“นี่ ลูน่า เธอไม่คิดอยากจะเป็นอิสระบ้างเหรอ”
ฉันถามหญิงสาวนัยน์ตาสีแดง ชีวิตของเธอโหดร้ายเกินไป
หากเธอบอกว่าต้องการเป็นอิสระ ฉันก็พร้อมจะช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
“อิสระคืออะไร”
แต่ดูเหมือนลูน่าจะไม่สนใจมากนัก
“ตัวเธอในตอนนี้เป็นคนที่ถูกซื้อมา แต่ว่าประเทศนี้ไม่ได้ยอมรับการค้ามนุษย์ ถ้าเธอฟ้องร้อง ความสัมพันธ์ที่เธอเป็นรองที่เกิดขึ้นจากเงินก็อาจสิ้นสุดลงได้นะ”
“แบบนั้นมันไม่แปลกเหรอ คิดดูสิ สั่งห้ามเรื่องที่ประเทศอื่นยอมรับแต่กลับห้ามทำแค่ในประเทศนี้ แล้วบอกว่า ‘ผิดกฎหมายของที่นี่ ฉะนั้นสัญญาก็เป็นโมฆะ’ แบบนี้ใครจะไปยอมรับได้ คนที่จ่ายเงินซื้อไปก็เสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวสิ“
ลูน่าพูดราวกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่น
“เดิมทีในถิ่นกำเนิดของพระเจ้า มนุษย์ควรจะเท่าเทียมกัน จะซื้อหรือขายมนุษย์ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ผิด การกระทำนั้นมันเป็นความผิดในตัวของมันเองอยู่แล้ว ดังนั้นถึงจะเสียเปรียบก็ช่วยไม่ได้”
“ผิดแล้วละ มนุษย์ไม่ได้เท่าเทียมกัน แค่ตอนเกิดมาก็ไม่เท่าเทียมกันแล้ว คนที่เกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์อย่างนายกับคนที่เกิดมาในครอบครัวสามัญชนที่แม้แต่ชาก็ไม่มีปัญญาจะซื้อกินมันต่างกันลิบลับ
ฉันไม่ได้จะโทษอะไรนายหรอกนะ แค่จะบอกว่าโลกเรามันไม่ได้สร้างจากสิ่งสวยงาม”
ลูน่าค่อย ๆ จิบชาพลางดื่มด่ำกับกลิ่นหอม
ทั้งที่อายุพอ ๆ กับฉัน แต่กลับมองโลกทะลุปรุโปร่ง
“ถ้าไม่ตั้งเป้าไปที่สิ่งสวยงามนั้น มันก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น คนเราควรแสวงหาสิ่งที่เป็นอุดมคติ แล้วสักวันหนึ่งประเทศอื่นก็จะห้ามค้ามนุษย์เหมือนกับประเทศนี้เอง”
“อืม รัถนี่จริงจังกว่าที่คิดแฮะ ตอนแรกที่เจอ นึกว่าจะเป็นคนหยิ่งยโสกว่านี้ซะอีก”
ในที่สุดลูน่าก็ยิ้มให้ฉัน
มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับฉัน ผู้ที่เคยคิดว่ามันเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ทุกคนจะยิ้มให้
“แล้วคิดว่าไงบ้าง เธอไม่อยากเป็นอิสระเหรอ”
“เอาไงดีล่ะ บอกตามตรง ฉันก็ไม่ค่อยรู้เท่าไร ถึงจะเป็นอิสระไป ฉันก็ไม่มีบ้านให้กลับอยู่ดี แล้วฉันก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่ได้แสดงให้เห็นว่าฉันมีค่ามากกว่าเงินที่อาจารย์จ่ายไปด้วย ถ้ามองจากมุมของนาย มันอาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ก็ได้ อีกอย่าง ฉันไม่ได้เกลียดการเรียนเวทมนตร์หรอกนะ เพราะสุดท้ายฉันก็รู้ว่ามันเหมาะกับฉัน”
“แต่เวทมนตร์ที่เธอเรียนอยู่มัน……”
พอกำลังจะพูด ฉันก็รู้สึกว่ามีคนมาแตะที่หลังเบา ๆ คิเลียนเตือนสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดอย่างอ้อม ๆ
“เป็นอะไรไป เวทมนตร์ที่ฉันเรียนอยู่มันทำไม”
“เปล่า แค่สงสัยว่าอาจารย์ที่เธอพูดถึงสอนเวทมนตร์แบบไหนน่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนี่ สอนเวทมนตร์ธรรมดาไง ธรรมดา อย่างจุดไฟ เสกน้ำ อะไรแบบนั้น”
ลูน่าตั้งใจเน้นย้ำว่ามันธรรมดา
“แล้วเดิมที ปกติอาจารย์ของเธอทำอะไรล่ะ ถ้าให้ลูกศิษย์ทำงานบ้าน ซื้อของ ไปจนถึงปรุงยาให้ เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะสิ?”
“ก็วิจัยเวทมนตร์ไง ผู้ใช้เวทเขาก็เป็นแบบนี้กันไม่ใช่เหรอ”
แน่นอนว่าการที่ผู้ใช้เวทวิจัยเวทมนตร์มันเป็นเรื่องปกติ แต่การที่ไม่ยอมออกจากบ้านและหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยทั้งวันนั้น มันผิดปกติ
ยิ่งไปกว่านั้น คือยังไม่มีใครเคยเห็นอาจารย์ที่ว่านั่นเลยนอกจากลูน่า
“……ฉันอยากเจออาจารย์คนนั้นสักครั้งน่ะ”
“โอ๊ย ไม่ได้หรอก ไม่ได้”
ลูน่าปฏิเสธทันควัน
“ก็คนในเมืองนี้ไม่มีใครรู้จักฉันสักคน เพราะเครื่องรางอันนี้ไง เกิดเขารู้ขึ้นมาว่า ‘ที่จริงฉันมีคนรู้จัก 2-3 คนแล้ว’ ฉันก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะตอบสนองยังไง อย่างน้อยที่สุดฉันก็คงถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน เพราะงั้นฉันเลยบอกอาจารย์ไม่ได้”
“เธอสนิทกับอาจารย์หรือเปล่า”
ฉันถามสิ่งที่คาใจมาตลอด
“ฉันคิดว่าสนิทนะ ก็อยู่ด้วยกันมาเป็น 10 ปีนี่เนอะ เป็นเหมือนครอบครัวเลยละ แต่ก็นะ ฉันไม่รู้หรอกว่าครอบครัวจริง ๆ มันเป็นยังไง”
“งั้นเหรอ ถ้าเธอพูดอย่างนั้น มันก็คงเป็นอย่างนั้น”
ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี ฉันไม่รู้ว่าระหว่างเด็กสาวที่ไม่รู้จักครอบครัวกับนักเวทที่ซื้อเธอมาด้วยเงินนั้น มีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร แต่ใบหน้าของลูน่าไม่มีความหมองเศร้าเลย
──
หลังออกจากร้าน พวกเราก็ยืนส่งลูน่าที่จะกลับบ้าน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ร้านยา
เป็นร้านที่ลูน่านำยาไปส่งเป็นประจำ
ถึงร้านจะปิดอยู่ แต่พวกเราก็เปิดประตูเข้าไปโดยไม่สนใจ
“แนะนำตัวเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ ท่านรัถ”
ลูเซียน่าที่อยู่ในร้านถามพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
คนที่บอกให้ฉันบอกชื่อตัวเองให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อนจะคุยกับลูน่าก็คือยัยนี่นี่แหละ
“.…..แนะนำแล้ว”
“แล้วลูน่าจังยอมคุยดีด้วยไหมคะ”
“.…..ก็ดี”
ถึงจะเจ็บใจที่ต้องยอมรับไปตรง ๆ แต่การยอมรับความผิดพลาดของตนก็เป็นเรื่องที่ควรทำ
ฉันสู้ลูเซียน่าไม่ได้ เธอเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เกิดในฐานะสาวใช้ส่วนตัว
ที่ฉันสนใจลูน่า ก็เพราะได้ยินรายงานมาจากลูเซียน่า
เธอบอกว่าผู้ใช้เวทที่อยู่ระหว่างการสืบหามีลูกศิษย์เป็นผู้หญิงอายุไล่เลี่ยกับฉัน เธอว่าเป็นเด็กที่น่าสนใจและไม่เหมือนกับผู้หญิงที่อยู่รอบตัวฉัน
จากนั้นก็คิดว่าจะไปเจอเธอดูสักครั้ง จึงได้รับแหวนที่สามารถลบล้างอิทธิพลของเวทมนตร์ได้มาจากลูเซียน่า เหมือนว่าถ้าไม่สวมแหวนวงนั้น ก็จะจำหญิงสาวไม่ได้เพราะได้รับอิทธิพลจากเครื่องรางเวทมนตร์
แล้วพอลองไปเจอ ฉันก็กลับตกอยู่ในสภาพที่ถูกสาดด้วยถ้อยคำหยาบคายซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต
มันเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างสะเทือนใจทีเดียว
ฉันเลยปรึกษาเรื่องนี้กับลูเซียน่า แต่กลับโดนเทศนาว่า ‘เพราะท่านรัถมักจะหยอกล้อกับพวกผู้หญิงที่หาดีไม่ได้ ก็เลยเจอกับเรื่องแบบนั้นไงคะ’
“แล้วประทับใจตรงไหนบ้างคะ”
“หน้าตาดี หัวก็ดี นิสัยก็……หยาบคายแต่อาจจะเรียกได้ว่าดี”
“ถือว่าได้คะแนนสูงสำหรับท่านรัถเลยนะคะเนี่ย”
ลูเซียน่าหัวเราะคิกคัก
“พี่ครับ ผมก็คิดว่าท่านลูน่าเป็นคนดีเหมือนกันครับ”
คิเลียนที่ยืนรออยู่ด้านหลังพูดขึ้น คิเลียนเป็นน้องชายของลูเซียน่า
“ถ้าคิเลียนพูดแบบนั้นก็คงไม่ผิดแน่”
ลูเซียน่ายิ้มให้คิเลียนอย่างอ่อนโยน ยัยนี่ใจดีกับน้องชายมาก
“ฉันได้ดื่มชาและคุยกับลูน่าแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องอาจารย์ของเธอมากแค่ไหน เธอเน้นย้ำว่าเวทมนตร์ที่เรียนอยู่เป็นเวทธรรมดา แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าแท้จริงเป็นยังไง”
“ลูน่าจังไม่ค่อยคุยเรื่องพวกนั้นเท่าไร แต่ถ้าเวทมนตร์ที่เธอเรียนอยู่เป็นเวทธรรมดาจริง ๆ ก็ไม่เห็นจะต้องปิดบังเลยค่ะ ดังนั้น สิ่งที่เธอกำลังเรียนอยู่ก็คงหนีไม่พ้น……”
“ศาสตร์ความตายสินะ”
ศาสตร์ความตายเป็นเวทมนตร์ที่ใช้ผู้ล่วงลับหรือวิญญาณเป็นสื่อกลาง ว่ากันว่าเดิมทีเป็นเวทมนตร์ที่ใช้ล่วงรู้ข้อมูลในอดีตหรืออนาคตผ่านผู้ตาย แต่ต่อมาก็กลายเป็นสิ่งที่ใช้ควบคุมผู้ที่ตายแล้ว และหากเชี่ยวชาญก็จะสามารถเอาชนะความตายนั้นได้
ทว่ามันมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีที่จะเอาชนะ
คือมันทำให้ผู้ใช้กลายเป็นผีดูดเลือดเสียเอง ผีดูดเลือดคือสิ่งที่เปรียบเสมือนปิศาจที่ชั่วร้ายที่สุด
นานมาแล้ว เหล่าชาวอาซูราถูกบรรพบุรุษของเราที่ก่อกบฏไล่ต้อนเสียจนมุมจนเกือบจะล่มสลาย
แต่ทว่า เหล่าผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ความตายในหมู่ชาวอาซูราได้กลายเป็นราชาอมตะที่เหนือกว่าปิศาจดูดเลือดและต่อสู้กับบรรพบุรุษของเรา จนนำมาซึ่งความเสียหายจากการทำลายล้าง
ดังนั้นในตำนานจึงกล่าวว่าผีดูดเลือดจะมีดวงตาสีแดง และเป็นสาเหตุให้ชาวอาซูราทั้งหลายถูกขับไล่โดยใช้กำลัง
หลังจากนั้น ตัวเวทมนตร์ก็ถือเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ต่อมาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง จนปัจจุบันได้กลายเป็นแนวโน้มที่สังคมให้การยอมรับเวทมนตร์แล้ว ทว่าในความเป็นจริง แม้แต่ตอนนี้ศาสตร์ความตายก็ยังคงเป็นสิ่งต้องห้าม เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีแค่ในหมู่ผู้ที่ศึกษาเวทมนตร์เท่านั้น เพราะหากเรื่องนี้แพร่ออกไปในหมู่ประชาชนคนธรรมดา เวทมนตร์ทั้งหมดก็อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งอันตราย
“ยังหาหลักฐานพิสูจน์ว่าเธอเป็นผู้ใช้ศาสตร์ความตายไม่ได้งั้นเหรอ”
“รอบคฤหาสน์มีเขตอาคมที่แข็งแกร่งถูกกางไว้ค่ะ หากทะเล่อทะล่าเข้าไป อาจโดนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของทางนี้ก็เป็นได้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่ามีกับดักอะไรซ่อนอยู่ทั้งในและนอกคฤหาสน์ จึงคิดว่าการเข้าไปก็ทำได้ยากเช่นกันค่ะ”
“.…..เธอคิดว่าทำไมถึงลูน่าให้เป็นลูกศิษย์”
“หากนักเวทที่อยู่คฤหาสน์หลังนั้นเป็นผู้ใช้ศาสตร์ความตาย คิดว่าคงหนีไม่พ้นการทำเพื่อพิธีกรรมของราชาอมตะค่ะ”
ผีดูดเลือดธรรมดากับราชาอมตะซึ่งเหนือกว่ามากนั้นต่างกันลิบลับ
ผีดูดเลือดจะไม่ถูกกับแสงแดดและอาวุธเงิน อีกทั้งยังตายได้หากถูกแทงทะลุหัวใจ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอมตะโดยสมบูรณ์
ในทางกลับกัน ราชาอมตะไม่มีสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะไม่ได้ เพียงแต่ไม่มีจุดอ่อนที่ชัดเจน
หากเป็นชาวอาซูรา ถ้ากลายเป็นผีดูดเลือด ก็เหมือนว่าจะสามารถไปถึงขั้นราชาอมตะได้ แต่หากผู้ที่ไม่ใช่ชาวอาซูราต้องการจะเป็นราชาอมตะแล้วละก็ ว่ากันว่าหลังจากกลายเป็นผีดูดเลือดแล้ว ก็จำเป็นต้องดูดเลือดชาวอาซูราและช่วงชิงชีวิตนั้น
“พิธีกรรมนั้นจะเกิดขึ้นตอนขึ้น เธอเล่าว่าอยู่ด้วยกันมา 10 ปีแล้ว”
“บางที อาจเป็นเพราะชายที่ชื่อคาน อาจารย์ของเธอ ยังไม่ไปถึงขั้นนั้น หรือจำเป็นต้องให้ชาวอาซูราที่จะเป็นเครื่องสังเวยมีพลังเวทที่เหมาะสมก่อน หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองอย่าง”
ลูเซียน่าเป็นนักเวทที่เก่งกาจเช่นกัน ด้วยเหตุนั้นฉันจึงให้เธอสืบเรื่องนี้
“ที่ลูน่าเป็นลูกศิษย์ ก็เพื่อเพิ่มพลังเวทที่จำเป็นต่อการสังเวยงั้นเหรอ”
“เนื่องจากเป็นพิธีกรรมที่ทำขึ้นเพื่ออุดช่องว่างความต่างระหว่างพลังเวทของเราและชาวอาซูรา ดังนั้นก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละค่ะ”
ลูเซียน่าทำหน้าไม่พอใจ
“พิธีกรรมนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่”
“เนื่องจากจุดประสงค์คือการเป็นอมตะ ก็คงจะไม่รีบร้อนค่ะ จากตัวอย่างที่ผ่านมา เหมือนว่าส่วนมากจะเริ่มพิธีกรรมตอนใกล้ตายน่ะค่ะ.…..”
ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย จากคำบอกเล่าของลูน่า คานยังไม่แก่ขนาดนั้น
แม้คานจะเป็นผู้ใช้ศาสตร์ความตาย แต่อีกนานกว่าพิธีกรรมจะถูกจัดขึ้น