World’s Best Martial Artist 94 คนบ้าฉันเพิ่งชิงผู้รนหาที่ตาย

ตอนที่ 94 คนบ้าฉันเพิ่งชิงผู้รนหาที่ตาย

นิยาย World’s Best Martial Artisตอนที่ 94 คนบ้าฉันเพิ่งชิงผู้รนหาที่ตาย

ตอนที่ 94 คนบ้าฉันเพิ่งชิงผู้รนหาที่ตาย

เนื่องจากฟางผิงกับฟูชางเติ่งสัญญาว่าจะทําเรื่องใหญ่ด้วยกัน ทั้งสองจึงสนิทกันยิ่งขึ้น

หลังซื้อของกลับมาหอพัก ทั้งสองก็ลงไปโรงอาหารโดยไม่รบกวนเพื่อนบ้านคนอื่นมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้มีโรง อาหารมากมาย แค่บริเวณหอพักก็มีโรงอาหารสามที่แล้ว

ฟางผิงเป็นเด็กใหม่และไม่ค่อยรู้เรื่องมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ แม้ว่าฟูชางยิ่งจะเป็นนักศึกษาใหม่แต่เขารู้อะไร มากมาย ระหว่างทางไปโรงอาหารเขาอธิบาย”ในโม่อู่ที่พักและอาหารไม่จํา เป็นต้องใช้เงินจ่ายเพราะค่าใช้จ่ายของพวกนี้ไม่แพงนัก โม่อพยายามจัดหาทุกอย่างเพื่อนักศึกษา”

“แน่นอน มันเป็นเพราะมันไม่มีค่านักในมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ สิ่งที่ไม่ต้องเสียเงินไม่ใช่ของแพงแต่ของที่มีค่าใช้ จ่ายต่างหากที่โคตรแพง”

“เม็ดยา เคล็ดวิชาและอาวุธล้วนมีค่าใช้จ่ายแน่นอนมันไม่จําเป็นต้องเป็นเงินเป็นคะแนนก็ได้เหมือนกัน”

เมื่อได้ยินแบบนั้นฟางผิงก็ถามอย่างสงสัย “ฉันจําเป็นต้องจ่ายค่าเทอมไหม?”

“หืม…”

ฟูชางยิ่งหัวเราะ เขาไม่คิดเลยว่าฟางผิงจะสนใจเรื่องนี้จริงๆ “พวกเขาจะเก็บค่าเทอมแต่ก็ต่อเมื่อนายเลือกสาขาที่ เรียนแล้ว”

“ค่าเทอมจะแตกต่างกันไปแต่ละสาขาแม้ว่าราคาจะไม่ต่างกันมากก็ตาม”

“โอ้”

ขณะที่ทั้งสองคุยกัน พวกเขาก็มาถึงโรงอาหารสอง

โรงอาหารของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้หรูหรามากเช่นกัน โครงสร้างคล้ายคลึงกับห้องอาหารที่โรงแรมโม่อู่ แต่แทนที่จะเป็นโต๊ะสี่คนทั่วๆไปมันไม่มีบริกรมันเป็นโรงอาหารสไตล์บุฟเฟต์และอาหารก็อร่อยมาก!

มีทั้งเนื้อสัตว์ ทั้งผัก ซุปกระดูกที่หอมกรุ่นมาแต่ไกล นอกจากนี้ยังมีผลไม้และนมให้ทุกคนทานกันตามต้องการ

ขณะที่เขาเลิกอาหารกับฟางผิงฟูช่างยิ่งก็อธิบาย “นี่เป็นเพียงวัตถุดิบอาหารทั่วๆไปมันไม่มีฤทธิ์ฟื้นฟูปราณและเลื อดมากนัก มันช่วยให้อิ่มท้องเท่านั้น”

“โรงอาหารทุกแห่งจะมีชั้นสองที่ต้องจ่ายเงิน ที่ชั้นสองนายจะสั่งอาหารได้ซึ่งรวมถึงอาหารผสมสมุนไพรที่ช่วยเติม เต็มปราณและเลือด”

“ถ้าสภาพการเงินนายพอไหวเราควร ไปกินชั้นสองดีกว่า”

แม้ว่าผู้ฝึกยุทธจะไม่ได้ต่อสู้แต่การฝึกฝนตามปกติก็ผลาญปราณและเลือดมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้เม็ดยาฟื้นฟู ทุกครั้ง ส่วนใหญ่แล้วผู้ฝึกยุทธจะใช้อาหารแทนเม็ดยา

ฟางผิงสงสัยว่าถ้าเขาไม่ได้หยิบอาหารทันทีที่เข้ามาโรงอาหาร ฟูชางยิ่งคง ขึ้นไปชั้นสองแล้วเห็นได้ชัดว่าสหายคน นี้ไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดาจน

แน่นอนความคิดนี้ไร้สาระมาก

ผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูกสองครั้งสําเร็จโดยไม่ได้ใช้ทรัพยากรของมหาลัยต่อให้ไม่ถึงสิบล้านก็คงเกือบๆ

เงินไม่ใช่ประเด็นหลักเหล่าคนที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งได้ พวกเขาย่อมมีผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ขึ้นไปอยู่ในครอบครัว ดังนั้นจึงไม่มีนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธคนใดที่เป็นคนเรียบง่าย

หลังทั้งสองตักอาหารเสร็จพวกเขาก็ไปหาที่นั่งเงียบๆกินกัน ฟูชางยิ่งไม่มีอารมณ์กินเท่าไหร่เขามองไปรอบๆแล้วถอนหายใจ “อันที่จริงมีอีกเหตุผลที่ทําไมฉันถึงไม่เลือกมหาลัยวิชายุทธปักกิ่ง”

“ฉันเคยได้ยินมาว่าทางใต้มีสาวสวยมากมายพบเห็นได้ทุกที่”

“แต่นับตั้งแต่ฉันมาถึง ฉันเห็นสาวๆน้อยมากแถมคนที่ฉัน เห็น…เอ่อ…เฮ้อ…”

ฟูชางยิ่งผิดหวังเล็กน้อย ที่จริงตอนนี้โรงอาหารก็มีสาวๆ แต่มีไม่มาก หลัง กวาดสายตาดูทั่วโรงอาหารก็ไม่เห็นสาวสวยสักคน
“ดูเหมือนเราได้แต่รอจนนัดรวมตัวกันช่วงบ่ายแล้วค่อยดูใหม่อีกรอบเพราะโรงอาหารไม่ค่อยมีคนมากิน”

หลังคบหากันสักพัก ฟางผิงก็ตระหนักว่าฟูชางซึ่งเป็นคนช่างพูด ส่วนใหญ่จะเป็นเขาเพ้อเจ้อไปคนเดียวไม่ว่าฟางผิงจะตอบหรือไม่ก็ตาม

แวบแรกที่เห็น เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนชั้นสูงที่สง่างามพอมาดูตอนนี้มันเป็นความจริงที่ครอบครัวเขาฐานะดีแต่เขาไม่ได้เป็นคนสํารวมเลย

แน่นอน ไม่ใช่ว่าเขาทําตัวแบบนี้กับทุกคน

ไม่นาน ฟางผิงก็รู้ว่าฟูชางยิ่งไม่ใช่แค่ช่างพูด

เมื่อทานข้าวเสร็จและกลับมาหอพักฟางผิงก็สังเกตว่าประตูห้องเพื่อนบ้านห้อง 85เปิดอยู่เขาจึงทักทายเพื่อนบ้านที่ยืนอยู่โถงทางเดิน

ฟางผิงคุยกับชายที่ค่อนข้างเหมือนผู้หญิงคนนี้ และได้รู้ว่าเขาชื่อชุยเจียอขึ้นเพื่อนบ้านเขาไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก และค่อนข้างน่าเบื่อ ฟางผิงหยุดการสนทนาหลังคุยได้ไม่กี่ประโยคแม้แต่ฟชางยิ่งที่เป็นกันเองมากก็ทําแค่แนะนําตัวก่อนจะเงียบไป

ที่เขาเป็นกันเองกับฟางผิงเพราะเขามองฟางผิงไม่ออกกลับกันชุยเจียอขึ้น เขามองชุยเจียอขึ้นออกในครั้งเดียวปราณและเลือดอีกฝ่ายเกิน 150แคลแต่ยังไม่ถึง 180แคลยังไม่ได้ขัดเกลาสองครั้ง และมันยืนยันได้ยากว่าชายคนนี้จะไปถึงขั้นนั้นไหม
เตรียมผู้ฝึกยุทธแบบนี้อยู่ห่างไกลจากฟูชางยิ่งนักและเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยกระตือรือร้นนักฟูชางดิ่งย่อมไม่พูดอะไรมาก

14.30 น.

ฟางผิงกําลังจัดห้อง แต่จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงฟูชางยิ่งดังจากนอกประตู

“ฟางผิง ถึงเวลาไปรวมตัวแล้ว!”

“รอแปป!” ฟางผิงตอบ หลังทําความสะอาดเพิ่มเล็กน้อย เขาก็ออกจากห้อง

ฟูชางซึ่งไม่ใช่คนเดียวที่อยู่โถงทางเดินมีคนประมาณ 100 คนที่อาศัยอยู่ ชั้นสองเวลานี้หลายคนออกมาจากห้อง แล้ว

ไม่มีใครคุยกันมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเหมือนฟูชางยิ่งกับฟางผิงที่คุยกันเองในกลุ่มสองสามคน

วันแรกของมหาลัย ไม่มีใครพร้อมหาเพื่อนเท่าไหร่
เมื่อฟางผิงออกมาเขาก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะ “ฟูชางมิ่ง บังเอิญจัง นายก มานี่หรอ!”

ฟางผิงหันไปมองและเห็นชายร่างสูงหุ่นดีกําลังจ้องมองฟูชางดิ่ง ตัดสินจากน้ําเสียงความสัมพันธ์ของทั้งสองดูไม่ ค่อยสนิทกันนัก
ฟูชางยิ่งดูไม่แปลกใจเลยราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าคนๆนี้จะมามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้เขาหันไปมองและยิ้มบางๆ “ถังซงถึงแทนที่จะไปมหาลัยวิชายุทธปักกิ่งนายดันมารนหาเรื่องที่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้แทนงั้นเหรอ?”

“เหอะเหอะ รนหาเรื่องรึเปล่าขึ้นอยู่กับนายเหรอ?”

ถังซงถึงส่งเสียงฮึดฮัดทางจมูก”นายมาเรียนนี่ก็ดีแล้วฉันกลัวว่านายจะไม่มาต่างหาก!”

“นายนี่คุยโวจริงๆ”

ฟูชางมิ่งเปล่งเสียงดังเฮอะและเมินอีกฝ่ายเขาหันไปมองฟางผิง “เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมปลายที่แพ้ฉันมาสามปีเขาคิดว่าทําคะแนนสอบวัฒนธรรมศึกษาได้สูงกว่าฉันไม่กี่คะแนนแล้วจะพลิกสถานการณ์ได้ตลกมั้ย?”

เขาไม่รอให้ฟางผิงตอบเขาเดินออกไปและพูดขึ้นมา”ไปกันเถอะเจ้าหมอนี่แทบบ้าหลังสําเร็จแค่ครั้งเดียวไม่จําเป็นต้องสนใจมันหรอก”

ฟูชางยิ่งไม่ได้ลดเสียงลงไม่ได้แอบคุย

ไม่ไกลจากตรงนั้น ถังซ่งถึงก็ได้ยินเช่นกันสีหน้าเขาเปลี่ยนไป
เขากับฟูชางดิ่งมาจากโรงเรียนมัธยมปลายเดียวกันซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรีย นมัธยมปลายที่โด่งดังที่สุดในปักกิ่งฟูชางสิ่งบอกว่าเอาชนะเขามาสามปีไม่ใช่เรื่องโกหก

โรงเรียนมัธยมปลายปักกิ่งต่างจากโรงเรียนมัธยมปลายหยางเฉิงที่มีแรงกดดันมากกว่าแข่งขันกันมากกว่าและมีรางวัลเป็นเม็ดยา นอกจากนี้ยังมีคลาสวิชายุทธและสอบประจําเดือนนักเรียนจะได้ รับรางวัลมากมายถ้าหากได้ผลสอบคะแนนดี

ถังซงถึงกับฟูชางยิ่งแข็งแกร่งกันทั้งคู่พวกเขาสู้กันเพื่อเม็ดยาหลายต่อหลายครั้งแม้ว่าครอบครัวพวกเขาจะฐานะดีแต่สู้เพื่อเม็ดยาที่โรงเรียนมอบให้ยังคงคุ้มค่า

ฟูชางดิ่งไม่เพียงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเท่านั้นแต่เขายังขัดเกลาสอง ครั้งในวัยนี้ด้วยรางวัลจากโรงเรียนมัธยมปลายทําให้เขาก้าวหน้าขึ้นมาก

ถังซงถึงอ่อนแอกว่าฟูชางมิ่งเล็กน้อยอย่างไรก็ตามคะแนนสอบวัฒนธรรม ศึกษาและทั่วไปศึกษาของเขาสูงกว่าชางยิ่งดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องแบ่งสรร หอพักถังซงถึงจึงได้ห้อง 8 ซึ่งอยู่ไกลห้องฟูชางยิ่งมากทีเดียว

กระนั้นถังซงถึงก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าฟูชางยิ่ง

แม้เขาจะแพ้อีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ยอมเสียความมั่นใจเมื่อฟูชางยิ่งเดินผ่าน เขาโดยไม่หันมามองแม้แต่แวบเดียวถังซงถึงจึงกล่าวอย่างเย็นชา “เราจะได้เห็นดีกัน!”

“ฉันจะรอ!”

ฟูชางยิ่งไม่สนใจเลยระหว่างสอบเกาเข่าเขาทะลวงขั้นและกลายเป็นผู้ฝึกยุทธแต่ไม่ได้ขัดเกลากระดูกระหว่างช่วงวันหยุดเขาขัดเกลากระดูกขาซ้ายเสร็จและค่อยๆขัดเกลากระดูกขาขวาด้วยเช่นกัน

ส่วนทางด้านถังซงถึงเขารีบร้อนทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธโดยไม่ได้ขัดเกลาสองครั้งแม้ว่าทั้งสองจะขัดเกลากระดูกแขน ขาสําเร็จไปข้างนึ่งแล้วแต่ฟูชางยิ่งก็ยังไม่ถือว่ามันเป็นเรื่องสําคัญ

อันที่จริงในหมู่ผู้ฝึกยุทธ 52 คนของโม่อู่มีไม่ถึง 10 คนที่ขัดเกลาสองครั้ง สําเร็จ มันอาจน้อยกว่านั้นด้วยซ้ํา!

จํานวนคนที่ขัดเกลากระดูกแขนขาหลังขัดเกลาสองครั้งก็มีน้อยเช่นกันดังนั้นฟูชางยิ่งจึงไม่กลัวใครเลย

คนอื่นก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งสองเช่นกันไม่มีใครออกความเห็นอะไรพวกเขายืนดูฟูชางยิ่งและถังซงถึงอยู่เงียบๆทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธคนนึงอยู่ห้อง 8 คนนึงอยู่ห้อง15
ใน 50 ห้องแรกความต่างของพลังไม่ใหญ่นักพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธแต่ตอนสอบเกาเข่าจะไม่ได้ตรวจสอบความสามารถเชิงยุทธประเด็นหลักที่ส่งผลต่อการแบ่งสรรหอพักขึ้นอยู่กับคะแนนส อบวัฒนธรรมศึกษาและทั่วไปศึกษาซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

เช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธ อันดับห้องพักขึ้นอยู่กับคะแนนสอบวัฒนธรรมศึกษานักศึกษาห้อง1อาจไม่ได้มีความสามารถเชิงยุทธแข็งแกร่งกว่าห้อง50เสมอไป

จากห้อง 50 เป็นต้นไป มีทั้งนักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกยุทธหรือขัดเกลาสองครั้งสําเร็จอย่างไรก็ตามคนเหล่านี้อาจพึ่งทะ ลวงเป็นผู้ฝึกยุทธหรือขัดเกลากระดูกสองครั้งแล้วแต่ยังไม่ได้ทะลวง แม้สถา นะของพวกเขาเกือบจะเท่าผู้ฝึกยุทธแต่นักศึกษาเหล่านี้ก็ยังอ่อนแอกว่าถ้าต้องสู้กับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง

ในหมู่อัจฉริยะ เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะให้ความสนใจกับอัจฉริยะในหมู่ อัจฉริยะมากกว่าเนื่องจากห้องฟางผิงคือห้อง 86 ซึ่งอยู่ตําแหน่งเกือบสุดท้ายจึงมีคนสังเกตเห็นเขาไม่กี่คน

ฟางผิงยินดีเช่นกันที่เป็นแบบนั้นนอกจากเติมเต็มความอยากโชว์ออฟและเสียเวลามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทําตัวเด่นตอนนี้ถ้าอยากโชว์ออฟจริงๆมันก็ควรทําต่อหน้าอาจารย์เพราะอาจารย์ เป็นคนจัดสรรทรัพยากรและเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะให้ความช่วยเหลือ

เห็นได้ชัดว่านักศึกษามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ไม่ได้เป็นคนโง่ รวมถึงถังซ่งถึงด้วย

ที่ปลุกปั้นกันก่อนหน้านี้มันเป็นแค่ความเคยชินของพวกเขาทั้งสองเป็นศัตรูกันมานานเมื่อเห็นหน้ากันพวกเขาจึงยั้งตัวเองไม่อยู่

เมื่อฟูชางยิ่งเดินไป ถังซงถึงก็เดินลงไปชั้นล่างโดยไม่ได้พูดอะไร
เมื่อพบว่าไม่มีอะไรให้ดูแล้วคนอื่นจึงเริ่มมุ่งหน้าไปจุดรวมตัวที่สนามกีฬาหนึ่ง

สนามกีฬาของโม่อู่ใหญ่มากและมีที่นังผู้ชมมีคนจํานวนมากมารออยู่ก่อน แล้ว รวมถึงอาจารย์และนักศึกษาที่มานั่งรออยู่ที่ผู้นั่งผู้ชมก่อนที่นักศึกษาใหม่อย่างฟางผิงจะมาถึง

เมื่อนักศึกษาใหม่ค่อยๆมากันก็มีคนบนที่นั่งผู้ชมหัวเราะเสียงเบา “ปีก่อนเราถูกมองเหมือนลิงในสวนสัตว์ปีนี้ในที่ สุดเราก็ได้สนุกกับความรู้สึกดูลิงน้อยแสดงมันไม่เลวเลย”

“หุบปาก! ตั้งใจหาต้นกล้าดีๆ เผื่อเราจะได้พาเข้าชมรม”

คนที่พูดเมื่อกี้ปุ๋ยปาก จากนั้นก็ชี้ไปที่สองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ”คนจากชมรมวิถียุทธมาแล้วต่อให้มีต้นกล้าดีๆเราก็คงไม่ได้เลือกเป็นคนแรกเราได้แต่เลือกของเหลือของพวกเขาเท่านั้นแหละ”
เมื่อพูดถึงชมรมวิถียุทธ ทุกคนก็เงียบเสียงลงและหันไปมองสองสามคนที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา
ณ บริเวณใกล้เคียง

ฉันเพิ่งชิงรู้สึกร้อนใจ เขากอดอกขมวดคิ้ว “ฉันกําลังขัดเกลากระดูกลําตัวพวกนายรับสมาชิกใหม่ยังไม่พออีกเหรอ?ทําไมฉันต้องมาด้วย!”

“พวกนายจงใจขัดจังหวะกระบวนการขัดเกลาของฉันเพราะประธานกลัวฉันท้าทายตําแหน่งหลังขัดเกลาเสร็จใช่ไหม?”
หญิงสาวที่หน้าตาค่อนข้างดีที่นั่งอยู่ข้างๆเผยรอยยิ้มออกมา “นายควรไปพู ดกับประธานแทนนะเหตุผลที่นายถูกเรียกตัวมาเพราะนายเป็นรองประธานคนเดียวที่ยังอยู่มหาลัยส่วนคนอื่นไม่มีใครอยู่เลย”

“ไหนๆนายก็พึ่งทําภารกิจเสร็จนายน่าจะพักสักสองสามวันอย่าเอาแต่ฝึกทั้งวันสิมันไม่ดีนะ”

“เหลวไหล!” ฉินเฟิงชิงแผดเสียงรําคาญอย่างเห็นได้ชัด”ฉันบอกแล้วว่าประธานอิจฉาฉัน!”

“ไม่ว่านายจะพูดยังไงประธานก็ไปถึงขั้นสี่แล้วนายมั่นใจเหรอว่าเขากลัวนาย?”

“ขั้นสี่…”ฉันเพิ่งชิงบัยปากและบ่นพึมพํา”ไปถึงขั้นสี่แล้วมันยังไง? ฉันก็ ใกลถึงขั้นสี่แล้ว!”

“ชิ!”

ฉันเพิ่งชิงขี้เกียจเถียงกับเธอ”รู้เรื่องหวังจินหยางยัง?”เขาพูดแต่น้ําเสียงเขายังออกแนวรําคาญ

เมื่อชื่อหวังจินหยางถูกพูดถึงสมาชิกชมรมวิถียุทธก็เงียบทันที

หญิงสาวที่พูดเมื่อกี้กัดฟันกรอดๆ “รู้ แล้วเจ้าสารเลวนเสียสติไปแล้วจริงๆ!อย่าให้ฉันได้เจอนะ…”

เฉินเพิ่งชิงบ่นด้วยความโกรธ”เลิกโม้ได้แล้วอย่าคิดว่าเขาจะไม่จัดการเธอเพราะเธอเป็นผู้หญิงหยั่งกับว่าคนที่ถูกทุบตีคราวแล้วไม่ใช่เธออย่างนั้นแหละ”

“บ้าเอ้ย ฉันกลับมาเตรียมขัดเกลากระดูกลําตัวให้เสร็จเพื่อไปหาเรื่องเขาตอนนี้เจ้าหมอนี่กวาดขั้นสามของทางเหนือไปแล้วแต่ประธานยังมอบภารกิจให้ฉันทําอีกถ้าฉันแข็งแกร่งนะ ฉันจะจัดการหวังจินหยางซะแล้วประธานจะเป็นรายต่อไป!”

“แค่กๆๆ…”

ไม่กี่คนที่อยู่ข้างเขากระแอมทันทีเตือนให้เหล่าฉินอย่าพูดจาเหลวไหล

หวังจินหยางเป็นศัตรู เขาจะพูดอะไรก็ได้อย่างไรก็ตามประธานเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นกลางแถมยังเป็นประธานชมรมวิถียุทธ

ถ้าประธานรู้เรื่องนี้เขาคงสอนบทเรียนให้ฉินเฟิงชิงแน่

ในขณะเดียวกันหญิงสาวโกรธมากเธอหันไปถลึงตามองเขา “ฉันจะเอาคํา พูดของนายไปฟ้องประธานแน่!”

“เชิญเลย เธอรู้วิธีประจบดีนี่ ถ้าเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์กับประธาน ฉันทุบตีเธอไปแล้ว!”

“ฉินเฟิงชิง!”

หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอับอาย “นาย หมายความว่ายังไงฉันมีความสัมพันธ์กับประธานยังไง?”

ฉินเฟิงชิงบัยปาก “เธอคิดว่าฉันตาบ อดเหรอ? จึงพวกเธอสบตากันแลกเปลี่ยนความรู้สึกฉันก็สังเกตเห็นทันที”

“ฉันไม่รู้เธอใช้อะไรมองเธอไปสนใจคนหน้าตาอัปลักษณ์อย่างประธานได้ไง?”

“แค่เพราะเขาเป็นขั้นนี่ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเป็นคนหน้าตาอัปลักษ ณ์หรอกนะเลือกผู้ชายไม่ยอมเลือกผู้ชายหน้าตาดี ดันไปเลือกหน้าตาน่าเกลียด…”

“หุบปาก!”

คําพูดนี้ไม่ได้มาจากปากหญิงสาวไม่ใช่สมาชิกชมรมหรือแม้แต่ประธานที่ พวกเขาพูดถึง แต่มันมาจากอาจารย์ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆพวกเขา

เมื่อเห็นว่าฉันเพิ่งชิงพูดจาเหลวไหลขึ้นเรื่อยๆเธอก็โกรธ “ฉันเพิ่งชิงดูอยู่เงียบๆไป เชื่อไหมถ้าฉันได้ยินเรื่องเหลวไหลจากปากคุณอีกฉันจะโยนคุณออกไป!”

ฉันเพิ่งชิงรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เขาก็หัวเราะแห้งๆ “โอเคๆผมหยุดแล้ว ถ้า ผมเห็นว่าอาจารย์หมิ่นอยู่ด้วยผมคงไม่พูดหรอก”

“ใครล่ะจะไม่ทราบว่าอาจารย์หมิ่นประทับใจประธานของเรา…”

หมิ่นเยวมองเขาด้วยสีหน้าอันตราย “พูดต่อสิ!”

“อะแฮ่ม ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”

ฉันเพิ่งชิงสัมผัสถึงกลิ่นอายเป็นอันตรายเขานั่งตัวตรงทันที “นักศึกษาใหม่มาแล้ว!”เขาพูดจริงจัง

ทุกคนโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขาเปลี่ยนหัวข้อแล้ว

มันไม่สําคัญว่าเหล่าฉันจะขุดหลุมฝังตัวเองต่อไหมแต่ถ้าเขาพูดต่อพวกเขาจะมีปัญหาตามไปด้วยน่ะสิ

เป็นอย่างที่ฉันเพิ่งชิงพูด นักศึกษาใหม่กลุ่มใหญ่กําลังเดินเข้ามาในสนามแล้ว

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Score 10
Status: Completed

เรื่องย่อ

 

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

 

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

 

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

 

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

 

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

 

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Options

not work with dark mode
Reset