“…ให้เห็นด้านที่ไม่น่าดูจนได้นะ”
“…ไม่หรอก ก็พอกันทั้งคู่นั่นแหละ”
พวกเราหัวเราะกันอยู่ซักพัก และพอหยุดร้องไห้กันแล้ว บรรยากาศตึงๆ ที่ทำอะไรกันไม่ถูกก็เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเรารวบรวมสติกับเนื้อกับตัวได้พลางมองย้อนดูตัวพวกเราเองในเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“…เอาล่ะ ช่างเถอะ เก็บภาพนั้นเอาไว้แค่ในใจของพวกเราก็พอ”
“…นั่นสินะ”
ลุงตัวโตอายุ 800 กว่าๆ กับเด็กสาวอายุ 200 กว่าๆ นั่งหัวเราะไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย ในขณะที่อุ้มเด็กทารกเอาไว้อยู่ เป็นภาพที่ประหลาดไม่น้อยเลยล่ะ
“อื้อ! แล้ว จากนี้ แกจะทำยังไงต่อล่ะ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“ตอนนี้ ในฐานะที่เป็นสาวกผู้ติดตามของท่านอิซึสึ แกมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำราบพวกมนุษย์ไม่ใช่เรอะ? แล้วเรื่องเด็กคนนี้… เรื่องของมิเนียล่ะ แกจะคอยดูแลเธอระหว่างที่ทำงานไปด้วย หรือว่าจะทำยังไง?”
“…เรื่องนี้นี่แหละ ที่เรายังคิดมากอยู่เลย…”
แน่นอนว่ามิเนียสำคัญกับเรามาก อย่างน้อย ถ้าต้องจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ ในชีวิตแล้ว ชีวิตของเด็กคนนี้สำคัญกว่าชีวิตของเราซะอีก
แต่ว่า ถึงยังงั้นก็เถอะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้งภาระงานของจอมมารที่ต้องทำหน้าที่รักษาสมดุลพลังของโลกเอาไว้นะ เรื่องนี้มีชะตาของริงกะเป็นเดิมพันอยู่
และเราเองก็ไม่อยากให้มิเนียต้องโดนลากมาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของกองทัพจอมมารด้วย
เพราะงั้น เราก็อยากจะให้เด็กคนนี้ได้มีชีวิตอย่างปกติสุข โดยที่ไม่ต้องรู้เรื่องของกองทัพจอมมารให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“แต่ว่า เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพจอมมารน่ะ มีทหารของเราประจำการอยู่เป็นจำนวนมากเลยนะ เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของเราด้วย เธออาจจะเดินตามทหารออกไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น จนออกไปตรงที่ทำงานของเราก็ได้ พูดอีกอย่างคือ ถ้าเราจะดูแลเธอ จะกลายเป็นว่าเธอต้องอยู่แต่ในห้องน่ะสิ…”
“เป็นปัญหาที่คิดไม่ตกเลยนะเนี่ย เอาน่า ค่อยๆ ใช้เวลาคิดเถอะ ในเมื่อแกมาที่หมู่บ้านแล้ว ข้าจะช่วยหารือกับแกก็แล้วกัน จะอยู่ที่นี่อีกซักพักใช่มั้ยล่ะ?”
“อ่า ไม่ล่ะ เราต้องรีบกลับไปทันทีที่ทำได้เพื่อจัดการการรายงานให้เรียบร้อยด้วยสิ เป็นภาระงานของเราล่ะนะ”
“โธ่ อะไรกัน น่าเสียดายจริงๆ… ข้าอยากได้อยู่กับหลานสาวของข้าให้นานกว่านี้ซะหน่อยนะเนี่ย แต่ พอมาคิดว่าแกยุ่งเพราะเรื่องงานแล้วนี่มันก็นะ… เด็กสาวตัวปัญหาคนนั้นที่ดีกว่าวิญญาณสิงตามบ้านแค่เพราะไม่ทำร้ายคนอื่นตรงๆ แต่แค่ข่มขู่เฉยๆ ทุกวันนี้จะกลายเป็นคนที่มีงานรัดตัวไปซะแล้วเหรอเนี่ย… ทุกคนนี่ก็ต้องเติบโตเหมือนกันสินะ”
“แก ขอบคุณมิเนียซะด้วยล่ะ ถ้าหัวหน้าเผ่าไม่ได้อุ้มลูกของเราอยู่ล่ะก็ หมัดตรงของเราอัดเข้าเต็มลิ้นปี่ของแกไปแล้วล่ะ”
ดูเหมือนต้องเตือนให้ชายคนนี้จำได้ซักหน่อยแล้วมั้งว่าเราน่ากลัวขนาดไหนน่ะ
“…กลับเข้าเรื่องเถอะ เรื่องของเราเอามาคุยนี่ ก็มีเรื่องของริงกะ เรื่องสถานะของเราตอนนี้ แล้วก็ อีกเรื่องนึง”
“อือ”
“เรื่องนี้ เราไม่ได้พูดในฐานะฟิลิส แต่ในฐานะจอมมาร… หัวหน้าเผ่า นายจะยอมให้เผ่าแวมไพร์เข้าร่วมกับกองทัพจอมมารหรือเปล่า?”
กองทัพจอมมารตอนนี้ได้ดึงเอาทุกเผ่าพันธุ์มาอยู่ใต้ร่มเงาจนหมดแล้ว ยกเว้นเผ่าแวมไพร์
ถ้าเผ่าแวมไพร์เข้าร่วมล่ะก็ ไม่ใช่แค่การนำทุกเผ่าพันธุ์มารวมเข้าด้วยกันจะสมบูรณ์ แต่ยังเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่ายด้วย ทั้งการเสริมกำลังให้กับกองทัพ และการมอบทรัพยากรอย่างเพียงพอให้กับเผ่าแวมไพร์ด้วย
แต่ คำตอบของหัวหน้าเผ่าคือ
“คงต้องปฏิเสธนะ”
“…ว่าแล้วเชียว”
ก็ เป็นคำตอบที่เรากะเอาไว้แล้วล่ะ
แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์รักสงบ ระดับที่จะเรียกว่าที่สุดในบรรดาทุกเผ่าพันธุ์แล้วก็ได้
ยกเว้นแค่เรา แวมไพร์ส่วนมากเกลียดการต่อสู้ และใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชายคอบแบบนี้
ถ้าต้องร่วมกับกองทัพจอมมารล่ะก็ แวมไพร์บางส่วนก็ต้องถูกส่งไปต่อสู้ในสมรภูมิ คงมีหลายคนที่ไม่ชอบแบบนั้น… ไม่สิ คงแทบทุกคนในหมู่บ้านเลยล่ะมั้งที่ไม่ต้องการแบบนั้นน่ะ
“ทั้งที่เป็นเผ่าพันธุ์ของเราเอง แต่ก็ไม่มีเศษเสี้ยวของความทะเยอทะยานเลยสินะ”
“โชคร้ายหน่อยนะ จริงๆ เราก็ค่อนข้างพอใจกับการใช้ชีวิตแบบตอนนี้ของเราอยู่แล้ว พวกเราไม่ต้องการชีวิตที่หรูหราจากการเข้าร่วมกับกองทัพหรอก ถ้าจอมมารจะใช้อภิสิทธิ์ช่วยยกเว้นให้เผ่าเราก็คงเป็นอีกเรื่องนึง ล่ะนะ”
“อย่าพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้นสิ รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าเราทำแบบนั้นให้ไม่ได้น่ะ”
ถ้าเกิดลำเอียงให้เผ่าใดเผ่าหนึ่งล่ะก็ กองทัพจอมมารที่ลำบากยากเย็นกว่าจะรวมพลกันได้แบบทุกวันนี้ได้เกิดรอยร้ายบาดหมางแน่ๆ
“เอาเถอะ แบบนั้นก็ได้… เราก็ไม่ได้คิดจะบังคับให้พวกนายต้องเข้าร่วมหรอก… ถ้างั้นแล้ว จะดูแลมิเนียยังไงดีล่ะ”
“อืม… จริงสิ ให้ข้าช่วยเลี้ยงดูเธอมั้ยล่ะ?”
“ก็ไม่ใช่ความคิดที่ไม่ดีหรอกนะ… แต่ก็ ถ้าเกิดเราไม่ได้มาเจอเธอตลอด ก็คงเหงาแย่เลยน่ะสิ…”
“ข้าก็ไม่แปลกใจล่ะนะ”
เราไม่ได้ไร้หัวใจขนาดที่กล้าจะแยกจากเด็กทารกแรกคลอดเร็วแบบนั้นหรอก
“ถึงยังงั้น จะว่ามีทางอื่นอยู่บ้าง มันก็มีนะ… เรา… ขอแค่เราทนไหวก็พอ…!”
“น- นี่ ใจเย็นๆ ก่อนน่า แกกำลังชั่งใจระหว่างโลกกับคนที่แกรักอยู่เลยเหรอนั่นน่ะ”
“ชั้นมีความคิดดีๆ อยู่น้า!”
““อุหวาาาา!?””
ทันใดนั้น เราก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังมาจากทางด้านบน
ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเสียงของยัยนั่นแน่ๆ
พอเราเงยหน้าขึ้นไปดูบนเพดาน ก็เป็นอย่างที่คิด ยัยนั่นห้อยตัวลงมาจากเพดาน ยึดตัวเองเอาไว้ด้วยเวทแรงโน้มถ่วง
“ฟราน! นี่เธอ! ทำอะไรของเธอเนี่ย! บุกรุกเคหสถานอีกแล้วเรอะ!”
“เด็กผู้หญิงคนนั้นใครกัน… เอลฟ์? ม- ไม่สิ ก่อนอื่นเลย เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ!? เข้ามาได้ยังไงกัน!?”
“ชั้นสัมผัสพลังเวทของฟิลิส แล้วก็แค่เคลื่อนย้ายมาที่นี่เลยไง เพิ่งจะมาถึงเอง ที่เกาะอยู่บนเพดานแบบนี้ก็กะจะแกล้งให้ตกใจกันน่ะ แถมสำเร็จอย่างงดงามเลยด้วย!”
“งั้นก็ยินดีด้วยนะ เวลาที่เธอลงมาข้างล่างจะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตเธอเลยล่ะ”
“ไม่สิ! เดี๋ยวก่อนๆ! การควบคุมระยะในการเคลื่อนย้ายของเวทเคลื่อนย้ายน่ะค่อนข้างหยาบเลยนี่ ขนาดคนที่มีฝีมือในหมู่บ้าน การเคลื่อนย้ายยังเคลื่อนไปจากตำแหน่งที่ต้องการประมาณ 5 เมตรเลยนะ! แถม เด็กคนนี้ยังผสานร่วมกับเวทแรงโน้มถ่วง เคลื่อนย้ายเข้ามาในตำแหน่งที่ต้องการได้สำเร็จโดยที่พวกเราไม่รู้ตัวเลยงั้นเรอะ!?”
“หือ? อ๋า~ เรื่องแค่นี้เอง ชั้นน่ะอัจฉริยะใช่มั้ยหล้า?”
“…ความขี้โกงด้านเวทมนตร์ของยัยนี่น่ะไม่ใช่เรื่องอะไรแปลกใหม่หรอก ถ้าตกใจทุกครั้ง คงจะอยู่ไม่รอดหรอกนะ หัวหน้าเผ่า”
ว่าแต่ ฟรานมาที่นี่ทำไมเนี่ย?
นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงนึงเลยนะ จากที่เธอยืดอกพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ‘เรื่องปกป้องที่นี่น่ะ ให้เป็นหน้าที่ชั้นเอง’ เนี่ย
มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?
“อะ ที่จริง เหตุผลที่ชั้นเคลื่อนย้ายมาที่นี่ก็เพื่อเอาเรื่องที่วีเนลบอกไว้มาพูดต่อล่ะนะ วีเนลบอกว่าเธอคงลังเลกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็เลยให้ชั้นเอามาบอกเธอน่ะ”
“ทำไมวีเนลถึงรู้ได้ว่าเราพูดคุยเรื่องอะไรกันได้ล่ะนั่น?”
“ก็ นี่ไง อะไรที่ชั้นได้ยิน ก็บอกให้วีเนลรู้…”
“เราจะบอกให้นะว่ามันเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่า ‘ดักฟัง’ หรือ ‘แอบฟัง’ ไงเล่า!”
พอต่อสู้มานาน กับเวลาที่อยู่ด้วยกันน้อย เราก็ลืมไปเลย
พอมาคิดๆ ดูแล้ว พวกผู้บริหารยุคบุกเบิกนี่มีแต่คนแปลกๆ ทั้งนั้นเลยนี่นา!
“น่า ใจเย็นก่อนนะ วีเนลเป็นคนเสนอความคิดนี่มาจริงๆ นะ”
“…ถ้าเกิดพูดเรื่องอะไรไร้สาระล่ะก็ เราจะขยี้***เธอด้วย ‘คทาราชัน ฮาติ’ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ของเธอแน่”
“อย่านะ! ขอล่ะ! อย่าทำแบบนั้นเลยนะ! วีเนลเป็นคนเสนอความคิดนี่มา เพราะงั้น ถ้าเธอไม่ชอบกับเรื่องนี้ล่ะก็ เอาไปลงที่วีเนลเลยนะ!”
บ้าบอพอกันเลย ยัยสองคนนี่
“แล้ว เรื่องที่ว่านี่คืออะไรล่ะ?”
“เอ๊ะ อะ อื้อ คือ ชั้นคิดว่าฟิลิสควรจะมาอยู่ที่นี่น่ะ”
…อะไรนะ?
“ใช้ประโยชน์จากที่ธรรมชาติของการใช้ชีวิตในเวลากลางคืนของแวมไพร์ ให้เธอมาทำงานในฐานะจอมมารในเวลากลางวัน แล้วก็กลับมาอยู่กับมิเนียในเวลากลางคืนไงล่ะ ระหว่างนั้น ก็ให้คุณหัวหน้าเผ่าที่อยู่ตรงนี้เป็นคนคอยดูแล แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“ป- เป็นความคิดที่ดีเลยนี่ ไม่สิ คือ ช่วงนี้ข้าเองก็ยุ่งมากเหมือนกัน ข้าจะไม่มีเวลาพอมาดูแลหลานน่ะสิ”
คนคนนี้ ถึงจะยุ่งตัวเป็นเกลียว แต่ก็ยังอยากดูแลหลานสาวของตัวเองสินะ
แต่ว่า ก็นะ นี่ก็เป็นข้อเสนอที่คุ้มค่าที่จะรับเหมือนกัน
แต่มันมีปัญหาอยู่ข้อนึงน่ะสิ
“…นี่ จะบอกให้เราทำงานในเวลากลางวัน ไม่มีหยุดพักมาคอยเลี้ยงดูลูกในเวลากลางคืนเลยงั้นเหรอ?”
“อ๊ะ ตอนที่ชั้นถามเรื่องนั้นไป วีเนลบอกว่า ‘ไม่มีหรอกนะ การลาหยุดไปเลี้ยงลูกน่ะ’”
บ้าจริง นั่นสินะ
แต่ว่า ให้ผู้หญิงคนนึงทำงานไม่หยุดเลยทั้งวันทั้งคืนแบบนี้เนี่ย ไม่โหดร้ายกันไปหน่อยเหรอ
ก็นะ ถึงเลเวลเราจะสูงมากจนร่างกายแทบจะไม่จำเป็นต้องนอนหลับแล้วก็เถอะ
…ไม่สิ ทำไม่ได้ที่ไหนกัน
ถ้าประมาณนี้ล่ะก็ เราน่าจะทำได้อย่างไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
น่าหงุดหงิดตัวเองนิดๆ เลยแฮะที่ดันไปคิดเรื่องอะไรหยุมหยิมแบบนี้น่ะ
TN: ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r