ลูเซียน่ายืนอยู่หน้าประตูพระราชวัง
เหล่าทหารรู้สึกประหลาดใจที่จอมเวทประจำราชสำนักผู้ชราภาพมายืนอยู่เพียงลำพัง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยทัก
ไม่นานนัก นักเวทสาวผู้สวมฮู้ดสีขาวและมีดวงตาสีแดงก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดไม่รู้ แล้วเอ่ยทักลูเซียน่า จากนั้นทั้งสองก็หายเข้าไปในพระราชวัง
เหล่าทหารยามลืมเรื่องของนักเวทสาวผู้สวมฮู้ดสีขาวไปในทันที
“อาการของรัถแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ลูน่าถามลูเซียน่า
“แย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่ะ แถมอายุก็มากแล้ว ฉันว่าเก่งเกินไปเสียด้วยซ้ำที่ทนมาได้นาน”
ลูเซียน่าและรัถน่าจะอายุราว ๆ 70 ปี เรียกได้ว่าอยู่มานานพอแล้ว
“ที่นี่แหละ”
จุดหมายที่ลูเซียน่านำทางไปคือท้องพระโรง
“ฉันจะให้คนออกไปก่อนนะ เพราะเป็นรับสั่งสุดท้ายของฝ่าบาท ของท่านรัถน่ะ……”
ดวงตาของลูเซียน่าที่มองลูน่าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ความรัก และความอิจฉาผสมกัน
ลูเซียน่าจากไปทั้งอย่างนั้น แล้วลูน่าก็เดินเข้าไปในห้อง
“ช้าจังนะ”
รัถนั่งอยู่บนบัลลังก์
เป็นภาพที่ช่างสง่างามและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม แม้ใบหน้าจะซูบลงเล็กน้อย แต่พลังในดวงตาสีฟ้ายังคงเปล่งประกายอยู่ ดูไม่เหมือนคนใกล้จะตายเลยสักนิด
เขายิ้มราวกับเด็กน้อยที่ภูมิใจว่าตัวเองได้เป็นพระราชา
แต่ลูน่ารู้ว่าพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายนั้นช่างอ่อนแรง ลำพังแค่ลุกขึ้นก็อาจทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
รัถกำลังฝืนตัวเองในวาระสุดท้ายของชีวิต
“ใช่ ขอโทษนะที่ให้รอ”
“ฉันให้อภัยอยู่แล้ว เพราะฉันเป็นผู้ชายใจกว้างยังไงล่ะ”
รัถยังพูดจาเย่อหยิ่งเหมือนเดิม
“ทำไมถึงไม่แต่งงานเหรอ”
ลูน่าเอ่ยถาม แม้จะรู้ดีว่าเป็นเพราะตัวเองแต่ยังก็อดถามไม่ได้
“เพราะฉันสังหรณ์ใจว่าถ้าแต่งงานไปก็คงไม่มีโอกาสได้เจอเธออีก”
เป็นอย่างที่รัถพูด ถ้ารัถแต่งงานไป บางทีฉันคงไม่มาปรากฏตัวให้เห็นแบบนี้
“ตัวฉันไม่ได้มีค่าถึงเพียงนั้น ฉันจะเอาอะไรมาพันธนาการชีวิตของรัถไว้……”
ลูน่าผลุบตาลง ในอดีตเธอเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองมีค่า แต่ว่าสิ่งที่รัถแสดงให้เห็นมันยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก
“พูดอะไรกัน เพื่อเธอแล้วฉันถึงได้ครองอำนาจสูงสุดและเปลี่ยนแปลงโลก นั่นแปลว่าเธอมีค่ามากถึงขนาดนั้นเลยยังไงล่ะ ไม่มีผู้ชายคนไหนเห็นคุณค่าในตัวเธอมากเท่าฉันแล้วนะรู้ไหม ไม่ว่าจะเป็นคานหรือใครก็แล้วแต่”
“ทำไมต้องเอ่ยชื่ออาจารย์ด้วยเนี่ย”
รัถถึงขั้นเอ่ยชื่อชายอื่นเพื่อตอกย้ำว่าตัวเองดีที่สุด ลูน่ายิ้มอย่างขมขื่นพลางคิดว่าช่างเป็นผู้ชายที่ไม่มีความละเอียดอ่อนเหมือนเดิมเลย
“เป็นคนใจร้ายมากเลยนะนายน่ะ มิหนำซ้ำยังให้ฉันสัญญาแบบนั้นอีก”
รัถให้ลูน่าสัญญาว่า “ห้ามดูดเลือดของคนอื่น” ลูน่าก็รักษาสัญญานั้นมาโดยตลอด แม้แต่ตัวเธอเองไม่รู้ว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาหรือเป็นเพราะเธอมีสัญญานั้นกันแน่
“โฮ่ รักษาสัญญาไว้อย่างดีเลยงั้นเหรอ”
รัถดูแปลกใจ คงไม่คิดว่าลูน่าจะรักษาสัญญาไว้ได้จริง ๆ เพราะเขาเห็นความทรมานจากความกระหายเลือดในระยะใกล้มาโดยตลอด แล้วรัถก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“ใช่ ก็เป็นสัญญากับพระราชาผู้ขี้หึงนี่นา ฉันก็ต้องรักษาสิ”
“เก่งมาก เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันจะให้เธอดูดเลือดฉันก็แล้วกัน”
“……ขอถามอะไรก่อนนะ อยากมีชีวิตนิรันดร์ไหม”
ลูน่ารู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่ ถ้าเกิดเขาตอบว่า “อยาก” ขึ้นมา มันคงเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แล้วก็เศร้าใจในเวลาเดียวกัน
“ช่างเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่ว่า ฉันเป็นราชา ราชาที่จะเป็นตำนานและถูกเรียกขานว่าราชาผู้ห้าวหาญ ถ้าราชากลายเป็นผีดูดเลือดแล้วมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้า มันก็จะดูไม่ค่อยเท่เท่าไร”
เป็นคำตอบที่คาดไว้แล้ว ลูน่าคิดว่าดีแล้วละ แต่ในขณะเดียวกันก็เหงาจับใจอย่างช่วยไม่ได้
“คำตอบแบบนั้นคล้ายกับโลแกนเลย ผู้ชายเป็นแบบนี้ทุกคนสินะ ไม่ว่าจะเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานหรือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม ข้างในก็ชอบทำตัวเท่เหมือนเด็กน้อยกันทุกคน”
“พูดอะไรกัน เป็นเพราะฉันได้มาถึงจุดเดียวกับจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานต่างหาก มันแปลว่าฉันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยยังไงล่ะ”
จนแล้วจนรอดรัถก็ยังคงเป็นผู้ชายหัวรั้น นั่นทำให้ลูน่ารู้สึกดีใจ
“งั้นฉันจะดูดแค่เลือดก็แล้วกัน แต่จะขอดูดจากที่ที่ฉันอยากดูดนะ”
ปกติแล้ว ผีดูดเลือดจะดูดเลือดจากคอ ลูน่าเองก็เคยมีความคิดอยากจะกัดคอของรัถตอนที่ทุกข์ทรมานจากความกระหายเลือดอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้าย เธอก็กัดได้แค่แขนซ้ายของรัถเท่านั้น
“นั่นสินะ ฉันทำให้เธอต้องอดทนมามากแล้ว เอาตามเธอที่ชอบเลย”
รัถอนุญาตตามที่ลูน่าขอ เพราะไม่ว่าจะมีบาดแผลที่ใด เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว
ลูน่าเดินเข้าไปใกล้บัลลังก์ แล้วบรรจงเอาหน้าเข้าไปใกล้ที่คอของรัถ
──
เช้าวันรุ่งขึ้น การสวรรคตของรามนาถราชาผู้ห้าวหาญที่ยิ่งใหญ่ได้รับการยืนยัน เป็นการสวรรคตด้วยพระโรค
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่พระศอจึงมีรอยริมฝีปากทิ้งไว้