เดี๋ยวก่อน ทำเช่นนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใดเล่า”
จาฮอนถอดอาภรณ์ของตนออก แนบริมฝีปากลงกับแผ่นอกบางแล้วพึมพำ ทันทีที่ได้ยินเสียงลมหายใจอ่อนแรงของโซกัง ส่วนด้านล่างที่อึดอัดเป็นปกติยามเช้าก็ยิ่งตื่นตัวขึ้นไปอีก
“อีกไม่นานจะถึงเวลาประชุมขุนนางแล้ว ต้องลุกขึ้นมาผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ… จะบ้าตาย”
บ่นออกมาด้วยความขัดใจ ขณะบดเบียดหน้ากับแผ่นอกอีกฝ่าย เข้าใจดีว่าตนเป็นผู้เริ่มต้นเรื่องนี้จึงควรแก้ไขมัน ทว่าด้วยความเป็นยามเช้าจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ต้องปล่อยคนน่ารักตรงหน้าเพราะไม่มีเวลากกกอด อีกทั้งต้องไปสถานที่ที่มีเหล่าขุนนางคอยยั่วโมโหตลอดเวลา เลยไม่อาจข่มความขัดเคืองใจได้
“หากตัวตนของข้าได้เข้าไปมอบความรักให้เจ้าก็ดีสิ”
“กระหม่อมรู้ดีว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงทำเช่นนั้น”
“ข้าคิดเช่นนั้นแล้วจะอย่างไร ข้าจะดูเป็นพวกหมกมุ่นในกามหรือ”
“ทรงทราบดีมิใช่หรือว่าต้องจัดการเรื่องนั้นให้เสร็จสิ้นก่อน ชีวิตของกระหม่อมถึงจะไม่ตกอยู่ในอันตราย”
การตอบโต้อย่างนอบน้อมของอีกฝ่าย ทำให้จาฮอนไม่กล่าวแย้งอะไรได้อีก เพราะนั่นคือความจริง
ด้วยชีวิตโซกังเกี่ยวพันกับมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ หากไม่บดขยี้ฝ่ายเชให้สิ้นซาก ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าภายภาคหน้าจะไม่มีการพยายามลอบสังหารเพื่อแก้แค้น ไม่สิ ต้องมีคนพยายานทำเช่นนั้นแน่ โซกังร่วมมือกับทันยองสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา แม้เรื่องจะจบแล้ว เจ้าตัวก็ยังมีบทบาทในการตัดสินใจ ทั้งยังรู้ที่ซ่อนของบันทึกลับ และนำมันส่งมาถึงมือเขา
ดังนั้นย่อมมีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าจะมีการลอบสังหารเพื่อแก้แค้นโซกังและทันยอง ทว่าตัวตนของทันยองนั้นเป็นมือสังหาร สุดท้ายโซกังจึงน่าเป็นห่วงที่สุด จาฮอนรู้แก่ใจดีจึงกำลังอดทนอยู่เช่นนี้
“จริงสินะ ไม่มีทางหลงลืมหรอก ทว่าเช่นนี้ ข้ามิกลายเป็นสวามีผู้ละเลยอย่างนั้นหรือ”
มือเรียวลูบไล้กลุ่มผมดำขลับอย่างอ่อนโยน จาฮอนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ รับกลิ่นกายของโซกังจนเต็มปอดแล้ว ก่อนจะกลิ้งตัวลงนอนด้านข้าง โซกังเปลี่ยนมาลูบปลอบแผ่นอกแกร่งของคนทอดถอนใจช้าๆ
“ท่านก็ถนอมตัวด้วย ข้าจะคอยอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน ฉะนั้นอย่าได้ใจร้อนเชียว”
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด หากได้ยินถ้อยคำสามัญอันเสนาะหู จิตใจก็จะสงบลงได้อีกครั้ง จากนั้นถึงยันตัวลุกขึ้น
โซกังเองก็ลุกขึ้นตามมาช่วยตระเตรียมฉลองพระองค์ เมื่ออีกฝ่ายเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ร่างบางจึงเรียกนางกำนัลให้นำอ่างน้ำมาวาง และหลังจากชำระกายและสีฟันด้วยกิ่งไม้ทุบปลายอย่างประณีต แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินทางออกจากตำหนักฮงฮวา