หลังจากอาจารย์ซื้อตัวฉัน เราก็ขึ้นรถม้าและเดินทางมาไกลพอสมควรจนมาถึงเมืองหลวงแห่งนี้
ระหว่างทางเราแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ถึงฉันจะพยายามพูดทุกวิถีทางเพื่อให้เขาถูกใจ แต่อาจารย์กลับถามคำตอบคำเท่าที่จำเป็น
ฉันเลยถามจุดประสงค์ที่ซื้อฉันมา อาจารย์ก็ตอบเพียงว่า
“จะให้มาเป็นลูกศิษย์น่ะ”
ลูกศิษย์ของผู้ใช้เวทเชียวนะ
เอาเถอะ เมื่อคิดถึงสายเลือดของอาซูราแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นมาก่อน โมลลี่ก็ไม่เคยสอนเวทมนตร์ให้ฉันเลยด้วย ฉันเลยกังวลน่ะ
แต่เขาซื้อฉันมาด้วยเงินก้อนโต เพราะงั้นฉันต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง
หืม ทำไมถึงต้องเชื่อฟังคนที่ซื้อตัวคนอื่นมาด้วยน่ะเหรอ
มันก็แน่นอนอยู่แล้ว! ก็เขาจ่ายเงินไปแล้วยังไงล่ะ รู้ไหมว่าการจะหาเงินขนาดนั้นได้มันลำบากยากเย็นแค่ไหน แม้แต่เงินเดือนของอัศวินก็ยังต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเลยนะ
อาจารย์มองเห็นคุณค่าของเงินก้อนนั้นในตัวฉัน
ฉันก็ต้องตอบแทนความคาดหวังนั้นให้ได้ มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันน่ะ
คุณค่าของคนไม่ได้วัดกันที่เงิน?
สำหรับพวกเราที่อยู่บ้านของนายหน้าค้ามนุษย์แล้ว คุณค่าของตัวเราก็คือจำนวนเงินนี่แหละ
แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นค่านิยมที่ผิด
แต่ว่านะ สำหรับฉันที่ได้รับการอบรมมาอย่างเข้มงวดจากโมลลี่ ฉันมีความภูมิใจในตัวเองน่ะ
ฉันตั้งใจว่าจะแสดงให้เห็นว่าฉันมีคุณค่ามากกว่านั้นให้ได้
เพราะงั้นตอนที่รู้ว่าจะกลายเป็นลูกศิษย์ของผู้ใช้เวท เลยคิดว่าอย่างแรกต้องทำตัวให้เข้ากับบทบาทเสียก่อน ก็เลยเรียกเขาว่า “อาจารย์“
ตอนที่เรียกว่าอาจารย์ครั้งแรก เขามีปฏิกิริยาแปลก ๆ นิดหน่อย แต่ก็แค่ตอนแรกเท่านั้นแหละ สักพักไม่นานเขาก็ชิน
แล้วบ้านที่อาจารย์พาฉันมานะ เป็นคฤหาสน์ที่อยู่ติดกับสุสานขนาดใหญ่
น่าทึ่งมากเลยละ แต่ขนาดเท่านั้นแหละ
มองแว็บแรกก็รู้สึกถึงความโชคร้ายและมืดมน เป็นบรรยากาศที่ไม่อยากเข้าใกล้เลย
พวกคุณสืบเรื่องของอาจารย์มาแล้ว ก็คงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วใช่ไหม
แต่ขอบอกเลยว่านั่นมันเป็นเขตอาคม
มันจะทำให้รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ เพื่อไม่ให้คนอื่นย่างกรายเข้ามาน่ะ
เพราะงั้นเลยเป็นเรื่องปกติที่ไม่อยากเข้าไป
เหมือนว่าสุสานเอง ถ้ายิ่งอยู่ใกล้เท่าไร เขตอาคมที่ว่านั่นก็จะยิ่งมีผลมากขึ้น และการที่มีสุสานอยู่ใกล้ ๆ ก็เป็นเรื่องดีสำหรับอาจารย์ที่เชี่ยวชาญศาสตร์ความตายด้วย
พอเข้าไปในคฤหาสน์เท่านั้นแหละ ฉันก็ถึงกับตะลึง
สกปรกชะมัด!
มีใยแมงมุมเต็มไปหมด ที่พื้นมีโครงกระดูกมนุษย์ตก และมีของที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมด เลวร้ายที่สุดเลย
ถึงจะไม่มีเขตอาคมก็ไม่มีใครอยากเข้ามาในบ้านหลังนี้หรอก ขนาดโจรยังต้องเผ่นแน่บ
ต่างจากบ้านค้ามนุษย์ของมอลลี่ลิบลับ ที่จะสะอาดแวววับอยู่เสมอ
ฉันถึงกับขนลุกซู่ “บ้านแบบนี้ ฉันอยู่ไม่ไหวหรอก!”
เพราะงั้นฉันเลยรีบบอกอาจารย์ว่า
“มีเรื่องจะขอร้องค่ะ!”
“อะไร”
“ให้ฉันทำความสะอาดเถอะนะคะ!”
“ถ้าอยากกลับไปละก็……ทำความสะอาด?”
อาจารย์ทำท่าอ้ำอึ้ง
จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ คฤหาสน์แล้วพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า
“……อย่าบอกนะว่ามันสกปรก”
“ค่ะ ถึงไม่บอกมันก็สกปรกค่ะ“
“……งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว ช่วยทำความสะอาดให้ที”
“มีอุปกรณ์ทำความสะอาดไหมคะ”
“ฉันไม่เคยใช้ เลยไม่รู้เหมือนกัน คงจะอยู่ตรงไหนสักที่”
แล้วฉันก็เริ่มตั้งแต่สำรวจภายในคฤหาสน์
มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากเพราะเป็นคฤหาสน์ขยะผีสิง แถมยังมีผีโผล่มาจริง ๆ ด้วยนะ เป็นอันเดดน่ะ
ตอนที่เจอพวกกูลกับโครงกระดูกครั้งแรก ฉันนึกว่าหัวใจจะวายซะแล้ว
แถมยังเข้าใจผิด คิดว่าฉันเป็นผู้บุกรุกแล้วพุ่งมาโจมตีใส่ฉันด้วย!
แต่ก็ถูกอาจารย์หยุดไว้และบอกให้พวกมันรู้ว่าฉันเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงกว่า
หลังจากนั้นพวกอันเดดก็เลยเชื่อฟังคำสั่งของฉัน
ฉันคิดว่าต้องใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ให้ได้
กลัวอันเดดไหมน่ะเหรอ
กลัวสิ ตอนแรก ๆ น่ะ
แต่ชินแล้วละ…ชินแล้ว สุดท้ายมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด
จากนั้นฉันก็หาทางพบอุปกรณ์ทำความสะอาดจนได้ แล้วเริ่มทำความสะอาดครั้งใหญ่
แต่ทำคนเดียวมันก็มีข้อจำกัด เพราะตอนนั้นฉันยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ
งานมันเยอะซะจนฉันอยากยืมมือใครสักคนมาช่วย ก็เลยไปยืมมา มือที่ว่าก็คืออันเดด
ฉันลองสั่งให้โครงกระดูกที่พูดไม่ได้ทำนู่นทำนี่ดู แต่พวกมันไม่เข้าใจคำสั่งที่ละเอียดเลยสักนิด
ช่วยไม่ได้ละนะ ก็มันเป็นโครงกระดูกนี่เนอะเลยสมองกลวง
แต่พวกมันเข้าใจคำสั่งง่าย ๆ ได้ ฉันเลยให้พวกมันขนของหนัก ๆ
อาจารย์ก็มองด้วยความสนใจ
“การใช้งานอันเดดเป็นพื้นฐานของผู้ใช้ศาสตร์ความตาย”
อาจารย์พูดแบบนั้น
เอาเป็นว่าการที่ฉันใช้โครงกระดูกดูจะเป็นเรื่องดีในฐานะลูกศิษย์ของผู้ใช้เวท
เพราะงั้นฉันเลยใช้พวกมัน
พวกมันถือเคียวขนาดใหญ่ ฉันเลยให้ถางหญ้าด้วยซะเลย
ตัดฉับ ฉับ แป๊บเดียวสวนก็สวยงามขึ้นมาทันตา เพราะเคียวมีขนาดใหญ่ก็เลยใช้ตัดไม้เลื้อยปกคลุมคฤหาสน์ได้อย่างงายดายด้วย
หืม เคียวแบบไหนน่ะเหรอ
เป็นเคียวขนาดใหญ่ที่ต้องใช้สองมือถือน่ะ ความยาวของด้ามก็คงประมาณหอกละมั้ง
สะดวกดีนะ เคียวอันนั้นน่ะ ใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง ตัดกิ่งไม้สูง ๆ ก็ได้
อยากรู้ว่ามีโครงกระดูกที่ถือเคียวแบบนั้นอยู่กี่ตัวงั้นเหรอ
3 ตัวน่ะ ถ้าเข้าไปในคฤหาสน์เงียบ ๆ มีหวังได้ถูกเคียวฟันโดยไม่ทันตั้งตัวแน่ ระวังด้วยนะ
……หน้าซีดเชียว จะให้เล่าต่อไหม
จากนั้นฉันก็ใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนในการทำความสะอาดคฤหาสน์
มันสกปรกจริง ๆ แต่ตอนทำเสร็จฉันรู้สึกตื้นตันมาก เป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้ซึ้งถึงความสำเร็จมากที่สุดในชีวิตเลยละ
ขัดทางเดินจนเงาวับ จัดเก็บของรก ๆ ที่เกลื่อนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำสวนให้สวยงาม และฝังกูลลงดิน
ทำไมถึงฝังกูลน่ะเหรอ
เพราะกลิ่นเหม็นยังไงล่ะ มันเป็นซากศพนะ ร่างกายเน่าเปื่อยก็ต้องเหม็นอยู่แล้วสิ
ฉันให้โครงกระดูกขุดหลุม แล้วให้กูลลงไปในหลุม แล้วก็ให้โครงกระดูกกลบหลุมอีกที
อ้อ มันไม่ได้ตายนะ.…..เอ่อก็ตายแล้วแหละ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้งานไม่ได้สักหน่อย
แต่หลุมตื้น พวกมันเลยคลานออกมาเองได้ทุกเมื่อ
บางที ถ้ามีใครเข้าไปในสวนของบ้านฉันโดยพลการ พวกมันก็คงจะออกมา เพราะพวกมันจะโจมตีผู้บุกรุก
ถ้าอยากเห็นละก็ ท่านอัศวินจะลองเหยียบเข้ามาในสวนของบ้านฉันก็ได้นะ
รับรองว่าจะได้เห็นกูลโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินสมใจอยากเลยละ
ถึงฉันจะคิดว่าคุณอาจจะโดนจับขาโดยไม่ทันตั้งตัวก็เถอะ
หืม ให้ตายก็ไม่เข้าไปในสวนเหรอ
น่าเสียดายจัง ฉันอยากตรวจสอบให้แน่ใจซะด้วยสิว่ากูลทำงานดีไหม เพราะไม่มีใครมาบ้านฉันเลยสักคน
แล้วก็เรื่องฝังกูลน่ะ ฉันได้รับอนุญาตจากอาจารย์เรียบร้อยแล้ว
“เหม็น เลยอยากฝัง” ฉันบอกว่างั้น
มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง ที่ศพจะถูกฝังอยู่ในดิน
แล้วอาจารย์ก็พูดว่า
“……กูลถูกฝังอยู่ในหลุมเป็นเรื่องปกติหรอกเหรอ”
ถึงอาจารย์จะทำหน้าแปลก ๆ นิดหน่อย แต่ฉันก็เอาชนะมาได้
ถ้ามีเนื้อเหม็นเน่าอยู่ในคฤหาสน์ ก็ย่อมต้องมีแมลงวันออกมาบินว่อน
ไม่อยากอยู่ในบ้านแบบนั้นใช่ไหมล่ะ
และงานสุดท้ายก็คือเคราของอาจารย์
ฉันโกนหนวดเคราของผู้ชายได้นะ
นี่เป็นเทคนิคขั้นสูงที่แม้แต่ในบรรดาเด็กที่เอาไว้ขาย ก็ได้เรียนเฉพาะเด็กที่ใช้นิ้วได้อย่างคล่องแคล่วเท่านั้น
มอลลี่จะสอนให้เฉพาะเด็กที่เธอเห็นว่า “นี่มัน”
หนูทดลองก็คือเมสันตามระเบียบ ที่คางของเมสันมีรอยแผลเยอะก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ
ฉันดีเลิศเป็นพิเศษ เลยทำให้แผลที่คางของเมสันเพิ่มขึ้นมาแค่ 3 แผลเท่านั้น
การเอามีดโกนไปจ่อที่ผิวของคนอื่นมันก็เกร็งอยู่หรอก แต่เมสันน่ะเกร็งกว่าอีก
ก็มีเด็กเอาของมีคมมาจ่อที่คอนี่เนอะ มันก็ต้องเกร็งเป็นธรรมดา
เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้เรียนรู้วิธีโกนหนวดเครา เป็นความสามารถพิเศษที่ฉันภาคภูมิใจเชียวนะ
ตอนที่ออกจากบ้านหลังนั้น มอลลี่ก็ให้มีดโกนฉันเป็นของขวัญอำลา
ตอนที่ฉันบอกอาจารย์ว่าจะโกนเคราให้ เขาตกใจมาก
“ทำไม”
เขาถาม
“เพราะมันรกรุงรังยังไงล่ะคะ”
พอฉันตอบไปแบบนั้น เขาก็ทำหน้าอย่างกับโลกใบนี้จะอวสาน
แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วยอมให้โกนแต่โดยดี
พอเห็นว่าฉันปัดกวาดคฤหาสน์จนสะอาด ก็เลยไว้ใจละมั้ง เรื่องแบบนั้นมันทำให้ฉันดีใจอยู่นิด ๆ
จากนั้นฉันก็โกนเคราให้อย่างเรียบร้อย แล้วถือโอกาสจัดทรงผมให้ด้วยเลย จนอาจารย์ดูดีขึ้น
พอโกนเสร็จถึงได้รู้ว่าอาจารย์อายุน้อยกว่าที่คิด
ถึงจะดูอายุประมาณ 60 แต่จริง ๆ แล้ว ประมาณ 40 น่ะ
ฉันว่าผู้ชายก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดีจริง ๆ นั่นแหละ