มันรู้สึกเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ พร้อมๆ กับที่เท้าก็ยังติดอยู่กับพื้น
บรรยากาศดูกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่ก็กลับดูแคบอย่างน่าประหลาดในเวลาเดียวกัน
นั่นแหละ คือสิ่งที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้
…ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?
ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ฉันเคยเจออะไรแบบนี้มาแล้วครั้งนึงนี่นา
นึกออกแล้ว นี่มัน…
“ถูกต้องค่ะ เป็นอย่างที่เธอเดาเลย”
อา ว่าแล้วเชียว… ไม่ได้พบกันนานนะคะ ท่านอิซึสึ
“ไม่ได้พบกันนานนะคะ คุณเซนโจ โยนะ…ไม่สิ ตอนนี้ต้องเป็นคุณลีน บลัดลอร์ดสินะคะ”
ท่านเป็นเทพผู้เปี่ยมด้วยพลังนี่คะ ตอนนี้เหมาะจะเป็นเวลาที่ควรพูดว่า ‘เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น’ หรืออะไรแบบนั้นได้แล้วนะคะ
“แม้แต่เทพก็ไม่ได้มีพลังที่ทำได้ทุกอย่างหรอกนะคะ… หากเรารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแล้วล่ะก็ เราคงไม่ยอมให้เธอไปเกิดเป็นแวมไพร์ตั้งแต่แรกแล้วค่ะ”
…ออ งั้นนี่ก็ไม่ใช่แผนการของท่านสินะคะ?
“แน่นอนสิคะ เรายังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเราเองเลยเมื่อตอนที่เห็นจำนวนของแวมไพร์ลดลงอย่างฮวบฮาบจนน่าสะพรึงกลัว เราจึงรีบตรวจสอบเหตุการณ์บนโลกเบื้องล่างทันที แล้วก็…เราไม่คิดเลยว่าการล้างสมองของมิซารี่จะหนักจนนำมาซึ่งความคลุ้มคลั่งได้ถึงขนาดนี้”
มันเป็นแบบนั้นเลยค่ะ น่าขยะแขยงที่สุด
“…ดูแล้วเธอคงจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจของเธอแล้วสินะคะ”
การตัดสินใจ? หมายถึงอะไรเหรอคะ?
“…การทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์”
อ้อ นั่นไม่ใช่ ‘การตัดสินใจ’ ค่ะ แต่เป็น ‘การประกาศ’ ต่างหาก
ไอ้พวกนั้นที่พรากทุกคนที่ฉันรักไป ฉันไม่มีวันยอมให้พวกมันมีตัวตนอยู่หรอก…ถ้าพวกมันอยากจะกวาดล้างพวกเรา เราก็จะทำแบบนั้นคืนให้พวกมันเหมือนกัน
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน…ความพินาศต่อความพินาศไปเลย
“…เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นแล้ว เราจะช่วยเองนะคะ”
เอ๋? ฉันนึกว่าท่านจะหยุดฉันในฐานะเทพผู้ดูแลโลกซะอีก
“เราจะช่วยเธอเอง เราไม่เคยคิดเลยว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ในฐานะของเทพของเผ่ามาร ทำให้การแทรกแซงฝั่งมนุษย์นั้น เราก็ทำได้จำกัด นั่นทำให้เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าการล้างสมองและการศึกษาที่มิซารี่ทำนั้นไปไกลขนาดไหนแล้ว ครั้งนี้ เราฝืนรวบรวมข้อมูลมา และผลสรุปที่เราได้ก็คือ เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่จำเป็นสำหรับโลกใบนี้อีกแล้วค่ะ”
…ภาพของพวกมนุษย์เล่นซ้ำในหัวฉัน ทุกคำที่ออกจากปากพวกมันก็มีแต่ ‘ท่านมิซารี่น่ะนะ’ ‘ท่านมิซารี่ยังงี้’ ‘ท่านมิซารี่ยังงั้น’ แถมพวกมันยังทำกับพวกเราที่ไม่เชื่อในมิซารี่เหมือนแค่เศษขยะอีก
อ่า…ฉันอยากฆ่าพวกมันมากขึ้นเรื่อยๆ เลย แค่นึกถึงพวกมันขึ้นมา
“พูดตามตรง ในตอนแรกเราก็ปรารถนาจะรวมเผ่ามนุษย์และเผ่ามารเป็นหนึ่งเดียวกัน…แต่ดูแล้ว ตอนนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะที่จะนำเอาเผ่าพันธุ์ที่ถูกล้างสมองไปขนาดนั้นแล้วเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา เราไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว ฝั่งเผ่ามารนั้น ตลอดมาก็คอยทำศึกตั้งรับมาโดยตลอดเพื่อจะได้ทำร้ายพวกมนุษย์ให้น้อยที่สุด แต่ว่าจากนี้ไป เราวางแผนจะให้พวกเขาจัดการอย่างไร้ความปรานีได้เลย”
…ท่านหมายความว่าท่านเห็นด้วยกับการกวาดล้างมนุษย์งั้นเหรอคะ? ท่านอิซึสึ
“ใช่ค่ะ ถ้าจะให้เราพูดก็คือ…พวกเผ่ามนุษย์นั้น…ไม่สิ พวกนั้นถือเป็น ‘ความล้มเหลว’ ในฐานะสิ่งมีชีวิตค่ะ เหล่าชีวิตที่ทำตามเพียงแต่ความต้องการของพระเจ้าเท่านั้น เผ่าพันธุ์ที่ถูกมอมเมาจนคิดว่าพวกตนถูกต้องเสมอ เผ่าพันธุ์ที่ดูถูกทุกเผ่าพันธุ์อื่นนอกจากพวกตนเองและยังพยายามกำจัดพวกเขาอีกด้วย พวก ‘ขยะชีวภาพที่บกพร่อง’ เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากพิษที่กัดกินโลกที่เราดูแลอยู่ค่ะ”
ใช่ค่ะ เห็นด้วยเลย พวกมนุษย์ ไม่ว่าจะหน้าไหนก็มีค่าไม่ต่างจากเศษสวะชิ้นนึง ผู้หญิง? เด็ก? คนแก่? ก็ไม่ต่างกัน ฉันไม่สนอยู่แล้ว
มนุษย์ทุกคนคือ “ศัตรู” และฉันจะขจัด ‘พิษ’ นั่นออกจากโลกให้ได้เลยค่ะ
“…แต่เราต้องบอกกับเธอตามตรง สถานการณ์ของเผ่ามารในตอนนี้นั้นก็ค่อนข้างยากลำบากอยู่ค่ะ”
…หืม? ไหนท่านว่าเผ่ามารนั้นถึงจะมีจำนวนน้อยกว่าพวกมนุษย์ แต่พวกเราก็แข็งแกร่งกว่าพวกมันมาก ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหนิคะ
“ค่ะ นั่นเป็น ‘อดีต’ ไปแล้วค่ะ ตอนนี้มันค่อนข้างยุ่งยากสุดๆ แถมเรื่องยุ่งยากนั่น…ยังเป็นสาเหตุหลักที่เราตัดสินใจจะลบเผ่าพันธุ์มนุษย์ทิ้งด้วยค่ะ”
“ซึ่งเรื่องยุ่งยากที่ว่านั้นก็คือ การกำเนิดขึ้นของ [ผู้กล้า] ค่ะ”
หลังจากครุ่นคิดกับเรื่องนี้อยู่สักพัก ฉันก็นึกออกจนได้
ยังมีพวกคนที่ ‘เกิดใหม่ที่ต่างโลก’ เหมือนกันกับฉันอยู่ด้วย นี่หรือว่าหนึ่งในพวกนั้นที่มีศักยภาพสูงดันกลายเป็นผู้กล้างั้นเหรอคะ?
“…เราก็หวังให้เรื่องมีแค่นั้นเช่นกันค่ะ”
เอ๋? ไม่ใช่เหรอ?
“คุณลีนคะ เราขอให้เธอช่วยแก้ไขคำประกาศของเธอเสียหน่อย เธอบอกว่าเธอจะฆ่าพวกมนุษย์ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว เราอยากให้เธอช่วยยกเว้นไว้ 1 คนค่ะ”
…ยกเว้นเหรอคะ?
ฉันไม่คิดว่าจะมีมนุษย์คนไหนสมควรได้รับการยกเว้นนะคะ
ไม่สำคัญหรอกค่ะว่ามนุษย์คนนั้นจะดูเป็นคนดีมากแค่ไหน พวกเราไม่รู้หรอกว่าพวกมันคิดอะไรกันอยู่ เพราะงั้นก็ฆ่ามันไปให้หมดเพื่อนำความสงบสุขมาสู่โลกนี้เลยดีกว่า
“…ดูเธอจะลำบากพอสมควรเลย แต่ ก็เป็นเรื่องธรรมดาสินะคะ”
ลองให้มีใครซักคนมาทำแบบนี้กับเราดูสิ ความรักความเมตตาที่เราเคยมีจะหมดไป แทนที่ด้วยความเกลียดชังที่ท้วมท้นเลยไม่ว่ามันจะเป็นคนดีหรือเปล่าก็ตาม
ขนาดตอนนี้ ฉันยังอยากฆ่าคนเลย
“เอาเป็นว่าใจเย็นก่อนนะคะ ให้เราค่อยๆ อธิบายก่อน เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว…หรือก็คือใกล้เคียงกับเวลาที่เธอได้กลับชาติมาเกิดที่โลกนี้ ก็มีบางคนที่เกิดมาพร้อมกับ [คุณสมบัติของผู้กล้า] เช่นกัน มีถึง 3 คนด้วยกัน ซึ่งก็เป็นจำนวนที่มากอย่างไม่น่าเชื่อ…แต่ 1 ในนั้น มีเด็กคนนึงที่ไม่ใช่คน ‘เกิดใหม่ที่ต่างโลก’ ค่ะ”
หรือก็คือ เป็น ‘อัจฉริยะ’ ที่เกิดมาพร้อมกับ [คุณสมบัติของผู้กล้า] โดยบังเอิญสินะคะ แทนที่จะเป็นพวกที่กลับชาติมาเกิดจากต่างโลก
“ถูกต้องค่ะ เมื่อเด็กคนนั้นอายุ 5 ขวบ ก็พบว่าเธอมี [คุณสมบัติของผู้กล้า] อยู่ในตัว ช่างเป็นโชคดีของเหล่ามนุษย์ และโชคร้ายสุดขั้วของเด็กคนนั้น… ทั้งพลังของเธอในฐานะผู้กล้า และสเตตัสของเธอที่สูงจนผิดปกติ ถ้าพูดกันในด้านพรสวรรค์แล้ว เด็กคนนั้นมีมากกว่าเธอเสียอีก”
…? แล้วมัน ‘โชคร้าย’ กับเด็กคนนั้นยังไงเหรอคะ? เธอก็เป็นผู้กล้านี่นา วีรชนที่เป็นผู้คุ้มครองสูงสุดของมนุษยชาติ ถ้าเธอมีพลังขนาดนั้น ก็โชคดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ?
“…ต่อจากนี้ละค่ะ จะเป็นเรื่องราวในด้านความวิปลาสของมนุษย์ เมื่อพวกราชวงศ์และชนชั้นสูงได้รับรู้เรื่องพลังอันมหาศาลของเธอ พวกเขาก็ดีใจกันอย่างออกนอกหน้า แต่พวกเขาก็ประสบปัญหากัน เพราะไม่รู้นี่คือโอกาสในรอบร้อยปี หรือในรอบพันปีที่จะมีอัจฉริยะแบบนี้เกิดขึ้นมา และพวกเขาจะทำยังไงจึงจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อพวกเขาและต่อมิซารี่…และหลังจากการพิจารณากันหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาก็เลือกวิธีการที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้เลย”
“[โครงการเปลี่ยนผู้กล้าเป็นอาวุธ] มันเป็นแผนการที่ทั้งบ้าคลั่งทั้งเลวร้าย ที่จะนำตัวผู้กล้าที่มีความสามารถสูงมาทำให้สติพังทลาย ล้างสมองเขา และส่งไปต่อสู้กับเผ่ามารในฐานะ ‘อาวุธมีชีวิต’ ค่ะ”
TN: เทพคอยเฝ้ามองอยู่เสมอ~