ลูน่าวิ่งอย่างรวดเร็ว เป็นความเร็วที่ม้าก็ไม่อาจเทียบได้ และเมื่อกระโดด ก็สามารถข้ามบ้านเรือนได้อย่างง่ายดาย เธอไม่เคยใช้พลังอย่างจริงจังนับตั้งแต่ที่กลายมาเป็นราชาอมตะ ขนาดลูน่าเองก็ยังตกใจกับความสามารถทางกายภาพนี้
จุดหมายที่เธอมุ่งหน้าไปคือคฤหาสน์ของคาน
ข่ายอาคมยังคงอยู่และยังคงไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้
เอกสารการวิจัยที่อยู่ในห้องของคานถูกเก็บไปในฐานะของต้องห้าม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับลูน่า แถมลูเซียน่าก็ช่วยตรวจสอบเนื้อหาการวิจัยให้แล้วด้วย
แต่ในห้องของคานกลับมีวัตถุดิบและตัวเร่งปฏิกิริยาเวทมนตร์วางอยู่แทน นี่ไม่ใช่ไม่ใช่ของคาน แต่เป็นของที่ลูน่าขอให้ลูเซียน่าเตรียมไว้ให้
ลูน่าถือของเหล่านั้นเดินลงบันไดที่อยู่ด้านหลังของซากชั้นหนังสือ ตอนที่คานยังมีชีวิต ลูน่าไม่รู้ว่ามีบันไดนี้อยู่
ห้องใต้ดินซึ่งอยู่ด้านล่างนั้น ยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนที่พวกรัถต่อสู้ เถ้ากระดูกของคานก็ยังคงอยู่เช่นกัน
พื้นฐานของศาสตร์ความตายคือการมองเห็นอนาคตและอดีตผ่านทางผู้ล่วงลับ ซึ่งนั่นก็คือการสนทนากับผู้ล่วงลับ
ลูน่าที่ฝึกฝนศาสตร์เวทนั้นและได้กลายมาเป็นราชาอมตะในตอนนี้ มีพลังเวทมากพอที่จะเชิญวิญญาณใดมาก็ได้
แน่นอนว่าวิญญาณที่เธอจะเรียกมาในครั้งนี้ก็คือเป็นวิญญาณของคาน
ลูน่าจัดวางสิ่งของที่เธอนำมาด้วยไว้รอบเถ้ากระดูกของคาน
จากนั้นเมื่อเตรียมพิธีกรรมเสร็จ เธอก็เริ่มร่ายเวทด้วยความเคร่งขรึม
คานย่อมต้องมีข้อมูลความรู้ต่าง ๆ มากมายล่วงหน้าเพื่อที่จะได้เป็นราชาอมตะ
ลูน่าคาดหวังว่าในบรรดาข้อมูลเหล่านั้นจะมีศาสตร์ช่วยเธอได้
เมื่อร่ายคาถายาวเหยียดด้วยภาษาโบราณจบ พิธีกรรมก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
ง่ายกว่าที่ลูน่าคิดไว้มาก เพราะมีพลังเวทปริมาณมหาศาลช่วยหนุนศาสตร์เวท
ควันที่ลอยขึ้นจากเถ้ากระดูกของคานก่อตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์ให้เห็นราง ๆ
“……ลูน่าเหรอ”
รูปร่างมนุษย์พูดกับลูน่าด้วยเสียงแหบแห้ง
“อาจารย์”
ลูน่ามองควันรูปร่างมนุษย์นั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แต่ถึงแม้ลูน่าจะมีพลังเวทมากเพียงใด ก็ไม่ใช่ว่าวิญญาณจะคงอยู่ไปตลอด
ของอย่างเศษซากวิญญาณที่ถูกบังคับให้มารวมกันด้วยเวทมนตร์นั้น จะหายไปตอนไหนก็ไม่แปลก
“อาจารย์ มีวิธีที่จะทำให้ราชาอมตะอยู่ได้อย่างไม่ทรมานโดยไม่ต้องดื่มเลือดไหมคะ”
“……ความกระหายเลือดจะเกิดขึ้น……วันละประมาณหนึ่งชั่วโมง……หากทนได้……ความกระหายก็จะไม่เกิดขึ้นอีก……จนกว่าจะถึงวันถัดไป”
“มีวิธีที่จะทำให้ทนได้ไหมคะ”
“…..จงไป……ยังที่ที่ไม่มีใคร……เท่านั้นก็……สิ้นเรื่อง”
ลูน่ารู้สึกวิงเวียน วิญญาณของคานกล่าวออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่าย แต่คงไม่รู้หรอกว่าความหิวกระหายนั้นมันทรมานเพียงใด
“มีวิธีเอาชนะที่ตัวความกระหายเลือดเองโดยตรงไหมคะ”
“……ไม่รู้”
ลูน่ารู้สึกท้อแท้กับคำพูดของคาน เธอคาดไว้แล้วว่าคงไม่มี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้เมื่อถูกบอกปัดอย่างชัดเจน
“……ถ้าเป็นโลแกน……ก็อาจ……จะรู้”
ลูน่าคุ้นชื่อโลแกน คานเคยเอ่ยชื่อนั้นหลายครั้งในฐานะอาจารย์ของตน
“โลแกนอยู่ที่ไหนเหรอคะ”
“……อาศัยอยู่……ณ ซากเมืองบานูกูต……ที่ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาซูรา.…..มีข่ายอาคม……ถูกกางไว้……ไม่ให้ผู้อื่น……เข้ามาใกล้”
ลูน่ารู้เกี่ยวกับมหานครบานูกูตที่ชาวอาซูราสร้างขึ้น
เพราะมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์เวทมนตร์
เมืองนั้นอยู่ห่างจากอาณาจักรรามพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นลูน่าต้องไปอย่างไม่มีทางเลือก
รูปร่างมนุษย์ที่ก่อตัวขึ้นจากควันกำลังจะสลายไป เศษซากวิญญาณที่เหลืออยู่ใกล้จะหมดลง
“อาจารย์……”
“……ลูน่า……ฉันขอโทษ……”
ควันหายไปจนสิ้น ลูน่ารู้สึกถึงบางสิ่งไหลลงมาที่แก้มของตน
──
เมื่อลูน่าขึ้นบันไดไปยังห้องของคาน เธอก็เห็นลูเซียน่าอยู่ที่นั่น
“รัถเป็นอะไรไหม”
ลูน่าถาม
“ไม่เป็นอะไร ถึงจะไปไหนไม่ได้สักพักเพราะโลหิตจาง แต่ก็คงไม่ถึงกับชีวิตหรอก”
ลูเซียน่าตอบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ เพราะหลังจากที่มั่นใจแล้วว่ารัถปลอดภัย ลูเซียน่าก็ตรงมาที่นี่โดยฝากรัถไว้กับคิเลียน
“ฉันจะไปบานูกูต อาจารย์บอกว่าที่นั่นมีคนที่ชื่อโลแกนซึ่งเป็นอาจารย์ของอาจารย์อยู่ และเขาอาจจะรู้ก็เป็นได้”
“โลแกน……ถึงเขาจะเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน แต่คานก็เคยเรียนกับเขาสินะ เขาอาจจะรู้ก็จริง แต่บานูกูตอยู่ไกลพอสมควรเลยนะ ระหว่างนั้นจะทำยังไงกับความกระหายเลือดล่ะ”
“อาจารย์บอกให้ไปที่ที่ไม่มีใครอยู่ พอถึง 1 ชั่วโมงมันก็จะสงบลงน่ะ”
ลูน่าตอบอย่างร่าเริงราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ลูเซียน่าที่เฝ้าสังเกตอาการของลูน่ามาตลอดรู้ว่าแรงกระตุ้นต่อความกระหายเลือดนั้นมันรุนแรงเพียงใด
“ดื่มเลือดฉันก่อนแล้วค่อยไปไหม เผื่อมันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง……”
“ไม่เป็นไร ฉันสัญญากับรัถแล้วน่ะ รัถบอกว่า ‘ห้ามดูดเลือดของคนอื่น ฉันหึง’”
ลูน่าหัวเราะ โดนอวดแฟนให้ฟังซะแล้วสิ ลูเซียน่าคิด ซึ่งเรื่องนั้นก็น่าเศร้าอยู่เหมือนกัน
“ฉันเตรียมสัมภาระไว้ให้ตรงโน้นแล้ว”
มีสัมภาระที่วางอยู่ตรงที่ลูเซียน่าชี้ไป ถึงข้างในจะเป็นพวกน้ำและอาหาร แต่ก็เป็นสัมภาระที่ขนาดใหญ่พอสมควร
ลูน่าสัญญากับลูเซียน่าไว้แล้วว่า “จะไม่กลับมาที่อาณาจักรรามอีก” นี่เป็นการเตรียมพร้อมเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสัญญานั้น
“ขอบคุณ ลูเซียน่า”
“……ขอโทษนะ ลูน่าจัง”
ลูเซียน่ากอดลูน่าเบา ๆ ลูน่าเป็นเพื่อนคนสำคัญสำหรับลูเซียน่าเช่นกัน แต่รัถคือผู้ที่อยู่เหนือทุกสิ่งสำหรับลูเซียน่า เธอตั้งใจจะเสียสละทุกอย่างของตนเองเพื่อเส้นทางการเป็นราชาของรัถ
ลูน่าเองก็เข้าใจเรื่องนี้ เธอกอดลูเซียน่ากลับเบา ๆ และบอกลากันเป็นครั้งสุดท้าย
“งั้นฉันไปนะ”
ลูน่าถือสัมภาระขนาดใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ได้อย่างสบาย ๆ พลังของลูน่าที่กลายเป็นราชาอมตะนั้นมากเกินกว่าที่มนุษย์จะทัดเทียมได้
จากนั้นลูน่าก็ออกจากห้องของคานไป
ลูเซียน่าได้แต่มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยว
──
เมื่อออกจากคฤหาสน์ของคานมา ลูน่าก็มุ่งไปยังบานูกูตทันที สัมภาระที่แบกไว้ไม่ได้สร้างความลำบากและไม่กระทบต่อความเร็วในการวิ่งเลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างนั้น ลูน่าก็ยังกระวนกระวายใจ
บานูกูตเป็นสถานที่ที่ต้องเดินทางด้วยรถม้าเป็นเวลาหลายเดือน ไม่ใช่ระยะทางที่จะไปถึงได้ในเวลา 1 วัน ต่อให้ลูน่าจะเร็วแค่ไหนก็ตาม
นั่นหมายความว่าเธอต้องผ่านความกระหายเลือดหลายครั้ง
(ดื่มเลือดของรัถมาเยอะแล้ว คงไม่เป็นไรหรอก!)
ลูน่าพูดกับตัวเอง
เธอพยายามเลี่ยงสายตาคนให้ได้มากที่สุด และตั้งเป้าไปทางตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของบานูกูต
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังกังวลอยู่ดี จึงตัดสินใจนอนในที่ที่ห่างไกลจากบ้านเรือนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในคืนที่คิดว่าความกระหายเลือดจะมาเยือน
เมื่อมองเห็นแสงไฟจากเมืองหรือหมู่บ้าน เธอก็กลัวว่าตัวเองจะตรงดิ่งไปที่นั่นเวลาทนแรงกระตุ้นไม่ไหว ที่นอนจึงถูกจำกัดให้เหลือแค่ในป่าเขาไปโดยปริยาย
ที่นั่นเป็นสถานที่ที่มืดและวังเวงจนแทบจะคลั่งได้ เมื่อซ่อนกายอยู่ในความมืดมิดเพียงลำพัง ก็รู้สึกเสียใจว่า “รู้งี้น่าจะอยู่วัง” อย่างอาลัยอาวรณ์
แต่ความกระหายเลือดที่เธอกังวลกลับไม่มาเยือนในคืนแรกและคืนที่สอง
คงเป็นเพราะเลือดที่ดื่มไปในครั้งสุดท้ายมีปริมาณมากอย่างที่ลูน่าคิดไว้
พอเช้ามา ลูน่าก็ลืมเรื่องในค่ำคืนที่เธอมีจิตใจไม่เข้มแข็ง และตั้งเป้าวิ่งต่อไปยังบานูกูต
ทว่าในคืนที่สาม สิ่งนั้นก็มาเยือนจนได้
เธอรู้สึกกระหายเลือดกลางป่า เป็นความหิวกระหายที่ไม่อาจทนได้ ร่างกายแห้งเหี่ยวและต้องการเลือดราวกับต้องการน้ำ
แม้จะดื่มน้ำและกินอาหารที่พกมา ก็ไม่สงบลงเลยสักนิด
แน่นอนว่าไม่มีผู้คนอยู่รอบ ๆ เธอจึงกัดแขนตัวเองเพื่อทดสอบ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร
เธอต่อยต้นไม้ราวกับจะระบายความโมโหลำต้นแตกออกและต้นไม้ก็ค่อย ๆ ล้มลง กำปั้นที่ลูน่าใช้ต่อยไม่มีรอยแผลเลยแม้แต่น้อย
เธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง รู้สึกถึงเค้าลางว่าบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ในป่ากำลังพากันหนีห่างออกจากรอบตัวเธอ
(เดินหน้าต่อไปดีกว่า)
ลูน่าคิดเช่นนั้น ไม่ใช่เพื่อไปยังบานูกูต แต่เพื่อหาคน
เธอวิ่งอย่างรวดเร็วในป่า เร็วกว่าตอนกลางวันมากนัก แม้ราชาอมตะจะไม่ทรมานกับแสงอาทิตย์ แต่ด้วยความที่เป็นสายพันธุ์ชั้นสูงของผีดูดเลือด พลังของเธอจึงแข็งแกร่งขึ้นในเวลากลางคืน
เธอออกจากป่า ค้นหาถนน และวิ่งไปตามทางที่พบ จนในที่สุด เมื่อเห็นแสงสลัว ๆ จากเมืองที่อยู่ไกล ๆ ลูน่าก็แยกเขี้ยว ฟันเขี้ยวของเธอยาวกว่ามนุษย์ทั่วไปจนกลายเป็นเขี้ยว
เธอยิ้มอย่างชั่วร้ายโดยไม่รู้ตัว
จากนั้น──จังหวะที่ใกล้จะถึงเมือง แรงกระตุ้นก็สงบลงพอดี
เป็นเพราะมันผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ลูน่าทรุดตัวลงคุกเข่าและหลั่งน้ำตา