หลังจากเล่นบาสเสร็จก็เกือบจะ 6 โมงแล้ว รอบ ๆ เริ่มมืดอากาศเริ่มเย็น
พอยูกะตื่นเธอก็ขอโทษขอโพยผมยกใหญ่ ผ้าขนหนูที่ใช้เป็นหมอนผมยกให้แล้วบอกว่า “เธอจะเอาไปใช้ก็ได้นะ” แล้วก็กลับบ้าน
พอถึงบ้านผมอาบน้ำล้างเหงื่อ แล้วก็ไปทำงาน เดินจากบ้านไปที่ทำงานประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว
อากาศก็เย็นสบายไม่ร้อนแล้ว เพราะงั้นเดินเอาดีกว่า
“เอาล่ะ ถึงเวลาทำงานแล้ว”
พอถึงที่ทำงาน ผมเห็นป้ายแสงนีออนที่แสดงคำว่า ‘Festa’ พร้อมของตกแต่งมากมายที่มีสีสันฉูดฉาด เห็นกี่ทีผมก็ยังไม่ชินสักที
“เหนื่อยหน่อยนะครับ~”
ผมเดินเข้ามาที่ห้องพัก ผ่านประตูหลังร้าน
“โอ๊ะ! มาซาโตะ กำลังรออยู่เลย”
“ว่างายย มาซาชิน บายดีปะ?”
ในโลกนี้ ผู้ชายที่คุยแบบเป็นกันเองนับว่าหายาก แม้ว่าผมจะคุยกับเพื่อนผู้ชายในมหาลัยเป็นบางครั้ง แต่เรื่องที่คุยก็มีน้อยอยู่ดี
มองไปรอบ ๆ มีผู้ชายผมสีบลอนด์ สีน้ำตาล และสีเงิน ใส่เครื่องประดับวิบวับอย่างสร้อยคอ หรือแหวน
จริง ๆ ผมก็อยากถามนะว่า ‘นี่ใส่แหวนกันกี่วงเนี่ย?’ แต่ก็หักห้ามเอาไว้
มันฉูดฉาดเกินไป เหมือนพวกเขาแต่งกันเกินพอดี
แต่ที่เป็นแบบนั้นก็มีเหตุผลอยู่
ผู้ชายแต่ละคนจะมีป้ายชื่อติดไว้ที่อก
ชื่อที่เขียนคือ ‘ชื่อปลอม’ อย่าง ‘ยูเซย์’ ‘คาสึโตะ’ ‘โชโกะ’
“อะฮะฮะ.. ก็พอไหวน่ะครับ”
ใช่ นี่คือที่ทำงานผม
ไม่ใช่เกิร์ลบาร์ แต่เป็นบอยบาร์ที่ชื่อ ‘Festa’
ผมมาทำงานที่นี่ได้ไง? ง่ายมาก คุณไอกะเป็นผู้จัดการบาร์นี้
มันเป็นส่วนนึงของข้อตกลงที่ว่าเธอจะดูแลการใช้ชีวิตของผม เธอเลยเสนอให้ทำงานที่นี่ ผมเองก็เคยทำงานบริการลูกค้ามาก่อนก็พอรู้ว่าต้องทำยังไง แต่ก็ยังลำบากอยู่ดี
บรรยากาศที่นี่ต่างจากที่ที่ผมเคยทำงานราวฟ้ากับเหว อีกอย่างผมเป็นผู้เยาว์ ผมดื่มเหล้าไม่ได้ ถ้าให้เสิร์ฟยังพอได้ แต่ผมต้องแกล้งทำเป็นเมาเพื่อกลมกลืนไปกับบรรยากาศด้วย
(ผมฝืนทำตัวให้กลมกลืนไม่ไหวจริง ๆ..)
ผมว่าเพื่อนร่วมงานไม่ได้แย่หรอก พวกเขาดูแลผมดีมากซึ่งนับว่าหาได้ยากในโลกนี้ แต่เรื่องบรรยากาศนี่ไม่ไหวจริง ๆ
ต้องมาดูพวกเขานั่งดริ๊งก์จีบลูกค้า จะเห็นอีกกี่รอบก็ยังไม่ชินสักที
ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะมันเป็นงาน ผมเลยเริ่มทำงานที่นี่ แต่ผมไม่ค่อยโดนเลือกหรอก ที่ผมทำได้มีแค่ยิ้มกับพูดคุยแค่นั้นแหละ
ถ้าเทียบกับคนอื่นผมจะดูจางไปเลย รุ่นพี่คนอื่นบริการเก่งกว่าผมเยอะ น้อยคนที่เลือกผม
ก็นับว่าดีต่อผมมาก
“ร้านจะเปิดแล้วนะ มาซาโตะนายยืนที่เคาน์เตอร์นะ”
คุณยูเซย์ อายุมากกว่าผมราว ๆ 4 ปี (และอาจจะเป็นชื่อปลอมด้วย) มอบหมายหน้าที่ให้ผม
จากนั้นผมก็ใส่ชุดทำงาน และเดินไปที่เคาน์เตอร์
ตอนนี้ 6 โมงกว่า ๆ แล้ว
ลูกค้าค่อย ๆ ทยอยเข้ามา ยิ่งเป็นคืนวันศุกร์แบบนี้ลูกค้าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
บทสนทนามากมายดังไปทั่วร้าน
“เห~พี่สาวนี่สุดยอดไปเลยนะ!”
“สมแล้วที่เป็นพี่สาว! เท่ชะมัด!”
…
ทำไงได้ล่ะ ก็มันเป็นงานนิ?
ถึงงั้นก็เถอะ แบบนี้ไม่มากไปหน่อยเหรอ?
จริงอยู่ที่บางคนมาดนิ่งดูสมเป็นชาย(?) แต่ว่า
คนที่พยายามพูดประจบแถมทำท่าทีแบบนั้น..มันโอเคจริง ๆ เหรอ?
ขณะที่ผมทุบน้ำแข็งอยู่หลังเคาน์เตอร์ คุณยูเซย์ก็เดินมาแล้วเรียกผม
“นี่ มาซาโตะ โต๊ะ 3 เลือกนายนะ”
“เอ๊ะ? จริงเหรอครับ?”
“จริงสิ ก็คนเดิมนั่นแหละ นายมีลูกค้าประจำแล้วนะ ดีจังน้า พยายามเข้าล่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
คนเดิมเหรอ ที่นึกออกก็มีอยู่คนเดียวที่เลือกผมประจำ
ไม่สิ หลังจากที่ผมบริการให้เธอเป็นครั้งแรก เธอก็ที่นี่ทุกอาทิตย์เลย
ผมตักน้ำแข็งใส่แก้วหยิบแก้วของตัวเองไปด้วย จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะ 3
ที่โต๊ะ 3 มีคนนั่งคุยกับลูกค้าคนนึงแล้ว แต่อีกคนยังนั่งคนเดียว..รอผมอยู่ เธอนั่งด้วยท่าทีที่เรียบร้อยเกินจำเป็น และเหมือนจะเกร็งตลอดเวลา
“สายัณห์สวัสดิ์ครับ กลับมาอีกแล้วสินะครับ”
ผมวางแก้วบนโต๊ะ และเทวิสกี้ลงในแก้วของเธอ
เธอคนนี้มัดผมหางม้าสีดำ ชุดสูทที่ใส่พร้อมกับผมที่เงางาม ทำให้เธอมีออร่าของสาวผู้มากความสามารถ
สำหรับโลกนี้ คำว่า “สาวผู้มากความสามารถ” อาจจะฟังดูเกินจริงไปหน่อย แต่จากมุมมองผม เธอให้ความรู้สึกแบบนั้น
เธอค่อนข้างสูง หุ่นผอมแต่สักส่วนดูดี แถมมีเสน่ห์ในแบบผู้ใหญ่ด้วย
ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเธอดูมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน
“ชะ-ชั้นว่างพอดีน่ะ”
เชื่อก็ได้ครับ~ แต่ตาลอกแลกแล้วนะ
นี่ถามจริงนะ เธอมีเวลาว่างทุกวันศุกร์ในชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ได้ไงเนี่ย?
คนที่อาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอ ยิ้มยียวนและมองมาที่เรา
“มาซาโตะคุ~ง! เซระน่ะหลงเธอหัวปักหัวปำแล้วนะ ดูแลเธอให้ดี ๆ ด้วยล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“เดี๋ยวเหอะ! คุณมิกิ!”
คนที่ชื่อมิกิน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอ ตอนนี้หน้าแดงก่ำ สงสัยคงเมาแล้วมั้ง
“อะแฮ่ม! เอิ่ม คือว่ารุ่นพี่ชวนให้มาน่ะ ชั้นไม่มีทางเลือกเลยต้องมาด้วย ก็เลยเลือกเธอไงล่ะ เข้าใจใช่มั้ย?”
“อะฮะฮะ.. ขอบคุณนะครับ ทั้งที่ผมทำได้แค่นั่งฟังแท้ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ชอบฟังเรื่องที่คุณเล่านะครับ คุณเซระ”
“…!”
มือของคุณเซระที่ถือแก้วอยู่หยุดนิ่งไป สีหน้าของเธอแดงแจ๋ อาเร๊ะ? ผมพูดอะไรแปลก ๆ เหรอ?
“ธะ-เธอพูดแบบนั้นกับทุกคนเลยสินะ?”
“เอ๊ะ? ไม่นะครับ มีแค่คุณที่เลือกผมนะ คุณเซระ?”
“นะ-นั่นสินะ! ถ้างั้นก็ดีแล้ว ใช่แล้วเป็นแบบนั้นไปตลอดนั่นแหละ”
“…?”
คุณเซระนึกคิดถึงวันมะรืนที่จะถึงในอนาคตจากนั้นก็จิบไฮบอลทีละนิด
(ความประทับใจของผมที่มีต่อเธอนั้นเปลี่ยนไป)
ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก แก้มเธอดูซูบผอม แถมมีรอยคล้ำใต้ตาด้วย ผมเป็นห่วงสุขภาพเธอจริง ๆ แต่เหมือนว่าช่วงนี้จะดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ
ผมอยากให้สาวสวยมีสุขภาพแข็งแรงนะ
“ให้ตายสิ ไอ้เจ้านายเฮงซวยนั่นน่าจะหาย ๆ ไปซะ! ที่บอกว่า ‘เพราะแบบนี้ไงเธอเลยโดนปฏิเสธ’ น่ะ มันหมายความว่ายังไงห๊ะ!? นังโง่เอ้ย!!! เดี๋ยวก็เชือดทิ้งซะหรอก!!”
“ฮะฮะ..”
คุณเซระเวลาดื่มทีไรชอบหัวเสียทุกที ให้ตายสิ เป็นประเภทเหล้าเข้าปาก องค์บากเข้าสิงสินะ หน้าแดงก่ำหมดแล้ว
“ทั้งที่ชั้นไม่ใช่คนที่รับผิดชอบแท้ ๆ แล้วทำไมถึงเอาแต่บ่นชั้นอยู่ได้?? โธ่ -ีแก่เอ้ย!!!”
“คุณเซระครับ คุณไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย”
ขณะที่ผมฟังเรื่องของคุณเซระและคิดตาม เจ้านายคุณเซระนี่แย่เอาเรื่องเลยนะเนี่ย
แม้แต่โลกใบนี้ก็มีเจ้านายแย่ ๆ เหมือนกันสินะ
นี่ก็จะ 2 ชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ที่ผมเริ่มคุยกับคุณเซระ ถ้าเป็นลูกค้าคนอื่น ๆ ประมาณ 30 นาทีก็เปลี่ยนคนนั่งดริ๊งก์แล้ว แต่คุณเซระยังคุยกับผมอยู่เลย ยอมเสียเงินเพื่อ 2 ชั่วโมงขนาดนี้ ทำไมกันล่ะ?
เอาเถอะ ใช่ว่าผมจะโดนคนอื่นเลือกซะหน่อย ทางร้านเองก็คงดีใจเหมือนกัน
อีกอย่างคุณเซระน่ะสวยจะตาย และตอนเธอเมาหน้าจะแดงก่ำ ดูเซ็กซี่มาก เป็นอาหารตาชั้นเลิศเลยล่ะ เพราะงั้นผมไม่ติดหรอกนะ
“เซระ~~! กลับกันเถอะ~~!! จะจีบมาซาโตะคุงอีกนานแค่ไหนเนี่ย! ดูเวลาสิ!”
“อะ-อ๊ะ?! ไม่ได้จีบกันสักหน่อย! ไม่ใช่แบบนั้นนะ! ยัยผอมกะหร่อง…ผอมกะหร่อง..”
“จ้า จ้า ชั้นผอมกะหร่อง ไว้มาใหม่นะ”
ราวกับเธอนึกคำด่าอื่นไม่ออกนอกจากคำว่า ‘ผอมกะหร่อง’
เมื่อไม่นานนี้เธอยังด่าเจ้านายตัวเองสาดเสียเทเสียอยู่เลย แปลกคนแหะ ผมจูงมือคุณเซระและนำทางไปที่ทางเข้าร้าน
เหมือนว่าเพื่อนเธอจะเป็นคนจ่ายบิลให้ คุณเซระเดินเซไปมาผมเลยจับแขนช่วยพยุง
จู่ ๆ คุณเซระก็เอนตัวเข้าหาผมแล้วทิ้งน้ำหนัก
เธอก้มหน้าลง ผมเลยไม่เห็นสีหน้าของเธอ
“คุณเซระครับ?”
“…”
ผมรู้สึกว่าเธอจับที่แขนเสื้อผม จากนั้นก็จับแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
“…ไม่ได้นะ”
“เอ๊ะ?”
“เธอจะให้คนอื่นนอกเหนือจากฉันเลือกเธอไม่ได้นะ”
นั่นมันค่อนข้างเห็นแก่ตัวนะ แต่ถึงเธอจะพูดอะไรไร้เหตุผลออกมา เธอก็ยังน่ารักอยู่ดี
“สบายใจได้ ผมทำงานแค่วันศุกร์ครับ”
“อือ”
“ในวันศุกร์คนที่เลือกผมก็มีแค่คุณเซระคนเดียว”
“อือ”
สีหน้าของคุณเซระยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมกลับรู้สึกว่าเธอยิ้มออกมานิด ๆ
หลังจากนั้นคุณเซระที่เมาแอ๋ก็ได้เพื่อนที่มาด้วยประคองออกไป
เธอจะกลับถึงบ้านมั้ยเนี่ย? ชักจะกังวลแล้วสิ
เอ๊ะเดี๋ยวนะ แบบนี้ก็เหมือนกับมนุษย์เงินเดือนที่เมาจากงานสังสรรค์แล้วสลบเหมือดใกล้ ๆ กับสถานีในโลกเดิมเลยนี่นา?
บ้าบอชะมัด…
“มาซาโตะ…”
“อ๊ะ? โอ้ คุณไอกะ ยินดีต้อนรับกลับนะครับ”
พอผมกลับมาที่ร้านหลังจากที่ดูคุณเซระเดินออกไปแล้ว คุณไอกะก็โผล่มาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ชั้นบอกว่าให้เลิกสุภาพได้แล้ว นี่ มาซาโตะ ระวังตัวด้วยนะโอเคมั้ย?”
“เอ๊ะ?”
สีหน้าของเธอดูจริงจังกว่าปกติ จนทำให้ผมกลัวนิดนึง
“คนแบบนั้นน่ะ อาจจะกลายเป็นสตอล์คเกอร์ หรือแย่สุดอาจจะก่อคดี-่ม-ืนก็ได้นะ”
“เอ๊ะ??? ไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอครับ? ผมอาจจะเป็นแค่คนโปรดในบาร์อะไรทำนองนี้..”
ใช่ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโปรด ก็คนที่เลือกผมมีแค่คุณเซระนี่นา แถมมาทุกอาทิตย์ อยู่ตั้ง 2 ชั่วโมงด้วย
แต่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนลากเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าเลยนะ
“บื้อชะมัด อ่อนต่อโลกเกินไปแล้วนะ ระวังไว้หน่อยก็ดีถ้ามีอะไรแปลก ๆ ให้โทรมานะ สัญญามั้ย?”
“คะ-ครับ…”
จำเป็นด้วยเหรอ? ผมเคยได้ยินว่าคุณเซระเคยมีแฟน เธอเองก็ดูไม่ใช่คนแบบนั้นเลยนะ
(คุณไอกะ เป็นห่วงกันเกินไปแล้วนะครับ)
ผมก็รู้สึกขอบคุณคุณไอกะอยู่หรอก และผมเองก็รู้สึกผูกพันกับเธอด้วย แต่แบบนี้ไม่ห่วงเกินไปหน่อยเหรอ?
ราว ๆ ตี 1
“ฟิ้ว…”
หลังจากที่ผมทำงานเสร็จ ผมตัดสินใจว่าจะเดินกลับบ้าน ที่นอกร้านผมเห็นคนเมานอนสลบเต็มไปหมด
(สมกับเป็นวันศุกร์เลยแหะ..)
ผมเดินผ่านพวกคนเมา จากนั้นก็เดินกลับบ้าน
บ้านผมอยู่ใกล้มาก แค่เลยสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้กับสถานีที่ติดกับบาร์ก็ถึงแล้ว คุณไอกะเป็นคนเลือกให้เพราะเห็นว่ามันใกล้ที่ทำงาน
“พรุ่งนี้..ชั้นหยุด งั้นหลับถึงบ่ายเลยละกัน”
เป็นอีกวันที่เกิดเรื่องหลาย ๆ อย่างขึ้น ตอนนี้เหนื่อยมาก คืนนี้คงหลับสบาย
ผมดูมือถือเช็คให้แน่ใจว่าพรุ่งนี้ไม่มีแผนอะไรจริง ๆ และปิดหน้าจอ จากนั้นก็ถึงอพาร์ทเม้นท์
ผมหยิบกระเป๋าใส่กุญแจขึ้นมา เตรียมจะหยิบกุญแจ
(…?)
ในตอนนั้นเอง ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกมองอยู่ ผมรีบหันไปดูรอบ ๆ แต่ก็ไม่มีใคร
“คิดไปเองสินะ”
เพราะความเหนื่อยล่ะมั้ง รีบเข้านอนดีกว่า
ผมเปิดประตูจากนั้นก็ล็อก
เพื่อความแน่ใจผมคล้องโซ่ไว้ด้วย อาบน้ำเสร็จก็เข้านอน
ตอนที่ผมอาบน้ำ ผมรู้สึกว่าถูกมองด้วย ไม่สบายใจเลย แต่พอหัวถึงหมอน ผมก็ลืมเรื่องนั้นไปอย่างรวดเร็ว
ผมเข้านอนโดยที่ไม่รู้เลยว่า ผมควรใส่ใจความรู้สึกนั่นให้มากกว่านี้