จากเหตุการณ์นั้น ฟลูเรเทียเลยตัดสินใจเกษียณตัวเอง
เราพยายามรั้งเธอไว้ แต่การตัดสินใจของเธอก็เป็นที่แน่นอนแล้ว เหตุผลนั้นมีอยู่ 2 ข้อ
ข้อแรก แน่นอนอยู่แล้ว เป็นเรื่องของวีเนล หลังจากนั้น ถึงแม้ว่าเราจะสามารถปลอบจนฟลูเรเทียสงบลงได้ แต่แผลใจที่ยัยปีศาจโรคจิตทำกับเธอเอาไว้ก็หนักเกินเยียวยา จนทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเธอลดลงไปมาก
ยิ่งกว่านั้น ผลจากเวทมนตร์ที่เธอถูกร่ายใส่เป็นเวลานานนั่น มันหนักหน่วงมากๆ จนเธอไม่สามารถต่อต้านคำของวีเนลได้ เพราะงั้น มันเลยกลายเป็นเรื่องที่พวกเราไม่สามารถจัดการได้เลย
ส่วนอีกข้อนึงคือ… เรื่องของอายุขัย
ฟลูเรเทียเป็นมนุษย์มังกร เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุขัยยาวนานพอประมาณ แต่ถึงยังงั้น ก็แค่ประมาณ 300 ปี… ซึ่งมันไม่ใช่อายุขัยเฉลี่ย แต่เป็นอายุขัยมากสุดที่มนุษย์มังกรสามารถอยู่ได้ถึง อายุเฉลี่ยของมนุษย์มังกรจะอยู่ที่ประมาณ 240 ปีเอง
สำหรับพวกเราแวมไพร์หรือเอลฟ์ที่อยู่ได้มากกว่า 1,000 ปี ปีศาจที่อยู่ได้เกือบ 3,000 ปี หรือแฟรี่ที่แทบจะไม่มีอายุขัยจำกัดแล้ว นั่นถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่อายุสั้นเหลือเกิน
และนับจากที่ฟลูเรเทียเกิดมา นี่ก็ผ่านมา 220 ปีแล้ว
…ว่ากันตามตรง มันไม่แปลกเลยที่ร่างกายจะเริ่มแก่ลงเมื่อภาวะกึ่งอมตะใกล้จะสิ้นสุด
เวลานั่นมาถึงอย่างปุบปับเลย ประมาณ 5 ปีหลังจากที่ฟลูเรเทียเกษียณตัวเองไป จู่ๆ เราก็ได้รับการแจ้งด่วนจากจักรพรรดิมังกร วาเบล ที่มารับตำแหน่งผู้บริหารของกองทัพจอมมารต่อจากฟลูเรเทีย
ภาวะกึ่งอมตะของฟลูเรเทียสิ้นสุดแล้ว จนตอนนี้ แค่การเดินสำหรับเธอก็ลำบากซะแล้ว
ภาวะกึ่งอมตะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเผ่าพันธุ์ที่มีอายุขัยยาวนาน ที่จะคงรูปร่างและสภาพภายในของร่างกายไปตลอดชีวิตที่เหลือ แต่ว่า เมื่อเวลานั่นมาถึง สภาพภายในร่างกายจะเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว และเข้าใกล้ความตายเข้าไปเรื่อยๆ
สภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นในปีสุดท้ายก่อนจะจากไปเพราะหมดอายุขัย หรือก็คือ อายุขัยของฟลูเรเทียที่เหลืออยู่คือ……
อีกแค่ปีเดียว
“มาม้า ซุปหกแล้วนะคะ?”
เสียงลูกสาวสุดที่รักอย่างมิเนียช่วยดึงสติเรากลับมา เราถึงเพิ่งจะสังเกตว่าเราทำซุปหกลงบนหน้าขาเราไปพอควรเลย
“อุหวา…”
“นี่ค่ะ ผ้าเช็ดหน้า”
“อ- อ่า… ขอบคุณนะ มิเนีย”
มิเนียตอนนี้ก็ 8 ขวบแล้ว ถึงสเตตัสที่เธอได้หลังจาก [การตื่นของความสามารถ] จะไม่ได้ดีขนาดของเรา แต่ก็ถือว่าสูงเลย สมกับที่เป็นลูกสาวของเราจริงๆ
โดยเฉพาะความสามารถด้านการฟื้นฟูของเธอนั้นยอดเยี่ยม เธอก็เลยเลือกอาชีพของตัวเองเป็นนักบุญ
ว่าแล้วเชียวว่าเด็กที่ช่วยเยียวยาใจให้เราคนนี้ จะมีความสามารถที่เข้ากันได้สุดยอดแบบนี้น่ะ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ มาม้า? งานหนักมากเลยเหรอคะ?”
“เปล่าหรอก มาม้าไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก”
จริงๆ เรากำลังนึกถึงฟลูเรเทียอยู่
ฟลูเรเทีย เพื่อนที่ยอมเดินร่วมทางกับเรามานานกว่า 200 ปี
เธอกำลังจะตายในเวลาไม่ถึงปีแล้ว
เธอเป็นเพื่อนของเรามาตั้งแต่ก่อนที่เราจะเป็นจอมมารด้วยซ้ำ และเธอก็คอยอยู่ข้างเรามาโดยตลอด ถึงเราจะสั่งนู่นสั่งนี่ไปตั้งเยอะ เธอก็จะคอยจัดการให้…
“มาม้า? เครียดเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่าคะ?”
มิเนียมองตรงมาที่เราอย่างเป็นห่วง ดูท่าทางเรื่องที่กำลังคิดอยู่จะออกมาทางสีหน้าเราสินะ
จะว่าไป ตอนที่ได้เจอกับเธอครั้งแรกนั่น เธอก็ดูซื่อๆ เซ่อๆ เหมือนมิเนียตอนนี้เลยนี่นา
มาตอนนี้สิ เธอพูดเหมือนพวกคุณพี่สาวแล้ว…
“…ฮุฮุ”
“อ๊ะ! หัวเราะแล้ว!”
“ขอโทษนะ มิเนีย มาม้าแค่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้นเอง มา รีบกินให้เสร็จดีกว่า”
“อื้อ!”
นั่นสินะ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคร่ำครวญนี่นา
ตามระยะเวลาสัญญาที่เราตกลงกับท่านอิซึสึไว้ ยังไม่ถึง 10% เลย
เรารู้ดีอยู่แล้วว่าเวลาแบบนี้จะต้องมาถึงซักวันนึง
ถ้าเกิดเราจะมาเสียเวลามัวแต่ครึ้มอกครึ้มใจหรือโลเลลังเลล่ะก็ เอาเวลามาคิดว่าเราจะพัฒนากำลังของพวกเราจากผลการต่อสู้ที่ฟลูเรเทียอุทิศตัวเองต่อสู้มาโดยตลอดได้ยังไงดีกว่า
“เอาล่ะ… มิเนีย เดี๋ยวมาม้าต้องไปทำงานเร็วหน่อยนะ ฝันดีนะลูก”
“เอ๋― ต้องไปแล้วเหรอค้า?”
“ขอโทษนะลูก วันนี้มาม้าอาจจะไม่ได้กลับบ้านนะ เชื่อฟังคุณตาคุณยายให้ดีด้วยล่ะ”
“…ค่า”
“แต่ว่า ถ้าเกิดลูกอยากจะไปแกล้งคนอื่นล่ะก็ นั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้หรอก เพราะลูกได้เลือดจากมาม้ามา เพราะงั้น จะไปแกล้งพวกชาวบ้านบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
“เข้าใจแล้วค่า”
“นั่นไปสอนอะไรลูกนะฮะ! ไม่ได้นะ มิเนีย ห้ามไปแกล้งคนอื่นนะ… นี่! ฟิลิส! มานี่เดี๋ยวนี้! คนเป็นแม่ไปสอนลูกแบบนั้นได้ยังไง… บ้าจริง! เจ้าลูกบ้าดันหนีไปแล้วซะได้!”
“อา เคลื่อนทัพไปที่ประเทศนี้ได้เลย แล้วก็ ให้ทัพของเกรย์ไปที่จุด B-4 ด้วย วีเนล มีความคิดอะไรหรือเปล่า?”
“อา ถ้าฉันจำไม่ผิด คนที่ดูแลตรงนี้คือว่าที่ผู้บริหาร นัตสึเมะจัง ใช่มั้ยคะ? งั้น ให้เธอใช้ความสามารถในการสอดแนมของเธอได้เลย…”
“ร- เรื่องฉุกเฉิน! เรื่องฉุกเฉินครับ!”
หน่วยลาดตระเวนคนนึงรีบวิ่งเข้ามา
“มีอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
“ท- ท่านจอมมารครับ… แล้วก็ ท่านฟราน! ท่านดีเช! ท่านวีเนล! เรื่องใหญ่แล้วครับ! ท่านฟลูเรเทีย ตอนนี้…”
ได้ยินแค่นั้น เราก็ยกเลิกการประชุมในทันที ก่อนที่จะรีบเคลื่อนย้ายมาที่เมืองของมนุษย์มังกรพร้อมกับอีก 3 คน
และรีบวิ่งไปที่ห้องตามที่พวกเขานำพวกเราไป
“ฟลูเรเทีย!”
คนที่นอนอยู่ตรงนั้น
คือฟลูเรเทียที่ไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว
“เลตตี้……!?”
“……นั่น สินะ”
“…เมื่อครู่นี้ เธอเพิ่งจะสิ้นลมไปเองครับ”
เสียงของหมอฟังดูเหมือนอยู่ไกลมาก และพวกเราทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั่น
‘แม่ทัพอหิงสา’ ฟลูเรเทีย สมาชิกที่เก่าแก่ที่สุดของกองทัพ วีรสตรีที่ร่วมกันก่อตั้งกองทัพจอมมารขึ้นมากับเรา และอุทิศตัวเองเพื่อกองทัพมาอย่างยาวนาน
ตอนนี้ เธอคนนั้น ได้จากไปแล้ว
“…ฟลูเรเทีย”
ถ้าเรามองดูเธอในตอนนี้ ก็เห็นเหมือนกับว่าเธอกำลังนอนหลับอยู่ก็เท่านั้นเอง
แต่ เธอไม่หายใจแล้ว หัวใจก็หยุดเต้นไปแล้วเหมือนกัน
รู้อยู่แล้วล่ะ ว่าเวลาแบบนี้มันจะต้องมาถึง ซักวันนึง
แต่… ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่การจากลาแบบนี้มันก็เศร้าเกินไปอยู่ดีนั่นแหละ
เราอยากจะได้พูดอะไรซักอย่างกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก็ยังดี
“เลตตี้… ตื่นได้แล้วน่า…”
“………อึก”
ฟรานก็ร้องไห้ไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ เราเคยเห็นเธอร้องไห้มาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
ตอนที่ริงกะตาย ตั้งแต่ตอนนั้นน่ะ
วีเนลไม่ได้ร้องไห้เลย แต่เธอกัดริมฝีปากแน่นเหมือนกับพยายามอัดอั้นอะไรซักอย่างไว้อยู่
เรามั่นใจว่าเธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้นั่นแหละ
บางที เธออาจจะคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะร้องไห้ให้กับฟลูเรเทียล่ะมั้ง
“ฟลูเรเทีย เธอ คอยช่วยเหลือเรามาตลอดเลย”
แล้ว เราก็พูดกับฟลูเรเทียที่ค่อยๆ ตัวเย็นลงเรื่อยๆ โดยที่ไม่ทันรู้ตัวเลย
“ไม่รู้เลยต้องบอกขอบคุณเธอแค่ไหนถึงจะพอ ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะเธอ ความเสียหายที่กองทัพจอมมารต้องได้รับถึงได้น้อยมากขนาดนี้ ก็ไม่เกินจริงเลย ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เรารู้สึกวางใจได้ตอนที่อยู่ภายในเวทคุ้มครองของเธอ เพื่อนพ้องตัวเล็กของเราช่วยปกป้องเพื่อนพ้องของพวกเราเอาไว้ไม่รู้เท่าไหร่ ภาระนี้ คงหนักมากเลยสินะ…”
มนุษย์มังกรคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่รอบๆ ที่ชื่นชมในตัวของฟลูเรเทียเองก็ปาดน้ำตากัน
ในห้องตอนนี้ มีแต่เสียงของเรา และเสียงสะอื้นเท่านั้น
“หลายร้อยปีที่ผ่านมา เราขอบคุณมาก… ขอบคุณสำหรับความเหน็ดเหนื่อยตลอดมานะ”
ตอนนั้น เราก็สังเกตว่าเราเองก็ร้องไห้เหมือนกัน
ดูเหมือนความรู้สึกที่เรามีให้ฟลูเรเทียจะมากกว่าที่ตัวเราเองคิดซะอีก
“………คือ―”
อา ฟลูเรเทีย ขอบคุณสำหรับทุกอย่างจริงๆ นะ
“เออคือ ฟิลิส?”
ฮะฮะฮะ… รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของฟลูเรเทียพูดตอบกลับมาเลยแฮะ
เป็นเสียงที่ส่งมาจากอีกฟากนึงงั้นเหรอ เธอจะบอกให้ [i]‘สู้ๆ นะ’[/i] หรือเปล่านะ?
“เดี๋ยว เงยหน้าขึ้นก่อนสิ”
หน้า?
เราเงยหน้าขึ้นตามที่เสียงนั้นบอกให้ทำ
ตรงหน้านั่น เราก็เจอหน้าของฟลูเรเทีย ที่ลุกขึ้นนั่งพลางทำสีหน้าอึกอัก
“………ฮะ?”
“เออ คือ คือว่า… ดิฉันไม่รู้ว่าเธอคิดแบบนั้นมาตลอดเลย คือ ที่ฟิลิสบอกมา ดิฉันก็ดีใจมากๆ เลยล่ะ ขอบคุณนะ แต่ว่า ดิฉันไม่อยากโดนฟิลิสบอกว่าตัวเล็กเท่าไหร่เลยน่ะ แต่ว่า คือ…”
เดี๋ยวก่อนนะ นี่ เกิดอะไรขึ้นน่ะ? นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
“หือ? อะ เอ๊ะ? อะไร- เออ? เอ๊ะ?”
“เออ นั่นน่ะ คือ… ขอโทษนะ อา― คือแบบว่า… วิวัฒนาการแล้วก็คืนชีพขึ้นมาไงหล้า! …ประมาณนั้นล่ะมั้ง?”
วิวัฒนาการแล้วก็คืนชีพขึ้นมางั้นเหรอ
แล้ว ที่เราพูดอยู่คนเดียวตั้งยืดยาวจนถึงเมื่อกี้นี้ล่ะ?
“ตอนนี้ เรื่องรายละเอียด…”
“ฟราน จัดการ”
“{ช็อคเวฟ (คลื่นกระแทก)}”
“อะไรน่ะ!? อันตราย!?”
จู่ๆ ก็มีเวทมนตร์ถูกยิงใส่ฟลูเรเทีย
แน่นอน คนยิงก็คือฟรานนั่นเอง
อยู่แล้วล่ะ เพราะเราก็กำลังคิดแบบเดียวกันเลย
“……เอาน้ำตาของพวกชั้นคืนมาเลยน้าาาาา!!!”
“ม่ายยย! เดี๋ยว! อะไรกันน่า!?”
ตอนนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เราจะขอบคุณฟรานเป็นการส่วนตัวน่ะ
TN: เกือบจะซึ้งแล้ว 555
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r