นิยาย World’s Best Martial Artist
ตอนที่ 93 ทําเรื่องใหญ่!
เมื่อเขาเปิดประตู ฟางผิงก็รู้สึกอยาก ทุบตีคนขึ้นมา
หล่อ!
ชายหนุ่มที่หล่อเหลามากกําลังยืนอยู่ นอกประตู ไม่ใช่หล่อขาวใสบอบบาง แต่เป็นหนุ่มหล่อกํายําผิวโดนแดดมี สุขภาพดี
“สวัสดีสหาย ฉันฟูชางยิ่งจากห้องตรง ข้ามนาย ฉันไม่ได้รบกวนใช่ไหม?”
ฟูชางยิ่งพูดเปี่ยมด้วยพลัง ใบหน้าเผย รอยยิ้มสดใส
ฟันเขาขาวซะจนฟางยิ่งคิดว่ามันหลุด จากโฆษณายาสีฟัน
ฟางผิงเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะ เลิกคิ้วเล็กน้อย “ห้อง 15?”
“ใช่แล้ว ฉันพึ่งมาเหมือนกัน ฉันยังไม่ ได้ถามเลย สหาย นายชื่ออะไรเหรอ?” รอยยิ้มบนหน้าฟูชางยิ่งไม่ได้เปลี่ยนแป ลง
“ฟางผิง”
ฟางผิงแนะนําตัว จากนั้นเขาก็ถอย เยื้องออกไปจากประตู “เข้ามาคุยกัน ก่อนสิ”
“ขอโทษที่รบกวน”
ฟูชางยิ่งสุภาพมาก เขายิ้มและกล่าว ทักทายก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง
ห้องของพวกเขาเหมือนกันหมด ไม่มี อะไรน่าสนใจให้ดู
เมื่อฟางผิงเชิญเขาเข้ามานั่ง ฟูชางติ งก็เผยรอยยิ้ม “ฟางผิง นายมาจาก ไหน? จากสําเนียงนาย ดูเหมือนนาย จะมาจากเขตหนานเพียงใช่ไหม?”
“ใช่ ฉันมาจากเมืองหยางเฉิง หนาน เจียง นายล่ะ?”
“ฉันมาจากเมืองหลวง”
โดยไม่รอให้ฟางผิงเอ่ยถาม ฟูชางติ งกล่าว “มหาลัยวิชายุทธปักกิ่งใกล้บ้าน เกินไป ฉันเลยมามหาลัยวิชายุทธ เซี่ยงไฮ้”
จากนั้นฟูชางยิ่งก็ยิ้มอีกครั้ง “ฉันว่าฉัน เคยได้ยินเมืองหยางเฉิงมณฑลหนาน เจียงมาก่อน…”
“อ้อ นายเคยได้ยินชื่อหวัง…น่าจะหวัง จินหยาง นายรู้จักเขาไหม?”
ฟางผิงช็อค เหล่าหวังดังขนาดนี้เลย?
เหล่าหวังพึ่งทะลวงขั้นสู่ขั้นสามได้ไม่ นาน ในเซี่ยงไฮ้ในปักกิ่ง ขั้นสามไม่ได้ หายากแน่นอน
หลังคิดสักครู่ ฟางผิงก็พยักหน้า “ฉันรู้ จักเขา เขามาจากโรงเรียนมัธยมปลาย เดียวกับฉัน เป็นรุ่นพี่ฉัน”
“อ๊ะ นายรู้จักเขาด้วย แต่ฉันว่ามันก็ไม่ ได้แปลกอะไรเพราะเมืองหยางเฉิงไม่ ได้ใหญ่”
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อัจฉริยะจะรู้จัก กับอัจฉริยะ
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “นายก็รู้จักหวังจินหยางเหรอ?”
“ฉันเคยได้ยินชื่อเขา”
ฟูชางดิ่งตระหนักว่าเขาพบหัวข้อ สนทนาแล้ว เขายิ้ม “รุ่นพี่โรงเรียนมัธยม ปลายของนายพึ่งก่อเรื่องไม่นานมานี้เอง”
“เขาทะลวงสู่ขั้นสามได้ไม่นาน และเดิ นทางไปทดสอบดาบไปทั่ว”
“ทดสอบดาบ?”
“นายไม่รู้เหรอ?”
ฟูชางยิ่งประหลาดใจ ตอนนี้เขาบอก ไม่ได้ว่าฟางผิงมีปราณและเลือดสูงแค่ ไหน แต่มาอยู่ห้อง 86 ได้ อย่างน้อยเขา ก็ต้องใกล้เคียงกับขัดเกลาสองครั้ง ฟู ชางยิ่งรู้สึกว่าปราณและเลือดของเจ้า หมอนี่อาจสูงกว่าที่คาดไว้มาก
คนอย่างเขาจะไม่มีภูมิหลังเลยเหรอ?
เขาออกจากเมืองหยางเฉิงเวลาไล่เลี่ ยกับหวังจินหยาง แต่เขาไม่รู้เรื่องนี้เลย?
ยิ่งกว่านั้นเมืองหยางเฉิงเล็กมาก พวก เขาสร้างอัจฉริยะมากขนาดนี้ได้ยังไง?
เป็นไปได้ไหมว่าเมืองหยางเฉิงซุกซ่ อนปรมาจารย์หรือยอดยุทธเอาไว้?
ฟูชางมิ่งเก็บงําความสงสัยไว้ แต่เขารู้ ว่าเขาไม่ควรถามลงลึกกับคนที่พึ่งเจอ เขาจึงไม่ได้ถามอะไรอีก
กลับกันเขาอธิบายแทน “หวังจินหยาง อาจขัดเกลาลําตัวแล้ว เป็นไปได้ว่าเขา จะทะลวงขั้นสี่แล้ว”
“อย่างไรก็ตาม เขาทะลวงเร็วเกินไป นักศึกษามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงกด ดันเขาได้ไม่มากพอ”
“ดังนั้น ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหา หวังจิน หยางจึงถือดาบเดินทางไปทั่วเพื่อ ท้าทายผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุด ไม่กี่วัน ก่อน หวังจินหยางพึ่งมาถึงเมืองหลวง”
“แน่นอน ฉันไม่ได้เห็นกับตัว เพราะ ฉันเตรียมมาลงทะเบียนเข้ามหาลัยที่ เซี่ยงไฮ้”
“เขาไปเมืองหลวง?”
“ใช่ ผู้ฝึกยุทธขั้นสามที่เมืองหลวงไม่ ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้ อ่อนแอ เมื่อเขาไปถึงเมืองหลวงตอน แรก เขาเอาชนะยิมคอสฝึกฝนวิชายุทธ แปดแห่งในหนึ่งวัน”
“คอสฝึกฝนวิชายุทธอาจมีผู้ฝึกยุทธ ชั้นกลาง แต่ก็มีผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุด หลายคนเช่นกัน”
“ยิ่งกว่านั้น คอสฝึกฝนวิชายุทธปกติ จะถูกก่อตั้งโดยบริษัทใหญ่ ตัวแทน รัฐบาล และมหาลัยวิชายุทธ”
“หวังจินหยางกล้าหาญอย่างยิ่ง เขา เลือกท้าทายคอสฝึกฝนวิชายุทธเป็น อย่างแรก องค์กรเบื้องหลังคอสฝึกฝนวิ ชายุทธย่อมไม่ให้อภัยและปล่อยเรื่องนี้ ไป ผู้ฝึกยุทธชั้นกลางจะไม่เข้าประลอง แต่ยอดยุทธในหมู่ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูง สุดย่อมเข้าต่อสู้โดยไม่ลังเล”
“เขาท้าทายคอสฝึกฝนวิชายุทธแปด แห่งในวันเดียว…”
ฟางผิงจะพูดอะไรได้?
เขาไม่มีอะไรจะพูด!
คุณพระ เหล่าหวังเป็นประวัติการณ์!
นานแค่ไหนแล้วที่เขาทะลวงขั้นสาม?
เหล่าหวังทะลวงขั้นสามกลางเดือน เมษา ตอนนี้พึ่งเริ่มกันยาเท่านั้น
ทะลวงจากขั้นสามไปขั้นสี่เป็นคอขวด ใหญ่มาก
อย่างไรก็ตามเหล่าหวังเดินทางท้า ทายยอดยุทธไปทั่วเพื่อกดดันตัวเองให้ ถึงขีดจํากัด เป็นไปได้สูงว่าเขากําลังติด คอขวดและหาทางทะลวงขั้น
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ มันไม่ถึงห้าเดื อน ฟางผิงอดชื่นชมเขาไม่ได้
“มันไม่อันตรายเหรอ?”
ฟางผิงถามอย่างอดไม่ได้
ฟูชางยิ่งมองเขาด้วยสีหน้าจริงจังก่อน จะหัวเราะในลําคอ “มันไม่อันตรายมาก นัก แต่เขาทําลายชื่อเสียงของผู้มีอิทธิพ ลมากมาย ยอดยุทธขั้นสามสูงสุดจะโจม ตีเขาโดยไม่ออมแรง”
“เว้นแต่ว่าเขาจะเอาชนะทุกคนและพิสู จน์ว่าเขาไร้เทียมทานในหมู่ผู้ฝึกยุทธขั้น สาม เขาจะต้องรับผลที่ตามมาทันที่ที่ เขาแพ้พ่าย”
“แต่ฉันต้องพูดเลย คนอย่างหวังจิน หยางเป็นแบบอย่างของฉัน”
“เขามีครอบครัวฐานะธรรมดา เขาเข้า มหาลัยวิชายุทธธรรมดาๆ แต่เขากลาย เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามได้ตั้งแต่ปีหนึ่งและ เริ่มท้าทายผู้แข็งแกร่งขึ้นเหนืออย่าง ห้าวหาญตอนปีสอง แค่พูดก็ทําให้ ฉันตื่นเต้นแล้ว!”
ฟางผิงพูด “มันน่าตื่นเต้นนะ เสียดาย ที่เขาไม่ลงใต้…”
ก่อนที่ฟางผิงจะพูดจบ ฟูชางยิ่งก็ หัวเราะ “ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยลงใต้ ฉัน เคยได้ยินว่าเขามาเซี่ยงไฮ้ตอนขั้นหนึ่ง สูงสุดและกวาดล้างนักศึกษาขั้นหนึ่งสูง สุดของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ไปทั้งหมด”
“แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองจากมหาวิทยา ลัยครุศาสตร์หัวตงก็มาประลองกับเขา แต่ก็พ่ายแพ้คลุกฝุ่นอยู่กับพื้น”
“มหาลัยอื่นจะไม่ปล่อยให้นักศึกษา ขั้นสองสร้างความอับอายให้ตัวเอง ก็จน เมื่อเขามามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้นี่แห ละ นักศึกษาขั้นสองจึงไปสู้กับเขาและ ทําให้เขาบาดเจ็บมากพอจนต้องล่าถอย
“เขากวาดล้างผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งของ เซี่ยงไฮ้ นายบอกได้ไหมว่าเขาเด็ดขาด แค่ไหน!”
“เด็ดขาด?”
ฟางผิงเชื่อมโยงเหล่าหวังที่พูดอย่างอ่ อนโยนกับคําว่าเด็ดขาดไม่ได้เลย!
แถมมันยังจินตนาการได้ยากยิ่งที่หวัง จินหยางจะกวาดล้างผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง ทั้งหมดของเซี่ยงไฮ้
ความประทับใจที่เขามีต่อเหล่าหวังคือ เขาไม่อ่อนแอ เป็นอัจฉริยะ แต่ก็เป็นแค่ หนานเจียงเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งประเทศ จีน…
เขากวาดทั้งเซี่ยงไฮ้ และตอนนี้กําลัง มุ่งหน้าขึ้นเหนือ เตรียมประมือกับผู้ฝึก ยุทธขั้นสามทางเหนือ มีชื่อเสียงเล็ กน้อยในหนานเจียงจะอธิบายสิ่งนี้ได้ เหรอ?
ฟางผิงประหลาดใจอย่างยิ่ง ภาพเห ล่าหวังถือดาบบุกทะลวงไปข้างหน้า ปรากฏขึ้นมาในใจ เขารู้สึกเดือดพล่านอ ย่างอดไม่ได้…
ฟูชางยิ่งให้ความสนใจกับฟางผิง เมื่อ เขาสัมผัสถึงปราณและเลือดของฟางผิง นัยน์ตาดําเบิกขึ้นเล็กน้อย!
ขัดเกลาสองครั้ง?
ไม่!
มันอาจสูงกว่านั้น!
สาม…บางทีเขาอาจยังไม่สําเร็จสาม ครั้ง แต่เขาใกล้แล้วแน่นอน!
“เมืองหยางเฉิงที่ดักดานสร้างสองอัจฉ ริยะสองคนในเวลาเดียวกันได้อย่างไร?
ทันใดนั้น ฟางผิงก็สงบปราณและเลือ ดลง เขาเงยหน้ามองฟูชางมิ่งและยิ้ม “เพื่อนร่วมชั้นฟู…”
“อย่าเรียกฉันแบบนั้นเลย พวกเราเป็น เพื่อนร่วมชั้นกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน ถ้า เป็นมหาลัยทั่วไป เราคงถือเป็นเพื่อน ร่วมบ้านกัน จากนี้ไป เรียกฉันเหล่าฟูก ได้ หรือจะเหล่าชาง เหล่ายิ่งก็ได้ เหมือนกัน”
“เหล่าฟู? เหล่าชาง? เหล่ายิ่ง?”
ฟางผิงตากระตุก จากนั้นเขาก็หัวเราะ แห้งๆ “ฉันจะเรียกนายชางมิ่ง นา ยอาจเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วใช่ไหม?”
ฟูชางยิ่งไม่ปฏิเสธ เขายิ้มแย้ม “ฉัน เป็นผู้ฝึกยุทธ แต่เป็นผู้ฝึกยุทธไม่ได้มี ความหมายอะไรเลย แม้ว่าฉันจะเป็นขั้น หนึ่ง ถ้าเราประมือกัน ฉันอาจไม่แข็งแก ร่งกว่านายก็ได้”
“นายสุภาพเกินไป ฉันไม่มีอะไรเลย ฉันไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ํา…”
“ฟางผิง อย่าถ่อมตนเลย” ฟูช่างติงหัว เราะ “เราเข้ามหาลัยวิชายุทธแล้ว ไม่จํา เป็นต้องซ่อนอะไร”
“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น จัดอันดับแข็ง แกร่งอ่อนแอตอนนี้ไม่มีความหมายเท่า ไหร่หรอก”
“หนึ่งในเหตุผลที่ฉันมาหานายคือมา พบเพื่อนบ้านใหม่ เหตุผลอย่างอื่นคือ มาสังเกตการณ์ทุกคน ฉันไม่คิดเลยว่า คนแรกที่ฉันเจอจะเกินความคาดหมาย ของฉัน”
“ตอนแรกฉันมั่นใจตัวเองเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้ฉันรู้ตัวแล้วว่าฉันเป็นกบในกะลา”
“นายรู้เรื่องรวมตัวกันตอนบ่ายใช่ ไหม?”
“ฉันรู้”
ฟางผังพยักหน้า เขาบอกได้ว่าฟูชาง ยิ่งรู้มากกว่าเขา เขาจึงอดถามไม่ได้ “ไปรวมตัวกันทําพิธีปฐมนิเทศไหม? หรือพิธีเปิด?”
“อาจเป็นทั้งสองอย่าง หรืออาจไม่ใช่ ทั้งสอง”
ฟูชางยิ่งยิ้ม แต่ไม่ได้รับอธิบาย เขา เหลือบมองรอบห้อง “นายไม่ได้ซื้อน้ํา มาใช่ไหม? ไปกันเถอะ ไหนๆนายก็มี ของไม่ได้ซื้อ เราเดินไปคุยไปกันเถอะ ฉันจะได้ไปซื้อของระหว่างทางด้วย”
เขาจะไม่ไปหานักศึกษาคนอื่นแล้ว นักศึกษาจากห้อง 86 มีปราณและเลือด สูงกว่าคนส่วนใหญ่ที่ขัดเกลาสองครั้ง เสียอีก
อัจฉริยะไม่ได้หาได้ง่ายๆ ดังนั้นแค่ได้ รู้จักกับฟางผิงก็พอแล้ว
ฟางผิงไม่ปฏิเสธ เขาล็อคประตูและ ออกไปกับฟูชางยิ่ง
ขณะที่พวกเขาเดินไปกัน ฟูชางยิ่งก็ พูดขึ้น “รวมตัวบ่ายนี้ถือเป็นการแสดงพลัง”
“พรุ่งนี้เราจะเข้าอาคารฝึกฝนการต่อสู้ จริงและเลือกสาขาที่เรียน”
“แต่พอเราเข้าไปในอาคาร ทุกคนจํา เป็นต้องรู้ว่าใครยั่วยุได้ใครยั่วยุไม่ได้”
“ตอนบ่ายเป็นช่วงที่เราทําความรู้จัก กัน แต่มันเป็นเวลาให้อาจารย์สังเกตเราด้วย”
“นักศึกษาคนไหนเป็นยังไง นักศึกษา คนไหนมีศักยภาพและพรุ่งนี้จะมุ่งเน้น สังเกตใคร”
“พรุ่งนี้ ในอาคารจะมีคนมากกว่าพัน คน อาจมีหลายคนที่คู่ควรแก่การสังเกต แต่ก่อนอื่น ต้องระบุตัวคนที่มีศักยภาพที่ สุด ดังนั้นตอนบ่ายนี้นายต้องแสดง ความแข็งแกร่งให้มากที่สุด”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเก็บงํา อาจารย์ที่ แข็งแกร่งจะช่วยนายลดเวลาและ พลังงานไปมาก”
ฟางผิงเข้าใจแล้ว พูดง่ายๆก็คือ บ่ายนี้ คนที่มีฝีมือสูงบางคนจะได้รับเลือก และ คนเหล่านี้จะถือเป็นเป้าหมายหลักใน การตรวจสอบ
พอถึงวันพรุ่งนี้ อาจารย์จะเริ่มสังเกต และดูว่าใครมีความสามารถในการจัดกา รทีม และใครมีความสามารถในการต่อสู้ จริงที่แข็งแกร่ง
ทุกคนจะมีเวลาเตรียมตัวหนึ่งคืน การ ตรวจสอบนี้อาจเป็นการประเมิณความสา มารถในการจัดการองค์กรและไหวพริบ
ไม่ว่าจะมีคนสร้างกลุ่มสิบคนร้อยคน ได้ก็ตาม มันเป็นการทดสอบความสา มารถของพวกเขา
ความสามารถในการประเมิณว่าใครยั่ว ยุได้ยั่วยุไม่ได้ก็เป็นสิ่งสําคัญเช่นกัน
หลี่เฉิงเจ๋อบอกว่าจะมี 400 คน ไม่จํา เป็นต้องต่อสู้กันเพื่อเป็นจุดสนใจ
กระนั้นถ้าเขาไม่แสดงความแข็งแกร่ งบ้าง เขาจะเป็นที่สนใจของอาจารย์ได้ ยังไง?
ฟางผิงแทบจะรับประกันได้แล้วว่าผู้ คนคงท้าทายคู่ต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่ง พอๆกัน ส่วนใครจะเลือกใครเป็นคู่ต่อสู้ นั่นก็ขึ้นอยู่กับสายตาของพวกเขา
การเอาชนะคนที่มีระดับใกล้เคียงกัน จะได้รับคะแนนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากใครอยู่เฉยๆในอาคารเพื่อแย่งโค วต้า ต่อให้คนๆนั้นจะเข้าสาขาศัสตราวุธ ได้ พวกเขาก็จะไม่โดดเด่น
ขณะที่เขาเดินไปคุยกับพี่ชางดิ่งไปพ ลาง ทั้งสองก็มาถึงซูเปอร์มาร์เก็ตของม หาลัย
มันถูกเรียกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตของมหา ลัย แต่เมื่อเทียบกับไฮเปอร์มาร์เก็ต มัน ใหญ่กว่านั้นอีก ราคาสินค้าก็ไม่แพงอี กด้วย
หลังคุยกันมาตลอดทาง ฟูชางยิ่งรู้สึก ว่าพวกเขาคุ้นเคยกันมากพอแล้ว เขาจึง ยิ้มแล้วกล่าว “ฟางผิง พรุ่งนี้นายสนใจ ทําเรื่องใหญ่ไหม?”
“นายหมายความว่ายังไง?”
“ปีนี้มหาลัยรับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งมา 52 คนและเตรียมผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง อีก 9 คน แน่นอนอาจมีบางคนที่ทะลวง ขั้นได้ตอนปิดเทอมหน้าร้อน”
“แต่มันก็คงมีไม่มากนัก ท้ายที่สุดแล้ว การมาทะลวงตอนอยู่มหาลัยจะช่วยลด ทรัพยากรไปมาก”
“ขัดเกลาสองครั้งถือว่าเป็นขั้นหนึ่ง เช่นกัน ดังนั้นคงมีผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งราว 70 คน”
“มีผู้ฝึกยุทธมากมาย จากที่โดดเด่นก็ จะไม่โดดเด่น โอกาสที่อาจารย์จะชื่น ชอบเราขึ้นอยู่กับการเตรียมตัว”
ฟางผิงกําลังเลือกซื้อของ และเขาก็ ถามเสียงต่ําไปด้วย “นายจะทํายังไง?”694
“ถ้าให้ฉันพูดถึงตัวเอง ความแข็งแกร่ง ฉันไม่เลว ความสามารถเชิงยุทธก็ไม่ เลว ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธทุกคนจะต่อสู้จริงได้ แล้วนายล่ะ?”
“ฉันคงพอได้แหละ ฉันไม่เคยต่อสู้จริง ฉันเลยไม่มั่นใจ”
“นายฝึกเคล็ดวิชายุทธไหม?”
“อืม”
“งั้นไม่น่ามีปัญหา คนมากมายที่ทะ ลวงเป็นผู้ฝึกยุทธโดยที่ไม่ได้ฝึกเคล็ดวิ ชายุทธตอนช่วงแรก เป้าหมายของพวก เขาคือการเข้ามหาลัย ไม่ใช่ต่อสู้จริง”
ฟูชางยิ่งดีใจมากที่รู้ว่าฟางผิงฝึกเคล็ด วิชายุทธด้วย “นายคิดยังไง พรุ่งนี้เรามา ร่วมมือกันและท้าทายผู้ฝึกยุทธเหล่านั้น เอาไหม?”
“ห้ะ?”
“ฉันกับนาย มาเป็นคู่หูกัน”
ฟูชางยิ่งฉลาดและหาทางแก้ปัญหา ได้อย่างรวดเร็ว เขายิ้มกว้างและกล่าว “เราจะไม่ลุยเดี่ยว ต่อให้เราไปสู้แบบ หนึ่งต่อหนึ่ง ปราณและเลือดของเราก็ คงฟื้นฟูได้ไม่ทัน แล้วเราจะยืนหยัดต่อ ไปไม่ได้”
“แต่ถ้าเราไปกันสองคน มันไม่มีปัญหา แน่นอน เราจะผลัดกันเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้ง หมด!”
“ต่อให้ตอนท้ายเราจะแพ้ แต่เราก็จะ เข้าตาอาจารย์ ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเลย ว่าอาจารย์จะมองข้ามเราไป”
“ฉันบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของอา จารย์ในโม่อู่แต่งต่างกันมาก!”
“ฉันไม่สนใจขั้นสี่ขั้นห้า อย่างน้อย พวกเขาต้องเป็นขั้นหก และแม้แต่ขั้นหก ก็มีแข็งแกร่งอ่อนแอ อาจารย์บางคนก็ ใกล้เคียงกับระดับปรมาจารย์!”
“ถ้าเราได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกยุทธ ขั้นสูง นายจะต้องตกใจกับผลประโยชน์ มากมายกที่ได้รับ!”
ฟางผิงกําลังช็อค “แค่เราสองคน?”
“ใช่ ใครขอให้นายเป็นคนแรกที่ฉันชื่น
ชมล่ะ?”
ฟางผิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เจ้า หมอนี่พูดกํากวมแบบนั้นได้ไง?
ฟางผิงเงียบไปครู่นึงก่อนจะเอ่ยถาม “นายรู้จักนักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกยุทธคนอื่น รึเปล่า?
“ไม่จําเป็น ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งก็งั้นๆ แหละ พูดตรงๆ ฉันเป็นขั้นหนึ่งหลังขัด เกลาสองครั้ง ตอนนี้ฉันขัดเกลาขาขวา เสร็จแล้ว”
“ถ้าฉันไม่มีความมั่นใจ ฉันคงไม่กล้า ชวนใครทําแบบนี้แน่นอน”
คนที่ขัดเกลาสองครั้งและขัดเกลาขา ขวาเสร็จมีคุณสมบัติที่จะภาคภูมิใจอยู่ บ้าง
การขัดเกลาสองครั้งช่วยเพิ่มขีดจํากัด ปราณและเลือด ซึ่งหมายความว่าจะระ เบิดปราณและเลือดได้นานขึ้น
ยิ่งกว่านั้นการขัดเกลากระดูกทั้งตัว สองครั้งยังทําให้เพิ่มความทนทานและ ความแข็งแกร่งในการโจมตีให้มากกว่าผู้ ฝึกยุทธทั่วๆไป
แถมการขัดเกลาขายังอันตรายกว่าขัด
เกลาแขน
ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าเคล็ดวิชายุทธของฟู ชางยิ่งไม่อ่อนแอ และถ้าเขาแข็งแกร่ งมาก การต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธทั่วไปขั้น สองจะไม่ใช่ปัญหาเลย
ฟางผิงมองเขาและพูดขึ้นมา “นายฟื้น ฟูความแข็งแกร่งของตัวเองยังไง?”
“กินยา ฉันเอายาปราณและเลือดขั้น หนึ่งมาสามเม็ด ฉันจะหยุดเมื่อยาหมด”
“นายไม่กลัวฉันถ่วงนายเหรอ?”
“ห้องหมายเลข 86 หมายความว่านาย ไม่ค่อยแข็งแกร่งนักตอนประเมิณ แต่ ตอนนี้ฉันบอกไม่ค่อยได้ว่านาย แข็งแกร่งแค่ไหน ฉันเลยยินดีเดิมพัน!”
“ตกลง!”
มันถึงตาฟูชางยิ่งตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็รู้สึกขบขัน “ดูเหมือนนายจะ แข็งแกร่งและมั่นใจกว่าที่ฉันคิดนะ งั้น เราตกลงกันแล้วใช่มั้ย?”
“ถ้าเกิดเราถูกล้อมล่ะ?”
“เกิดขึ้นยาก ทุกคนต่างก็มั่นใจในตัว เอง มันไม่ง่ายที่จะรวมกลุ่มผู้ฝึกยุทธเข้า ด้วยกัน อย่างมากก็มีสามถึงห้าคน เท่านั้นแหละ”
“ถ้ามีกลุ่มแค่นี้ เราจะจัดการพวกเขา
ซะ!”
“เราควรหาอีกสองคนไหม?”
“ไม่จําเป็น สองคนก็เกินพอแล้ว ถ้ามี คนมากขึ้น เราจะแสดงความแข็งแกร่ง
ของเราได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะคนเดียว ทําให้ไม่มีเวลาได้พักฟื้น ไปคนเดียวคง ดีที่สุด”
ฟางผิงไม่ถามอะไรอีก เขาซื้อของต่อ และยิ้มบางๆ “เอาไงเอากัน ฉันหวังว่า นายจะแข็งแกร่งกว่าที่ฉันคิดนะ 70คนก บสองคนมันคงร้ายแรงมาก…”
“นายมั่นใจไม่เบาเลย ฉันชอบว่ะ!” ฟู ชางยิ่งแยกเขี้ยว ฟันขาวปานไข่มุกทํา ให้ฟางผังรู้สึกคันไม้คันมือ