ฉันพบหมอนั่นครั้งแรกตอนที่กำลังจะกลับจากการซื้อของ
ผมทองตาฟ้า รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาก็ไม่ได้แย่ แต่มีสีหน้ามั่นใจในตัวเองจนน่าหมั่นไส้
ยืนขวางอยู่กลางถนนอย่างวางท่า ข้าง ๆ มีเด็กหนุ่มผมดำที่ดูอ่อนกว่าเล็กน้อยกำลังยืนรออย่างรู้สึกผิด ทั้งคู่แต่งตัวดูดี
คนผมทองที่ดูวางท่าตรงเข้ามาหาฉันแล้วพูดว่า
“เธอที่อยู่ตรงนั้น มาคุยกันหน่อยสิ”
……แย่ที่สุดเลย ขนาดคนลักพาตัวยังพูดจาดีกว่านี้อีก
ฉันเลยตัดสินใจทำเมิน
ฉันเดินเบี่ยงไปข้างทางแล้วตั้งใจเดินผ่านชายโง่เขลาคนนั้นไป
ทันใดนั้น
“ช้าก่อน! นี่ฉันพูดกับเธออยู่นะ หูไม่ดีหรือไง”
เขาพูดพร้อมกับจับไหล่ฉัน
สัมผัสร่างกายของผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้ มันยิ่งกว่าเสียมารยาทซะอีก
ถ้าพาโครงกระดูกมาด้วยละก็ ฉันเปลี่ยนหมอนั่นให้กลายเป็นวัตถุดิบของศาสตร์ความตายแน่
แต่เอาเถอะ ด้วยความที่ฉันเป็นสุภาพสตรี ฉันเลยตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“หูฉันไม่ได้ไม่ดี หัวนายต่างหากที่ไม่ดี ไหน ๆ ก็พูดแล้ว ขอพูดต่อเลยละกันว่าปากกับมารยาทของนายก็ไม่ดี ฉันอุตส่าห์ใจดีทำเพิกเฉย แต่กลับไม่เห็นถึงความเมตตาของฉันแบบนี้ กลับไปเกิดใหม่เป็นแมลงสาบเถอะ แล้วก็ช่วยเอามือออกไปด้วยได้ไหม ได้รับการอบรมสั่งสอนมายังไง ถึงได้กล้าแตะตัวหญิงสาวบริสุทธิ์ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ขนาดเด็ก 3 ขวบยังรู้จักระมัดระวังมากกว่านี้เลย ยิ่งฉันถูกนายสัมผัสนานเท่าไร คุณค่าของฉันก็ยิ่งลดลงเท่านั้น เพราะงั้นช่วยเอามือออกไปเดี๋ยวนี้เลยจะได้ไหม”
พอฉันพูดแบบนั้น หมอนั่นก็หน้าเหวอทำตัวไม่ถูก
เด็กหนุ่มผมดำค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากไหล่ของฉันอย่างช้า ๆ แล้วพูดว่า
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ”
จากนั้นฉันก็พยายามจะเดินจากไป แต่หมอนั่นก็กลับตั้งสติขึ้นมาได้ทันควัน
“ฉันบอกให้หยุดไง! หรือว่าคำพูดดูหมิ่นเมื่อกี้เธอหมายถึงฉัน”
“หา นี่เห็นฉันว่าพูดคนเดียวหรือไง ฉันก็ต้องพูดกับนายอยู่แล้วสิ หรือว่าไม่เข้าใจคำพูดอันชาญฉลาดของฉัน งั้นฉันจะเมตตาพูดอย่างที่คนเบาปัญญาก็เข้าใจได้ให้ฟังก็แล้วกันนะ——ช่วยไสหัวไปที่อื่นได้ไหม”
ฉันไม่ชอบคนมั่นหน้าเอาซะเลย เพราะส่วนใหญ่มีแต่พวกที่เชิดหน้าภูมิใจในชาติกำเนิดของตัวเอง คนแบบนี้มักจะทำอะไรเองไม่เป็น
ลูเซียน่าก็เคยพูดอยู่เหมือนกันว่า
“ผู้ชายที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ส่วนใหญ่จะไม่มีอะไรดี”
เห็นด้วยอย่างที่สุด
“เดี๋ยว ๆๆ ฉันไปทำอะไรให้ ก็แค่พูดด้วยเฉย ๆ ไม่ใช่เหรอ ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าผู้หญิงที่ฉันพูดด้วย ทุกคนเขาก็ต่างดีใจกันทั้งนั้น”
ชักจะเริ่มสงสารซะแล้วสิ คงเป็นคุณชายจากตระกูลขุนนางสักตระกูลสินะ
ฉันเลยช่วยสงเคราะห์สอนให้
“ใครเขาจะไปดีใจที่นายมาคุยด้วยล่ะ คิดดูสักนิดสิ ตัวนายมีค่าอะไรด้วยเหรอ คงมีแค่พ่อแม่ที่ยิ่งใหญ่และร่ำรวยใช่ไหมล่ะ ผู้หญิงที่ดีใจที่นายคุยด้วยเขาก็แค่ชอบฐานะกับเงินของพ่อแม่นายเท่านั้นแหละ ส่วนตัวนายน่ะ ไม่มีค่าแม้แต่ 1 เหรียญทองแดงด้วยซ้ำ เด็กผู้หญิงที่ไหนจะดีใจที่ได้คุยกับ 1 เหรียญทองแดงล่ะ”
พอพูดแบบนั้น หมอนั่นก็จังงังอ้าปากค้าง
ส่วนหนุ่มผมดำก็ตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูก น่าเอ็นดูอยู่หน่อย ๆ ใช่ไหมล่ะ
แล้วฉันก็ใช้โอกาสนี้กลับไป เพราะคิดว่าถึงยังไงพรุ่งนี้ เมื่อผลของเครื่องรางหมดลง ก็คงลืมเรื่องวันนี้ไปอยู่ดี
แต่แล้วในครั้งถัดไปที่ฉันออกไปซื้อของ
หลังจากไปส่งยาที่ร้านยา ฉันก็เล่าเรื่องตาบ้าผมทองให้ลูเซียน่าฟังประมาณชั่วโมงนิด ๆ ลูเซียน่าหัวเราะคิกคักและรับฟังอย่างสนุกสนาน
จากนั้นฉันก็ซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วพอกำลังจะกลับคฤหาสน์ ก็เจอตาบ้าคนนั้นอีก
“……ฉันชื่อรัถ”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจหน่อย ๆ
“ผมชื่อคิเลียนครับ”
เด็กหนุ่มผมดำที่อยู่ข้าง ๆ ก็แนะนำตัวด้วยเหมือนกัน
สงสัยรัถคงจะโดนแม่ดุมา
ว่าเวลาพูดกับคนอื่นต้องแนะนำตัวก่อน ก็มันเป็นเรื่องพื้นฐานนี่เนอะ
แต่ ฉันแปลกใจว่าทำไมเครื่องรางถึงไม่ได้ผล
ถ้าเป็นคนเดียวเหมือนลูเซียน่า ก็จะคิดว่า “บังเอิญละมั้ง” แต่สองคนพร้อมกัน มันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทั้งคู่ห้อยดาบไว้ที่เอว แถมไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้ใช้เวทด้วย
เลยคิดว่าเครื่องรางหมดฤทธิ์แล้วหรือเปล่า
ฉันเผลอหยิบเครื่องรางที่คล้องคอขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์
“อ้อ เครื่องรางนั่นมันไม่ได้ผลกับพวกเรา ไม่ต้องกังวล มันไม่ได้พังหรืออะไร”
รัถพูดอย่างไม่พอใจ
การที่ “เครื่องรางไม่ได้ผล” หมายความว่ามีการใช้วิธีบางอย่างเพื่อป้องกันการปิดกั้นการรับรู้ ซึ่งก็เข้าใจได้อยู่
ถ้ารู้เคล็ดลับก็ทำได้ไม่ยากหรอก
“หืม อย่างนั้นหรอกเหรอ ฉันชื่อลูน่า”
เขาบอกชื่อฉันก่อน ฉันก็เลยบอกชื่อให้เขารู้ มันเป็นมารยาทด้วยแหละ
“คือ แบบว่า ถ้าไม่รังเกียจ ไปดื่มชาด้วยกันไหม เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
รัถถามอย่างประหม่า
แต่ว่ามันเป็นชาเลยนะ ชาน่ะชา ท่านอัศวินก็เอามาเสิร์ฟให้ฉันเหมือนกัน มันแพงพอตัวเลยใช่ไหมล่ะ
ไม่แพง? อย่า ๆ ๆ ไม่ต้องมาพูดเลย มันแพงจะตาย สำหรับสามัญชนคนธรรมดาอย่างฉันน่ะนะ
ฉันเลยคิดว่าถ้าจะเลี้ยงชาให้ ฉันไปด้วยก็ได้
ฉันง่ายกว่าที่คิดงั้นเหรอ
ไม่ใช่อย่างนั้นนะ! แต่เด็กผู้หญิงอ่อนแอกับของแบบนี้ต่างหากล่ะ
……โดยเฉพาะฉันที่ไม่เคยกินอาหารหรือเครื่องดื่มข้างนอกมาก่อน เลยอยากลองทำแบบนั้นดูสักครั้ง
“อย่างนั้นก็ได้ ฉันอยากลองไปที่ร้านนั้นน่ะ”
ฉันชี้ไปยังร้านบนถนนสายหลักที่อยากลองเข้ามานานแล้ว เป็นร้านดังที่ได้ยินมาจากลูเซียน่า
“อืม ไม่มีปัญหา”
รัถตอบอย่างโล่งใจแต่ก็ดูโอหัง จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้าน
ฉันตามเขาเข้าไป แล้วคิเลียนก็ตามมาเป็นคนสุดท้าย
ร้านสวยงามสมกับที่ลูเซียน่าแนะนำเลย
การตกแต่งภายในดูมีรสนิยม เก้าอี้ก็นั่งสบาย พนักงานก็ให้การต้อนรับอย่างนอบน้อม รู้สึกเหมือนเป็นขุนนางอยู่นิด ๆ
ฉันมีความสุขมาก จากนั้นก็สั่งพวกชากับขนมและอะไรอีกหลายอย่าง
ถึงจะเป็นของที่ราคาค่อนข้างสูง แต่รัถก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด
รัถนั่งตรงข้ามกับฉัน ส่วนคิเลียนยืนอยู่ข้างหลังเขา
สองคนนั้นคงชินแล้วมั้ง เลยสั่งแค่ชาไม่ได้สั่งขนม
“สรุปแล้ว มีธุระอะไรกับฉัน”
ฉันเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนเพราะเขาเลี้ยงชาฉัน
“อะ เอ่อ ฉันได้ยินมาว่ามีผู้ใช้เวทที่เป็นผู้หญิง ฉันสนใจว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหน ก็เลยมาดูน่ะ”
รู้สึกรัถยังเกร็งอยู่หน่อย ๆ ก็ถูกฉันต่อว่าไปค่อนข้างเยอะเลยนี่เนอะ
“สนใจ? เด็กผู้หญิงที่เป็นผู้ใช้เวทมันแปลกเหรอ”
“แปลกสิ ยิ่งเป็นชาวอาซูราที่มีดวงตาสีแดงแล้วด้วย ถ้าไม่สนใจสิแปลก”
ดูเหมือนชาวอาซูราจะหายากกว่าที่ฉันคิด นึกว่ามีเครื่องรางแล้วจะไม่ดูสะดุดตา แต่กลายเป็นว่ามีข่าวลือจากไหนสักที่
“อย่างนั้นเหรอ แต่ฉันไม่ได้เก่งกาจอะไรเลยนะ ฉันมีพลังเวทมากกว่าคนอื่น แต่กว่าจะเชี่ยวชาญก็ต้องใช้เวลา”
“นานแค่ไหน”
“ก็ต้องมากกว่า 10 ปีสิ”
“อะไรนะ นานขนาดนั้นเลยเหรอ!”
รัถกับคิเลียนต่างก็ตกใจกันทั้งคู่ เหมือนพวกเขาคิดว่าชาวอาซูราสามารถใช้เวทมนตร์เทพ ๆ ได้ง่ายกว่านี้
“การจะเชี่ยวชาญอะไรสักอย่างมันก็ต้องใช้เวลา”
ฉันพูดส่งเดชไป
แต่พวกรัถกลับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจัง
“แล้วอาจารย์ของเธอเป็นคนยังไง”
เหมือนรัถจะสนใจอาจารย์ของฉันด้วย
……ฉันเพิ่งคิดได้เมื่อกี้เลย ว่ารัถกับท่านอัศวินถามอะไรคล้าย ๆ เลยแฮะ
แต่ช่างเถอะ
จากนั้นฉันก็เล่าเรื่องราวชีวิตของฉันให้ฟังเป็นการขอบคุณที่เขาเลี้ยงของแพงให้
ถือเป็นบริการเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ฉันก็ปิดเรื่องศาสตร์ความตายเอาไว้นะ
เพราะเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับศพมันดูไม่ดีน่ะ
พอเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแล้ว รัถกับคิเลียนก็ทำหน้าเครียดสุด ๆ
“เป็นชีวิตที่น่าเศร้าอะไรเช่นนี้ โตมากับนายหน้าค้ามนุษย์โดยที่ไม่รู้จักหน้าพ่อแม่ จากนั้นก็ถูกพวกค้ามนุษย์ขายให้กับผู้ใช้เวท แล้วต้องมาจำใจเรียนเวทมนตร์อีก มันช่าง……”
คิเลียนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของรัถ เป็นเดือดเป็นร้อนกับชีวิตของฉันเฉยเลย
ฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย