หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก
“องครักษ์ฮวังรยงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามาได้”
และทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เห็นภาพองครักษ์ฮวังรยงสามคนยืนอยู่
ทว่าบรรดาบุรุษสามคนนั้น มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่ตรงกลางผู้เดียวที่เดินเข้ามาด้านใน เนื่องจากจาฮอนดึงดันออกคำสั่งว่าจะพบปะตัวต่อตัว เมื่อประตูปิดลง บุรุษสวมชุดขององครักษ์ฮวังรยงก็คุกเข่าด้านหนึ่งลงกับพื้น
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นแล้วขยับมาใกล้ๆ”
“ทำเช่นนั้นได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“มีตรงไหนไม่ได้ล่ะ ถึงเจ้าจะได้ยินว่าตัวข้าโปรดปรานสนมชายเช่นนั้น แต่ก็คงจะรู้ใช่หรือไม่ ว่ามิใช่จะเป็นเช่นนั้นกับบุรุษทุกคน”
คำถามเย้าแหย่ของฝ่าบาท ทำให้นักฆ่าของยาอึมในคราบองครักษ์ฮวังรยงมีท่าทางหวาดเกรงและตื่นตระหนก มิได้หมายความเช่นนั้น ทว่าสถานะของตนคือนักฆ่า แทนที่จะตอบคำถามว่าถึงเข้าหาก็ไม่เป็นอะไรงั้นหรือ จาฮอนกลับยกยิ้มพรายพร้อมเอ่ยปาก
“หากตั้งใจจะเข้ามาสังหาร ทันทีที่เข้ามา เจ้าคงลงมือทำไปแล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก เข้ามาใกล้ๆ”
นักฆ่าทำสีหน้าประหลาดพลางก้มหน้างุด และขยับเข้าไปใกล้องค์จักรพรรดิ จาฮอนตรวจดูสิ่งที่เขียนบนกระดาษทีละส่วน แล้วสอบถามว่าในยามนั้นผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบงาน หรือหากเป็นผู้รับผิดชอบเอง ก็ซักถามต่อว่าทำอย่างไรบ้าง ภายในยาอึมส่วนใหญ่ใช้ยาพิษใด นักฆ่าผู้นั้นตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์โดยไม่มีความลังเลสักนิด
ทันทีที่ทุกคำถามจบลง จาฮอนก็จ้องมองอีกฝ่ายแล้วตั้งคำถามอีกข้อ
“ขอบใจที่ตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์ เรื่องเหล่านี้สามารถประกาศในลานไต่สวนได้หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ย่อมสามารถทำได้”
“เช่นนั้นก็ขอขอบใจอีกหน เราขอถามเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้เจ้าคิดจะทำอะไรหรือ”
“กระหม่อมยังไม่ได้ลองคิดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เราขอแนะนำสักสองอย่าง อย่างแรก ด้วยเสียดายความสามารถของเจ้า จึงอยากไถ่ถามว่าจะเป็นอย่างไร หากเข้าร่วมหน่วยฮวังรยงโดยยังคงสถานภาพเช่นเดิม ทว่าหากเจ้าไม่ชอบใจสิ่งนั้น เราจะมอบชื่อและสกุลใหม่ให้ เจ้าสามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาได้ ไปยังที่ที่ตนปรารถนา แล้วหากอยากตั้งถิ่นฐานและแต่งงาน ก็ทำเช่นนั้นเสีย”
นักฆ่าผละห่างจากจาฮอนเล็กน้อย ก่อนจะหมอบคำนับด้วยสีหน้าเครียดขึงเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทรงมอบความเมตตาดุจดั่งแม่น้ำกว้างใหญ่ให้คนชั่วช้าและทำผิดบาปมหันต์อย่างกระหม่อม จนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด ไม่จำเป็นต้องตอบเราในทันที เจ้าลองไตร่ตรองดูจนกว่าการตัดสินโทษทั้งหมดจะเสร็จสิ้น จากนั้นค่อยแจ้งแก้ขันทีโช”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ออกไปได้แล้วล่ะ”
นักฆ่าผุดลุกขึ้นยืนและค้อมคำนับนอบน้อมแสดงความเคารพ ก่อนจะกลับออกไปด้านนอก ต่อจากนั้นเหล่ายาอึมคนแล้วคนเล่าต่างก็ผลัดกันมาเข้าเฝ้าเรื่อยๆ กระทั่งจาฮอนเริ่มเมื่อยตัวและมึนเบลอ จึงห้ามผู้ใดเข้าเฝ้าครู่หนึ่ง แล้วออกมาเดินผ่อนคลายด้านนอก
ขันทีโชเข้ามารายงานว่าโซกังตื่นแล้ว และไม่จำเป็นต้องเรียกหาหมอหลวง ทว่าไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวอยู่บ้าง จึงขอพักผ่อนต่อ
“ไปดูสักหน่อยคงจะไม่เป็นไร เพียงครู่เดียว”
จาฮอนพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยกับขันทีโชที่ติดตามอยู่ด้านหลังตน
“เราจะไปตำหนักฮงฮวาสักครู่”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีโชนึกอยู่ในใจว่า ถึงอย่างไรก็ทรงอดทนมานานนัก ‘ประสิทธิภาพของโซอีมามา’ ยามแยกจาก แทบจะเรียกได้ว่าสร้างความแตกต่าง เข้าใจว่าทรงรักใคร่เอ็นดูมากเพียงใด พระองค์ถึงสามารถทำเรื่องเช่นนั้น ทว่ายามไม่ได้พบเจอ แม้กระทั่งประสิทธิภาพของการตรวจราชกิจของฝ่าบาทก็ยังลดลง ขันทีโชนึกประหลาดใจอย่างแท้จริง
ท่อนขาของจาฮอนหลังเอ่ยถึงการตัดสินใจของตน ขยับก้าวอย่างรีบเร่งเสียจนไม่อาจหาความสง่างามได้ดั่งเช่นก่อนหน้านี้
ฝ่าบาทออกจากตำหนักคอนรยุงอย่างรวดเร็ว และก้าวไปทางประตูด้านหน้าของตำหนักฮงฮวา เดิมทีหากเดินผ่านทางอุทยานของตำหนักคอนรยุงจะใกล้กว่ามาก ทว่ายามนี้ในตำหนักคอนรยุงมีคนเหล่านั้นอยู่ ทำให้เขาไม่อาจใช้ประตูหลังของตำหนักฮงฮวาที่เชื่อมต่อกับตำหนักคอนรยุงสักระยะหนึ่ง จึงทำการขัดดาลและตอกลิ่มเอาไว้ และไม่เพียงเท่านั้น ยังถึงขนาดให้เหล่าทหารหลวงคอยเฝ้าประตูที่ปิดตายเอาไว้ถึงสี่นาย ด้วยเหตุนั้น จาฮอนจึงกลับมาใช้เส้นทางของประตูหน้าตำหนักฮงฮวาที่ไกลกว่าแทน
อย่างไรก็ตาม เขาก็มาถึงด้านหน้าตำหนักฮงฮวาแล้ว เงยหน้ามองโคมแดงสองอันที่แขวนใหม่ตามคำสั่งของตนแล้วยกยิ้มอย่างพึงพอใจ มิใช่ความรู้สึกที่แสดงออกอย่างเป็นปกติว่ารักใคร่ผู้เป็นที่รักมากเพียงใดหรอกหรือ
ร่างสูงอมยิ้มพลางก้าวเข้าไปด้านใน เหล่านางกำนัลรีบเปิดประตูให้ทันที จนเมื่อมายืนอยู่ด้านหน้าประตูชั้นที่สามจึงเอ่ยกับนางกำนัล
“รายงานเสีย”
“เพคะฝ่าบาท มามา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”
“กระหม่อมยังมิได้เตรียมท่าทีให้เรียบร้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อใดก็สุขุมและไพเราะดังออกมาจากด้านใน คงจะยังนอนอยู่บนแท่นบรรทมเป็นแน่… จาฮอนนึกจินตนาการถึงท่าทางของอีกฝ่ายอยู่หน้าประตูจนยกยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ไม่เป็นไร พวกเราหาใช่ต้องรักษาระยะห่างต่อกันเช่นนั้นไม่”
“อืม… เชิญด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต จาฮอนก็เดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะหันมองขันทีโชที่ยืนรออยู่ด้านนอกประตูแล้วเอ่ยขึ้น
“หากข้าอยู่ที่นี่ คงไม่อาจยับยั้งชั่งใจแม้เพียงฝุ่นผง ซ้ำยังจะกลายเป็นบุรุษเอาแต่ใจอีกเสีย ดังนั้น หลังผ่านไปสองชั่วยาม ขันทีโชจงมาตามข้า”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีโชค้อมคำนับและตอบรับบัญชา ทันทีที่จาฮอนส่งสัญญาณประตูก็ปิดลง จากนั้นเขาก็หมุนกายกลับมาแล้วขยับไปหาร่างบางที่ยังเอนตัวนอนอยู่บนแท่นบรรทม
“รับสำรับแล้วหรือ ข้าสั่งให้นำโจ๊กมาให้ก่อนจะออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ ทานไปบ้างแล้ว”
โซกังส่งยิ้มสดใส เมื่อจาฮอนก้มหน้ามองกัน จาฮอนนั่งลงข้างๆ พลางสังเกตสีหน้าของโซกังก่อนเป็นอันดับแรก ใบหน้าหวานขาวซีดไร้สีเลือดฝาด เขาจึงรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง
เขาสัมผัสหน้าผากมนและสอดนิ้วมือผ่านเส้นผมยาวสลวย สำรวจว่ามีเหงื่อซึมออกมาหรือไม่ ลูบสัมผัสริมฝีปากเพื่อตรวจดูว่าไม่แห้งผาก ก่อนจะโล่งใจ เพราะนอกจากสีหน้าที่ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่มีส่วนอื่นที่บาดเจ็บให้เห็น
จาฮอนลูบไล้ปรางแก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงกังวล
“ข้าดูจะทำเกินไปมากทีเดียว ยามนี้เจ้าถึงได้เคลื่อนไหวลำบากเช่นนี้ เป็นเพราะข้าละโมบนัก ต่อไปเจ้าก็เตะข้าออกเสียเถิด ข้าไม่อาจควบคุมตนเองได้เลย โซกัง ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไรเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็รู้สึกดี จะกล่าวโทษได้อย่างไรกัน”
“คิดว่าข้าไม่ได้ยินเจ้าบ่นพึมพำว่าทำเกินไปหรอกหรือ”
“ที่ทำเกินไปนั้น ก็เกินไปจริงๆ แต่มิใช่ว่ารังเกียจเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวจบก็ยกยิ้มสดใสอีกหน จาฮอนรู้สึกว่าใบหน้ายิ้มแย้มของโซกังช่างงดงามยิ่ง จนต้องก้มประทับจูบแผ่วเบาบนริมฝีปาก จากนั้นจึงซบศีรษะพิงแผ่นอกบาง โซกังยกแขนขึ้นมาลูบสัมผัสศีรษะของจาฮอน ด้วยสัมผัสของอีกฝ่าย ร่างสูงจึงหลับตาลงตั้งแต่คราแรก เห็นดังนั้น น้ำเสียงสุขุมไพเราะจึงเอ่ยถาม
“งานไม่อาจคลี่คลายด้วยดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“มิใช่หรอก เพียงแต่ต้องมีเจ้าอยู่ ข้าถึงรู้สึกสงบได้ ต่อไปหากหนักข้อขึ้นจะทำเช่นไรดี หากอาการรุนแรงขึ้น จนข้าสั่งให้เจ้าตามมานั่งเฝ้าข้างๆ ยามข้าจัดการราชกิจ เช่นนั้นเจ้าจะมาหรือไม่”
“ทรงอยากให้กระหม่อมถูกเหล่าขุนนางเขม่นมองจนไหม้เกรียมหรืออย่างไร”
“หากข้าให้เจ้ากุมอำนาจยิ่งใหญ่จนคนเหล่านั้นไม่อาจมองเขม่นได้เล่า จะยอมทำให้หรือไม่”
“โปรดทรงสงบใจเถิด กระหม่อมไม่หายไปไหนหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
โซกังลูบแผ่นหลังปลอบขวัญบุรุษผู้งอแงรบเร้าขอความรักมากยิ่งขึ้นอีกราวกับเด็กน้อย
* * *
ยามดึกสงัด ณ คุกของวังหลวง
ถึงแม้ตอนนี้วันเวลาจะเปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ มาถึงช่วงเวลาของฤดูอันอบอุ่น ทว่าภายในคุกหลวงกลับมีเพียงความหนาวเหน็บ คนผู้หนึ่งคลุมหน้าคลุมตาจนบดบังใบหน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“รบกวนด้วย”
แม้สวมชุดคลุมทับ ทว่าน้ำเสียงก็แจ้งว่าเป็นบุรุษ ผู้คุมส่งเสียงตอบรับในลำคอพลางกระแอมไอ หันรีหันขวางมองโดยรอบ ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา
“แค่พูดคุยเพียงเท่านั้นขอรับ”
“จะรีบออกมา”
“หากถูกจับได้ ก็หาใช่ความรับผิดชอบของข้านะขอรับ”
“เข้าใจแล้ว”
ผู้คุมจัดการรับกระเป๋าที่มีน้ำหนัก แล้วส่งคนผู้นั้นเข้าไปในคุกหลวงที่ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม จากนั้นก็ปิดประตูลง เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้นจากทางด้านหลัง บุรุษผู้นั้นก็ปลดชุดคลุมลงและก้าวเดินเข้าไปภายในคุก