ผ่านมา 10 วันแล้วตั้งแต่ที่สแตออกไป
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อเร่งด่วนจากสแตเลย แสดงว่าเรื่องทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่นสินะ
“คุณโอโตฮะ คุณโอรัน อาหารได้แล้วนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“อยากได้อะไรเป็นของหวานหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ”
ก็นะ ส่วนทางเรานี่ ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
“ท่านโนอะฝากข้อความมาถึงนะคะ ท่านว่า ‘อีกประมาณ 4-5 วัน สแตก็น่าจะกลับมาแล้ว ระหว่างนั้นก็หารือกันด้วยล่ะว่าจะทำยังไงกัน’”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะเจ้าคะ”
“พวกคุณ 2 คน ยังไงก็ยังไม่ยอมเชื่อใจเราสินะคะ”
““…””
“ฉันเข้าใจสภาพแวดล้อมที่พวกเธอต้องโตมานะคะ ความรู้สึกของพวกเธอ ฉันก็เข้าใจ ฉันเองก็ผ่านประสบการณ์คล้ายๆ กันนี่มาเหมือนกัน แต่ว่า อย่างน้อยที่สุด ท่านโนอะก็ไม่ใช่คนที่จะหักหลังคนที่ท่านเห็นเป็นของรักของหวงของท่านหรอกค่ะ”
ทั้งสองพากันก้มหน้าลง ไม่แสดงสีหน้าอะไรตอบกลับคำพูดของฉันเลย
เป็นเหมือนกันกับ 10 วันที่ผ่านมาล่ะ
“ฉันก็แค่คิดออกมาเสียงดังเท่านั้นนะคะ ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อน”
ฉันเปิดประตูห้อง กำลังจะกลับไปที่ห้องของท่านโนอะ
“…ว่าตามตรง”
ตอนที่ฉันกำลังจะปิดประตู ฉันก็หยุดกึกเลย
“ว่าตามตรง ดิฉันเข้าใจเจ้าค่ะว่าพวกคุณไม่ใช่คนไม่ดี ดิฉันไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายจากพวกคุณ 3 คนแบบที่เราต้องเจอเมื่อตอนที่อยู่บ้านของตระกูลกิฟท์เลย ดิฉันรู้ว่าพวกคุณต้องการจะช่วยฉันกับโอรันกันจากใจจริง แล้วดิฉันก็ซาบซึ้งกับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”
“…แต่ว่า เราทำใจเชื่อพวกคุณไม่ลงจริงๆ ผมไม่เคยเชื่อใจใครนอกจากโอโตฮะมาก่อนเลย”
คำพูดที่ฝาแฝดต่างงึมงำกันออกมาเงียบๆ นั่นเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีเลยล่ะ อย่างที่ท่านโนอะบอกเลย จริงๆ แล้วทั้ง 2 คนต้องการจะเชื่อใจใครซักคน
“พวกคุณ 2 คนไม่ผิดหรอกค่ะ หลังจากที่ต้องพึ่งพากันมาตลอด 11 ปี กับพวกเราที่เพิ่งจะเจอกันได้แค่ 10 วัน ก็เข้าใจได้อยู่แล้วที่มันยากที่จะเชื่อใจได้ลง”
ฉันเห็นด้วยกับพวกเธอเลยนะ
2 คนนี้เป็นเหมือนกับตัวฉันในอดีตเลย
ถูกคนเป็นพ่อเป็นแม่จับขังกรง ทำได้แค่ต้องทำตามที่สั่งอย่างเดียว
เมื่อครั้งแรกที่เราเจอกัน พวกเธอดูเหมือนกับฉันเมื่อตอนที่ไร้ซึ่งอิสระในชีวิตเลยล่ะ
“เพราะงั้น ถ้าพวกเธอยังเชื่อใจเราไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกค่ะ อย่างน้อย ฉันแค่ขอให้พวกเธอช่วยฟังสิ่งที่ท่านโนอะจะพูดก็พอ ถ้าได้ฟังแล้ว ฉันคิดว่าพวกคุณจะสามารถเชื่อใจพวกเราได้นะคะ อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่พวกเราได้เจอมา”
“คุณไว้ใจน่าดูเลยนะเจ้าคะ ในตัวเจ้านายของคุณน่ะ”
“ค่ะ ถ้าฉันไม่ได้พบกับท่าน ฉันก็คงจะตายไปนานแล้ว ชีวิตนี้ที่ได้ท่านโนอะช่วยเอาไว้เลยมีอยู่เพียงเพื่ออุทิศให้กับท่านเท่านั้นค่ะ”
ฉันพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดแล้วเรียบร้อย จึงได้ปิดประตู และเดินตรงไปที่ห้องครัว
หลังจากที่รับอาหารของท่านโนอะกับของฉันมาแล้ว ฉันก็ขนพวกมันไปที่ห้องของท่านโนอะ
“ท่านโนอะคะ คุโระค่ะ นำอาหารมาแล้วนะคะ”
“โอ้ เข้ามาได้เลย”
พอเปิดประตูเข้าไป ฉันก็เห็นท่านโนอะกำลังนั่งอ่านตำราเวทมนตร์สายแสงสว่างอยู่เลย
“อื~ม ยังไม่ถึงขั้นเวทมนตร์ระดับสูงเลยแฮะ”
“ขนาดเวทแสงสว่างที่ท่านโนอะใช้ได้ในตอนนี้ก็แกร่งพอตัวแล้วนะคะ ถ้าไปถึงเวทมนตร์ระดับสูงทำอะไรได้ยังงั้นเหรอคะ?”
“ถ้าเป็นในแง่การรักษา ต่อให้จะเป็นแผลที่สาหัสถึงชีวิตก็สามารถหายได้ในพริบตา แถมยังสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงได้ชั่วขณะนึง หรือสาดฝนกระสุนแสงออกไปด้วยการสะท้อนกระจายเป็นวงกว้างก็ได้เลยล่ะ”
“น่าตกใจจังเลยค่ะ”
ฉันวางอาหารลงบนโต๊ะและเหลือบมองตำราเวทจากทางข้างหลัง
“2 คนนั้นเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ?”
“ยังเย็นชาเหมือนเดิมนะคะ แต่”
“แต่?”
“พวกเขาเข้าใจค่ะว่าเราไม่ใช่คนไม่ดี พวกเขาเพียงแค่เชื่อใจไม่ลงเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม”
ฉันอธิบายสิ่งที่ทั้งคู่พูดเอาไว้เมื่อครู่นี้ให้ท่านโนอะฟัง
“จากที่ยอมพูดเรื่องนี้ให้ฉันได้รู้แล้ว ฉันคิดว่าพวกเธอเริ่ เปิดใจให้เราบ้างแล้วนะ”
“ฉันก็ดีใจค่ะที่ได้ยินแบบนั้น ยังไงฉันก็ปล่อยทั้งคู่เอาไว้ตามลำพังไม่ได้จริงๆ”
“เพราะชวนให้นึกถึงตัวเธอเองสมัยก่อนงั้นเหรอ?”
“ค่ะ”
ยังสายตาแหลมคมเหมือนเคยเลย
“ฉันก็เป็นห่วงนะเรื่องว่าถ้าเกิดโอโตฮะกับโอรันไม่มาที่นี่มันจะเกิดอะไรขึ้น ความโหดร้ายของโลกที่มีต่อพวกเส้นผมชั้นต่ำน่ะ ฉันคิดว่ามันอำมหิตเกินกว่าที่เด็กพวกนั้นจะจินตนาการได้แน่นอน พวกเธอไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ไม่มีงาน ว่าตามตรง ฉันมองไม่ออกเลยว่าเด็กพวกนั้นจะรอดชีวิตได้ยังไงนอกจากจะต้องตกไปเป็นทาสน่ะ”
“ท่านโนอะน่ะจะอ่อนโยนกับผู้มีพรสวรรค์เวทมนตร์หายากในตัวจังเลยนะคะ ท่านยังคิดถึงเรื่องที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฝาแฝดทั้ง 2 คนถ้าเกิดปล่อยพวกเขาออกไปน่ะ”
“เปล่าหรอก ฉันก็แค่ชอบเด็กๆ ที่มีพรสวรรค์ก็เท่านั้นเอง ยิ่งกว่านั้นคือ ฉันทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเด็กๆ ที่มีพรสวรรค์ต้องได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างโหดร้ายจากพวกครึ่งๆ กลางๆ น่ะสิ ถ้าเกิดมีพรสวรรค์ล่ะก็ ต่อให้จะเป็นผู้ใช้เวทจตุรธาตุฉันก็จะอ่อนโยนกับพวกเขาอยู่ดีนั่นแหละนะ”
นี่ ถ้าเกิดฉันไม่ได้มีผมสีดำ ท่านโนอะก็คงจะไม่ได้สนใจอะไรฉันเลยสินะ
สแตเองก็เหมือนกัน
ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ เจ้าเส้นผมต้องสาปนี่ที่ฉันเคยเกลียดชัง อาจจะเป็นอะไรที่เขาเรียกกันว่าของขวัญรับการเกิดใหม่ก็ได้ล่ะมั้ง
“ท่านโนอะ…”
“อืม? อะไรเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ที่สำคัญ อาหารของท่านจะเย็นแล้ว รีบทานก่อนดีกว่านะคะ”
“ตอนนี้ฉันยังว่าไม่ได้น่ะ ป้อนหน่อยสิ~”
“ท่านแค่วางหนังสือลงก่อนก็ได้นี่คะ”
“ยุ่งยากไปหน่อยน่ะ”
“เฮ้อ ช่วยไม่ได้นะคะ…”
ฉันทำตัวให้ชินกับความเอาแต่ใจของท่านโนอะแล้วล่ะ
ฉันหั่นเนื้อที่อยู่ในจานหลักให้เป็นขนาดพอดีคำ
“นี่ค่ะ อ้า~ม”
“อ้า~ม”
แล้วก็ป้อนเข้าปากท่านโนอะ
“อายุ 12 แล้วยังต้องทำแบบนี้มันน่าอายนะคะ โปรดทานอาหารเองด้วยเถอะค่ะ”
“เอ๋~”
“เอ๋—ไม่ได้ค่ะ!”
ฉันพยายามจะยึดตำราเวทมาจากท่านโนอะเพื่อจะให้ท่านมาทานอาหารเองดีๆ ซักที แต่ท่านก็ขัดขืนไม่ยอม
*―――ปี๊บปี๊บปี๊บปี๊บปี๊บปี๊บ*
“เสียงอะไรน่ะคะ?”
“คุโระ ไม่ใช่ว่าเสียงมันดังมาจากกระเป๋าเธอเหรอ?”
เสียงที่ฉันได้ยินมันฟังดูเหมือนเสียงมือถือแบบเมื่อชาติก่อนของฉันเลย ฉันก็ลองควานๆ ดูในกระเป๋าของตัวเองดู
“นี่มัน อุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ติดต่อกับสแตนี่คะ”
“เอาออกมาดูเร็ว”
ถ้าฉันใส่พลังเวทลงไปนิดหน่อย มันก็จะสามารถใช้พูดคุยกับไอเท็มอีกชิ้นนึงได้ เป็นหนึ่งในไอเท็มแบบใช้แล้วทิ้งชิ้นนึงที่เก็บอยู่ในห้องสมุดใหญ่
พอฉันใส่พลังเวทออกมาจากมือ ไอเท็มทรงกลมเหมือนลูกบอลสีฟ้าก็เปล่งแสงสว่างเป็นสีแดง
“ฮัลโหล?”
“คุโระ?”
“สแต มีอะไรหรือเปล่า? เกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นงั้นเหรอ?”
“เปล่า รายงาน คุณหนู?”
“ฉันอยู่นี่”
“รายงานที่ว่า คืออะไรล่ะ?”
“เสร็จแล้ว”
“เสร็จแล้ว หมายถึง?”
“หรือว่าจะหมายถึง งานน่ะเหรอ?”
“อื้ม งานเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้กำลังกลับบ้าน”
ฉันลองคำนวณวันที่ดู
รถม้าจะวิ่งจากนี่ไปถึงนั่นใช้เวลา 3 วัน
นับจากที่สแตออกไปจนถึงตอนนี้ วันนี้ก็วันที่ 10 แล้ว
แสดงว่า สแตจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในเวลาแค่ 7 วันเองสินะเนี่ย
“เร็วกว่าที่วางแผนไว้ 1 วันสินะ สมแล้วจริงๆ สแต การจลาจลเกิดขึ้นตามที่คาดเอาไว้มั้ย?”
“ยังไม่เกิด แต่ มั่นใจว่าเกิดแน่ ตอนนี้ อยู่ในรถม้า กำลังคุมให้คุณม้าพากลับบ้านอยู่”
“ทำได้ดีมาก ระวังถนนหนทาง แล้วก็ทำให้แน่ใจด้วยล่ะว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าระหว่างทางมีโจรหรืออะไรก็ตามบุกเข้ามาโจมตีล่ะก็ เธอได้รับอนุญาตให้ฆ่าได้ทั้งหมดเลยนะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“ได้กินอิ่มตลอดหรือเปล่า? นอนหลับสนิทมั้ย?”
“ไม่เป็นไร มีโกราสึเกะ ตุ๊กตาคุโระ ตุ๊กตาคุณหนู อยู่นี่ด้วย”
โล่งอกไปที
แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ
“สแต ไอเท็มชิ้นนี้มันเป็นของใช้แล้วทิ้ง เราเลยตกลงกันแล้วนี่ว่าจะไม่ใช้มันนอกจากกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แล้วทำไมเธอถึงเอาใช้เพื่อรายงานล่ะ?”
“……”
“สแต?”
“……ก็มัน เหงานี่”
“เอ๊ะ?”
“ยังไง ก็เป็นตุ๊กตา ยังไงก็ไม่ใช่ คุโระหรือคุณหนูตัวจริง ก็เลยเหงา”
―――งื้อ
เสียงหัวใจในอกของทั้งฉันทั้งท่านโนอะมันคับแน่นในอกจนดังออกมาพร้อมกันเลย
“แต่ก็ ทำผิดสัญญา ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกนะสแต! ไม่ต้องคิดมากเรื่องนั้นหรอก! ขอโทษที่ทำให้เธอต้องรู้สึกเสียใจนะ! ไว้เธอกลับมาแล้ว จะโอ๋เธอเต็มที่เท่าที่เธอต้องการเลย!”
“ใช่แล้ว! เดี๋ยวฉันเตรียมของโปรดเอาไว้ให้เธอนะสแต! อยากกินอะไรเดี๋ยวทำให้ได้ทุกอย่างเลย!”
“จิงเหรอ?”
“แน่นอนสิ!”
“จะไม่โกรธ ใช่มั้ย?”
“จะโกรธได้ยังไงล่ะ แถมยังเป็นเด็กที่พยายามมาเต็มที่อย่างเธอด้วยนะ!”
“……อืม ดีใจจัง”
น่ารักน่าชังอะไรขนาดนี้เนี่ย
ขนาดไม่ได้เห็นเธออยู่ตอนนี้ ก็ยังบอกได้เลยว่าสีหน้านิ่งไร้อารมณ์ของเธอตอนนี้ มุมปากทั้ง 2 ข้างของเธอกำลังยกขึ้นมาอยู่น่ะ
“งั้น จะเก็บพลังเวทไว้ ตัดแค่นี้นะ”
“อือ ขอให้เธอเดินทางปลอดภัยนะ”
“ระวังตัวให้ดีด้วยล่ะ”
ลูกบอลสีแดงนั้นกลับเป็นสีฟ้า แล้วก็แตกออกตรงนั้นเลย
“นี่ คุโระ”
“อะไรเหรอคะ?”
“สงสัย จากที่ฉันกับเธอช่วยกันสั่งสอน จะทำให้เด็กคนนี้โตมาเป็นเด็กดีเลยนะเนี่ย”
“บางที อาจจะเพราะพื้นฐานของเธอเองก็เป็นเด็กดีตั้งแต่แรกแล้วด้วยก็ได้นะคะ”
“บางที ฉันเองก็น่าจะลองทำตัวน่ารักแบบนั้นบ้าง ซักหน่อยจะดีมั้ยน้า”
“ได้โปรดอย่าเลยค่ะ น่าขนลุก”
TN: ไม่น่าเลย ออร์เกอร์
นี่มันคงจะเป็นชะตา… ที่ไม่อาจเลี่ยงล่ะนะ