ในที่สุดการฝึกของฉันในฐานะลูกศิษย์ของผู้ใช้เวทก็เริ่มต้นขึ้นในคฤหาสน์ที่ได้รับการทำความสะอาดอย่างหมดจด
แน่นอนว่าฉันยังทำงานบ้านโดยไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะฉันเป็นเด็กที่มีความสามารถยังไงล่ะ
อย่างแรก เริ่มจากการจำอักษรโบราณเพื่อใช้อ่านหนังสือเวทมนตร์ จากนั้นก็สามารถอ่านหนังสือเวทมนตร์และทำความเข้าใจกับเนื้อหาได้ และสามารถร่ายเวทมนตร์ได้ในที่สุด แต่กว่าจะได้ก็ใช้เวลานานสุด ๆ
กว่าฉันจะร่ายเวทมนตร์ได้เป็นครั้งแรก รู้สึกจะปาไป 3 ปี
ฉันอ่านออกเขียนได้อยู่หรอก แต่ฉันไม่รู้จักอักษรโบราณเลยสักนิด
หนังสือเวทมนตร์ก็ยาก กว่าจะใช้เวทมนตร์ได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ทำได้ใน 3 ปี เก่งป่ะล่ะ
ขนาดอาจารย์ยังชมว่า “มีพรสวรรค์” เลย
อาจารย์คนนั้นที่ไม่พูดไม่จา ไม่ว่าฉันจะทำอาหารอร่อยแค่ไหนก็เอาแต่กินเงียบ ๆ ชมฉันด้วยละ
นี่เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก
แต่ถึงจะพยายามขนาดนั้น คาถาที่ฉันร่ายได้ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร
อย่างการทำให้ไฟติดแทนการก่อไฟ หรือเสกให้น้ำออกมาได้หนึ่งแก้ว อะไรประมาณนั้น
ต้องใช้เวลานานจึงจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
กว่าจะใช้เวทมนตร์ขั้นสูงได้ ต้องใช้เวลา 10 ปี 20 ปีเลยละ
อาจารย์บอกว่าเขาเริ่มเรียนเวทมนตร์ตั้งแต่อายุราว ๆ กับฉัน เพราะงั้นน่าจะมีประสบการณ์ประมาณ 30 ปีได้
จากนั้นฉันก็ใช้เวทมนตร์ขั้นสูงได้ในที่สุด
ลุ้นจนเหนื่อยเลยใช่ไหมล่ะ
การเป็นผู้ใช้เวทก็เหมือนกับการใช้เวลาทั้งชีวิตไล่ตามความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
ดังนั้นไม่ว่าฉันจะชอบหรือไม่ ฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปตามเส้นทางนั้น
ก็มันไม่มีทางเลือกอะนะ เพราะเขาจ่ายเงินก้อนโตไปแล้ว
ทำไมอาจารย์ถึงจ่ายเงินก้อนโตเพื่อซื้อฉันน่ะเหรอ
ผู้ใช้เวทจะรับลูกศิษย์มาเพื่อสืบทอดยังไงล่ะ เพราะรู้ว่าแม้มนุษย์จะใช้เวลาชั่วชีวิต ก็จะไปถึงได้แค่จุดหนึ่ง จึงต้องรับลูกศิษย์เพื่อให้พวกเขาไปต่อน่ะ
ไม่รู้เหรอ ผู้ใช้เวทก็เหมือนจะเป็นแบบนี้กันทุกคน
รู้สึกว่าส่วนใหญ่เขาจะให้ลูกของตัวเองสืบทอด แต่เหมือนจะมีอยู่บ้างที่คนขวางโลกผู้ไม่ได้แต่งงานกับใครอย่างอาจารย์จะรับเด็กที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์มาเป็นลูกบุญธรรมแล้วให้เดินตามรอยน่ะ
เพราะงั้น ฉันที่มีสายเลือดของอาซูราจึงเป็นผู้มีความสามารถที่เหมาะสม
ถึงจะเห็นเป็นแบบนี้ แต่ฉันมีพลังเวทเยอะมากนะ!
เอาเถอะ ถึงจะมีพลังเวท แต่ถ้าไม่รู้วิธีใช้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ฉันต้องฝึกเป็นสิบ ๆ ปีแน่ะ กว่าจะใช้พลังเวทได้อย่างคล่องแคล่ว
เป็นเรื่องที่แปลกดีเนอะ
จากนั้นชีวิตของฉันในแต่ละวันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
อ้อ ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าฉันต้องออกไปซื้อของในเมืองคนเดียวด้วยละ
แรก ๆ อาจารย์ก็ไปด้วยอยู่หรอก แต่กลับเป็นการรบกวนซะงั้น จะว่ายังไงดีล่ะ มองแว็บแรกก็รู้สึกว่าเป็นนักเวทที่น่าสงสัย จนคนที่ร้านเองก็ระแวดระวังน่ะ
จากนั้นพออาจารย์รู้ว่าฉันจะไม่หนีไปไหน เขาก็เริ่มปล่อยให้ฉันไปคนเดียว
ฉันจะหนีไปไหนได้ ในเมื่อฉันไม่มีที่อื่นที่จะไป
แล้วสิ่งที่เขาให้มาตอนที่ฉันออกไปทำธุระคนเดียวครั้งแรก ก็คือเครื่องรางที่ฉันคล้องคอเมื่อกี้น่ะ
คุณคงจะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันไม่เด่นสะดุดตา
เพราะถ้ามีเด็กผู้หญิงเดินคนเดียว ก็อาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้หลายต่อหลายอย่าง
บางทีอาจจะถูกนายหน้าค้ามนุษย์จับตัวไปก็ได้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับตัวฉัน เครื่องรางนั้นคงเป็นความรักเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพ่อแม่
แต่เพราะแบบนั้นฉันถึงหาเพื่อนไม่ค่อยได้จนรู้สึกเหงา
ของที่ฉันซื้อจะเป็นของกินซะส่วนใหญ่ พวกขนมปัง ผัก แล้วก็เนื้อ
ฉันยังไปส่งยาที่ร้านยาอยู่หลายครั้ง นั่นเป็นแหล่งรายได้หลักของอาจารย์น่ะ
แต่ถ้าแค่นั้นมันไม่คุ้มกับเงินที่ซื้อฉันมา ฉันว่าเขาน่าจะมีรายได้อะไรสักอย่างจากทางอื่นด้วย แต่เท่านั้นมันก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวันแล้วละ
แรก ๆ อาจารย์ก็เป็นคนปรุงยา แต่ฉันก็ใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้วิธีปรุงยา จนตอนนี้ฉันเป็นคนปรุงเกือบทั้งหมดแล้ว สุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ
เคล็ดลับคือ ให้โครงกระดูกเรียนรู้การทำงาน
ฉันสอนพวกงานบดสมุนไพรอย่างใจเย็นและละเอียดถี่ถ้วน แค่นั้นงานก็สบายขึ้นมากแล้ว
ฉันน่ะ สอนงานให้คนอื่นเก่งนะ.…..ถึงอีกฝ่ายจะไม่ใช่คนแต่เป็นอันเดดก็เถอะ
บางทีอาจเป็นเพราะฉันเห็นมอลลี่สอนเด็กมาโดยตลอด
ทำให้ดู พูดให้ฟัง ปล่อยให้ทำ แล้วก็ชมเชย ในที่สุดคนที่ถูกสอนก็จะทำงานได้
ส่วนที่ชมเชยเป็นส่วนที่ฉันคิดเองแหละ ก็มอลลี่ดุอย่างเดียว ไม่เคยชมเลยนี่นา ถ้าไม่ชมมันก็ไม่มีกำลังใจจะทำหรอก
อันเดดเข้าใจคำชมเชยหรือเปล่าน่ะเหรอ
เข้าใจสิ ขนาดพืชที่ได้รับคำชมยังโตดีกว่าเลย จริง ๆ นะ
เพราะคำชมเป็นเวทมนตร์ที่ง่ายที่สุดยังไงล่ะ
นี่ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ
หลักการพื้นฐานของเวทมนตร์ก็เป็นเรื่องแบบนั้นนั่นแหละ เป็นศาสตร์ที่ใช้คำพูดแทรกแซงโลกและผู้คน
……เอาเถอะ เรื่องนั้นช่างมันละกัน
และเพราะฉันปรุงยาได้แล้ว อาจารย์เลยสามารถจดจ่อกับการวิจัยเวทมนตร์ได้
“ลูน่าสุดยอดเลยนะ”
ในที่สุดเขาก็ชมฉันตรง ๆ สักที
มันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันเป็นสินค้าชั้นเลิศเชียวนะ รู้ตัวช้าเกินไปซะด้วยซ้ำ
ฉันยังไปเก็บสมุนไพรคนเดียวได้ด้วยนะ
หืม เก็บสมุนไพรคนเดียวมันอันตราย?
นั่นสินะ การที่เด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ อย่างฉันเข้าป่าไปคนเดียวมันอันตรายจริง ๆ นั่นแหละ
ถึงฉันจะบอกว่าไปคนเดียว แต่ฉันพาโครงกระดูกไปคุ้มกันด้วยหนึ่งตัวก็เลยไม่มีปัญหา
แน่นอนว่าฉันสวมฮู้ดตัวโคร่งเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นหน้า
เพื่อความปลอดภัย ฉันยังให้โครงกระดูกเก็บเครื่องรางไว้กับตัวด้วย มันก็เลยไม่ดูสะดุดตา
หลักฐานที่พิสูจน์เรื่องนั้นก็คือ มีผู้ชายหลายคนมาลักพาตัวฉันที่เข้ามาในป่า โดยไม่สังเกตเห็นว่ามีโครงกระดูก
พวกผู้ชายเป็นยังไงบ้างน่ะเหรอ
ท่านอัศวินจะเก็บความลับได้ทุกอย่างใช่ไหม ไม่ต้องห่วง? งั้นเหรอ
ก็คือ พวกคนชั่วทั้งหลายหายไปจากโลกนี้ แล้วเราก็ได้วัตถุดิบล้ำค่าสำหรับศาสตร์ความตายมาแทนน่ะ
พอฉันแอบให้โครงกระดูกขนวัตถุดิบล้ำค่ากลับมาตอนกลางคืน อาจารย์ก็ดีใจมาก
ถึงจะบอกว่าดีใจ แต่อาจารย์ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากมายหรอก ฉันแค่เดาจากท่าทีได้แล้วน่ะ
พวกเขาอาจดีใจที่ได้อุทิศร่างในการพัฒนาเวทมนตร์ก็นะ ฉันว่า
ยังไงซะ ถึงจะมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่ได้มีประโยชน์อะไรหรอก
การรับรู้ของฉันมันแปลกไปหน่อย?
แปลกยังไงเหรอ
ท่านอัศวินอยากให้คนชั่วมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ คนลักพาตัวเนี่ยนะ? ท่านอัศวินจะให้อภัยพวกคนชั่วอย่างหัวขโมยจี้ปล้น ฆาตกรฆ่าคน คนทรยศหักหลังพวกนี้งั้นเหรอ
ลงโทษตามกฎหมาย?
ไม่ ๆ ฉันไม่ได้พูดเรื่องแบบนั้น
ฉันถามว่าอยากให้พวกมันมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ไม่ได้พูดถึงกฎหมายสักหน่อย
……ใช่ไหมล่ะ การรับรู้ของฉันมันไม่ได้แปลก
แล้วเดิมที ถ้ากฎหมายมันสมบูรณ์แบบ ฉันคงไม่ถูกขาย และก็คงไม่ถูกซื้อ
แต่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ฉันว่าตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะอยู่
เราคุยเรื่องอะไรกันนะ
อ๋อ ฉันพูดถึงตอนที่ฉันกำลังเริ่มมีชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายใช่ไหม
ไม่เรียบง่ายงั้นเหรอ
เรียบง่ายนะ ทำงานบ้าน เก็บสมุนไพร ปรุงยา เรียนเวทมนตร์จากอาจารย์ นอน แล้วก็ทำก็วนไป
ทุกคนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น แค่ทำสิ่งที่แตกต่างกันเฉย ๆ แต่ก็ทำสิ่งเดิม ๆ วนไปทุกวัน นั่นละชีวิตประจำวันที่เรียบง่าย
แต่แล้วชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายนั้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
มีคนที่ไม่ได้รับผลจากเครื่องรางปรากฏตัวขึ้น
ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอก เพราะในที่สุดฉันได้ก็มีคนรู้จักกับเขาสักที