(WN) สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย 3

ตอนที่ 3

     หลังจากอาจารย์ซื้อตัวฉัน เราก็ขึ้นรถม้าและเดินทางมาไกลพอสมควรจนมาถึงเมืองหลวงแห่งนี้

     ระหว่างทางเราแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ถึงฉันจะพยายามพูดทุกวิถีทางเพื่อให้เขาถูกใจ แต่อาจารย์กลับถามคำตอบคำเท่าที่จำเป็น

     ฉันเลยถามจุดประสงค์ที่ซื้อฉันมา อาจารย์ก็ตอบเพียงว่า

“จะให้มาเป็นลูกศิษย์น่ะ”

     ลูกศิษย์ของผู้ใช้เวทเชียวนะ

     เอาเถอะ เมื่อคิดถึงสายเลือดของอาซูราแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นมาก่อน โมลลี่ก็ไม่เคยสอนเวทมนตร์ให้ฉันเลยด้วย ฉันเลยกังวลน่ะ

     แต่เขาซื้อฉันมาด้วยเงินก้อนโต เพราะงั้นฉันต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง

     หืม ทำไมถึงต้องเชื่อฟังคนที่ซื้อตัวคนอื่นมาด้วยน่ะเหรอ

     มันก็แน่นอนอยู่แล้ว! ก็เขาจ่ายเงินไปแล้วยังไงล่ะ รู้ไหมว่าการจะหาเงินขนาดนั้นได้มันลำบากยากเย็นแค่ไหน แม้แต่เงินเดือนของอัศวินก็ยังต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเลยนะ

     อาจารย์มองเห็นคุณค่าของเงินก้อนนั้นในตัวฉัน

     ฉันก็ต้องตอบแทนความคาดหวังนั้นให้ได้ มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันน่ะ

     คุณค่าของคนไม่ได้วัดกันที่เงิน?

     สำหรับพวกเราที่อยู่บ้านของนายหน้าค้ามนุษย์แล้ว คุณค่าของตัวเราก็คือจำนวนเงินนี่แหละ

     แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นค่านิยมที่ผิด

     แต่ว่านะ สำหรับฉันที่ได้รับการอบรมมาอย่างเข้มงวดจากโมลลี่ ฉันมีความภูมิใจในตัวเองน่ะ

     ฉันตั้งใจว่าจะแสดงให้เห็นว่าฉันมีคุณค่ามากกว่านั้นให้ได้

     เพราะงั้นตอนที่รู้ว่าจะกลายเป็นลูกศิษย์ของผู้ใช้เวท เลยคิดว่าอย่างแรกต้องทำตัวให้เข้ากับบทบาทเสียก่อน ก็เลยเรียกเขาว่า “อาจารย์“

     ตอนที่เรียกว่าอาจารย์ครั้งแรก เขามีปฏิกิริยาแปลก ๆ นิดหน่อย แต่ก็แค่ตอนแรกเท่านั้นแหละ สักพักไม่นานเขาก็ชิน

     แล้วบ้านที่อาจารย์พาฉันมานะ เป็นคฤหาสน์ที่อยู่ติดกับสุสานขนาดใหญ่

     น่าทึ่งมากเลยละ แต่ขนาดเท่านั้นแหละ

     มองแว็บแรกก็รู้สึกถึงความโชคร้ายและมืดมน เป็นบรรยากาศที่ไม่อยากเข้าใกล้เลย

     พวกคุณสืบเรื่องของอาจารย์มาแล้ว ก็คงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วใช่ไหม

     แต่ขอบอกเลยว่านั่นมันเป็นเขตอาคม

     มันจะทำให้รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ เพื่อไม่ให้คนอื่นย่างกรายเข้ามาน่ะ

     เพราะงั้นเลยเป็นเรื่องปกติที่ไม่อยากเข้าไป

     เหมือนว่าสุสานเอง ถ้ายิ่งอยู่ใกล้เท่าไร เขตอาคมที่ว่านั่นก็จะยิ่งมีผลมากขึ้น และการที่มีสุสานอยู่ใกล้ ๆ ก็เป็นเรื่องดีสำหรับอาจารย์ที่เชี่ยวชาญศาสตร์ความตายด้วย

     พอเข้าไปในคฤหาสน์เท่านั้นแหละ ฉันก็ถึงกับตะลึง

     สกปรกชะมัด!

     มีใยแมงมุมเต็มไปหมด ที่พื้นมีโครงกระดูกมนุษย์ตก และมีของที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมด เลวร้ายที่สุดเลย

      ถึงจะไม่มีเขตอาคมก็ไม่มีใครอยากเข้ามาในบ้านหลังนี้หรอก ขนาดโจรยังต้องเผ่นแน่บ

     ต่างจากบ้านค้ามนุษย์ของมอลลี่ลิบลับ ที่จะสะอาดแวววับอยู่เสมอ

    ฉันถึงกับขนลุกซู่ “บ้านแบบนี้ ฉันอยู่ไม่ไหวหรอก!”

     เพราะงั้นฉันเลยรีบบอกอาจารย์ว่า

“มีเรื่องจะขอร้องค่ะ!”

“อะไร”

“ให้ฉันทำความสะอาดเถอะนะคะ!”

“ถ้าอยากกลับไปละก็……ทำความสะอาด?”

     อาจารย์ทำท่าอ้ำอึ้ง

     จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ คฤหาสน์แล้วพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า

“……อย่าบอกนะว่ามันสกปรก”

“ค่ะ ถึงไม่บอกมันก็สกปรกค่ะ“

“……งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว ช่วยทำความสะอาดให้ที”

“มีอุปกรณ์ทำความสะอาดไหมคะ”

“ฉันไม่เคยใช้ เลยไม่รู้เหมือนกัน คงจะอยู่ตรงไหนสักที่”

     แล้วฉันก็เริ่มตั้งแต่สำรวจภายในคฤหาสน์

     มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากเพราะเป็นคฤหาสน์ขยะผีสิง แถมยังมีผีโผล่มาจริง ๆ ด้วยนะ เป็นอันเดดน่ะ

     ตอนที่เจอพวกกูลกับโครงกระดูกครั้งแรก ฉันนึกว่าหัวใจจะวายซะแล้ว

     แถมยังเข้าใจผิด คิดว่าฉันเป็นผู้บุกรุกแล้วพุ่งมาโจมตีใส่ฉันด้วย!

     แต่ก็ถูกอาจารย์หยุดไว้และบอกให้พวกมันรู้ว่าฉันเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงกว่า

     หลังจากนั้นพวกอันเดดก็เลยเชื่อฟังคำสั่งของฉัน

     ฉันคิดว่าต้องใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ให้ได้

     กลัวอันเดดไหมน่ะเหรอ

     กลัวสิ ตอนแรก ๆ น่ะ

     แต่ชินแล้วละ…ชินแล้ว สุดท้ายมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด

     จากนั้นฉันก็หาทางพบอุปกรณ์ทำความสะอาดจนได้ แล้วเริ่มทำความสะอาดครั้งใหญ่

     แต่ทำคนเดียวมันก็มีข้อจำกัด เพราะตอนนั้นฉันยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ

     งานมันเยอะซะจนฉันอยากยืมมือใครสักคนมาช่วย ก็เลยไปยืมมา มือที่ว่าก็คืออันเดด

     ฉันลองสั่งให้โครงกระดูกที่พูดไม่ได้ทำนู่นทำนี่ดู แต่พวกมันไม่เข้าใจคำสั่งที่ละเอียดเลยสักนิด

     ช่วยไม่ได้ละนะ ก็มันเป็นโครงกระดูกนี่เนอะเลยสมองกลวง

     แต่พวกมันเข้าใจคำสั่งง่าย ๆ ได้ ฉันเลยให้พวกมันขนของหนัก ๆ

     อาจารย์ก็มองด้วยความสนใจ

“การใช้งานอันเดดเป็นพื้นฐานของผู้ใช้ศาสตร์ความตาย”

     อาจารย์พูดแบบนั้น

     เอาเป็นว่าการที่ฉันใช้โครงกระดูกดูจะเป็นเรื่องดีในฐานะลูกศิษย์ของผู้ใช้เวท

     เพราะงั้นฉันเลยใช้พวกมัน

     พวกมันถือเคียวขนาดใหญ่ ฉันเลยให้ถางหญ้าด้วยซะเลย

     ตัดฉับ ฉับ แป๊บเดียวสวนก็สวยงามขึ้นมาทันตา เพราะเคียวมีขนาดใหญ่ก็เลยใช้ตัดไม้เลื้อยปกคลุมคฤหาสน์ได้อย่างงายดายด้วย

     หืม เคียวแบบไหนน่ะเหรอ

     เป็นเคียวขนาดใหญ่ที่ต้องใช้สองมือถือน่ะ ความยาวของด้ามก็คงประมาณหอกละมั้ง

สะดวกดีนะ เคียวอันนั้นน่ะ ใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง ตัดกิ่งไม้สูง ๆ ก็ได้

     อยากรู้ว่ามีโครงกระดูกที่ถือเคียวแบบนั้นอยู่กี่ตัวงั้นเหรอ

     3 ตัวน่ะ ถ้าเข้าไปในคฤหาสน์เงียบ ๆ มีหวังได้ถูกเคียวฟันโดยไม่ทันตั้งตัวแน่ ระวังด้วยนะ

     ……หน้าซีดเชียว จะให้เล่าต่อไหม

     จากนั้นฉันก็ใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนในการทำความสะอาดคฤหาสน์

     มันสกปรกจริง ๆ แต่ตอนทำเสร็จฉันรู้สึกตื้นตันมาก เป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้ซึ้งถึงความสำเร็จมากที่สุดในชีวิตเลยละ

     ขัดทางเดินจนเงาวับ จัดเก็บของรก ๆ ที่เกลื่อนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำสวนให้สวยงาม และฝังกูลลงดิน

     ทำไมถึงฝังกูลน่ะเหรอ

     เพราะกลิ่นเหม็นยังไงล่ะ มันเป็นซากศพนะ ร่างกายเน่าเปื่อยก็ต้องเหม็นอยู่แล้วสิ

     ฉันให้โครงกระดูกขุดหลุม แล้วให้กูลลงไปในหลุม แล้วก็ให้โครงกระดูกกลบหลุมอีกที

     อ้อ มันไม่ได้ตายนะ.…..เอ่อก็ตายแล้วแหละ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้งานไม่ได้สักหน่อย

     แต่หลุมตื้น พวกมันเลยคลานออกมาเองได้ทุกเมื่อ

     บางที ถ้ามีใครเข้าไปในสวนของบ้านฉันโดยพลการ พวกมันก็คงจะออกมา เพราะพวกมันจะโจมตีผู้บุกรุก

     ถ้าอยากเห็นละก็ ท่านอัศวินจะลองเหยียบเข้ามาในสวนของบ้านฉันก็ได้นะ

     รับรองว่าจะได้เห็นกูลโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินสมใจอยากเลยละ

     ถึงฉันจะคิดว่าคุณอาจจะโดนจับขาโดยไม่ทันตั้งตัวก็เถอะ

     หืม ให้ตายก็ไม่เข้าไปในสวนเหรอ

     น่าเสียดายจัง ฉันอยากตรวจสอบให้แน่ใจซะด้วยสิว่ากูลทำงานดีไหม เพราะไม่มีใครมาบ้านฉันเลยสักคน

     แล้วก็เรื่องฝังกูลน่ะ ฉันได้รับอนุญาตจากอาจารย์เรียบร้อยแล้ว

“เหม็น เลยอยากฝัง” ฉันบอกว่างั้น

     มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง ที่ศพจะถูกฝังอยู่ในดิน

     แล้วอาจารย์ก็พูดว่า

“……กูลถูกฝังอยู่ในหลุมเป็นเรื่องปกติหรอกเหรอ”

     ถึงอาจารย์จะทำหน้าแปลก ๆ นิดหน่อย แต่ฉันก็เอาชนะมาได้

     ถ้ามีเนื้อเหม็นเน่าอยู่ในคฤหาสน์ ก็ย่อมต้องมีแมลงวันออกมาบินว่อน

     ไม่อยากอยู่ในบ้านแบบนั้นใช่ไหมล่ะ

     และงานสุดท้ายก็คือเคราของอาจารย์

     ฉันโกนหนวดเคราของผู้ชายได้นะ

     นี่เป็นเทคนิคขั้นสูงที่แม้แต่ในบรรดาเด็กที่เอาไว้ขาย ก็ได้เรียนเฉพาะเด็กที่ใช้นิ้วได้อย่างคล่องแคล่วเท่านั้น

     มอลลี่จะสอนให้เฉพาะเด็กที่เธอเห็นว่า “นี่มัน”

     หนูทดลองก็คือเมสันตามระเบียบ ที่คางของเมสันมีรอยแผลเยอะก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ

     ฉันดีเลิศเป็นพิเศษ เลยทำให้แผลที่คางของเมสันเพิ่มขึ้นมาแค่ 3 แผลเท่านั้น

     การเอามีดโกนไปจ่อที่ผิวของคนอื่นมันก็เกร็งอยู่หรอก แต่เมสันน่ะเกร็งกว่าอีก

     ก็มีเด็กเอาของมีคมมาจ่อที่คอนี่เนอะ มันก็ต้องเกร็งเป็นธรรมดา

     เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้เรียนรู้วิธีโกนหนวดเครา เป็นความสามารถพิเศษที่ฉันภาคภูมิใจเชียวนะ

     ตอนที่ออกจากบ้านหลังนั้น มอลลี่ก็ให้มีดโกนฉันเป็นของขวัญอำลา

     ตอนที่ฉันบอกอาจารย์ว่าจะโกนเคราให้ เขาตกใจมาก

“ทำไม”

     เขาถาม

“เพราะมันรกรุงรังยังไงล่ะคะ”

     พอฉันตอบไปแบบนั้น เขาก็ทำหน้าอย่างกับโลกใบนี้จะอวสาน

     แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วยอมให้โกนแต่โดยดี

     พอเห็นว่าฉันปัดกวาดคฤหาสน์จนสะอาด ก็เลยไว้ใจละมั้ง เรื่องแบบนั้นมันทำให้ฉันดีใจอยู่นิด ๆ

     จากนั้นฉันก็โกนเคราให้อย่างเรียบร้อย แล้วถือโอกาสจัดทรงผมให้ด้วยเลย จนอาจารย์ดูดีขึ้น

     พอโกนเสร็จถึงได้รู้ว่าอาจารย์อายุน้อยกว่าที่คิด

     ถึงจะดูอายุประมาณ 60 แต่จริง ๆ แล้ว ประมาณ 40 น่ะ

     ฉันว่าผู้ชายก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดีจริง ๆ นั่นแหละ

(WN) สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย

(WN) สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย

Score 10
Status: Completed
*ย้ำอีกทีว่าเป็น web novel แต่เอาปก light novel มาใส่เฉยๆ* ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ ราชอาณาจักรตกอยู่ในอันตรายจากการกบฏ แต่กลับมีกองทัพอันเดดบุกเข้าถล่มกองทัพกบฏจนย่อยยับ ใครกันที่ใช้วิชาต้องห้าม ท่ามกลางความอลหม่าน การตามล่าหาตัวผู้ใช้ศาสตร์ความตายได้เริ่มต้นขึ้น

Options

not work with dark mode
Reset