Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 66 ถอดออกมาสิ
ทางด้านเหนือภพนั้น เขากําลังขบคิดหาวิธีช่วยเหลือเฮงเฮงเขาใช้เวลาชั่วครูในยามที่ไม่มีใครมารบกวนเพื่อปลุกพลังแก้วจันทรกาลสีแดงแก้วจันทรกาลเป็นถึงของศักดิ์สิทธิ์ยังไงก็ต้องมีฤทธิ์ช่วยเสริมพลังปราบของสกปรกและเสนียดจัญไรได้ไม่มากก็น้อยเขาไม่เชื่อหรอกว่าจะทําอะไรเจ้าเด็กผีไม่ได้
พญานาคอนุญาตให้เหนือภพปลุกพลังแก้วจันทรกาลขึ้นมา ดังนั้นเหนือภพจึงไม่ประสบปัญหาใดทันใดนั้นกระแสปราณอาคมรอบกายเขาก็เปลี่ยนไป เสมือนว่าภายในตัวเขาอบอวลไปด้วยกระแสอาคมมหาศาลและกระแสปราณนี้ล้วนเป็นของพญานาคทั้ง
เหนือภพพุ่งตรงเข้าหากุมารทองพร้อมกับชักดาบอาภัสระที่ได้มาจากสุภัชชาดาบสองคมมีรูปทรงคล้ายพระขรรค์สีเงินยวงคมกริบที่มีกลิ่นอายของแสงสว่างและแสงตะวันที่ร้อนแรงพวกภูตผีมันคงไม่ถูกใจเจ้าสิ่งนี้แน่
ทว่ากุมารทองรับรู้ได้ถึงพลังอันเกรี้ยวกราดและอันตรายจากเหนือภพมันจึงถอยหนีออกจากตัวเฮงเฮงเปิดโอกาสให้ไร้ชื่อได้ถึงตัวเฮงเฮงเข้ามาอยู่ใต้ร่มต้นทับทิมต้นเล็กที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ต้นทับทิมเปรียบเสมือนเกราะคุ้มภัยอันแสนประหลาดมันปกป้อง พวกเขาจากกุมารทองและกลุ่มวิญญาณวนเวียนสีดําที่ยังคงเข้ามาใกล้เฮงเฮงอย่างไม่เลิกรา
เมื่อไม่มีกุมารทองคอยคุมเชิงอยู่ เหนือภพก็ง้างกําปั้นค้างที่เพิ่มกําลังเพียงแค่ระดับ 3 เท่านั้นเขาต้องประหยัดเวลา ก่อนจะชกมันออกไปโจมตีสางลําไพรเธอเป็นผู้ควบคุมเจ้าพวกนี้หากทําให้เธอบาดเจ็บสาหัสได้ พวกผีสางเหล่านี้ก็จะหายไป
เหนือภพชกออกไปต่อเนื่องในทุก ๆ 8 วินาที ทําให้พญานาครู้สึกว่าเหนือภพกําลังทําเรื่องเกินตัว
“ระวังหน่อย เจ้าเชื่อมต่อกับแหล่งพลังอาคมของข้าได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อย่าได้ทําซ่าเดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือน”
พญานาคเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี แม้มันจะยินยอมให้เหนือภพเอาพลังไปใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรร่างกายของมนุษย์ก็เป็นภาชนะที่เป ราะบางไม่อาจรองรับเศษเสี้ยวพลังของพญานาคได้นานนัก
เหนือภพจ้างหมัดแล้วต่อยซ้ํา ๆ แบบนี้ จนพื้นดินโดยรอบถูกไถเป็นทางยาวนับสิบสายจนกระทั่งการโจมตีสุดท้ายของเขาทําให้สางลําไพรถึงกับกระเด็นกลิ้งไปไกล เมื่อรัศมีของการโจมตีกว้างจนเธอไม่สามารถหลบได้
เหนือภพต้องการเกร็งกล้ามเนื้อจนพละกําลังไปถึงระดับที่สูงที่สุดเท่าที่เขาจะมีเวลา ทว่าพวกเขากลับถูกเสียงกังวานใสของผู้มาใหม่ดึงความสนใจไปเสียก่อน
“เจอตัวนังหัวขโมยแล้ว”
เสียงหวานใสผิดกับบุคลิกโผงผางไม่เกรงใจใครของเนตรกัญญาดังขึ้นพร้อมการปรากฏกายของเธอเบื้องหลังสาวดาวเด่นของหอหมื่นบุปผามีชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาสมชายชาตรีเขาคือบุตรชายคนเล็กของตระกูลแม่ทัพหลวงแห่งแคว้นอมตะนคร มีนามว่าสิบทิศ”สายตาของเขาเฝ้ามองเนตรกัญญาด้วยความรักและ ทะนุถนอม แม้เขาจะต้องเดินรั้งท้ายผู้หญิงแต่ถ้าเธอพอใจเขาก็ยินดีที่จะทําเช่นนั้น
“ไอ้เจ้าคนไม่ได้เรื่องนั่น น่าตายนัก แค่นี้ก็รั้งไว้ไม่อยู่”
สางลําไพรพึมพําออกมาอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าเตชินท์ไม่สามารถรั้งทีมแม่ทัพหลวงเอาไว้ได้
“ทศนายหลบไปก่อน ข้าจัดการเอง”
แม้ทศพลอยากจะสู้ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบดังนั้นเขาจึงถอนตัวออกไปเพื่อรักษาระยะและเป็นฝ่ายช่วยระแวดระวังแทน
“เอาสร้อยของข้าคืนมา แล้วก็เอาของเจ้ามาด้วย”
เนตรกัญญายืนเท้าสะเอวตะโกนสั่งสางลําไพรอย่างไม่หวั่นเกรงเธอคิดว่าสางลําไพรเล่นไม่ซื่อแอบใช้มนต์ตราสะกดพวกเธอให้เคลิบเคลิ้มแล้วก็รูดสร้อยไปอย่างหน้าไม่อายไร้ศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิง
สางลําไพรอมยิ้มนิด ๆ พลางตอบกลับหญิงงามอย่างห้วนสั้น
“สร้อยอยู่นุ่น”
เมื่อเธอพูดจบเธอก็ถอยร่นไปอยู่เคียงข้างทศพลทันที ในเมื่อมีคนมาช่วยทวงสร้อย แล้วเรื่องอะไรที่เธอจะขัดขวาง
เนตรกัญญาหันกลับไปมองเหนือภพอย่างไม่พอใจ เธอยกธนูที่ทําจากไม้โบราณชั้นดีขึ้นเล็งเหนือภพโดยไม่ถามอะไร แม้เธอจะ เป็นผู้ไร้พรสวรรค์แต่เธอก็มั่นใจในวิชาการต่อสู้ของตนเอง
เหนือภพเห็นเช่นนั้นจึงปล่อยหมัดที่เกร็งกําลังได้เพียงระดับ 3 เท่านั้นเขาไม่มีเวลาแล้ว
ตุ้ม !
อัก !
สิบทิศกระโดดเข้าขวางหน้าเธอ แล้วกางโลอาคมรับแรงกระแทกทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว เขาคุ้นชินเสียแล้วที่ต้องทําหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์เช่นนี้ เขาทนได้ตราบใดที่เธอยังปลอดภัย ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาหวังว่าเธอจะมีใจให้เขาสักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
“ถอยไปสิบทิศ !”
เนตรกัญญาเริ่มเกรี้ยวกราดแล้ว เจ้านั่นกล้าดียังไงมาซัดพลังใส่เธอไม่เคยมีใครทํากับเธอแบบนี้มาก่อน เธอสะบัดกระโปรงตัวยาวแล้วก็กระโดดเข้าหาเหนือภพด้วยความเร็วที่เหนือภพเรียกว่าความเร็วแบบเด็กน้อย
แม้ว่าเธอจะตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้แข่งขัน แต่เธอก็ไม่ทิ้งลายสาวดาวเด่นที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้าสีสดใสยาวพลิ้วหลายชั้นกับเครื่องประดับราคาแพงครบครัน ดูสวยงามและเย้ายวนตา ชุดสีเหลืองอมเขียวอ่อนของเธอจึงดูโดดเด่นยามเคลื่อนไหว ตามมาด้วยเสียงกรุ้งกริ้งของกําไลข้อมือ กําไลข้อเท้า
สิบทิศและชายหนุ่มคนอื่น ๆ ในละแวกนั้นต่างมองตามเนตรกัญญาด้วยแววตาเคลิบเคลิ้ม ไม่ง่ายเลยที่จะหาหญิงสาวสวยแก่นแก้วเช่นนี้แม้แต่ยามที่เธอตะเบ็งเสียงใส่เหนือภพ สิบทิศก็ยังคิดว่า เธอช่างสดใสและกล้าหาญ
“เอาสร้อยทั้งหมดมาให้ข้า !”
“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ”
เมื่อเหนือภพเห็นว่าทีมของสางลําไพรถอยร่นไปแล้ว เขาก็วางใจได้มากพอที่จะต่อล้อต่อเถียงกับสาวสวยตรงหน้า เขาโบกสร้อยทั้งห้าเส้นไปมาขณะตอบเธอไปเช่นนั้น เขาก็อยากจะรู้ว่าเธอจะทําอะไรต่อไป เพราะหากพิจารณาดูแล้ว เธอไม่นับว่ามีฝีมือเลยด้วยซ้ํา
“งั้นเรามาสู้กัน คนชนะก็เอาสร้อยไป”
“ถ้าแค่นั้น ข้าไม่สู้หรอก”
เหนือภพมองเธอด้วยแววตามีเลศนัย เนตรกัญญาเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจเธอเคยเห็นแววตาแบบนี้จากผู้ชายมานักต่อนักแล้ว
“แล้วเจ้าต้องการอะไรอีก”
“ถอดออกมาสิ…”
เหนือภพพูดยังไม่ทันจบ สิบทิศก็ตะโกนแทรกมาเสียก่อน
“นี่เจ้าจะให้นางทําอะไร เจ้าคนชั่วช้า”
“ก็แค่ให้นางถอดเอง จะมีปัญหาอะไร”
สิบทิศเริ่มมีท่าทางแข็งกร้าว เขารู้ว่าใคร ๆ ก็อยากเห็นเนื้อนวลใต้ร่มผ้าของเนตรกัญญาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เขา ส่วนเนตรกัญญาก็เหลือบมองเหนือภพด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายผู้ชายมันก็เหมือนกันทั้งนั้น
“ข้าหมายถึงกําไลข้อมือทองนะ ถอดออกมาให้ข้าสิ แล้วข้าจะยืนนิ่ง ๆ ให้เจ้าทําอะไรก็ได้”
เนตรกัญญาได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาลุกวาว เหนือภพไม่ใช่ผู้ชายแบบที่เธอคิดงั้นหรือ
“ดี เอาไปเลย”
เธอถอดกําไลทองที่ถักร้อยเป็นลวดลายสวยงามออกแล้วโยนใส่เหนือภพในทันที เหนือภพก็รับของได้อย่างว่องไวปานมืออาชีพเขาลูบไล้แล้วทําการกัดเพื่อตรวจคุณภาพ
เนตรกัญญายกธนูขึ้นยิงโดยไม่รอช้าเธอไม่แม้แต่จะเสียเวลาเล็งเพราะเธอยืนห่างจากเหนือภพเพียงสามเมตรเท่านั้น
ปัก !
ลูกธนูพุ่งเข้าใส่หน้าอกของเหนือภพอย่างแรง มันหักเป็นสองท่อนแล้วก็กระเด็นออกในทันที
“อ้ว เจ็บจังเลยนะ”
เหนือภพยังคงยืนนิ่ง ฉีกยิ้มกว้างพลางพูดจายียวนสาวงามลูกธนูธรรมดาที่ถูกยิงจากผู้ไร้พรสวรรค์ฝีมือธรรมดานะหรือจะทําอะไรเขาได้แล้วเขาก็โบกสร้อยทั้งห้าเล่นอย่างสบายใจเขาต้องการยั่วอารมณ์ของเธอ
“ฮีย คราวนี้เจ้าอย่าหวังว่าจะยิ้มได้”
“จีจี้ ถ้าจะเล่นอีก ก็ต้องถอดอีกสิ”
เนตรกัญญาสะบัดกระโปรงอย่างโมโห จากนั้นเธอก็สะบัดปลายเท้าทั้งสองข้างไปข้างหน้า กําไลข้อเท้าทองคําสวยงามทั้งสองข้างกระเด็นไปทางเหนือภพ และเขาก็รับไว้ได้เช่นเคย ตอนนี้สิบทิศและชัยชาญที่กลับมารวมตัวกัน พวกเขาไม่คิดจะห้ามเธออีกแล้วเพราะเมื่อกี้พวกเขาได้เห็นลําขาเรียวงามของเธอแวบหนึ่ง
เนตรกัญญาทิ้งคันธนูในมือ แล้วหยิบพัดเหล็กสีเขียวเข้มขึ้นมาปลายซี่พัดแต่ละซี่มีโลหะปลายแหลมที่คงจะเคลือบแร่มีสีไว้ด้วยมันเป็นอาวุธที่ดูทรงพลังและสวยงามเหมาะกับหญิงสาวยิ่งนัก เธอเริ่มต้นร่ายรําอย่างช้า ๆ แล้วก็เร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็หมุนวนรอบตัวเหนือภพ ท่าทางการโจมตีของเธอดูสวยงามราว กับการแสดงระบํา
เหนือภพยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ขณะกอดสร้อยทั้งห้าเส้นและเครื่องประดับทองไว้อย่างหวงแหน เขารู้สึกได้ว่าปลายแหลมของพัดกําลังแทงและสะบัดไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเขาโดยที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร มันสร้างเพียงรอยขีดข่วนที่ทําให้รู้สึกคันยิบ ๆ เท่านั้นเขาอดทนได้ประมาณหนึ่งนาทีแล้วทุกอย่างก็จบลง
“ห์ จะมอบสร้อยให้ข้าดี ๆ มั้ย”
“เฮ้อ นี่ข้าไปเดินผ่านดงหนามที่ไหนมาเนี่ย”
เหนือภพลูบเนื้อตัวที่มีแต่รอยขูดขีดตื้น ๆ พลางแสร้งอารมณ์เสีย
“คันชะมัดเลย”
เนตรกัญญาเห็นเช่นนั้นก็กระทืบเท้าอย่างขัดใจ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทําไมเหนือภพไม่บาดเจ็บอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่วิชาพวกนี้เธอเองก็เคยฝึกฝนกับพวกแม่ทัพระดับสูงเป็นประจํา มันเคยได้ผลมาตลอดพวกแม่ทัพสู้เธอไม่ได้แม้แต่น้อย เธอไม่เคยคิดในมุมกลับเลยว่าที่ผ่านมาพวกแม่ทัพต่างเอาใจเธอ พวกเขายอมทําทุกอย่างให้เธอพอใจ และมีความสุข
เนตรกัญญาต้องการจัดการเหนือภพอีกรอบ เธอจึงถอดปิ่นปักผมราคาแพงบนศีรษะออกแล้วโยนให้เหนือภพเช่นเคย มวยผมสีดําเข้มตกลงมาราวกับม่านน้ําตกพร้อมกับกลิ่นหอมบางอย่างที่หญิงคณิกามักจะใช้กัน สิบทิศและชัยชาญที่อยู่ไม่ไกลถึงกับพากันสูดลมหายใจลึก แววตาหยาดเยิ้มกับความโชคดีที่ได้ เห็นเธอปล่อยผมยาวสยาย
เนตรกัญญาเก็บพัดเหล็กแล้วก็คว้าหอกในมือของสิบทิศมาถือไว้แน่นเธอจะใช้หอกพุ่งเข้าไปแทงท้องน้อยของเหนือภพด้วยกําลังทั้งหมดของเธอ เธอรู้ว่าหอกของสิบทิศเป็นหอกเหล็กไหลที่ผ่านการชุบหลอมแร่สี่สีมาแล้ว ผิวหนังของเหนือภพคงไม่อาจต้านได้อีก
“ข้ากก
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะวิ่งมาถึงตัวเหนือภพก็มีกลุ่มควันสีเขียวที่เนตรกัญญาคุ้นเคยฟังกระจายไปทั่วบริเวณราวกับคลื่นน้ําทะเลที่ทะลักเข้ามาจากนั้นทุกคนในทีมแม่ทัพหลวงและทีมชื่อยาวเหยียดของเหนือภพก็มีอาการเหม่อลอย
สางลําไพรยิ้มเหยียด เมื่อเธอลอบโจมตีได้สําเร็จ
“หึ สาวดาวเด่นงั้นรี ไม่เห็นว่าจะโดดเด่นที่ตรงไหน”
เธอเคยใช้มนต์สะกดทีมของเนตรกัญญามาแล้ว และตอนนี้มันก็ยังใช้ได้ผลแม้ผลลัพธ์จะคงอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ แต่มันก็มากพอสําหรับเธอ เธอพุ่งเข้าไปกระชากสร้อยทั้งห้าเส้นแล้วก็ให้กุมารทองช่วยในการหนี เธอกับยศพลจึงหายลับไปจากบริเวณนั้นอย่างไม่เห็นฝุ่น
พญานาคกะพริบตาปริบ ๆ เพียงสามที มันก็คลายจากมนต์ สะกดเมื่อมันมองสํารวจรอบข้างก็เห็นพวกมนุษย์พากันตาลอยไปตาม ๆ กันมันจึงสะบัดหางฟาดเหนือภพและไร้ชื่ออย่างแรง
“โอ๊ย”
“โอ๊ะ”
“นี่เจ้าฟาดข้าทําไม”
เมื่อเหนือภพได้สติคืนมาเขาเห็นว่าพญานาคทําร้ายเขา
“ถ้าข้าไม่ฟาด เจ้าจะมีสติมาขึ้นเสียงกับข้างนรีนุ่นสาวหมอผีนั่นเอาสร้อยของเจ้าไปหมดแล้ว เจ้านี่มันแย่จริง ๆ มนต์ตราแค่นี้ก็ทําให้เจ้าเคลิ้มแล้ว”
เหนือภพหันซ้ายหันขวาสํารวจรอบกายก็เห็นว่าเป็นจริงสร้อยภารกิจทั้งห้าเส้นรวมถึงเครื่องทองที่เขาเพิ่งได้มาล้วนหายไปหมด
“บัดซบ แล้วทําไมเจ้าไม่ช่วยป้องกันไว้”
“ก็… ข้าก็เพิ่งได้สติเหมือนกัน”
พญานาคตอบเสียงอ่อยเล็กน้อย ก็มันมัวแต่ดูสาวงามแสนน่ารักกําลังหาวิธีต่อสู้กับเหนือภพอยู่นี่นา มันจึงไม่ทันได้ระวังข้างหลังใครก็พลาดกันได้ทั้งนั้นแหละ มันไม่ใช่เทพเจ้าที่จะรอบรู้ไปเสียทุกสิ่ง
“แล้วเฮงเฮงล่ะ”
เหนือภพมองหาเฮงเฮง แต่ก็ไม่เห็นเฮงเฮงเสียแล้วเฮงเฮงรอดจากการถูกมนต์สะกดไปได้หรือ แปลกจริง ๆ เหนือภพขมวดคิ้วโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าไม่ใช่แค่เพียงเฮงเฮงที่หายไป กลุ่มควันดําของวิญญาณร้ายวนเวียนก็หายไปด้วย
“เอาเถอะ ค่อยไปตามหาที่หลัง ตอนนี้พวกเราไปตามหายัยบ้านั่นกันกล้ามากนักที่เอาเครื่องทองของข้าไป”
เหนือภพขบฟันอย่างเดือดดาล ถ้าแค่สร้อยในการแข่งขันหากถูกชิงไปเขาจะไม่คิดอะไรมากเลย แต่เครื่องทองที่ได้รับจากเนตรกัญญาล้วนมีมูลค่าที่ดีต่อใจเขาทั้งนั้น เธอยังกล้าชิงมันไปจากเขา
จากนั้นเหนือภพ ไร้ชื่อ และพญานาคก็ออกตามหาทีมนิรันดร์กาลในทันที โดยไม่สนใจทีมแม่ทัพหลวงแม้แต่น้อย ให้พวกเขาคืนสติทีหลังก็ยิ่งดีพวกเขาจะได้ไม่มาสร้างเรื่องขัดขวางเขาอีก
Favorite ตอนที่ 65 มาทางนี้ บนนี้ปลอดภัย
เหนือภพวิ่งทะลุไปถึงชายปาอีกฝั่งของครอบแก้วโดยไม่มีจุดหมาย เขาเพียงต้องการหลบหนีกองทัพทหารอมตะที่ถูกสางลำไพรปลุกขึ้นมาเพียงเท่านั้น แม้ภายในหัวของเขาจะขบคิดวิธีหาวิธีเอาตัวรอดมากมายหลายอย่าง แต่ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการทำลายซากศพพวกนี้ให้หมดสิ้น
เหนือภพรีบส่งมีดหมอให้กับไร้ชื่อ
“ใช้มีดนี่ฆ่าพวกมันให้หมด”
ไร้ชื่อพยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย จากนั้นเขาก็พุ่งทะยานตามเหนือภพฝาเข้าไปกลางกองทัพซากศพแล้วโจมตีแบบแลกชีวิต เขาตวัดมีดหมอสะบั้นหัวของเหล่าซากศพตัวแล้วตัวเหล่าอย่างดุเดือดบ้าคลั่ง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแหลมสูงของเด็กชายดังก้องสะท้อนมาทำให้เหนือภพถึงกับขนหัวลุก
“มาเล่นกันเถอะ มาเล่นกันเถอะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงประหลาดมีดหมอในมือของเหนือภพและในมือของไร้ชื่อก็ถูกอะไรบางอย่างกระแทกจนมีดหลุดกระเด็นออกไป สิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงเส้นแสงสีทองวนไปวนมาแล้วก็วกกลับเข้าพุ่งชนกับพวกเขา
แม้เหนือภพจะต้านเอาไว้ได้แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง ส่วนไร้ชื่อนั้นแม้จะมีสัญชาตญาณดีเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่อาจใช้อาวุธธรรมดาตัดร่างของวิญญาณเด็กที่เป็นเพียงอากาศธาตุไร้ตัวตนได้ สุดท้ายไร้ชื่อก็ถูกเจ้าเด็กน้อยกายทองทั้งเตะและต่อย ทั้งยังเหวี่ยงเขาออกไปไกลโดยที่ไม่อาจต่อต้าน
เหนือภพมองไร้ชื่อที่ถูกเหวี่ยงโยนราวกับลูกบอลด้วยความรู้สึกหวาดเสียว ก่อนจะรีบพูดกับพญานาคอย่างร้อนรน
“เจ้าทำอะไรสักอย่างสิ”
พญานาคพ่นลมหายใจแรงร้อนออกมา เดิมที่มันก็รู้สึกรำคาญพวกมดปลวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งมันเพิ่งถูกแย่งอาหารไปจากปากก็ยิ่งหงุดหงิด
พญานาคหดตัวสะบัดสร้อยทั้งห้าเส้นที่สวมอยู่บนคอไปทางเหนือภพ ก่อนจะคืนร่างใหญ่โตของมัน ขนาดลำตัวกว้างกว่าห้าเมตรปรากฏขึ้นพร้อมกับปากอ้ากว้างเห็นเขี้ยวแหลมคม มันพ่นเพลิงพิษสีม่วงดำออกไปรอบ ๆ เพื่อเผาไหม้ซากศพ เมื่อต้องเผชิญกับพิษร้ายรุนแรงเช่นนี้ซากศพเหล่านั้นก็ย่อยสลายหายไปจนหมด ไม่เหลือแม้แต่เศษซากโครงกระดูก เมื่อไม่มีร่างกายรองรับวิญญาณ อาคมปลุกชีพของสางลำไพรก็ไร้ผล
เหนือภพพุ่งเข้าไปปะทะกับกุมารทอง แต่ความเร็วของผีเด็กนี้ไวมากจนน่าตื่นตะลึง มีดหมอเล่มแล้วเล่มเล่าของเหนือภพถูกเจ้าเด็กผีเตะออกไปจนไม่เหลือสักเล่ม แถมกำปั้นลูกเตะที่เขาใช้ยังทะลุผ่านเจ้าเด็กผีไปทั้งหมด แต่เจ้าเด็กผีกลับโจมตีโดนตัวเขาทุกครั้ง เขารู้สึกว่าการต่อสู้นี้ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
เหนือภพถอยหลังหนีพร้อมลากไร้ชื่อมาด้วย ก่อนจะโดดเกาะหลังของพญานาคตัวยักษ์ที่เลื้อยจากไปด้วยความเร็ว
“ทางนี้ มาทางนี้ บนนี้ปลอดภัย”
เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกของเฮงเฮงดังขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนในทีมกำลังผ่านมา เหนือภพหันมองไปรอบ ๆ ตามเสียงที่ว่า จนกระทั่งแหงนมองขึ้นไปบนยอดต้นทับทิมโบราณต้นหนึ่ง ต้นทับทิมเป็นหนึ่งในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ร่ำลือกันว่ามีอิทธิฤทธิ์ป้องกันภูตผีและขับไล่เสนียดจัญไร ด้วยลำต้นขนาดสามคนโอบ กิ่งก้านสาขาใหญ่แผ่กว้าง หากไม่สังเกตให้ดีคงไม่มีใครเห็นว่าเฮงเฮงอยู่บนนั้น
เห็นจะจริงดังความเชื่อโบราณ เพราะเหนือภพเห็นกลุ่มควันดำก้อนยักษ์ของวิญญาณวนเวียน พวกมันล่องลอยวนไปวนมาอยู่รอบนอกต้นทับทิม ไม่จากไปไหน แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ใต้เงาไม้เลย
“ขึ้นมาเลย บนนี้ปลอดภัย”
เฮงเฮงพูดไปด้วยกัดกินลูกทับทิมไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย เขากวักมือเรียกเหนือภพและไร้ชื่ออย่างกระตือรือร้น
แต่เหนือภพส่ายหน้าน้อย ๆ
“หนีผียังไม่น่ากลัวเท่ากับอยู่ใกล้เจ้าหรอก”
ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาคือติดตามพญานาคเข้าไปหลบใต้ร่มเงาต้นทับทิมอีกต้นที่อยู่ไม่ไกลจากกัน แม้มันจะเป็นต้นเล็กที่แผ่กิ่งก้านได้น้อยกว่า รัศมีการป้องกันน้อยกว่า แต่มันก็ปลอดภัยกว่าแน่นอน
เมื่อกุมารทองตามกลุ่มของเหนือภพเข้ามาใกล้ร่มเงาของต้นทับทิมก็เหมือนมีพลังงานบางอย่างผลักดันเอาไว้ ทำให้เด็กผีเกิดความร้อนจนผิวกายลุกไหม้ ควันร้อนพวยพุ่ง บีบบังคับให้มันถอยหลังกลับไป
แต่กุมารทองไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันเริ่มทำกันขุดแงะพื้นดินแล้วปั้นเป็นก้อนปาเข้าไปยังโคนต้นทับทิมเพื่อบีบบังคับให้เหนือภพหนีออกมา เนื่องจากมันมีจุดเด่นที่ความเร็ว มันจึงเขวี่ยงกระสุนดินเข้ามารัว ๆ ราวกับเม็ดฝนยักษ์ที่เทลงมาจากฟ้า อีกทั้งยังเคลื่อนตัวรอบต้นไม้ไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงได้ ทิ้งไว้เพียงเส้นแสงสีทองที่พุ่งไปมากับก้อนดินก้อนหินที่พุ่งเข้ามาที่โคนต้นทับทิมทุกทิศทาง
พญานาคขยับตัวโอบล้อมเหนือภพและไร้ชื่อเอาไว้ที่ลำต้นทับทิม โดยใช้ลำตัวยาวที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำเป็นเกราะป้องกันรอบทิศ ก้อนดินก้อนหินพวกนั้นจึงไม่อาจสร้างความเสียหายได้ นอกจากสร้างความรำคาญใจให้แก่พญานาคเพียงเท่านั้น
“พี่ชายมาเล่นกันเถอะ มาเล่นกันเถอะ”
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็มองไปทางเฮงเฮงที่ยังคงซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้สูงถัดไป
“เฮงเฮง ๆ นายชอบเด็กไหม”
เฮงเฮงได้ยินดังนั้นก็ตะโกนกลับมาโดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว เพราะประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขากำลังจับจ้องและระแวดระวังกลุ่มควันดำอยู่
“เด็กรึ ชอบสิ เด็ก ๆ น่ารักจะตาย ข้าเองก็อยากมีน้องสักคนเหมือนกันจะได้ไม่เหงา”
“โอ้”
เหนือภพตาเป็นประกาย ขณะมองตามเส้นแสงสีทองที่ยังคงเคลี่อนที่ตลอดเวลา แล้วเขาก็พยายามพูดคุยกับเจ้าเด็กผี
“นี่เจ้าหนู พี่ชายคนโน้นเขาชอบ ไปเล่นกับเขาสิ”
เหนือภพไม่พูดเปล่า เขายังชี้ไปบนยอดของต้นทับทิมยักษ์ที่อยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบเมตร
โทษทีนะสหาย หากพวกข้าติดแหง็กอยู่เช่นนี้ก็นับว่าไร้ประโยชน์ ให้พวกข้าหลุดออกไป ค่อยช่วยเจ้าทีหลังก็ยังไม่สาย
กุมารทองมองตามมือที่ชี้ไปอย่างงง ๆ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจมันขึ้นมา มันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทางเฮงเฮงทันที ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง บริ้ม !
เสียงพื้นดินแตกแยกออก คลื่นพลังทำลายล้างที่เหนือภพคุ้นเคยถูกซัดผ่านมา เพียงแต่ว่าพลังทำลายล้างนี้อ่อนกว่าของเขามาก นี่คือวิชากระแทกอากาศ ไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใดและจากใคร แต่ที่แน่ชัดคือเมื่อเสียงดังราวกับระเบิดดังขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ต้นทับทิมยักษ์ที่เฮงเฮงซ่อนตัวอยู่ก็เกิดหักโค่นล้มลง ต้นทับทิมไม่ใช่เป้าหมายของผู้ทำการโจมตี แต่มันเป็นเพียงจุดสิ้นสุดของพลังทำลายล้างที่บังเอิญเป็นลูกหลงจากการต่อสู้ของคนอื่นเท่านั้น
“อ๊ากก อีกแล้ว”
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจปนหวาดเสียวของเฮงเฮงทำให้เหนือภพต้องอุดหู เขารู้ในทันทีว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ตึง !!
ต้นทับทิมโบราณล้มครืนลงมาพร้อมกับร่างของเฮงเฮงที่กระโดดกลิ้งมานอนแอ้งแม้งอยู่ห่างจากร่มเงาต้นทับทิมที่เหนือภพหลบอยู่เพียงไม่ถึงนิ้วเท่านั้น หากเขากระเด็นไกลขึ้นอีกนิดเดียว เขาก็จะรอดพ้นจากเด็กผีที่เอาแต่ร่ำร้องชวนมาเล่นกันซ้ำไปซ้ำมาจนน่ารำคาญ
เฮงเฮงเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้แม้แต่น้อยเมื่อกุมารทองเหยียบอกเขาไว้ แม้กุมารทองจะดูเหมือนเด็กตัวเล็กที่น้ำหนักไม่น่าเกินยี่สิบกิโลกรัม แต่ความรู้สึกที่เฮงเฮงได้รับนั้นไม่ต่างจากถูกภูเขาทั้งลูกกดทับไว้ไม่มีผิด แค่หายใจก็ยังลำบาก อย่าพูดถึงการ หลบหนีเลย
“หึ”
สางลำไพรเดินมาด้วยท่วงท่าสง่าราวกับผู้ชนะ เธอยิ้มมุมปากราวกับสาวร้ายกาจ ด้านหลังของเธอมีทศพลที่แขนขาดไปข้างหนึ่งเดินตามมา ใบหน้าของเขาในตอนนี้ช่างดูดุดันราวกับยักษ์ส่วนเตชินที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน เขาน่าจะยังติดพันการต่อสู้อยู่ไม่ไกล จากนี้เพราะยังมีเสียงแว่วการต่อสู้ที่ดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
เตชินท์กำลังปะทะกับชัยชาญ คนหนุ่มไฟแรงจากตระกูลแม่ทัพหลวงแห่งอมตะนคร หากดูแบบผิวเผินจะเห็นได้ชัดเจนว่าเขา กำลังถูกชัยชาญโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
ทวนยาวจากมือแม่ทัพฟาดฟันเตชินท์อย่างต่อเนื่องซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ตวัดขึ้น ตวัดลงก่อนจะทำการปิดฉากการโจมตีครั้งสุดท้ายด้วยการง้างทวนเต็มกำลัง แล้วฟาดจากบนลงล่างอย่างรุนแรง แต่เตชินท์ก็ต้านรับได้
อั่ก !
เตชินท์ถึงกับกระอักเลือดออกมา ท่าทางดูบาดเจ็บสาหัส แต่ชัยชาญก็ดูออกว่าเตชินท์เสแสร้งแกล้งทำ
“ข้าไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่ท่านก็เป็นคนมากฝีมือขนาดนี้ ทำไมถึงยังเก็บซ่อนมันไว้อยู่อีก”
ชัยชาญเอ่ยถามตรง ๆ อย่างห้าวหาญสมเป็นทายาทตระกูลแม่ทัพ ทว่าเตชินท์ยิ้มและตอบอย่างอ่อนแรง
“ข้าก็มีความสามารถเท่านี้แหละ”
“เฮอะ”
ชัยชาญรู้สึกไม่ชอบใจเตชินท์ หากเขาถ่อมตัวก็ว่าไปอย่าง แต่เขากลับแสดงท่าทางมีลับลมคมในตามแบบฉบับของพวกราชวงศ์ราวกับดูถูกมันสมองของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
“ก็ดี ถ้าท่านตายด้วยทวนจันทร์เสี้ยวของข้า ก็อย่าโทษว่าข้าไม่ปรานีละกัน”
ชัยชาญรีดเร้นปราณอาคมของตัวเอง เขาเปิดใช้วิชาประจำตระกูลเต็มกำลังโดยไม่สนใจว่าบุรุษเบื้องหน้าเขาจะเป็นองค์ชายของเมืองอนันต์ หรือจะเป็นว่าที่คู่หมั้นขององค์หญิงบุษย์น้ำทองหรือไม่เพราะสำหรับตระกูลแม่ทัพที่ไม่ยุ่งเรื่องการเมือง พวกเขาเชื่อฟังและสวามิภักดิ์แต่องค์เจ้าแคว้นผู้ปกครองอมตะนครแต่เพียงผู้เดียว
“ปราณขุนศึกไร้พ่าย ขั้นที่ 3 ขุนศึกไร้เทียมทาน”
ทันทีที่ชัยชาญเปิดใช้ทักษะอาคมลับของตน ร่างกายก็บังเกิดออร่าสีทองแดงดุจเปลวเพลิงลุกท่วมตัว ดวงตาแดงก่ำราวกับมีเตาไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา ยามเขาเหวี่ยงฟาดคมทวนไปข้างหน้าบังเกิดเสียงดังดุจฟ้าผ่า เกิดเป็นคลื่นอากาศแหลมคมที่ตัดผ่านต้นไม้ขาดเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดาย
เตชินท์ไม่ทันระวังกับการโจมตีแบบนี้ แขนซ้ายของเขาถูกคลื่นอากาศเชือดเฉือน เลือดสีแดงหลั่งรินอาบแขน มือขวารีบกุมปิดบาดแผลขณะเคลื่อนตัวหลบการโจมตีของชัยชาญที่ฟาดฟันคมทวนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเสียงโครมครามดังสนั่นหวั่นไหว
ทันใดนั้นเองกลุ่มชายหนึ่งหญิงสองก็พากันพุ่งตรงเข้ามาใกล้ หนึ่งในนั้นคือบุษย์น้ำทอง องค์หญิงเล็กแห่งแคว้นอมตะนคร เธอเปิดใช้ปราณวิหคทองโนรี มือเรียวงามทั้งสองข้างถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองเป็นรูปกรงเล็บนก นัยน์ตาของเธอแปรเปลี่ยนเป็นสีทองคำแวววาว ขณะพุ่งเข้าโจมตีชัยชาญ แม้เธอจะไม่ได้พิศวาสในตัวเตชินท์นัก บางครั้งยังแสนชั่งน้ำหน้า เบื่อหน่ายกับการไม่ได้ความของเขา แต่การแต่งงานระหว่างเธอกับเขาก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วเพื่อเหตุผลทางการเมือง ดังนั้นแม้จะไม่เต็มใจช่วย แต่ก็ต้องช่วย
“กล้าทำร้ายเขารึ”
บุษย์น้ำทองใช้กรงเล็บนกโนรีของตนพุ่งปะทะชัยชาญที่เปิดใช้การต่อสู้เต็มกำลัง กลิ่นอายสังหารและบารมีของแม่ทัพหนุ่มที่ผ่านศึกน้อยใหญ่มาแล้ว ทำให้บุษย์น้ำทองสั่นกลัวเล็กน้อย เธอรู้จักชัยชาญและภารกิจที่เขาเคยทำมาเป็นอย่างดี ถึงเขาจะนับว่าเก่งกาจในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แต่เธอก็มั่นใจว่าเขาจะยั้งมือไว้ไมตรีให้เธอ เขาไม่กล้าทำอันตรายหลานคนเล็กที่องค์เจ้าแคว้นรักที่สุดเป็นแน่
“องค์หญิง ถอยไป ทางที่ดีท่านอย่าได้สู้กับข้า หากท่านได้รับบาดเจ็บเกรงว่าชีวิตข้าจะชดใช้ให้ท่านไม่ไหว”
ชัยชาญพูดขณะลังเลใจว่าจะก้าวถอยหลังหรือจะบุกไปข้างหน้าสู้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร จะชนะก็ไม่ได้ จะแพ้ก็ไม่ได้อีกนี่เป็นสถานการณ์ที่เขากระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมากเขาจึงค่อย ๆ ถอยหลังไปรวมกับสิบทิศ ลูกพี่ลูกน้องของเขา
เตชินท์จ้องมองบุษย์น้ำทองด้วยความดีใจระคนปลาบปลื้ม เธอช่างเป็นองค์หญิงที่ดูน่ารัก งดงามและกล้าหาญในเวลาเดียวกันเขารู้สึกโชคดียิ่งนักที่จะได้แต่งงานกับเธอผู้เป็นที่รัก
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 64 แค่กิน ทําเป็นตื่นเต้นไปได้
“มะติยาโน มะติยา…”
เหนือภพได้ยินสาวน้อยแสนหลอนท่องมนต์คาถาอีกครั้ง เขารีบดีดตัวขึ้นทันที่แม้จะจุกมาก ก่อนจะรีบยื่นสองฝ่ามือไปข้างหน้าอย่างร้อนรน
“เดี่ยว ๆ ใจเย็น ๆ แม่หญิง มีอะไรเราพูดกันได้ เจ้าอยากได้สร้อยคืนก็เอาไปสิ”
เหนือภพเอาสร้อยหินแร่ออกมาโบกไปมา ราวกับการหลอกล่อวัวกระทิ้งให้สนใจ ทว่าสางลําไพรยังคงท่องมนต์คาถาต่อไป
“มะติท โสธายะ สาปะสา ….”
เธอไม่แม้แต่จะฟังเหนือภพ โอกาสดีมาถึงเธอเช่นนี้แล้ว มีหรือเธอจะปล่อยให้มันสูญเปล่า
เหนือภพรีบถอยหลังก่อนจะเกร็งกําลังขาทั้งสองข้าง เขาตั้งใจจะพุ่งเข้าไปโจมตีเธอในระยะประชิด ใครจะว่าเขาต่อยที่ผู้หญิงเขาก็ไม่สนใจแล้ว แต่ว่ามันคงไม่ง่ายเช่นนั้น ขนาดสร้อยหินแร่เธอยังลอบลงอาคมเอาไว้จนทําให้เขาเกือบแย่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบนตัวของเธอจะได้ลงอาคมสิ่งไหนไว้บ้าง นั่นทําให้เขาไม่กล้าเสี่ยงสัมผัสตัวเธอ
เหนือภพเลือกดีดตัวขึ้นฟ้า ในเมื่อสู้ระยะประชิดไม่ได้เขาก็จะสู้จากบนฟ้าแทน
“เอ๋ ?”
จู่ ๆ ก็มีฝูงผึ้ง ต่อ และแตนฝูงใหญ่ยักษ์ ไม่รู้ว่าพวกมันขนมากันมาทั้งตระกูลได้อย่างไร แต่พวกมันก็พุ่งขึ้นตามเขามาติด ๆ แค่เหนือภพคิดว่าต้องโดนแมลงพวกนั้นต่อยก็ทําให้เสียววาบไปถึงท้องน้อยแล้ว เขาไม่มั่นใจว่าผิวหนังของเขาจะทนเหล็กในพิษได้รึเปล่า
แต่เขาก็ยังคงรักษาสมาธิเกร็งกําลังขาทั้งสองข้างต่อไป เขาจะเหยียบเธอให้จมดินไปเลย เขาเกร็งกําลังได้เพียงระดับ 6 ก็ถูกบีบให้ต้องหยุด เมื่อฝูงผึ้งต่อแตนบินมาต่อยร่างกายเขาจนผิวหนังปูดบวม ความเจ็บปวดนี้มากมายนัก แต่หากเทียบกับความเจ็บปวดเมื่อครั้งเหล็กไหลผสานเข้าไปในกายของเขา มันเทียบกันไม่ได้เลยเจ็บแค่นี้ก็แค่มดกัด
เหนือภพพุ่งลงมาด้วยความเร็วดุจดาวหาง ก่อนจะกดส้นเท้าทั้งสองลงไปยังจุดที่สางลําไพรกําลังพยายามเคลื่อนตัวหนีอยู่เบื้องล่าง
บรึ้ม !!
แรงกระทบจากท่าถุงเงินร่วงหล่นของเหนือภพทําให้พื้นดินในรัศมีสิบเมตรแตกร้าวละเอียดจนยุบตัวลงไปอีกครึ่งเมตร ขณะที่รอยแตกร้าวใยแมงมุมยังคงขยายกว้างออกไปอีก
เหนือภพมองร่างของสางลําไพรที่อยู่ใต้เท้าด้วยความรู้สึกผิด ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ทว่าเมื่อเขาสังเกตให้ชัดเจน เขาก็ถึงกับขนลุกซู่ด้วยความตกใจและสัญชาตญาณป้องกันภัย
“หมัดธนูมือ !”
เหนือภพหันกลับหลังยกมือขึ้นตั้งท่าต้านรับหมัดธนูที่ต่อยออกมา พร้อมกับร่างกายที่ถูกผลักให้ถอยเซไปด้านหลัง เขาจ้องมองสางลําไพรตัวจริงที่ค่อย ๆ ปรากฏตัวกลางอากาศธาตุที่ว่างเปล่า เธอหยุดยืนอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่ 20 เมตร ส่วนสางลําไพรที่อยู่ก้นหลุมนั้นเป็นเพียงหุ่นฟางตัวปลอมของเธอ
สางลําไพรจ้องมองเหนือภพที่ยังคงมีสภาพร่างกายภายนอกไร้รอยขีดข่วน มีเพียงรอยปูดบวมจากพิษผึ้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดูเหมือนฝูงผึ้ง ต่อ แตนจะทําอะไรเขาไม่ได้เลย อาจดูคล้ายกับว่าเธอได้เปรียบ แต่ว่าร่างกายของคู่ต่อสู้หนังหนากว่าที่เธอคาดคิดไว้มาก แถมเขายังมีประสาทการตอบโต้ที่ไวกว่าปกติ
ภายใต้แป้งแต่งหน้าที่หนาเตอะของเธอ ไม่มีใครรู้ว่าใบหน้าเธอเริ่มซีด เพราะใช้คาถาอย่างต่อเนื่อง แม้เธอจะมีวิชามากมาย แต่ร่างกายแสนบอบบางของเธอก็มีขีดจํากัด
โดยปกติแล้วแค่หนึ่งบทคาถาก็ทําให้คู่ต่อสู้เสียท่าแล้ว ทําให้เธอสามารถแย่งชิงสร้อยมาได้ ไม่ว่าจะเป็นทีมนาคราช หรือแม่ทัพหลวงก็ล้วนเสียท่าให้กับเธอมาแล้ว แต่พอเธอต้องมาเจอกับคู่ต่อสู้ที่ทั้งถูกและอึดเกินมนุษย์ แถมยังมีความรู้เรื่องไสยศาสตร์และมีอาวุธ อาคมสําหรับการทําลายวิชาพวกนี้อยู่ทําให้เธอเองก็จนใจที่จะสู้ต่อ
สางลําไพรพ่นลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ ก่อนจะจับสร้อยประคําของตัวเองบริกรรมคาถาบางอย่าง แล้วสร้อยที่ได้รับแจกจากพิธีกรทั้งสามเส้นก็ปรากฏในสายตาของเหนือภพ ไม่เพียงมีสร้อยหินแร่ของทีมเธอเท่านั้น ยังมีสร้อยมรกตของทีมแม่ทัพหลวงและสร้อยไหมสีเงินของทีมนาคราชรวมอยู่ด้วย
“ที่แท้เจ้าซ่อนมันไว้ด้วยมนต์พรางตา ร้ายกาจมาก”
“ข้ายอมมอบสร้อยให้ก็ได้ แต่เจ้าเอาไปได้แค่เส้นเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ขอให้เรื่องของพวกเราจบลงแค่นี้ ตกลงไหม”
เหนือภพยังคงมีท่าที่ระแวงระวัง เมื่อสางลําไพรเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เขาก็ต้องก้าวถอยหลังในทันที เขาไม่รู้ว่าเธอจะมาไม้ไหน เธอไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง
“ข้าจะมั่นใจได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่เล่นลูกไม้กับข้า”
เหนือภพลังเล แต่เมื่อหางตาของเขาเหลือบไปเห็นสถานการณ์ด้านข้าง เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเป็นต่อ ทศพลถูกพญานาคเอาหางรัดตัวไว้ แล้วเลื้อยมาทางเหนือภพ พร้อมกับเอ่ยอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“เจ้าบ้านเหมือนกับเจ้าจริง ๆ หนีเก่งเป็นบ้า”
เหนือภพยิ้มแห้ง ๆ พลางมองไปทางทศพลที่มีสภาพดูไม่ได้เลย เขาอยากจะพูดออกไปจริง ๆ ว่าเขาเข้าใจและเห็นใจทศพลไม่น้อย หากต้องสู้กับพญานาคแล้วล่ะก็ วิ่งหนีไปเสียยังดีกว่า
สางลําไพรมีสีหน้าหนักอึ้งเมื่อเพื่อนร่วมทีมของเธอพ่ายแพ้ไปแล้วหนึ่ง ส่วนเตชินท์ก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะเอาชนะใครได้เช่นกัน นี่มันทีมไร้ประโยชน์หรือยังไง เธอรู้สึกท้อแท้ราวกับว่าเธอเป็นผู้แบกความหวังของทีมไว้เพียงผู้เดียว และก็เป็นเธอผู้เดียวที่ต้องคอยช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีม
“ข้าแพ้แล้ว ปล่อยตัวเพื่อนข้าเถิด”
สางลําไพรไม่อยากพูดคํานี้ออกมา แต่เธอก็ยอมพูดมันพร้อมกับถอดสร้อยทั้งสามเส้นแล้วยื่นให้เหนือภพ แม้น้ำเสียงของเธอจะฟังดูจริงใจ แต่เหนือภพกลับเชื่อไม่ลง
“เจ้าไปเอามาสิ”
เหนือภพบอกพลางสะกิดพญานาค เขาไม่กล้าเข้าใกล้เธอเลยจริง ๆ ส่วนพญานาคเองแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เท่าที่สังเกตจากท่าทางของเหนือภพแล้ว มันก็คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดี
“ข้าชอบเป็นดาบ ไม่ชอบเป็นโล่”
“นี่เจ้า มาอยู่กับข้าแล้วก็ทําตัวให้มีประโยชน์หน่อย เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเอาแต่ก่อเรื่องให้ข้าตามเช็ดตามล้าง ช่วยกันนิด ๆ หน่อย ๆ จะเป็นไรไป”
พญานาคทําเป็นหูทวนลมพร้อมหันเศียรไปทางอื่น เรื่องอะไรจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องน่าเบื่อเช่นการหยิบสร้อยธรรมดา ๆ
เหนือภพจนใจจะเรียกได้ชื่อมาก็ไม่ได้ เพราะไร้ชื่อยังคงพัวพันอยู่กับเตชินท์ไม่เลิก ส่วนหนึ่งในใจของเหนือภพก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าเตชินท์สามารถรับมือไร้ชื่อได้ยาวนานขนาดนี้
“เอาล่ะ ๆ เจ้าโยนมาข้างหน้าแล้วถอยออกไปร้อยเมตร”
นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาจะเอาสร้อยจากเธอได้ อยู่ห่าง ๆ เข้าไว้ถึงจะปลอดภัย สางลําไพรไม่มีทางเลือกมากนัก เธอจึงทําตามที่เหนือภพว่า จากนั้นก็ถอยหลังไปไกล
“แล้วเพื่อนข้าล่ะ”
เธอตะโกนกลับมาเมื่อเห็นทศพลยังถูกพญานาคใช้หางรัดพันเอาไว้แน่น องค์ชายเตชินท์จะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ เข ไม่ใช่คนของเมืองนิรันดร์กาลจะเป็นจะตายอย่างไรก็ช่าง แต่สําหรับทศพลนั้นต่างออกไป เขาและเธอถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็ก เธอไม่อาจละทิ้งเขา
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้าต้องตรวจดูก่อน”
เหนือภพพูดขัดเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้าหาสร้อยคออย่างระมัดระวัง
“ลําไพร เจ้าเอาให้มันไปทําไม ไม่ต้องห่วงข้า แย่งมันกลับมา โอ๊ย”
เมื่อเตชินท์ถูกพญานาครัดแน่นขึ้น เขาก็เงียบสงบไปทันใด ไม่รู้ว่าเขาแกล้งทําตัวสงบเสงี่ยมหรือเขาหมดสติไปแล้วจริง ๆ
เหนือภพมานั่งยอง ๆ ข้าง ๆ สร้อยทั้งสามเส้น เขาดึงมีดหมอออกมาแล้วก็จิ้มไปที่สร้อยทั้งสามเส้น
“กรี๊ดดดดดดดดดดด”
“นั่นไง”
เป็นอย่างที่เหนือภพคิดไม่มีผิด หากสร้อยมีอาคมหรือคําสาปกํากับไว้มันจะเกิดปฏิกิริยากับมีดหมอที่จิ้มลงไป สร้อยทั้งสามเส้นคงถูกสางลําไพรใช้อาคมกํากับวิญญาณร้ายเอาไว้เพื่อป้องกันคนขโมย แต่มันถูกมีดหมอจัดการเรียบร้อยแล้ว
เหนือภพยิ้มกว้างขณะหยิบสร้อยขึ้นมาสวมคอพญานาค เมื่อรวมกับสร้อยที่มีอยู่เดิม ตอนนี้พวกเขามีสร้อยถึงห้าเส้นแล้ว จะว่าไปก็เป็นเรื่องดีที่เธอแส่หาเรื่องอยากแกล้งลงอาคมใส่เขาเอง เขาไม่อยากจะรังแกผู้หญิงสักเท่าไหร่หรอกนะ แต่ถ้าผู้หญิงร้ายกาจมา เขาก็ต้องตอบแทนเธอให้สาสม
“เจ้ามันงูพิษดี ๆ นี่เอง หากไม่เอาซะคืนบ้าง ความรู้สึกก่อนหน้าของข้าก็ยากที่จะระบายออก ห่วงมันมากนักใช่มั้ย”
“เจ้าหิวไม่ใช่หรอ รออะไรอยู่ล่ะ”
พญานาคได้ยินเหนือภพพูดเช่นนั้น มันก็รู้ทันทีว่าตัวเองควรจะทําอะไร
สางลําไพรหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่รู้ว่าเหนือภพกลับคําพูดใจจริง เธอคิดอยากจะหยุดการสู้รบอันไม่เป็นธรรมนี้จริง ๆ แต่เมื่อเหนือภพไม่ยอมหยุดก็อย่าหาว่าเธอใจร้าย
“คัจฉาหิ มหาภูโต สมนุสโส … ประสิทธิยา”
สางลําไพรบริกรรมคาถาด้วยความเร็ว แต่ชัดถ้อยชัดคํา ก่อนตบท้ายไปด้วยประโยคคําสั่งว่า
“เจ้าแดง ไปช่วยทศพลให้แม่”
“จ้าแม่”
เสียงของเด็กน้อยแหลมเล็กดังขึ้นพร้อมกับร่างกายสีทองอร่ามที่ปรากฏกลางอากาศ เจ้าแดงเคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียว พอได้รับคําสั่งก็พุ่งเข้าหาเหนือภพด้วยความเร็วดุจสายฟ้า พลิ้วไหวดุจสายลม
แต่เหนือภพลอบเกร็งกล้ามเนื้อรอต้อนรับตั้งแต่ได้ยินเสียงบริกรรมคาถาแล้ว และเป้าหมายของเขาก็ไม่ใช่เด็กสีทองนั้น แต่เป็นสางลําไพร
กําปั้นระดับ 8 ชกออกไปด้านหน้าไถหน้าดินเป็นร่องลึก คลื่นอัดอากาศแผ่กระจายออกไปทางสางลําไพรในทันที
เมื่อกุมารทองเห็นเช่นนั้นก็เคลื่อนตัวกลับด้วยความเร็วที่เหนือภพคาดไม่ถึง จับไม่ได้ด้วยสายตา แม้คําสั่งของผู้เป็นแม่จะสําคัญ แต่ไม่สําคัญไปกว่าความปลอดภัยของแม่ กุมารทองหอบพาร่างของสางลําไพรออกจากรัศมีการทําลายได้อย่างทันท่วงที ความเร็วนี้อาจเรียกได้ว่าเร็วกว่าการวิ่งของแมวราตรีเสียอีก
เหนือภพเห็นดังนั้นก็รีบกระชากร่างของทศพลออกจากปากพญานาค แล้วโยนออกไป
“อาหารข้า”
“ยังจะห่วงกินอีก ความตายจะมาเยือนแล้ว หนีเร็ว”
เหนือภพร้องบอกอย่างร้อนรนก่อนจะพุ่งเข้าหาไร้ชื่อที่ดูท่าจะสู้เตชินท์ไม่ได้แต่ก็ยังจะสู้อีก เหนือภพคว้าคอไร้ชื่อออกมาจากการต่อสู้ ขณะเหลือบมองเตชินท์ที่ดูแปลก ๆ เขาบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร แต่ที่แน่ ๆ คือเตชินท์พยายามเก็บงําฝีมือตัวเองเอาไว้ เขาไม่ได้จริงจังกับการต่อสู้
“เจอกันคราวหน้าหวังว่าเจ้าจะไม่เก็บงําความสามารถนะ”
เหนือภพยิ้มตามมารยาท ก่อนจะพาไร้ชื่อจากไปพร้อมกับพญานาคที่ยังคงเสียดายอาหารมื้อนั้นอยู่ มันไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นทําไมต้องร้อนรน รีบหลบหนีทั้งที่พวกนั้นตกอยู่ในกํามือของเราแท้ ๆ
“เห้อ จะหนีทําไม”
“ก็เจ้ามัวแต่สนใจที่จะกิน เจ้าไม่ได้เจออย่างข้านี่ และที่สําคัญ ข้าไม่ได้มีเกราะเกล็ดหนาอย่างเจ้า”
สิ่งที่เหนือภพกังวลก็คือวิชาไสยเวทย์ของเธอ นี่ขนาดเธอยังเก็บงําวิชาเอาไว้บ้าง แต่ก็ยังมีวิชาใหม่ ๆ ใช้ออกมาได้เรื่อย ๆ แถมยังเป็นวิชาที่เขาไม่อาจใช้กําลังปะทะได้ และเขาก็ไม่อยากแสดงพลังยักษ์กับพลังเหล็กไหลออกมาพร่ำเพรื่อ ดังนั้นทางที่ดีอย่าได้ลงมือแตกหักกันเลย ไม่เช่นนั้นเธออาจจะเรียกอะไรที่น่ากลัวออกมามากกว่านี้
ยังไม่ทันคิดจบสิ้นแผ่นดินโดยรอบเส้นทางที่เหนือภพวิ่งอยู่ก็เกิดการสั่นไหว มีฝ่ามือซากศพจํานวนไม่น้อยพุ่งออกมาใต้พื้นดิน บางมือก็มีแต่โครงกระดูก บางมือก็ยังมีเศษเนื้อเน่าเปื่อยอยู่บ้าง ไม่กี่วินาทีต่อมามือเหล่านั้นก็ฝืนค้ำยันตัวเองแล้วค่อย ๆ ดึงร่างขึ้นมาจากดิน เพียงพริบตารอบด้านก็เต็มไปด้วยซากศพคนตายที่แสนดุร้ายพุ่งเข้าโจมตีกลุ่มของเหนือภพตามคําสั่ง
ไร้ชื่อตวัดดาบใส่พวกมัน เหนือภพใช้เพลงมวยที่มีตวัดเตะให้พวกนั้นถอยห่าง ขณะที่พญานาค ใช้การสะบัดหางเหมือนปัดแมลงที่น่ารําคาญออก แต่ไม่ว่าซากศพเหล่านั้นจะล้มไปสักกี่ครั้ง พวกมันก็ฟื้นกลับมาได้อีกเสมอ
เหนือภพนิ่วหน้า สิ่งที่เขาคิดไว้จริงดังว่า นี่มันกองทัพทหารอมตะชัด ๆ ทําไมสางลําไพรถึงเล่นโหดขนาดนี้
“เจ้าไปทําอะไรกับเจ้าหนุ่มกันแน่ นางถึงโกรธเพียงนี้”
“ก็เจ้าให้ข้ากิน ข้าก็แค่กินแขนมัน ทําเป็นตื่นเต้นไปได้”
“ห้า นี่เจ้า เจ้ารู้มั้ยว่าทําอะไรอยู่ ข้าก็แค่พูดไปเพื่อขู่นางเท่านั้น”
“ใครจะไปรู้เล่า แค่กินแขนข้างเดียวทําเหมือนจะเป็นจะตายไปได้ รู้งี้ข้ากินขาด้วยก็ดี นางคงโกรธไม่ต่างกันหรอกมั้ง”
“โอ๊ย !”
เหนือภพกุมหัวตัวเอง นวดคลึงหนังหัวไปด้วย วิ่งหนีไป เขาเริ่มจะเข้าใจเฮงเฮงบ้างแล้วว่าเมื่อเหตุการณ์ซวย ๆ เกิดขึ้นกับเรา โดยที่เราควบคุมไม่ได้นั้นมันรู้สึกอย่างไร
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 63 วิชาบ้าอะไรกัน
“ดูนั่นสิเจ้าคะ องค์ชายเตชินท์ได้แสดงความสามารถออกมาเป็นครั้งแรก นี่คือปราณอาคมเดือนดับของ
ราชวงศ์นิรันดร์กาลเป็นแน่ ไม่นึกว่าอดีตองค์หญิงของนิรันดร์กาลที่ไปอภิเษกสมรสกับองค์ประมุขของเมืองอนันต์ จะถ่ายทอดปราณพิเศษนี้ให้แก่องค์ชายเตชินท์ด้วย ว้าว ปราณอาคมเดือนดับช่างสุดยอดสมกับชื่อเสียงนะเจ้าคะ ตรงจุดผิวหนังที่เกิดสีดํามันดูดซับแรงโจมตีได้ทั้งหมดเลย แถมยังนําพลังโจมตีนั้นกลับมาเสริมพละกําลังให้ตัวเองนําไปใช้ตอบโต้ได้เลย”
จากนั้นพิธีกรสาวก็หันไปบรรยายการต่อสู้ของเนตรกัญญากับทีมนาคราชต่ออย่างได้อรรถรส แต่เพียงเท่านี้ตัวแทนจากเมืองอนันต์และเมืองนิรันดร์กาลก็ถือว่ามีหน้ามีตาอย่างมากแล้ว
“เจ้าเรียกควันดําร้ายกาจนั่นกลับมาก่อนจะดีกว่า”
เหนือภพคิดว่าเขาต้องจัดการที่ต้นตอของปัญหาเสียก่อน เฮงเฮงถึงจะรอดไปได้
“แล้วถ้าข้าไม่เรียกล่ะ”
สางลําไพรแกล้งพูดยียวนเช่นนั้นโดยไม่ให้เหนือภพจับได้ว่ากลุ่มวิญญาณวนเวียนอยู่เหนือการควบคุมของเธอแล้ว พวกมันคลั่งมากเกินไป
ทว่าเหนือภพกลับจ้องมองสางลําไพรด้วยท่าทางสบายๆ ไม่เหมือนคนที่อยากจะต่อสู้สักนิด เขายกมือขวาขึ้นโบกไปมาเป็นเชิงทักทาย ขณะที่มือซ้ายลอบกําแน่น เขาถอนหายใจเสียงดังก่อนจะชวนสาวคุย
“เจ้านะโชคดีแค่ไหนแล้วที่จับคู่กับข้า ข้านะเป็นคนอ่อนโยน ไม่คิดเล็กคิดน้อย สู้ไปก็เปลืองเงินค่ายาเสียเปล่าๆ เรามาตกลงกันแบบสันติดีไหม”
สางลําไพรขมวดคิ้ว เขาเป็นคนยังไงกันแน่ ก่อนการต่อสู้มีคนบอกกับเธอว่าให้ระวังเหนือภพเอาไว้ เขาเป็นคนที่กลิ้งกลอกหากเผลอหรือเปิดโอกาสให้เพียงเล็กน้อยคนที่จะพ่ายแพ้ก็คือเธอ
ยิ่งเธอเห็นสร้อยเงินแกะสลักกับสร้อยโลหะบนคอพญานาคที่กําลังไล่ล่าทศพลอยู่ ก็ทําให้เธอเริ่มมั่นใจว่าสิ่งที่เธอได้ยินมาเป็นความจริง ทีมมือปราบหลวงไม่ใช่ทีมไร้ความสามารถที่จะถูกจัดการได้โดยง่าย แต่พวกเขาก็ยังถูกทีมชื่อยาวเหยียดนี่ชิงสร้อยมาได้ ดังนั้น สางลําไพรจึงมีท่าที่ระแวดระวัง แม้เธอจะมีพละกําลังไม่โดดเด่น แต่เธอก็มีไม้เด็ดมากมาย เธอไม่เชื่อว่าจะรับมือเหนือภพไม่ได้
“ก็ได้ ข้าเองก็ไม่ได้อยากสู้นักหรอก มีแต่พวกป่าเถื่อนเท่านั้นแหละที่จะทําแบบนั้น”
สางลําไพรยิ้ม เธอเก็บมีดหมอที่ถือไว้ก่อนจะหาที่เหมาะๆ นี้ นั่งลง แล้วก็หยิบเอากระดานชนวนในถุงย่ามของตัวเองออกมาขีดเขียนอะไรบางอย่าง
เหนือภพรู้สึกคาดไม่ถึง ตอนแรกเขาคิดว่าเธอน่าจะอันตราย เพราะสังเกตจากท่าทีของไร้ชื่อ ไร้ชื่อมักโจมตีคนที่แสดงท่าที เป็นปฏิปักษ์ก่อนเสมอ แต่การกระทําของเธอในตอนนี้กลับทําให้เขางงงวยและก็หวาดระแวง
มือที่กําแน่นของเขายังคงกําต่อไปเพื่อรวบรวมกําลังให้ได้ระดับสูงสุด
“เจ้าคิดทําอะไร”
“ดูดวงตัวเอง ถึงข้าจะไม่ชอบขี้หน้าเจ้า อยากฆ่าเจ้าให้ตาย แต่ข้าก็สู้เจ้าไม่ได้อยู่ดี สู้ไปก็เปล่าประโยชน์ เห็นไหม วันนี้ดวงข้าซวยเห็นๆ ดาวอริดันมากดทับซะได้”
สางลําไพรกล่าวตัดพ้อกับตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอเธอหมุนกระดานชนวนที่คํานวณดวงของตัวเองออกมาให้เหนือภพดู เห็นชัดว่าเธอไม่ได้โกหก เพราะตอนเหนือภพได้อยู่กับพระอาจารย์ก็เคยมีโอกาสได้ร่ําเรียนการอ่านกระดานชะตามาบ้างจึงพอเข้าใจได้
เนื้อแท้ของเหนือภพเป็นคนใจอ่อน และจิตใจดี เมื่อเขาเห็นว่าเป้าหมายไม่ได้คิดร้าย แถมเป็นแค่การแข่งขัน ไม่จําเป็นต้องจริงจังขนาดฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง เขาจึงคลายกําปั้นที่กําเอาไว้ออก แต่ผลลัพธ์ของการคลายกําลังระดับ 12 นั้นมันมากเกินกว่าที่เหนือภพจะเข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสลายกําลังระดับ 12 ที่ผ่านมาเขาเคยสลายกําลังระดับ 6 มาก่อน มันจะรู้สึกเหนื่อยเล็กๆ โดยที่ไม่ได้เกิดปัญหาอะไร แต่เศษเสี้ยวพละกําลังระดับ 12 ที่ถูกบีบบังคับให้สลายไปนั้นเมื่อกระจายออกไปมันก็ทําลายพื้นรอบตัว เหนือภพจนแตกร้าวเป็นใยแมงมุม แตกเปรี้ยะกินรัศมีรอบตัวเหนือภพถึงสองเมตร
รอยร้าวเหล่านี้สร้างความตกใจให้แก่สางลําไพรจนดินสอพองในมือที่กําลังขีดเขียนคํานวณดวงชะตาแตกหักคามือ เธอรู้สึกว่าตัวเองคิดถูก เพียงแค่เหนือภพสลายพลังนั้นยังสร้างความเสียหายได้ถึงเพียงนั้น หากมันถูกใช้กับเธอไม่อยากจะคิดเลยว่าเธอจะเป็นเช่นไร
เหนือภพแบมือไปข้างหน้า มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนจะข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี
“ส่งสร้อยของเจ้ามา แล้วข้าจะตัดสินใจอีกทีว่าจะทําอะไรกับเจ้า”
โดยธรรมชาติของคนเราเมื่อต้องเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ถ้าอยากมีชีวิตรอด นอกจากจะหนีก็มีเพียงยอมจํานน จึงจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ แน่นอนว่าสางลําไพรก็เป็นเช่นนั้น เธอไม่อยากเจ็บตัว เธอไม่ชอบเปลืองแรงกับการต่อสู้
เธอกระตุกสร้อยหินแร่มากําไว้ในมือ สายตาอาลัยอาวรณ์และเสียดายเป็นอย่างมาก เพื่อนร่วมทีมอย่างทศพลเห็นดังนั้นก็ร้องตะโกนขัดขวาง แต่เขาจะทําอะไรได้ในเมื่อสภาพของเขาก็ไม่ได้ดีนัก เพราะเขายังคงพัวพันอยู่กับพญานาคโดยไม่อาจสลัดหลุดได้ ส่วนองค์ชายเตชินท์ก็ไม่ได้มีแม้เศษเสี้ยวความหวังที่สางลําไพรจะพึ่งพาได้
เหนือภพยิ้มกว้างเมื่อสร้อยหินแร่ถูกโยนมา เขารับมันขณะตั้งใจจะส่งสัญญาณให้ทุกคนถอนตัว ทว่ายังไม่ทันที่เหนือภพจะได้พูดอะไร เขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ด มือขวาที่กุมจับสร้อยหินแร่กระตุกรุนแรงราวกับถูกสายฟ้าฟาด
ดวงตาของเหนือภพเบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นว่ามือขวาของตนกําลังถูกภูตผีสีดําทะมึนกําลังบีบกดข้อมือของเขา กระแสไฟฟ้าสีดําที่อยู่บนตัวพวกมัน พุ่งซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทําให้ร่างกายของเหนือภพอ่อนแรงจนทรุดตัวล้มลงคุกเข่าอย่างไม่อาจต่อต้านได้
“นี่มันวิชาบ้าอะไรกัน”
เหนือภพกัดฟันกรอด พลางหวนคิดถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง เขาพลาดตรงไหนแต่ยังคิดไม่ออก เสียงสวดภาษาบาลีดังต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สางลําไพรก้าวย่างเข้ามาหาเขา
“โสภะคะวา อะทิสะมานิ อุเทยยัง…..อานังคัจฉันติๆ หมัด ธนูมือ !”
พลั่ก !
กําปั้นเล็กนวลเนียนของเด็กสาววัยเพียงสิบแปดปี ยามเมื่อปะทะเข้ากับใบหน้าแข็งๆของเหนือภพมันช่างรุนแรงจนเหนือภพต้องกัดฟันแน่นเลือดกบปาก ร่างกายของเขากระเด็นกระดอนกลิ้งตลบไปกับพื้นนับสิบเมตร
เหนือภพลอบกลืนเลือดลงคอ แต่กลิ่นคาวตลบอบอวลนั้นไม่ได้ ทําให้เหนือภพมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสบายๆแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ขณะปัดฝุ่นที่ติดตามตัวอย่างลําบากเล็กน้อย เพราะภูตผีสีดํายังไม่คลายตัวจากมือของเขา
“อู้ว สนุกดีนะ”
“นี่เจ้า หนังหนานักนะ”
สางลําไพรประหลาดใจมาก หมัดธนูมือของเธอเป็นหนึ่งในคาถาที่ผู้ไร้พรสวรรค์สามารถเรียนรู้ใช้งานได้เพียงแค่มีจิตที่ตั้งมั่น บริกรรมคาถาได้ถูกต้องครบถ้วนก็เพียงพอ แต่ว่าความรุนแรงของมันขึ้นอยู่กับระดับปราณอาคมที่อยู่ในร่างกาย ดังนั้นผู้มีพรสวรรค์ย่อมได้เปรียบอยู่วันยังค่ํา แต่เธอไม่คิดเลยว่าผู้ชายไร้ยางอายคนนี้ จะถูกทนขนาดนั้น นี่หมัดธนูมือของเธอทําอะไรเขาไม่ได้เลยหรือ
เหนือภพยังคงแสดงท่าที่ไม่ยี่หระ ทั้งๆที่ภายในใจของเขากําลังปั่นป่วน เธอเป็นสาวน้อยที่ไม่ธรรมดาเลย หมัดของเธอไม่สามารถทําให้เขามีรอยขีดข่วนได้ก็จริง แต่เขารู้สึกได้ว่าภายในของเขากําลังบอบช้ํา
เหนือภพเกร็งกล้ามเนื้อ พยายามควบคุมสติเพื่อชักนํากระแสอาคมจากเหล็กไหลราชันย์พิภพออกมาทะลวงพันธนาการของภูตผี แต่ว่าพลังเพียงแค่ 10% มันไม่เพียงพอที่จะทําเช่นนั้น หนําซ้ําผ้าประเจียดของพระอาจารย์ที่ถูกลงอาคมเอาไว้ ยิ่งใช้ก็ยิ่งเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา มันเป็นไปตามธรรมชาติ สรรพสิ่งย่อมมีอายุขัย ดังนั้นในตอนนี้มันจึงไม่ใช่วัตถุอาคมที่คงฤทธิ์เฉกเช่นเดิม จนกว่ามันจะได้รับการปลุกเสกอีกครั้ง เขาใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าสัมภาระของตัวเองอย่างยากลําบาก เสมือนมีแรงมหาศาลฉุดรั้งไม่ให้เขาทําตามใจ
ไม่ว่าเหนือภพจะแสร้งทําเป็นผ่อนคลายเช่นไรก็ตาม สางลําไพรก็ไม่ยอมชักช้าอีกต่อไป เธอทั้งเสกคําสาปใส่สายสร้อย ทั้งใช้หมัดธนูมือ แต่ก็ยังล้มเหนือภพไม่ได้ เธอจะต้องรีบปิดฉากการต่อสู้
“อมโคโน งัวทะนู …. อมสวาหะ”
เหนือภพหน้าเปลี่ยนสีเมื่อได้ยินคําศักดิ์สิทธิ์หลุดออกมาจาก ปากสางลําไพร มือซ้ายของเขารีบคว้าจับมีดหมอในถุง ยังไม่ทันที่เขาจะชักมันออกมา วัวธนูเรือนกายใหญ่โตสีดําทมิฬก็พุ่งเข้ามาหาเขาเสียแล้ว
“เห้ย”
วัวธนูสีดําตัวขนาดบ้านหลังย่อมๆ ผิวหนาดํามะเมื่อม เขาแหลมสองข้างยาวโง้งออกมาคล้ายกับแท่งโลหะมันวาว และควันร้อนที่พุ่งออกจากจมูกของมันยิ่งขับเน้นการข่มขวัญศัตรูยามมันก้มหัวลง พุ่งปลายเขาออกไปหาเหนือภพแล้วก็วิ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูง ก่อให้เกิดพื้นดินสั่นสะเทือน เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่ได้ยินเสียงนั้นร่างของเหนือภพก็ถูกวัวธนูขวิดกระเด็นลอยขึ้นเหนือฟ้าในทันที
ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของเหล่าผู้ชมที่จับจ้องไปยังการแข่งขันในครอบแก้ว สถานการณ์ทางด้านมหาวิหารพลิกกลับแล้ว เห็นได้ชัดว่าทีมนิรันดร์กาลกําลังได้เปรียบ วิชาไสยเวทย์ของสางลําไพรเป็นวิชาที่หาผู้ต่อกรได้ยาก แม้แต่ปราณอาคมทั่วไปของผู้มีพรสวรรค์ยังแทบไม่ใช่คู่ปรับของนาง นับประสาอะไรกับผู้ไร้พรสวรรค์ที่ไม่มีแม้ปราณอาคมในร่างกาย ทําให้ยากที่จะต่อต้านไสยเวทย์ได้ ถ้าไม่มีวัตถุอาคมป้องกัน
เหนือภพที่ลอยอยู่กลางอากาศใช้มือซ้ายตวัดมีดหมอตัดไปยังข้อมือขวา เพื่อทําร้ายพวกภูตผีที่สะกดตรึงมือของเขาไว้ มีดหมอของพระอาจารย์ถูกลงอาคมขั้นสูงหลายบท มีอานุภาพที่สามารถปราบภูตผีได้
“กรี้ดดดดด”
เสียงกรีดร้องอันทุกข์ทรมานของวิญญาณดังขึ้นในระยะเผาขนจนเหนือภพหูอื้อ ก่อนจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เหนือภพเมื่อกลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ ก่อนที่เขาจะตกถึงพื้น เขาก็บิดตัวม้วนกลับเพื่อที่จะตกลงไปในท่วงท่าที่สวยงาม แต่ว่าความเร็วของวัวธนูนั้นไม่ต่างจากลูกธนูเลย มันเคลื่อนตัวเร็วมากจนสายตาของเขาแทบจับไม่ทัน
ทันทีที่ขาทั้งสองข้างของเขาแตะพื้น กําชับมีดหมอที่อยู่ในมือจนแน่น แต่ยังไม่ทันฟาดออกไป วัวธนูก็พุ่งชนเข้าที่ท้องของเขาอย่างจัง
พลัก !
เสียงของแข็งปะทะเข้ากับก้อนเนื้อดังก้องอย่างน่าหวาดเสียว หากเป็นนักสู้ทั่วไปคงไส้ทะลักสิ้นชีพไปแล้ว แต่เหนือภพกลับไม่ใช่เช่นนั้น ผิวหนังของเขาหนาและแข็งแรงมาก หากเลิกชายเสื้อของเขาขึ้นมาจะเห็นได้ว่ามีเพียงจุดแดงๆสองจุดที่เกิดจากปลายเขาเท่านั้น แต่ความรุนแรงนี้ทําให้น้ําในท้องของเหนือภพแทบจะทะลักย้อนกลับออกมา ร่างกายของเขาลอยคว้างกระเด็นกระดอนไปกับพื้น สภาพดูไม่จืด มีดหมอที่เคยกําชับแน่นกลับกระเด็นหายไปเสียแล้ว
เหนือภพนิ่งไปชั่วขณะ จุกจนไม่อาจเสแสร้งทําท่าผ่อนคลายได้อีกแล้ว
“อันตรายเกินไปแล้ว”
Favorite ตอนที่ 62 สางลําไพร
เหนือภพวิ่งนําอยู่หน้าสุดอีกครั้ง ส่วนเฮงเฮงก็ยังคงรั้งท้ายเช่น เคยแม้จะออกตัวทิ้งห่างเหนือภพไปก่อนหน้านับร้อยเมตร
ในตอนนี้เหนือภพมีความคิดที่ว่าถ้าจะซวยก็ซวยกันให้สุดๆ ให้รับรู้กันให้ทั่วกันไปเลย มันคงน่าเสียดายที่ทีมเขาต้องมาเผชิญกับสิ่งมีชีวิตอันน่าขนลุกพวกนี้เพียงลําพัง
โครม !!
ทีมของเหนือภพวิ่งทะลุทําลายกําแพงเก่าโบราณล้อมรอบมหาวิหารชั้นนอก พุ่งตัวเข้าไปยังเขตชั้นในที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณประเภทบ้านเรือนยุคเก่าขนาดเล็กใหญ่นับร้อย พวกมันกําลังเสื่อมโทรมแต่ก็ดูสวยคลาสสิกไปอีกแบบ ใจกลางหมู่บ้านมีมหาวิหารกว้างใหญ่ตั้งตระหง่านท้ากาลเวลา แค่เสาเพียงต้นเดียวภายในมหาวิหารก็กว้างมากพอสําหรับยี่สิบกว่าคนโอบ หลังคาวิหารที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบนราบอยู่สูงขึ้นไปคล้ายดาดฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆหมอกสีขาวหนาเตอะ
“นี่เจ้าว่าทีมที่ใกล้ที่สุดอยู่ทางไหน”
เหนือภพเอ่ยถามพญานาคอย่างรวดเร็ว เขาไม่สะดวกที่จะใช้ความสามารถของเหล็กไหลหาทิศทางของแร่มีสีในขณะเคลื่อนไหว ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างจากคนตาบอดที่กําลังวิ่ง
“ทางเหนือมีอยู่สองทีมห่างออกไปสักประมาณ 800 เมตรได้ ทางตะวันออกมีอีกสองทีมห่างไปสักประมาณ 1,000 เมตร
พญานาคเอยอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเงยหน้ามองไปทางดาดฟ้าของมหาวิหารที่น่าจะสูงจากพื้นสัก 300 เมตร มันสูงมากจนมองเห็นปุยเมฆที่ปกคลุมอยู่ หากเป็นคนธรรมดาก็ยากจะเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างบน
“พวกครุฑซ่อนตัวอยู่บนนั้น
พญานาคเปลี่ยนวิธีพูดปกติมาเป็นการสื่อสารทางจิต เนื่องจากไม่ต้องการให้คนอื่นได้ยิน เมื่อเหนือภพได้ยินเสียงในจิตเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าเบิกบาน แม้ในใจจะเคร่งเครียด แต่เขาก็ทําตัวผ่อนคลายเอาไว้ ขณะที่พญานาคยังสื่อสารมาอย่างต่อเนื่อง
“มันอยู่ใกล้พวกเรามาก
ที่มปริศนามีฝีมือในการซ่อนและพรางตัวตนเยี่ยมยอดมาก แม้แต่พญานาคก็ยังเกือบพลาดท่าถูกหลอก โชคดีที่แม้เจ้าพวกนั้นจะมีทักษะสูงแต่ก็ยากที่ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพเป็นเวลานานๆ การใช้ทักษะขั้นสูงเพื่อซ่อนตัวคนทั้งทีมย่อมต้องใช้ปราณอาคมมากเป็นธรรมดา ต่อให้แข็งแกร่งมีปราณอาคมในร่างกายมากเพียงไหน ก็ย่อมมีช่วงเวลาที่อาคมอ่อนล้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พญานาคสัมผัสคนกลุ่มนี้ได้
แต่เหนือภพยังคาดเดาไม่ออกว่าพวกนั้นเป็นใครมาจากทีมไหน เพราะคนที่ใช้อาคมครุฑได้มีหลายคนทั้งจากทีมเพชรการเวกขององค์หญิงบุษย์น้ําเพชร ทีมบ้านปักษาหงส์ทองขององค์หญิงบุษย์น้ําทอง และทีมเทพเจ้า ไม่ว่าพวกนั้นเป็นคนจากทีมไหนเหนือภพก็ยังทําอะไรไม่ได้ในตอนนี้ เขาเพียงวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น
“เอาแล้วค่ะท่านผู้ชม ดูเหมือนทีมบ้านรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุกๆวินาทียังคงไม่รู้ตัวว่ากําลังถูกติดตามอยู่ พวกเขายังคงคิดว่าวิญญาณวนเวียน เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ทางเราจัดเตรียมเอาไว้ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็ใช่ค่ะ แต่ว่าวิญญาณวนเวียนนั้นชื่อก็บอกอยู่นะเจ้าค่ะว่าวนเวียน การที่มันเคลื่อนได้ไกลมากขนาดนั้น ทําไมถึงคิดไม่ออกกันล่ะคะเนี่ยว่ามันถูกควบคุมโดยผู้อื่น มันน่าตื่นเต้นสุดๆไปเลยเจ้าค่ะ ไม่คิดว่าในการประมูลรอบนี้เราจะเห็นผู้ใช้ใสยเวทย์ปราบผีที่มีอายุน้อยร่วมทีมมาด้วย”
พิธีกรสาวบรรยายอย่างตื่นเต้นเพียงคนเดียว ขณะที่ผู้ชมรอบข้างโดยเฉพาะผู้ทรงอํานาจแต่ละกลุ่มที่ส่งบุตรหลานผู้มีความสามารถเข้าไปเพื่อแย่งชิงภารกิจหลัก ถึงกับนิ่วหน้า เคร่งเครียด เมื่อต้องคิดถึงเวลาที่บุตรหลานของตนต้องเจอกับผู้ใช้ไสยเวทย์ปราบผีที่มีอาวุธเด็ดอย่างวิญญาณวนเวียน มันเป็นอะไรที่ยากจะต่อกร
“เฮงเฮง ได้เวลาแสดงความสามารถนายแล้ว”
เหนือภพตะโกนหาเฮงเฮงที่ยังคงวิ่งรั้งท้าย เมื่อเขามีแผนในใจ หลังจากได้ยินคําคาดการณ์ของพญานาคในความคิดว่าการที่วิญญาณวนเวียนเคลื่อนที่ได้ไกลขนาดนี้ มันมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ควบคุม
“ค่ะ”
เฮงเฮงแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นเหนือภพชี้ไปทิศทางหนึ่ง เขาก็เกือบจะเข่าอ่อน คาดว่าเขาจะต้องเป็นตัวล่อความซวยออกไปอีกแล้ว
“เจ้าไปทางนั้น”
เฮงเฮงพยักหน้าเข้าใจ แต่ท่าทางของเขานั้นดูชักช้ายืดยาดเกินไปในสายตาพญานาค เฮงเฮงจึงถูกหางเท่าลําต้นกล้วยฟาดใส่กัน
ฟับ !
ร่างเพรียวบางแต่แน่นกํายําพุ่งออกไปดุจกระสุนปืนใหญ่ และนั่นก็ทําเรื่องให้ฝ่ายที่หลบซ่อนอยู่คาดไม่ถึง กลุ่มควันดําที่เคยอยู่ในการควบคุมของพวกเขากลับไม่ทําตามคําสั่ง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่วิญญาณวนเวียนมีท่าทางดุเดือดเลือดพล่าน ความคลุ้มคลั่งนี้เกิดขึ้นกับมันตั้งแต่ที่พบกับทีมชื่อยาวเหยียด
กลุ่มควันสีดําเริ่มเด่นชัดและบ้าคลั่งมากขึ้นหลังจากที่ชายหนุ่มที่ชื่อว่าเฮงเฮงถูกสะบัดเขวี่ยงออกไป วิญญาณวนเวียนเคลื่อนตัวตามเฮงเฮงไปด้วยความรวดเร็ว เรื่องนี้สร้างความเบิกบานให้กับเหนือภพเป็นอย่างมาก จนเขาผิวปากเป็นทํานองออกมาด้วยความรื่นรมย์เปรมปรีดิ์ จากนั้นเหนือภพก็ถอดกางเกงออกแล้วหันหน้า เข้าซอกมุมหนึ่งอย่างหน้าไม่อาย พร้อมกับหันมาทางไร้ชื่อที่ดูเหมือนจะมีอาการปวดท้องเบาเช่นกัน
“ถ้าเจ้าปวดก็มาทางนี้ ทางนี้วิวดีกว่ากันเยอะ”
ภาพชายหนุ่มทั้งสองยื่นฉี่อยู่กลางซากหมู่บ้าน นั้นทําให้ผู้มีอํานาจกลุ่มหนึ่งร้องอ๋า สตรีส่วนใหญ่ร้องอี๋ ปิดตาตัวเองโดยเว้นช่องว่างระหว่างนิ้วไว้ ส่วนพิธีกรสาวถึงกับหน้าแดงซ่าน เธอเลือกวิ่งอ้อมไปบรรยายการต่อสู้ของที่มบ้านลานเงินและทีมแม่ทัพหลวงที่อยู่ไกลออกไปแทน
เหนือภพและไร้ชื่อนี่ยังไม่ทันเสร็จก็มีเสียงกรีดร้องของทั้งสตรี และชายหนุ่มดังขึ้นเมื่อน้ําปัสสาวะของเขาส่ายไปส่ายมาเป็นสายซ้ายขวา แล้วตั้งใจฉีดรดเข้าไปในซอกกําแพงกว้างที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ เหนือภพรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่
“กรี้ดดด ไอ้บ้า”
ทั้งเหนือภพและไร้ชื่อสะดุ้งตกใจ เหนือภพรีบเก็บน้องชายเข้าที่ พลางแสร้งร้องเสียงหลง ส่วนไร้ชื่อนั้นอยู่ในภาวะตื่นตัว เขาเลือกชักดาบของตัวเองออกมา แทนที่จะดึงกางเองที่กองรุ่นอยู่ข้อเท้าขึ้น
“ศัตรู !”
เหนือภพหันมาช่วยดึงกางเกงของไร้ชื่อขึ้นมาด้วยสีหน้าอ่อนใจ
“เจ้าน่ะ เรียงลําดับความสําคัญก่อนไหม โฉ่งฉ่างเกินไปแล้ว”
“ศัตรู”
ไร้ชื่อหันมองเหนือภพอย่างไม่เข้าใจว่าทําไมจ่าฝูงของเขายังดูสงบนิ่งอยู่อีก ในเมื่อตอนนี้ศัตรูอยู่ข้างหน้าแล้ว
“ผู้ชายหน้าไม่อายเช่นนั้นเจ้ายังจะชอบเขาอยู่อีกเหรอ”
พราวจันทร์เอ่ยถามบุษบาด้วยท่าที่เรียบนิ่งเช่นเคย เธอไม่แปลกใจกับการกระทําเหนือภพนัก ความต่ําตมที่ไม่มีใครเทียบเคียง มีแค่เขาคนเดียวในโลกที่ทําได้ รู้ทั้งรู้ว่านั่นเป็นสนามประลองที่มีคนดูอยู่มาก ก็ยังพาสหายแสนซื่อทําเรื่องอุจาดแบบนั้นได้
“ข้าว่าเขาเปิดเผยดีออก”
บุษบาตอบพลางยิ้มเอียงอายอย่างพองาม ใบหน้าแดง สองมือบิดจับชายกระโปรงแน่น พราวจันทร์จนปัญญาจะพูดต่อ มีอย่างที่ไหน ผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องแบบนั้นยังมีคนจะมาแย่งกับเธออีก
แต่ไม่ทันที่พราวจันทร์จะได้ขยับชายกระโปรงที่เปิดเลิกขึ้นมาถึงโคนขา จดหมายอาคมรูปผีเสื้อก็บินลงมาเกาะบนไหล่นวลเนียนไร้อาภรณ์ปกปิด เธอจ้องมองเพียงชั่วครู่ จากนั้นผีเสื้ออาคมก็สลายไป
“เริ่มแล้วหรือคะ” บุษบาไถ่ถามด้วยความกังวล
“ทางนั้นก็ย่อมรู้ว่าพวกเราจะใช้โอกาสนี้ แล้วนั่นจะเป็นการดีหรือคะ”
บุษบาเองก็คิดว่านี่เป็นโอกาสดี แต่ฝ่ายตรงข้ามก็คงคิดเห็นเช่นเดียวกัน พวกเขาย่อมต้องมีการป้องกันล่วงหน้า แล้วเช่นนี้ไม่เท่ากับว่านําตัวเองเข้าไปในกับดักของศัตรูหรืออย่างไร
พราวจันทร์ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ ขณะขยับกระโปรงแล้วก็จิบชาร้อนหอมกรุ่น จากนั้นค่อยตอบกลับด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน
“เจ้ากังวลไปไย ทุกการศึกย่อมมีความเสี่ยง หากไม่กล้าที่จะเสี่ยงมีหรือจะประสบความสําเร็จ แล้วที่สําคัญก็คือข้าเชื่อใจพี่ทานธรรม เขารู้ดีว่าเขากําลังทําอะไรอยู่”
“ค่ะ”
บุษบารับคําอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเธอก็หันกลับไปจ้องมองชายหนุ่มที่เธอเห็นว่าโดดเด่นที่สุด
“ทีมนิรันดร์กาล”
เหนือภพพิมพ์ออกมาเมื่อสังเกตเห็นสร้อยหินแร่ปะปนอยู่กับสร้อยลูกประคําสีดําหลายเส้นบนคอหญิงสาวที่แต่งกายคล้ายพวกหมอผีมนต์ดํา เธอแต่งหน้าจัดด้วยแป้งขาว เขียนรอบดวงตาด้วยดินสอดําจนเป็นขอบหนา ริมฝีปากทาสีเลือดหมู หนําซ้ําเปลือกตาของเธอยังทาอะไรบางอย่างที่มีสีเทาเข้ม ไม่รู้ว่าเธอไปเห็นรูปแบบการแต่งหน้าเช่นนี้มาจากไหน แต่มันช่างดูเลวร้ายยิ่งนักสําหรับหนุ่มน้อยจากหมู่บ้านแร่ห้าสี
เธอชื่อว่า สางลําไพร เบื้องหน้าของเธอมีชายหนุ่มอ่อนวัยสองคนยืนถือกระบองเหล็กใหญ่สั้น ยืนเยื้องคุ้มกันเธอใกล้ชิดทั้งซ้ายขวา ชายหนุ่มทางด้านขวามีทรงผมตั้งสีแดงเพลิงเป็นเอกลักษณ์ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกบ้าพลัง เขาคือ ยศพล ลูกขุนนางชั้นสูงรุ่นใหม่ไฟแรงของนิรันดร์กาลนคร ส่วนด้านซ้ายของสางลําไพรคือชายหนุ่มหน้าหวานเส้นผมสีแดงดําเหลือบชมพู เขารวบทรงผมเรียบร้อย ดูเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ได้เกิดจากการเสริมแต่ง เขาคือ องค์ชายเตชินท์ องค์ชายสิบสองของเมืองอนันต์
“ไอ้สารเลวสัตว์นรก กล้าดียังไงถึงมาฉีรดพวกข้า”
ยศพลคํารามอย่างเกรี้ยวกราด เขาตั้งใจจะพุ่งเข้ามาโจมตีเหนือภพ แต่ถูกเตชินท์ยกมือห้ามเอาไว้
“ใจเย็นก่อน”
สายตาของเตชินท์ดูลึกล้ํา ท่าทางสงบนิ่งของเขาไม่เหมือนดังข่าวลือ ที่ว่าเขาเป็นเพียงองค์ชายด้อยค่าไม่ได้มีความสลักสําคัญใดในราชวงศ์อนันต์
“ข้าบอกแล้วว่าอย่าใช้วิญญาณอาฆาตนั้น พวกเจ้าไม่เชื่อข้า อยากให้ข้าใช้ให้ได้ คราวนี้เป็นไงล่ะ พวกเจ้าต้องซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ข้า”
สางลําไพรมีความสามารถในการทํานาย ก่อนหน้านี้เธอได้ทํานายเอาไว้ว่าจะพบกับโชคร้ายที่เน่าเหม็น พอคิดถึงตรงนี้กลิ่นฉุนก็ฟังตลบอบอวลจากฉีของเหนือภพและไร้ชื่อ มันติดอยู่ตามเสื้อผ้าของพวกเธอ สร้างความหงุดหงิดและปั่นป่วนใจแก่พวกเธอมาก เจ้าพวกบ้านที่มีเยอะแยะดันไม่นี่
สายตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความรังเกียจและก็หงุดหงิด แต่เตชินท์กลับไม่คิดเช่นนั้น
“พวกเจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าพวกข้าแอบสะกดรอยตามเจ้า”
เตชินท์รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากเป็นเหนือภพทําเพียงคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่เขากลับเรียกอีกคนให้มาฉีด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการจงใจ
“ใครจะไปรู้กัน พวกเจ้าดวงซวยกันเองต่างหาก”
เรื่องอะไรเหนือภพจะยอมรับ เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องไขข้อข้องใจให้คนอื่น มีสมองก็คิดกันเอาเองสิ
“อีกอย่างข้าสที่จะต้องถามพวกเจ้า ชายสองหญิง หนึ่งเป็นโรคจิตหรือยังไง มาแอบดูจ้าวโลกของพวกข้า พวกเจ้าว่า มาว่าจะรับผิดชอบยังไง ใช่ไหมไร้ชื่อ”
ไร้ชื่อพยักหน้าด้วยใบหน้าทิ้งตึง เขาชักดาบออกมาพร้อมท่าทางน่าเกรงขาม หากฝ่ายตรงข้ามแสดงเจตนาปฏิปักษ์ เขาจะเป็นคนแรกที่จะเข้าไปฆ่ามัน
“เจ้าบัดซบนี้ แน่จริงก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัว”
ยศพลพูดตอบโต้อย่างไม่ยอมความ แต่ไม่รู้ว่าเพราะถูกรั้งโดยเพื่อนร่วมทีม หรือเขาไม่กล้าพอกันแน่ เขาจึงได้มีท่าทางยึกยักไม่เคลื่อนไหว แต่เหนือภพไม่เป็นเช่นนั้น เขาเหวี่ยงพญานาคที่กําลังกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะหาเรื่องเต็มทนเข้าไปหาทศพล พร้อมบอกออกไปด้วยความหวังดีว่า
“ระวังหน่อยนะผมแดง ไอ้บ้านั่นมันชอบกินคน อย่าพลาดท่าถูกกินล่ะ”
เหนือภพยิ้มกว้าง แต่ก็ต้องเบิกตากว้างรีบพุ่งไปห้ามไร้ชื่อ เขาเป็นคนที่เผลอไม่ได้เอะอะก็จะฟัน ฟันใครไม่ว่าจะฟันผู้หญิงนี่สิ ทําเอาเหนือภพรู้สึกเสียววาบ เขารู้สึกว่ามันรุนแรงไปสักหน่อย แต่ไร้ชื่อก็เป็นพวกไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร
เหนือภพพุ่งตัวขวางดาบของไร้ชื่อไว้
“ผู้หญิงคนนี้ข้าจัดการเอง เจ้าไปจัดการเจ้าหน้าหวานนั่น ดูเหมาะกับเจ้าดี”
ไร้ชื่อไม่ปฏิเสธ สําหรับเขาอะไรก็ได้ จะสู้กับใครก็เหมือนกัน
เตชินท์ขมวดคิ้วเขาไม่มีอาวุธคู่กายอะไร แต่เพียงพริบตาเดียวไม่รู้ว่าเขาใช้อาคมประเภทไหน เมื่อเริ่มการต่อสู้ร่างกายบางส่วนของเตชินท์ก็ยกขึ้นต้านรับคมดาบของไร้ชื่อ ไม่ว่าร่างกายส่วนใดที่รับคมดาบนั้นมันจะกลายเป็นสีดํามืดมิด ช่วยดูดซับความเสียหายที่พุ่งเข้ามา
Favorite ตอนที่ 61 วิญญาณวนเวียน
“แฮ่ก ๆ เร็วเข้า”
เสียงหอบดังมาจากสตรีนางหนึ่งที่กําลังวิ่งต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุดเธอคือองค์หญิงบุษย์น้ําทองแห่งทีมบ้านปักษาหงส์ทองเบื้องหลังเธอมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งกําลังวิ่งตีคู่มาในระยะกระชั้นชิด พวกเขาเป็นฮันเตอร์แรงค์ D อายุน้อยที่เป็นสมาชิกในบ้านของเธอเอง
พวกเขาทั้งสามวิ่งสุดฝีเท้าด้วยหน้าตาแตกตื่น ขณะที่ข้างหลังมีควันดํานับสิบกลุ่มพุ่งตามมา ควันดังกล่าวนับว่าแปลกประหลาด ทุกสิ่งที่มันพุ่งผ่านไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร พืชพรรณ สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ ล้วนหลบหนีหน้า หากเป็นต้นไม้ดอกไม้ที่วิ่งหนีไม่ได้ พวกมันก็จะหุบดอกใบของตนราวกับต้องการปกป้องตัวเองจากสิ่งชั่วร้าย
เหมือนเคราะห์ซ้ํากรรมซัด กลุ่มบ้านปักษาหงส์ทองวิ่งหนีมาได้ไม่เท่าไหร่ทั้งกลุ่มก็ต้องเผชิญหน้ากับเสียงระเบิดบริ้ม พื้นดิน แตกทลาย ต้นไม้ถูกแรงระเบิดจนฉีกขาด พร้อมแรงลมหมุนเกลียวดุจพายุงวงช้างสีส้มทองที่หมุนปั่นไปตามแนวราบพุ่งมาทางพวกเขาทําให้เกิดแรงต้านและสร้างความเสียหายทางกายภาพ ผลัก ร่างทั้งสามให้ลอยพุ่งกลับไปอย่างไม่อาจต่อต้านได้
แต่ว่าสายลมโหมกระหน่ําดุจกระสุนปืนใหญ่อากาศที่ยิงออกมาจากเหนือภพที่ยืนอยู่เหนือยอดไม้สูงกลับไม่สามารถพัดกลุ่มควันดําประหลาดทั้งสิบกลุ่มไปได้ พวกมันเสมือนไร้ตัวตนหากเป็นควันดําปกติคงลอยตามกระแสลมไปแล้ว
จากที่ควันดํากลุ่มนี้เคยติดตามที่มปักษาหงส์ทองพวกมันกลับเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าเข้ามาหากลุ่มของเหนือภพแทนโดยที่เหนือภพไม่สามารถรับรู้ได้เลย
“ยะฮ้ว ! สะใจเป็นบ้าเลย”
เหนือภพคลายกําปั้นของตัวเองขณะมองดูเป้าหมายของเขาลอยละลิ่วไปไกลเรื่องอะไรเขาจะไปสู้กับกลุ่มอื่น ๆ โดยตรงในเมื่อเขาสามารถโจมตีระยะไกลกว่าหลายร้อยเมตรได้อย่างสบายเพียงแต่ยิ่งระยะไกลพลังการทําลายทางกายภาพก็จะลดทอนลงไปแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเขามีตัวช่วย
“มีอีกไหม”
เหนือภพถามอย่างกระตือรือร้น พญานาคที่พันอยู่รอบตัวเขาได้ยินเช่นนั้นก็ชูคอขึ้นสูงพลางหันซ้ายหันขวา
พญานาคราชห้าเศียรที่แสนเกรียงไกร กําลังสวมบทบาทเป็นกล้องส่องทางไกลและก็เป็นตัวช่วยชี้เป้าให้กับเหนือภพ มันช่วยไม่ได้ที่เขาเป็นคนธรรมดาไร้พรสวรรค์ไม่มีอาคมที่ใช้สําหรับมองระยะไกลดังนั้นระยะทางในปาทึบสลับซับซ้อนเช่นนี้เขามองเห็นได้ชัดเจนเพียงแค่ 200 เมตรก็นับว่าดีมากแล้ว
แต่ระยะนี้ก็เป็นระยะเฝ้าระวังที่แต่ละทีมต่างพยายามรักษาระยะห่างกันไว้ทําให้กลุ่มของเหนือภพไม่สามารถทําอะไรได้ หากพวกเขาเคลื่อนตัวเข้าใกล้แล้วที่มอีกฝ่ายไม่มั่นใจก็จะถอนตัวทันทีทําให้ยากที่จะคาดเดาผลแพ้ชนะ จะไล่ตามก็ไม่ได้ แม้เขาจะไม่เข้าใจยุทธวิธีในการรบแบบกลุ่ม แต่เขาก็รู้ดีว่าควรรับฟังความคิด เห็นของผู้อื่นที่มีประสบการณ์และพญานาคเป็นที่ปรึกษาชั้นดีให้แก่เขาแม้มันจะสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อยก็ตาม
“วิ่ง !”
พญานาคร้องเสียงดังจนเฮงเฮงและไร้ชื่อที่ปักหลักซ่อนตัวอยู่บนกิ่งไม้อีกกิ่งได้ยิน จากนั้นพญานาคก็พุ่งลงจากต้นไม้ลับหายไปในทิศทางที่พวกเขาเพิ่งจากมาในทันที
“มันเกิดอะไรขึ้น”
เหนือภพยังไม่ทันได้รับคําตอบ เขาก็ถึงกับขนลุกซู่ บรรยา กาศเย็นยะเยือกอันน่าขนลุกมาพร้อมกับควันดํานับสิบกลุ่มที่กําลัง มุ่งตรงมาทางเขา
ไม่สิ พวกมันกําลังพุ่งไปทางเฮงเฮงที่เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าเขาคือเป้าหมายเฮงเฮงเริ่มวิ่งตีคู่ไปกับพญานาคอย่างไม่รอช้า
ไร้ชื่อขู่คํารามในลําคออย่างเกรี้ยวกราดแต่เขาไม่เข้าไปปะทะตรงๆได้แต่ฟันดาบอาคมของตัวเองออกไปโจมตีระยะไกลแล้วถอยร่นตัวเองไปเรื่อยๆอย่างกล้าๆกลัว ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เหนือภพเห็นความกลัวของเขาไร้ชื่อดูผิดแปลกไปมาก
เหนือภพเองไม่รู้ว่าควันดํานั้นคืออะไร แต่มันบรรยายความรู้สึกไม่ถูกมันเป็นความรู้สึกเหมือนเห็นผียังไงก็ไม่รู้เขาออกตัววิ่งตามทุกคนไปสุดฝีเท้า
ขนาดพญานาคยังเลื้อยหนีอย่างเร็วไวทิ้งเขาไปอย่างไม่ยอมสู้แสดงว่าพญานาคยังสู้ไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเขาจะอยู่ไปเพื่ออะไรดังนั้นต้องวิ่งก่อนแล้วค่อยสอบถาม
“ช่วยบอกที มันคือตัวบ้าอะไร”
ด้วยพละกําลังที่ได้มาจากวัตถุดิบลับในแท็บแล็ตทําให้เหนือภพวิ่งขึ้นมาตีคู่อยู่ข้างพญานาคได้ในไม่ช้า ขณะที่ได้ชื่อและเฮงเฮงที่งมาในแนวเรียงแถวหน้ากระดานไล่เลี่ยกัน พยายามวิ่งกลับไปที่ขอบปาอีกครั้งพวกเขาพยายามวิ่งเลาะไปตามชายปาด้วยความรู้สึกขนหัวลุกตลอดเวลา
หากจะวัดความสามารถในด้านการวิ่ง จริง ๆ แล้วเฮงเฮงนับว่า มีฝีเท้าเร็วกว่าทุกคนในที่นี้กําลังขาของเขาเป็นดั่งลําขาของนักวิ่ง ลมกรดที่ฝึกฝนอย่างหนักมาตั้งแต่จําความได้มันเป็นส่วนสําคัญอ ย่างหนึ่งที่ทําให้เขารอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ แต่ในตอนนี้เขากลับอยู่รั้งท้ายทุกคน เพราะเขาต้องพบเจอกับอุปสรรคนานาประการที่ พร้อมใจกันออกมาขัดขวางเขาทําให้ความเร็วของเขาช้าลงมาก
เฮงเฮงรีบซอยเท้าเร็วจี้จนปลายเท้าจิกลึกแทบจะขุดเจาะลง ไปในดิน ฝุ่นควันตลบอบอวลแต่เขาก็ทําได้แค่ไล่ตามพวกเหนือภพ ที่อยู่ข้างหน้าห่างจากเขาเกือบยี่สิบเมตร ทําให้เขาไม่สามารถฟังบทสนทนาของพญานาคและเหนือภพได้ชัดเจน
“ว่าไงนะ ! พวกนั้นคือฝั่งั้นเหรอ บรื้อออ”
เหนือภพตกใจจนเลือดในกายสูบฉีด ภายในร้อนรุ่มแต่ผิวด้านน อกกลับรู้สึกหนาวเย็นจนขนลุกซู่เด็ก ๆ ทุกคนมักเติบโตมากับ เรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับวิญญาณและคนตายมาไม่มากก็น้อยเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น หลาย ๆ ครั้งแม่เคยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับ วิญญาณของบรรพบุรุษและวิญญาณของพ่อที่มาเข้าฝันแม่เขาก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มาเห็นผีตัวเป็น ๆ
“ไม่ใช่ผี แต่เป็นวิญญาณวนเวียน มันเป็นวิญญาณที่มีแรงอาฆาต สูงมากต่างหาก”
“มันก็ผีไม่ใช่หรือไง”
“เจ้านี่มันโง่ อยากอวดฉลาดกับข้าหรือไง”
“วิญญาณก็วิญญาณสิ ไม่เห็นต้องด่ากันเลย”
เหนือภพตอบโต้เสียงอ่อย พลางหันหลังกลับไปมองวิญญาณ วนเวียนที่พญานาคพูดถึง พวกมันเคลื่อนที่ได้เร็วมาก พวกมันไม่จํา เป็นต้องอ้อมสิ่งกีดขวาง ร่างกายที่พิเศษของมันทะลุทะลวงได้ทุ กสิ่ง
พญานาคเล่าให้ฟังระหว่างหนีว่าพวกมันแตกต่างจากวิญญาณ ทั่วไปมันไม่สามารถฆ่าคนได้ก็จริงแต่ก็ใช่ว่ามันจะทําอะไรไม่ได้เลย มันเป็นวิญญาณที่ยึดติด มีตัวตนอยู่เพื่อวนเวียนทําสิ่งที่มันปรารถนา ยิ่งหากมันตายจากการต่อสู้พวกมันก็จะพยายามกลับมาต่อสู้อี กครั้งเพื่อล้างแค้นและเพื่อให้บรรลุสิ่งที่มันต้องการ มันจําเป็นต้อ งมีกายเนื้อ ดังนั้นพวกมันจึงมีความสามารถพิเศษในการสิงสู่ต่อให้คนผู้นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน มีอาคมสูงส่งแค่ไหนก็ยากที่จะต่อต้านหากประมาทเพียงเล็กน้อยก็คงถูกยึดครองร่างโดยไม่รู้ตัว
พอคนที่ถูกสิ่งสู่รู้ตัวอีกที่คนรอบข้างเพื่อนพี่น้องก็อาจจะตายกัน หมดสิ้นด้วยน้ํามือตัวเอง
“ข้าเคยได้ยินมาว่า อาคมใช้ปราบภูตผีได้ไม่ใช่เหรอ ?”
“แค่นั้นมันใช้ได้ซะที่ไหนล่ะ สิ่งมีชีวิตที่ปราบพวกภูตผีปีศาจหรือวิญญาณได้จําเป็นต้องเรียนไสยเวทย์ปราบผีมันเป็นวิชาเฉพาะ ที่เลือกผู้ฝึก ใช่ว่าตาสีตาสาที่ไหนจะเรียนได้ ถึงมันจะใช้กระแสปราณอาคมในการขับเคลื่อนก็เถอะ”
“แล้วพวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ล่ะ อย่างเจ้า ครุฑ และสัตว์บางชนิดมันกันภูตผีได้ไม่ใช่เหรอ ?”
“หากกันได้จริง ข้าจะหนีเรอะ ไอ้ความเชื่อผิด ๆ นี่เจ้าไปเอามาจากไหนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกข้าก็ไม่ได้ต่างจากมนุษย์เกิดมามีความสามารถไม่เหมือนกัน ถนัดไม่เหมือนกัน ข้าเป็นสายกําลังไม่ใช่สายเวทมนต์คาถา”
เหนือภพถึงกับหนังศีรษะตึง ขมวดคิ้วมั่น เขาพยายามคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ ครั้นจะให้เฮงเฮงวิ่งแยกออกไปอีกทางมันก็ดูไร้ น้ําใจเกินไปแม้มันจะเป็นตัวซวยที่ดึงหายนะมาให้เพื่อนฝูงก็เถอะ
“จะทํายังไงดี
เหนือภพพยายามใช้สมองน้อย ๆ คิดทบทวนสิ่งที่อาจารย์เคยสอนแม้อาจารย์จะไม่ได้สอนวิชาปราบผีให้เขาแต่ก็ใช่ว่าอาจารย์จะไม่พูดถึงเลย
วัตถุทรงฤทธิ์ทางไสยศาสตร์ที่ป้องกันภูตผีได้ แบ่งออกเป็นสามส่วน คือ เกิดเองตามธรรมชาติ ถูกสร้างขึ้น และประเภทผสมผสานนั่นคือการนําสิ่งของที่มีฤทธิ์ตามธรรมชาติแล้วนํามาเพิ่มฤทธิ์ที่โดยสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถ
“เหล็กไหลใช้ได้หรือเปล่า” เหนือภพถามอย่างลังเลใจ
“ข้าไม่มั่นใจ พวกวัตถุทนสิทธิ์พวกนั้นแม้จะกันได้จริงแต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลกับวิญญาณที่แข็งแกร่ง”
“โอ้ ไม่มั่นใจก็ดีกว่าไม่ได้”
เหนือภพเอ่ยขึ้น ขณะเปล่งกําลังเพื่อชักนํากระแสอาคมเหล็กไหลที่อยู่ภายในร่างออกมาใช้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเหล็กไหลที่อยู่ภายในตัวเขาไม่ได้ตอบสนองกับความต้องการเขาทุกครั้ง แม้ช่วงหลัง ๆ มานี้เขาจะกินเหล้าน้ําผึ้งบ่อย ๆ เพื่อปรนเปรอเหล็กไหลแต่มันก็คงยังดื้อดึง ก็ยังดีที่ความดื้อดึงนี้ลดน้อยลงไปบ้าง เขา จึงใช้พลังของมันได้ถึง 10% ซึ่งไม่ได้ต่างจากปราณอาคมระดับ 10 ของพวกผู้มีพรสวรรค์
ปกติเขาต้องใช้คู่กับยันต์อาคมของพระอาจารย์จึงจะดึงพลังออกมาได้สัก 30% หากได้รับการสนับสนุนจากชองแซงและชองซาเหมีอนในครั้งนั้นเขาจะใช้พลังออกมาได้ 100% เต็ม เขาหวนคิดถึงความรู้สึกนั้นอีกครั้งมันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก
เหนือภพคิดพลางรวบรวมกําลังพลางเมื่อได้ถึง 6 ระดับวิญญาณอาฆาตก็อยู่ห่างจากเขาเพียงแค่สิบเมตร บีบให้เขาต้องออกหมัดไปอย่างช่วยไม่ได้
ตูม!
เหนือภพยิ้มหน้าบานเมื่อผลลัพธ์จะเหมือนจะเป็นอย่างที่เขาจินตนาการ ก่อนจะรีบหุบยิ้มทันทีแล้ววิ่งตามพรรคพวกของตัวเองที่ไม่คิดรอเขาแม้แต่น้อย
ควันดําเริ่มแตกแยกออกจากกัน บางส่วนถูกทําลายไปพร้อมกับการถูกพัดลอยถอยหลัง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาควันดําก็กลับมารวมตัวอีกครั้งควันทั้งสิบกลุ่มกลับรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันกลายเป็นก้อนเมฆทะมึนดํามืดมิดที่มีความกว้างกินพื้นที่กว่า 20 ตารางเมตรมันลอยสูงเหนือพื้นดินเพียงไม่กี่สิบนิ้วเท่านั้น
ทิศทางที่มันกําลังมุ่งไปคือทิศทางที่มันไล่ต้อนทีมเหนือภพไปที่มหาวิหารกลางป่า แต่เมื่อมันรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ขึ้นก็ราวกับว่าจิตอาฆาตจะแรงขึ้นด้วย มันเกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์อย่างแรงดุจวิญญาณคลุ้มคลั่งกับคนที่วิ่งรั้งท้าย ผู้นั้นก็คือเฮงเฮงผู้น่าสงสาร
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 60 เจ้าชอบเขาสิ้นะ
ทางด้านไร้ชื่อกับขุนเจษ พวกเขายังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือดรัศมีการต่อสู้ของพวกเขากินพื้นกว้างนับร้อยเมตร พื้นดินกขุดทําลาย ต้นไม้หักโค่น ไร้ชื่อเป็นฝ่ายที่กําลังเพลี่ยงพล้ํา เพราะเจอคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าทั้งด้านอาคมและวิชาการต่อสู้
สัตว์อสูรหมาบางแก้วอาคมของขุนเจษพุ่งออกมาปิดฉากการต่อสู้อันยาวนาน ด้วยการกดร่างไร้ชื่อโดยเท้าหน้าซ้ายกดจนแนบแน่นติดพื้นจมดินเลยทีเดียว แม้ไร้ชื่อจะดิ้นรนราวกับปลาใหญ่ที่ถูกเหวี่ยงขึ้นมาบนบก เขาก็ไม่สามารถหลุดออกจากน้ําหนักตัวของหมาบางแก้วอาคมของขุนเจษได้
“ปล่อยข้า ข้าจะฆ่าเจ้า”
แต่ขุนเจษไม่ตอบอะไร เขาเพียงพันธนาการไร้ชื่อเอาไว้แล้วก็จากไปอย่างไม่ไยดี
แววตาของไร้ชื่อเต็มไปด้วยความก้าวร้าวรุนแรงดุจสัตว์ป่าบ้าคลั่ง เขาพยายามงอตัวเพื่อที่จะกัดเชือกอาคมที่มัดข้อเท้าให้ขาดแต่มันยากมาก เพราะแขนทั้งสองข้างถูกหมัดไพล่หลังเอาไว้ทําให้เขาได้แต่ดีดตัวไปมาไม่ต่างจากกุ้ง
ใบข้าวยกมือปิดปากตัวเองด้วยความตกใจที่เห็นได้ชื่อพ่ายแพ้ ตอนแรกเธอกังวลว่าเด็กหนุ่มจะถูกฆ่าด้วยซ้ํา จากที่เธอดูมีหลายทีมที่สมาชิกบางคนถูกฆ่าตายโดยทีมอื่น ๆ หรือไม่ก็โดยสัตว์อสูรฆ่าเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส เธอกลัวว่าไร้ชื่อจะเป็นหนึ่งในนั้น เธอเพ่งสมาธิส่งใจช่วยไร้ชื่อจนน้ําตาคลอ
ขุนเจษเขาเป็นมือปราบหลวงเขามีหน้าที่จับผู้กระทําผิดมา ลงโทษไม่ใช่ฆ่าคนไปเรื่อยเปื่อยดังนั้นเขาจะไม่ทําตัวเป็นศาล เตี้ยจึงเพียงควบคุมตัวไร้ชื่อไม่ให้หนีรอดไปได้ด้วยเชือกสะกด อาคม ก่อนจะมองมาทางเหนือภพที่กําลังนอนไขว้ขาเอนตัวอยู่บนต้นไม้อย่างสบายใจ
ผู้ต้องหาที่เขาควรจับมีแค่สองคนเท่านั้นคือไร้ชื่อกับเหนือภพ ส่วนเฮงเฮงนั้นเขาไม่แม้จะสนใจเหลือบมอง
เหนือภพมองไปยังขุนเจษที่เคลื่อนตัวเข้ามาพร้อมกับคําพูดที่ฟังดูน่าเบื่อ
“มอบตัวซะ”
“โธ่พี่ชายนี่มันเวลาอะไรกัน นี่คือการประมูล ให้จบประมูลก่อนค่อยว่ากันมั้ย อีกอย่างนะ พี่ชายควรระวังให้มากกว่านี้ดีกว่า”
เหนือภพยิ้มกว้าง ขณะที่กําปั้นที่เขากําแน่นอยู่ตลอดเวลาถูกชกออกไป ด้วยพละกําลังระดับ 12 การต่อยของเหนือภพก็ทําให้ผู้นําแต่ละตระกูลที่เฝ้าชมอยู่ถึงกับไม่กล้าละสายตาขุนเจษจ้องเขม็งก่อนจะร้องครางออกมาพร้อมกันดวงตาที่เบิกโพลงอ้าปากกว้าง
“อ๊าาา”
กระแสปราณอาคมส้มทองผสานเข้ากับสายลมบิดม้วนเป็นเกลียว แหวกพื้นดินกว้างกว่า 100 เมตรจนเตียนโล่งดินถูกไถเป็นร่องลึกว่า 4 เมตร
เครื่องป้องกันตัวขุนเจษทุกชิ้นที่อยู่บนตัวเขาถูกเปิดใช้งานพร้อม ๆ กัน เกิดเป็นม่านอาคมต้านซ้อนนับสิบชั้น ก่อนที่พวกมันจะค่อย ๆ พังทลายแตกไปทีละชั้น ทีละชั้น จนกระทั่งม่านอาคมอันสุดท้ายแหลกสลายไปพร้อมกับร่างขุนเจษที่ถูกกระแทกออกมาไกลมากกว่า 600 เมตร เนื่องจากขุนเจษมีเกราะอาคมหลายชั้นทําให้พลังหมัดอากาศถูกลดทอนกําลังลงมากขุนเจษจึงแค่บาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ถึงแก่ชีวิต
พญานาคเลื้อยเข้ามาหาเหนือภพด้วยสภาพที่ไม่มีการสึกหรอใดใด ภายในปากคาบร่างของขุนวราธรที่หายใจรวยรินเอาไว้ก่อนจะโยนลงใต้ต้นไม้ที่เหนือภพยืนรออยู่พร้อมเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า
“ข้ากินได้ไหม ?”
แต่ยังไม่ทันที่เหนือภพจะตอบอะไร ขุนวราธรที่มีสภาพหายใจรวยรินกลับฟื้นขึ้นมาในช่วงเวลาที่แปลกประหลาดก่อนจะพุ่งหายไปทันทีด้วยความหวาดกลัวที่จะถูกกิน
พญานาคทําท่าจะตามไป แต่ก็พลันหยุดนิ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงอาคมของเหล่าสายเลือดครุฑที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี้
“พวกครุฑ”
เหนือภพไม่สามารถรับรู้อาคมได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแม้เขาจะใช้ดวงตาค้นหาแร่มีสีแต่ก็ไกลเกินกว่าเขาจะมองเห็นฉะนั้นเขาจึงพาพญานาคไปรวมทีมกับเฮงเฮงและก็พากันไปช่วยเหลือไร้ชื่อแทน
ทางด้านขุนเจษ เขายังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้นพลางใช้อาคมฟื้นฟูเพื่อปรับสภาพร่างกายตัวเอง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องหลับตาลงอย่างปลงในโชคชะตา เมื่อเขาถูกล้อมโดยทีมเทพเจ้าพวกเขาก้มลงมองเขา
“สร้อยของเจ้าล่ะ”
คุณชายตระกูลชวดสีขาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงสดใสเขามีผิวกาย ผม ขนตา และขนคิ้วเป็นสีขาวเผือก ดวงตาแดงก่ําเวลาที่ยิ้มยิงฟันจะเห็นฟันคู่หน้ายื่นยาวออกมาเหมือนกับหนูบนคอของเขามีสร้อยถึง 3 เส้น บ่งบอกชัดว่ามีสองทีมที่ถูกเขาเล่นงานไปแล้วในระยะเวลาอันสั้น
ขุนเจษรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้และไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมสู้เขาจึงจําต้องมอบสร้อยคอให้พวกนี้ไปอย่างไม่มีทางเลือกแต่เมื่อเขาล้วงมือลงไปในคอเสื้อเกราะคอเต่าของตนเขาก็ต้องตะลึง
“ไม่มีสร้อย
พิธีกรสาวเดินวนรอบครอบแก้วขณะตะเบ็งเสียงอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง
“สุดยอดไปเลยกับการโจมตีของเหนือภพ หัวหน้าทีมรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุก ๆ วินาที เพียงหมัดเดียวก็สามารถล้มหัวหน้าทีมมือปราบหลวงไปได้ อีกทั้งยังแย่งชิงสร้อยมาครองได้อีกเส้น เรามาลุ้นกันนะคะ ว่าพวกเขาจะถูกทีมเทพเจ้าไล่ตามและแย่งสร้อยมาได้หรือไม่”
องค์รัชทายาทถึงกับชะงักมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อเห็นฝีมือของเหนือภพ เขาหมายมั่นปั้นมืออยากได้เหนือภพมาเป็นบริวาร แต่ไม่นานมานี้เขาเพิ่งได้รับข่าวมาว่าเหนือภพมีความสัมพันธ์บางอย่างกับองค์หญิงบุษย์น้ําเพชร และเธอก็กําลังตามง้อให้เหนือภพกลับไปทํางานด้วย ไม่รู้ว่าเขาจะต้องทําเช่นไรจึงจะดึงเหนือภพมาได้
องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นมาก็ประสานตากับบุษย์น้ําเพชรที่กําลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเธอก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วค้อมหัวให้อย่างเคารพ ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองการแข่งขันบนเวทีต่อ
เหนือภพยิ้มกว้างเมื่อไร้ชื่อสํารอกสร้อยของทีมขุนเจษออกมาจากปากของตัวเอง
“ทําได้ดีมาก”
ตอนแรกเฮงเฮงคิดจะหยิบขึ้นมาดู แต่เมื่อเห็นเศษอาหารและน้ําลายเหนียวเคลือบอยู่บนตัวสร้อย เขาก็ไม่กล้าแตะต้องขณะที่บ่นออกไปว่า
“จะเก็บสร้อยทั้งทีก็เก็บไว้ในเสื้อผ้าก็ได้มั้ง”
เหนือภพรู้สึกเห็นด้วยกับเฮงเฮง แต่จะทํายังไงได้นอกจากเอากิ่งไม้เขี่ย ๆ ให้สร้อยเงินแกะสลักเส้นนั้นคลุกเคล้าไปกับดินเพื่อเอาเศษอาหารและคราบเหนียว ๆ ออก ก่อนราดด้วยน้ําดื่มที่เขาพกมาซ้ําหลายครั้งจนแน่ใจ แล้วจึงนําไปคล้องคอพญานาคอีกเป็นเส้นที่สอง แม้สร้อยแต่ละเส้นจะทํามาจากวัส ดุคนละอย่างแต่ทุกเส้นก็มีความยาวเท่ากัน พวกมันจึงสวมอยู่ บนคอพญานาคได้อย่างพอดี
“ข้าไม่มีพิษ
ไร้ชื่อเอ่ยด้วยท่าทางซื่อ ๆ ท่าทางแบบนั้นทําให้ทั้งกลุ่มงงก็ใช้ไงไม่มีพิษ คนจะมีพิษได้ยังไง แต่คําพูดต่อมาของไร้ชื่อก็ทําให้ทุกคนกลั้นขําไม่อยู่ เมื่อคิดออกว่าไร้ชื่อพูดถึงเรื่องไหน
่ ่
ก่อนหน้านี้เหนือภพแนะให้พญานาคกลืนสร้อยลงคอเพื่อไม่ให้ใครหาเจอ แต่พญานาคบอกว่าถ้ากลืนลงไปสร้อยจะละลายเพราะพิษ คิดไม่ถึงว่าไร้ชื่อจะเก็บคําพูดของเหนือภพกับพญานาคมาคิดเป็นจริงเป็นจัง
“ถ้าข้ากลืนเข้าไปจะไม่มีใครหาเจอ แล้วมันก็จะไม่ละลายเพราะข้าไม่มีพิษ”
“อื้ม ดี”
เหนือภพตบบ่าไร้ชื่ออย่างให้กําลังใจ เขาทําดีแล้วจากนั้นเหนือภพก็นําทีมมุ่งหน้าเลาะไปทางซ้ายของปา โดยไม่ให้เฮงเฮงนําทาง เพราะเขาต้องการซ่อนตัวจากทีมอื่นๆเข้าไปในชายปาที่เงียบสงบ รอโอกาสเหมาะ ๆ ค่อยออกมาจัดการก็ไม่สาย
บรรยากาศด้านนอกกลับแตกต่างกันลิบลับ เสียงผู้คนตะโกนลุ้นดังกระหึมอาคารประมูล ในขณะที่พิธีกรยังคงประกาศอย่างเจื้อยแจ้ว
“ทางปาทิศตะวันออก ทีมเพชรการเวกนําโดย สกุณีหยก”กําลังปะทะกับ “สมิงไตย บุตรคนเล็กของตระกูลขาลเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นน่าจับตามอง ไม่รู้ทีมตระกูลขาลหรือทีมเพชรการเวกจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้นี้ไป”
“ส่วนทางปาทิศเหนือ ที่มนิรันดร์กาลนครนําโดย “องค์ชายเตชินท์” กําลังเผชิญหน้ากับแม่ทัพหนุ่มไฟแรง “สิบทิศ” จากที่มแม่ทัพหลวง ทั้งสองต่อสู้กันดุเดือดมาก ดูท่าศึกครั้งนี้ยากที่จะตัดสินจริง ๆ เอ๊ะดูนั่นสิเจ้าคะ สาวงามประจําแคว้น “เนตรกัญญา” เธอกําลังวิ่งไล่ตามไปช่วยสิบทิศ ดูเหมือนเธอจะเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ที่สวยที่สุดและแกร่งที่สุดไปแล้วในตอนนี้”
ยังไม่ทันที่พิธีกรสาวจะได้พักเหนื่อย เธอก็วิ่งอ้อมครอบแก้วไปยืนชี้ตําแหน่งที่เหนือภพอยู่
“ดูเหมือนทีมเทพเจ้า จะปฏิเสธที่จะบุกเข้าจู่โจมทีมรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุก ๆ วินาที ที่อยู่ใกล้ที่สุดนะเจ้าคะเป็นเพราะอะไรล่ะเนี่ย มันเป็นเรื่องน่าแปลกมากหรือว่าทีมเทพเจ้าจะหวาดกลัวการโจมตีด้วยกําปั้นทําลายล้างของเหนือภพกันแน่แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ดูเหมือนทีมเทพเจ้าเลือกที่จะมุ่งตรงไปที่มหาวิหารก่อน หรือว่าพวกเขาพอใจกับ สร้อยสามเส้นที่ตัวเองมี”
“แต่นั่น โอ้ เกิดการปะทะกันแล้ว ทีมนาคราชที่ซ่อนตัวอยู่ในมหาวิหารลอบโจมตีทีมเทพเจ้าแล้วเจ้าค่ะ การต่อสู้ดุเดือดมากแต่ดูเหมือนว่าทีมเทพเจ้าจะไม่หวั่นวิตกเลยนะเจ้าคะหรีอว่าพวกเขาคาดการณ์มาก่อนแล้ว”
การบรรยายของพิธีกรหญิงบวกกับภาพที่ปรากฏในครอบแก้วทําให้ผู้ชมลุ้นระทึก แต่ละทีมต่างงัดท่าไม้ตายของตนออกมาน้ํานั่นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ดูสิ เล่นเป็นเด็กเชียวนะเนตรกัญญา”
พราวจันทร์พูดในขณะที่สายตาไม่ละไปจากครอบแก้วด้านล่างเลย เธอนั่งอยู่ในห้องรับรองของหอหมื่นบุปผามาตั้งแต่แรกแล้วเธอวางถ้วยชา ลงในขณะที่บุษบาตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล
“เนตรกัญญาชอบอะไรผาดโผนแบบนี้แหละค่ะ ยังดีที่นางมีพวกแม่ทัพคอยระแวดระวังให้”
พราวจันทร์ส่ายหน้าน้อย ๆ จนปอยผมหลุดพลิ้วลงมาปอยหนึ่ง แต่มันกลับส่งเสริมให้ใบหน้าของเธอดูเย้ายวนมากขึ้นเธอไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของเนตรกัญญานักเพราะเนตรกัญญาถือว่ามีฝีมือพอตัว หนําซ้ํา เธอยังมีแม่ทัพสองคนในทีมคอยดูแลคงไม่มีใครเห็นว่าผู้ไร้พร สวรรค์อย่างเธอจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่หวังจะแย่งภารกิจระดับ สูงไปจริง ๆ และต่อให้เธอถูกล้อมโดยทีมศัตรูก็คงไม่มีชายใดกล้าทําร้ายสาวงามประจําแคว้นอย่างเนตรกัญญาได้ลงคอ
เนตรกัญญาจึงเปรียบเสมือนกุหลาบหนามที่ทําให้การประลองดูมีสีสันมากขึ้นเพียงเท่านั้น
“เจ้าก็อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับอะไรเช่นนี้นะ บุษบา”
บุษบาพยักหน้ารับคําหญิงสาวที่เปรียบเสมือนหัวหน้าอย่างว่าง่าย ถึงอย่างไรเธอก็ได้รับการดูแลราวกับไข่ในหินอยู่แล้วขอเพียงไม่ทําเรื่องเสียงก็จะไม่มีภัยใดเข้ามากล้ํากรายเธอได้
“เจ้าคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
“ข้าไม่รู้ แต่คนที่โดดเด่นน่าจับตามองก็เห็นจะเป็นท่านเหนือภพ ศิษย์น้องของท่านทานธรรม และท่านวัฏจักร”
พราวจันทร์ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ ขณะเอื้อมมือเรียวบางไปหยิบกลีบมะลิแห้งมาใส่ในถ้วยชา
“เจ้าชอบเขาสินะ”
บุษบาไม่ตอบ เธอเพียงแต่ก้มหน้างุด จ้องมือที่กําลังบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่บนตักเช่นนั้นพราวจันทร์ถอนหายใจให้เธอได้ยิน จากนั้นก็พูดด้วยน้ําเสียงเรียบนิ่ง
“เจ้ารู้ใช่มั้ย คนอย่างพวกเราไม่อาจมีความรัก ไม่อาจครองคู่กับชายใด”
“รู้ค่ะ”
บุษบายังคงก้มหน้าตอบด้วยน้ําเสียงสั่นเครือ
“เจ้าจะรู้สึกรักชอบใครก็ได้ ข้าไม่ห้าม แต่ข้าเป็นห่วงหากเจ้าถลําลึกเกินไปคนที่จะเจ็บก็คือตัวเจ้าเอง”
“ค่ะ”
พราวจันทร์ไม่พูดอะไรอีก เธอเพียงแค่เลื่อนจากขนมผิงแสนอร่อยตรงหน้าให้บุษบา บุษบาเองก็รับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ของพราวจันทร์ เพราะที่ผ่านมาพราวจันทร์รักและทะนุถนอมเธอยิ่งกว่าเนตรกัญญาเสียอีก
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 59 ปะทะทีมมือปราบหลวง
“น่าเสียดายมากเลยนะเจ้าคะ ทีมตระกูลใต้และทีมบ้าน ลานเงินถูกทีมเทพเจ้าแย่งสร้อยไปได้ในเวลารวดเร็วเลยค่ะ ทั้งยังสูญเสียผู้ร่วมทีมไปถึงสองคน ดูท่าทางทั้งสองทีมคงจะแย่งสร้อยกลับมาได้ยาก
พิธีกรสาวบรรยายสถานการณ์ในครอบแก้วปาวสันต์ ทําให้ทุกคนรู้สึกเสียดายและเห็นใจทั้งสองทีมเป็นอย่างมาก เพียงไม่กี่นาทีพวกเขาก็ถูกแย่งสร้อยคอและเกิดการบาดเจ็บล้มตาย เมื่อต้องเจอเข้ากับทีมเทพเจ้าที่รวบรวมตัวเก็งระดับแคว้นไว้งสามคน
ผู้ชมทั้งหมดต่างรู้เห็นตําแหน่งที่อยู่ของทุกทีม หลายๆตระกูลต่างส่งเสียงเชียร์ เสียงบอกทางเสียงเตือนอย่างสุดใจ ทว่าเสียงเหล่านั้นกลับไม่สามารถทะลุเข้าไปได้เลย
“หืม ใครปล่อยให้ศิษย์น้องสามเข้าไปในนั้น”
วัฏจักรถามราตรีด้วยน้ําเสียงเรียบนิ่ง ราตรีมองค้อนเขาเล็กน้อย หากไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับศิษย์พี่ศิษย์น้อง เขาก็คงจะไม่ยอมเปิดปากคุยกับเธอเลยสินะ
“ท่านก็ดูสิ ที่ตึกลําธารมีใครมาที่ไหน”
วัฏจักรเหลียวมองไปที่ห้องรับ
รองของตึกลําธารก็พบว่ามันว่างเปล่า ไม่มีคนเลยสักคน แม้แต่เขาเองก็ยังมาช้า จึงไม่แปลกที่เหนือภพจะคิดเองเออเองโดยไม่มีใครให้คําปรึกษา ความจริงแล้วเขาไม่จําเป็นเอาตัวเองไปเสี่ยงถึงเพียงนั้นก็ได้ วัฏจักรหันกลับมาจ้องครอบแก้วที่อยู่กลางเวที นานมากแล้วที่เขาไม่มีความรู้สึกลุ้นระทึกขนาดนี้
“ช่างเถอะ”
จากนั้นวัฏจักรก็ไม่พูดอะไรอีก เขาและราตรีจะดูอยู่ห่างๆเช่นนั้น ถึงอย่างไรเหนือภพก็คงไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต พวกเขามั่นใจ
“อ๊าก ไหนว่ามีแค่ 11 ทีมไง”
ตุม !!
สัตว์อสูรคิงคองยักษ์ปรากฏกายขึ้น พร้อมกําปั้นยักษ์ทั้งสองข้างทุบลงไปที่พื้นดักหน้าเฮงเฮงที่กําลังวิ่งไปตามชายป่า ต้นไม้ล้มระเนระนาด ฝุ่นดินฟุ้งกระจายขึ้นสูง แต่เฮงเฮงก็พลิ้วกายหลบได้อย่างชํานาญ มีท่อนไม้เพียงท่อนเดียวเท่านั้นที่ฟาดมาโดนหลังของเขา
“ลืมบอกไปเจ้าค่ะ ภายในครอบแก้วปาวสันต์ไม่ได้มีเพียงยอดฝีมือทั้ง 33 คน แต่ยังมีสัตว์อสูรแรงค์ E และแรงค์ D อยู่เป็นจํานวนมาก ดูเหมือนการประมูลรอบนี้จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากเลยนะเจ้าคะ”
สิ้นเสียงของเธอ ทุกคนก็เห็นว่าแต่ละทีมล้วนกําลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรหลากหลายรูปแบบ ไม่เพียงผู้เข้าแข่งขันเท่านั้นที่ตื่นตกใจ แม้แต่ผู้ชมก็ยังลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ไม่นึกว่าคณะผู้จัดงานจะเอาสัตว์อสูรระดับสูงพวกนี้ใส่เข้าไปด้วย งานเทศกาลที่มีนิรันดร์กาลนครเป็นเจ้าภาพช่างยิ่งใหญ่โดยแท้
ยอดฝีมือที่ยังมีชีวิตผ่านช่วงเวลา 10 นาทีแรกมาได้ ล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถกําจัดสัตว์อสูรที่ปรากฏขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนมากพวกเขาจะหลบหนีไป เพราะเป้าหมายคือสร้อยคอไม่ใช่การล่าสัตว์อ
เมื่อเหนือภพที่กําลังติดตามอยู่ด้านหลังเห็นเฮงเฮงวิ่งย้อนกลับมา เขาก็ต้องตื่นตะลึงกับภาพคิงคองยักษ์ผิวเกราะสูงอย่างน้อยแปดเมตรกําลังไล่ทุบเฮงเฮงที่กําลังหลบหนี
ไร้ชื่อเห็นศัตรูแล้ว ไม่จําเป็นต้องมีคําสั่งหรือคําพูดใด เขาพุ่งออกไปราวกับลูกศรหลุดจากแล่ง ดาบทรงไทยที่อยู่ด้านหลังถูกชักดึงออกมาฟันไปยังคิงคองยักษ์จากระยะไกล กระแสปราณอาคมก่อตัวเป็นรูปดาบหมุนติ้วพุ่งโจมตีใส่คิงคองไม่หยุด
ขณะที่ไร้ชื่อเขยิบกายเข้าใกล้ด้วยการวิ่งตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดภาพร่างสัตว์อสูรเจ็ดชนิดซ้อนหลังเขา พวกมันกําลังขู่คํารามอย่างเดือดดาลพร้อมกับไร้ชื่อพุ่งตัวไต่ไปตามตัวของคิงคองยักษ์ ก่อนจะตัดหัวของมันขาดภายในดาบเดียว
เฮงเฮงโล่งอก เขาเคลื่อนตัวหนีตามปกติจนสะดุดเข้ารากไม้ที่โผล่พ้นพื้นดินจนล้มคว่า ขณะที่ร่างของคิงคองยักษ์ล้มทับเข้าอีกที เป็นภาพที่น่าตลกขบขันมากสําหรับผู้ชมที่อยู่ข้างนอก
ร่างกายไร้หัวของคิงคองยักษ์ล้มครืน แผ่นดินไหวสะเทือนเล็กน้อย ในตอนนี้พวกเขาคงไม่อาจปิดบังตําแหน่งของตนได้อีก
เหนือภพไม่ได้เคลื่อนไหว เขาเพียงยืนนิ่งกวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีส้มทอง
พิธีกรบอกว่าสร้อยแต่ละเส้นถูกเคลือบไว้ด้วยแร่สองสี ดังนั้นมันไม่ยากเลยที่เขาจะหาสร้อยแต่ละเส้น ต้องขอบคุณเหล็กไหลราชันย์พิภพ แต่หากไม่จวนตัว หรือตกอยู่สถานการณ์รีบเร่ง เขาก็ไม่อยากจะใช้ความสามารถพิเศษนี้
“มีหนึ่งทีมกําลังมุ่งมาทางเรา”
เหนือภพเอ่ยเสียงเข้ม ทัศนวิสัยของเขาในตอนนี้คือความมืดทึบ แต่ภายในความมืดนั้นมีจุดแสงหลากหลายสีที่น่าจะเกิดจากอุปกรณ์ฮันเตอร์ที่ผ่านการเคลือบแร่มีสีกําลังเคลื่อนกายเข้ามาด้วยความรวดเร็ว และค่อยๆช้าลงคล้ายกับว่าไม่อยากให้ทีมเขารู้ตัว
ดวงตาเหนือภพกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ขณะตะเบ็งเสียงดังไปถึงฮันเตอร์ผู้นั้น
“พี่ชายมาถึงแล้วก็ออกมาเถอะ ทําตัวหลบๆซ่อนไปทําไม”
ร่างกายที่ล่องหนอยู่ด้วยอาคมพรางตาของทีมมือปราบหลวงค่อยๆปรากฏขึ้น นําทีมโดยขุนเจษ ชายหนุ่มที่เคยไล่ล่าเหนือภพ เขาจ้องมองเหนือภพสลับกับมองพญานาคที่แม้ตัวจะไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับตํานาน แต่เพียงแค่นี้ก็ทําให้เขารู้สึกกังวลใจ ทว่าด้วยความหนักแน่นในใจที่ยึดถือคุณธรรมและกฎหมายทําให้เขายังคงไร้ความกลัวที่ต่อสู้กับพวกอยุติธรรม
งบ 1.1 “ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าให้รอดไปแน่”
ขุนเจษแสดงเจตจํานงของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าเขาทําเช่นนี้เพื่อแย่งสร้อยคอ หรือเพื่อนําเหนือภพไปลงโทษตามกฎหมายกันแน่ แต่ที่แน่ๆคือขุนเจษเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถเลิศล้ํา เขาสามารถไต่เต้าไปสู่ตําแหน่งขุนได้ด้วยอายุเพียง 20 ปี เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกอะไรได้มากมาย
แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ ไร้ชื่อก็ปรากฏกายขวางหน้าเขาแล้ว ไร้ชื่อไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เขาไม่คิดจะพูดหรือเจรจากับใคร หากทําตัวเป็นปฏิปักษ์แล้วคนคนนั้นก็คือศัตรู
“ศัตรู ต้องฆ่า”
ไร้ชื่อฟันดาบใส่อากาศ ขณะที่กระแสอาคมภายในตัวเขาก่อตัวเป็นรูปดาบอาคมหมุนติ้วเข้าใส่มือปราบทั้งสามคน โดยเฉพาะขุนเจษที่เพียงแค่ไม่กี่สิบวินาที ดาบอาคมจํานวนมากกว่าสิบเล่มก็หมุนคว้างเข้าหาเขาไม่หยุด ทําให้เขาจําเป็นต้องถอยร่นเพื่อลดทอนความเสียหาย ขุนเจษมีใจคิดอยากจะปะทะกับเหนือภพ แต่เขากลับไม่มีโอกาสนั้นเมื่อไร้ชื่อได้จองตัวเขาไว้แล้ว
ขุนเจษไม่นึกว่าไร้ชื่อจะมีฝีมือมากขนาดนี้ เพราะคราวที่แล้วไร้ชื่อเพียงวิ่งหนีตามเหนือภพไปเท่านั้น ดังนั้นขุนเจษจึงต้องทุ่มสมาธิต่อสู้พัวพันกับไร้ชื่ออยู่เช่นนั้น
หมื่นเปรมปรีดิ์ มองไปยังพญานาคลําตัวเท่าต้นกล้วยที่พันอยู่รอบกายเหนือภพก็รู้สึกขนลุก เขารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้กับเหนือภพ และคงไม่สามารถเข้าไปแย่งสร้อยคอมาจากพญานาคได้ เขาจึงเลือกโจมตีเฮงเฮงที่กําลังคลานออกมาจากใต้ตัว คิงคองยักษ์แทน
ส่วน ขุนวราธร สมาชิกคนที่สามของทีมมือปราบหลวง เขาไม่ได้รู้จักกับขุนเจษเป็นการส่วนตัว แม้จะเป็นมือปราบเมืองหลวงเหมือนกันแต่ก็ทํางานคนละหน่วย เขาเพียงแค่ถูกไหว้วานจากผู้มีพระคุณ หน้าที่ของเขามีเพียงอย่างเดียวคือชิงสร้อยมาให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเป้าหมายของเขาจึงไม่ใช่การมุ่งต่อสู้เอาชนะใคร
“เจ้าส่งสร้อยมาให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”
ขุนวราธรกล่าวด้วยความใจเย็น เขาไม่แสดงท่าที่ก้าวร้าวหรือคุกคามใดใด ไม่แม้แต่ถืออาวุธขึ้นมาข่มขู่เหนือภพ
เหนือภพมองเขาอย่างพิจารณา ก่อนจะนิ่วหน้า คนผู้นี้ดูใจเย็นเกินไป ใจเย็นมากจนเขารู้สึกว่ามันไม่ปกติ เมื่ออยู่ต่อหน้าพญานาคแม้แต่ขุนเจษยังมีแววตากังวล แต่คนผู้นี้กลับต่างออกไป
“ก็ได้”
เหนือภพพ่นลมหายใจออกมาอย่างตัดใจ เขาคว้าพญานาคที่พันอยู่รอบตัวของเขา ก่อนจะเหวี่ยงมันออกไปทางขุนวราธร
“เจ้าไปแกะเอาจากตัวมันเองละกัน”
“เฮ้ย !”
ขุนวราธรเห็นพญานาคพุ่งเข้ามาหาทั้งตัวแบบนั้นก็มีใบหน้าหน้าซีดเผือด ใครจะคิดว่าเหนือภพจะเล่นกันแบบนี้ วินาทีต่อมาเขาเห็นสร้อยคอรัดแน่นอยู่ที่คอของพญานาคใกล้เข้ามา เขาหลบไม่ทันเสียแล้ว แต่ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไว ทําให้หอกสั้นคู่ที่ซ้อนอยู่ด้านหลังดีดพุ่งออกมา ก่อนจะถูกคว้าไว้โดยขุนวราธร เขาใช้มันต้านรับหางเท่าลําต้นกล้วยที่กําลังสะบัดฟาดเข้าใส่
ร่างกายเขาถูกฟาด จนครูดลากกระเด็นกระดอนไปกับพื้นโดยไม่อาจต้านทานได้
พิธีกรหญิงกระโดดตัวโยนด้วยอารมณ์ลุ้นระทึก
“โอ้โฮ ดูทีมบ้านรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุกๆวินาทีนั่นสิเจ้าคะ”
เธอพักหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“ไม่คิดว่าพวกเขาจะใช้แผนนี้ ข้าน้อยคิดว่าให้แย่งสร้อยมาจากตัวผู้เข้าแข่งขันด้วยกัน ยังดีกว่าให้แย่งมาจากสัตว์อสูรในตํานานอย่างพญานาคนะเจ้าคะ เท่าที่ข้าน้อยรู้ ตัวตนแท้จริงของพญานาคตัวนี้คือนาคราชห้าเศียร คาดว่าต่อให้ทีมเทพเจ้ามาเองก็คงหืดขึ้นคอแน่เลยเจ้าค่ะ”
เธอบรรยายสถานการณ์ได้อย่างน่าตื่นเต้น แต่นั่นกลับทําให้รองผู้บัญชาการมือปราบเมืองหลวงที่กําลังมองไปยังห้องรับรองของผู้มีอํานาจถึงกับแสดงความกังวลออกมาทางสายตา การต่อสู้นี้ถูกตัดสินแล้ว
ส่วนทางด้านตระกูลนาคราชนั้นกลับตรงกันข้าม พวกเขายิ้มแย้มอย่างพอใจที่เห็นเหนือภพและนาคราชห้าเศียรร่วมมือร่วมใจกันได้ดีเพียงนั้น แม้เหนือภพจะอยู่คนละทีมกับทีมตระกูลนาคราช แต่พวกเขาก็ไม่วิตก เพราะพวกเขาได้เตรียมแผนการบางอย่างไว้กับตัวแทนผู้แข่งขันของตนเรียบร้อยแล้ว
เหนือภพเลือกกระโดดขึ้นไปนั่งดูเรื่องสนุกบนกิ่งไม้ใหญ่ ขณะที่เขาหลับตาลงแล้วก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มกวาดมองไปรอบๆ เพื่อสังเกตทีมอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่นอกจากจุดแสงบนตัวของมือปราบหลวงสามคนนี้ก็ไม่มีจุดแสงอื่นอีกเลย และใช่ว่าเขาจะนั่งเฉยๆคอยตรวจตราเพียงอย่างเดียว เขาลอบเกร็งกล้ามเนื้อตัวเองรอ หากมีใครเข้ามาใกล้ไม่ว่าสัตว์อสูรหรือทีมอื่น รับรองได้เจอกําปั้นกระแทกอากาศระดับ 12 ของเขาแน่
ทางด้านเฮงเฮงนั้น เขาหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วพร้อมกับการสวนกลับที่น่าตื่นตะลึง เฮงเฮงได้รับบาดเจ็บจากทุกการโจมตีของหมื่นเปรมปรีดิ์ แต่ก็เป็นบาดแผลเล็กน้อย เฮงเฮงสามารถหลบเลี่ยงการบาดเจ็บในจุดสําคัญบนร่างกาย ผิดกับหมื่นเปรมปรีดิ์ที่มีบาดแผลบริเวณจุดสําคัญบนร่างกายหลายจุด และหากเฮงเฮงไม่ออมฝีมือเอาไว้ บางทีหมื่นเปรมปรีดิ์คงจะตายไปนานแล้ว
หมื่นเปรมปรีดิ์เพิ่งตระหนักได้ว่าเฮงเฮงที่ดูเงอะงะซุ่มซ่าม ดวงตาล่อกแลกไปมาคล้ายคนเมายา แต่ความเป็นจริงแล้วฝีมือการต่อสู้ของเขานั้นน่าจะสูงกว่าทุกคนในทีมที่มีชื่อยาวเป็นบ้านั่น มันเป็นคนที่อันตรายที่สุด
ความคิดสุดท้ายของหมื่นเปรมปรีดิ์จบลงพร้อมกับร่างที่ร่วงหล่นตกลงสู่พื้นอย่างสิ้นสภาพ เขายังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็เพียงรวยรินเท่านั้น ขณะที่เฮงเฮงต่อไหล่ขวาที่หลุดของตัวเองเข้าที่อย่างชํานาญ พร้อมกับร้องครางอย่างเจ็บปวดออกมาโดยไม่ปิดบังความรู้สึก
การต่อสู้ของเฮงเฮงถูกคนระดับสูงจับตาดูอย่างถี่ถ้วน มีบ้านฮันเตอร์หลายแห่งต่างชื่นชม และอยากได้เฮงเฮงมาเป็นสมาชิกในบ้านของตน พวกเขาเห็นแล้วว่าเฮงเฮงแทบจะเชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกชนิด ปราณอาคมก็ไม่ธรรมดา หนําซ้ําทักษะการเคลื่อนตัวหลบหลีกยังอยู่ในระดับเป็นเลิศ
แม้พวกเขาจะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุคคลที่ฝีมือระดับนี้จึงยอมถูกทําร้ายจนเจ็บตัว แต่พวกเขากลับไม่สนใจมากนัก แค่คาดคิดกันไปต่างๆนานาว่าเฮงเฮงอาจจะมีรสนิยมชอบถูกทําร้ายก็เป็นได้ หรือไม่ก็เขานี่แหละคนเก่งจริงที่ยอมบาดเจ็บเพื่อหลอกล่อศัตรูให้หลงกล แล้วค่อยตามไปปิดฉากชัยชนะทีหลัง
“เขาช่างน่าสนใจนัก”
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ ตอนที่ 58 บ้านรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุกๆวินาที
เหนือภพนิ่งเงียบไป เขายังคงคิดใคร่ครวญเสียดายเงิน 10,000 เหรียญทองอยู่ แต่เมื่อคิดถึงรางวัลตอบแทนที่จะได้มา เขาก็ถอนหายใจอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาด จากนั้นก็หันมองไปหาว่าที่เพื่อนร่วมทีมของเขา เขาต้องการคนสนิทที่ไว้ใจได้
เหนือภพหันไปสบตากับไร้ชื่อ ไร้ชื่อก็มองมาด้วยดวงตาใสซื่อระคนตื่นเต้น
“เยี่ยม ครบทีมพอดี”
เฮงเฮงยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นเช่นกัน แม้เขาจะไม่ชอบการต่อสู้ แต่ประสบการณ์พิเศษเช่นนี้มันทําคนหนุ่มอย่างเขาถึงกับเลือดร้อนขึ้นมาได้
เหนือภพหันกลับมามองเฮงเฮงด้วยความรู้สึกผิด การมีเฮงเฮงร่วมทีมนั้นเป็นอะไรที่เสี่ยงมากเกินไป แต่เขาก็ไม่อยากทําร้ายจิตใจของสหาย
ในขณะที่เหนือภพยังคงสองจิตสองใจอยู่นั้น พยัคฆ์คีรีก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าห้องรับรองของตึกลําธาร
“องค์รัชทายาทส่งข้ามาช่วยเจ้า”
พยัคฆ์คีรีพูดอย่างเย็นชา หากไม่ได้รับคําสั่งเขาก็ไม่อยากมาหรอก เหนือภพก็มองเขาด้วยความเย็นชาเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้เอ่ยปากอะไรก็มีคนมาหาอีกแล้ว
“ข้าน้อยได้รับคําสั่งมาจากตระกูลใต้ มาเรียนเชิญท่านเหนือภพเข้าร่วมประมูลในนามตระกูลใต้ เรื่องค่าตอบแทนล้วนคุยกันได้”
“ข้าน้อยมาจากสมาคมพ่อค้าเมืองสุพรรณิการ์ มาเรียนเชิญท่านเหนือภพเข้าร่วมประมูลในนามสมาคมพ่อค้าเมืองสุพรรณิการ์ เรื่องค่าตอบแทนล้วนคุยกันได้”
“ข้าน้อยมาจากบ้านเพชรการเวก มาเรียนเชิญท่านเหนีอภพเข้าร่วมประมูลในนามบ้านเพชรการเวก บ้านฮันเตอร์ขององค์หญิงบุษย์น้ําเพชร เรื่องค่าตอบแทนล้วนคุยกันได้”
ชายคนที่สองและคนที่สามลอกคําพูดของคนแรกมาอย่างไม่ตกหล่น พวกเขาเหลือบมองหน้ากันอย่างเขม่นทันที
เหนือภพรู้สึกแปลกใจที่เรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ เมื่อเขามองสํารวจรอบก็พบว่าแต่ละฝ่ายกําลังวิ่งวุ่นจ้างวานฮันเตอร์มีฝีมือที่อยู่ในละแวกนี้อย่างบ้าคลั่ง และฮันเตอร์มากฝีมือที่มีอายุระหว่าง 18-20 ปีก็มีน้อยเสียด้วย แม้เหนือภพจะคิดอยากได้ค่าตอบแทนเหล่านั้น แต่เขาก็ไม่อยากแบ่งผลงานจากภารกิจให้ฝ่ายไหนทั้งนั้น
เหนือภพมองเมินทุกคนที่ยืนรออยู่ตรงนั้น ขณะเอ่ยอย่างไว้ไมตรีว่า
“ขอบคุณทุกท่านที่เห็นความสามารถในตัวข้า แต่ทีมของข้าครบแล้ว ข้าจะลงสมัครในนาม…”
เหนือภพหันซ้ายหันขวามองหน้าไร้ชื่อและเฮงเฮง ก่อนจะคิดชื่อทีมด้วยตัวเอง
“บ้านรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุกๆวินาที
แม้พวกเขาจะยังไม่มีบ้านจริง ๆ แต่เหนือภพก็คิดว่าชื่อ ทีมแบบนี้เป็นชื่อที่ดี เมื่อไร้ชื่อและเฮงเฮงไม่คัดค้านอะไร เหนือภพก็เดินนําเพื่อนร่วมทีมไปลงทะเบียนรออยู่ที่ข้างเวที
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เหนือภพ ไร้ชื่อ และเฮงเฮงยืนมองเวทีอย่างตื่นตะลึง ตอนนี้ข้างบนเวที่มีพื้นที่สําหรับยืนเพียงน้อยนิด เพราะถูกครอบแก้วใสรูปครึ่งวงกลมคว่ําอยู่ มันใหญ่มากจนเกือบเต็มเวที ข้างในครอบแก้วมีปาไม้จําลองขนาดเล็ก มันคือครอบแก้ววสันต์ เป็นครอบแก้วที่ใช้ย่อพื้นที่ขนาดใหญ่มาจําลองไว้ในพื้นที่ที่จํากัด หากมีการต่อสู้ภายใน คนภายนอกก็จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน และความเสียหายใดใดที่เกิดขึ้นในครอบแก้วจะไม่ทะลุไม่สะเทือนออกมาภายนอก นี่เป็นมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่เฉียบขาดของคณะผู้จัดงาน
เหนือภพจ้องมองต้นไม้ที่มีขนาดประมาณหนึ่งศอกอย่างฉงน มันเหมือนจริงมากๆ แต่ยังไงมันก็เล็กอยู่ดี ทุกคนจะเข้าไปสู้กันในนั้นได้อย่างไร เขาคิดกับตัวเองเช่นนั้นพลางเงยหน้ามองคู่แข่งที่ต่างก็มาลงทะเบียนกันครบหมดแล้ว ท้ายที่สุดก็มีคนรวมทีมกันได้เพียงแค่ 11 ทีมเท่านั้น เท่ากับว่าจะมีคนเข้าไปในครอบแก้วทั้งหมด 33 คน
“ขอต้อนรับทุกท่านกลับเข้ามาสู่ช่วงเวลาสําคัญ ช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราจะมีผู้ร่วมประมูลทั้งหมด 11 ทีม”
พิธีกรสาวคนเดิมยืนอยู่ริมขอบเวทีพร้อมกับกระดาษใบน้อยในมือเธอ
“ทีมแรกคือ ทีมบ้านเพชรการเวก เป็นทีมที่มาจากบ้านมีชื่อเสียงมากในเมืองอมตะนคร ข้าน้อยไม่แปลกใจเลยที่องค์หญิงบุษย์น้ําเพชรจะสามารถคัดสรรฮันเตอร์ผู้มีฝีมือมาได้ทันเวลา
“ทีมที่ 2 คือ ทีมตระกูลขาล ทีมนี้ก็เก่งไม่น้อยไปกว่ากัน ทุกท่านก็คงเคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลขาลแห่งเมืองปัญจรีย์ คราวนี้เรามาลุ้นไปด้วยกันว่าปราณพยัคฆ์จะเด็ดเดี่ยวสมคําร่ําลือแค่ไหน”
เมื่อพิธีกรพูดมาถึงทีมนี้ เหนือภพก็เหลือบมองพยัคฆ์คีรีด้วยความหมั่นไส้ แค่เขาไม่ให้ร่วมทีมด้วยก็ถึงกับต้องไปซบอกทีมที่ใช้ปราณอาคมพยัคฆ์เลยหรือนี่ ส่วนพยัคฆ์คีรีก็จ้องเหนือภพกลับอย่างไม่ยอมกัน ในเมื่อตระกูลขาลเชิญเขาเข้าร่วมอย่างให้เกียรติ เขาก็ยินดีเสียยิ่งกว่าต้องไปร่วมทีมกับเหนือภพก็แล้วกัน
“ทีมที่ 3 คือ ทีมเทพเจ้า เป็นทีมที่รวบรวมยอดฝีมือของตระกูลสุบรรณเวนไตย ตัวแทนจากสํานักงานฮันเตอร์ และหนุ่มน้อยจากตระกูลชวดสีขาว พวกเขาจะเทพสมชื่อหรือไม่ เราก็คงต้องติดตามกันต่อไปนะเจ้าคะ”
“ทีมที่ 4 คือ ทีมนิรันดร์กาลนคร …….”
“ทีมที่ 5 คือ ทีมตระกูลใต้ ……….”
“ทีมที่ 6 คือ ทีมตระกูลนาคราช …
“ทีมที่ 7 คือ ทีมแม่ทัพหลวง …”
“ทีมที่ 8 คือ ทีมมือปราบหลวง
“ทีมที่ 9 คือ ทีมบ้านลานเงิน
“ทีมที่ 10 คือ ทีมบ้านปักษาหงส์ทอง ………….”
“และทีมสุดท้ายคือทีม เอ่อ ทีมบ้านรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุกๆวินาที แม้ชื่อบ้านของพวกเขาจะไม่เป็นที่คุ้นหูนัก แต่พวกเขาก็เป็นหนุ่มน้อยไฟแรง แรงมากเสียด้วย”
พิธีการสาวเกือบจะหลุดปากพูดไปแล้วว่าเหนือภพนี่เอง ที่เป็นคนช่วยจุดไฟในวันเปิดงาน แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ เธอก็หยุดตัวเองได้ทันเวลา ไม่พูดตอกย้ําความอับอายของราชวงศ์ในวันนั้นอีก
“ในเมื่อทุกท่านได้รู้จักกับทีมทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้รับสร้อยคอภารกิจ ณ บัดนี้”
สิ้นเสียงของเธอ สร้อยคอทั้ง 11 เส้นก็ค่อยๆลอยลงมาจากเบื้องบน ลอยลงมาวางกองอยู่บนครอบแก้วอย่างสงบ จากนั้นก็ปรากฏพายุหมุนขนาดย่อมพัดห มุนกองสร้อยคอนั้นอย่างรุนแรง แล้วสร้อยคอแต่ละเส้นก็ถูกเหวี่ยงออกไปหาแต่ละทีมแบบสุ่ม
“โอ๊ย !”
สร้อยคอโลหะหนักที่มีวงคล้องต่อกันคล้ายโซ่ถูกเหวี่ยงมากระแทกกับหัวของเฮงเฮงอย่างแรง เหนือภพสังเกตเห็นว่าหัวหน้าของแต่ละทีมจะคล้องสร้อยคอไว้อย่างหวงแหน บางคนก็ถึงกับเอายัดเข้าไปในอกเสื้ออีกที เหนือภพจึงหยิบสร้อยโลหะมาคล้องคอไว้เช่นกัน หากใครคิดจะมาแย่งก็เอาชนะเขาให้ได้ก่อนก็แล้วกัน
“ทุกท่านเป็นประจักษ์พยานร่วมกันนะคะ ทีมบ้านเพชรการเวกได้สร้อยคอขนนก ทีมตระกูลขาลได้สร้อยคอพลอยสีทึม…”
แล้วเธอก็อธิบายไปอีกยืดยาวจนกระทั่งถึงทีมสุดท้าย
“และทีมบ้านรุ่งโรจน์ร่ํารวยเงินทองไหลมาเทมาทุกๆวินาทีได้สร้อยคอโลหะ และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสร้อยในสนามต่อสู้ และป้องกันการถูกคู่ต่อสู้ทําลายทิ้ง สร้อยทุกเส้นจึงมีการเคลือบแร่สองสีเอาไว้ พวกท่านทั้งหมดมีเวลาภายในครอบแก้วปาวสันต์เพียง 2 ชั่วโมง เท่านั้น จะมีเสียงสัญญาณเตือนในเวลา 10 นาทีสุดท้าย หากหมดเวลาเมื่อไหร่ทุกคนจะถูกดีดออกมาจากครอบแก้วทันที และถือว่าจบสิ้นการแข่งขันนะเจ้าคะ”
ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 33 คนที่ยืนคนละมุมล้อมครอบแก้วอยู่ มองหน้ากันและกัน พวกเขาต่างจดจําใบหน้าของแต่ละทีมเอาไว้ในใจก็คิดมาดหมายแตกต่างกันไป ส่วนผู้ชมรอบข้างต่างส่งเสียงเชียร์ด้วยความลุ้นระทึก การแข่งขันในครั้งนี้นอกจากจะแย่งชิงภารกิจระดับสูงกันแล้ว ยังเป็นการประกาศศักดาด้วยว่าคนหนุ่มรุ่นใหม่ของตระกูลหรือบ้านใดเก่งกาจสามารถกว่ากัน
“ขอให้ทุกทีมวางมือขวาบนครอบแก้วเบื้องหน้าท่าน ข้าน้อยจะนับถอยหลังเพื่อเริ่มการแข่งขัน ณ บัดนี้”
“5 4”
เหนือภพหันมองไร้ชื่อและเฮงเฮงอย่างให้กําลังใจ ทั้งสองคนยืนประกบเหนือภพไว้ตรงกลางอย่างปกป้อง แน่นอนว่าใครก็ตามที่คิดจะเข้าถึงตัวเหนือภพ ก็ต้องผ่านพวกเขาเสียก่อน
“3 2”
ชายหนุ่มจากตระกูลสุบรรณเวนไตยเงยหน้ามองเหนือภพ พลางใช้นิ้วชี้ซ้ายปาดผ่านลําคอของเขาเป็นเชิงขู่เหนือภพ เหนือภพไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อน ไม่เข้าใจว่าทําไมคนตระกูลนี้ถึงจ้องจะจองล้างจองผลาญเขานัก
ในขณะที่เหนือภพคิดสงสัย พญานาคก็แลบลิ้นออกมาพลางพูดอย่างตื่นเต้น
“เดี๋ยวจัดมันเลยไอ้หนู”
“1 เริ่ม !”
สิ้นเสียงของพิธีกรสาว ครอบแก้วขนาดใหญ่ก็เปล่งแสงสว่างจ้า จนทุกคนต้องหยีตา วินาทีต่อมาแสงสว่างก็วูบหายไปพร้อมกับผู้เข้าแข่งขันการประมูลทั้ง 33 คน
เหนือภพลืมตาอีกครั้งก็พบว่าเขาและทีมกําลังยืนอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบขนาดใหญ่ บรรยากาศรอบด้าน ค่อนข้างมืดครึ้ม มีแสงเพียงรําไรให้ความรู้สึกเหมือนป่าเหนือหมู่บ้าน ที่หมู่บ้านแร่ห้าสีของเขาเหลือเกิน เฮงเฮงรู้สึกตื่นตัวและหวาดระแวงมากทวีคูณ เขาอยู่นิ่งไม่ได้เลยดวง ตาล่อกแลกตลอดเวลา ผิดกับไร้ชื่อที่กําลังยืนนิ่งดื่มบรรยากาศอย่างผ่อนคลาย
ตอนนี้แต่ละทีมถูกส่งกระจายตัวกันอยู่รอบๆป่าแห่งนี้ โดยมีจุดศูนย์กลางคือมหาวิหาร พวกเขายังมองไม่เห็นทีมอื่นๆ ไม่รู้ว่าแต่ละทีมมีแผนจะเข้าไปตรวจสอบสร้อย หรือจะตีโอบมาแย่งชิงสร้อยของคนอื่น
พวกเขาไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกเลย ไม่รู้ว่าพิธีกรกําลังบรรยาย หรือพูดเกี่ยวกับอะไรอยู่ พวกเขาเพียงรู้สึกได้ถึงการจับจ้องจากคนข้างนอก
“เหนือภพ เราจะทําอะไรต่อไป”
เฮงเฮงขยับกายเข้ามาใกล้เหนือภพมากยิ่งขึ้น แต่เหนือภพกลับดูนิ่งขรึมผิดปกติ เขาไม่ตอบเฮงเฮง แต่กลับคุยกับพญานาคที่รัดรอบการพลางถอดสร้อยโลหะออกจากคอ
“เจ้ากลืนเข้าไปเลย ไม่ให้ใครหาเจอ
“ถ้าข้ากลืนเข้าไปมันก็ถูกพิษละลายหมดน่ะสิ”
“อ้อ เช่นนั้นข้าฝากสร้อยไว้ที่คอเจ้าก็แล้วกัน ถ้าอยากมีเรื่องสนุกๆทําอีก ก็ช่วยข้าให้ได้ภารกิจระดับสูงก็แล้วกัน”
“หึ เชื่อมือข้าเถอะน่า”
พญานาคพูดจบก็เลื้อยเศียรเข้ามาในสายสร้อยอย่างว่าง่าย จากนั้นมันก็ขยายร่างกายขึ้นอีกนิด จนร่างกายของมันมีขนาดคับพอดีกับสร้อย ยากที่สร้อยจะหลุดหาย หรือถูกดึงออกไปได้ เมื่อเฮงเฮงและไร้ชื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งอกในทันที
“ต่อไปเราจะไปล่าสร้อยที่เหลือกัน เฮงเฮงเจ้านําวิ่งออกไปเลย เดี๋ยวพวกข้าจะตามไป”
“ห้ะ !”
เฮงเฮงร้องเสียงหลง เมื่อได้ยินคําสั่งแปลกประหลาดจากเหนือภพ
“ข้าไม่ใช่ซวยซวยนะ ที่จะพาเจ้าไปเจอสร้อยคอที่มีภารกิจได้นะ”
“ก็เพราะเจ้าคือเฮงเฮงน่ะสิ วิ่งไปเถอะน่า พวกข้าจะคอยช่วยอยู่ข้างหลัง”
เฮงเฮงถอนหายใจอย่างไร้ทางเลือก เขามุ่งหน้าวิ่งออกไปทางซ้ายของชายป่า เรื่องอะไรจะวิ่งเข้าไปสู่จุดศูนย์กลาง เหนือภพยืนนิ่งสักครู่ ส่วนไร้ชื่อก็ยืนนิ่งตามอย่างว่าง่าย
เหนือภพนับ 1-30 อยู่ในใจ จากนั้นเขาก็พาไร้ชื่อออกตามเฮงเฮงไปทันที เฮงเฮงอาจจะไม่สามารถพาเขาไปสู่สร้อยที่ต้องการได้ แต่เฮงเฮงพาเขาไปเจอกับทีมคู่ต่อสู้ได้แน่นอน
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 57 กติกาใหม่
เมื่อไร้ชื่อเห็นเหนือภพก็ปรี่เข้ามาทันทีโดยไม่ลืมจูงแขนใบข้าวมาด้วย แต่จู่ๆไร้ชื่อก็มีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง สัญชาตญาณของเขาไม่ต่างจากสัตว์ป่า แถมยังมีสัมผัสที่หกที่เหนือกว่ามนุษย์ ดังนั้นเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงวิญญาณร้ายในตัวของเฮงเฮง ทําให้เขาเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน นี่คือภัยร้าย ไร้ชื่อชักดาบพุ่งเข้าหาเฮงเฮงในฉับพลัน
เหนือภพสังเกตท่าทีของไร้ชื่ออยู่ก่อนแล้ว เขาจึงถลาเข้ามากางแขนขวางเอาไว้ได้ทัน
“หยุด นี่คือสมาชิกในฝูงข้า”
ไร้ชื่อชะงักศึกพลางขมวดคิ้วจ้องมองไปยังเฮงเฮง เขาเป็นใครกัน อยู่ๆก็มาเข้าร่วมฝูง หรือจะเข้ามาแย่งตําแหน่งคนสนิทของเหนือภพไปจากเขา ไร้ชื่อจึงตะเบ็งเสียงออกไปทันทีราวกับว่ากําลังถูกแย่งความรัก
“มาสู้กัน ใครชนะได้เป็นรองจ่าฝูง”
เฮงเฮงที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก อยู่ๆก็ถูกท้าสู้ ฝูงอะไรกัน เขาไม่เข้าใจสักนิด แต่เขาก็ใช้เวลาพิจารณาเพียงไม่นานก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้
“รองจ่าฝูง ? อ่อ เจ้าเอาไปเลย”
“ไม่ได้ มาสู้กัน”
สําหรับไร้ชื่อแล้วตําแหน่งที่ได้มาด้วยศักดิ์ศรีและความสามารถ นั่นถึงจะเรียกว่าตําแหน่งที่แท้จริง ส่วนเฮงเฮงหันไปมองเหนือภพด้วยสายตาละห้อย ไม่ใช่ว่าเขากลัวหรือไร้ความสามารถ แต่เขาเพียงเบื่อหน่ายกับการต่อสู้เต็มที่ ตลอดชีวิตของเขานับว่าได้ผ่านการต่อสู้มามากกว่าเด็กหนุ่มทั่วไปหลายเท่านัก
เหนือภพแสร้งถอนหายใจ พลางพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
“พอเถอะได้ชื่อ เจ้าเป็นรองหน้าฝูงก็ดีอยู่แล้ว เจ้านี่ชื่อเฮงเฮง ไม่ค่อยมีฝีมือหรอก เจ้าอย่าไปสนใจเลย ปะๆ พวกเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า”
ไร้ชื่อเชื่อเหนือภพอย่างสนิทใจ คําสั่งของหัวหน้าฝูงถือเป็นคําขาด
“ได้”
เหนือภพเดินนําเฮงเฮงและไร้ชื่อที่จูงมือใบข้าวผ่านประตูเข้าไป ทว่าฮันเตอร์เฝ้าประตูกลับคัดค้านสร้างความหงุดหงิดใจราวกับเจ้ากรรมนายเวรที่ตามไม่เลิก
“ พวกท่านเข้าไม่ได้นะขอรับ”
“ พวกเขามากับข้า”
เหนือภพยืดอกพึ่งผายพูดพลางชูป้ายคําเชิญให้ฮันเตอร์หนุ่มน้อยดู
“เอ่อ แต่หญิงนางนี้เข้าไม่ได้นะขอรับ เธอดู…”
ฮันเตอร์เฝ้าประตูไม่ได้เอ่ยจนจบ เขาคิดว่าเธอดูธรรมดา ไร้ฝีมือและยากจน แต่ชายหนุ่มที่จูงมือเธออยู่ทําตาเขม็งมองมา ทําให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจชอบกล
“ไร้ชื่อ แสดงให้เขาดูหน่อยว่าเจ้ามีเงินเท่าไหร่”
เหนือภพไม่อยากอวดเบ่งถึงอิทธิพลเบื้องหลังที่เขามี เขาจึงคิดจะสอนให้ไร้ชื่อรู้วิธีจัดการกับสถานการณ์แบบนี้
ไร้ชื่อดึงปีกตั๋วเงินออกมาอย่างไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อฮันเตอร์เฝ้าประตูเห็นกระดาษปักนั้น เขาก็เปลี่ยนท่าทีในทันใด แม้แต่ใบข้าวก็ยังตกใจด้วยความคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีเงินมากมายขนาดนั้น
“โอ้ ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ เชิญด้านในเลยขอรับ”
“ดูแล้วจําไว้”
เหนือภพพูดกับไร้ชื่อแล้วก็เดินนําทางพาทุกคนขึ้นไป ที่ห้องรับรองของตึกลําธารโดยไม่รอช้า จนกระทั่งเดินผ่านชั้น 2 กําลังจะขึ้นบันไดไปชั้น 3 กลุ่มของเหนือภพก็ถูกคนแปลกห น้าขัดขวางไว้ เป้าหมายของพวกเขาหาใช่พวกเหนือภพ แต่เป็นใบข้าว
“ใบข้าว ทําไมเจ้ามาอยู่ที่นี่”
สตรีนางหนึ่งในชุดกึ่งพร้อมรบเดินตรงเข้ามา แม้ใบหน้าเธอจะดูปกติ แต่ก็ปิดซ่อนความเป็นห่วงในดวงตาไว้ไม่มิด
“สไบ ข้าแค่มาส่งน้องชายคนนี้เอง เขาหลงทางน่ะ”
สไบเงินมองข้อมือของใบข้าวที่ถูกชายหนุ่มหน้าตาน่ารักจับกุมเอาไว้ เธออยู่ท่ามกลางชายหนุ่มอีกสองคนที่มีท่าทางไม่น่าไว้วางใจ โดยเฉพาะชายหนุ่มที่มีสายตาล่อกแล่กคล้ายกับระแวงอะไรอยู่ตลอดเวลา เขามีกลิ่นอายชั่วร้ายอย่างบอกไม่ถูกจนเธออยากจะเอาดาบฟันเสียตรงนี้เลย
สไบเงินคิดว่าใบข้าวน่าจะถูกจับกุมอยู่ การที่ใบข้าวตอบเช่นนั้นคงจะตอบเพื่อให้เธอจากไป ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวใบข้าวมักเป็นแบบนั้น เธอใจดีกับทุกคนไม่ว่ามิตรหรือศัตรู
สไบเงินเดินตรงเข้ามาใบข้าว หวังจะดึงเพื่อนรักออกมาจากวงล้อมของผู้ร้าย แม้เธอจะทําที่ว่าเดินเป็นปกติ แต่เธอก็ไม่อาจซ่อนเร้นกลิ่นอายความเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าไร้ชื่อได้ ไร้ชื่อไม่พูดพร่ำทําเพลง ไม่สนเด็ก คนแก่หรือผู้หญิง เขาตวัดดาบใส่เป้าหมายที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาทันที
เคล้ง !!
ประกายไฟแลบแปรับ คมดาบของไร้ชื่อต้านดาบสั้นของสไบเงิน ก่อนที่ไร้ชื่อจะลงดาบอีกครั้ง ใบข้าวก็เอาตัวมาขวางใบมีดเสียก่อน เธอหลับตาปีก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
ใบข้าวขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ ใจอยากจะตําหนิไร้ชื่อ แต่สิ่งที่ได้ชื่อทํากับเธอคือการดึงเธอไปด้านหลังตัวเองก่อนจะยืนขวางเธอกับสไบเงินเอาไว้ พลางแยกเขี้ยวยิงฟันขู่คํารามราวกับสัตว์อสูรที่กําลังปกป้องลูกเมียจากผู้บุกรุก
“อันตราย”
ไร้ชื่อพูดแค่นั้น ก็ทําให้เฮงเฮงที่กําลังดับไฟบนหัวไหล่ที่เกิดจากสะเก็ดดาบ ตั้งท่าพร้อมสู้ในทันที
ส่วนเหนือภพเขาไม่ได้โทษไร้ชื่อ แต่กลับมองไปที่เฮงเฮง เขาไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่กับการทะเลาะเบาะแว้งที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุนี้
เหนือภพนิ่งอย่างรู้สึกปลง ยิ่งคิดถึงว่าเฮงเฮงต้องอยู่ร่วม ทางกับเขาอีกนาน เขาไม่อยากคิดเลยว่าเขาจะพบเจอเรื่องทะ เลาะวิวาทวันละกี่ครั้ง ทางที่ดีเขาต้องตามหาซวยซวยให้เจอเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นความบรรลัยคงจะมาเยือนเขาทุกวันแน่
“เอาล่ะ ก็แค่ความเข้าใจผิดนะไร้ชื่อ นางไม่ได้มีอันตราย นั่นก็คงเป็นเพื่อนของนาง”
คํากล่าวของเหนือภพทําให้ไร้ชื่อหันหลังไปมองใบข้าว เธอพยักหน้า สไบเงินก็คือฮันเตอร์ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกับเธอ แม้ไร้ชื่อจะคลายความหวาดระแวงลง แต่เขาก็ยังคงจับแขนของใบข้าวเอาไว้ด้วยกลัวว่าเธอจะหายไป
เหนือภพให้เฮงเฮงถือป้ายชื่อห้องรับรองขึ้นไปรอที่ชั้นห้าก่อน เมื่อเห็นบรรยากาศที่อาจนําพาไปสู่การสู้รบอีกครั้ง เขาใช้เวลาไกล่เกลี่ยอีกครู่เดียวก็จบปัญหากันได้ด้วยดี แต่นั่นก็แลกกับการที่ใบข้าวต้องกลับไปกับสไบเงิน ถึงใบข้าวจะเป็นเพียงคนงานไร้พรสวรรค์ที่อยู่ในบ้านลานเงิน แต่เธอก็ถือเป็นทรัพยากรคนสําคัญของบ้าน ที่สไบเงินผู้ดํารงตําแหน่งจัดการทรัพยากรของบ้านลานเงินต้องดูแล
เหนือภพมองไร้ชื่อที่นั่งอยู่ริมระเบียงชั้นห้าอย่างเหงาหงอย สายตาของเขาจ้องมองไปยังระเบียงชั้นสองที่ใบข้าวยืนอยู่กับสมาชิกภายในบ้านของเธอ
เหนือภพพูดพึมพําพลางส่ายหน้า
“เรียนอะไรไม่เรียน ดันไปเรียนเรื่องรัก”
เจ้าเด็กนั่นพิเศษ
พญานาคเอยขึ้นพร้อมกับปรากฏกายด้วยเศียรเดียวพันอยู่รอบกายเหนือภพด้วยขนาดลําตัวเท่ากล้ามแขนผู้ใหญ่ พญานาคไม่คิดจะปิดบังตัวตนอีก
“เอ๊ะ ทําไมท่านถึงไม่ซ่อนตัว”
“ข้าอยากมีเรื่อง”
คําตอบนั่นทําให้เหนือภพกุมขมับ แต่ก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง
“ในใจเจ้าคงสงสัยมาตลอดสินะว่าทําไมสัตว์อสูรถึงเลี้ยงลูกมนุษย์ ความเป็นไปได้มันต่ำมาก แต่ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เจ้านั่นไม่ใช่มนุษย์เสียทีเดียวหรอก อาจจะเรียกว่าเจ้าพวกลูกผสม หรือพวกพันทางก็ได้”
เหนือภพตั้งใจฟัง แล้วเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้
“เพราะมีสายเลือดเหมือนกัน ไม่แปลกที่สัตว์อสูรจะเลี้ยงมันมา มันดูเหมือนจะรักเผ่าพันธุ์เดียวกันนี่นะ”
เหนือภพเอ่ยแผาวเบาขณะทบทวนความทรงจํา แต่เสียงปิดท้ายของพญานาคทําให้เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เป็นคําพูดที่วนเวียนอยู่ในหัวเหนือภพไม่รู้จบ
“เป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงด้วยความรัก แต่เลี้ยงเพราะความกลัวเสียมากกว่า”
สิบห้านาที่ผ่านไป
เฮงเฮงนั่งอยู่ติดขอบห้องรับรอง เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้เหนือภพ ไม่ใช่ว่าเขากลัวพญานาคที่พันอยู่รอบกายสหาย แต่เป็นเพราะเมื่อครู่ตอนที่เขาเขยิบไปใกล้ตามคําเรียกของพญานาคให้นังชิด ๆ กัน จากนั้นอยู่ ๆ พญานาคก็ดันจามขึ้นมา ทําให้พิษหลุดรอดออกมามันเฉียดขนเฮงเฮงไปนิดเดียว เขามองพื้นที่ถูกกัดกร่อนจากพิษด้วยความรู้สึกแย่ เขาไม่รู้ว่าพญานาคอันตรายกว่า หรือตัวเขาอันตรายกว่ากันแน่
ขณะนั้นเองเสียงพิธีกรสาวสวยที่อยู่บนเวทีประมูลก็เริ่มดังขึ้น
“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่วันที่ 3 ของการประมูลประจําแคว้น ครั้งที่ 60 แน่นอนว่าในครั้งนี้เราย่อมมีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ สมกับมิตรภาพร่วมแคว้นที่มีมาอย่างยาวนาน”
เมื่อพิธีกรหญิงสาวสวยในชุดคลุมสีเขียวใบตองอ่อนพูดจบ เธอก็ได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมรอบด้านอย่างล้นหลาม
“ทุกท่านคงทราบดีว่าวันนี้เป็นวันประมูลภารกิจระดับสูงที่ไม่อาจหาได้จากสํานักงานฮันเตอร์ที่ไหน ๆ และในครั้งนี้พวกเราก็มีภารกิจระดับสูงให้ประมูลกันถึงสามภารกิจ”
เฮ….
เสียงชื่นชมยินดีดังมาจากทั่วสารทิศ ตามปกติการประมูลครั้งก่อน ๆ จะมีภารกิจระดับสูงให้ประมูลเพียงหนึ่งเดียว แต่ครั้งนี้กลับมีถึงสามภารกิจ แต่ละตระกูลแต่ละสํานักต่างตื่นตัวเร่งเตรียมทรัพย์สินกันอย่างเร็วรี่
“แต่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ในครั้งนี้เราจะไม่ใช้เงินในการประมูล”
พิธีกรหญิงหยุดเว้นช่วงอย่างมีจังหวะจะโคน หมายเพิ่มความตื่นเต้นให้แก่ผู้ชม
“ก่อนจะพูดถึงกติกาการประมูล ข้าน้อยขอแจ้งรายการภารกิจให้ทุกท่านได้ทราบ ภารกิจที่ 1 สํารวจวิหารโบราณ ภารกิจที่ 2 ปราบปรามรังสัตว์อสูร ภารกิจที่ 3 กอบกู้หมู่บ้านที่ถูกสัตว์อสูรบุกยึด”
เธอไม่ได้อธิบายรายละเอียดของแต่ละภารกิจ เพราะภารกิจระดับสูงเป็นภารกิจที่มีข้อมูลจําเพาะ คนทั่วไปไม่ควรได้รู้ คนที่จะรู้ได้คือคนที่ได้รับภารกิจเท่านั้น
“แน่นอนว่ารางวัลของแต่ละภารกิจนั้นมากมายนัก มีท่านใดสนใจประมูลภารกิจทั้งสามหรือไม่ ขอเสียงหน่อยเจ้าค่ะ”
พิธีกรหญิงกางแขนออกอย่างสง่างาม ในขณะที่ผู้คนรอบทิศส่งเสียงเฮลั่น พวกเขาล้วนต้องการภารกิจระดับสูง อย่างน้อยสักครั้งในชีวิตพวกเขาก็ต้องการรู้ว่าการทําภารกิจระดับสูงมันให้รสชาติชีวิตเช่นใด
พิธีกรหญิงแย้มยิ้มอย่างคนที่เข้าใจความปรารถนานั้น
“หากทุกท่านประสงค์เช่นนั้น ข้าน้อยก็คงต้องแจ้งกติกาเป็นลําดับต่อไป”
เมื่อเธอพูดถึงตอนนี้ทั้งอาคารประมูลก็พร้อมใจกันเงียบกริบโดยไม่ได้นัดแนะกัน
“ภารกิจระดับสูงย่อมคู่ควรกับฮันเตอร์ฝีมือเยี่ยม ในครั้งนี้เราจะใช้การต่อสู้กันเพื่อคัดสรรผู้มีฝีมือ ท่านต้องรวมทีมให้ครบสามคน และจะต้องเป็นฮันเตอร์หรือผู้มีความสามารถที่มีอายุ 18-20 ปีเท่านั้น จ่ายค่าสมัครเพียง 10,000 เหรียญทองต่อทีม แล้วก็มาร่วมสนุกกันได้เลยเจ้าค่ะ”
ความเงียบยังคงครอบงําบรรยากาศ แต่ละฝ่ายกําลังประเมินกติกาและประเมินกําลังคนของตนเองอย่างเคร่งเครียด คนมีฝีมือนั้นมีมาก แต่คนที่มีอายุอยู่ในเกณฑ์กติกากลับมีไม่มากนัก พวกเขาไม่ได้เตรียมการมาแบบนี้
“เราจะแจกสร้อยคอให้แต่ละทีม ทีมละหนึ่งเส้น แต่จะมีสร้อยคอเพียงสามเส้นเท่านั้นที่มีข้อมูลภารกิจฝังอยู่ภายใน เราจะให้ผู้ร่วมประมูลเข้าไปแข่งขันกันในครอบแก้วปาวสันต์ ใจกลางป่าจะมีมหาวิหารที่มีแท่นคบเพลิงอยู่ เมื่อนําสร้อยไปเผาที่คบเพลิงนั้น ท่านก็จะรู้ว่าสร้อยเส้นนั้นมีภารกิจอยู่หรือไม่ เราจะจับเวลาสี่ชั่วโมงสร้อยภารกิจอยู่ที่ใครก็ถือว่าทีมนั้นได้รับภารกิจนั้น ๆ ไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง”
“ทําไมเงียบเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ อย่าเพิ่งกังวลใจไปเจ้าค่ะ ทางเราจะให้เวลารวมทีม และวางแผนการแข่งขัน อีกครึ่งชั่วโมงให้หลังขอให้ผู้ที่ประสงค์เข้าร่วมการประมูลจ่ายเงินค่าสมัครที่ด้านล่างเวที ตอนนี้ขอเชิญทุกท่านรับชมการแสดงละครสัตว์อสูรสุดน่ารัก หวังว่าทุกท่านจะรื่นรมย์นะเจ้าคะ”
สิ้นคําพูดของเธอก็มีกลุ่มสัตว์อสูรน้อยใหญ่ที่ถูกฝึกมาอย่างดีหลายตัวออกมาแสดงบนเวทีอย่างสนุกสนาน ผิดกับผู้ชมรอบข้างที่ยังคงเคร่งเครียด พวกเขามีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 56 ไปประมูลภารกิจกันเถอะ
“ไม่น่ามี
อยู่ๆพญานาคห้าเศียรก็ตอบโต้ความคิดของเหนือภพ ทําให้เขาขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ
“จริงๆพวกแปลกๆไม่ใช่มีแค่คน สัตว์ก็มี
เหนือภพคิดในใจโดยลืมไปว่าพญานาคสามารถอ่านความคิดของเขาได้ พญานาคส่งเสียงกระแอมเชิงตักเตือนก่อน เอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงตื่นเต้นระคนแปลกใจเมื่อเพ่งจิตไปยังเฮงเฮง
“เจ้าเด็กคนนั้นมีวิญญาณร้ายสิงสู่ตั้งแต่กําเนิด ไม่แปลกทั้งชีวิตจะมีแต่โชคร้าย
เหนือภพคิดไม่ถึงว่าพญานาคจะมีความสามารถดูออกได้ละเอียดถึงเพียงนั้น แม้เขาจะไม่ได้สนิทกับเฮงเฮงนัก แต่ในฐานะคนที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เขาก็อยากให้เฮงเฮงอยู่อย่างปลอดภัย
แน่นอนว่าพญานาครู้ว่าเหนือภพต้องการอะไร
“วิธีแก้มก็ถือว่าไม่มี เจ้ารู้ไปก็ทําอะไรไม่ได้ วิญญาณนี้กับเจ้าหนุ่มนี่มีความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นที่ตัดไม่ขาด แต่เจ้าวางใจเถอะ แม้ชีวิตมันจะโชคร้ายแต่มันจะไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต สักวันก็จะผ่านพ้นไปได้
พญานาคยังบอกอีกว่า
“วิญญาณร้ายนี้แม้คล้ายว่าจะเอาชีวิต แต่ในความเป็นจริงวิญญาณร้ายนี้กลับปกป้อง เหมือนข้าเคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนแต่ข้าจําไม่ได้ เจ้าวางใจเถอะ ในมุมมองของข้าชีวิตของมันยังดีกว่าหลายคนในใต้หล้าด้วยซ้ํา
เหนือภพรับฟังสิ่งที่พญานาคพูดแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ความโชคร้ายไม่มีทางเป็นเรื่องที่ดีไปได้หรอกน่า เฮงเฮงเคยช่วยมีน้ําใจช่วยเขาไว้ริมหน้าผาเมื่อหลายปีก่อน เขาไม่เคยลืม ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้เฮงเฮงต้องมาตกระกําลําบากแบบนี้ และเพื่อที่จะทําให้เฮงเฮงไปกับเขา เหนือภพจึงตัดสินใจช่วยเฮงเฮงขายของ ภายใต้เงื่อนไขสองข้อ
ข้อแรก กําไรที่ได้ต้องตกเป็นของเขา 7 ส่วนเฮงเฮงได้ 3 ส่วน
ข้อสอง เฮงเฮงต้องทําตามที่เขาสั่ง
เมื่อตกลงกันได้แล้ว เขาก็หลอกให้เฮงเฮงออกจากร้านไปหาของมาขายเพิ่ม หลังจากเฮงเฮงจากไปผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีเกินคาด ภายในเวลาครึ่งวันเหนือภพก็ขายของในร้านได้จนหมดเกลี้ยง ด้วยการค้าขายแบบโปรโมชั่นลดราคา
สมมุติราคาต้นทุนแต่ละชิ้นอยู่ที่ 300 เหรียญเงิน เขาก็ติดป้ายราคา 600 เหรียญเงินแล้วขีดฆ่าราคาด้วยหมึกสีแดงสด จากนั้นเขียนตัวเลข 300 ไว้ข้างๆ ให้เป็นที่เข้าใจกันว่าสินค้านี้ลดราคาถึง 50%
แน่นอนว่าของแต่ละชิ้นมีราคาต้นทุนไม่เท่ากัน ดังนั้นเหนือภพจึงใช้วิธีการขายหลากหลายรูปแบบไม่ใช่แค่ลดราคาเหมือนกันหมด สินค้าบางชิ้นมีคุณภาพดีทั้งยังไม่เหมือนใคร ถึงแม้ผลงานเกือบทั้งหมดภายในร้านเป็นของที่เฮงเฮงทําขึ้นมาเอง เป็นงานฝีมือที่แม้จะไม่ได้สวยงามประณีตอย่างผู้ไร้พรสวรรค์ทํา แต่มันก็ถือเป็นสินค้าที่มีความพิเศษมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ส่วนใหญ่ถูกสร้างมาจากวัตถุดิบ จากสัตว์อสูรระดับสูง ต้นไม้หรือแร่หินหายากนานาชนิดที่มีคุณค่าภายในตัวอยู่แล้ว
ดังนั้นสิ่งไหนที่เพิ่มราคาได้เขาจะทํา สิ่งไหนที่ควรจะขาย แบบลดแลกแจกแถมเขาก็จะทํา
สี่ชั่วโมงต่อมา
เหนือภพนั่งนับเงินกําไรอยู่ท่ามกลางร้านที่โล่งโจ้ง ขณะเดียวกับเฮงเฮงก็กลับมาด้วยใบหน้าสะบักสะบอม เป็นอย่างที่เหนือภพคาดไว้ เฮงเฮงไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย
“ข้าขอโทษ ข้าไม่เอาไหนเอง”
เฮงเฮงเอยขึ้นด้วยความรู้สึกผิด ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาชีวิตของเขาทําอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่เหนือภพตบบ่าปลอบใจเฮงเฮง ก่อนจะยกถุงผ้าที่มีขนาดเท่าลูกบอลยื่นให้กับเฮงเฮง
“ไม่มีอะไรมาขายก็ช่างเถอะ ไปกันได้แล้ว”
เฮงเฮงรับถุงผ้าหนักอึ้งด้วยสองมืออย่างงงงวย เขาเพิ่งสังเกตร้านของตัวเอง มันเตียนโล่ง สินค้าทั้งหมดถูกขายไปหมดแล้ว เขาแทบไม่เชื่อสายตา แต่เมื่อเปิดปากถุงผ้าดูเหรียญที่มีทั้งสีทองแดงสีเงิน สีทอง รวมไปถึงตัวเงินมากมาย นี่มันมากกว่ากําไรที่เขาเคยคาดหวังเอาไว้ด้วยซ้ํา
“ช่างล้ําเลิศ เขาทําได้ยังไง
เฮงเฮงรีบเก็บถุงผ้าใส่กระเป๋าสะพายหลัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความนับถือ
“ท่านอาจารย์ รอเดี๋ยว”
เฮงเฮงรีบเข้าไปเก็บของบางส่วนโดยเฉพาะอาวุธคู่กาย ดาบทรงไทยหนึ่งเล่มที่เขาซ่อนไว้กับข้าวของอีกจํานวนหนึ่งก่อนจะวิ่งตามเหนือภพออกไป
เหนือภพกับเฮงเฮงเดินไปในตลาดเรื่อยเปื่อยเพื่อหาอะไรทํา จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าป้ายขนาดใหญ่ที่ข้อความถูกเปลี่ยนไปในแต่ละวัน
งานเทศกาลประมูลระดับแคว้น ครั้งที่ 60
วันที่ 3 ภารกิจระดับสูง
เริ่ม 20.00 นาฬิกา
“ภารกิจระดับสูง
เหนือภพอ่านทวน ก่อนจะมองไปทางเฮงเฮงอย่างต้องการคําตอบ แม้เฮงเฮงจะเป็นพวกดวงซวยจนไม่น่าคบหา แต่ในด้านความรอบรู้เขากลับมีมากจนเหนือภพต้องยอมศิโรราบ
“ส่วนใหญ่ภารกิจที่นํามาประมูลจะเป็นภารกิจใหญ่ที่ได้รับการประเมินว่ายากเกินระดับ จะไม่สามารถรับภารกิจระดับนี้ได้จากสํานักงานฮันเตอร์ทั่วไป มีผลตอบแทนสูง และยากที่จะสําเร็จ”
“แล้วทําไมต้องมาประมูลให้วุ่นวาย จะแปะไว้ที่สมาคมฮันเตอร์ก็ไม่ต่างกัน “
“นั่นก็จริง แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น ในงานประมูลภารกิจระดับสูง มันมีนัยบางอย่างที่มีผลกับอํานาจ การเปลี่ยนแปลงและก็ชื่อเสียง ดังนั้นภารกิจระดับสูงไม่สามารถไว้ที่สํานักงานฮันเตอร์ได้ มันจะก่อเกิดปัญหาความขัดแย้งและการแย่งชิงกันไม่สิ้นสุด จึงจําเป็นต้องมีการประมูลเพื่อถือสิทธิ์เป็นเจ้าของ ใครมีความสามารถและมีเงินก็จะได้รับภารกิจนี้ไป โดยไม่ต้องกังวลว่ากลุ่มอื่นๆ จะมาแย่งภารกิจไปทํา มันก็ถือเป็นความปลอดภัยอย่างหนึ่ง”
เหนือภพพยักหน้าเชิงเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามต่อไปว่า
“แล้วเงินรางวัลขั้นต่ํามันอยู่ที่เท่าไหร่”
“ไม่แน่นอนครับ แต่ถ้าจะเอาสถิติเก่าๆ มาอ้างเมื่อสี่ปี ที่แล้วบ้านฉิมพลีของตระกูลสุบรรณเวนไตยได้ประมูลภารกิจระดับสูง ระดับ D ผลตอบแทนหลังจากที่พวกเขาทําสําเร็จก็มีมูลค่าเท่ากับค่าใช้จ่ายของเมืองหลวง 10 ปี”
เหนือภพอึ้งกิมกี่ จากนั้นตาของเขาก็ค่อยๆ ทอประกายวิบวับ
“พวกเราไปประมูลภารกิจกันเถอะ”
“เอาจริงหรือครับ”
“ข้าเหนือภพพูดจริงทําจริง”
“ด้วยเงินแค่นี้ ?”
เฮงเฮงชี้ไปที่ถุงเงินของเขาและของเหนือภพอย่างไม่แน่ใจ
“เชื่อมือข้าเถอะ”
ในมุมมองของเหนือภพ ปัญหาเรื่องเงินมันไม่ได้ยากขนาดนั้น ไม่มีเงินก็แค่ทํางานหาเงินเท่านั้น เขาถือคติที่ว่า “คนขยันไม่มีทางยากจน”
ตะวันเริ่มบ่ายคล้อย เหนือภพกับเฮงเฮงวิ่งวุ่นรับงานทั่วไปตามร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะช่วยค้าขายเรียกลูกค้า ล้างจาน ขนของ หรือแม้กระทั่งช่วยขับไล่อันธพาล เหนือภพทําทุกอย่างที่ว่ามา ส่วนเฮงเฮงกลับตรงกันข้าม ชื่อนี้ไม่ได้ให้โชคอย่างที่คิด ไม่ว่าเขาจะโผล่หน้าไปร้านใดหากร้านนั้นไม่เจ๊ง ก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา ที่ทําได้คือเดินเตร่ๆไปมาเพื่อไม่ให้ไปก่อเรื่องอะไร
มันเป็นภาพที่น่าขบขันเมื่อคนหนึ่งพยายามหาเงิน อีกคนพยายามอยู่ห่างๆอย่างหวาดระแวงเพื่อไม่ให้ไปก่อเรื่องจนต้องเสียเงิน
“เจ้าภพคิดเงินโต๊ะ 11 แล้วเอาจานนี้ไปส่งที่โต๊ะ 10 ด้วย”
“ได้ๆเถ้าแก่”
เหนือภพเดินขนอาหารไปอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว เมื่อถึงโต๊ะ 10 เขาก็ผงะเล็กน้อย เมื่อแขกที่นั่งอยู่โต๊ะ 10 คือองค์หญิงน้ําเพชรกับองครักษ์เวนไตย
“ไม่เจอกันนานนะ”
บุษย์น้ําเพชรเริ่มบทสนทนาอย่างเป็นมิตร มันเป็นเรื่องยากมากที่เธอต้องมาขอคืนดีคนที่เธอเคยขับไล่ไสส่งไปแล้ว
“นี่คือตับไก่ผัดพริกหวานกับซุปเยื่อเห็ดหิมะ ทานให้อร่อยนะครับคุณลูกค้า”
เหนือภพไม่สนใจจะพูดคุยด้วย เขาหันหลังกลับในทันที แต่บุษย์น้ําเพชรก็ยังพูดด้วยน้ําเสียงเป็นมิตร
“ท่านไม่คิดว่าพวกเราควรจะปรับเข้าใจกันหรือ”
เหนือภพชะงักเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงตรงไปเก็บเงินโต๊ะ 11 ตามที่เจ้าของร้านสั่ง โดยที่ไม่ได้หันมองโต๊ะ 10 ที่อยู่ใกล้กันแม้แต่น้อย
“ทําไมคุณหนูต้องลดตัวเพื่อมัน หากมันหยิ่งยโสนักก็ช่างหัวมันปะไร”
เวนไตยไม่ชอบเหนือภพแม้แต่น้อย เห็นกี่ครั้งก็รู้สึกไม่สบอารมณ์
บุษย์น้ําเพชรไม่ได้ให้คําตอบอะไร เธอเพียงยิ้มด้วยแววตาลึกล้ํา แม้เวนไตยจะขอติดตามบุษย์น้ําเพชรมานาน เขาก็ไม่เคยเข้าใจสักครั้งว่าในศีรษะงดงามของเธอกําลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่
เหนือภพทํางานอยู่ที่ร้านนี้จนกระทั่งเขาทนความรู้สึกอึดอัดนี้ไม่ได้ จนต้องไปนั่งลงบนเก้าอี้ว่างของโต๊ะ 10 โต๊ะที่มีลูกค้าพิเศษนั่งมาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนใกล้จะมืดค่ําก็ยังไม่ลุกไปไหนสักที
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
“ท่านอยากพูดกับเราแล้วหรอ”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า”
เหนือภพไม่พอใจพวกราชวงศ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่าบุษย์น้ําเพชรและบุษย์น้ําทองเป็นพี่น้องกันก็ยิ่งทําให้เขารู้สึกเดือดดาล แต่เขาไม่อาจโวยวายออกไป จึงได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ
“เรามาขอโทษ”
“ขอโทษ ? หากเป็นเรื่องจดหมาย
เหนือภพพูดไม่ทันจบน้ําเพชรก็เอ่ยตัดบทว่า
“ไม่ใช่
เหนือภพขมวดคิ้ว
“เรื่องน้องสาวเรา เรายอมรับว่าเราไม่ได้ทําหน้าที่ของเรา ในฐานะผู้ว่าจ้างที่ดีนัก ทั้งในฐานะพี่สาวเราก็ทําได้ไม่ดี ทําให้เกิดเรื่องมากมายกับท่าน เรารู้ว่าท่านเกลียดเรา แค้นเรา แต่อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ทําอะไรสักอย่างเพื่อชดเชย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามในฐานะพี่สาว เราจะขอแบกรับทุกอย่างไว้เอง”
“ฆ่านางสิ”
คําตอบของเหนือภพทําให้บุษย์น้ําเพชรชะงัก เธอประสานสายตาแน่วแน่ของชายหนุ่ม เขาไม่ได้ปิดบังความเกลียดชังภายในดวงตาเลย
“เรื่องนี้เกรงว่า…”
เหนือภพหลับตาก่อนจะตัดบทว่า
“ช่างเถอะ”
เขาเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฆ่าพี่น้องของตนเอง แม้ว่าบุษย์นําทองจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม เขาอคติมากเกินไป แม้จะเป็นพี่น้องกันก็ใช่ว่าจะรู้เห็นเรื่องทุกอย่างของกันและกัน ตัวอย่างก็มีให้เห็นมาแล้ว เรื่องนี้ทําให้เขาคิดถึงพันศรีวะรากับ ขุนศรีไชยะ สองพี่น้องที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้ว
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเจ้าก็ไปเถอะ อย่ามารบกวนการทํางานของข้า”
เหนือภพพูดอย่างตัดใจ เมื่อบุษย์น้ําเพชรได้พูดอย่างที่เธอต้องการไปหมดแล้ว เธอก็ส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วก็เดินจากไปพร้อมกับองครักษ์คู่ใจ
เหนือภพทํางานต่อไปตามปกติจนกระทั่งใกล้ถึงเวลาประมูล เขากับเฮงเฮงก็พากันเดินทางไปยังอาคารประมูล ที่กําลังคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
“กติกาประมูลแบบใหม่งั้นหรอ”
เหนือภพเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นป้ายประกาศ กับคําพูดของผู้คนที่ยื่นออกันหน้าอาคารประมูล ดูเหมือนจะพูดคุยเรื่องนี้กันหนาหู แต่ความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปยังคนคนหนึ่งเสียก่อน
“นายท่านทั้งสองไม่มีบัตรเชิญ เข้าไม่ได้จริงๆนะขอรับ”
ฮันเตอร์ผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูเอ่ยอย่างจนใจ แต่เขาก็เคยชินเสียแล้วที่จะต้องกีดกันคนจรจัด และคนจนให้ออกห่างจากอาคารประมูลหลักแห่งนี้
“ทําไมพวกข้าถึงเข้าไม่ได้”
ไร้ชื่อเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ ทําที่จะชักดาบเข้าฟาดฟัน แต่ก็ถูก “ใบข้าว” หญิงสาวข้างกายรั้งแขนไว้ก่อน แม้เธอไม่รู้ว่าไร้ที่อคิดจะทําอะไร แต่เธอก็กลัวเขาจะทําอะไรไม่ดี
“ไม่เป็นไรหรอก เราไปที่อาคารประมูลเล็กรอบๆหมู่บ้านก็ได้”
“ไม่ได้ อสูรทะเลสาบรอข้าอยู่ที่ชั้นห้า ข้าต้องไปตามหาเขา”
ไร้ชื่อมีท่าทีขึงขังขึ้นมา เขาจะบุกเข้าไปให้ได้
“เฮ้ ๆ ใจเย็นก่อนพวก”
เหนือภพรีบปรี่เข้าไป แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์ เมื่อคมดาบของไร้ชื่อฟันลงไปที่แขนของฮันเตอร์เฝ้าประตู แต่ดาบของเขากลับดีดสะท้อนออกมาด้วยพลังบางอย่าง นั่นไม่ใช่พลังระดับที่ฮันเตอร์เฝ้าประตูจะพึงมี
เหนือภพมองไปอีกทิศทางหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามเฮงเฮง
“เจ้าเห็นคนทําไหม”
เฮงเฮงไม่ตอบ เขาทําเพียงยืนเศษใบมีดชุมเลือดที่แตกหัก จากใบดาบของไร้ชื่อ แล้วกระเด็นมาปักที่แขนของตนให้กับเหนือภพ
เหนือภพสะดุ้ง มองเฮงเฮงที่ตอนนี้มีสีหน้าเป็นเชิงว่า “อีกละ เหนือภพพ่นลมหายใจออกมา พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้
เพราะต้องคอยระวังไม่ให้เกิดเรื่องกับตัวเองเสมอมา เฮงเฮงจึงมีสายตาเฉียบคม ทําให้เขาสามารถเก็บรายละเอียด ที่เกิดขึ้นในครรลองสายตาได้ทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามความสามารถในการระวังภัยขั้นสุดยอดของเขาก็ไม่เคยใช้ได้ผล มันเพียงช่วยให้เขาเจ็บน้อยลงเท่านั้นเอง
“ข้าไม่รู้จัก แต่ดูจากอายุแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับ
พวกเรา”
เฮงเฮงให้คําตอบเพียงเท่านั้น จากนั้นเขาก็กลับเข้าสู่สภาวะระแวดระวังตัวต่อไป
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 55 สาวบ้านลานเงิน
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ เสียงนกร้องยามเช้าตรู่ แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนค่อยๆเรืองรองขึ้นในทิศตะวันออก
เหนือภพออกจากอาคารประมูลด้วยใบหน้าที่ห่อเที่ยวสุดๆ แม้เงินนั้นจะไม่ใช่ของเขา แต่เขาก็รู้สึกเสียดาย เพราะถือว่าตระกูลนาคราชให้เขาแล้ว เขาทําใจแล้วว่าซื้อให้น้องสาวแต่ตราบใดที่ของขวัญยังส่งไปไม่ถึงเขาก็ไม่สบายใจ น้องสาวของเขายังไม่เขียนจดหมายตอบกลับมาเสียที เขากังวลมากจนถึงขั้นจิตตกพึมพําอยู่คนเดียว
บุษบาเป็นห่วงจึงเดินมาส่งเขาถึงเรือนธารใสที่อยู่ไม่ไกลจากอาคารประมูลนัก ตลอดเส้นทางผู้คนทั้งหมดมองเหนือภพด้วยสายตาอิจฉาหรือ
ต่อให้เคียดแค้นมากแค่ไหน เหนือภพก็ไม่รับรู้สักนิด หลังจากบุษบาจากไปเขาก็นอนแผ่อยู่เหมือนคนอดอะไรตายอยาก ทว่าจู่ๆเขาก็นึกอะไรขึ้นได้
“เห้ย เจ้านั่นล่ะ หายไปไหน”
เหนือภพเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขานัดไร้ชื่อไปเจอที่อาคารประมูล แต่เขาไม่มาตามนัด ไม่รู้ว่าโดนจับตัวไปแล้วหรือยัง
“คงไม่หรอกมั้ง เจ้านั่นมีฝีมือเอาการคงเอาตัวรอดได้”
คิดได้ดังนั้นเหนือภพก็สบายใจ ก็นอนหลับตาอยู่ที่ห้องโถงกลางอย่างง่ายดายเช่นนั้นเอง
สี่ชั่วโมงผ่านไป
พี่สะใภ้ทั้งสองก็กลับมาด้วยใบหน้าเบิกบาน เมื่อสิ่งที่เหนือภพแนะนําพวกเธอดันถูกใจศิษย์พี่ทั้งสองซะแบบนั้น
“นี่น้องเขยเจ้าทําดีมาก อ่ะนี่รางวัล”
อังกาบและราตรีวางเงินพร้อมกันบนโต๊ะตรงข้างๆ เก้าอี้ยาวที่เหนือภพนอนอยู่
เสียงเหรียญกระทบกันราวกับเสียงสวรรค์ที่ทําให้เหนือภพพื้น จากความตาย เขาเด้งตัวขึ้นนั่งมองตั๋วเงินและเหรียญมากมายที่อยู่ในถุง รวมแล้วมูลค่าน่าจะมากกว่ากว่าสามพันเหรียญทอง เหนือภพเก็บพวกมันเข้าอกเสื้อโดยเร็ว
“ขอบคุณครับ หากพวกพี่ต้องการให้ช่วยเรื่องอะไร ข้ายินดีช่วย
เสมอ”
เหนือภพยิ้มกว้างพลางพูดจาฉอเลาะ จากนั้นเขาก็รอจนพี่สะใภ้ทั้งสองจากไป แล้วเขาก็หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาอย่างลืมตัว เพื่อตรวจดูระบบ แต่แล้วกลับพบว่าเขาต้องรออีก 2 วันถึงจะใช้กงล้อหรรษาได้อีกครั้ง
เหนือภพถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็ง ขณะนั้นเองจดหมายจากเหนือฟ้าก็ส่งมาถึงเขาความรู้สึกยินดีและความปลื้มปริ่มเอ่อท่วมหัวใจของเขา ความรู้สึกเสียดายกับเม็ดเงินที่สูญเสียนั้นหายไปจนหมดสิ้น เมื่อน้องสาวเขาแนบภาพวาดของตัวเองที่ใส่ชุดใหม่ที่เขาซื้อให้มาด้วย เหนือภพมองมันด้วยรอยยิ้มมีความสุข ขณะค่อยๆพับมันอย่างเบามือแล้วเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม
อีกมุมหนึ่งของหมู่บ้าน
เสียงการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มร่างเพรียวบางดังเป็นจังหวะ ขณะไต่ตามผนัง ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาแตกต่างจากคนทั่วไปอยู่มาก เขาเคลื่อนไหวราวกับสัตว์ปาสี่เท้าที่กระโดดไต่ไปตามผนังของอาคารสูง ปืนปายขึ้นไปที่คิ้วหน้าต่าง เกาะขึ้นไปตามระเบียง จนกระทั่งพุ่งทะลุเข้าหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้บนชั้นห้า
การกระทําของไร้ชื่อสร้างความตกใจให้แก่สาวน้อยที่อยู่ในห้องเป็นอันมาก ยังไม่ทันที่เธอจะได้กรีดร้อง คมดาบของไร้ชื่อก็พาดอยู่บนคอเธอเรียบร้อยแล้ว นั่นทําให้เธอต้องเก็บเสียงหุบปากแน่น
“อีก”
“ที่นี่ใช่อาคารประมูลชั้น 5 หรือเปล่า ?”
ไร้ชื่อถามขณะมองสํารวจรอบห้อง เขาก็พบว่าในห้องมีนกน้อยหลายตัวที่เกาะอยู่บนขอบหน้าต่างอีกด้าน ส่วนที่พื้นที่ที่มีหนูนาขนาดใหญ่ แมวน้อยและลูกอีกหนึ่งครอก ข้างๆกันก็มีลูกหมาอีกสองตัว พวกมันทุกตัวดูมีความสุขดีและดูคุ้นเคยกับหญิงสาวมาก
จากนั้นเขาก็หยุดมองเครื่องครัว กระทะ หม้อบนเตาที่เต็มไปด้วยอาหาร กลิ่นหอมนั้นทําให้ไร้ชื่อกลืนน้ําลายลงคอ ดวงตาเป็นประกายแวววาว
เมื่อหญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
“เจ้าคงหิวมากสินะ มาเถอะ ข้าจะตักให้”
ดาบที่พาดอยู่บนลําคอขาวเนียนคลายออกอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวแอบพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก เธอคิดไม่ผิดเลยชายคนนี้ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร
เมื่อไร้ชื่อได้ยินเสียงไพเราะอ่อนหวาน ท่าที่แข็งกร้าวดุร้ายก็คลายลงอย่างน่าประหลาด เขาพยักหน้าหงกๆ อย่างอายๆ ขณะที่เก็บดาบเข้าฝักก่อนจ้องมองหญิงสาวที่กําลังตักอาหารใส่ชามไม้ให้เขาจํานวนมากด้วยท่าทางไม่ต่างจากสุนัขหิวโซ เขากินมันอย่างมูมมามคล้ายสัตว์ป่า โดยไม่สนช้อนไม้ที่หญิงสาวยื่นให้แม้แต่น้อย
“กินช้าๆหน่อยก็ได้ ไม่ต้องรีบ ข้ายังมีอีก”
ใบหน้ายิ้มแย้มและแววตาของเธอเต็มไปด้วยความเมตตาอ่อนโยน จิตใจงดงามไม่ต่างจากรูปลักษณ์หน้าตา เธอไม่ได้สวยหยาดเยิ้มแต่สวยแบบยิ่งมองก็ยิ่งสบายตา ดังดอกไม้ริมทางที่ไม่ว่ามองกี่ครั้งก็ยังรู้สึกว่ามันงดงามไม่รู้เบื่อ และเธอก็มอบความเมตตาดุจมารดานี้ให้แก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสรรพสัตว์ หรือมนุษย์ผู้คิดร้าย เมื่อได้เจอกับเธอล้วนไม่มีผู้ใดทําร้ายเธอได้ลงคอ
หลังจากที่ได้ชื่อกินอาหารไปนับยี่สิบชาม เขาก็อิ่ม แล้วเขาก็จ้องมองหญิงสาวนิ่งค้างอยู่แบบนั้น ใบหน้าเริ่มแดงก่ําโดยไม่รู้ตัว ขณะเอ่ยคําน่าอายออกไปโดยที่ไม่รู้ความหมายลึกซึ้ง
“ข้าชอบเจ้า”
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ เธอยิ้มพลางลูบหัวไร้ชื่อ ดูจากรูปร่างและอายุเขาน่าจะอ่อนกว่าเธอหลายปี
“เด็กน้อย คิดจะจีบพี่สาวหรือยังไง”
ไร้ชื่อไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก เขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่า “จีบ” หมายความว่าอย่างไร แต่สิ่งที่เขาสนใจคือความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนเวลาที่หญิงสาวผู้นี้ลูบหัวของเขา เมื่อหญิงสาวกําลังจะถอนมือออก ไร้ชื่อก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที
“เจ้าทําแบบนั้นอีก ข้าชอบ”
“ทํา? ทําอะไร” หญิงสาวจุนงงก่อนจะร้องอ๋อ
“เจ้ายังไม่อิ่มหรอ ได้สิ พี่สาวจะทําเพิ่มให้”
“ไม่ใช่
หญิงสาวนิ่งก่อนจะนึกย้อนความทรงจํา
“ลูบหัวแบบนี้หรอ”
เธอใช้มือขาวแตกและด้านจากการโหมงานหนักแตะที่หัวของตัวเอง ไร้ชื่อพยักหน้าทันทีพร้อมขยับเข้าไปใกล้แล้วยื่นหัวให้ หญิงสาวยิ้มแม้จะแปลกใจที่ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนกับสัตว์อสูรที่เธอเคยเลี้ยง แต่เธอก็ไม่ได้คิดมากอะไร เธอรู้สึกว่าเขาน่ารักดีเลยทําให้โดยไม่บ่น
แต่เมื่อไร้ชื่อกําลังจะผล็อยหลับไปด้วยความสุข เขาก็ถูกหญิงสาวปลุกเสียก่อน
“เจ้าเป็นคนใหม่ที่จะเข้ามา บ้านลานเงิน วันนี้หรอ”
บ้านลานเงินคือบ้านที่เหล่าฮันเตอร์มารวมตัวกันเพื่อรับงาน พวกเขาตั้งชื่อบ้านของตัวเองว่า “ลานเงิน” อาจมีผู้ไร้พรสวรรค์มา ร่วมบ้านเพื่อช่วยทํางานใช้แรงงานทั่วไปเช่นเธอเป็นต้น ทว่าไร้ชื่อกลับส่ายหน้า
“อสูรทะเลสาบบอกข้าว่าให้ข้าไปเจอเขาที่ลานประมูลชั้น 5”
ไร้ชื่อเหมือนจะร้องไห้ขณะรีบลุกขึ้น ก่อนจะมองไปรอบๆ พยา ยามมองหาเหนือภพ แต่มองหาอย่างไรก็ไม่เห็น นั่นทําให้ไร้ชื่อแปลกใจ
หญิงสาวยิ้มก่อนจะส่ายหน้า ชายหนุ่มหน้าตาน่ารักตรงหน้านี้ ช่างไม่จากเด็กไร้เดียงสาผู้หนึ่ง ซึ่งเธอก็พอมีประสบการณ์ในการ เลี้ยงดูเด็กพิเศษเหล่านี้มาก่อนจึงมีความเข้าใจ และรู้ว่าควรจะทําเช่นไร
“ที่นี้ไม่ใช่ลานประมูลหรอกนะ แม้จะมีห้าชั้นเหมือนกัน แต่ก็ อยู่คนละทางกันนะ มาเถอะให้พี่สาวพาเจ้าไปส่ง ยังไงพี่สาวก็มีธุระต้องไปที่นั่นพอดี”
หญิงสาวยื่นมือให้ไร้ชื่อจับ แล้วเธอก็จูงมือเขาเดิน ส่วนไร้ชื่อก็เดินตามอย่างว่าง่ายทั้งๆที่จริงแล้วไร้ชื่อสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในชั่วอึดใจ ขอเพียงเขารู้ทิศทางแน่ชัดเท่านั้น
เหนือภพเดินไปเที่ยวฆ่าเวลาที่ตลาดเช้า ความจริงตลาดแห่งนี้เป็นตลาดโต้รุ่งที่เปิดกันทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร นอกจากพนักงานขายที่ดูเปลี่ยนหน้าตาไปตามเวลางาน
เหนือภพเดินมองสองข้างทางอย่างละเอียด โดยไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าข้างขวาของเขามีร้านขายของที่ระลึกขนาดใหญ่กับพนักงานขายที่กําลังร้องประกาศขายของอย่างขยันขันแข็ง เสียงของเขาดังกังวาน แต่น่าแปลกกลับไม่มีลูกค้าคนใดสังเกต หรือเฉียดเข้าไปใกล้เลยสักคน
จึงเกิดเป็นภาพแปลกประหลาดคือมีสองร้านที่ขายดิบขายดีมีคนต่อแถวยาวเป็นพืด โดยมีร้านขายของที่ระลึกที่แสนเงียบเห แทรกอยู่ระหว่างร้านทั้งสอง ไม่มีลูกค้าเลยสักคน ไม่มีแม้กระทั่ง รอยเท้าติดอยู่หน้าลานทางเข้าแม้สักรอยเดียว
แม้แต่เหนือภพมองทุกสิ่งรอบกายอย่างถี่ถ้วนเพื่อศึกษา เขาเองก็ยังไม่เห็นร้านนั้นเช่นกัน ขณะที่เขากําลังจะเดินผ่านร้านดังกล่าว ก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายก็ดังมาถึงเขาเสียงนั้นชัดเจนมาก
“เหนือภพ เหนือภพ”
เหนือภพหันมองหาเสียงตะโกน แต่ก็ยังแยกไม่ออกว่ามันมาจากทางไหน
“ทางนี้ หันหลังมาสิ ข้างขวาๆ”
ชายปริศนาตะโกนออกมาต่อเนื่อง เสียงดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คล้ายกับว่าผู้เรียกกําลังเคลื่อนตัวเข้าหา เหนือภพหันกลับไปในทันที เขาถึงกับผงะเมื่อพบว่าเสียงเรียกนั้นเป็นของเฮงเฮง หน้าตาของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อหกปีก่อนมากนัก แตกต่างตรงที่ตามร่างกายมีบาดแผลใหม่เพิ่มมาหลายแห่งและร่างกายที่ดูสูงกว่าเดิม
“เฮงซวย ?”
“ใช่เจ้าจริง ๆ ด้วยเหนือภพ ข้าจําอีเตอร์ของเจ้าได้ เจ้าเปลี่ยนไปเยอะเลยหากไม่ใช่ อีเตอร์ข้าคงจําเจ้าไม่ได้ โอ๊ย!”
เฮงเฮงร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆ ก็มีกิ่งไม้ตกใส่หัวเขา ทั้งๆที่รอบทิศนี้ไม่มีต้นไม้สักต้น แต่เหนือภพไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ช่างเถอะๆ ก็แค่กิ่งไม้ มาเถอะเราไม่ได้เจอกันตั้งนานเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
เฮงเฮงเองก็เคยชินเสียแล้ว เขาลูบหัวตัวเองเบาๆ ก่อนพาเหนือภพเข้าไปนั่งที่ร้านของตน
เหนือภพมองร้านขายของที่ระลึกของเฮงเฮงแล้วก็อยากจะทิ่มตาตัวเองจริงๆ ร้านใหญ่ขนาดนี้ทําไมเขาถึงมองไม่เห็นได้นะ แถมยังใหญ่กว่าทุกร้านในละแวกนี้ด้วยซ้ํา เมื่อเห็นเช่นนี้เหนือภพก็แยกออกอย่างง่ายดายว่าคนตรงหน้าเขาคือเฮงเฮง ไม่ใช่ซวยซวย
“พี่ชายเจ้าล่ะ”
ปกติแล้วฝาแฝดคู่นี้มักไปไหนด้วยกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เหนือภพไม่เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกัน
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อหลายเดือนก่อนพี่ส่งจดหมายมาบอกว่าจะไปตามหาความฝันในสนามประลอง ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่เห็นเขาอีกเลย ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง แต่ก็ช่างเถอะ คนอย่างพี่คงไม่เป็นไรหรอก โอ๊ย !”
เหนือภพพยักหน้าโดยพยายามมองข้ามแก้วไม้จากร้านน้ําร้านไหนสักแห่ง ที่ลอยละลิ่วมาโดนหัวของเฮงเฮง
เฮงเฮงกับเหนือภพอยู่คุยกันอยู่พักใหญ่ แน่นอนว่าเหนือภพอ ยากจะไปที่นี่แทบแย่ แต่ก็ตัดใจจากไปไม่ได้ เมื่อเห็นสิ่งของต่างๆ หรืออะไรบางอย่างทําให้เฮงเฮงเจ็บตัวได้ทุกๆ สิบนาที ด้วยความเป็นห่วง เหนือภพจึงออกปากชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน แต่เฮงเฮงกลับปฏิเสธ
“ยังไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ข้าขายของให้หมดก่อนแล้วข้าค่อ ยตัดสินใจว่าจะไปกับเจ้าหรือเปล่า”
เหนือภพนิ่ง ทําไมคนรอบตัวเขาถึงได้มีนิสัยประหลาดกันนักนะ จะมีคนดีๆ คนปกติอยู่บ้างหรือเปล่า?
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
ตอนที่ 54 เกราะเหมยสะคราญ
เมื่อการประมูลเสื้อคลุมผู้หญิงเริ่มขึ้น การโยนผ้าเพื่อสู้ราคาก็เริ่มดุเดือด ขณะนั้นเหนือภพพูดคุยกับบุษบาด้วยท่าทางสนิทสนมและเป็นกันเองมากขึ้น แต่ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะให้คําแนะนําพี่สะใภ้ทั้งสองแม้แต่น้อย
ราตรีเคยชินกับการอดทนรอเพื่อหาโอกาสลอบสังหารผู้คนเธอเคยรอจุดเดิมเป็นปีเพื่อสังหารคนผู้หนึ่ง ดังนั้นเธอไม่ได้รู้สึกว่าการรอแค่นี้หนักหนาสาหัสอะไร แต่ไม่ใช่สําหรับอังกาบ ยิ่งเธอมองเสื้อคลุมสวย ๆ ที่ถูกประมูลโดยผู้อื่นไปทีละชิ้น เสื้อผ้าที่เธออยากได้ถูกซื้อไปหลายต่อหลายชุด เธอก็เริ่มทนไม่ไหวจนเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่เหนือภพ สรุปว่าพี่ควรจะซื้อแบบไหนดี”
เหนือภพยิ้มขณะที่ดื่มเหล้าน้ําผึ้งที่บุษบารินให้จนหมดแก้ว ก่อนเอ่ยว่า
“พวกพี่ไม่เห็นจําเป็นต้องซื้ออะไรเพิ่มเลย ที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว”
แต่พอเหนือภพพูดจบ เขาก็ต้องเหงื่อตกเมื่อเห็นสายตาพิฆาตจากสองสาว พวกเธอไม่ได้พูดอะไรแต่สื่อความได้ว่า ‘นี่ แกกล้าหลอกพวกฉันหรอ’
เหนือภพเขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี จากที่เขาส่งจดหมายไปหา ศิษย์พี่ทั้งสองพวกเขาก็พอใจมากแล้วที่พี่อังกาบกับพี่ราตรีเป็นเช่นนี้ ไม่ได้ต้องการให้เปลี่ยนอะไร แต่ดูเหมือนพวกพี่สะใภ้จะไม่เข้าใจ
“เอ่อ ข้าไม่ได้ความแบบนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ชอบผู้หญิงที่มีจริตจะก้านเย้ายวน แต่งกายโป๊วับ ๆ แวม ๆ ยิ่งโป็ยิ่งชอบ “
เมื่ออังกาบได้ยินเช่นนั้น เธอก็บีบแก้วในมือจนแหลกละเอียด เศษผงแก้วร่วงกราวตกลงพื้น ขณะที่เหนือภพสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพี่อังกาบร้องด่าออกมา
“เพราะแบบนี้ใช่ไหมถึงไปติดอีหนู ใช่สิ ข้ามันไม่เซ็กซี่ไม่ เย้ายวนใจเจ้านี่”
อังกาบพูดจบก็หันไปทางราตรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งกายโป๊และเย้ายวนผู้ชาย อังกาบรู้แล้วว่าควรจะประมูลอะไรในวันนี้ ซึ่งราตรีที่มักเย็นชาอยู่เป็นนิจก็พยักหน้าให้อังกาบ เธอจะช่วยอังกาบเต็มที่
จากนั้นราตรีก็มองมาทางเหนือภพ ซึ่งเหนือภพก็รีบตอบไป ว่า
“ศิษย์พี่รองแท้จริงเป็นคนเรียบง่าย เขาชอบผู้หญิงที่แต่งกายเรียบร้อยไม่หวือหวา ดังนั้นผู้หญิงแต่งกายโป๊เกินไปจะไม่อยู่ในสายตาศิษย์พี่รอง”
เหนือภพพูดขณะมองมาทางบุษบาเพื่อให้เราตรีเล็งเห็นว่าศิษย์พี่รองของเขาชอบผู้หญิงแต่งกายเรียบร้อย มารยาทงามเช่นนี้
ราตรีเห็นเช่นนั้นก็เริ่มเปลี่ยนท่าที เธอเริ่มลอกเลียนแบบการเคลื่อนไหวของบุษบา ขณะภายในใจครุ่นคิดกับตัวเองมิน่าที่ผ่านมานอกจากวัฏจักรจะใช้ร่างกายเธอเพื่อบําบัดความใคร่แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอื่นเลย แท้ที่จริงเธอทําไม่ถูกหลักต่างหาก ไม่คิดรู้ว่าเขาจะชอบผู้หญิงที่อ่อนแอไร้พิษสง แต่งกายเพิ่ม ๆ ไร้รสนิยมแบบนั้น
เหนือภพรู้สึกโล่งอกจริง ๆ เขาพูดไปแบบนั้นทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ทั้งสองเขาชอบผู้หญิงแบบไหนกันแน่ ก็ตอนที่เขาถามว่าศิษย์พี่ชอบผู้หญิงแต่งกายแบบไหน
ศิษย์พี่ทั้งสองก็ให้คําตอบแค่ว่า ‘เป็นตัวของตัวเอง’
“สิ่งของต่อไปนี้คือชุดเกราะเหมยสะคราญ เป็นชุดคลุมขาวเหมาะสําหรับเด็กสาวแรกรุ่น สร้างมาจากเส้นใยไหมหิมะชั้นดีไม่เพียงสวยงามเท่านั้น แต่มันยังถูกลงอาคมป้องกันระดับสูงที่สามารถต้านการโจมตีของผู้มีอาคมระดับ 40 ได้สบายราคา เริ่มต้นคือ 2,500 เหรียญทอง ทุกท่านสามารถเสนอเงินเพิ่มได้ ครั้งละไม่ต่ํากว่า 100 เหรียญทอง มีใครจะสู้มั้ยขอรับ”
พิธีกรจบคําพูดอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางเสียงฮือฮา เหนือภพจ้องมองชุดคลุมตัวยาวสีขาวบริสุทธิ์ ทอแทรกด้วยดิ้นสีเงินปักลวดลายดอกเหมยสีชมพูอ่อนไล่สีไปถึงชมพูเข้ม ดูเหมือนจริงราวกับว่ามีดอกเหมยถูกสายลมพัดตกลงมาบนชุดคลุม ช่างเป็นชุดที่เรียบง่ายแต่งดงาม ที่สําคัญคือมันเป็นชุดเกราะที่สวยงามและหญิงสาวสามารถสวมใส่ได้ในชีวิตจริง พอได้เห็น มันก็ทําให้เหนือภพนึกถึงน้องสาวของตนในทันที
“หากเหนือฟ้าได้ใส่คงสวยมากแน่”
เหนือภพคิด ขณะเอาตัวเงินทั้งหมดที่เขามีออกมานับที่ละใบ ราคาของชุดนี้เอาเรื่องพอควร แต่เขาก็มีเงินมากพอที่จะซื้อมัน เหนือภพรีบโยนผ้าสีน้ําเงินเข้มลงไปที่เวทีทันที เสื้อผ้าชุดนี้ต้องเป็นของเขา
“ตึกลําธารต้องการซื้อในราคา 2,600 เหรียญทอง มีใครจะสู้ใหมครับ”
ผู้ทําการประมูลเอ่ยขึ้นอย่างท้าทาย แต่ทุกด้านกลับเงียบกริบ คล้ายกับว่าไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งผู้ทําการประมูลเริ่มนับถอยหลัง
“นับครั้งที่ 1”
“นับครั้งที่ 2”
“หากนับถึงครั้งที่ 3 ชุดเกราะเหมยสะคราญจะตกเป็นของตึกลําธารนะขอรับ”
“นับ…”
เหนือภพยิ้มกว้างเมื่อไม่มีใครคิดสู้ แต่ทันใดนั้นผ้าสีทองอร่ามถูกโยนมาจากตระกูลสุบรรเวนไตย
“ตระกูลสุบรรณเวนไตยให้ราคา 2,700 เหรียญทอง มีใครจะสู้อีกไหมขอรับ”
“โรงเรียนเซนต์อมตะ ให้ราคา 2,800 เหรียญทอง”
“สมาคมพ่อค้าสีเงิน ให้ราคา 2,900 เหรียญทอง”
“ตระกูลนาคราช ให้ราคา 3,000 เหรียญทอง ดุเดือดขึ้น มาแล้วขอรับ มีใครจะให้ราคามากกว่านี้อีกไหมขอรับ ชุดเกราะชั้นเลิศสําหรับสตรีแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ อีกแล้วนะขอรับ”
เหนือภพหัวคิ้วขมวดเป็นปม รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มจางหาย เขากําหมัดแน่น ขณะลุกขึ้นอย่างเดือดดาล
‘ไอ้เจ้าพวกน่าตายพวกนี้คิดจะสู้กับข้าหรือไง’
เหนือภพโยนผ้าลงไปอีกครั้ง ขณะที่ภายในใจแสนเจ็บปวด แต่เขาไม่ยอมแพ้ เสื้อผ้าชุดนี้ต้องเป็นของน้องสาวเขาเท่านั้น
ท่าทางเอาจริงเอาจังของเหนือภพสร้างความตลกขบขันให้ กับพี่สะใภ้ทั้งสองและบุษบาบุษบาดูออกว่าเหนือภพน่าจะมีน้องสาว และคงรักน้องสาวมาก เธอได้รับการว่าจ้างมาจากตระกูลนาคราชแล้วเธอก็จะไม่ทําให้ผิดหวัง เธอจะทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
“ไอ้พวกบัดซบ ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะเสื้อผ้านั้นต้องเป็นของข้า”
เหนือภพเริ่มตัวสั่นเทา เมื่อราคาทะยานไปถึง 4,000 เหรียญทองแล้ว
ตระกูลสุบรรณเวนไตย ได้ยินเหนือภพฉุนขาดเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะ พวกเขาไม่ได้โผล่หน้าออกมาเพียงแค่ส่งเสียงดังกังวานตอบเหนือภพกลับมาอย่างสุภาพ
“วางมือเถิด พวกข้าเป็นห่วง ถ้ามีเงินไม่มากพอก็อย่าเอามาเล่นสู้ราคาให้เปลืองเวลาคนอื่นเลย”
พูดจบก็มีเสียงหัวเราะคิกคักตามมาเล็กน้อย
“หน็อยแน่”
เหนือภพมือสั่น เขาซ่อนตัวอยู่ในห้องรับรองทําให้ไม่มีใครเห็นสภาพน่าอนาถของเขาทันใดนั้นมือขาวนวลเนียนของบุษบาก็โยนผ้าออกไปท่ามกลางสีหน้าที่ตื่นตะลึงของเหนือภพ ไม่ทันที่เขาจะได้โวยวาย คําตอบที่หลุดออกจากปากของบุษบาก็ทําให้เหนือภพเบาใจและยิ้มกว้าง
“ให้ข้าจ่ายให้ท่านเถอะ”
“ตึกลําธารให้ราคา 4,100 เหรียญทอง มีใครจะสู้อีก ไหมขอรับ ข้าน้อยเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้วสิ และหากท่านใดยังมองไม่ออก ข้าน้อยก็คงต้องขอเฉลยว่าผู้ตัดเย็บมันขึ้นมาคือช่างเสื้อผ้าอันดับหนึ่ง ปรมาจารย์ไพลินหมู่บ้านไหมแดง และ เสื้อผ้าที่มีอาคมป้องกันแฝงนี้มีเพียงตัวเดียวในแคว้น ถ้าท่านใดได้ไปจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”
เมื่อชื่อของผู้ผลิตหลุดออกจากปากพิธีกร การประมูลก็ดุเดือดขึ้นอย่างมาก เหนือภพเริ่มมีเหงื่อซึมตามไรผม แม้บุษบาจะเอ่ยปากว่าจะจ่ายเงินให้ แต่ราคาของมันก็สูงขึ้นมากจนเหนือภพหวั่นใจว่าเธอจะกลับคําพูด
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงเจ้าจะจ่ายให้ข้าจริงหรือ ? เจ้าไม่ได้หลอกข้านะ”
บุษบายิ้มขณะโยนผ้าเพื่อสู้ราคากับตระกูลสุบรรณเวนไตย
“ตึกลําธารช่างมีใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ให้ราคา 8,100 เหรียญทอง มีใครจะสู้อีกไหมขอรับ”
บุษบารู้ว่าเหนือภพกังวลเรื่องอะไร เมื่อเธอหันกลับมามอง เหนือภพ เธอก็ยื่นป้ายแลกเงินที่ทําจากโลหะพิเศษ ป้ายนี้ เป็นป้ายที่สามารถนําไปแลกเงินที่ร้านรับแลกเงินหรือจ่ายค่า สินค้าทั่วทุกสารทิศทั่วแคว้นอมตะ ในวงเงินหนึ่งแสนเหรียญทอง ตราสัญลักษณ์บนป้ายนั้นมีรูปของพญานาค ทําให้เหนือรู้ทันทีว่าเป็นของตระกูลนาคราช
“ท่านไม่ต้องกังวลมีคนพร้อมจะจ่ายเงินให้ท่านอยู่ เชิญท่านประมูลได้อย่างสบายใจ
เหนือภพนิ่งไปครู่หนึ่ง เหรียญทุกบาทที่คนอื่นมอบให้เรา ย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยนแฝงมากับจุดประสงค์บางอย่าง เหนือภพไม่กล้าที่จะใช้เงินจํานวนนี้หากไม่รู้ที่มาที่ไป เขารีบถามบุษบาในทันที
“พวกเขาต้องการอะไรจากข้ากันแน่”
บุษบาส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม
“ขออภัยข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าทําหน้าที่เพียงแค่ทําให้ท่านพอใจ”
เหนือภพแหวกม่านออก มองไปทางตระกูลนาคราชที่คล้าย กับคาดเดาได้ว่าเหนือภพจะออกไปดูพวกเขา พวกเขาโบกมือทักทายเหนือภพอย่างเป็นมิตร ผิดกับเด็กหนุ่มเลือดร้อนสองคนจากตระกูลสุบรรณเวนไตยที่มีใบหน้าเคร่งขรึมดุดัน ปล่อยจิตสังหารออกมาทําให้ตระกูลอื่น ๆ ที่กําลังสู้ราคา ตอนนี้เริ่มถอนตัว
เหนือภพยิ้มกว้าง พลางมองไปทางตระกูลสบรรณเวนไตยที่ ยนผ้าลงมาพร้อมกับสายตาดูถูกเหนือภพรีบโยนผ้าเพื่อสู้ราคาต่อในทันที จากนั้นก็จงใจกล่าวเสียดสีเสียงดังว่า
“มีแค่นั้นหรอ ถ้ามีเงินไม่มากพอก็อย่าเอามาเล่นสู้ราคาให้เปลืองเวลาคนอื่นเลย”
ยิ่งคําพูดของเหนือภพยอกย้อนใส่พวกเขา ตระกูลสุบรรณเวนไตยก็เสียหน้าทําให้พวกเขาหน้าดําคร่ําเครียดมากกว่าเดิม พวกเขาตั้งใจจะสู้ราคาต่อ แต่เสียงกระแอม จากชายวัยกลางคนในห้องรับรองทําให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนทั้งสองได้แต่เก็บสีหน้าคับแค้นแล้วเดินกลับเข้าไปอย่างไม่เต็มใจนัก ได้แต่งมงํากับตัวเองอย่างจนใจ
“ข้าอยากจะรู้ว่ามันจะมีเงินอีกสักเท่าไหร่เชียว”
“ตึกลําธารช่างยิ่งใหญ่สมชื่อ พวกเขาให้ราคา 10,100 เหรียญทอง มีใครจะสู้อีกไหมขอรับ”
คํากล่าวของผู้ทําการประมูลทําให้ตระกูลสุบรรณเวนไตย แสดงท่าที่จํายอมจํานวนเงินมากขนาดนี้แม้จะมีคุณสมบัติดีเลิศ แต่มันก็เป็นเพียงชุดเด็กผู้หญิงราคาของมันจึงมากเกินไปสําหรับเสื้อคลุมเพียงชุดเดียว
ณ ห้องรับรองโรงเรียนเซนต์อมตะ
“อาจารย์คะ มันแพงเกินไปหนูไม่เอาแล้วค่ะ”
หญิงสาววัยแรกแย้มเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย เมื่อราคาของมันทะยานขึ้นไปถึงห้าหลัก แม้โรงเรียนเซนต์อมตะจะมีอํานาจ มีฐานะการเงินที่ไม่ธรรมดา แต่นี่มันมากเกินไปเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่ ราคาต้นทุน ไม่น่าจะเกิน 1,000 เหรียญทอง ถึงได้มาจะใส่มันได้สักกี่ปี
“เหนือฟ้า หนูเป็นเด็กดีมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก อาจารย์ไม่เคยให้ของขวัญดี ๆ กับหนูเลย ดังนั้นเงินแค่นี้จะนับเป็นอะไร
ได้”
คลิปหลุด
ฌายินเอ่ยอย่างอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ เธอผู้เป็นทั้งครูใหญ่และอาจารย์ของเหนือฟ้าสายตาเธอเต็ม ไปด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เธอเตรียมจะโยนผ้าสู้ราคา แต่ ว่าเหนือฟ้ารั้งไว้มือเอาไว้อีกครั้ง
“หนูไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะอาจารย์ ถ้าจะใช้เงินหมื่นเหรียญ ทองซื้อเสื้อผ้าแค่ตัวเดียว หนูว่ามันจะดูโง่เอามาก ๆ อาจารย์ ของหนูเป็นคนฉลาด มิสู้อาจารย์ใช้เงินหมื่นเหรียญทองซื้อเสื้อ ผ้าเนื้อดี ให้หนูหลาย ๆ ชุดดีกว่าค่ะ”
เมื่อฌายินเห็นดวงตากลมใสของศิษย์รัก เธอก็ลูบหัวเหนือฟ้าเบา ๆ
“เอาแบบนั้นก็ได้ อาจารย์ตามใจหนูทุกอย่าง”
“นับครั้งที่ 3 ก๊อก ก๊อก”
“ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าสู้ตึกลําธารแล้วจริง ๆ ชุดเกราะ เหมยสะคราญ ตึก ลําธารได้ไปในราคา 10,100 เหรียญทองขอรับ ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ”
“บอกแล้วไอ้พวกอ่อนหัดเอ๊ย คิดจะสู้กับใครไม่สู้มาสู้กับข้า”
เหนือภพร้องอย่างดีใจพร้อมกับโผล่ออกไปให้ทั่วทั้งอาคารประมูลได้เห็นเต็มตาโดยปกติผู้จัดการจะส่งสินค้าให้กับผู้ชนะการประมูลในทันที แต่ในครั้งนี้เหนือภพเลือกที่จะออกไปรับด้วยตัวเอง เขาต้องการอวดอ้างชัยชนะของเขา ทั้งที่ภาย ในใจรู้สึกเบาโหวงชอบกล เขาต้องอวดอ้างเช่นนี้เพื่อให้ตัวเอง รู้สึกว่าเขาทําถูกแล้ว เพื่อน้องสาวของเขาจะได้มีชุดเกราะชั้นเลิศคุ้มกาย
การกระทํานี้ทําให้เหนือฟ้าถึงกับเบิกตากว้าง เธอเคยเอ่ยปากว่า ใช้เงินหมื่นเหรียญทองซื้อเสื้อผ้าแค่ตัวเดียว มันจะดูโง่เอามาก ๆ ดูเหมือนว่านั่นจะเข้าตัวพี่ชายเธอเต็ม ๆ เธออยากจะเอากระโปรงที่เธอใส่คลุมหัวตัวเองจริง ๆ แม้ใจหนึ่งจะรู้สึกอับอาย แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกปลาบปลื้มใจมากจนเธอไม่อาจเก็บน้ําตาไว้ได้
พี่ชายคนเดียวที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ยังทําเพื่อเธอเสมอ ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยหรือเสียเงินมากเท่าไหร่ ยิ่งตอนสัตว์อาคมส่งพัสดุปรากฏขึ้นต่อหน้าพร้อมกับเกราะเหมยสะคราญที่เพิ่งถูกประมูลไปด้วยเงินนับหมื่นเหรียญทองนั้น ก็ทําให้เธอไม่สามารถกลั้นน้ําตาไว้ได้ จนต้องร้องไห้ออกมาพร้อมกับกอดเสื้อ ผ้าแนบอกอย่างหวงแหน
เมื่อฌายินเห็นศิษย์รักร้องไห้ก็ตกใจ แต่เมื่อเธอมองประเมินห่อผ้าราคาสูงนั้นเธอก็เข้าใจ
“อย่าบอกนะว่านั้นคือพี่ชายของหนู”
“ค่ะ พี่ภพ พี่ชายของหนูเอง”
ฌายินเข้าใจในทันที เจ้าเด็กหนุ่มบ้านนอกที่เริ่มป่วนไปทั่วตั้งแต่เริ่มเปิดงานที่แท้คือพี่ชายของเหนือฟ้า เขาช่างเป็นคนที่โดดเด่นไม่แพ้น้องสาวเลย แต่น่าเสียดายที่เขามีความสัมพันธ์กับกลุ่มภารดาและหอโลหิต มันไม่ใช่เรื่องดีเลย ถ้าคนภายนอกรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ มันจะเป็นผลร้ายต่อเหนือฟ้าอย่างมาก เธอผู้เป็นอาจารย์รับไม่ได้เด็ดขาด
“ฟ้าไปกันเถอะ อาจารย์จะพาไปซื้อเสื้อผ้าอีกหลาย ๆ ชุด”
“แต่ พี่หนู เขา…”
“ไม่เป็นไรหรอกนะ เวลายังมีอีกเยอะ ไว้เจอกันวันอื่นก็ไม่สาย ไปหาเสื้อผ้าสวย ๆ เพื่อใส่ไปเจอพี่ชายไม่ดีกว่าหรอจ๊ะ เชื่ออาจารย์สิ วันนี้อาจารย์จะพาหนูไปเสริมสวย หาเสื้อผ้าดี ๆ ไว้ใส่ไปเจอพี่ชายของหนูกัน”
“ค่ะ”
แม้เหนือฟ้าอยากเจอพี่ชายมาก แต่เธอก็รู้สึกว่าอาจารย์พูดถูก เธอจึงเดินลับกายหายไปพร้อมกับอาจารย์
Favorite ตอนที่ 53 สาวดาวเด่น
ณ เรือนประทานพร
เรือนประทานพรเป็นเรือนขนาดใหญ่ที่ถูกจัดเตรียมไว้รับรองผู้มีอํานาจ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอาคารประมูล ด้านหลังเรือนอยู่ใกล้กับอาคารอาบน้ำสาธารณะ จึงสะดวกสําหรับ คณะผู้มีอํานาจที่มีผู้ติดตามมากมาย
เมื่อชายตาเหยี่ยวปรากฏกาย เหล่ายามขมังเวทย์ที่เฝ้าตรวจตราอยู่หน้าเรือนก็รีบออกมาต้อนรับเชิญชายคนดังกล่าวในทันที คล้ายกับว่าพวกเขาได้นัดหมายกับเจ้าของเรือนแห่งนี้มาก่อนแล้ว
ชายตาเหยี่ยวขึ้นไปยังชั้นสามห้องในสุด จากนั้นก็ตรงดิ่งไปนั่งลงหน้าแท่นวาดรูปที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าราวกับรู้ใจเขา เขาค่อย ๆ บรรจงวาดภาพในความทรงจํา แล้ว ภาพของพราวจันทร์กลางสระน้ำร้อนก็ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างประณีต แล้วเขาก็พูดออกมาลอย ๆ ขณะที่ชายแก่ผมสีขาวเดินเข้ามาในห้อง
“ดูเหมือนฉายากุนซือไร้พ่ายของท่าน คงสิ้นชื่อในวันนี้แล้ว”
ชายสูงวัยได้ยินเช่นนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างคาดไม่ถึง แผนการทั้งหมดถูกวางเอาไว้อย่างดีและรัดกุม เริ่มจากชักนําให้หัวหน้ามือปราบเมืองหลวงที่รักในคุณธรรมอย่างขุนเจษออกโรงบีบให้เหนือภพหลบหนี จนถูกชายตาเหยี่ยวไล่ต้อนไปยังที่พักของสาว ๆ หอหมื่นบุปผา ที่นั่นมีกฎที่แม้แต่องค์ชายยังไม่อยากยุ่ง ผู้รุกล้ำจะถูกตัดสินด้วยความตาย กฏนี้ทุกคนรู้ทั่วกัน ทําให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนสาว ๆ คนทั่วหล้าพร้อมใจกันกําหนดกฏนี้ขึ้นมาดังนั้นผู้ลงทัณฑ์ไม่ใช่คนหอหมื่นบุปผาแต่จะเป็นคนทั่วหล้า แน่นอนว่าพวกเขาคิดจะใช้ข่าวลือนี้เป็นการฆ่าเหนือภพทางอ้อม แต่ว่าทุกอย่างผิดถนัด
เหนือภพรอดออกมาจากเรือนรับรองหอหมื่นบุปผา อย่างไร้รอยขีดข่วน ทั้งยังไม่มีข่าวคราวเรื่องคนบุกรุก นั่นทําให้เขาคาดเดาได้ว่าบางที่ผู้หนุนหลังเหนือภพอาจจะไม่ได้มีแค่กลุ่มภารดา หรือหอโลหิต ดังนั้นต่อให้ปล่อยข่าวลือออกไปแต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดคนที่ซวยกับการกระทํานี้จะเป็นพวกเขาเอง
“มันก็แค่ความผิดพลาด”
ที่ปรึกษาชราของชายตาเหยี่ยวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่กังวลใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยแววตาลึกล้ำมากแผนการ
“องค์ชายโปรดวางใจ ข้าจะไม่ทําให้ท่านผิดหวัง”
ชายตาเหยี่ยวยิ้ม ไม่รู้ว่าเขายิ้มให้กับภาพที่เขาวาดจนเสร็จหรือว่ายิ้มให้กับความสําเร็จของเขาในอนาคตกันแน่
ณ เรือนธารใส
หลังจากที่เหนือภพหลบหนีออกมาได้สําเร็จเขาก็กลับมาที่เรือนธารใส เรือนรับรองของคนตีกลําธาร เมื่อถึงที่นี่แล้วก็ไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัวอีกต่อไป
เวลานี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่เขาไม่จําเป็นต้องหลับนอน เหนือภพจึงมานอนไขว้ขาเล่นในห้องโถงกลางที่จัดเตรียมเอาไว้ให้กับกลุ่มภารดา กลางโต๊ะรับรองมี รายการรายละเอียดของสิ่งที่จะประมูลกันในวันนี้
—————————————————————————–
งานเทศกาลประมูลระดับแคว้น ครั้งที่ 60
วันที่ 2 สินค้าประเภทเครื่องแต่งกาย
– ชุดสวยงาม
– ชุดกันสภาพอากาศ
– เครื่องประดับ
– อัญมณี
– สินค้าปริศนาชั้นเลิศ
—————————————————————————–
“น่าเบื่อ”
พูดจบเหนือภพก็โยนกระดาษทิ้งอย่างไม่ไยดี ประจวบเหมาะกับอังกาบเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วกระดาษใบนั้นก็แปะเข้าที่หน้าผากของเธอทันที เมื่ออังกาบเอามาอ่านดู ตาเธอก็เปล่งประกาย เธอมัวแต่สนใจงานอย่างอื่นจนไม่ได้สนใจตารางการประมูล ในเมื่อวันนี้มีการประมูลเสื้อผ้าและเครื่องประดับ มีหรือที่ผู้หญิงอย่างเธอจะพลาด
อังกาบจ้องหน้าเหนือภพนิ่ง
“นี่น้องเขย”
“หืม ?”
“ไปงานประมูลกับพี่เถอะ”
“ไม่เอา น่าเบื่อ มีแต่ของไร้ประโยชน์ ทําไมพี่ไม่ไปชวนศิษย์พี่ใหญ่ล่ะ”
“อย่าพูดถึงตาบ้านั่นเลย ไม่รู้ป่านนี้ไปเมาหัวราน้ำที่ไหน ตั้งแต่จบพิธีเปิดงานก็ไม่เห็นหัวอีกเลย ตายไปได้ก็ดี”
เหนือภพแทบสําลัก พี่สะใภ้ช่างเป็นคนอารมณ์แปรปรวนนัก ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปฏิเสธอีกครั้ง เธอก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“พี่ให้เจ้า 100 เหรียญทอง”
อังกาบชูถุงเงินขึ้น แล้วแกว่งต่อหน้าเหนือภพ เสียงเหรียญทองกระทบกันมันช่างทําให้คนตื่นตัวดีนัก เหนือภพทะลึงตัวขึ้น พร้อมฉกถุงเงินมาอยู่ในมือตัวเอง เขานับมันขณะเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ไปสิ เจ้านาย”
“หึหึ”
อังกาบไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก แต่ก่อนพวกเธอจะออกจากห้อง อยู่ ๆ ราตรีก็มาปรากฏตัวขึ้นในห้องเช่นกัน และจุดหมายของเธอก็ไม่ได้ต่างไปจากอังกาบนัก เธอยื่นตัวเงินให้ กับเหนือภพโดยไม่พูดอะไร
เหนือภพมองกระดาษใบน้อยที่มีมูลค่า 1,000 เหรียญทองด้วยรอยยิ้มกว้าง
“พี่สาวช่างมือเติบนัก”
สําหรับเหนือภพนั้นเงินแค่ไหนมีค่า ดังนั้นเขาไม่คิดเอาเงินของทั้งสองคนมาเปรียบเทียบ เขาเก็บเงินเข้าอกเสื้อก่อนจะชวนเจ้านายทั้งสองคุย
“พี่สาวแม้ข้าจะไม่ฉลาดนัก แต่ข้าก็รู้ว่าพวกพี่ต้องการจะทําอะไร อยากให้ศิษย์พี่ของข้าชมพวกท่านเวลาใส่เสื้อผ้า ใส่เครื่องประดับสวย ๆ ใช่ไหมล่ะ”
เหนือภพกล่าวอย่างรู้ทัน เขาเข้าใจก็เพราะตอนเด็ก แม่เขาก็เป็นเช่นนี้ เธอมักแต่งตัวสวย ๆ เพื่อให้พ่อของเขาชื่นชมเสมอ ดังนั้นเขาจึงพอคาดเดาความคิดของพี่สะใภ้ทั้งสองได้ แม้พวกเธอจะปฏิเสธ แต่ใบหน้าเขินอายแดงปลั่งนั้นทําให้เหนือภพมั่นใจว่าเขาเข้าใจไม่ผิด
เหนือภพถือคติที่ว่า รับเงินมาแล้วเขาย่อมไม่ทําให้ผู้ว่าจ้างผิดหวัง หากผู้ว่าจ้างไม่พอใจแล้วยึดเงินคืนเขาก็คงเสียดายแย่เลย ดังนั้นเหนือภพจึงให้สองสาวไปรอที่ลานประมูลก่อนส่วนเขาขอเวลาไปเตรียมอะไรบางอย่างโดยที่ไม่ได้บอกรายละเอียด
เหนือภพส่งข้อความไปหาพี่ทานธรรมและพี่วัฏจักร เพื่อตะล่อมถามความชอบของศิษย์พี่ทั้งสอง เมื่อได้ความแล้วจึงไปที่ลานประมูล
ณ ห้องรับรองตึกลําธาร
เหนือภพนั่งรอให้การประมูลสินค้าประเภทหมวกจบลง ขณะที่พี่สะใภ้ทั้งสองนั่งขนาบข้างคอยบอกเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง พวกเธอทั้งสองดูจริงจังมาก เพราะการประมูลใน วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หญิงสาวที่เป็นคู่แข่งของพวกเธอเพียงอย่างเดียว ยังมีคุณชายตระกูลชั้นสูงอีกจํานวนมากที่ใช้โอกาสนี้มา สังเกตความชอบหญิงสาวที่ตนหมายปอง ทั้งยังถือโอกาสซื้อใจพวกเธอด้วยการจ่ายเงินแย่งประมูลของที่พวกเธอชอบ
ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าคุณชายยังถือโอกาสนี้ใช้ทรัพย์สินของตัวเองอวดอ้างบารมีเพื่อแสดงให้คนอื่น ๆ รู้ว่าตนเองร่ํารวยเพียงใด มันเป็นสงครามขนาดย่อมของเหล่าตระกูลชั้นนําที่เดิมพันกันด้วยศักดิ์ศรีของตระกูล
เหนือภพยิ้มแห้ง ๆ คนพวกนี้ช่างประหลาดดีนัก
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะหน้าห้องรับรองตึกลําธารดังขึ้นพร้อมกับเสียงฮันเตอร์คุ้มกันที่กล่าวขึ้นอย่างมีมารยาท
“ท่านเหนือภพขอรับ ท่านกมลนาคแห่งตระกูลนาคราชส่งของขวัญมาให้ท่าน”
เหนือภพหันมองม่านหนาหนักที่ค่อย ๆ เปิดออก สิ่งที่เขาเห็นคือสตรีงามพิลาสนางหนึ่ง เขาเคยเห็นเธอในวันพิธีเปิดงาน ถ้าจําไม่ผิดศิษย์พี่ใหญ่เรียกเธอว่า “บุษบา” หนึ่งในดาวเด่นของหอคณิกาอันดับหนึ่งของแคว้น
เมื่อบุษบาย่างกรายเข้ามาใกล้ เหนือภพก็ต้องตะลึงไปกับความงามละมุนตา และท่วงท่านุ่มนวลชวนฝันของเธอ หากมีคนบอกว่าเธอคือองค์หญิง เขาก็คงเชื่ออย่างไม่แคลงใจ เธอดูเหมาะสมกับคําว่าองค์หญิงยิ่งกว่ายัยบุษย์น้ําทองเสียอีก
อังกาบและราตรีเห็นเช่นนั้นก็รู้หน้าที่ พวกเธอยกเก้าอี้ของตนให้บุษบา แล้วก็เขยิบไปนั่งริมห้องกันสองคน ปล่อยให้เหนือภพและสาวงามนั่งเคียงคู่กันอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง
“ขอไหว้เจ้าค่ะ ท่านเหนือภพ”
แม้จะรู้สึกเสียดายที่ของขวัญนั้นไม่ใช่เงินหรือสมบัติล้ำค่า แต่ถ้าเป็นผู้หญิงสวย ๆ เหนือภพก็ไม่ขัดอยู่แล้ว เขายิ้มโบกมืออย่างใจกว้าง
“ไม่ต้องมากพิธีขนาดนั้น เรียกข้าว่าภพก็พอ”
“เจ้าค่ะ”
บุษบานั่งลงเหนือภพด้วยท่าที่เรียบร้อย เธอแต่งกายมิดชิด ไม่แสดงท่าที่เย้ายวนเช่นพราวจันทร์ หากเทียบพราวจันทร์เป็นดอกไม้กลิ่นหอมที่ชวนให้คนรู้สึกอยากเด็ดดม บุษบาก็เปรียบเสมือนดอกไม้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นความรู้สึกที่คนอยากเทิดทูน ทะนุถนอม และเอาใจใส่ ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่อยากปกป้องอยากดูแลบุษบามากกว่าจะคิดเรื่องความใคร่
“ท่านกมลนาคส่งเจ้ามาทําไม ข้าไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับเขาเสียหน่อย”
เหนือภพถามด้วยน้ําเสียงผ่อนคลาย ขณะที่บุษบาปรนนิบัติเขาด้วยการจัดเรียงสํารับอาหารเครื่องดื่มบนโต๊ะ
“ข้ามีหน้าที่ปรนนิบัติให้ท่านพอใจ ขอแค่ท่านพอใจ ท่านกมลนาคก็ไม่ต้องการสิ่งใดอื่นเจ้าค่ะ”
บุษบาตอบอย่างนุ่มนวล เธออยู่ท่ามกลางผู้มีอํานาจมามากมาย เรื่องการจ้างวานให้สาวสวยมาเชื่อมความสัมพันธ์เช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติ
“อ้อ”
เหนือภพไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่แล้วเขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“ระดับดาวเด่นนี่ค่าตัวคงไม่น้อยสินะ หากข้าอยากจ้างดาวเด่นสักคนต้องใช้เงินเท่าไหร่”
บุษบาเอียงใบหน้ามองเหนือภพ เธออมยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็ค่อย ๆ ในชาร้อนให้เขาอย่างเบามือ
“เรื่องแบบนี้ข้าคงพูดตรง ๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องไม่ต่ำกว่า 50,000 เหรียญทองต่อการร่วมโต๊ะอาหารหนึ่งมื้อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่ว่าดาวเด่นคนนั้นอีกที เธอจะยินยอมร่วมโต๊ะกับคนที่เธอพอใจเท่านั้น”
เหนือภพตกใจจนชาร้อนแทบจะหลุดจากมือ
“แพงขนาดนั้นเชียว ถ้าเช่นนั้นทําไมท่านกมลนาคถึงทุ่มเทขนาดนั้นล่ะ”
“เกรงว่าเรื่องนี้ ท่านคงต้องไปถามท่านกมลนาคเอง
“เจ้าค่ะ”
เมื่อเสียงใสของบุษบาจบลง เธอก็หยิบพัดขนนกมาพัดให้เหนือภพขณะที่เขากําลังชิมของว่างเลิศรส
ณ ห้องรับรองเยื้องกับตึกลําธาร
ตระกูลนาคราชกําลังพูดคุยกับเกี่ยวกับเหนือภพ พวกอยากรู้ว่าเหตุใดเหนือภพที่ไม่ใช่คนของตระกูลนาคราชถึงมีพญานาคห้าเศียรได้ แตกต่างจากตระกูลสุบรรณเวน ไตยที่คิดว่าเหนือภพเป็นสายเลือดนอกสมรสของตระกูลนาคราช พวกเขาจึงพยายามทําทุกอย่างเพื่อกําจัดไม่ให้เหนือภพ มีโอกาสเข้าไปรวมตัวกับตระกูลนาคราช
“แก้วจันทรกาล ข้าไม่ได้ยินชื่อนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ”
ทวินาคเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย เขาเป็นหนึ่งในทายาทผู้นําตระกูลนาคราชสามเศียรที่แข็งแกร่ง แต่พอได้ยินชื่อแก้วจันทรกาลก็ทําให้เขารู้สึกยําเกรงและก็เคารพอย่างมาก
คนภายนอกอาจคิดว่ามันเป็นเพียงวัตถุอาคมทางธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงมันคือจิตพญานาคที่ฝึกฝนจนถึงขั้นละสิ้นสังขาร โดยการถอดจิตใส่ไว้ในหินแล้วซ่อนมันไว้ พญานาคที่ฝึกถึงขั้นนี้จะไม่แก่ไม่ตายไม่เจ็บ แต่เมื่อใดที่แก้วจันทรกาลถูกทําลายพญานาคก็จะตายเช่นกัน นี้ถือว่าเป็นความลับของตระกูลนาคราช
แม้พวกเขาอยากได้แก้วจันทรกาลของเหนือภพ แต่พวกเขารู้ดีว่าเมื่อแก้วจันทรกาลเลือกนายแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นการแย่งชิงถือเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า สิ่งที่พวกเขาทําได้คือเอาเหนือภพเข้ามาอยู่ในตระกูลตน นี่เป็นวิธีที่ที่สุด
ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีสามัญที่สุด เด็กหนุ่มทุกคนมักพ่ายแพ้ต่อสาวงาม และยิ่งเป็นสาวงามที่ยากจะครอบครองด้วยแล้วพวกเขาไม่เชื่อว่าเหนือภพจะปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้ กมลนาคจ้องมองผลลัพธ์ของตัวเองด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่เกษมนาคผู้เป็นอา กล่าวขึ้นอย่างภาคพูดใจว่า
“เป็นไงล่ะหลานอา ข้าบอกแล้วว่า บุษบาย่อมไม่ทําให้เจ้าผิดหวัง”
“ความคิดของอาสุดยอดไปเลย ดีแล้วที่ไม่ทําตามน้องเก้า ที่บอกให้ส่งเนตรกัญญาไป ไม่งั้นข้าไม่รู้ว่า จะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีหรือก่อสงคราม”
ทวีนาคพูดยังไม่ทันขาดคํา พวกเขาก็ได้ยินเสียงสูงปรื้ดดังมาจากห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นห้องรับรองของแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง
“เจ้าพวกอ่อนหัด แค่นี้ก็แพ้ข้า แล้วจะไปทําอะไรกินกันห้ะ”
เสียงนั้นดังมากพอจะทําให้เหล่าลูกหลานตระกูลนาคที่รวมตัวอยู่ในที่นี้นับสิบคนเสียวสันหลังวาบเลยทีเดียว
หากพูดถึงนางคณิกาดาวเด่นทั้งสาม พวกเธอล้วนเป็นสตรีที่มีความสามารถหลากหลายครบถ้วน แต่นิสัยนั้นช่างแตกต่างกันสุดขั้ว
พราวจันทร์ เธอช่างลี้ลับเย็นชาคาดเดาได้ยาก เป็นนางงูพิษที่ชอบปั่นหัวผู้ชาย เสน่ห์แสนเย้ายวนทําให้ผู้ชายมาก ราคะจํานวนมากให้รู้สึกหลงใหลจนอยากร่วมอภิรมย์
บุษบา เธอเป็นคนใจดีเรียบร้อยอ่อนหวาน เป็นสตรีที่ใครเห็นก็รู้สึกอยากปกป้อง ผู้ชายส่วนใหญ่มักคาดหวังอยากได้เธอมาเป็นแม่ของลูกมากกว่าจะเชยชมเพื่อระบายความใคร่
เนตรกัญญา เธอเป็นสาวห้าวดุดัน แม้จะมีรูปร่างอ้อนแอ้นงามหยาดเยิ้มจนผู้ชายตกตะลึง แต่เธอกลับมีบุคลิกดังชายชาตินักรบ ทั้งห้าวหาญและก็แกร่งกร้าวราวม้าดีดกะโหลก ผู้ชายส่วนใหญ่ที่สนใจเธอมักเป็นเหล่าแม่ทัพ คุณชายที่คาดหวังอยากปราบพยศ แต่ยังไม่มีใครทําได้สําเร็จ
ดังนั้นตระกูลนาคราชจึงจําเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เชิญบุษบา สาวงามที่เป็นมิตรที่สุดเพื่อไปเอาใจเหนือภพ เธอเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“เจ้ารู้จักกับนางด้วยหรอ”
เหนือภพถาม เมื่อบุษบาเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับสามสาวดาวเด่นของหอหมื่นบุปผาที่ผู้คนกล่าวขานถึงเหนือภพ สนใจมากโดยเฉพาะพราวจันทร์ หญิงสาวที่ทําให้เขารู้สึกใจเต้นรัวอย่างประหลาด อย่างน้อยในตอนนี้ก็ถือว่าเขาได้รู้อะไรมากขึ้นแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่บุษบาจะได้ตอบอะไรอีก เหนือภพก็ถูกดึงความสนใจไปที่การประมูลข้างล่างเสียก่อน
Favorite “อะไรเนี่ย ถ้างั้นต้องจัดชุดสอง”
เหนือภพปล่อยตัวให้ตกลงมา โดยกะระยะให้ตกลงบนหลังอสูรกริมตัวหนึ่ง แค่ด้วยน้ำหนักตัวของเขาก็ทำให้ปลายักษ์แทบหลังแอ่นแล้ว แต่นี่เหนือภพกลับเรียกใช้ร่างอาคมของยักษ์สหัสเดชะ ยักษ์อาคมที่อาจารย์ของเขาเพิ่งสักให้ไม่นานนี้ ทำให้ร่างกายสีขาวของเหนือภพพุ่งตกลงบนหลังปลายักษ์ราวกับดาวตก พื้นน้ำยุบฮวบ
กระดูกสันหลังกลางลำตัวของอสูรกริมตัวนั้นเคลื่อนในทันที ส่งผลให้มันไม่สามารถขยับตัวได้ชั่วขณะ มันจึงค่อย ๆ จมลงในน้ำ เหนือภพก็จมลงไปด้วย เนื่องจากเขายังคงเกาะติดอสูรกริมตัวนี้แน่น
ด้วยอานุภาพแห่งอาคมยักษ์สหัสเดชะรวมกับอาคมเหล็กไหลภายในกาย ทำให้ร่างกายของเหนือภพเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้าอยู่ใต้น้ำ เบื้องหลังของเขาปรากฏยักษ์อาคมสีขาวโปร่งแสงขนาดใหญ่ที่คอยค้ำตัวเหนือภพเอาไว้
เหนือภพประหลาดใจมาก เขาก็เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองใกล้เคียงกับผู้มีพรสวรรค์ก็คราวนี้ ตอนนี้ผิวหนังของเขากลายเป็นสีขาวทั้งหมด ผมสีม่วงเข้มที่เคยสั้นเกรียนก็งอกยาวสยายเป็นสีขาว และใบหน้าของเขาก็ปรากฏภาพความดุร้ายของยักษ์นัยน์ตาแดงก่ำ ปากแสยะกว้าง
ภายในสภาวะที่รอยสักอาคมยักษ์สหัสเดชะสำแดงฤทธิ์ เหนือภพก็เห็นภาพนิมิตในหัวเป็นรูปแบบพลังของสหัสเดชะ เขารู้สึกได้ว่ามันเป็นเพียงแค่พลังระดับแรก มีเพียงหนึ่งหน้าสองแขน แต่เมื่อไหร่ที่เขาชำนาญและเข้าถึงยักษ์อาคมตนนี้ได้มากเท่าไหร่ ระดับพละกำลังที่เขาใช้ได้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนหน้าและแขนของยักษ์สหัสเดชะที่เพิ่มขึ้นมา โดยพละกำลังจะเพิ่มขึ้น 10 เท่าจากของเดิมแล้วทวีคูณขึ้นไปเรื่อย ๆ
แต่ว่าการปลุกยันต์ยักษ์สหัสเดชะในขั้นแรก อาคมจะคงอยู่ได้แค่ 3 นาทีต่อวันเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยันต์ยักษ์อาคมอีกสองตน ความสามารถในปัจจุบันเขายังไม่สามารถเรียกพลังนั้นออกมาได้
เหนือภพใช้มือเปล่าทั้งสองจับเกล็ดสีรุ้งขนาดใหญ่ของมันเอาไว้แน่น แม้ว่ามันจะดิ้นรนแค่ไหนก็สลัดหนุ่มตัวขาวไม่หลุด
ระหว่างที่เหนือภพกำลังตื่นเต้นกับพลังยักษ์สหัสเดชะของเขา จู่ ๆ ก็มีอสูรกริมสี่ตัวว่ายน้ำมาปรากฏล้อมรอบตัวเขา ซ้าย ขวา หน้า หลัง พวกมันจ้องมองเหนือภพด้วยสายตามุ่งร้าย เหยื่อตัวน้อยนี้บังอาจรังแกพวกพ้องของมัน
ช่างน่าแปลกเหนือภพไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกได้ถึงพลังอัดแน่นที่กำลังไหลเวียนอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ ราวกับว่าเขาสามารถจัดการพวกนี้ทั้งหมดได้
เหนือภพที่มือยังคงจับเกล็ดขนาดเท่ากระทะใบบัวแน่น เขาฉีกกระชากมันออกทั้งสองมือพร้อมกับการระเบิดพลังใต้น้ำ
ไม่เพียงเท่านั้นเหนือภพยังยกตัวสูงสองขาชี้ฟ้า สองมือยังคงจับหลังปลาไว้แน่น สองเท้ากวัดแกว่งหมุนควงเตะไปรอบทิศ
ฟองคลื่นขาวโพลนเต็มท้องน้ำ คลื่นน้ำปั่นป่วนเป็นวงกว้าง อสูรกริมที่เคยห้อมล้อมเหนือภพไว้ตอนนี้แตกฮือเพราะคลื่นน้ำซัดหรือถูกฝ่าเท้าของเหนือภพเตะก็ไม่ทราบได้
พวกมันเริ่มถูกคลื่นน้ำมหาศาลที่หมุนเวียนดุจน้ำวนดูดเข้ามาก่อนจะถูกกระแทกออกไปด้วยฝ่าเท้าของเหนือภพ
ต่อให้พวกมันแข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญกับยักษ์สหัสเดชะที่มีพละกำลังเกรี้ยวกราด พวกมันก็ตื่นกลัวรับรู้ได้ถึงความอันตรายและความตายกระจายออกมาจากภาพจำแลงของยักษ์กายขาว ตาแดง ปากแสยะ จากนั้นพวกมันต่างก็หลบหนีพวกเอาตัวรอด
ทว่ากลับมีปลาที่โชคร้ายอยู่ตัวหนึ่ง มันคือตัวที่ถูกเหนือภพกดจับเอาไว้ใต้น้ำ
เหนือภพรีบคว้าเชือกเถาวัลย์ที่เขาแอบเอามาซ่อนไว้ใต้น้ำหลายวันก่อน แล้วใช้มันพันรอบตัวอสูรกริมผู้โชคร้ายตัวนั้นอย่างว่องไว เขามีเวลาเหลืออีก 2 นาทีเท่านั้น
เหนือภพใช้พละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นเหวี่ยงปลายักษ์ที่ถูกพันไว้อย่างแน่นหนาจากใต้น้ำขึ้นไปบนบกไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะใช้แรงขาดีดตัวขึ้นจากใต้น้ำ จนทำให้พื้นน้ำสั่นสะเทือน บังเกิดคลื่นใต้น้ำรุนแรงพร้อมกับร่างกายของเขาที่พุ่งขึ้นไปดุจกระสุนปืนใหญ่
พื้นดินริมฝั่งถึงกับสะเทือน ปลาผู้โชคร้ายดิ้นสะบัดอย่างแรง พวงหางอันใหญ่โตของมันกวาดต้นไม้ใหญ่ในละแวกนั้นล้มหักโค่นระเนระนาด หินใหญ่แตกกระจาย แม้มันจะอยู่บนบก แต่ท่าทางพยศดุร้ายก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย มันฟาดหางไปมา ทั้งยังใช้ปากที่กว้างกว่าสามสิบเมตรจะงับตัวของเขาเสียให้ได้
เหนือภพไม่รอช้าพุ่งเข้าไปหมายใช้ท่าเด็ดของเขาที่คิดค้นขึ้นเอง ท่าที่มีไว้สำหรับปราบสัตว์อสูรที่พยศโดยเฉพาะ
‘โยนเหรียญอวดฟ้า’
เหนือภพคว้าหางของอสูรกริม โยกตัวไปมาเพื่อสร้างแรงเหวี่ยง จนกระทั่งมันหมุนไปรอบ ๆ จากนั้นก็โยนมันขึ้นไปบนฟ้าสุดแรง
เหนือภพยิ้มกว้างขณะมองร่างอสูรกริมที่ชักดิ้นชักงออยู่บนอากาศ เขาย่อกายลงจนพื้นศิลาริมบึงทะเลสาบ แตกร้าวดังเปรี๊ยะ เขาดีดตัวขึ้นฟ้าดุจลูกธนูหลุดจากคันศร แล้วใช้ท่วงท่าประยุกต์ที่เขาเรียกมันว่า
‘เอาเหรียญข้าคืนมา’
มันคือการกระโดดขึ้นไปหาศัตรูที่ลอยอยู่กลางอากาศแล้วฟาดเตะลงมาเบื้องล่างอย่างรุนแรง ให้เป้าหมายพุ่งลงมาชนพื้นโลกอย่างไร้ความเมตตา เป็นการสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเนื่องสองครั้ง
ขณะที่เขาอยู่บนน่านฟ้าช่วงเวลาที่ดิ่งตกลงมา เขาก็มีท่าที่เขามักใช้เป็นประจำ เมื่อก่อนเขาอาจเรียกว่า
‘ดับเครื่องชน’
แต่ในตอนนี้เขาเรียกมันว่า ‘ถุงเงินร่วงหล่น’
‘โทษทีนะถุงเงินมันหนักไปสักหน่อย’
เหนือภพยิ้มกรุ้มกริ่ม เขาชอบความรู้สึกที่ได้พุ่งลงมาจากฟ้า มันทั้งหวาดเสียวและก็มันส์
เหนือภพพุ่งลงมาดุจดาวตก เมื่อตกลงมาถึงเป้าหมายแล้วเขาก็ทุ่มน้ำหนักทั้งหมด พลางยกเท้าเตะถีบไปที่ปลาผู้โชคร้ายอย่างแรง จนร่างของมันจมลึกลงไปยังพื้นหินแตกร้าวขยายวงกว้างไปรอบ ๆ ต้นไม้ที่อยู่ภายในรัศมีเอนเอียง บ้างก็หักโค่น เนินดินถล่มกินรัศมีกว้างกว่าสามร้อยเมตร ผิวน้ำในทะเลสาบสะเทือนจากริมฝั่งจนเป็นระลอกคลื่นซัดออกไปด้านนอก ทำเอาฝูงอสูรกริมที่อยู่ในทะเลสาบที่เริ่มรวมกลุ่มกัน แตกกระเจิงกันออกไปอีกครั้ง
“ยัง ยังดิ้นอยู่อีก เอาไปอีกสักป๊าบดีไหม”
แล้วเหนือภพก็ประเคนทั้งหมัด เข่า ศอก ฝ่าเท้าไปให้แบบรัว ๆ จนร่างของอสูรกริมพุ่งไปชนผนังผาน้ำตก เศษดินหินร่วงกราว
แต่ต่อให้เขาใช้แรงทั้งหมดก็เป็นเรื่องสูญเปล่า ถ้าหากไม่ใช้อาคมเต็มกำลัง แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ขืนมันตายขึ้นมาได้ซวยกันพอดี อาจารย์ยิ่งเป็นพวกเมตตาต่อสัตว์โลก ยกเว้นศิษย์ตัวเองอยู่ด้วย
เหนือภพหอบหายใจ ทั้งเหนื่อยกายและก็เหนื่อยใจ มองเทียบดูขนาดของเขากับตัวมัน ที่ตัวเขาเล็กกว่ารูขุมขนของมันเสียอีก อะไรมันจะใหญ่โตได้ขนาดนั้น ใหญ่กว่าตัวที่เขาเจอที่เรือล่มเสียอีก อาจารย์บอกว่าเลี้ยงไว้ แล้วอาจารย์เอาอะไรให้พวกมันกินนี่
“นี่ หยุดสักที ข้าจะขอเกล็ดแค่ไม่กี่อันเอง ทำโวยวายไปได้”
Favorite วันเวลาผ่านไปอีกนับเดือน เหนือภพก็ได้รับบททดสอบจากพระอาจารย์
“ด้านล่างน้ำตกมีปลาอยู่ฝูงหนึ่งที่อาจารย์เลี้ยงไว้ ลงไปเอาเกล็ดของมันขึ้นมาหนึ่งชิ้น จะถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ นี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายของเจ้า”
เหนือภพดีใจเป็นอย่างมาก ในที่สุดการทดสอบมหาโหดของอาจารย์ก็ใกล้จะหมดเสียที แทบจะในทันทีที่สิ้นเสียงคำสั่ง เขาก็กระโดดลงไปที่น้ำตก ทิ้งตัวลงจากชั้นบนสุดของน้ำตก ร่างกายของเขาตกลงมาอย่างรวดเร็วเพราะแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความสูงของน้ำตกก็ยังใช้เวลานานนับชั่วโมง กว่าที่เหนือภพจะตกลงไปถึงท้องน้ำทะเลสาบกว้างใหญ่เบื้องล่าง
มวลน้ำแตกระเบิดขยายออกเป็นระลอกคลื่น ขณะที่ตัวเหนือภพถูกแรงโน้มถ่วงที่มากขึ้นเฉียบพลันดึงร่างลงไปที่ใต้ทะเลสาบ ลึกลงไปเรื่อย ๆ อย่างไม่อาจต่อต้านได้
เหนือภพหน้าซีดรู้สึกจุกเป็นทุนเดิมจากการตกจากที่สูง แม้แรงกระแทกจะไม่สามารถสร้างบาดแผลอะไรให้เขาได้ แต่มันก็ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาหยุดชะงัก ร่างกายชาดิกไปชั่วขณะ
เหนือภพกัดฟันแหวกว่ายอย่างยากลำบาก ค่อย ๆ โผล่หัวพ้นน้ำและเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ เพื่อเข้าหาชายฝั่งที่อยู่ห่างออกไป 100 เมตร
ยังไม่ทันที่เขาจะถึงฝั่ง น้ำก็เกิดการสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง เหนือภพหันมองไปรอบ ๆ ถึงขนาดดำลงไปสำรวจใต้น้ำจนสามารถเห็นปลายภูเขาหินที่อยู่ด้านล่าง
และสิ่งที่เขาเห็นต่อมาคือปลาขนาดใหญ่มาก มีเกล็ดสีรุ้งแวววาว หางที่แผ่กระจายเป็นสีรุ้งดูสวยงาม
‘อสูรกริม ? อย่าบอกนะว่าอาจารย์ให้มาเอาเกล็ดของอสูรกริม ไม่ง่ายแล้วสิเรา’
มันคืออสูรกริมที่เหนือภพเคยเจอจริง ๆ แต่ตอนนี้เท่าที่เขาเห็นจำนวนของพวกมันกลับมีนับร้อย แถมพวกมันยังมีขนาดใหญ่กว่าอสูรกริมที่เขาพบเจอตอนเรือล่มเสียอีก
เหนือภพหน้าตาตื่น รีบตีแขนตีขาเพื่อเร่งความเร็วเข้าฝั่ง ขณะที่อสูรปลายักษ์ฝูงใหญ่พุ่งตัวเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
‘นี่มันสถานที่แบบไหนกันเนี่ย โอย’
โชคดีที่ใต้น้ำตกยักษ์นี้ยังมีแผ่นดินผืนน้อยอยู่ เขาจึงสามารถหนีอสูรร้ายขึ้นมาบนบกได้ทันท่วงที
“แล้วข้าจะเอาเกล็ดมันมาได้ยังไงล่ะเนี่ย เกราะเกล็ดอสูรกริมของข้าก็ถูกอาจารย์ยึดไปตั้งนานแล้ว จะเอามาสวมรอยก็ไม่ได้ซะด้วยสิ”
เหนือภพทำได้เพียงนั่งพักใช้ชีวิตอยู่บนผืนดินน้อย ๆ นั้น พร้อมกับครุ่นคิดหาวิธีการไปด้วย
เหนือภพนั่งปิ้งหอยอยู่ริมน้ำตก พลางเหม่อมองฝูงอสูรกริมที่มีเกล็ดสีรุ้งสดใสกำลังแหวกว่ายเล่นน้ำกันอย่างร่าเริง น้ำตกขนาดใหญ่ก็ไหลเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย น้ำใสแตกกระจายเกิดเป็นละอองหมอกบริสุทธิ์เย็นสดชื่น เมื่อมันตกกระทบกับแสงสว่างก็เกิดเป็นสายรุ้งเจ็ดสีเรียงตัวกันอย่างสวยงาม
หากมองเผิน ๆ มันคงจะเป็นบรรยากาศชวนฝัน แต่ความคิดอ่านของเขานั้นพัฒนาขึ้นมากแล้ว เขาจึงรู้ได้ว่าเจ้าพวกนั้นกำลังเฝ้ารอเขาอยู่ เมื่อไหร่ที่เขาลงน้ำ พวกมันก็จะเข้ารุมทึ้งเขาอย่างรวดเร็วเป็นแน่
กลางดึกคืนนั้นเอง เหนือภพลืมตาโพลงในความมืด ท่ามกลางเสียงน้ำตกที่ยังคงดังก้องตลอดเวลาแล้วตอนนี้ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวของสิ่งใดอีก ไม่มีร่องรอยของแสง และไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากเขา
‘ฮึ หลับกันหมดแล้วสินะ นึกว่าจะแน่’
เหนือภพแกล้งหลับมาสามวันแล้ว เพราะเขาไม่จำเป็นต้องนอนทั้งคืน เขาจึงสามารถแกล้งหลับเพื่อจับสังเกตสิ่งรอบข้างในยามกลางคืน แล้วเขาก็พบว่าฝูงอสูรกริมและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ของที่นี่จะพากันหายไปหมด พวกมันน่าจะไปพักผ่อนแน่ ๆ
เหนือภพจึงใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นมาทำงานในทันที สิ่งที่เขาทำก็คือการลากม้วนเถาวัลย์ที่พอจะมีอยู่บ้าง รวมทั้งลงน้ำไปดึงกอสาหร่ายเหนียวบางชนิดขึ้นมาด้วย เขารวบรวมพวกมันทั้งหมดมาสานเป็นเกลียวเพื่อทำเชือกแบบพิเศษขึ้นมา
เนื่องจากเหนือภพต้องการเชือกที่มีความยาวมาก เขาจึงต้องแอบทำเชือกอยู่เช่นนี้ถึงสี่วันสี่คืนกว่าจะสำเร็จได้ตามที่คิดไว้
‘พวกเจ้านะพวกเจ้า เก่งกันเหลือเกินนะถึงทำให้ข้าต้องมาทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนี้’
แม้ใจจะบ่นแต่มือของเขาก็ยังไม่หยุดม้วนเชือกเขียว เขาต้องเก็บมันให้เสร็จก่อนแสงยามเช้าจะมาเยือน เขาค่อนข้างมั่นใจว่าสัตว์อสูรระดับอสูรกริมนั้นต้องมีสัญชาตญาณความรู้สึกนึกคิดที่เหนือกว่าสัตว์อสูรทั่วไปแน่นอน ดังนั้นเขาจะไม่ประมาทเด็ดขาด
เช้าวันรุ่งขึ้น เหนือภพก็มานั่งปิ้งหอยปิ้งปูอยู่ที่เดิม และในผืนน้ำเบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏฝูงอสูรกริมนับสิบออกมาว่ายน้ำเริงร่าล้อมรอบผืนดินดังเช่นทุกวัน
ครั้งนี้เหนือภพนั่งเหม่อมองออกไปที่ผืนน้ำอย่างตั้งใจ เขาจ้องมองผืนน้ำอยู่นานมาก โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถเลย จนแม้แต่พวกอสูรกริมยังต้องชำเลืองมองมาด้วยความแปลกใจ
วันนี้ดูคล้ายกับว่าบรรยากาศที่นี่จะเปลี่ยนไป หมอกขาวปกคลุมหนาขึ้นมาก ทัศนวิสัยแย่ลง แสงสว่างแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มออกแดง อากาศก็เย็นลงจนสามารถมองเห็นไอขาวลอยออกจากจมูกยามที่หายใจ
ฝูงอสูรกริมเหมือนจะมีอาการคลุ้มคลั่งบางอย่าง พวกมันใช้พวงหางอันใหญ่โตตีน้ำอย่างรุนแรง หลายตัวว่ายเข้ามาใกล้ผืนดินมากจนเหนือภพคิดว่าพวกมันจะกระโดดขึ้นมาจับตัวเขาบนบกเสียแล้ว
“ทำไม พวกแกเป็นอะไรไปห๊า ดูสิ จ้องข้าแบบนั้นทำไม จะเปิดศึกกันรึไง”
เหนือภพยืนเท้าจะเอวโต้เถียงกับอสูรกริมบนโขดหินใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ ส่วนพวกอสูรกริมนั้นก็ดูเหมือนจะโต้กลับอย่างไร้เสียง พวกมันเบิกตาที่มีสีแดงเรื่อจ้องมองเหนือภพนิ่ง พร้อมกับเกร็งหางอยู่ใต้น้ำ ราวกับว่าพวกมันพร้อมที่จะดีดตัวขึ้นตลอดเวลา
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับเหนือภพที่วันนี้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงจนส่งผลให้อสูรกริมคลุ้มคลั่ง และผลลัพธ์แบบนี้อาจจะคงอยู่ได้แค่ชั่วคราว
“เอาโว๊ย ! แน่จริงก็กินข้าให้ได้สิ”
เหนือภพตะโกนก้องก่อนจะถีบตัวสูง แล้วเหยียดแขนทั้งสองยื่นออกมา พุ่งหลาวลงไปกลางผืนน้ำด้านหน้าในทันที
ทันทีที่เหนือภพตกลงไปในน้ำ เขาไม่จำเป็นต้องดำน้ำหรือทำอะไรมากเลย ด้วยน้ำหนักตัวของเขาอย่างเดียวก็ทำให้ตัวเขาตกลงไปจนถึงก้นแม่น้ำ แม้ตรงจุดนี้จะไม่ใช่จุดที่ลึกที่สุด แต่ก็เป็นจุดที่เขาเลือกไว้แล้ว
อสูรกริมตัวใหญ่มากกว่าสิบตัวต่างสะบัดหางอย่างแรงเข้าว่ายมาล้อมเหนือภพอย่างรวดเร็ว เหนือภพอึ้งค้างไปนานพอสมควร เมื่อเขาต้องมาตกอยู่ใต้วงล้อมของอสูรปลาที่มีขนาดใหญ่มากกว่าเรือสมุทรสำราญเสียอีก และเมื่อได้อยู่ใกล้ในระยะประชิดเช่นนี้เขาก็มองเห็นได้แค่หัวของพวกมันเท่านั้น ส่วนลำตัวสีรุ้งนั้นเกินกว่าที่สายตาของเขาจะมองเห็น
แม้ว่าทัศนวิสัยใต้น้ำของเขาจะจำกัด แต่เขากลับสัมผัสความเคลื่อนไหวของมวลน้ำได้อย่างแจ่มชัด เมื่อเขามวลน้ำกระเพื่อมในจังหวะที่พวกอสูรกริมกำลังเกร็งตัว เหนือภพก็ถีบตัวพุ่งขึ้นเหนือน้ำในจังหวะเดียวกันกับที่พวกอสูรกริมพุ่งเข้ามาโจมตีพอดี
พวกมันพุ่งเข้ามาชนกันใต้น้ำ โดยที่เหยื่อตัวน้อยกลับพุ่งลอยพ้นน้ำไปอยู่บนอากาศเรียบร้อยแล้ว มวลน้ำกระเพื่อมปั่นป่วนอย่างรุนแรง พวกมันมึนงงอยู่หลายวินาทีก่อนจะตั้งตัวได้ และพากันพุ่งกลับไปหาเหนือภพอีกครั้ง
Favorite “สหัสเดชะ เป็นยักษ์ที่มีพละกำลังมาก ขอเพียงไม่ชะล่าใจ เจ้าก็จะเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือใคร การตายของสหัสเดชะจะเป็นสิ่งย้ำเตือนให้แก่เจ้าว่าไม่ควรประมาท จงใช้ชีวิตอยู่ในความระมัดระวัง และยึดมั่นในกรรมดี เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจอาจารย์ แต่ข้ารู้สึกว่ายักษ์ตนเดียวคงไม่เพียงพอ ข้าขอเพิ่มอีกได้ไหม ยังไงมีหลายตนดีกว่าตนเดียวนะอาจารย์ อย่างคำโบราณว่า สามัคคีคือพลัง ตัวเดียวหัวหายสองตัวเพื่อนตาย”
“บ๊ะ เจ้านี่มันจริง ๆ เลย ก็ได้ หากร่างกายของเจ้ารับพลังของพวกเขาได้ และสิ่งที่สักไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ด้วยร่างกายของเจ้าที่มีเหล็กไหลราชันย์พิภพอยู่น่าจะสามารถแบกรับลายยันต์ได้ถึงสามอย่าง แต่หากเจ้าต้องการเพิ่มเจ้าก็ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้”
เหนือภพยิ้มกว้างอย่างดีใจ จนเกือบจะโผเข้ากอดอาจารย์ด้วยความตื้นตัน
“อาจารย์รักข้าที่สุดเลย หากศิษย์พี่รู้เข้าคงอิจฉาข้าตายแน่”
“สำรวมกิริยาของเจ้าหน่อย”
“แขนซ้ายของเจ้าข้าจะสักผู้ทรงกำลังสหัสเดชะ จงมีสติรอบคอบ อย่าประมาท แขนขวาคือผู้ทรงฤทธิ์ทศกัณฐ์ จงพึงระงับยับยั้งชั่งใจตนเอง อย่าได้ลุ่มหลงในอำนาจและอิสตรี ส่วนแผ่นหลัง ข้าเห็นว่าควรเป็นตรีบุนัม อย่าคิดลำพองใจ
อดีตยักษ์สามตนนี้เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนพิศวง แต่ล้วนกระทำกรรมชั่วอย่างหนัก คิดว่าตัวเองทรงอิทธิฤทธิ์ ทำให้ชีวิตถึงจุดจบที่ไม่สงบสุข แม้จะกลับตัวกลับใจก็ยังต้องชดใช้บาปกรรมที่เคยก่อ เมื่อเจ้าใช้พวกเขาในการทำกรรมดี พวกเขาก็จะได้รับกรรมดีไปด้วย เจ้าเข้าใจหรือไม่”
แล้วเหนือภพก็รับขันเงินที่บรรจุน้ำสีทองขึ้นมาดื่มหลายอึกจนเขารู้สึกมึนหัว
นี่คือเหล้าน้ำผึ้งแสงจันทร์เดือนห้า หากกินน้อยจะเพิ่มพลังให้เหล็กไหลสำแดงอิทธิฤทธิ์ หากกินมากจะมีฤทธิ์ในการมอมเมาเหล็กไหลให้ไร้การตอบสนองไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ยิ่งเป็นเหล็กไหลระดับราชันย์ เขายิ่งต้องกินในปริมาณมากจึงจะสามารถสะกดเหล็กไหลให้เคลิบเคลิ้มได้ชั่วคราว
เข็มที่อาจารย์ใช้สักคือเหล็กไหลโบราณ อาบด้วยน้ำผึ้งเดือนห้ากลางแสงจันทร์มานานกว่า 100 ปี ผ่านการทำพิธีสืบทอดมารุ่นสู่รุ่น เป็นของขลังที่ทรงอิทธิฤทธิ์ชิ้นหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่โบสถ์แก้วแห่งนี้ โดยใช้พลังลี้ลับที่ชักนำมาจากมิติพิศวงแทนน้ำหมึก
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เหนือภพไม่รู้เลยว่า หากเริ่มสักเมื่อไหร่จะไม่มีการหยุดพักให้คลายความเจ็บปวดเลย หากเขารู้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่ขอให้อาจารย์สักมากขนาดนี้ แค่ยักษ์ตนเดียวก็มีลวดลายละเอียดมากพอแล้ว แต่นี่กลับเป็นรูปยักษ์ถึงสามตน
“อะไรกัน ผิวหนังเจ้าเหนียวขนาดนี้เชียวรึ สงสัยต้องออกแรงกันหน่อย”
ในท้ายที่สุดแล้วทั้งสองก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดู พระอาจารย์ยืนค้ำอยู่ข้างหลังของเหนือภพ เท้าข้างหนึ่งวางปักหลักมั่นบนพื้น เท้าอีกข้างยกขึ้นยันไหล่ของเขา มือข้างหนึ่งกางออกเพื่อทรงตัว ส่วนมืออีกข้างก็ถือเข็มสักที่มีขนาดยาวเกือบครึ่งวาไว้แน่น จากนั้นพระอาจารย์ก็เริ่มออกแรงสักด้วยท่าทางคล้ายชาวประมงกำลังเอาฉมวกไล่แทงปลา
ส่วนเหนือภพนั้นได้แต่นั่งนิ่งยอมรับความเจ็บปวดแต่โดยดี
พิธีกรรมการสักดำเนินต่อเนื่องมายาวนานถึง 6 เดือนเต็ม เป็นเวลาครึ่งปีที่วิหารเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง ความเจ็บจี๊ดราวกับถูกมดกัดหลายพันล้านตัวในทุก ๆ วินาที เลือดไหลซึมออกมาจำนวนมาก เพราะฤทธิ์ของเหล้าที่ทำให้เลือดภายในร่างกายสูบฉีดแรง
แต่โดยรวมแล้วผิวหนังของเขาก็มีความทนทานต่อความเจ็บปวด และการเสียเลือดมาก คงเป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อาจารย์ให้เขาแช่น้ำว่านบำรุงผิวพรรณบ่อยครั้ง คล้ายกับว่าท่านเตรียมพร้อมสำหรับการนี้ตั้งแรก ทำให้การสักผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
สีหน้าพระอาจารย์สิริซีดเซียว นัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความเมตตากรุณาอ่อนล้าลงมาก ส่วนเหนือภพนั้นนั่งพักเพียงครู่เดียวก็เริ่มกลับมากระปรี้กระเปร่า เนื่องจากร่างกายเขามีการฟื้นฟูได้เร็วกว่าคนธรรมดาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว
เหนือภพจึงหันไปประคองพระอาจารย์กลับสู่กุฏิ เพื่อให้ท่านได้พักผ่อน
“อาจารย์ ลำบากท่านแล้ว มาเถอะให้ข้าได้ช่วยท่าน”
จากนั้นเขาก็ปลีกตัวไปหุงหาอาหารสำหรับตัวเองและพระอาจารย์ เนื่องจากตลอด 6 เดือนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่มอะไรเลย ทำให้ร่างกายของเขาและอาจารย์อ่อนแอ
แม้โบสถ์แก้วจะมีพลังชีวิตประหลาดที่ทำให้ผู้อยู่ภายในรู้สึกอิ่มทิพย์อยู่ตลอด แต่เมื่อใดที่ออกมาภายนอก ความหิวก็จะจู่โจมทันที
ช่วงเวลาที่ระหว่างทำอาหาร เหนือภพก็มองสำรวจดูแขนซ้ายและแขนขวาที่มีเพียงร่องรอยช้ำเลือด แต่กลับมองไม่เห็นหมึกรอยสักที่อาจารย์สักให้เลย
‘เอ ไม่มีรอยสักหรอ เอาไว้ถามอาจารย์อีกทีละกัน’
จากนั้นก็เปิดดูแท็บแล็ตที่นาน ๆ ทีเขาถึงจะเรียกออกมาสักครั้ง ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่แท็บแล็ตก็กลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ จำนวนพ้อยทั้งหมดที่เขาเคยเติมล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้นตั้งแต่อยู่ที่โพรงถ้ำกับกลิ่นจันทน์
และการที่เขาได้มองมันก็เหมือนได้เห็นกลิ่นจันทน์อีกครั้ง เขารู้สึกได้ว่าบนแท็บแล็ตมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเธอคนนั้นที่ยังติดตราตรึงใจเขาอยู่ ทำให้เขาคิดถึงความทรงจำดี ๆ ที่เคยมีด้วยกัน แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบลงด้วยความเจ็บปวดก็ตาม
เหนือภพสะดุ้งเมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์ปรากฏตัวอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง
ตอนแรกเขาคิดว่าอาจารย์เหงาจึงชอบหาเรื่องมาอยู่ใกล้เขา มาหาเรื่องคุยกับเขา แต่ความจริงแล้วอาจารย์รู้ดีว่าภายในใจเขาเจ็บปวด มักคิดฟุ้งซ่านยามที่อยู่คนเดียวเสมอ
อาจารย์จึงเข้ามาเพื่อพูดคุยปรับทุกข์ อาจารย์บอกว่าคนบางคนจำเป็นต้องอยู่คนเดียวถึงจะคิดได้ แต่คนบางคนยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งฟุ้งซ่าน และเขาเป็นคนประเภทหลัง
อาจารย์กังวลว่าเขาจะเลือกเดินทางผิด ปล่อยให้ความแค้นครอบงำแล้วจะกลายเป็นแบบศิษย์พี่รองอีกคน สุดท้ายสองมือก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคนบริสุทธิ์มากมาย เพื่อสังเวยในสิ่งที่เรียกว่า
‘ความแค้น’
“อาจารย์ ข้าทำให้ท่านกังวลอีกแล้ว ข้าไม่เป็นไร หากไม่ใช่เพราะท่านคอยอบรมสั่งสอนข้า บางทีข้าคงเป็นคนเก่าที่วัน ๆ จ้องจะฆ่าฟัน แต่ถึงยังไงในใจข้าตอนนี้ก็ไม่ได้สงบ มีเรื่องมากมายที่ข้ายังไม่สามารถละทิ้งได้”
“ศิษย์ข้า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร หากเจ้ากล้าที่รับผลกรรมที่จะสะท้อนกลับมา ข้าก็ไม่มีสิทธิ์ขัดขวางอะไร เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตก็เป็นของเจ้า”
เหนือภพพาอาจารย์ไปพักผ่อนพลางรับปากอาจารย์เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่คิดฟุ้งซ่าน จากนั้นเขาจึงเอาเวลาส่วนใหญ่ไปฝึกซ้อมเพลงมวยพหุยุทธ์ ตอนนี้เขาสามารถฝึกเพลงมวยพหุยุทธ์ขั้นที่ 31 ได้คล่องมากแล้ว แต่ยังไม่มากพอที่จะฝึกขั้นที่ 32 กระบวนท่าที่เขาใช้ได้อย่างช่ำชองในตอนนี้มีทั้งหมด 30 ท่า
ส่วนกระบวนท่าที่ 31 มีหลายครั้งที่เกิดการผิดพลาด เขาต้องฝึกซ้ำ ๆ ฝึกแบบย้ำคิดย้ำทำ จนร่างกายสามารถจดจำกระบวนท่าได้เอง และเมื่อถึงเวลาร่างกายก็จะสามารถตอบสนองได้โดยสัญชาตญาณ
Favorite เหนือภพตามผู้เป็นอาจารย์ไปยังวิหารชั้นในของวัด ที่นี่ถูกตั้งเป็นดินแดนต้องห้าม เขาเคยเข้ามาที่นี่แค่ไม่กี่ครั้งเพื่อฝึกฝนร่างกาย เพราะแรงโน้มถ่วงของที่นี่รุนแรงมาก มันจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งเมื่อเรารู้สึกว่าร่างกายรับไหว ทำให้การฝึกสามารถพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ แต่ละคนจึงได้รับมันไม่เท่ากันจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคนคนนั้น
เหนือภพตามอาจารย์ผ่านทางเดินเข้าไปในวิหาร มีรูปปั้นยักษ์หน้าตาดุร้ายเฝ้าหน้าประตูทางเข้าที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเขตวัด
รูปปั้นยักษ์สองตนนี้สูงใหญ่เทียมฟ้า แม้ว่าจะถูกแกะสลักด้วยลวดลายวิจิตร ละเอียดลออ แต่ก็ยังสื่อถึงความดุร้ายที่น่าเกรงขามได้อย่างชัดเจน
สหัสเดชะ ผู้ซึ่งมีกายสีขาวที่ไม่ทราบว่าแกะสลักมาจากหินชนิดใด แต่มันช่างเปล่งประกายระยิบระยับล้อไปกับลวดลายละเอียด
ส่วน ทศกัณฐ์ ผู้ซึ่งมีกายสีหยกเขียว ที่แกะสลักมาจากหินสีเขียวเข้ม และมีการประดับประดาด้วยเกล็ดหินสีเขียวในเฉดสีต่าง ๆ ทำให้ดูมีมิติมากขึ้น
เมื่อเดินเข้ามาข้างในก็จะพบกับโบสถ์แก้วขนาดกลางที่ลอยอยู่กลางอากาศ มีบันไดพันขั้นเชื่อมต่อเอาไว้กับชานบันได มีรูปปั้นสิงห์ตัวใหญ่อ้าปากคำรามตั้งขนาบซ้ายขวา บนราวบันไดมีรูปปั้นสิ่งมีชีวิตโบราณ ลักษณะของมันจะผสมกันระหว่างจระเข้กับพญานาค คือมีลำตัวยาวเหยียดคล้ายพญานาค แต่มีขายื่นออกมาจากลำตัว และส่วนหัวที่คายพญานาคออกมานั้นเป็นปากจระเข้ เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ เรียกว่า มกรคายนาค
เมื่อก้าวเดินขึ้นไปถึงบันไดชั้นบนสุด ก็พบว่าหน้าประตูโบสถ์แก้วมีรูปปั้นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง รูปร่างมันเหมือนกับสัตว์หลายชนิดผสมกัน ไม่ว่าจะเป็นมกร แมว สิงห์ วานร มันคือ สิงห์มอม
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้คือเหล่าสัตว์โบราณที่คอยปกป้องศาสนสถานแห่งนี้ พวกมันเคยมีชีวิตอยู่ในดินแดนพิศวงที่ถูกเรียกว่า หิมพานต์
“อาจารย์ครับยักษ์สองตนนี้คือใครครับ ทำไมข้าไม่คุ้นตาเลย”
เหนือภพเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าซ้ายขวาของประตูโบสถ์แก้ว มีภาพสลักของยักษ์อีกสองตน
“ตนหนึ่งคือ ตรีบุรัม เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มาก อีกตนคือ กุเวร เป็นยักษ์ผู้เฝ้าสมบัติ”
“ยักษ์ ? ทำไมต้องเอายักษ์มาเฝ้าวัดละครับ เท่าที่ข้ารู้มาพวกยักษ์ล้วนชั่วร้าย แม้จะมีพลังอำนาจมากมาย แต่ก็ทำแต่เรื่องเลวร้าย การที่เอาพวกยักษ์มาไว้ที่วัดมันจะดีหรือครับ”
พระอาจารย์สิริหันกลับมามองศิษย์รักด้วยแววตาสงบนิ่ง
“ถูกต้อง เหล่ายักษ์เหล่านี้ล้วนเคยก่อความวุ่นวาย สร้างกรรมชั่วมามากมาย พวกเขาต่างล้มตายด้วยไฟสงคราม ถูกความดีชะล้างความชั่วร้ายจนสิ้นซาก ทำให้พวกเขาต่างสำนึกผิดกลับตัวกลับใจหันมารับใช้ความดีงาม
แล้วเหตุใดศาสนสถานจะไม่ยินดีต้อนรับพวกเขาเล่า ไม่ว่ามนุษย์หรืออสูรล้วนมีความดีและความชั่วอยู่ในใจ เมื่อมีใจคิดสำนึกเราก็ควรให้โอกาสพวกเขาได้ทำกรรมดี นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมวัด จึงต้องมีรูปปั้นของพวกเขา”
“แต่ทำไมถึงต้องทำให้พวกเขามีหน้าตาดุร้าย แทนที่จะทำให้หน้างดงาม”
“ก็เพื่อเป็นคำสอน และย้ำเตือนผู้คนว่า อย่าได้ตัดสินใครแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก เพราะภาพลักษณ์ที่มองเห็นว่าหวานซึ้งอาจซ่อนคมดาบไว้เบื้องหลัง หรือภาพลักษณ์ของยักษ์ที่มองดูดุร้าย แต่ภายในจิตใจพวกเขาล้วนสำนึกตนประพฤติอยู่ในความดีงาม ฉะนั้นการมองใครก็ตาม ควรมองที่นิสัยอันแท้จริงหาใช่รูปโฉม”
“เจ้าสำรวมใจเถอะ แล้วตามข้าเข้าไปทำใจให้สงบ ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ข้า เจ้าก็ควรได้รับสิ่งคุ้มกาย ดังเช่นศิษย์พี่ทั้งสอง”
อาจารย์เข้าไปนั่งคุกเข่ากราบพระพุทธรูปแก้วที่อยู่ด้านในสุดของโบสถ์สามครั้ง แล้วหันกลับมานั่งหันหลังให้กับพระพุทธรูป
เหนือภพก็ทำตามอาจารย์ทุกอย่าง โดยกลับมานั่งขัดสมาธิตรงหน้าผู้เป็นอาจารย์
“ปลดจีวรส่วนบนของเจ้าออก แล้วหันหลังมาให้อาจารย์ อาจารย์จะลงยันต์อาคมให้กับเจ้า”
เหนือภพทำตามอย่างว่าง่าย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
“อาจารย์ท่านจะสักอะไรให้ข้า ข้าไม่เอาเสือเผ่นนะอาจารย์ ข้ากลัวว่าเวลาปลุกพลังยันต์ขึ้นมา ได้วิ่งหนีป่าราบแน่ อายเขาตาย”
“เจ้านี่มันพูดมาก เจ้าคิดว่าใครจะสักยันต์อะไรก็ได้งั้นหรือ หากผู้สักไม่สามารถสื่อจิตถึงสิ่งที่จะสักให้ผู้อื่นเพื่อดึงพลังของสิ่งนั้นมาลงที่ยันต์ได้ ก็ไม่เรียกว่าสักยันต์ มันจะเป็นแค่การเอาสีมาขีดเขียนบนเนื้อคนเท่านั้น นอกจากสวยงามแล้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไร”
“สิ่งที่ข้าจะสักให้เจ้าได้ คือสิงห์มอม เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”
“อาจารย์ ข้ารู้สึกว่ามันไม่น่าเกรงขามมากพอ มีตัวเลือกอย่างอื่นอีกไหม”
เหนือภพยิ้มกว้างอย่างประจบ จะสักทั้งทีก็เอาที่น่าเกรงขามไปเลย อิทธิฤทธิ์ของสิงห์มอมมันก็สูงส่งสะท้านสะเทือนอยู่หรอกนะ แต่รูปลักษณ์หน้าตาของมันดูแปลก ๆ ชอบกล
“เจ้ามันเรื่องมาก แต่จะว่าไปสิงห์มอมก็ไม่ได้เหมาะกับเจ้าซะทีเดียว เจ้าเหมาะกับสัตว์แห่งพละกำลังอย่าง นรสิงห์ แต่น่าเสียดายที่ข้ามอบลายยันต์นรสิงห์ให้แก่ศิษย์พี่รองของเจ้าไปแล้ว”
ผู้เป็นอาจารย์ส่ายหน้าในทันที
“ไม่ได้ การสักคือการสื่อจิตไปยังดินแดนพิศวงเพื่อดึงพลังจากพวกเขาให้มาเชื่อมต่อบนลายยันต์ ช่วงชีวิตของผู้สักทำได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะการสักแต่ละครั้งผู้สักจำเป็นต้องจ่ายพลังชีวิตเพื่อเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตพิเศษในดินแดนพิศวง อาจารย์ก็อายุมากแล้วจึงไม่มีพลังชีวิตเพียงพอที่จะเปิดมิติเพื่อเชื่อมโยงกับนรสิงห์อีกตน”
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเคยเชื่อมโยงจิตเอาไว้กับสิ่งมีชีวิตวิเศษอีกสี่ตนที่ถ่ายทอดผ่านเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นเพื่อเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสม แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าจะนำมันไปใช้ในทางที่ดี ห้ามใช้มันในทางชั่วร้าย ห้ามข่มเหงผู้อ่อนแอเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสร้างกรรมชั่วให้กับพวกเขาด้วย”
เหนือภพเงียบขรึมลงเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ สีหน้าและแววตาของอาจารย์ดูจริงจังกว่าเดิมมาก
เหนือภพครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยปากรับคำอาจารย์
“ข้ารับปากว่าข้าจะสร้างกรรมดี พยายามละเว้นกรรมชั่ว แต่ข้าไม่อาจรับปากได้ทั้งหมด บางครั้งชีวิตของคนเราก็ต้องสร้างกรรมชั่วเพื่อปกป้องผู้คน แบบนั้นจะเรียกว่ากรรมชั่วหรือกรรมดีครับ ข้ารู้ว่ากรรมดีและกรรมชั่วอยู่ที่เจตนา แต่ถ้าหากวันหนึ่งข้าจำเป็นต้องฆ่าคนคนหนึ่งทั้งที่เขาเป็นคนดี เพื่อแลกกับการช่วยคนกลุ่มหนึ่งที่มีทั้งดีและเลว ท่านคิดว่านี่คือกรรมชั่วหรือกรรมดี”
“ไม่ว่าคนดีหรือคนเลว ชีวิตก็คือชีวิต อาจารย์เข้าใจว่าการใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสงคราม เต็มไปด้วยคมหอกคมดาบมันยากที่เจ้าจะไม่ทำกรรมชั่ว แต่อาจารย์ขอให้เจ้าพึงระลึกไว้ว่า หากละเว้นได้ก็ควรละเว้น ควรเลือกสิ่งที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อคนอื่นให้น้อยที่สุด แต่บางครั้งการทำลายส่วนมากก็อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า อาจารย์เองก็ไม่อาจให้คำตอบแก่เจ้าได้หรอก”
เหนือภพรู้สึกเลื่อมใสในตัวอาจารย์ที่ไม่ได้บีบบังคับ ไม่ได้กำหนดว่าอะไรผิดหรือถูก อาจารย์สอนให้เขาคิดและใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ทุกสถานการณ์มีทางออกและมีหนทางแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้นอกจากผู้ที่เผชิญกับมันเท่านั้น
“ข้าจะเชื่อฟังและทำตามที่ท่านสั่งสอน”
Favorite เหนือภพยืนมองสายน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลหมอกที่อยู่ด้านล่างขณะฝึกเพลงมวยพหุยุทธ์ครบทุกกระบวนท่าเสร็จ ตลอดเวลากว่าสามปีเขาสงสัยมาตลอดว่าด้านล่างนั้นคืออะไร มีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะลงไป หากคาดคะเนจากสายตามันคงมีความลึกลงไปนับพันเมตร
“อาจารย์ถ้าข้าลงไปมีหวังแค่ไหนที่จะกลับขึ้นมาได้อีก”
พระอาจารย์สิริที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ข้าง ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นเผยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเมตตา
“สักวันเจ้าก็จะได้รู้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
พระอาจารย์สิริเอ่ยจบก็หันหลังกลับเดินกลับขึ้นไปบนวัดด้วยย่างก้าวเนิบช้า ๆ ทีละก้าวอย่างมั่นคง แต่หากเผลอเพียงพริบตาเดียว พระอาจารย์สิริก็อยู่ห่างจากเหนือภพไปนับร้อยเมตรแล้ว นั่นจึงทำให้เหนือภพตัดใจ ตัดความอยากรู้ความอยากเห็นของตัวเอง ก่อนจะวิ่งตามอาจารย์ของตนไป
แต่ต่อให้เขาวิ่งไวแค่ไหนแต่ก็ยังคงทิ้งห่างจากอาจารย์ที่กำลังเดินอยู่ประมาณร้อยเมตร นี่สามารถบ่งบอกได้ถึงความห่างชั้นระหว่างเขากลับอาจารย์
เหนือภพคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์พระสีทองขนาดใหญ่โดยไร้ซึ่งคำถาม เขาพนมมือขึ้นกราบไหว้องค์พระสีทองอย่างนอบน้อม แม้เขาจะไม่เข้าใจเรื่องศาสนาอย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็รู้ดีว่าควรให้ความเคารพอย่างรู้กาลเทศะ
พระอาจารย์สิริยื่นมือคว้าจับแขนที่ยื่นออกมาของเหนือภพ จากนั้นเหนือภพก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวภายในร่างกาย อยู่ ๆ ผิวหนังบริเวณนั้นก็เปล่งแสงสีส้มอ่อน ๆ เรืองรองสวยงาม
นี่เป็นปฏิกิริยาของปราณอาคมที่แผ่ซ่านออกมาจากเหล็กไหลภายในตัวเขา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นมันแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้
“ใครเป็นคนใส่เหล็กไหลพิภพให้เจ้า”
“ไม่มีครับ ข้าได้มันมาเพราะอุบัติเหตุ”
เหนือภพบอกตามตรงพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในโพรงถ้ำด้วยความทุกข์ทรมานเป็นเวลากว่าสองปี เหล็กไหลนี้ถึงจะหยุดสำแดงความเป็นปฏิปักษ์ แต่ในตอนนี้บางครั้งเขาก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดภายในกายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก เดือนหนึ่งถึงจะมีสักครั้ง
พระอาจารย์สิริพอได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้า
“เจ้าถือว่าเป็นคนที่มีโชควาสนาในคราวเคราะห์ ชะตาเจ้าเป็นเช่นนั้น ยิ่งเจ้าเจ็บเจียนตายเท่าไหร่ สิ่งที่เจ้าจะได้รับกลับคืนก็จะมีค่ามากเท่านั้น แต่คงไม่ง่ายเลยที่จะทำให้มันผสานอยู่ในร่างกายเจ้าอย่างสมบูรณ์ ที่มันไม่ทำร้ายเจ้าเช่นครั้งนั้นก็เป็นเพราะว่าเลือดของเจ้าได้ซึมซับและผสมเข้าไปกับตัวเหล็กไหลเป็นเวลานาน จนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้มันเห็นว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกัน มันจึงไม่ไปไหน หรือจะพูดอีกแบบก็ประมาณว่าพึ่งพากันและกัน”
“แล้วมีวิธีทำให้เหล็กไหลนี้ผสานเข้ากับตัวข้าอย่างสมบูรณ์มั๊ยอาจารย์”
“หากเป็นเหล็กไหลธรรมดาทั่ว ๆ ไป ข้าก็มีวิธีที่ทำให้เจ้าสามารถครอบครองมันได้ แต่ว่าเหล็กไหลที่อยู่ในกายเจ้าหาใช่เหล็กไหลธรรมดา มันคือหนึ่งในสี่เหล็กไหลราชันย์ มีชื่อว่าราชันย์พิภพ การจะยอมรับเจ้าหรือไม่นั้นขึ้นกับเวลา”
เหนือภพครุ่นคิด พลางย้อนระลึกความจำครั้งก่อน
อาจารย์เคยสอนเรื่องนี้ให้กับเขาครั้งหนึ่ง ว่าเหล็กไหลบนโลกนี้มีด้วยกันสามระดับ ระดับล่างถูกเรียกว่า ‘เหล็กไหลธรรมดา’ มีด้วยกันหลายชนิด จำแนกพลังได้หลากหลายรูปแบบ เป็นเหล็กไหลประเภทที่คุ้มครองผู้เป็นนาย
ส่วนเหล็กไหลระดับกลางนั้น พญาจะถูกเรียกว่า ‘เหล็กไหลเพศผู้’ นางพญาถูกเรียกว่า ‘เหล็กไหลเพศเมีย’ หากเทียบกับเหล็กไหลระดับล่างแล้วนับว่ามีอิทธิฤทธิ์ครอบคลุมมากกว่า เมื่อมันยอมรับผู้ใดเป็นนาย มันก็จะทั้งปกป้องและเสริมพลังให้
ส่วนเหล็กไหลระดับสูงถูกเรียกว่า ‘เหล็กไหลราชันย์’ ทั้งโลกมีด้วยกันสี่ชนิดได้แก่ ‘เหล็กไหลราชันย์พิภพ’ ‘เหล็กไหลราชันย์นภา’ ‘เหล็กไหลราชันย์สุริยัน’ และ ‘เหล็กไหลราชันย์จันทรา’ ทั้งสี่ชนิดนี้ถือเป็นเทพในหมู่มวลเหล็กไหล อิทธิฤทธิ์กล้าแกร่งและเกรี้ยวกราดเหนือเหล็กไหลใด แต่ก็ยากที่จะครอบครองเช่นกัน
แต่หากมันยอมรับคนผู้ใดเป็นนาย คนผู้นั้นมักกลายเป็นคนสำคัญในประวัติศาสตร์ มีชื่อเสียงสะเทือนฟ้า สะท้านดิน แม้ผ่านไปเป็นร้อยปี พันปี ชื่อเสียงของเขาก็ยังไม่เสื่อมคลาย
ในอดีตนั้นว่ากันว่าเหล็กไหลราชันย์นภาถูกเก็บซ่อนเอาไว้ที่วิมานกลางหาวในป่างิ้วโบราณของตระกูลสุบรรณเวนไตย
และเหล็กไหลราชันย์สุริยันก็ได้ถูกครอบครองโดยจักรพรรดินีเพลิงแห่งจักรวรรดิเงาสุริยัน
ส่วนเหล็กไหลราชันย์พิภพในอดีตเคยเป็นของจ้าวอาคมพลายแก้ว ผู้เป็นพลทหารคู่ใจองค์จักรพรรดิรุ่นแรกของดินแดนเงาสุริยัน หลังจากที่แผ่นดินเงาสุริยันสามารถรวบรวมเป็นปึกแผ่น ท่านก็หายตัวไปพร้อมกับเหล็กไหลราชันย์พิภพ และเหล็กไหลนี้ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นมาอีกเลยเป็นเวลาหลายพันปี จนกระทั่งมันตกมาอยู่ในมือของเหนือภพ
และสุดท้ายเหล็กไหลราชันย์จันทรา เขาเคยสอบถามผู้เป็นอาจารย์หลายครั้ง รวมถึงค้นหาจากหนังสือภายในหอพระธรรมหลายเล่มก็ไม่ได้คำตอบ ไม่มีใครรู้ว่ามันซ่อนอยู่ที่ใด
มีแต่คำเล่าลือว่ามันถูกซ่อนอยู่ในดินแดนเงาจันทรา แต่ดินแดนที่ว่านั้นก็ไม่ได้รับการยืนยันว่ามีอยู่จริง ราวกับว่ามันเป็นดินแดนลึกลับ ดินแดนมายา ที่มีแต่คนบ้าที่จะเพ้อฝันถึงมัน
แต่นั้นก็ไม่สรุปอะไรได้ เพราะยังมีตำราบางเล่มได้กล่าวข้อความคล้าย ๆ กันว่า
‘หากต้องการนักปราชญ์ดินแดนเงาจันทราคือที่หนึ่ง หากต้องการจ้าวอาคมดินแดนเงาสุริยันหาใช่ที่สอง’
เมื่อเห็นลูกศิษย์เงียบไปนาน พระอาจารย์จึงกล่าวปลอบใจว่า
“เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าการทำให้เหล็กไหลยอมรับอย่างสมบูรณ์มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่อาจารย์อย่างข้าทำได้คือการสร้างอักขระอาคมกำกับเอาไว้ มันจะช่วยให้เจ้าสามารถดึงปราณอาคมจากเหล็กไหลออกมาใช้งานได้ แต่อย่างที่ข้าบอกเจ้าภาวะพึ่งพากันระหว่างเจ้ากับเหล็กไหลมันก็ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ยิ่งให้มัน มันก็ยิ่งตอบแทนเจ้า”
“แล้วถ้าเป็นแบบนั้น ข้าจะมีโอกาสใช้อาคมได้เหมือนผู้มีพรสวรรค์รึเปล่าครับ”
“ทุกอย่างมีเงื่อนไข อาคมที่เจ้าใช้จะเป็นแบบที่ส่งผลกับตัวเจ้าเองเท่านั้น จนกว่ามันจะยอมรับเจ้าเป็นนายอย่างสมบูรณ์ เจ้าถึงจะสามารถใช้อาคมได้อย่างผู้มีพรสวรรค์”
“แต่ว่าปราณอาคมของเจ้าจะไม่มีทางพัฒนาขึ้นได้ เพราะนั่นไม่ใช่พลังของเจ้า จะเอามาเทียบกับผู้มีพรสวรรค์ที่สามารถพัฒนาอาคมได้ตลอดเวลาไม่ได้
พวกเขาพัฒนาจาก 1 ไปถึง 100 หรืออาจจะไปไกลได้มากกว่านั้น ขณะที่ปราณอาคมของเจ้าต่อให้มีความพยายามมากเท่าใดมันก็เริ่มต้นที่ 100 และจบที่นั่น ไม่ทางเพิ่มขึ้น”
“เกิดเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ ไม่มีทางเปลี่ยนชะตาได้ แต่ข้าไม่เคยคิดเสียใจ ต่อให้ข้ามีพลังแค่ร้อยก็ช่าง พัฒนาไม่ได้ก็ช่าง ข้าก็จะต้องใช้มันปกป้องตัวเองและคนที่ข้ารักให้จงได้”
“ตามข้ามา ข้าจะมอบยันต์อาคมให้แก่เจ้า ไว้ให้เจ้าได้ปกป้องตัวเองและผู้อื่น”
Favorite เมื่อพระอาจารย์สิริเห็นว่าเหนือภพพักจนหายเหนื่อยแล้ว ท่านก็เริ่มทำการถ่ายทอดเพลงมวย ‘พหุยุทธ์’ ให้กับเหนือภพ
พหุ แปลว่า มาก ดังนั้น พหุยุทธ์ ก็คือเพลงมวยต่อสู้ระยะประชิดที่ใช้หมัด เท้า เข่า ศอก ศีรษะ และส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นอาวุธได้ทั้งหมด
เริ่มแรกของการฝึกก็คือการเดิน การย่างก้าว การเคลื่อนไหวเข้าประชิดคู่ต่อสู้ในระยะสั้นและระยะยาว ทุกท่าทางจะต้องว่องไวเฉียบขาด ไม่ทิ้งร่องรอย หรือเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเปลือง และจะต้องฝึกจนกว่าทุกฝีเท้าจะมั่นคง
ซึ่งกว่าเขาจะทำสำเร็จ ไม่สิ จะใช้คำว่าสำเร็จไม่ได้ กว่าเขาจะเคลื่อนไหวได้ถูกใจพระอาจารย์สิริก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน พระอาจารย์ถึงจะยอมสอนสิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้จริง ๆ ให้เขา
โดยกระบวนท่าพหุยุทธ์ มีกระบวนท่าที่สามารถนับได้ทั้งหมด 147 กระบวนท่า แต่ละท่าจะนับเป็นหนึ่งขั้น หรือพูดอีกอย่างว่า พหุยุทธ์ 147 ขั้น
พระอาจารย์บอกว่ากระบวนท่าในพหุยุทธ์นั้น หากรู้เพียงแค่ 15 ขั้นแล้วฝึกจนชำนาญก็สามารถแปรเปลี่ยนได้เป็นร้อย
หากรู้และฝึกจนชำนาญครบ 30 ขั้นก็สามารถแปรเปลี่ยนได้นับพัน
หากเรียนรู้ครบ 147 ขั้นฝึกจนชำนาญแปรเปลี่ยนได้นับหมื่น ทั่วร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นคมศาสตราวุธรุกต้านทำลายรอบทิศ
ทว่านับตั้งแต่ที่เพลงมวยพหุยุทธ์ถูกถ่ายทอดมารุ่นต่อรุ่น ผู้ที่สามารถฝึกจนครบ 147 ขั้นได้นั้นมีจำนวนเพียงน้อยนิด และผู้ที่ฝึกสำเร็จก็ล้วนเป็นเจ้าอาวาสในแต่ละรุ่น
เหนือภพตั้งใจจะถามแต่ยังไม่ทันอ้าปาก พระอาจารย์สิริก็ไขข้อข้องใจให้กับเหนือภพราวกับอ่านใจได้
“ศิษย์พี่ของพวกเจ้า โดยเฉพาะเจ้าทานธรรมพี่ใหญ่สุดน่ะ มันฝึกได้แค่ 29 ขั้นก็หนีจากข้าไปแล้ว ส่วนเจ้าจักรเหมือนจะดีหน่อย แต่ทนฝึกได้ 30 ขั้น ยังไม่ทันขัดเกลากระบวนท่าขั้นที่ 30 ให้ชำนาญก็หนีจากข้าไปเหมือนกัน”
อาจารย์จับจ้องไปยังศิษย์คนที่สามอย่างเหนือภพ ศิษย์ที่ดูเหมือนจะสามารถเรียนรู้ได้ไวที่สุด และสามารถฝากความหวังไว้ได้มากที่สุด แตกต่างจากคนอื่น ๆ แต่ความอดทนของเหนือภพจะมีมากแค่ไหนนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไป
การฝึกหัดมวยพหุยุทธ์นั้นจะต้องอาศัยความมานะพยายาม ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดผสมผสานกับการเรียนรู้คุณธรรมจริยธรรม บังคับอารมณ์ไม่ให้โกรธหรือฉุนเฉียวง่าย
ซึ่งเคล็ดลับการฝึกของเหนือภพก็ไม่ได้ต่างจากศิษย์พี่ทั้งสอง ในการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด โชคดีที่เหนือภพมีคือความดันทุรัง และความอดทนมากเป็นทุนเดิม ยิ่งใจเขามุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่ง รวมกับร่างกายที่ตื่นตัวได้ตลอดเวลา ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน ทำให้เขาสามารถฝึกฝนได้ต่อเนื่องตลอดทั้งวันทั้งคืน
แต่น่าแปลกที่พระอาจารย์สิริเองก็สามารถอยู่กับเขาได้ตลอดคืนเช่นกัน โดยท่านจะนั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลาที่ใต้ต้นไทรโบราณ หากเหนือภพข้องใจเรื่องอะไร ท่านก็จะให้คำตอบแก่เขาในทันที
นอกจากนี้ท่านเองก็ยังหาว่านชนิดต่าง ๆ มาทำยาให้เขา และในรอบสามเดือนก็จะมีเนื้อสัตว์อสูรพิเศษมาให้เขากินบำรุงอยู่เสมอ
วันเวลาผ่านไปนับปี การฝึกก็ทวีความยากและความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน แต่เหนือภพก็สามารถใช้มวยพหุยุทธ์ 15 ท่าแรกได้อย่างชำนาญ
พอเข้าปีที่ 2 ก็สามารถชำนาญมวยพหุยุทธ์อีก 15 ท่าเป็น 30 ขั้น จนอยู่เหนือศิษย์พี่ทั้งสอง และหลังจากที่เหนือภพสำเร็จ พระอาจารย์สิริก็ไม่ได้เข้มงวดกับเหนือภพอีก แต่ท่านยังคงสอดแทรกการนั่งสมาธิให้เหนือภพได้ซึมซับอยู่เสมอ ๆ
พระอาจารย์สิริใช้เวลาอีกหนึ่งปีสอนท่วงท่า 117 ขั้นที่เหลือของมวยพหุยุทธ์ให้เหนือภพ จนกระทั่งเขาสามารถจดจำท่าเหล่านั้นได้ขึ้นใจ
และแล้วอายุของเหนือภพก็ปาเข้าไป 17 ปี ร่างกายของเขาสูงใหญ่แข็งแรงกำยำ ด้วยสรรพคุณฤทธิ์ยาบำรุงมากมาย ทั้งยังมีผิวพรรณเนียนละเอียด ใบหน้าขาวใสผุดผ่อง หน้าตาหล่อเหลาขึ้นมากหากเทียบกับวัยเยาว์ที่มีใบหน้าด้าน กระ เต็มไปด้วยสิว
เหนือภพคุกเข่าก้มกราบผู้เป็นอาจารย์สามครั้งอย่างที่เคยทำทุกวันๆ เมื่อขอรับการสั่งสอน
“อาจารย์ทำไมท่านถึงห้ามไม่ให้ข้าฝึกท่าช่วงหลังให้ชำนาญล่ะครับ“
“เจ้าอย่าได้ใจร้อน ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ระหว่างนี้เจ้าก็หมั่นฝึก 30 ท่าขั้นต้นให้ชำนาญเสียก่อน หากท่าพื้นฐานนั้นยังฝึกไม่คล่อง การใช้ท่าใดท่าหนึ่งใน 117 ท่าก็จะเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเอง”
“เอ่อ อาจารย์ข้าว่าข้าชำนาญแล้วนะ ข้าสามารถใช้ท่าได้ทันทีหลังที่ท่านสอน แถมยังจำได้แม่น รู้จังหวะว่าควรจะออกท่าไหน เวลาไหน ข้ารู้สึกว่าข้าทำพวกมันออกมาได้สมบูรณ์แบบแล้ว”
“เจ้ายังเด็กนักเจ้าภพ จำคำข้าเอาไว้ให้ดี คำว่าสมบูรณ์แบบที่แท้จริงนั้นไม่มีหรอก มีแต่คำว่าพัฒนาให้ดีกว่าเดิมเท่านั้น หากเจ้าคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบเมื่อใด เมื่อนั้นแหละคือวันที่เจ้าจะไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้อีกต่อไป
ข้ารู้ดีว่าเจ้าในตอนนี้อาจจะเก่งกว่าพวกศิษย์พี่ในตอนนั้น แต่ต่อให้เจ้ารู้มวยพหุยุทธ์ครบทุกกระบวนท่า ก็ไม่สามารถเทียบกับศิษย์พี่ที่มีเพียง 30 ท่าแต่หมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“เพลงมวยพหุยุทธ์แต่เดิมมันก็คือการเตะต่อยธรรมดา แต่บูรพาจารย์แต่ละรุ่นก็ช่วยกันพัฒนาให้มีชั้นเชิงมากขึ้น จาก 1 ท่ากลายเป็น 15 ท่า จาก 15 ท่า กลายเป็น 30 ท่า จนสุดท้ายก็มีมากถึง 147 ท่า
เจ้าจำไว้ให้ดี 147 ท่าไม่ใช่ขั้นสูงสุดของมวยพหุยุทธ์ และมันย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด หากเจ้ารู้จักฝึกฝนและพัฒนา ในอนาคตเพลงมวยพหุยุทธ์อาจจะมีมากกว่า 147 ขั้น อาจจะไปถึง 160 หรือ 200 ขั้นเลยก็ได้”
เหนือภพซึมซับคำที่พระอาจารย์บอก ทุก ๆ วันเขาหมั่นฝึกซ้อมกระบวนท่าใน 30 ขั้นแรกเป็นอย่างดี หมั่นฝึกซ้อมเสมอ พอได้ฝึกบ่อย ๆ ได้ซึมซับกระบวนท่าเหล่านั้น เขาก็ได้คำตอบว่า 15 ท่าแรกล้วนเป็นพื้นฐานของ 15 ท่าหลัง และกระบวนท่าทั้ง 30 ท่านี้ยังเป็นพื้นฐานของ กระบวนท่าขั้นที่ 31 และกระบวนท่าขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 31 ก็ยังเป็นพื้นฐานของกระบวนท่าขั้นที่ 32 มันเป็นแบบนี้จนถึง 147 ท่า หากพื้นฐานไม่แน่นก็ไม่อาจใช้ท่าหลัง ๆ ได้เต็มประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
เพลงมวยพหุยุทธ์โดยหลักการนั้นสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท ประเภทแรกคือ มวยแกร่ง คือการต่อสู้อย่างรัดกุม สุขุมรอบคอบ การเคลื่อนตัวแต่ละก้าวย่างเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่คึกคะนอง เน้นการตั้งรับและรอจังหวะ เน้นการโจมตีหนักหน่วง รุนแรง และแม่นยำ สยบคู่ต่อสู้ได้ด้วยกระบวนท่าชุดเดียว
ส่วนประเภทที่สองคือ มวยอ่อน มีวิธีการต่อสู้ที่ใช้ชั้นเชิงแพรวพราว ไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนไหวไปมาเพื่อหลอกล่อ หลบหลีกได้ดี มุ่งเน้นให้คู่ต่อสู้สับสนจับทางยาก สามารถใช้สภาพแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้ สามารถออกอาวุธได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ซึ่งการจะประสานเพลงมวยทั้งสองสองประเภทมีจุดเด่นต่างกันเข้าด้วยกัน ก็ต้องใช้ประสบการณ์ยาวนานในการฝึกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวมถึงประสบการณ์ในการต่อสู้จริงด้วย หากขาดองค์ประกอบใดไปก็ยากที่จะเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ
Favorite เมื่อก่อนพระอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง ยังมีลูกศิษย์อีกสองคนกับท่านเจ้าอาวาส แต่หลังจากท่านเจ้าอาวาสมรณภาพไป หลวงพ่อสิริก็ขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสแทน ส่วนศิษย์สองคนพอโตหน่อยต่างหนีกันไป เพราะไม่อยากบวชเป็นพระแบบอาจารย์
คนหนึ่งได้กลายเป็นคนสำคัญของกลุ่มภราดา ส่วนอีกคนก็แย่หน่อย เรื่องดีไม่เคยทำ ทำเป็นแต่เรื่องชั่ว ๆ กลายเป็นจ้าวอาคมมืดมือหนึ่งของหอโลหิตไปเสีย
ส่วนเหนือภพนั้น ไม่นานเขาก็ตัดสินใจออกบวช กราบหลวงพ่อสิริเป็นอาจารย์ เขาจึงกลายเป็นศิษย์คนที่สาม สาเหตุที่เหนือภพออกบวชนั้น ไม่ใช่เพราะเลื่อมใสในศาสนาแต่อย่างใด เพียงแต่หลวงพ่อสิริยื่นเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวว่า ถ้าอยากเป็นศิษย์เพื่อรับการฝึกฝนก็ต้องออกบวชเท่านั้น
ที่หลวงพ่อสิริไม่ให้เหนือภพเป็นศิษย์ฆราวาสแบบศิษย์พี่ทั้งสอง ก็เพราะเกรงว่าเหนือภพจะออกไปก่อเรื่องก่อราวอะไรข้างนอก ในสายตาของหลวงพ่อสิรินั้น ท่านมองเหนือภพไม่ต่างกับลูกหลาน ยิ่งเขามีแต่ความแค้นบดบังจิตใจอยู่มาก หากได้วิชาไปแล้วออกไปโลกภายนอก ก็คงมีแต่จะสร้างเรื่องวุ่นวายจนเป็นภัยต่อตัวเองและก็ผู้อื่น แบบนั้นคงไม่ดีแน่
กิจวัตรของเหนือภพเมื่ออยู่ที่นี่ นอกจากกวาดลานวัด แบกน้ำ ทำความสะอาดศาลาปฏิบัติธรรม และปัดกวาดทางเดิน เขาก็ไม่ได้ฝึกเกี่ยวกับการต่อสู้อะไรอย่างอื่นเลย นอกจากเรียนหนังสือ อ่านตำรา แล้วก็นั่งฝึกจิต ฝึกญาณเพ่งกสิณ ซึ่งเป็นวิชาแขนงหนึ่งที่ผู้ไร้พรสวรรค์สามารถฝึกฝนได้
ใช้เวลาเพียงปีเศษ ๆ เหนือภพถึงจะหลุดพ้นจากสภาวะความแค้น และความเศร้าลึกล้ำภายในใจ แม้จะยังไม่หมดสิ้นแต่จิตใจเขาก็สงบมากพอที่จะเข้าใจในคำสอนของพระอาจารย์
“ทุกชีวิตล้วนมีวิบากกรรม เป็นหรือตายล้วนเป็นเรื่องของชะตา ไม่มีใครหยั่งรู้หรือหลีกเลี่ยงมันได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ชีวิตเป็นของข้าเห็น ๆ จะเป็นหรือตายข้าต้องเป็นคนกำหนดสิอาจารย์ ชะตาบ้าบงบ้าบออะไรข้าไม่สนใจทั้งนั้น หากมนุษย์ถูกกำหนดโดยชะตา ก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว รอให้ชะตาเอามาอาหารมาป้อนให้ถึงปากก็พองั้นหรอครับ อาจารย์”
ผู้เป็นอาจารย์ถอนหายใจ แต่ก็รู้สึกโล่งใจที่เหนือภพไม่เอาแต่พูดเรื่องฆ่าฟันอีกแล้ว
“วันนี้เจ้าไปพักเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะสอนเพลงมวยให้กับเจ้า”
เหนือภพอ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ
“อาจารย์ ท่านไม่ได้หลอกข้านะ ท่านพูดแล้วจะมากลับคำทีหลังไม่ได้นะ”
ที่ผ่านมาเขาอยากจะเรียนมวยใจจะขาด แต่พระอาจารย์ก็ได้แต่บอกให้รอไปก่อน แล้วจะสอนเองเมื่อถึงเวลา
จากนั้นวัน ๆ ก็เอาแต่ให้เขาฝึกสมาธิ ฝึกจนไฟแค้นของเขาดับมอด จนตอนนี้เขากลับไม่รู้ว่าถ้าไปแก้แค้นแล้วมันจะได้อะไร ถึงยังไงกลิ่นจันทน์ก็ไม่กลับคืนมา
เพียงแต่ต่อไปนี้เขาจะไม่ใช้คำว่าแก้แค้น เขาแค่จะทำให้พวกมันรู้สำนึกและไม่ให้มีโอกาสได้ไปทำร้ายใครอีก ให้เวลาที่เหลือในชีวิตของมัน จงระลึกถึงความผิดบาปที่อยู่ในใจจวบจนวันตาย นี่คือความเมตตาที่เขาจะมอบให้พวกมันเมื่อเวลานั้นมาถึง
รุ่งเช้าหลังจากที่เหนือภพลงไปตักน้ำที่เชิงเขาสำเร็จ เขาก็ทิ้งถังไม้สองใบกับไม้หามลง ก่อนจะล้มลงนอนใต้ต้นไทรโบราณบริเวณหน้าลานวัด ใบหน้าเหนื่อยหอบพลางทอดถอนลมหายใจ
สองปีแล้วที่เขาเอาแต่แบกน้ำมาเติมโอ่งให้เต็มในแต่ละวัน เขาเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว
เขายังไม่ชินสักทีกับการลงไปตักน้ำด้วยระยะทางถึง 10 กิโลเมตร เส้นทางลาดชันทั้งยังเป็นป่า ตอนลงยังพอว่าแต่ตอนขึ้นเขากลับมาแต่ละครั้งเล่นเอาเขาแทบปางตาย
เขาจำได้ดีครั้งแรกที่ถูกอาจารย์ใช้ให้ลงไปตักน้ำสองถัง เขาต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะกลับมาถึง แถมยังเป็นการกลับมาที่น่าอนาถที่สุด พอรู้ตัวอีกทีเขาก็นอนอยู่ที่หน้ากุฏิอาจารย์ แล้วหลับไปหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ
ความน่ากลัวของเชิงเขาข้างล่างนั้น ปัญหามันไม่ได้เกี่ยวกับระยะทาง หรือสัตว์อสูรอะไรเลย แต่มันคือแรงกดทับที่จะหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเดินลึกลงไป ตีนเขาที่ตั้งของวัดแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความลึกของสถานที่แห่งนี้ แต่ถัดออกมีแม่น้ำสายใหญ่โอบล้อมรอบทุกด้าน ปลายสายแม่น้ำเหล่านี้มีน้ำตกที่ถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก จนไม่อาจหยั่งความลึกของมันได้
เมื่อเขาถามถึงพื้นที่ที่อยู่ใต้น้ำตกนั้น พระอาจารย์ก็แค่บอกว่าให้ระวัง อย่าได้ตกลงไปเป็นอันขาด ที่นั่นเป็นป่าโบราณเก่าแก่มีสัตว์อสูรระดับสูงมากมายอาศัยอยู่ ตราบใดที่เขายังอยู่บริเวณวัด เขาก็จะปลอดภัย
แต่พอคิดเรื่องนี้ก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้
“คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้ายังไม่เหมาะที่จะลงไปยังพื้นที่แห่งนั้น ลงไปก็มีแต่ตายกับตาย”
จู่ ๆ พระอาจารย์สิริก็เอ่ยขึ้นข้างตัวเหนือภพ เหนือภพที่กำลังนอนหงายอยู่ใต้ต้นไทร เด้งตัวลุกขึ้นทันทีด้วยไม่กล้าทำตัวเสียมารยาท
“พระอาจารย์ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ข้าไม่ได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ข้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว มีแต่เจ้าเองที่ไม่สนใจสิ่งใด อยู่ ๆ ก็ล้มตัวลงนอน เจ้าสนใจอาจารย์อย่างข้าซะที่ไหน”
พระอาจารย์สิริตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่เหนือภพรู้สึกได้ว่ามันเป็นความสงบที่แฝงอาการแง่งอนเล็ก ๆ
“พระอาจารย์ ข้าจะลืมท่านได้ยังไง ข้าออกจะคิดถึงท่านตลอดเวลา”
“เจ้านี่มันกะล่อนเหมือนศิษย์พี่ทั้งสองเสียจริง มันคงเป็นกรรมของข้าเอง”
พระอาจารย์สิริเอ่ยพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ อย่างปลงในโชคชะตา แต่พอคิดถึงเรื่องราวของตัวท่านเองในวัยเด็ก ท่านก็เผยยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
“อาจารย์ ศิษย์พี่ทั้งสองของข้าเคยลงไปข้างล่างน้ำตกนั่นหรือเปล่าครับ”
“แน่นอนว่าต้องเคย หากไม่ลงไปข้างล่างนั่น พวกมันก็ออกจากที่นี่ไม่ได้ สักวันเมื่อเจ้าจำเป็นต้องออกไปจากที่นี่ เจ้าก็ต้องลงไปที่นั่น แต่ด้วยสภาพร่างกายของเจ้าในตอนนี้ยังไม่พร้อม หากเจ้าอดทนและพยายามให้มากก็จะใช้เวลาอีกไม่นาน”
“บรรพชิตไม่มีทางพูดปด หากเทียบในทางพรสวรรค์ระหว่างเจ้ากับศิษย์พี่ทั้งสอง ถือว่าเจ้าดีกว่ามาก ศิษย์พี่ของเจ้ากว่าจะผ่านช่วงเวลาฝึกจิตสมาธิก็ต้องเสียเวลาไปกว่าห้าปี ทั้งฝึกวิชายังไม่ทันชำนาญก็ดันพากันหนีออกไป เพราะกลัวที่จะต้องบวช”
“อาจารย์ การที่ท่านให้ข้าบวช ไม่ใช่เพราะว่าท่านเหงา กลัวข้าหนีไปอย่างศิษย์พี่ใช่ไหม”
เหนือภพเอ่ยถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เกรงว่าจะโดนลงโทษที่กล่าวหาว่าอาจารย์เหงา แต่จริง ๆ อาจารย์ก็น่าจะเหงาจริง ๆ แหละ ก็ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ที่นั่นจะมีอาจารย์อยู่ด้วยเสมอ ไม่ว่าเวลากิน เวลานอน ท่านก็จะมาอยู่ข้าง ๆ แล้วก็มักจะมาชวนคุย หรือไม่ก็เทศนาธรรมให้เขาฟังเสมอ
หากไม่เรียกว่าเหงา แล้วจะเรียกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ไม่น่าใช่ คนเราไม่น่าจะบังเอิญถึงขนาดพบหน้ากันเกือบทุกเวลา
“บรรพชิตคือผู้สละกิเลส ความเหงาก็เป็นเพียงเศษอารมณ์ที่พัดผ่านไปมาดุจสายลม ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้เกิดจากเรา ข้าไม่ได้ยึดอารมณ์นั้น ข้ายึดติดเพียงคำสอนของศาสดา ดังนั้นข้าไม่เหงา”
เหนือภพยิ้มแห้ง ๆ ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร แต่ในใจนั้นกลับตรงกันข้าม
‘ไม่จริง ท่านเหงาเห็น ๆ’
Favorite ป๊อก ป๊อก ป๊อก
ท่ามกลางเสียงเคาะไม้ทรงกลมที่แกะสลักเป็นรูปปลา เหนือภพใช้มือซ้ายอ่านจดหมายฉบับล่าสุดของเหนือฟ้า ในขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิ มือข้างขวาเคาะบักฮืออยู่ในวิหารดัง เป็นจังหวะไปพร้อมกับเสียงสวดมนต์ของพระอาจารย์สิริ
ตลอดเวลากว่าสี่ปีที่ผ่านมามันช่างยาวนานจริง ๆ อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป ยกเว้นเขาที่ยังคงเป็นเณรน้อยหัวขาวที่ต้องหมั่นทำวัตรสวดมนต์ ใช้ชีวิตเรียบง่ายตัดขาดจากโลกภายนอกมุ่งสู่ทางธรรม
เหนือภพรีบเก็บจดหมายของน้องรักก่อนจะเปลี่ยนมือซ้ายมาทำท่าพนมมือข้างเดียวดังเดิม เมื่อเขาเห็นว่าพระอาจารย์ยังคงหลับตาท่องบทสวดอยู่ เขาก็รีบหลับตาภาวนาตาม
เมื่อเสียงบทสวดจบลงพระอาจารย์สิริก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดกับเหนือภพด้วยกระแสเสียงอันสุขสงบ
“เจ้าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แต่ลึก ๆ แล้วจิตใจของเจ้าย่อมรู้ดี หากเจ้าตัดขาดไม่ได้ การอยู่ที่นี่จะได้ประโยชน์อะไร”
คำพูดที่แฝงไปด้วยปรัชญาของพระอาวุโส ทำให้เหนือภพยิ้มแห้ง หากเป็นครั้งแรกอาจไม่เข้าใจ แต่ตลอดเวลากว่าสี่ปีมานี้ ทำให้เขารู้และเข้าใจในพระธรรมคำสอนของอาจารย์ แม้จะไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ก็เพิ่มพูนปัญญาให้เขาได้ไม่น้อยเลย
“ภพ ตอนนี้เจ้าก็อายุ 18 แล้ว เจ้าต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง ความรู้ทั้งหลายที่ข้ามี ก็ได้ถ่ายทอดให้เจ้าไปหมดแล้ว อยู่ที่ตัวเจ้าเองว่ารับได้แค่ไหน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากกลับออกไป ถ้าเจ้าตัดทางโลกไม่ได้เช่นนั้นก็ไปเถอะ
แต่จงจำคำของอาจารย์ไว้ วิชาความรู้ที่ข้าสอน อย่านำไปใช้ในทางที่ผิด หมั่นทำแต่กรรมดี ลดกรรมชั่ว สิ่งไหนควรให้อภัยก็ให้อภัย ใช้พลังความสามารถที่มีปราบปรามอธรรม อภิบาลคนดี ปกป้องผู้คนจากเหล่าสัตว์ร้าย”
แววตาของเหนือภพคลอไปด้วยหยาดน้ำตา สำหรับเขาแล้วอาจารย์ก็ไม่ต่างจากพ่อบังเกิดเกล้า ในยามที่เขาอ่อนแอจมอยู่ในความเศร้าเสียใจ ก็มีแต่อาจารย์ที่ฉุดรั้งเขาขึ้นมา ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคน กลายเป็นเหนือภพที่พัฒนาขึ้นแล้ว ไม่ใช่เด็กโง่เง่าที่ตัดสินทุกอย่างด้วยกำลังแบบเดิม
“ข้าจะไล่เจ้าได้ยังไง ในเมื่อใจเจ้าไม่เคยอยู่ที่นี่”
เหนือภพยิ้มทั้งน้ำตาก่อนคุกเข่าก้มกราบผู้เป็นอาจารย์สามครั้ง เพื่อให้ผู้เป็นอาจารย์ทำพิธีสึกให้ ก่อนบอกลาแล้วเดินทางออกจากวัด
จนกระทั่งเขามาหยุดยืนอยู่ริมน้ำตก เขาหันหลังกลับไปมองเห็นผู้เป็นอาจารย์ที่มักปรากฏตัวข้างเขาอยู่ตลอดเวลา
“อาจารย์ ศิษย์น้องสี่ ข้าขอลาตรงนี้ หากมีโอกาสเราคงได้พบกันใหม่”
เหนือภพยกมือไหว้อาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย โบกมือลาเณรน้อย จากนั้นก็กระโดดลงไปยังน้ำตกเบื้องหน้าทันที ขณะที่ภายในใจหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องราวตั้งแต่ต้น ก่อนที่เขาจะเป็นเขาในตอนนี้
“พี่ภพ พี่ภพ ท่านจะเอาแต่นอนตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่ มาเถอะ มาเล่นกับข้าเถอะ”
“กลิ่นจันทน์ เจ้าไปทำอะไรตรงนั้นล่ะ”
เหนือภพลุกขึ้นเอ่ยถาม เมื่อเห็นกลิ่นจันทน์ยืนอยู่ริมหน้าผา ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใส พลางโบกมือไปมาด้วยท่าทางร่าเริง และแล้วเธอก็กระโดดลงไปในหุบเหวท่ามกลางสีหน้าตื่นตกใจของเหนือภพ
เสียงร้องด้วยความตกใจของเหนือภพลากยาวจนกระทั่งเขาตื่นขึ้น พลางสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง จนทำให้พระภิกษุรูปหนึ่งที่กำลังนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจ
เสียงของเจ้าเด็กหนุ่มนี้ดังมาก ต่อให้เขามีจิตแกร่งกล้าแค่ไหนก็ต้องลืมตาขึ้นมาดู
เหนือภพเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง เขาเห็นชายสูงอายุคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาสวมใส่ชุดสีเปลือกส้มแห้ง ทั้งยังโกนหัวจนล้าน
แต่จะว่าไปรูปลักษณ์แบบนี้มันช่างดูคุ้นตา เหมือนว่าเขาเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่ง ใช้เวลาเพียงแปบเดียวเขาก็จำได้ เขาเคยเห็นในหนังสือประวัติศาสตร์นั่นเอง
พระภิกษุองค์นั้นพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไร
‘เอ ไม่ใช่ว่าพระได้หายสาบสูญไปหมดแล้วงั้นหรอ’
เหนือภพเคยรู้มาว่าเมื่อนานมาแล้วเคยมีพระอยู่มากมาย พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มคนที่บำเพ็ญเพียรถือศีลยึดมั่นอยู่ในธรรม อาศัยอยู่ในศาสนสถานที่เรียกว่าวัด
แต่ในช่วงนั้นสัตว์อสูรที่เคยมีมากอยู่แล้วก็เกิดเพิ่มจำนวนสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ศาสนสถานจึงถูกสัตว์อสูรบุกฆ่าทำลายโดยไม่มีใครช่วยเหลือ เนื่องจากศาสนสถานต่าง ๆ มักตั้งอยู่ในเขตห่างไกลผู้คนนั่นเอง
และด้วยความเชื่อมั่นของหลักคำสอนที่ยึดถือความเมตตา ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยอมตายภายใต้ร่มเงาของศาสนาดีกว่ามือเปื้อนเลือด
สุดท้ายเหล่าพระก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง ว่ากันว่าในยุคนี้จะพบเห็นพระได้ที่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น และเหล่าพระที่ยังเหลือรอดก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ถือศีลยึดมั่นอยู่ในธรรมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ทว่าพวกเขายังฝึกฝนอาคมเพื่อใช้ปกป้องตัวเอง และช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก จึงนับเป็นกลุ่มคนที่มีวิชาอาคมเก่งกล้า ผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอด แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็มักจะหลีกเลี่ยงการแสดงฝีมือหรือการฆ่า โดยหันไปถ่ายทอดวิชาแขนงต่าง ๆ ให้แก่เหล่าลูกศิษย์ เพื่อให้มาช่วยกันปราบปรามสัตว์อสูรอีกที
หลายวันหลังจากนั้น เมื่อเหนือภพพักฟื้นจนสามารถลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้ เขาก็ได้รู้เรื่องราวมากขึ้น ว่าคนที่ส่งเขามาสถานที่นี้ก็คือศิษย์คนโตของหลวงพ่อสิริ ท่านมีชื่อเต็ม ๆ ว่า ‘สิริจันโท’ แปลว่า ผู้มีสิริดุจพระจันทร์ และก็ท่านเป็นพระเพียงรูปเดียวของที่นี่
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แปลกประหลาด คงยากที่ใครจะได้พบพาน เพราะที่นี่คือถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ พื้นที่ของถ้ำนี้มีลักษณะคล้ายทรงกรวยปลายตัด โดยที่ปลายตัดข้างบนเป็นช่องว่างเปล่า เนื่องจากเพดานถ้ำคงเกิดถล่มลงมาเมื่อนานมาแล้ว ทำให้ถ้ำนี้สามารถเชื่อมต่อกับท้องฟ้าได้โดยตรง ฐานรูปวงกลมข้างล่างบรรจุน้ำตกสูงชัน น้ำตกสูงชันนี้ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่มันคงมีอยู่นานหลายหมื่นปีแล้ว มันเรียงตัวเป็นแผงน้ำตกโอบล้อมพื้นที่ใจกลางเอาไว้
พื้นที่ใจกลางถ้ำมีผืนดินตั้งอยู่ บนผืนดินนี้กว้างใหญ่มาก เหนือภพต้องใช้เวลาเกือบสัปดาห์ในการเดินสำรวจจนทั่ว
พื้นที่ริมธารน้ำที่อยู่ติดกับน้ำตกโดยรอบ มีป่าไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น ต้นไม้ใบหญ้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นพืชพรรณที่เหนือภพไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักมาก่อน ถัดจากป่าเข้าไปข้างใน ก็จะมีภูเขาสูงลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ มันคือภูเขาจริง ๆ มีขนาดพอ ๆ กับภูเขาสูงในป่าเหนือหมู่บ้านแร่ห้าสีของเขาเลยทีเดียว
ข้างบนภูเขามีซากปรักหักพังของศาสนสถานเดิม กระจายอยู่ทั่วบริเวณโดยไม่มีใครบูรณปฏิสังขรณ์ ยกเว้นกลุ่มอาคารที่อยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา บนนี้มีกลุ่มอาคารที่ได้รับการซ่อมแซมแล้ว มีศาลาปฏิบัติธรรมหลังเล็ก ศาลาเก็บคัมภีร์ที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่า และกุฏิสำหรับจำวัดอีกหนึ่งหลังที่มีขนาดเล็กมาก โดยมีพื้นที่พอสำหรับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามกลุ่มอาคารหลังเล็กกระจ้อยร่อยท่ามกลางภูเขาสูงอันมโหฬาร ยังไม่แปลกเท่ากับสภาพอากาศของที่นี่ ด้วยความจริงที่ว่า ที่นี่ก็คือถ้ำที่ตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ลึกยิ่งกว่าโพรงถ้ำที่เหนือภพเคยตกลงไปกับกลิ่นจันทน์เสียอีก แม้จะมีช่องว่างที่เชื่อมต่อกับท้องฟ้าได้บางส่วน แต่ก็เหมือนกับได้ตัดขาดจากโลกภายนอกไปแล้ว
ภายในถ้ำนี้มีสภาพภูมิประเทศเป็นของตนเอง มีสภาพภูมิอากาศเป็นของตนเอง มีกลุ่มไอน้ำ เมฆหมอกไหลเวียนตามวัฏจักรอยู่ภายในที่ไม่ขึ้นตรงต่อโลกภายนอกเลย เพียงอย่างเดียวที่พอจะทำให้รู้สึกเชื่อมกับโลกภายนอกได้ก็คือพระอาทิตย์กับพระจันทร์ดวงเดียวกันนั่นเอง
นอกจากนี้ที่นี่มีแรงโน้มถ่วงของโลกมากกว่าโลกข้างบนมากนัก คนธรรมดาคงไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เนื่องจากแค่ก้าวเดินเพียงก้าวเดียวก็สามารถทำให้เหนื่อยหอบได้เลยทีเดียว เสมือนว่าขาข้างหนึ่งหนักเพิ่มเป็นสามเท่า
เด็กชายเหนือภพผู้มีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าชาวบ้านจึงได้รับผลกระทบนี้เต็ม ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็แข็งแรงมากพอที่จะลบข้อด้อยนั้นได้
Favorite Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ ตอนที่ 52 ชื่อไม่เหมือนกัน แปลว่าไม่ใช่
เหนือภพดันตัวขึ้นจากน้ำด้วยความรู้สึกสิ้นหวังสุด ๆ เขาไม่อยากไปฆ่าล้างเผ่าครุฑอะไรนั่นเลย สมองของเขาว่างเปล่าราวกับไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว จู่ ๆ เขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ทําให้จิตใจและหัวสมองของเขาปลอดโปร่งผ่อนคลาย
มันคือกลิ่นไม้จันทน์หอม เป็นกลิ่นที่ทั้งน่าค้นหาและอบอุ่นนุ่มนวลอย่างบอกไม่ถูก
เขาจ้องมองหญิงสาวที่งดงามเย้ายวนเบื้องหน้า ด้วยความงามตามแบบฉบับของเธอทําให้เขาจําได้ เธอคือหนึ่งในดาวเด่นบนเวทีที่เขาจ้องมองด้วยความสงสัยในวันนั้น เมื่อได้จ้องเธอนานมากขึ้นเหนือภพก็ขมวดคิ้ว ความรู้สึกแรกที่เขามีต่อเธอคือเธอไม่เหมือนกับกลิ่นจันทน์ แต่เธอก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างประหลาด ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน
ไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตาม เขาจําได้แล้วว่าเธอคือนางมารผู้นั้นแน่นอน
“เจ้าชื่ออะไร”
“พราวจันทร์”
เหนือภพมีสีหน้าหม่นหมองลง ด้วยคาดหวังว่าจะเป็นคนที่เขาคิดแต่กลับไม่ใช่ เหนือภพตัดสินใจหันหลังเดินขึ้นจากบ่อนํ้าท่ามกลางสายตาของพราวจันทร์ เธอจ้องมองแผ่นหลังชายหนุ่มอย่างโหยหา เธอพยายามปกปิดความรักและความโหยหาเอาไว้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับปรากฏชัดในแววตาของเธอ เธอก้มหน้างุดทันทีที่เหนือภพหันมองกลับมาอีกครั้ง
“คุณชายหากท่านไม่มีธุระแล้วก็ไปเถอะ”
พราวจันทร์เองก็ผิดหวังเช่นกัน แม้ว่าเธอจะดูแลตัวเองจนกลายเป็นสาวสะคราญและเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนฐานะ แต่เธอก็ยังคงมีเค้าโครงหน้าคล้ายตอนเป็นเด็ก แถมยังใช้น้ำหอมกลิ่นเดิมเพื่อให้เหนือภพจําได้ แต่เขากลับจําไม่ได้ นี่เขาซื่อบื้อมากเกินไปแล้ว
เหนือภพจ้องมองพราวจันทร์อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง เธอคือคนที่มีสัมพันธ์ทางกายกับเขา แม้เขาจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างแต่กลิ่นจันทน์ก็คือกลิ่นจันทน์ พราวจันทร์ก็คือพราวจันทร์ ชื่อไม่เหมือนกัน แปลว่าไม่ใช่คนคนเดียวกัน
ในความคิดของเหนือภพ กลิ่นจันทน์เป็นแค่ผู้หญิงบ้าน ๆ สวยแบบบริสุทธิ์ดูแล้วสบายตาสบายใจ แถมเธอยังเป็นคนขี้อายผิดกับพราวจันทร์ลิบลับ พราวจันทร์นั้นแข็งแกร่ง ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยกระแสอาคมจํานวนมาก บ่งชี้ชัดว่าเธอต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ ไม่ใช้ผู้ไร้พรสวรรค์อย่างที่เขาเข้าใจ
แม้ใบหน้าจะคล้ายกัน แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว ทั้งความสวยของพราวจันทร์เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าดึงดูด ราวกับดอกไม้ลึกลับที่แสนเย้ายวน แต่ก็เต็มไปด้วยพิษร้ายที่น่าค้นหา เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเองก็หลงใหลไปกับเสน่ห์ของเธอ จนแก่นกายของเขาถึงกับเริ่มคับแน่น
เหนือภพกําหมัดต่อยลงไปในน้ำเบา ๆ แต่นั่นก็ก่อเกิดเป็นคลื่นน้ำร้อนขนาดย่อมซัดเข้าหาพราวจันทร์ที่ยังคงยืนอยู่กลางสระน้ำ
“ว๊าย”
ชุดคลุมของพราวจันทร์ถูกน้ำซัดจนหลุดออกไป เผยร่างเปลือยเปล่าขาวเด่นกลางสระน้ำ
เหนือภพจ้องมองบาดแผลที่อกซ้ายของพราวจันทร์ด้วยความรู้สึกเคลือบแคลง แผลเป็นบริเวณหัวใจงั้นหรือ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเองก็อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ได้ เขาจึงได้แต่จ้องบาดแผลใต้ทรวงอกเต่งตึงคู่โตอยู่อย่างนั้น
พราวจันทร์หัวใจเต้นระรัว แม้เธอจะเคยแกล้งเขินอายต่อหน้าผู้อื่น เปิดเผยบางส่วนเพื่อยั่วยวนทําให้ผู้ชายทั้งหลายรู้สึกชอบและหลงใหล เพื่อแลกกับบางอย่าง แต่เมื่อเธออยู่ต่อหน้าเหนือภพ เธอกลับรู้สึกอายจริง ๆ ราวกับว่าเธอเกิดมาเพื่ออายต่อหน้าผู้ชายคนนี้เท่านั้น ทําให้การควบคุมร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึกอันสมบูรณ์แบบของตัวเธอสั่นคลอน
พราวจันทร์รีบย่อตัวลงจนระดับน้ำปริ่มปลายคาง กลีบดอกไม้นานาพรรณไหลกลับมาปกปิดนวลเนื้อที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำอีกครั้ง
“ท่านจะมองข้าไปอีกนานเมื่อไหร่ ท่านไม่รู้หรือไงว่าข้าเป็นใคร ท่านทําให้ข้าเสียเกียรติเช่นนี้ ท่านรับผิดชอบข้าไหวหรอ”
คําพูดสั่นระริกของเธอทําให้เหนือภพได้สติ เขาลองคิดคํานวณคร่าว ๆ เกี่ยวกับราคาของดาวเด่นของหอหมื่นบุปผา แต่ยิ่งคิดใบหน้าเขาก็ยิ่งมืดครึ้ม จะแต่งเมียทั้งทีจะใช้เงินมากขนาดนั้นไม่ได้ เหนือภพรีบหันหลังกลับทันที แม่คงไม่ว่าเขาหรอกมั้งถ้าเขาไม่รับผิดชอบผู้หญิงคนเดียว
เหนือภพปีนป่ายขึ้นไปถึงสันหลังคา ก่อนจะมองกลับมาทางพราวจันทร์ อย่างน้อยเขาก็ควรเอ่ยอะไรบางอย่างที่เหมาะสมกับเธอ
“เจ้าหุ่นดีแบบที่ข้าชอบเลย”
พูดจบเขาก็หายตัวไปพร้อม ๆ กับเสียงเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่วิ่งขึ้นบันไดมาเพื่อรักษาความปลอดภัยบนชั้นพิเศษแห่งนี้
“เจ้าหุ่นดีแบบที่ข้าชอบเลย”
พราวจันทร์พึมพําทวนคําพูดของชายหนุ่ม ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าแดงเรื่อขึ้น เธอไม่รู้ว่าเธอจะเกลียดผู้ชายคนนี้ได้ยังไง
“ตาบ้า”
ช่างเถอะ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยให้เขาคิดไปเองสักพัก รอให้เธอทํางานที่อาจารย์ผู้ล่วงลับมอบหมายสําเร็จเสียก่อน เธอถึงจะบอกความจริงทุกอย่างแก่เขา และเธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขกับเขา แต่ตอนนี้เธอไม่อาจดึงใครเข้ามาพัวพันได้อีก
“นายหญิง ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
องครักษ์หญิงจากหอหมื่นบุปผาค้อมหัวต่ำลงขณะเอ่ยถามด้วยท่าทางยําเกรง พราวจันทร์ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าไม่พอใจพลางจ้องมองผู้เป็นองครักษ์ของตนด้วยรังสีสังหาร
“วันนี้ใครเฝ้าเวร”
องครักษ์หญิงทรุดตัวหมอบลงกับพื้นทันที
“นายหญิงได้โปรดให้อภัยด้วย กิ่งหลิวน้องสาวข้ายังเด็ก นางยังไม่รู้ความ เข้าเวรครั้งแรกก็ก่อเรื่อง ป้องกันหละหลวมทําให้มีคนบุกรุกเข้ามาได้ ขอให้นายหญิงโปรดอภัยให้น้องข้าสักครั้ง ข้ากิ่งทองจะขอรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดไว้เอง”
พราวจันทร์หลับตานิ่ง สาวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกก็รู้สถานการณ์ พวกเธอรีบเข้ามาพร้อมกับเสื้อชุดใหม่ที่เตรียมไว้ให้นายหญิง ชุดสีแดงสดที่ซ้อนสีขาวไว้ข้างในถูกสาวรับใช้ค่อย ๆ สวมเข้ากับร่างกายของพราวจันทร์
พราวจันทร์ยังไม่ได้ตอบอะไร เธอรู้สึกลําบากใจที่จะลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เธอก็จําเป็นต้องทํา การที่เธอได้เจอกับเหนือภพเป็นอะไรที่น่ายินดี แต่สถานที่ที่ได้พบกันถือเป็นสถานที่ส่วนตัวที่ควรมีการป้องกันหนาแน่น ทว่ามันกลับหละหลวมจนคนนอกเข้ามาได้ถึงสองคน แล้วอย่างนี้เธอจะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้อย่างไร
“ครั้งนี้ข้าไว้ชีวิตน้องเจ้าก็ได้ ตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าลดตําแหน่งไปดูแลน้องเจ้า จนกว่านางจะเก่งเทียบเจ้า แล้วเจ้าค่อยกลับมารับตําแหน่งเดิม หากเกิดเรื่องเป็นครั้งที่สองอีก เจ้ารู้คงรู้นะว่าต้องทําอย่างไร อย่าให้ข้าผิดหวังอีก”
“ขอบคุณนายหญิง ขอบคุณท่านมาก”
องครักษ์กิ่งทองรู้สึกโล่งใจมาก ขอเพียงน้องไม่ตายและทั้งยังได้อยู่คู่กันเธอก็พอใจแล้ว เธอรู้สึกสํานึกในความเมตตานี้อย่างยิ่ง
การตัดสินใจของนายหญิงในครั้งนี้ทําให้องครักษ์คนอื่น ๆ แปลกใจ แต่ความแปลกใจก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อพวกเธอได้รับคําสั่งให้ไปสืบหาตัวการอย่างลับ ๆ ม่านอาคมคุ้มกันอาคารแห่งนี้ใช่ว่าใครจะฝ่าทะลุเข้ามาโดยง่าย เหตุการณ์หละหลวมในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องผิดปกติเกินไป ดังนั้นการลงโทษองครักษ์หญิงนั้นเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าที่พราวจันทร์วางหมากไว้
หลังจากเหนือภพปีนลงมาจากหลังคา เขาก็ไม่สามารถหลบหนีออกไปจากบริเวณนี้ได้ เพราะม่านอาคมถูกเปิดใช้อย่างเต็มอัตรา เขาจึงไม่สามารถแหวกม่านคมออกไปได้ ทําให้เขางวนอยู่ในอาคารนี้เพื่อหาทางออก จนกระทั่งเขาพบกับกลิ่นแก้ว สตรีผมแดงที่มักแต่งกายยั่วยวนด้วยการเปิดเนินอก เธอใช้นิ้วชี้ทาบริมฝีปากตัวเองเป็นสัญญาณให้เขาเงียบ แล้วพาเหนือภพมาซ่อนในตู้เสื้อผ้าเล็ก ๆ ในห้องนอนส่วนตัว แล้วรอจนกระทั่งพวกองครักษ์ที่ออกตามหาผู้บุกรุกที่ละห้องเคลื่อนไหวจากไป เธอจึงพาเหนือภพออกมานั่งคุยกัน
“ท่านมาทําอะไรที่นี่”
เหนือภพไม่รู้จะตอบอะไรเขาจึงตอบโต้ไปด้วยคําพูดง่าย ๆ
“ข้ามาตามหาแมว”
กลิ่นแก้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะออกมา
“แมวเนี่ยนะ ท่านเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง แต่ช่างเถอะ ยังไงท่านก็เคยช่วยข้าและเพื่อนไว้ ท่านแอบที่นี่ไปก่อน รออีกสิบชั่วโมงพอถึงเวรยามของข้า ข้าถึงจะพาท่านออกไปได้”
“แล้วทําไมหอคณิกาถึงต้องมีเวรยามแน่นหนาถึงเพียงนี้”
กลิ่นแก้วชะงักไปเล็กน้อย คนทั่วไปไม่มีทางรู้ว่าหอคณิกาและตึกบุปผาของกลุ่มภารดาเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น
“ก็เอาไว้ป้องกันผู้ชายหื่นกามแบบท่านไง”
เหนือภพพยักหน้ารับโดยไม่แย้งอะไร แต่ก่อนที่กลิ่นแก้วจะออกไป เหนือภพก็รั้งไว้ก่อนด้วยคําถามที่แม้แต่กลิ่นแก้วก็ยังต้องตะลึง
“ท่านว่ายังไงนะ”
“ข้าอยากรู้ว่า ค่าสินสอดสําหรับสู่ขอผู้หญิงในหอพวกเจ้ามันเท่าไหร่”
เหนือภพถามอย่างจริงจัง แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่อยากรับผิดชอบ แต่ความรู้สึกผิดในใจและใบหน้าผิดหวังของพราวจันทร์ก็ลอยเด่นเข้ามาในห้วงความคิดของเขา ทําให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ในเมื่อนางกับเขามีอะไรกัน เขาก็ควรทําให้มันถูกต้อง
กลิ่นแก้วจ้องหน้าเหนือภพไม่วางตาแล้วก็ยิ้มออกมา
“อ่อ ที่แท้ท่านไม่ได้มาหาแมว แต่มาหาสาวนี่เอง”
เหนือภพส่ายหน้าปฏิเสธ แต่กลิ่นแก้วหรือจะเชื่อ
“ท่านอย่าได้โกหกขาเลย ผู้ชายที่มาที่นี่หากไม่เข้ามาลอบสังหารเพราะโกรธแค้น ก็มาเพราะอยากยลโฉมสาวงามดาวเด่นหอหมื่นบุปผาทั้งนั้นแหละ และสภาพอย่างท่านย่อมไม่ใช่มือสังหาร ไหนลองบอกข้ามาสิว่าท่านมาหาหญิงงามคนใด เพื่อข้าจะช่วยท่านได้”
เหนือภพไม่ตอบ เพียงแต่แหงนมองขึ้นไปยังชั้นบนสุด ยังไม่ทันได้หลุดปากพูดชื่อเธอ กลิ่นแก้วก็ดูเหมือนจะเข้าใจและปะติดประต่อเรื่องได้
“อย่าบอกนะ ผู้หญิงท่านที่ถามถึงคือนายหญิงที่อยู่ชั้นบนสุด”
กลิ่นแก้วจะเป็นลม เมื่อเธอเห็นใบหน้าของผู้ชายบ้าพยักขึ้นลงเป็นการตอบคําถามเธอ
“ท่านรู้แล้วสินะว่าคนที่ช่วยท่านคือนายหญิงพราวจันทร์”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เหนือภพเองก็มั่นใจได้อย่างไร้ข้อกังขา ผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับเขา ทั้งยังพรากความบริสุทธิ์ของเขาไป คือพราวจันทร์ ดาวเด่นแห่งหอหมื่นบุปผา
“ท่านเลิกคิดซะเถอะ หากเป็นผู้หญิงในหอคนอื่น ๆ ขอแค่ท่านมีความจริงใจ และมีเงินมากสักหน่อย ข้าก็ช่วยท่านได้ แต่หากเป็นนายหญิงของข้า แค่คิดก็ผิดแล้ว ผู้คนทั้งใต้หล้าอยากได้นางมาเป็นภรรยาทั้งนั้น”
เมื่อเห็นว่าเหนือภพยังคงตั้งใจฟังอย่างไม่กริ่งเกรง เธอก็พูดต่อ
“ขนาดองค์ชายไม่เอาไหนอย่างองค์ชายชัยธวัชยังไม่สามารถเชยชมนายหญิง แค่ทานข้าวร่วมกันสักมื้อก็ยังยาก นับประสาอะไรกับท่าน ต่อให้ท่านมีใจและนายหญิงมีใจ พวกท่านก็ไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุข เชื่อได้เลยว่าหากข่าวที่ท่านกับนายหญิงมีความสัมพันธ์ทางกายกันหลุดออกไปก็ทําให้คนทั้งแผ่นดินตามล่าท่านได้แล้ว นับประสาอะไรกับการสู่ขอ ท่านยังไม่ทันได้ถึงหน้าห้องหอก็มีคนมากมายแห่มาฆ่าท่านก่อนแล้ว”
“ท่านตัดใจเสียเถอะ”
กลิ่นแก้วกล่าวออกไปด้วยความหวังดี มีคนที่ถูกฆ่าเพราะลุ่มหลงนายหญิงไม่ใช่น้อย เหนือภพเงียบ ขณะคิดใคร่ครวญในใจ เขารู้สึกแปลกๆ ทําไมเขารู้สึกเสียดายเมื่อได้ยินแบบนั้น
“หากมันร้ายแรงขนาดนั้นก็ช่างเถอะนะ”
เหนือภพยิ้มแห้ง ๆ ในใจรู้สึกไม่สบายใจหนักกว่าเก่า
“ท่านคิดแบบนั้นได้ก็ดี เอาล่ะ ข้าจะตอบคําถามท่านให้ละกัน เรื่องสินสอดนะ จะมากน้อยไม่ได้สําคัญหรอก แต่มีสิ่งสําคัญอยากให้ท่านจําเอาไว้ ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ต้องการเงินทองมากมายอย่างที่ท่านคิดหรอกนะ เพียงแค่ท่านสัญญาว่าจะรัก ดูแล ซื่อสัตย์และจริงใจต่อนาง เพียงเท่านั้น นางก็ยินดีถวายชีวิตและติดตามท่านไปทั่วทุกหนแห่งแล้ว”
กลิ่นแก้วพูดด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็เคยมีความรักและก็มีคนเคยมอบสิ่งนั้นให้เธอเช่นกัน แต่น่าเสียดายพวกเขาไม่อาจอยู่ร่วมกัน ได้แต่เก็บความโหยหาไว้ในความทรงจําที่งดงาม
เหนือภพเก็บคําพูดนี้ไว้ในใจ เมื่อถึงเวลากลิ่นแก้ว ใบหลิวและแตงทองก็ช่วยกันพาเหนือภพออกมาจากที่นั่นอย่างปลอดภัย
Favorite เหนือภพวิ่งหนีออกมาไกลพอสมควรกว่าจะเห็นรอยกรงเล็บที่ฉีกยาวตั้งแต่สะดือยาวขึ้นมาถึงหน้าอก เลือดสีแดงไหลทะลักออกเป็นจํานวนมาก
“เกิดอะไรขึ้น”
เหนือภพมีสีหน้าตกตะลึง เขาไม่เข้าใจ เขามีผ้าประเจียดของพระอาจารย์ที่ช่วยป้องกันอันตรายได้เขาจึงไม่ค่อยระวังตัวนัก ขนาดพิษของพญานาคยังทําอะไรเขาไม่ได้แล้ว เพราะอะไรกันเจ้าตาเหยี่ยวนั่นถึงทําร้ายเขาได้
เขาล้วงเอาใบสาบเสือออกมาจากถุงผ้า เคี้ยวจนละเอียดแล้วโปะบนบาดแผล เขาต้องห้ามเลือดให้เร็วที่สุดไม่เช่นนั้น เจ้าตาเหยี่ยวนั่นคงตามเขาเจอแน่ จากนั้นเขาก็กระโดดไปมาระหว่างต้นไม้ สลับกับการวิ่งบนพื้นหินหนา เพื่อลดร่องรอยให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทําได้จะว่าไปน้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็ทําให้เขาประสบปัญหาจริง ๆ ด้วย
เขาหนีกลับเข้ามาในตัวหมู่บ้านแสนคึกคัก แล้วเขาก็เจออาคารขนาดใหญ่หลังหนึ่งทอดตัวยาวอยู่ข้าง ๆ อาคารประมูลมันมีความสูงสี่ชั้น แต่ละชั้นล้วนก่อสร้างมาอย่างพิถีพิถัน แถมยังมีเวรยามผู้ใช้อาคมสตรีอยู่เป็นจํานวนมาก มันน่าจะเป็นพักอาศัยของบรรดาคุณหนูผู้ร่ำรวยหรือไม่ก็ภริยาของเจ้าเมือง หากเขาหนีเข้าไปในนี้เจ้าตาเหยี่ยวคงนึกไม่ถึงเป็นแน่
แต่เขาจะเข้าไปด้วยวิธีไหนโดยไม่ให้มีใครจับได้ จะใช้อาคมย่นระยะทางก็ไม่ได้ เพราะหากสายตาเรามองไม่เห็นจุดที่จะไป อาคมย่นระยะทางก็จะไม่ได้ผล
“รู้งี้น่าจะเรียนเรื่องจิตสมาธิให้มากกว่านี้ก็ดี”
หากเขาใช้ตาทิพย์มองทะลุกําแพงอาคารได้ เขาก็สาม รถใช้อาคมร่นระยะทางเคลื่อนตัวเองเข้าไปได้ในทันที เห็นทีคงต้องเปลี่ยนแผนเหนือภพหันซ้ายแลขวาหาจุดเหมาะ ๆ ที่คิดว่าจะหลบสายตาผู้คนได้ เขาย่อขาเกร็งกล้ามเนื้อเพิ่มระดับกําลังขาขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าจะกระโดดข้ามอาคารหลังนี้ไปเลย เผื่อเจ้าตาเหยี่ยวจะคิดว่าเป็นแผนซ้อนแผนของเขา จนเข้าใจผิดไปว่าเขาเข้าไปแอบในอาคารหลังนี้
“ก็แค่อาคารสี่ชั้นสบายอยู่แล้ว”
เหนือภพดีดตัวพุ่งขึ้นฟ้าไม่ต่างจากลูกธนูหลุดจากแล่งความเร็วระดับนั้นยากที่คนอื่น ๆ จะคิดว่าเหนือภพเป็นมนุษย์จึงไม่มีใครสนใจ
เหนือภพลอยละลิ่วตกลงมาด้วยความเร็วสูง เขาคิดไว้ว่ายามที่เขาตกถึงพื้นจะต้องหาทางโล่งกลิ้งออกไปเพื่อลดความเสียหายของพื้นอีกฝั่งหนึ่ง และการใช้แรงตกมาเสริมแรงกลิ้งของเขาคงจะทําให้เขาหนีไปต่อได้ไวยิ่งขึ้น
แต่มีอย่างหนึ่งที่เขาคาดผิดถนัด ความกว้างของอาคารหลังนี้แตกต่างจากอาคารทั่ว ๆ ไปมากนัก แทบจะกว้างเท่า ๆ กับความยาวของมันเลยทีเดียว เข้าไม่ได้เตรียมตัวมาเจอกับสิ่งนี้เลย
“เห้ย”
เบื้องล่างมีหลังคาทรงจั่วที่ทํามาจากกระเบื้องชั้นดีทอดตัวยาวหักมุมต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตรงกลางอาคารเป็นห้องบนชั้นสีที่เปิดโล่งปราศจากหลังคา เหนือภพมองไม่ออกว่า มันคือห้องอะไร เพราะมันดูเหมือนจะมีไอน้ำร้อนจํานวนมากลอยละล่องขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และมีแสงจากโคมไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเหนือภพตกลงไปใกล้จะถึงกลุ่มไอน้ำร้อนเขาก็สังเกตเห็นว่ามีหญิงสาวผมยาวสยายคนหนึ่งกําลังอาบน้ำขัดตัวอยู่กลางสระน้ำร้อนขนาดใหญ่นั้น
หญิงสาวที่มีองครักษ์คุ้มกันมากมายเช่นนั้นถ้าไม่ใช่องค์หญิง ก็คงต้องเป็นผู้ที่มีตําแหน่งใหญ่โตมากแน่ เหนือภพพยายามเก็บเสียงเงียบ ปล่อยให้ตัวเองตกลงไปที่สระ น้ำอย่างไม่มีทางเลือกจะเบนทิศทางตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
“ตายแน่”
เหนือภพคร่ำครวญในใจ เขาอยากจะตกลงไปในน้ำให้เบาที่สุดโดยไม่มีใครรู้ แต่มันคงเป็นไปได้ยาก ด้วยเรี่ยวแรงและน้ำหนักตัวของเขาอาจจะทําให้เกิดเสียงน้ำระเบิด หรือหากน้ำในสระนี้ตื้นเขินเกินไป ก้นสระอาจร้าวหรือทะลุได้เลย
แต่เมื่อเหนือภพตกลงมาเกือบถึงกลุ่มไอน้ำ เขาก็ปะทะกับม่านอาคมหนาหลายชั้นที่ถูกกางปกป้องกันไว้ด้านบน เหนือภพตกกระแทกม่านอาคมจนแตกทะลุที่ละชั้น ๆ ทําให้การเคลื่อนที่ของเขาช้าลงเรื่อย ๆ ท่ามกลางสีหน้าอํามหิตของหญิงสาวที่อยู่กลางสระน้ำร้อน เธอสังเกตเห็นผู้บุกรุกแล้ว
เหนือภพตกน้ำดังจ๋อม ! มีเลือดไหลทะลักออกมาจากตัวเขา แต่เนื่องจากมวลน้ำร้อนในสระใหญ่สั่นกระเพื่อมไปมา รวมกลับกลีบดอกไม้หลากสีสันที่ลอยเต็มผิวน้ำ ทําให้เลือดของเขาถูกเจือจางไปจนไม่สามารถสังเกตเห็นได้
เขาทะลึงพรวดขึ้นจากน้ำ กลีบดอกไม้มากมายติดทั่วตัวเขาจนแทบจะมองไม่เห็นสิ่งรอบข้าง หญิงสาวร่างเปลือยเปล่าที่อยู่ในสระน้ำลึกเพียงอกพุ่งเข้ามาพร้อมกับตะเกียบเหล็กไหลภายในมือน้อย ๆ ของเธอ เธอจ้วงแทงไปยังจุดอ่อนบนร่างกายเหนือภพโดยที่ไร้ความปรานี
ทว่าก่อนที่มันจะสัมผัสตัวเหนือภพได้ ก็เกิดแรงต้านคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างมากั้นขวางการโจมตีของเธอไว้ และนั่นก็ทําให้เธอมีเวลามองหน้าผู้บุกรุกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“พี่ภพ”
เหนือภพรีบปาดกลีบดอกไม้ออกจากใบหน้าขณะพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า
“ข้าขอโทษจริง ๆ แม่หญิง ข้าไม่มีเจตนาแอบดูเจ้า ข้าแค่มาตามหาแมว”
เหนือภพไม่กล้าบอกว่าเขากําลังถูกคนตามล่า เพราะหากสตรีผู้นี้คิดว่าเขาเป็นคนร้าย ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ และเมื่อเขาเหลือบเห็นร่างขาวนวลของหญิงสาว เขาก็รีบหลุบตา หันไปทางอื่นในทันที
แน่นอนว่าพราวจันทร์ย่อมรู้ แค่เธอเห็นบาดแผลกับท่าทางร้อนรนแบบนั้น เธอก็รู้ว่าเขากําลังหลบหนีอะไรบางอย่างมา
“ข้าไม่รบกวนเจ้าล่ะ ข้าขอตัวก่อน”
เหนือภพเดินลุยน้ําที่สูงเพียงแค่ช่วงเอวของเขา ขณะกําลังจะขึ้นฝั่งสายตาของเขาก็เหลือบเห็นเจ้าตาเหยี่ยว มันกําลังบินขึ้นเหนือฟ้าเพื่อสอดส่องหาเขา และทิศทางขอ งมันก็กําลังตรงมาที่สระน้ำแห่งนี้เสียด้วย
เหนือภพรีบมุดลงไปที่ก้นสระน้ำทันที
พราวจันทร์ยิ้มกว้างขณะเหลือบมองเบื้องบน น้ำลึกเพียงแค่อกเธอแค่นี้คงจะหลบพ้นหรอก สายตาของตระกูลสุบรรณเวนไตยนั้นเฉียบคมมาก สายตาของพวกเขาสามารถแหวกผ่านไอน้ำร้อนได้อย่างสบาย มีหรือที่พวกมันจะมองไม่เห็นเป้าหมายที่ซ่อนอยู่ใต้สระน้ำ
“ตาโง่เอ๊ย”
พราวจันทร์คิดในใจพลางเผยรอยยิ้มขําขัน เธอทั้งมีความสุขและก็อ่อนใจ ถ้าไม่มีเธอสักคน เขาจะหนีพ้นได้อย่างไร
พราวจันทร์แปรเปลี่ยนตะเกียบเหล็กไหลในมือเป็นเส้นด้าย ขณะเหวี่ยงไปทางราวตากผ้า แล้วกระชากเสื้อคลุมยาวเนื้อดีตัวหนึ่งมาคลุมตัวไว้ จากนั้นเธอก็เคลื่อนตัวไปยืนคร่อมตรงจุดที่เหนือภพแอบอยู่ เธอไม่มีเจตนาทําลายเกียรติของเขา แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่จะหลบพ้นและทําให้คนของตระกูลสุบรรณเวนไตยไปจากที่นี่
การมีเรื่องกับตระกูลสุบรรณเวนไตยนั้นเป็นเรื่องโง่งม พวกเขาเป็นผู้เรืองอํานาจในแคว้นนี้อย่างแท้จริง พวกเขาไม่เพียงมีอํานาจในการตัดสินใจภายในแคว้นอมตะนครนี้ แต่พวกเขายังมีแคว้นขนาดใหญ่เป็นของตัวเอง ที่นั่นล้วนเต็มไปด้วยผู้คนสายเลือดตระกูลสุบรรณเวนไตยมากฝีมือ
ชายตาเหยี่ยวจ้องมองหาเหนือภพขณะบินอยู่บนฟ้า เจ้าเด็กนั่นต้องกระโดดมาทิศทางนี้แน่ ๆ และด้วยร่องรอยที่ทิ้งไว้ บนพื้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถข้ามผ่านอาคารที่ออกแบบพิเศษหลังนี้ได้ ตาเหยี่ยววิเคราะห์อย่างใจเย็น แต่เมื่อสายตาของเขาปะทะเข้ากับสายตาหนึ่ง ดวงตาของชายตาเหยี่ยวก็สั่นคลอน เขารีบทิ้งตัวลงบนหลังคาที่ทอดตัวล้อมรอบสระน้ำตรงกลางทันทีพร้อมกลับหันหลังให้
“พราวจันทร์ ข้าขอโทษ ข้าไม่คิดว่าเป็นเจ้า”
ท่าทางที่สุภาพเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งสุภาพมากไปอีก คําพูดคําจาของเขาตะกุกตะกักดูสูญเสียความมั่นใจ
ชายตาเหยี่ยวหลงรักพราวจันทร์มานานแล้ว เดิมทีด้วยความสามารถของเขาย่อมส่งให้เขารับตําแหน่งสําคัญในตระกูลได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับเลือกดํารงตําแหน่งมือปราบอาคมธรรมดาในเมืองหลวง นั่นก็เพราะนางคณิกาคนหนึ่ง
“พราวจันทร์”
เมื่อพราวจันทร์เผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่คุ้นเคย เธอก็กําชับผ้าคลุมปิดทรวงอกเต่งตึงให้มิดชิด แต่ดูเหมือนเธอจะรีบเกินไป เพราะผ้าคลุมช่วงไหล่ตกลู่ลงมา เผยไหล่ขาวเนียนทั้งสองข้าง มีกลีบกุหลาบแดงกลีบหนึ่งติดอยู่ตรงไหปลาร้า ช่างดึงดูดสายตาของเขานัก ส่วนสายตาของเธอนั้นฉายแววเอียงอาย และไม่มั่นใจดังสาวแรกรุ่น นั่นทําให้ชายตาเหยี่ยวที่สอบ แอบดูรู้สึกตื่นตัวในทันที เขาลอบยิ้มราวกับว่าเขาคือผู้ชนะ
“ทะ ท่านยังไม่ไปอีก”
เธอพูดอย่างแง่งอน ใบหน้ามีแววทิ้งตั้งแต่ดูน่ารักเหมือนเด็กสาว ชายตาเหยี่ยวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดี เธออายเขาแปลว่าต้องมีใจให้เขาบ้างแน่
“ได้ ข้าจะรีบไป หากเสร็จงานแล้ว ข้าจะมาหาเจ้าได้หรือไม่”
“นี่มันเวลาอะไรกัน ท่านยังมาหยอกล้อข้าอีก หากท่านต้องการพบข้าจริง เพียงแค่จริงใจข้าก็ยินดีให้พบ มิใช่ทําตัวเยี่ยง.. โจรปล้นสวาทเช่นนี้”
คําพูดของพราวจันทร์เต็มไปด้วยความรู้สึกไร้เดียงสา ทว่าเย้ายวน เธอย่อตัวลงในน้ำจนเหลือเพียงแค่ใบหน้าแดงแปร๊ด โผล่พ้นน้ำ สองมือกอดรัดผ้าคลุมแน่นจนทําให้หน้าอกของเธอ แทบจะทะลักออกมา ชายตาเหยี่ยวเหลือบมองครู่หนึ่งก็ถึงกับใจสั่นสะท้าน คอแห้งผาก เขารีบทะยานจากไปในทันทีด้วยสมองว่างเปล่า ลืมเสียสนิทว่าเขาควรจะทําอะไร
เมื่อชายตาเหยี่ยวหายลับเข้ากลีบเมฆไปแล้ว พราวจันทร์ก็โล่งอก เธอยืนขึ้นขณะช่วยดึงเหนือภพขึ้นมาจากน้ำ เขาดําดิ่งอยู่ใต้น้ําเป็นเวลานานมากแล้วไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทว่าต่อให้เธอออกแรงดึงอย่างไรก็ดึงเหนือภพขึ้นมาไม่ได้
ในสายตาของเหนือภพที่อยู่ใต้น้ํานั้น เขากําลังตะลึงกับพญานาคห้าเศียรที่ย่อกายตัวเองจนมีขนาดเล็ก มันหันมาเผชิญหน้ากับเหนือภพ ขณะที่หางยาวของมันโอบม้วนรอบลําคอของเหนือภพเอาไว้
พราวจันทร์ไม่เห็นภาพนี้เลย มีเพียงเหนือภพเท่านั้นที่เห็น
“เจ้านี่ก็ยังหนีเก่งเหมือนเดิมนะ”
กระแสจิตของพญานาคห้าเศียรที่ส่งมาถึงเหนือภพคล้ายดูถูก แต่แววตาของมันกลับดูสนอกสนใจในตัวเหนือภพไม่น้อย
เหนือภพก้มหน้ามองแก้วจันทรกาลที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อ แล้วเขาก็เริ่มคิดอะไรออก จากนั้นเขาก็โต้ตอบพญานาคในใจ ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่งมนัก ทําไมก่อนหน้านี้เขาถึงคิดไม่ออก
“เจ้าติดมากับแก้วจันทรกาลนี่เอง ถึงว่าทําไมตอนแรกข้าถึงสลัดเจ้าไม่หลุด อีกทั้งตอนนั้นมกรของศิษย์พี่ก็ยังพยายามโจมตีข้า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าอยู่กับข้ามาโดยตลอด”
พญานาคหัวเราะในใจ
“ถึงรู้ก็สายไปแล้วหนุ่มน้อย ความจริงข้าคิดว่าจะพักฟื้นรอให้หายดี แล้วค่อยจัดการเจ้า แต่ที่ไหนได้อยู่กับเจ้ามีเรื่องน่าสนุกกว่าอยู่ในถ้ํานั่นเยอะเลย เจ้าก็ดูแลข้าดี ๆ หน่อย ข้าจะถือว่าลืม ๆ เรื่องในอดีต แล้วยอมให้เจ้าใช้แก้วจันทรกาลของข้า”
เหนือภพครุ่นคิดก่อนพูดตอบกลับไปว่า
“ถ้าแค่ดูแลข้าย่อมไม่มีปัญหา แต่ท่านต้องไม่ก่อเรื่องทําให้ข้าเดือดร้อนเหมือนวันนี้ และก็ห้ามกินคนอื่นมั่วชั่ว ข้าถึงจะยอมรับปาก
“เรื่องไม่กินคนข้ารับปากได้ แต่ไม่ให้ก่อเรื่องข้ารับปากไม่ได้ เพราะที่ข้าต้องการให้เจ้าทําคือการก่อเรื่อง เผ่าครุฑทําให้เหล่านาคราชต้องเก็บซ่อนตัวเองไว้ใต้พิภพ อยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เป็นล้าน ๆ ปี เมื่อมีโอกาสดีเช่นนี้ทําไมข้าจะไม่เอาคืน การที่ข้าได้พบเจ้าถือเป็นวาสนาที่มนุษย์เยี่ยงเจ้าไม่ควรปฏิเสธ เจ้าว่าไง เจ้าคิดจะร่วมมือกับข้าหรือเปล่า ไปฆ่าล้างพันธุ์เผ่าครุฑด้วยกัน
พญานาคยื่นข้อเสนอมาเช่นนั้น เหนือภพได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ใต้น้ำ เขาพยักหน้ารับข้อเสนอก็เพราะหางพญานาคที่โอบรัดคอเขาอยู่นั้นค่อย ๆ รัดแน่นขึ้น หากเขาปฏิเสธก็คงได้ตายกันพอดี
Favorite เหนือภพลากไร้ชื่อหนีออกมาจนพ้นเขตตลาด ในขณะที่เขากําลังโล่งอกเพราะคิดว่าตัวเองรอดแล้ว ก็ต้องตะลึงค้างอยู่กับที่มีบางอย่างผิดปกติ
เขาสงบใจขยายการรับรู้ของตัวเองไปรอบๆก็พบกลุ่มพลังอันเข้มแข็ง แม้จะรู้สึกว่าพลังนี้เข้มแข็งน้อยกว่าสุภัชชา แต่มันก็น่าจะเป็นพลังที่เหนือกว่าหลวงภามหลายระดับและที่สําคัญมันมีความมุ่งร้ายที่พุ่งออกมาหาเขาอย่างชัดเจน
ไร้ชื่อเองก็สัมผัสมันได้เช่นกัน ใบหน้าเขาขมวดเป็นปมพลางมองไปรอบๆจนหยุดค้างในทิศทางหนึ่ง ไร้ชื่อชักดาบขึ้นเตรียมพร้อมปะทะ ทว่าเหนือภพไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีก
“มันเป็นของข้า จําไว้ให้ดี บ้านเมืองมีกฎของมันอยู่ เจ้าจะฆ่าใครชี้ชั่วไม่ได้”
เหนือภพอย่างจริงจัง แต่ไร้ชื่อดูเหมือนจะไม่เข้าใจ เพราะถ้าฝ่ายนั้นทําร้ายเรา เราก็ต้องต่อสู้สิ เหนือภพจนใจจึงต้องชี้ไปที่ดาบของไร้ชื่อพร้อมทําท่าประกอบ
“ใช้มันฆ่าคนไม่ได้ใช้แค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น ห้ามฆ่า ห้ามฟันตรงนี้ ตรงนี้ และก็ตรงนี้ จุดพวกนี้จะทําให้ตาย ฟันแค่พอประมาณ เจ้าเข้าใจไหม”
“ได้ อสูรภูเขาจะฟังเจ้าจ้าวอสูรทะเลสาบ”
ไร้ชื่อพยักหน้าด้วยท่าทางเหมือนเด็กเล็ก ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น ทําให้ไร้ชื่อดูน่ารักไปอีกแบบ
“เอางี้ พวกเราแยกกัน เจ้าไปทางโน้นแล้วไปเจอข้าที่อาคารประมูลชั้น 5 ห้องของตึกลําธารตกลงไหม”
“ได้ อสูรภูเขาจะไปเจอเจ้าที่นั่นนั้น”
ไร้ชื่อรับคําเสร็จก็เคลื่อนตัวจากไปทันที แม้เขาจะไม่รู้ว่าอาคารประมูลที่ว่าคืออะไร แต่เขารู้ว่าชั้น 5 คืออะไร ชั้น 5 เป็นคําเรียกของบ้านที่มีมากถึง 5 ชั้น และชั้น 5 ก็อยู่ภายในบ้านนั้น คิดได้เพียงเท่านั้นไร้ชื่อก็จากไปอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้า เบิกบานแจ่มใส
เหนือภพแยกตัวหนีไปอีกทางหนึ่ง เขาวิ่งไปไม่หยุดพัก จนมาถึงพื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่งที่นี่คงจะเป็นสุดเขตของหมู่บ้า นลมหวน เพราะมีซากต้นไม้ ต้นหญ้าที่ถูกถางออกจนเตียน คล้ายกับว่ามีคนมาเตรียมพื้นที่สําหรับการขยายงานก่อสร้าง
เหนือภพยืนเด่นท้าลมแรงอยู่ตรงกลางลานโล่ง จากนั้นก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา ผู้ชายคนนี้ตามเหนือภพอย่างห่างๆ แต่เมื่อเห็นว่าเหนือภพรู้ตัวแล้ว เขาจึงปรากฏตัวขึ้นห่างจากเหนือภพ 10 เมตร
ชายแปลกหน้าในเครื่องแบบมือปราบยืนเอามือไขว้หลังไว้ดูท่าทางผ่อนคลาย ทว่ามือที่แอบอยู่ข้างหลังนั้นกุมอาวุธไว้ตลอดเวลา สายตาดุจเหยี่ยวของเขาจ้องเหนือภพตาไม่กะพริบ จากนั้นเขาก็ถามเหนือภพด้วยน้ําเสียงราบเรียบ แต่แฝงความดุดัน
“ข้ามีคําถามบางอย่างจะถามเจ้า”
เหนือภพนิ่วหน้า จากนั้นก็ค่อยๆผ่อนคลายตัวเอง
“ลองว่ามาสิ ถ้าข้าตอบได้ข้าก็จะตอบ”
“เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลนาคราชหรือเปล่า”
เหนือภพส่ายหน้า
“ไม่ หากเกี่ยวกับพวกพญานาคข้าย่อมไม่เกี่ยวข้องด้วยแน่นอน ข้าไม่ค่อยชอบพวกพญานาคด้วยซ้ํา”
แววตาชีพจรที่ชายตาเหยี่ยวสัมผัสได้จากเหนือภพมันไม่ได้โกหก แต่เขาต้องการพิสูจน์เพื่อความแน่ใจ
“งั้นข้าขอทดสอบบางอย่าง หากเจ้าผ่าน ข้าก็จะไปทันทีและจะไม่มารบกวนเจ้าอีก”
สิ้นคําพูดของชายหนุ่มนัยน์ตาเหยี่ยว ร่างกายของเขาก็แผ่ออร่าสีทอง ครุฑอาคมปรากฏกายบินลอยสูงอยู่เหนือด้านหลังชายนัยน์ตาเหยี่ยว เสียงร้องของครุฑดังกังวาน ช่างไพเราะ และทรงอํานาจ ขณะเดียวกันนั้นเหนือภพก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่หน้าอกของเขา
แก้วจันทรกาลสีทับทิมที่เคยสงบนิ่งมาตลอดก็เกิดการสั่นไหว เหมือนครั้งที่เขาเจอครุฑอาคมขององค์รัชทายาทในอาคารประมูล และแล้วปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของสองเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นในทันที เหนือภพรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
ครุฑที่อยู่เบื้องหลังของชายหนุ่มนัยน์ตาเหยี่ยวมีตัวตนชัดเจนขึ้น ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าที่เป็นกรงเล็บอินทรีนั้นสูงกว่า 10 เมตร ปีกทั้งคู่กางแผ่ออกกว้างกว่า 20 เมตร มันสะบัดปีกทั้งคู่เพียงครั้งเดียว ร่างใหญ่โตของมันก็ดีดตัวขึ้นสูงเหนือฟ้า หายลับไปในหมู่เมฆทิ้งไว้เพียงกระแสลมที่รุนแรง จากนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องแหลมกังวาน ขณะโฉบพุ่งลงมาหาเหนือภพมุ่งสังหาร
แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที พญานาคห้าเศียรที่ซ่อนตัวอยู่ในแก้วจันทรกาลพุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายงูเล็กจิ๋วเท่านิ้วชี้เด็กค่อยๆขยายเติบโตขึ้นเมื่อมันเข้าปะทะกับครุฑ หนึ่งในเศียรทั้งห้าก็สามารถงับปีกของครุฑได้ครึ่งปีก ลําตัวยาวพยายามโอบรัดร่างของพญาครุฑให้ตกอยู่ใต้การควบคุม หัวพญาพญานาคที่งับปีกครุฑอยู่เหวี่ยงสะบัดหัว ไปมาหวังฉีกทิ้งครุฑเป็นชิ้นๆ ทว่าร่างกายของครุฑกลับแข็งแกร่งมากกว่าที่พวกเขาเห็น แม้ครุฑอาคมที่ถูกอัญเชิญมานี้ จะมีความแข็งแกร่งเทียบไม่ได้กับตัวตนที่แท้จริงก็ตาม แต่พญานาคก็ทําได้แค่สร้างรอยขีดข่วนบนปีกครุฑเท่านั้น นี่คือศึกกลางอากาศมีหรือที่ครุฑจะพ่ายแพ้
ครุฑใช้กรงเล็บมือทั้งข่วนทั้งทุบหัวพญานาคอย่างต่อเนื่องเพื่อดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการกัด สุดท้ายพญานา คก็ทนไม่ไหว มันสะบัดครุฑลงไปกระแทกพื้น ขณะที่อีกหัวหน งก็พ่นเพลิงพิษหวังฆ่าทําลายครุฑให้สิ้นซากในทันที
เหนือภพเห็นภาพของสิ่งมีชีวิตในตํานานเข่นฆ่ากันเช่นนั้น เขาก็หันหลังวิ่งในทันที นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา แต่ชายตาเหยี่ยวไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เขาไล่ตามเหนือภพขณะที่มือทั้งสองข้างมีเรียกปราณอาคมสีทองออกมาเคลือบแปรเปลี่ยนเป็นสนับมือรูปกรงเล็บครุฑ ความเร็วของชายตาเหยี่ยวเพิ่มขึ้นในเสี้ยววินาที เขาพุ่งโจมตีเหนือภพจากด้านหลังด้วยการกระโดด แล้วยื่นกรงเล็บทรงพลังหวังตะครุบเหนือภพดังครุฑโฉบเหยื่อ
เหนือภพกลิ้งตัวหลบ ทําให้กรงเล็บครุฑของชายตาเหยี่ยวพลาดเป้าเสียบแทงลงไปยังพื้นดินแทน ราวกับไม้แหลมเสียบลงไปในเต้าหู้ เขาไม่สร้างแรงสั่นสะเทือนหรือรอยแตกร้าวบนพื้นดินแต่อย่างใด
เหนือภพขนหัวลุกชันเมื่อเขาเอี้ยวตัวกลับไปมองแวบหนึ่ง ความคมและความทรงพลังของกรงเล็บข้างนั้นมีมากจนน่าหวาดกลัว เหนือภพกลิ้งออกไปด้านข้าง จากนั้นเขาก็พลิกตัวหันหลังกลับใช้ความเร็วสุดกําลังที่เขามีวิ่งสวนเข้ามาหาชายตาเหยี่ยว ซึ่งชายตาเหยี่ยวยังไม่ทันชักมือออกจากพื้นดินด้วยซ้ํา รู้ตัวอีกที่เขาก็ถูกเข่าลอยกระแทกใส่ปลายคาง
แต่สิ่งที่เหนือภพกระแทกไปโดนนั้นเป็นเพียงเกราะอาคมที่ถูกสร้างขึ้น เหนือภพยังไม่หยุดเขาพุ่งเข้าใส่ชายตาเหยี่ยว โดยใช้ท่าเตะต่ําเถรกวาดลานสลับด้วยการเตะสูงซ้ายขวาเป็นจังหวะรัวต่อเนื่อง เมื่อชายตาเหยี่ยวกันท่าเตะของเขา เขาก็จะรัวหมัดใส่ เมื่อชายตาเหยี่ยวกันหมัดอีก เขาก็จะเปลี่ยนไปเตะสลับไปมาแบบนี้ หากชายตาเหยี่ยวเริ่มจับทางได้เขาก็จะเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยการตีวงในโน้มตัวชายตาเหยี่ยวลงมา แทงเข่า ตามด้วยสองขาเตะสลับ ตบท้ายด้วยหมัดฮุกซ้าย จนชายตาเหยี่ยวกระเด็นออกไป
ชายตาเหยี่ยวใช้โอกาสนี้สะบัดปราณอาคมรูปกรงเล็บที่เป็นการโจมตีแรงที่สุดของตนใส่เหนือภพ ก่อนรีบดีดตัวถอยหลัง ห่างออกไปเกือบ 20 เมตร ใบหน้าเขามีเหงื่อซึม แต่ร่างกายไม่มีบาดแผล โชคดีที่เขามีวัตถุอาคมคุ้มกาย ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเจ็บหนักจากการต่อสู้เมื่อกี้ไปหลายจุด มันเป็นการต่อสู้ที่พลิกแพลงไปมาไม่สิ้นสุด จะใกล้ก็ไม่ได้ จะตีตัวออกห่างก็ยากเย็น หนําซ้ําเรี่ยวแรงของเหนือภพยังเหนือกว่าคนทั่วไป
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เกี่ยวข้องอะไรกับวัฏจักร”
ชายตาเหยี่ยวเคยประมือกับวัฏจักรมาหลายครั้ง และทุกครั้งเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ เขาสังเกตเห็นว่าเชิงมวยของเด็กหนุ่มคนนี้กับวัฏจักรเป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่เจ้าหนุ่มนี่มีดีที่กระบวนท่าเยอะกว่า พลิกแพลงได้หลากหลายกว่าแต่ไร้ซึ่งความเฉียบขาด เทียบกับวัฏจักรไม่ได้ หากเป็นวัฏจักรนั้นเพียงแค่ไม่กี่ท่าก็สยบเขาได้แล้ว
“เรื่องนี้ข้าไม่ขอตอบนะ ไปถามคนอื่นๆละกัน ข้าขอตัวกลับก่อน”
เหนือภพที่ลอบเกร็งกล้ามเนื้อมาตลอด จนมีกําลังระดับ 6 เขาก็ชกเข้าใส่ชายตาเหยี่ยว พื้นดินแตกแยกฝุ่นควันฟุ้งกระจาย แต่ชายตาเหยี่ยวใช้ปราณอาคมเพียงไม่ถึงนาทีก็สลายคลี่นกระแทกของเหนือภพได้หมด อาจจะเป็นเพราะเขาปะทะกับวัฏจักรหลายต่อหลายครั้ง คลื่นกระแทกเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย ทว่าแม้เสี้ยวนาที่จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่เมื่อเขาเพ่งมองอีกที เหนือภพก็หายตัวไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายของปราณอาคมเล็กๆที่น่าจะเกิดจากเหล็กไหล
ชายตาเหยี่ยวใช้ความสามารถของตนวิเคราะห์คํานวณเส้นทางหลบหนีของเหนือภพ ไม่นานเขาก็จับทิศทางได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เคลื่อนไหวเขาก็กระอักเลือดออกมา จนต้องรีบมองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ครุฑอาคมที่เขาเรียกออกมาถูกพญานาคเด็ดปีกข้างหนึ่งออกเสียแล้ว ตอนนี้ครุฑกําลังจะถูกพญานาคกลืนกิน ชายตาเหยี่ยวไม่มีทางเลือกอื่น หากครุฑของเขาเป็นอะไรไปเขาก็ต้องเจ็บหนักมากเช่นกัน
“กลับมา”
ชายตาเหยี่ยวตะโกนก้อง พลางหมุนตัววิ่งไปในทิศทางที่คาดว่าเหนือภพจะหนีไป เขาไม่ละความพยายาม เขารู้ตัวว่าสู้พญานาคห้าเศียรไม่ได้ แต่เขาสู้เจ้าเด็กหนุ่มนั้นได้แน่ สายตาของชายตาเหยี่ยวขณะเหลือบมองพื้นดินที่มีหยดเลือดของเหนือภพอย่างแน่วแน่ การโจมตีครั้งสุดท้ายของเขาได้ผล เจ้าหนุ่มนั่นบาดเจ็บแล้ว
Favorite แต่เมื่อเหนือภพมองจานไก่ย่างหอมกรุ่นในมือ เขาก็เข้าใจแล้วว่าเจ้าไร้ชื่อมาทําอะไรที่นี่ ไร้ชื่อเคยบอกเขาว่าสัตว์อสูรที่เลี้ยงมันมามีด้วยกัน 7 ชนิดและหนึ่งในนั้นก็มีไก่รวมอยู่ด้วย ดังนั้นไร้ชื่อจึงไม่กินไก่เพราะถือเป็นผู้มีพระคุณ แต่ไม่คิดว่ามันจะอาการหนักถึงขั้นไม่พอใจที่คนอื่นกินไก่ด้วย
“เอ่อ เจ้าสบายดีไหม ?”
เหนือภพถามด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อเห็นได้ชื่อดูเหมือนคนกําลังจะร้องไห้ ขณะจ้องมองจานไก่ย่างในมือเหนือภพอย่างไม่ลดละ เหนือภพกลืนน้ำลายลงคอ ปกติเขาจะไม่ค่อยสนใจคนอื่นนัก แต่ไร้ชื่อถือว่าเป็นเพื่อนที่ดี ตอนที่เขาสู้กับพญานาคไร้ชื่อก็ยังมาช่วยทั้งยังช่วยเก็บของที่เขาทําตกหล่นมาคืนให้ แล้วเขาจะทําให้เพื่อนสะเทือนใจได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าเขาอดกินอาหารมื้อนี้แล้ว เพราะถึงแม้ไร้ชื่อจะมีอายุพอ ๆ กับเขาแต่ในด้านความคิดนั้นไร้ชื่อก็ไม่ต่างไปจากเด็กน้อยใสซื่อ อาจเป็นเพราะเขาเติบโตขึ้นมาในป่าเขา การที่เขามีสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาเลี้ยงดูก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
เหนือภพถอนหายใจ เปลี่ยนจากใบหน้าเซ็ง มาเป็นใบหน้าเอาเรื่องเจ้าของร้านแทน
“พวกเจ้าก็ทําไม่ถูก พวกเจ้ารู้ไหม น้องชายข้าท่านนี้รักไก่มาก เห็นไก่ถูกย่างเมื่อไหร่ เขาก็จะจับคนย่างไก่มาย่างแทน”
คําข่มขู่ของเหนือภพทําให้เจ้าของร้านและพนักงานในร้าน ตัวสั่นเทาพวกเขาได้แต่หวังให้มือปราบมาถึงโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นต้องมีใครสักคนในร้านถูกย่างเสียแล้ว
ไร้ชื่อมีสีหน้าดีขึ้น เขายิ้มกว้างขณะจะตวัดดาบอีกครั้ง แต่เหนือภพยั้งไว้ทันท่วงที
“เดี๋ยว ที่นี่คือเมือง พวกเราจะใช้แต่กําลังไม่ได้บ้านมีกฏบ้านเมืองมีกฎเมือง”
“ข้าอยากแก้แค้น”
เหนือภพกุมขมับ เขาไม่รู้ว่าไร้ชื่อโตมาจนป่านนี้ได้อย่างไร เขาไม่อยากนึกเลยว่ามีร้านไก่กี่ร้านแล้วที่ต้องถูกทําลายไป นี่ยังไม่นับ กระต่าย หมี ลิง หมู หมา กา ที่คงมีคนถูกพังร้านค้าย่อยยับไปแล้วนับไม่ถ้วน
“เจ้ามีเงินหรือเปล่า”
ไร้ชื่อพยักหน้าแล้วก็ล้วงเข้าไปในอกของตัวเอง ก่อนหยิบตัวเงินปีกใหญ่ออกมาให้กับเหนือภพ
“โอ้ !”
เหนือภพตะลึงไปกับตัวเงินที่น่าจะมีมูลค่าเกือบ 200,000 เหรียญทอง แต่เขาก็ดึงตั๋วเงินออกมาเพียงใบเดียว แล้วคืนที่เหลือให้ไร้ชื่อไปทั้งหมด
“แค่นี้ก็พอ”
เหนือภพยื่นตั๋วเงินให้เจ้าของร้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเจ้าเอาไก่พวกนี้ไปฝังดินซะ ทําพิธีศพให้เรียบร้อย แล้วก็ปิดร้านไปเลย หากเจ้าไม่ทําตามที่ข้าบอกไม่เพียงร้านของเจ้าจะพัง น้องข้าคนนี้ได้จับพวกเจ้าย่างรายตัวแน่”
“ขอรับ”
เจ้าของร้านรับคําอย่างจนใจ อย่างน้อยพวกเขาก็รอดชีวิต ด้วยการไกล่เกลี่ยของเหนือภพ
เหนือภพอธิบายให้ไร้ชื่อเข้าใจว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาไม่อยากให้ไร้ชื่อต้องมีปัญหากับพวกมือปราบ ที่นี่มีคนเก่งมากมาย หากปล่อยให้เรื่องบานปลายคงไม่ดีแน่
แต่เรื่องราวที่ควรจะจบด้วยดี ก็ดันมีคนเข้ามาวุ่นวายจนได้ คล้ายกับการเช็ดล้างตะเกียบ แล้วในจังหวะที่กําลังเช็ดตะเกียบให้แห้งเตรียมเก็บใส่ตู้ก็ดันมีเสี้ยนออกมาตํานิ้ว อย่างไรอย่างนั้น
“ใครบังอาจมาก่อเรื่องวุ่นวายภายใต้ความดูแลของข้า”
มือปราบอาคมค่อย ๆ ปรากฏทีละคนสองคนด้วยอาคมอุ่น ระยะทางจนในที่สุดพื้นที่รอบร้านขายไก่ย่างทั้งบนพื้นและ บนหลังคาก็มีมือปราบอาคมเกือบยี่สิบคนในเครื่องแต่งกาย ประจําตําแหน่งและอาวุธครบมือ
เจ้าของร้านขายไก่ย่างเห็นเช่นนั้นก็ดีใจจนโผเข้าไปหาหัวหน้ามือปราบในทันที
“ท่านมือปราบ พวกเขานั่นแหละ ที่ทําลายร้านข้าจนพัง ทั้งยังบีบบังคับให้ข้าปิดร้าน ข้าก็แค่คนค้าขายธรรมดา ถ้าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้พวกข้าจะอยู่ได้ยังไง ไหนจะค่าเช่าร้าน ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงใต้เท้ามือปราบได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ ข้าน้อยด้วย”
หัวหน้ามือปราบอาคมได้ยินเช่นนั้นก็ออกคําสั่งทันที
“จับมัน !”
เหนือภพหัวคิ้วกระตุก ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในวงล้อมของมือปราบอาคมที่คอยดูแลความปลอดภัย ส่วนไร้ชื่อก็ชักดาบ ออกมาจากหลังเอวเตรียมพร้อมฟันไม่เลือกหน้า แต่เหนือภพ ไม่ให้เขาทําเช่นนั้น เหนือภพดันดาบที่ควรออกจากฝักกลับไป ที่เดิม เขาเชื่อว่าคนเราพูดคุยกันได้ไม่เห็นต้องใช้กําลังกันเลย
ในขณะที่เหนือภพหันกลับมาฉีกยิ้มให้หัวหน้ามือปราบ เขาก็ได้ยินเสียง
สวบ !!
วินาทีต่อมาตาของเหนือภพแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวคําไกล่เกลี่ย คมดาบของไร้ชื่อก็ถูกชักออกจากฝักเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่คือตอนนี้มันปักอยู่กลางลําตัวของมือปราบอาคมผู้หนึ่ง แม้มือปราบคนนั้นจะไม่ตาย แต่การประนีประนอมที่เหนือภพกําลังพยายามทํามันก็สูญเปล่า ไปในทันที
ไร้ชื่อดีดตัวออกพร้อมดึงดาบกลับมาตั้งท่าพร้อมต่อสู้ เหนือภพจ้องมองไร้ชื่ออย่างไม่เข้าใจ ในดวงตาของไร้ชื่อนั้นยังคงดูไร้เดียงสา แต่ใบหน้าของเขากลับแผ่กลิ่นอายป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์ป่า เมื่อเจอผู้คุกคามก็จะตอบโต้เองโดยธรรมชาติ สิ่งนี้ทําให้เหนือภพเข้าใจแล้วว่าตรรกะความเข้าใจแบบมนุษย์ใช้ไม่ได้ผลกับไร้ชื่อ
เจ้านี่ก็เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่ง เมื่อสัตว์เริ่มต่อสู้ก็ต้องเอาชนะเอาให้เด็ดขาด ไม่มีความปรานีหรืออ่อนข้อ
“ไป”
เหนือภพคว้าแขนไร้ชื่อก่อนที่เขาจะปลิดชีวิตของมือปราบอาคม เขาพาไร้ชื่อดีดตัวกระโดดไปตามหลังคาของร้านรวงต่าง ๆ อย่างรวดเร็วโดยที่น้ําหนักตัวของเหนือภพนั้นสร้างความเสียหายไปตลอดทาง
แม้เหนือภพและไร้ชื่อจะเคลื่อนไหวเร็วมาก แต่มือปราบอาคมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตํารวจเมืองหลวง พวกเขาก็มีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยมือปราบอาคม “ขุนเจษ”
“หยุดนะ ! นี่คือมือปราบอาคม ยอมมอบตัวซะดี ๆ โทษหนักจะได้เป็นเบา อย่าคิดว่าจะลอยนวลไปได้”
การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วราวกับภูตพราย ในตอนนี้เขาทิ้งระยะห่างจากเหนือภพกับไร้ชื่อเพียงแค่ 6 เมตรเท่านั้น ขณะที่มือปราบคนอื่น ๆ ที่มีมือฝีมือหน่อยก็ทิ้งห่างจากขุนเจษเพียงแค่ไม่กี่สิบเมตร
“นี่พี่ชาย พวกข้าไม่ผิดนะ ท่านจะไล่ตามพวกเราแบบนี้ไม่”
เหนือภพพยายามเกลี้ยกล่อมโดยไม่หยุดวิ่ง เขายังไม่ใช้ท่ากระโดดหนีเพราะนั่นคงจะสร้างความเสียหายมากเกินไปจนกู่ไม่กลับเลยทีเดียว
แต่พวกมือปราบก็ยังไม่หยุดวิ่งตาม เห็นจะจริงอย่างที่เขาเคยได้ยินมาว่า “มือปราบเมืองหลวงเป็นประเภทกัดไม่ปล่อย”
ขณะที่ขุนเจษกําลังไล่ตามอย่างไม่ลดละ เขาก็เอามือไพล่หลังไปหยิบอาวุธในกระเป๋าออกมามันคือระเบิดสกัด
ตุ๊บ !
ทันทีที่มันถูกเขวี่ยงออกไป ลูกระเบิดก็แตกกระจายออก กลายเป็นเส้นเชือกผูกรั้งขาของเหนือภพเอาไว้ เหนือภพเสียหลักล้มหกคะเมน ลากไร้ชื่อกลิ้งตกจากบนหลังคาทะลุลงมาที่พื้นของร้านขายข้าวต้มด้วยกัน ผู้คนแตกฮือพลางส่งเสียงดังอื้ออึง
ขุนเจษยิ้มมุมปาก ขณะตะโกนบอกเหนือภพให้ยอมจํานน
“เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะคําพูดของเจ้าจะถูกนําไปใช้ในการพิจารณาในชั้นศาล”
แต่เหนือภพไม่บาดเจ็บอะไร เขารีบกระชากเชือกที่มัดขาออกอย่างง่ายดาย ท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของขุนเจษ เชือกเส้นนั้นมีส่วนผสมของเหล็กไหลใช้สะกดการเคลื่อนไหวและยับยั้งปราณอาคมของผู้มีพรสวรรค์ได้อย่างชะงัด อีกทั้งยังมีส่วนประกอบเพิ่มความเหนียวที่แม้แต่ฮันเตอร์แรงค์ D ก็ยังต้องเสียเวลาระยะหนึ่งจึงจะทําลายมันได้
“เจ้าเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ ?”
ขุนเจษโพล่งขึ้นอย่างแปลกใจ เขาไม่ทันได้สังเกตหรือเอะใจ เลยว่าเหนือภพจะเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ แต่ยังไม่ทันให้เขาขบคิดอะไรต่อ ไร้ชื่อก็เรียกใช้ปราณอาคมสัตว์อสูรเจ็ดตัว ร่างสัตว์อสูรทั้งเจ็ดปรากฏขึ้นในทันใด พร้อมกับที่เขาฟันดาบในมือไป ทางขุนเจษนับสิบครั้ง เพราะไร้ชื่อทนไม่ได้ที่เห็นเหนือภพถูกจับ เมื่อเขาเห็นเหนือภพล้ม เขาก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับเห็นพี่น้องถูกทําร้าย นั่นทําให้เขาเผยสัญชาตญาณสัตว์ของตัวเอง ออกมา
คลื่นอาคมรูปดาบหมุนติ้วออกมาทั้งสิบครั้งที่ได้ชื่อฟันดาบ ทําให้ขุนเจษเร่งเร้าปราณอาคมของตนออกมาต้านรับ เบื้องหลังของขุนเจษปรากฏภาพคล้ายสุนัขพันธุ์บางแก้วตัวสูงใหญ่ มันเห่ากรรโชกอย่างเป็นจังหวะ เกิดเป็นคลื่นเสียงที่แผ่ออกมาเป็นเกราะอาคมคุ้มกายขุนเจษเอาไว้เป็นชั้น ๆ อย่างหนาแน่น พลังดาบอาคมหมุนติ้วดุจใบพัดของไร้ชื่อกระแทกเกราะของขุนเจษ จนขุนเจษถึงกับเซถลาไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง แม้แต่เท้าแข็งแรงที่จิกไว้ที่พื้นก็ต้านทานไว้ไม่อยู่จนพื้นดินมีรอยขูดลากเป็นทาง
เหนือภพบีบไหล่ของไร้ชื่ออย่างแรง เพื่อให้เขาหยุดมือ จากนั้นเขาก็ลากตัวไร้ชื่อหนีจากไปอีกทาง
ความจริงแล้วเหนือภพไม่ได้กลัวเกรงขุนเจษเลย เขาเพียงแต่กลัวสิ่งที่จะตามมาต่างหาก หากเขาต่อสู้อย่างดึงดันเหนือภพก็รู้สึกสยองเมื่อคิดว่าจะต้องฟังคําบ่นของศิษย์พี่ใหญ่ และคําสั่งบังคับให้เขาอ่านกฎหมายบ้านเมืองให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้น แค่มือปราบเล็ก ๆ มีหรือเหนือภพจะกลัวเขาจะกดให้จมดินเลยก็ยังได้
“ที่นี่ไม่ใช่ป่าเขา บ้านเมืองย่อมมีกฏ หากพวกเราไม่เคารพกฎเหล่านี้ เราก็ไม่ต่างจากคนชั่ว ฝีมือและความสามารถของพวกเรา อาจารย์สอนไว้ว่าให้ใช้ปกป้องผู้อื่น ไม่ใช่ก่อความเดือดร้อน
นี่เป็นคําพูดของศิษย์พี่ใหญ่ที่พูดกรอกหูเขาเสมอ ไม่รู้ว่าอาจารย์ฝากศิษย์พี่มาอบรมเขารึเปล่า
เพียงพริบตาเหนือภพกับไร้ชื่อก็จากไป ขุนเจษไม่ได้ติดตามไปเพราะมีคนหนึ่งในทีมที่เพิ่งมาถึงมากระซิบรายงานข้อมูล เกี่ยวกับตัวตนของเหนือภพ และนั่นก็ทําให้ขุนเจษโกรธมาก
“ปัดโธโว้ย”
ตัวตนของเหนือภพมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่เกินไป พวกเขาทําอะไรไม่ได้แม้แต่คิดจะเอาผิด คงต้องปล่อยให้สหายในทีมบาดเจ็บสาหัสโดยไม่มีคนรับผิดชอบ
“หัวหน้า เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะ”
หนึ่งในหน่วยเอ่ยขึ้นด้วยความเจ็บแค้นไม่แพ้กัน ปัญหาไม่ใช่กลุ่มภราดา พวกเขายุติธรรมมากพอ แต่หอโลหิตกลับไม่ใช่เช่นนั้น
ณ มุมถนนที่ห่างไกลออกไป
มีคนหนึ่งในหน่วยมือปราบอาคมที่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จากนั้นเขาก็ลอบตามเหนือภพกับชายอีกคนไปอย่างเงียบเชียบ เขาได้รับสาส์นลับที่ส่งตรงมาจากตระกูลสุบรรณเวนไตยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เป้าหมายของเขามีเพียงอย่างเดียวคือสืบให้รู้ว่าในตัวเหนือภพมีพญานาคห้าเศียรอยู่หรือไม่ หากว่าใช่จริง เขาก็ต้องกําจัดทิ้งซะ
Favorite ตอนที่ 48 ร้านไก่ย่างราชบุตรเขย
“เป็นอย่างไรบ้างครับกับการแสดงอันยาวนานในวันนี้ รายการต่อจากนี้ไปเป็นการประมูลเรียกน้ําย่อย กระตุ้นความตื่นเต้นก่อนที่ทุกท่านจะได้เริ่มประมูลกันอย่างจริงตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
สิ้นเสียงประกาศอันฮึกเหิมของพิธีกรชายรูปงามที่เพิ่งถูกสลับขึ้นมา บรรดาผู้ชมรอบทิศก็ปรบมืออย่างกระหึ่ม ทุกคนต่างรอคอยการประมูลในคืนแรกอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว
“และในปีนี้ข้าก็มีข่าวดีจะประกาศให้ทุกท่านได้ทราบ ท่านทั้งหลายจะได้ประมูลสิทธิ์ได้รับคําพยากรณ์ 3 รายการ จากเทพพยากรณ์ในตํานานทั้งสามท่าน นั่นคือ ท่านอ่ำ ท่านกําพลและ ท่านทองปาน”
พิธีกรชายพูดจบก็ผายมือไปยังเทพพยากรณ์ชราทั้งสามท่านอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
เฮ…
“ท่านแรกคือท่านอ่ำ เทพพยากรณ์จากเมืองกําธร คงไม่ต้องบรรยายความสามารถของท่านผู้นี้ เพราะชื่อเสียงของท่านนั้นเลื่องลือไปทั่วแคว้น แต่มิใช่ว่าใครจะขอพบท่านก็จะได้พบ ต่อให้เป็นองค์จ้าวแคว้นก็ยังมิอาจสั่งการท่านอ่ำได้ ทว่าในคืนนี้ ที่นี่ พวกท่านทุกคนล้วนมีสิทธิ์ได้พบปะพูดคุยและขอคําพยากรณ์ ขอเพียงแค่พวกท่านทุ่มเทอย่างสุดหัวใจเท่านั้น ราคาเริ่มต้นคือ 3,000 เหรียญทอง ทุกท่านสามารถเสนอเงินเพิ่มได้ครั้งละไม่ต่ํากว่า 500 เหรียญทอง มีใครจะสู้มั้ยขอรับ”
เมื่อพิธีกรพูดจบก็มีเสียงเฮตอบรับทันที เหล่าชนชั้นสูงต่างแข่งขันกันประมูลเพื่อแย่งชิงท่านอ่ำ ขอเพียงได้พบปะเพียงแค่ครั้งเดียวก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
เจ้าเมืองแต่ละเมืองล้วนไม่ยอมรามือ พวกเขาขว้างผ้าไหมสีสดใสที่ปักชื่อของตนลงไปที่เวทีอย่างต่อเนื่อง การขว้างผ้านี้ คือการยืนยันว่าจะสู้ราคา ดังนั้นคนร่ํารวยทั้งหลายที่ตั้งใจมาประมูลสินค้าอย่างจริงจัง นอกจากต้องเตรียมเงินมหาศาลแล้วยังต้องเตรียมผ้าประชันราคามาเป็นจํานวนมากด้วยเช่นกัน ผ้าที่ใช้ประชันราคานี้จะใช้ผ้าชนิดไหน สีไหน ขนาดไหนก็ได้ ไม่มีการปิดกั้นเจตจํานงที่จะแสดงอํานาจบารมี
“ตอนนี้ผู้ที่เสนอราคามาสูงที่สุดคือองค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาลนคร ที่ราคา 15,000 เหรียญทองมีใครจะให้เพิ่มมากกว่านี้ไหมขอรับ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ห้า สี่ ”
พิธีกรชายพูดปลุกใจอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ผู้ชมเกิดความตื่นตัวและฮึกเหิม จากนั้นก็มีผู้ท้าประชันราคากันอย่างต่อเนื่อง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ทําไมผู้คนถึงต้องการคําพยากรณ์กันนัก แพงขนาดนั้นก็ยังจะจ่าย”
เหนือภพจ้องมองชายชราที่ชื่อท่านอ๋อย่างเหลือเชื่อ
“เหยื่ออ้วนบางคนก็อยากรู้ว่าจะมีโชคในเทศกาลครั้งนี้หรือไม่ แต่เหยื่อบางคนก็แค่อยากชนะประมูลเพื่อให้คนอื่นรู้สึกด้อยกว่า”
“แล้วศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองไม่ร่วมประมูลหรอ”
วัฏจักรส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร ส่วนทานธรรมกลับหัวเราะขัน
“ใครจะบ้าทุ่มเงินให้กับเหยื่อจอมหลอกลวงที่ชอบทําให้คนหลงเชื่อเช่นนั้น
“เสียดายเงินจัง ถ้าอยากอวดกันนัก ก็มาแข่งทุ่มเงินให้ข้าจะดีกว่า”
ยังไม่ทันที่ทานธรรมกับวัฏจักรจะได้พูดอะไรต่อ ก็มีเสียงประกาศสุดตื่นเต้นของพิธีกรแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ปิดรายการแล้ว! ค่ําคืนนี้ท่านอื่ถูกประมูลไปโดยสมาคมพ่อค้าประจําแคว้นอมตะในราคา 60,000 เหรียญทอง!! ยินดีด้วยขอรับ”
เหนือภพนัยน์ตาเบิกกว้าง ขณะยื่นหน้าออกไปนอกระเบียงเพื่อฟังให้ชัดๆ
“ข้าฟังไม่ผิดใช่มั้ยศิษย์พี่”
“อืม” ทานธรรมตอบรับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเคย
ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว หลายๆคนเริ่มทยอยกลับไปนอนพักผ่อนเพื่อเตรียมกายเตรียมใจไว้ประมูลสิ่งของต่อในวันพรุ่งนี้เช้า แต่พวกเขายังคงนั่งสังเกตการประมูลในครั้งนี้เพื่อให้เหนือภพได้เรียนรู้วิธีการ จะได้ทําไปใช้ในการประมูลของจริงในวันถัดๆ ไป
ไม่นานจากนั้น
“ปิดรายการแล้ว เค่ําคืนนี้ท่านกําพลถูกประมูลไปโดยสุภาพบุรุษนิรนามในราคา 45,000 เหรียญทอง! ยินดีด้วยขอรับ”
“ปิดรายการแล้ว ! ค่ําคืนนี้ท่านทองปานถูกประมูลไปโดยองค์ประมุขแห่งเมืองอนันต์ในราคา 100,000 เหรียญทอง!! ยินดีด้วยขอรับ”
“และข้าน้อยก็ขอจบการประมูลในค่ําคืนนี้ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ขอรับ พบกันใหม่ในรอบการประมูลเช้าวันพรุ่งนี้ที่จะเริ่มจัดในอีก 3 ชั่วโมง
จากนั้นทุกคนก็เริ่มลุกแยกย้ายกันกลับโรงเตี้ยมที่พักของตัวเอง เหนือภพที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ ค่อยๆหันมามองศิษย์พี่ทั้งสองด้วยดวงตาเหม่อลอย
“ศิษย์พี่ ข้าอยากเป็นคนหลอกลวงบ้างจังโอ๊ย”
ทานธรรมเขกกะโหลกเหนือภพเต็มแรง แต่วัฏจักรกลับทําตรงกันข้าม เขาเดินเข้ามาโอบไหล่ของเหนือภพ ตบเบาๆ แล้วก็ยิ้มมุมปากให้เป็นนัยว่า “ฉลาดเลือก คิดได้ดี
“อุ้ย”
อังกาบได้รับจดหมายอาคมจากแมลงตัวเล็กที่มาเกาะบนจมูกของเธอ หลังจากคลี่อ่านสาส์นลับเธอก็กระซิบข้างหูทานธรรมอย่างแผ่วเบา
ทานธรรมฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย พลางพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แม้เขาจะไม่ได้แสดงท่าที่อะไรออกมา แต่วัฏจักรกลับดูออกว่าศิษย์พี่ใหญ่กําลังกังวลอย่างมาก
“ให้ช่วยไหม”
วัฏจักรเสนอตัวด้วยสีหน้าที่ดูเย็นชาไร้หัวใจอยู่ตลอดเวลา ทว่าทานธรรมกลับส่ายหน้าปฏิเสธ หากมีคนช่วยเพิ่มมากขึ้นก็เป็นเรื่องดี แต่ต้องไม่ใช่วัฏจักร เขาไม่อยากให้วัฏจักรเข้ามายุ่งกับกลุ่มภารดามากเกินไป อยากให้เขาเป็นกลางตามที่หอโลหิตเป็นมากกว่า
จากนั้นวัฏจักรและราตรีก็แยกตัวไป ส่วนทานธรรมและอังกาบก็พาเหนือภพเดินกลับไปยังโรงเตี้ยมที่จองไว้ใกล้ๆ อาคารประมูล
เช้าวันต่อมา
วันนี้เป็นวันที่สองของงานเทศกาลประมูล เหนือภพตื่นแต่เช้ามาเดินดูป้ายหน้าอาคารประมูล ในทุกๆเช้าจะมีเจ้าหน้าที่นําใบรายการประมูลในแต่ละวันมาติดประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน ใครสนใจก็แสดงบัตรเชิญแล้วเข้ามาด้านในได้เลย หากไม่สนใจก็สามารถใช้เวลาว่างไปเยี่ยมชมสิ่งบันเทิงอื่นๆที่มีบริการอย่างครบครันในหมู่บ้านลมหวน
สินค้าที่จะถูกประมูลในวันนี้เป็นสินค้าประเภทเสื้อผ้าและเครื่องประดับเลอค่าหายาก แม้จะมีสินค้าสําหรับทุกเพศทุกวัย แต่เหนือภพก็ไม่สนใจ เขาจึงปลีกตัวออกมาเดินเที่ยวชมตลาดที่ตั้งอยู่รอบนอก
ตลาดที่นี่ประกอบไปด้วยห้างร้านทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ไม่ต่ํากว่าร้อยร้าน แต่ละร้านมีความหรูหราและมีเอกลักษณ์ เส้นทางเดินถูกออกแบบมาอย่างดี ไม่ซับซ้อน สะดวกสบาย สามารถมองเห็นร้านค้าได้จากระยะไกล มีระบบระเบียบและมีพลทหารขมังเวทย์ของราชสํานักนิรันดร์กาลคอยตรวจตราอยู่ตลอดเวลา
เหนือภพเดินไปตามแถบขายของที่ระลึกที่อยู่ติดกับทางออกอาคารประมูลฝั่งตะวันตก เขาสังเกตดูร้านต่างๆ ที่ถูกจัดวางอย่างดี ไม่มีร้านแผงลอยตั้งอยู่ริมทางเดินให้เกะกะลูกตา พนักงานขายล้วนแต่งกายดูดี พูดจาไพเราะ ดูอ่อนน้อมถ่อมตนกับลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าคนนั้นจะแต่งกายดีหรือไม่ จึงมีผู้คนมากมายมาเดินเที่ยวเล่นที่ตลาดแห่งนี้
เหนือภพเดินต่อไปเรื่อยๆ จนทะลุไปถึงส่วนร้านอาหาร กลิ่นอาหารหอมหวน อบอวลฟังไปทั่วทั้งบริเวณนี้ อาหารแต่ละร้านถูกจัดแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไล่มาตั้งแต่แถบร้านของหวาน ร้านเครื่องดื่ม ร้านของคาว ร้านอาหาร พื้นถิ่นจากแต่ละเมืองและอย่างอื่นอีกมากมายที่ยังปิดร้านอยู่ ร้านพวกนี้จะเบิดยามค่ําคืนเท่านั้น
โดยปกติเหนือภพไม่ชอบซื้ออาหารกินเพราะมันสิ้นเปลือง โดยใช่เหตุ ทว่าเมื่อเขามายืนอยู่หน้าร้านไก่ย่าง
“ร้านไก่ย่างราชบุตรเขย รสชาติโอชา สะอาดปลอดภัย อร่อยไม่รู้ลืม หากไม่อร่อยจริง ยินดีคืนเงิน
เขาก็เกิดสนใจอยากซื้ออาหารขึ้นมาทันที เพราะไก่ย่างร้านนี้ดูดี มีอารยธรรมอย่างมาก มันไม่ได้เป็นร้านอาหารที่ราชบุตรเขยมีส่วนร่วมจริงๆหรอก แต่ไก่ย่างตัวอ้วนราวกับลูกหมู ชุ่มซอสเข้มข้น โรยด้วยเครื่องเทศจากต่างแดน ดูหรูหราราวกับอาหารชาววัง มันช่างเย้ายวนใจเหนือภพเหลือเกิน หากเขาได้ลองกินสักครั้งคงจะสามารถนํามาประยุกต์กับอาหารที่เขาทําได้ ถือซะว่าเป็นการศึกษารสชาติของคนเมือง
“หากข้าบอกว่าไม่อร่อยจะได้เงินคืนไหมนะ ?”
ทันที่ที่เหนือภพเดินเข้าไปในร้านก็ได้ยินเสียงโวยวาย คล้ายคนจะต่อยตีกันให้ได้
“พวกเจ้าช่างโหดเหี้ยมนัก เจ้าทําแบบนี้กับผู้มีพระคุณของข้า อย่าหวังจะได้อยู่ร่วมโลกกันเลย”
เสียงชายหนุ่มในชุดคลุมทั้งตัวดังขึ้นพร้อมๆ กับการที่เขาชักดาบที่เอวฟันเข้าไปในร้านอย่างไม่ปรานี คลื่นอาคมเข้มข้น จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันก่อตัวเป็นรูปดาบเล็กหลายอันหมุนติ้วดุจกังหันขณะพุ่งเข้าโจมตีผู้คนในร้าน เป็นโชคดีหรือ ชายคนนั้นไม่เอาจริงก็ไม่ทราบ แต่พนักงานทุกคนก็หลบได้ทันเวลา ดังนั้นผนังร้านจึงต้องรับกรรมไปโดยปริยาย
ตึง !
ครึ่งหนึ่งของร้านไก่ย่างพังลงมาทั้งผนัง เสา หลังคา โต๊ะ เก้าอี้ จานชาม เครื่องปรุงรสต่างๆ ล้มระเนระนาดเกือบทั้งหมด
หืม ในสถานการณ์ย่ําแย่แบบนี้ข้าจะได้ลดราคาไหมนะ
เหนือภพรีบตรงดิ่งเข้าไปประคองเจ้าของร้านโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เรื่องต่อยตีแบบนี้เขาเห็นมาจนชินแล้ว มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ไม่ทางแก้ให้หายขาดได้
“ท่านไม่เป็นไรนะ อ้อ พี่ชาย ถ้าท่านจะถล่มร้านนี้ก็ขอเว ลาให้ข้าสักครู่ได้หรือเปล่า ข้านะ ไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานหลายวันแล้ว ยังไงก็ขอให้พี่ชายยั้งมือสักหน่อย ให้ข้าได้สั่งอาหารสักนิด
เหนือภพพูดออกไปฉอดๆ ขณะประคองชายวัยกลางคนขึ้นมา โดยไม่ได้สนใจท่าทางของผู้ก่อเรื่องที่อยู่ๆก็ลดดาบลง
เมื่อเจ้าของร้านเริ่มเรียกสติกลับคืนมาได้ เหนือภพก็ชี้นิ้วไปป้ายรายการอาหารที่เสียหายไปครึ่งหนึ่ง เหนือภพจึงพอมองเห็นรายการอาหาร แต่ไม่เห็นราคา
“ข้าขอไก่ราชบุตรเขยนั่นหนึ่งที่”
“ได้ขอรับนายท่าน”
เจ้าของร้านทั้งรู้สึกหวาดกลัวและก็รู้สึกขอบคุณที่เหนือภพเข้า มาช่วยกู้สถานการณ์ อย่างน้อยในตอนนี้เขายังไม่ถูกฆ่าตาย เขารีบคว้าไก่อ้วนที่อยู่ในเตาอบดินออกมาสับใส่จานไม้เนื้อดี ราดด้วยซอสสีทองเข้มข้น โรยเครื่องเทศ จากนั้นก็ตกแต่งด้วยพืชผักเครื่องเคียง แล้วยื่นให้กับเหนือภพอย่างรวดเร็ว
“ทะ ทะ ทั้งหมด 400 เหรียญเงินขอรับนายท่าน”
“หา !!”
เหนือภพโพล่งขึ้นอย่างตกใจ แต่เมื่อรู้ตัวว่าเขาทําให้คนขายไก่ย่างตกใจก็เบาเสียลง
“เจ้าก็รู้ว่าข้าอดอาหารมานาน แถมข้ายังปวยเป็นโรคเรื้อรัง อาหารชนิดเดียวที่ข้าพอจะกินได้ก็มีแต่ร้านนี้ เจ้าไม่คิดจะลดราคาให้สักหน่อยเหรอ ?”
เหนือภพทําท่าอ่อนแอเหมือนจะเซไปข้างหลัง แต่เขาก็ยังแสดง ไม่แนบเนียน เพราะเขายังคงดูไม่ต่างจากอันธพาลที่กําลังขูดเลือดขูดเนื้อชาวบ้าน เจ้าของร้านตัวสั่นขณะพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ข้าลดให้ท่านได้ไม่มากนัก 360 เหรียญเงินเป็นไงขอรับ”
เหนือภพพยักหน้า รู้สึกว่าก็ยังดีที่ได้ส่วนลด จากนั้นเขายื่นเหรียญเงินให้ขณะที่กําลังจะรับจานไก่มา เขาก็เอ่ยขึ้นพลาง หันกลับไปมองจอมหาเรื่องที่กําลังจะพังร้าน
“พี่ชาย ข้าเสร็จธุระข้าแล้ว เชิญท่านต่อเถอะ เอ๋ ?”
แต่พอเหนือภพได้สบตากับชายคนนั้น เขาก็ชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้าง
ไร้ชื่อ เจ้าบ้านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
Favorite
ตอนที่ 47 วัฏจักร
ตูม! ตูม!
ในขณะที่ฮันเตอร์แรงค์ D สองคนกําลังซัดพลังอาคมใส่เหนือภพ ก็พลันมีมวลพลังงานบางอย่างซัดเข้ามาขวางไว้ เท่านั้นยังไม่พอมวลพลังงานปริศนานั้นยังพัดเอากลุ่มอาคมสีทองลอยขึ้นไปบนฟ้าท่ามกลางพลุที่ยังคงถูกจุดอย่างต่อเนื่อง
ตึง !
จู่ ๆ ผนังห้องที่อยู่ติดกับห้องรับรองของตึกลําธารก็ล้มครืนลงมา ราวกับถูกใครถีบล้ม เผยให้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผมสีแดงเข้ม ผิวกายซีดขาว เขาอาจจะดูคล้ายเทพบุตรแต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ด้วยใบหน้านิ่งไร้อารมณ์ รวมกับนัยน์ตาดําสนิทไร้ประกาย ดูเยือกเย็นไร้ความเมตตาดุจซาตาน จิตสังหารล้นทะลักออกจากตัวเขา ข้างกายของเขามีหญิงสาวสวยสง่าที่แต่งกายเซ็กซี่เย้ายวนใจ ช่างดูร้อนแรงและอันตรายไม่ต่างจากนางปีศาจ
เพียงแค่เธอชายตาไปทางฮันเตอร์แรงค์ D ทั้งห้าที่กําลังจะจัดการเหนือภพ จู่ ๆ สองในห้าคนก็ล้มลงกุมคอตัวเองที่คล้ายถูกวัตถุมีคมตัดผ่าน เลือดสีแดงไหลทะลักจนสิ้นใจตาย ส่วนอีกสามคนไหวตัวหลบได้ทัน แต่บริเวณช่วงคอก็ยังปรากฎรอยขีดข่วนเล็ก ๆ
ส่วนซาตานหนุ่มก็ไม่พูดพร่ำทําเพลง เขาพุ่งออกมาตวัดดาบยาวที่อยู่ในมือฟันสุภัชชาโดยไม่ให้ตั้งตัว ไม่มีสัญญาณเตือน และไม่มีความปรานี
ขวับ !
ทว่าฮันเตอร์แรงค์ C ไม่ใช่บุคคลที่จะตายอย่างง่ายดายเช่นนั้น สุภัชชาถอยหลบทันที ปลายดาบของซาตานจึงฟันพลาดไปถูกเสาระเบียงขาดกระจุยแทน เขายังคงมีสีหน้านิ่งสงบขณะพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัวบาดลึกเข้าไปในใจคนฟัง
“อย่ายุ่งกับศิษย์น้องของข้า”
เหนือภพตกใจเหมือนๆ กับคนอื่น เขาไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อนจึงไม่แน่ใจว่าเขาคือใคร แต่ศิษย์พี่ที่เขาไม่เคยเจอก็เหลือเพียงศิษย์พี่รองเท่านั้น เมื่อเหนือภพทบทวนความจําเรื่องที่อาจารย์เคยเล่าเกี่ยวกับศิษย์พี่วัฏจักร แล้วเปรียบเทียบเรื่องราวที่ได้รับรู้มากับผู้ชายท่าทางโหดร้ายตรงหน้าที่มีนิสัยฟันก่อนแล้วค่อยพูด ก็พอจะเข้าเค้า
เขาคือศิษย์พี่รองจริง ๆ หรือ ?
เหนือภพหันไปมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างขอความเห็น เมื่อทานธรรมพยักหน้าเบาๆ เขาก็วางใจในทันที เขาปรับตัว ปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พุ่งเข้าไปกอดแขนวัฏจักรแน่น พลางทําตาละห้อย ช่างดูน่าสงสารและน่าขําในเวลาเดียวกัน
“ศิษย์พี่รอง ท่านดูสิ ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรม เห็นข้าเป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ F แล้วจะรังแกยังไงก็ได้งั้นหรือ นี่คือสิ่งที่ข้าควรได้รับหรือศิษย์พี่”
เหนือภพพูดไปก็ทําตัวสั่นไปด้วย เขาไม่ได้ดูเลยว่าเมื่อร่างกายบึกบึนใหญ่โตราวกับวัวกระทิง ทําเป็นตัวสั่นเทาราวกับเกรงกลัวอิทธิพลมืดนั้น มันไม่น่าเชื่อถือเลย
วัฏจักรไม่ได้มีท่าที่อะไร เขาก็พอรู้ว่าเหนือภพมีนิสัยอย่างไร ใช่ว่าอาจารย์จะเล่าเรื่องต่างๆ ให้เหนือภพฟังอยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่ ไม่ว่าศิษย์คนไหนเป็นอย่างไร มีปัญหาอะไร อาจารย์ก็จะเขียนจดหมายไปเล่าให้ศิษย์คนอื่นๆ รับรู้โดยทั่วกัน นั่นมิใช่การซุบซิบนินทา แต่เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์ทุกคนต่างหาก
ดังนั้นแม้ไม่เคยพบหน้ากัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็แนบแน่นมาตั้งแต่แรกแล้ว
“เจ้าอยากได้อะไร”
วัฏจักรถามตรง ๆ ต่อหน้าทุกคนในที่นั้นอย่างไม่กลัวเกรง ในตอนนี้งานเฉลิมฉลองก็ยังคงดําเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เสียงดนตรีที่ฟังดูครึกครื้นก็เริ่มผิดเพี้ยนไปบ้าง ฟังดูคล้ายงานไว้อาลัยเข้าไปทุกที่ ส่วนพวกชนชั้นสูงทั้งหลายต่างก็จับจ้องมาที่บริเวณนี้โดยพร้อมเพรียงกัน มองดูละครฉากใหญ่ที่พวกเขาไม่คิดจะเข้ามาเป็นส่วนร่วม
“ช่วงนี้ข้าค่อนข้างขัดสน หนําซ้ําตอนประมือกับท่านสุภัชชาก็ไม่รู้ว่าอาวุธดี ๆ สองเล่ม ของข้าหล่นหายไปไหน ตัวเงินที่ข้าต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกายมานับสิบปีหล่นหายไป ทั้งยังได้รับบาดเจ็บ แค่ก ๆ ศิษย์พี่รอง ท่านดูสิข้ามีเลือดออกจากปากด้วย”
เหนือภพพูดฉอดๆ อย่างหน้าไม่อาย ทั้งยังทําร้ายตัวเองต่อหน้าต่อตาทุกคน จนเลือดออกมาช่างสมจริงยิ่ง
“นี่มันต้องหน้าหนาขนาดไหนถึงทําเรื่องเช่นนี้ได้”
สุภัชชาโกรธจนใบหน้าแดงก่ํา แต่เธอก็จนปัญญาที่จะตอบโต้
แม้ว่าเธอจะสามารถต่อสู้กับทานธรรมได้อย่างสูสี แต่ไม่ใช่กับวัฏจักร เขาต่างจากทานธรรมมาก เขาไม่มีกฎเกณฑ์ในการสู้ ไม่สนศักดิ์ศรี ไม่เลือกวิธีการ ไม่ห่วงชื่อเสียง คนที่เขาต้องการฆ่าจะถูกตามล่าตลอดทั้งวันทั้งคืน ล่าแบบไม่ตายไม่ยอมเลิกรา
ดังนั้นต่อให้เธอไม่เกรงกลัวราชวงศ์ ไม่หวั่นต่อเหล่าทหารขมังเวทย์ ไม่นอบน้อมต่อภารดา หรือมีผู้แข็งแกร่งคอยสนับสนุนเธออยู่ก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจมีปัญหากับหมาบ้าแห่งหอโลหิต
“ข้ายังไม่ได้ทําอะไรเจ้าเด็กนั่นเลยนะ อะ อะ ก็ได้”
สุภัชชาพยายามแก้ต่าง แต่เมื่อเห็นเลือดกระฉูดพ่นออกมาจากปากเหนือภพ ใบหน้าเธอก็ซีดขาว สองมือกําแน่นจิกเนื้อตัวเองอย่างไม่จํายอม แต่เธอจะทําอะไรได้ เธอพยายามหันมองไปด้า นหลังเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้สนับสนุน ทว่าไม่มีการตอบรับใดใด
เธอถูกลอยแพ
ท้ายที่สุดสุภัชชาก็ทนเห็นใบหน้ากดดันของวัฏจักรไม่ได้ จึงจําเป็นต้องตกปากรับคําไปอย่างไม่เต็มใจ เธอมอบตั๋วเงินมูลค่า 500 เหรียญทองจํานวน 10 ใบที่เธอมี เม็ดยาปิดยมโลกคุณภาพสูงอีก 3 เม็ดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ กับดาบยาวคุณภาพเยี่ยมอีก 2 เล่ม ให้แก่เหนือภพ รวม ๆ แล้วแค่ตัวเงินและเม็ดยาปิดยมโลกคุณภาพสูงเพียงแค่ 3 เม็ดก็ทําให้เธอแทบจะหมดตัวแล้ว
นี้ยังไม่นับรวมดาบยาวสองเล่ม ดาบอนธการ และ ดาบอาภัสระ ที่เธอใช้เงินสะสมทั้งชีวิตเพื่อที่จะประมูลมันมา สุดท้ายก็ต้องยกให้กับเหนือภพอย่างไม่มีทางเลือก
เธอไม่ควรเลยจริง ๆ
เหนือภพขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮันเตอร์แรงค์ C ไม่ได้ร่ำรวยหรอก หรือ ทําไมขี้เหนียวจริง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าเงิน 5,000 เหรียญทองสามารถนําไปสุ่มกงล้อหรรษาได้เกือบ 300 ครั้ง นั่นหมายความ ว่าเขามีโอกาสได้รางวัลพิเศษอีกมากมาย พอคิดได้เช่นนั้นเขาก็ยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็พูดด้วยน้ําเสียงเป็นมิตรขณะนับตั๋วเงินไปด้วย
“เอาเถอะได้ 5,000 เหรียญทองแค่นี้ก็ดีกว่าไม่ได้ ส่วนเงินที่เหลือเจ้าก็ค่อย ๆ ทยอยคืนข้าละกัน หากจ่ายมาจํานวนเท่านี้ อีกแค่ 10 งวดก็หมดแล้ว เจ้าไม่ต้องคิดมาก เรื่องในครั้งนี้ก็ถือว่าเจ๊ากันไปก็แล้วกัน”
ยิ่งเห็นท่าทางใจกว้างของเหนือภพ ก็ยิ่งทําให้คนชั้นสูงหลายกลุ่มรีบกําชับลูกหลานของตนทันทีว่าให้ตายยังไงก็อย่าได้คิดหาเรื่องเจ้าหนุ่มหน้าหนาคนนี้
“ได้ของครบแล้วหรอ ”
วัฏจักรถามเหนือภพด้วยน้ําเสียงเรียบนิ่ง แต่ ราตรี หญิงงามราวกับดอกไม้มีพิษที่กําลังนั่งแกว่งต้นขาขาวเนียนถึงกับเลิกคิ้วน้อย ๆ มองชายผู้เป็นที่รักของเธออยากแปลกใจ เธอสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของวัฏจักรที่มีต่อเด็กหนุ่มเหนือภพ
“ครับ ศิษย์พี่รอง”
เหนือภพพยักหน้า เขารู้ว่าศิษย์พี่รองหมายถึงอะไร หากเขาต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ศิษย์พี่รองก็พร้อมจะช่วย หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงเรียกร้องเอาอีก แต่ในตอนนี้เขารู้สึกว่าไม่เหมาะนัก เอาแค่พอหอมปากหอมคอก็พอ เขาไม่อยากมีศัตรูมากนัก โดยเฉพาะศัตรูที่เป็นถึงฮันเตอร์แรงค์ C
เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย สุภัชชากลับมายังห้องพักตัวเองด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ก่อนจะบันดาลโทสะกับโต๊ะใจกลางห้องจนมันแหลกสลายเป็นฝุ่นผงโดยไม่เกิดเสียงอันใด นั่นทําให้ฮันเตอร์สาวลูกน้องคนสนิทเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ให้ข้าจัดการเจ้าหนุ่มนั่นดีหรือเปล่าเจ้าคะ”
สุภัชชาพยายามสะกดข่มอารมณ์ ขณะที่ตอบกลับอย่างแค้นเคือง
“ข้าไม่เคืองเจ้าหนุ่มนั่นมากเท่ากับพวกตาแก่ใกล้ตายพวกนั้นหรอก สั่งข้าให้ออกไปจัดการแท้ ๆ แต่พอเกิดเรื่องก็พากันหนีหายหัวหด เจ้าพวกนกขี้ขลาด สักวันข้าจะเด็ดปีกพวกเจ้าออกให้หมด”
หลังจากเหตุการณ์สงบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปที่ห้องของตัวเอง ยกเว้นวัฏจักรและราตรี เนื่องจากห้องของพวกเขาถูกวัฏจักรระเบิดอารมณ์จนพังเละไม่มีชิ้นดี เหนือภพจึงชวนทั้งสองมานั่งที่ห้องของตึกลําธารด้วยกัน
อีกอย่างคนทั้งแผ่นดินต่างก็รู้ว่า วัฏจักรกับทานธรรมเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กัน แม้จุดยืนทางอุดมการณ์ของทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะนั่งด้วยกันอย่างสนิทสนม
เหนือภพจัดแจงค้นหาแร่ที่เก็บไว้บนหลังแมวดํา เขาเอาแร่ 5 สี 1 ก้อนยื่นให้อังกาบเอาไปลงทะเบียนประมูลตามคําแนะนําของเธอ จากนั้นเขาก็หามุมเงียบ ๆ เอาดาบที่เพิ่งได้มาใหม่ทั้งสองเล่มออกมาพิจารณา
ชิ้ง !
ดาบอนธการถูกดึงออกจากปลอก ปรากฏเป็นใบดาบสีดําปลอดทรงไทยรูปแบบคมด้านเดียวแต่กลับไร้ซึ่งความคม ยาวประมาณเมตรครึ่ง ส่วนดาบอาภัสระเป็นดาบสองคมที่ไม่ยาวมาก มันยาวเพียงแค่ครึ่งเมตรเท่านั้น มีรูปทรงคล้ายพระขรรค์สีเงินยวง คมกริบ
ตัวดาบทั้งสองมีการลงอักขระเสริมพลังทั่วๆ ไป ไม่ได้ดีเด่น อะไร เทียบไม่ได้กับอักขระที่อยู่บนมีดหมอของเขาด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทําให้ดาบสองเล่มนี้น่าสนใจคือตัวดาบทํามาจากโลหะที่มีส่วนผสมของเหล็กไหลคุณภาพดีเป็นหลัก ทั้งยังเคลือบด้วยแร่ 3 สี และ 4 สี
หากถามว่าแร่มีสีที่เคลือบไว้บนอาวุธอย่างเช่นมีดหมอของเขาจะให้ผลเช่นไร ก็อาจเทียบเคียงได้ว่า แร่ 3 สี อานุภาพเทียบได้กับผู้ใช้ปราณอาคมระดับ 30 เมื่อใช้ในการโจมตีครั้งหนึ่งก็ ไม่ต่างกับการโจมตีด้วยอาคมของฮันเตอร์แรงค์ E ช่วงปลาย
ส่วนดาบอนธการและดาบอาภัสระที่เคลือบด้วยแร่ 4 สี การโจมตีของมันแต่ละครั้งเทียบได้กับฮันเตอร์แรงค์ D ช่วงต้น แต่ด้วยที่อักขระอาคมที่ลงไว้เป็นเพียงแค่อาคมทั่ว ๆ ไป อานุภาพของมันจึงไม่ได้เหนือกว่ามีดหมอของเขามากนัก เพราะมีดหมอของเขาทํามาจากวัสดุชั้นเลิศกับการลงอาคมที่ไม่ธรรมดา
เหนือภพละความสนใจจากดาบ เมื่อศิษย์พี่ทานธรรมเรียกหา
“มีอะไรให้รับใช้ครับพี่ใหญ่ ”
“มานั่งข้าง ๆ ข้า”
ทานธรรมเรียกเหนือภพให้มานั่งข้าง ๆ เพื่อจะได้สั่งสอนให้เหนีอภพรู้จักกฎหมายบ้านเมืองและบอกเล่าเรื่องราวให้เหนือภพรู้จักกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ เวลาไปหาเรื่องกวนบาทาใครจะได้รู้จักดูตาม้า ตาเรือบ้าง ไม่เช่นนั้นเหนือภพคงได้นอนจมกองเลือดในสักวันหนึ่ง
“เจ้าจําเอาไว้ให้ดี ห้องที่อยู่ตรงข้ามเราเจ้าไม่ควรยุ่ง นั่นคือตระกูลสุบรรณเวนไตย พวกเขาเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นอมตะนคร เชื้อพระวงศ์ในแต่ละรุ่นล้วนมีสายเลือดของตระกูลนี้ไหลเวียนอยู่ และก็นั่นผู้แทนสํานักงานฮันเตอร์ เขาคือผู้แทนที่คอยดูแลสํานักงานฮันเตอร์ในแคว้นนี้ทั้งหมด และก็นั่น…”
แล้วทานธรรมก็บรรยายให้เหนือภพต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น ส่วนเหนือภพก็ฟังบ้างลืมบ้างไปตามประสาคนที่ไม่คุ้นเคยกับการอยู่ในสังคมชั้นสูง พวกเขาพูดคุยกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งการแสดงข้างล่างเวที่จบลง
Favorite ณ ห้องรับรองส่วนตัวบนชั้น 5
“ดูเหมือนว่าหอหมื่นบุปผาจะไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยนะขอรับ”
หนึ่งในผู้จัดเตรียมงานเอ่ยอย่างนอบน้อมกับผู้สูงส่งท่านหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการประมูลครั้งใหญ่ในปีนี้
ชายสูงวัยผู้มีผมสีดอกเลายังไม่ได้ตอบในทันที เขาเลือกที่จะจิบไวน์น้ำผึ้งช้า ๆ อย่างมีระดับพลางชมการแสดงระบำด้วยความผ่อนคลาย เขาไม่คิดจะตอบคำถามที่ต่างก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการตัดสินใจของเขาไม่เคยผิดพลาด
“เรื่องที่ให้ไปเตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
“เป็นตามที่ท่านต้องการขอรับ ครั้งนี้ต่อให้กลุ่มภารดาวางแผนมาดีแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้พวกเราได้”
ชายสูงวัยจิบไวน์น้ำผึ้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวดราวกับผู้ใหญ่สั่งสอนเด็กผู้หนึ่ง
“จำคำข้าไว้ เจ้าไม่ควรดูถูกใคร โดยเฉพาะกลุ่มภารดา”
“อ้อ ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลสัตว์อสูรมังกรดิน วิหคเพลิง และหอยมือเสือเป็นพิเศษหน่อยนะ พวกมันมีราคาแพงและเป็นสินค้าพิเศษสำหรับการประมูลรอบนี้”
หนึ่งในผู้จัดเตรียมงานตอบรับอย่างเกร็ง ๆ แม้ชายสูงวัยจะพูดด้วยน้ำเสียงแสนธรรมดา แต่ความเป็นจริงแล้วเขากลับรู้สึกเกรงกลัว ราวกับมีใบมีดคมจี้อยู่ที่คอ บรรยากาศช่างเย็นยะเยือกจนเขาต้องรีบขอตัวออกมาจากห้องนั้น
เหนือภพเดินฝ่าฝูงชนเพื่อขึ้นไปหาศิษย์พี่ใหญ่อย่างยากลำบาก เพราะมีคนมาร่วมงานกันแน่นขนัด อีกทั้งเหนือภพยังต้องคอยก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่ให้มีคนจำได้ว่าเขาคือคนบ้าที่ไปยืนเปลือยกายอยู่บนเวทีเมื่อสักครู่
เหนือภพทะลุผู้คนที่มีฐานะปานกลางขึ้นไปสู่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นรับรองสำหรับผู้ที่มีระดับขึ้นมาอีกขั้น พวกเขาล้วนเป็นบุคคลร่ำรวย และมีชื่อเสียงจากเมืองต่าง ๆ เหนือภพไม่หยุดแวะทำความรู้จักใครทั้งนั้น เขามุ่งตรงขึ้นไปถึงชั้น 4 อย่างรวดเร็ว ที่ชั้นนี้เหนือภพสังเกตเห็นความหรูหรามากขึ้น พวกเขาล้วนเป็นชนชั้นระดับขุนนาง ราชนิกุล และตระกูลเก่าแก่ผู้มีความสำคัญในระดับแคว้น
แต่เหนือภพก็ยังไม่หยุด เขาพุ่งขึ้นบันไดไปตามหาศิษย์พี่ใหญ่ที่ชั้น 5 ทันที
“เดี๋ยวครับ ขอทราบหมายเลขห้องรับรองของท่านด้วยครับ”
ฮันเตอร์แรงค์ D ผู้มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำชั้นนี้รีบมาดักหน้าเหนือภพอย่างว่องไว ชั้นนี้เป็นชั้นพิเศษที่คนทั่วไปไม่อาจเข้ามาได้
“ข้าจะไปที่ห้องรับรองของตึกลำธารครับ ข้าเป็นศิษย์น้องของท่านทานธรรม”
ฮันเตอร์หนุ่มมองประเมินเหนือภพตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วเขาก็พยักหน้าน้อย ๆ ให้เหนือภพเดินตามไป หากไปถึงห้องรับรองของตึกลำธารแล้วพบว่าเหนือภพแอบอ้าง และพูดไม่เป็นความจริง เขาจะจัดการเด็กหนุ่มไม่รู้ความนี่เอง
บนชั้น 5 มีห้องรับรองสุดหรูมากมาย แต่ละห้องจะมีผนังคั่นเพื่อความเป็นส่วนตัว และมีผ้าม่านหนาหนักที่สามารถรูดปิดด้านหน้าห้องได้หากต้องการ แต่ส่วนใหญ่มักจะเปิดผ้าม่านไว้เพื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นที่เวทีกลางด้านล่างและจับตามองผู้คนในชั้นต่าง ๆ
แต่ละห้องล้วนมีป้ายชื่อติดไว้ที่เสาแกะสลักด้านหน้าห้องรับรองทุกห้อง อาจเป็นชื่อตระกูล ชื่อกลุ่มการเมือง ชื่อบุคคลหรือ ชื่อสมมติ เพื่อให้แขกผู้มาเยี่ยมเยือนและคนรับใช้ที่จะมาบริการสามารถแยกแยะได้ว่าห้องไหนเป็นห้องไหน
ในงานเทศกาลใหญ่ครั้งนี้ กลุ่มภารดาก็มาร่วมงานครบทั้ง 5 ตึก แม้พวกเขาจะใช้ชื่อกลุ่มเดียวกัน แต่ฐานอำนาจ อุดมการณ์ และภาระหน้าที่ของพวกเขาล้วนต่างกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เหนือภพจะไม่ได้เห็นคนจากทั้ง 5 ตึกมาอยู่ห้องใกล้กัน เหนือภพเห็นเพียงห้องของตึกลำธาร หอโลหิต ตระกูลใต้ สมาคมพ่อค้าเอกชน สำนักงานข่าวหลวง โรงเรียนเซนต์อมตะ และก็ห้องของพวกราชวงศ์ที่อยู่ไกลออกไป นอกเหนือจากนี้ก็อยู่ไกลเกินกว่าที่เหนือภพจะมองเห็นเพราะตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว
‘หืม ? พวกตระกูลใต้ได้อยู่ชั้น 5 เลยหรือนี่ มีอิทธิพลไม่ธรรมดาจริง ๆ’
“เรียนท่านทานธรรม มีคนมาขอพบครับ”
ฮันเตอร์หนุ่มกล่าวเสียงห้วนแต่ก็ฟังดูหนักแน่นไม่หยาบคาย เขาพาเหนือภพมารอถึงหน้าห้องรับรองที่จุดตะเกียงดวงใหญ่ ประดับประดาสวยงามราวกับแสงดาวยามค่ำคืน
“อ้าว ศิษย์น้องสาม เข้ามาสิ ทำไมมาช้าจัง”
“ก็ศิษย์พี่ใหญ่ไม่รอข้า ทำไมคนของตึกศิษย์พี่น้อยจังเลย”
เหนือภพเดินเข้าไปพูดคุยกับทานธรรมโดยไม่สนใจฮันเตอร์หนุ่มอีก เขาจึงค่อย ๆ ถอยหลังกลับไปเฝ้าประจำจุดเดิม
ทานธรรมไม่ตอบเหนือภพ เขาเพียงยิ้มแล้วก็ยกไหเหล้าน้ำผึ้งขึ้นดื่มตามปกติ พลางหันมองอังกาบด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม ทั้งห้องรับรองอันใหญ่โตของตึกลำธารนี้มีเพียงเขาและอังกาบเพียงสองคนเท่านั้น
“หึหึ ว่าแต่การเจรจาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่คืบหน้าอะไรเลย เจ้าพวกนั้นบอกว่ายังไม่มีเวลาพิจารณา”
เหนือภพพูดอย่างเซ็ง ๆ เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ฮันเตอร์ผู้ดูแลจุดลงทะเบียนสินค้าเข้าร่วมการประมูล เขาไม่สนใจเหนือภพเลยแถมยังบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย
“เอาของมาให้พี่อังกาบสิ นางจะจัดการให้เจ้าเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”
ทานธรรมมองสำรวจสภาพของเหนือภพก็พอเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาไม่มีมาดชนชั้นสูง ไม่มีคนรับใช้คอยตาม ไม่มีสิ่งของมีค่าติดตัว แถมยังห้อยอีเตอร์ตลอดเวลาราวกับเป็นนักขุดเหมืองชนชั้นแรงงานอีกต่างหาก
“เจ้าจะขายอะไรล่ะ บอกพี่สาวคนนี้มาเลย”
อังกาบยิ้มอย่างใจดี วันนี้เธอแต่งตัวสวยงามในชุดผ้ายกดิ้นทองประดับพลอยสีฟ้าและน้ำเงิน ดูดีสมฐานะ
เหนือภพยิ้มกว้างจากนั้นก็ผิวปากเป็นจังหวะสั้น ๆ ไม่นานแมวราตรีที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน มันวิ่งจากชั้นล่างขึ้นมาตามเสียงผิวปากของเหนือภพในทันที
“ดูเหมือนแมวของเจ้าจะก่อความวุ่นวายได้เก่งใช่ย่อยเลยนะ”
ทานธรรมพูดขำ ๆ ขณะยืนติดระเบียงมองเหตุการณ์ข้างล่าง แมวดำยักษ์ที่มีข้าวของมากมายผูกติดอยู่บนหลังตัวนั้นพุ่งชนคนอื่นเป็นว่าเล่น ใครจะหลบก็หลบไป แต่มันไม่จำเป็นต้องหลบ มีเสียงตะโกนด่าทอเจ้าของที่ไม่ดูแลสัตว์เลี้ยงให้ดี ปล่อยให้มาเกะกะคนกำลังดูการแสดงและดื่มเฉลิมฉลองกัน
เหล่าฮันเตอร์ผู้คุ้มกันก็ไม่รอช้า พวกเขาพากันวิ่งไล่ตามเพื่อกำจัดตัวปัญหาอย่างไม่ลดละ แม้พวกเขาจะเป็นฮันเตอร์ระดับสูง แต่ก็ไม่อาจไล่ตามฝีเท้าแมวดำตัวนี้ได้ ไม่รู้ว่าแมวดำตัวนี้จะวิ่งไปที่ไหน แต่ดูเหมือนว่ามันจะวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบน ตอนนี้มันทะลุไปถึงชั้น 3 อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่พวกเขาจะจับตำแหน่งของมันได้ มันก็วิ่งทะลุไปถึงชั้น 4 เรียบร้อยแล้ว และนั่นทำให้พวกเขาเป็นกังวล หากสัตว์อสูรแมวตัวนี้ไปก่อความวุ่นวายกับคนชั้นบนสุดนั่นคงไม่เป็นผลดี
ทว่าสิ่งพวกเขากังวลมันเกิดขึ้นจริง ๆ แมวดำกระโจนเพียงสองครั้งก็ก้าวขึ้นมาถึงชั้น 5 เรียบร้อยแล้ว
ฮันเตอร์แรงค์ C คนหนึ่งที่เร้นกายในความมืดมาโดยตลอดถึงกับใช้อาคมย่นระยะทางพุ่งตามแมวดำไปด้วยความเร็วที่คนธรรมดาไม่อาจสังเกตเห็น
ทานธรรมสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของฮันเตอร์แรงค์ C เพียงแค่พวกเขาถอนหายใจก็ส่งคลื่นบางอย่างที่สั่นสะเทือนมาตามอากาศ ด้วยระดับของทานธรรมเขาจึงรับรู้ได้ไม่ยาก
เหนือภพก็สัมผัสได้เช่นกัน แต่ความไวของเขามีมากกว่าศิษย์พี่ใหญ่ เพียงพริบตาเดียวเขาก็มาปรากฏตัวคั่นกลางระหว่างแมวดำและฮันเตอร์แรงค์ C
เสียงมีดหมอของเหนือภพและดาบของฮันเตอร์แรงค์ C กระทบกันดังลั่น จากนั้นเหนือภพก็ถูกแรงกระแทกดีดสะท้อนจนตัวโยนกลับไปข้างหลัง โชคดีที่ทานธรรมใช้มือข้างเดียวช่วยรับเหนือภพทั้งยังช่วยสลายอาคมที่แฝงมาการโจมตีนั้นด้วย จากนั้นทานธรรมก็กลับไปยืนพิงราวระเบียงด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“คิดจะตีแมวก็ดูเจ้าของหน่อยนะ สุภัชชา”
พูดจบทานธรรมก็ยืนจิบเหล้าด้วยท่าทางเย้ยหยันราวกับคุณชายเสเพล
ส่วนเหนือภพนั้นได้แต่บิดนิ้วมือ เกร็งกล้ามเนื้อรอรับการปะทะครั้งต่อไป เมื่อครู่เขารู้เลยว่าตัวเองยังไม่ใช่คู่ต่อสู้กับฮันเตอร์แรงค์ C ผู้นี้ ความต่างชั้นระหว่างเขากับฮันเตอร์แรงค์ C ยังมีช่องว่างอยู่มาก
“เจ้าของเป็นยังไง สัตว์เลี้ยงก็เป็นอย่างนั้น ”
เสียงกังวานใสเอ่ยคำด่าอย่างสุภาพ ขณะจ้องมองทานธรรมอย่างเอาเรื่อง สุภัชชาคือฮันเตอร์แรงค์ C ที่นับว่าเป็นระดับสูงที่สุดในแคว้นนี้ และยังเป็นหนึ่งในผู้ดูแลการประมูลด้วย เธอจึงมีอิทธิพลไม่น้อยเลย แถมยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับทานธรรมอย่างคลุมเครือ
แม้แต่ผู้หญิงปากร้าย พูดตรงไปตรงมาอย่างอังกาบยังเปลี่ยนท่าทีในฉับพลัน เธอยิ้มอ่อนหวาน แล้วก็โผเข้าไปออเซาะทานธรรมพร้อมกับรินเหล้าน้ำผึ้งให้เขาอย่างเบามือ ราวกับว่าเธอกำลังพยายามยั่วให้สุภัชชาอกแตกตาย
เหนือภพหรี่ตาครุ่นคิดกับประโยคของสุภัชชา ไม่นานก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา
“นี่พี่สาว ท่านบอกว่า เจ้าของเป็นยังไง สัตว์เลี้ยงก็เป็นอย่างนั้น ใช่หรือเปล่าครับ”
“คำพูดข้าไม่เคยผิด ย่อมเป็นอย่างที่เจ้าได้ยิน เอ๊ะ หรือว่าเจ้าเป็นเจ้าของมัน มิน่าล่ะ…”
สุภัชชาเว้นประโยคสุดท้ายเอาไว้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ท่าทางและสายตาดูแคลนของเธอนั้นสื่อออกมาชัดเจนแล้ว
เหนือภพยิ้มกว้างอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วเอ่ยตอบว่า
“เท่าที่ข้ารู้นะ แมวตัวนี้มีชื่อว่า แมวราตรี เป็นแมวสายพันธ์ุเฉพาะที่ถูกเพาะเลี้ยงโดยองค์เจ้าแคว้น แล้วพระองค์ก็พระราชทานแมวตัวนี้ให้กับพันเพชรเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่ลูกสาวของเขา ดูสิที่คอมันยังมีสร้อยแกะสลักชื่อพันเพชรอยู่เลย ดังนั้น…”
เหนือภพไม่จำเป็นต้องพูดทั้งหมดก็สามารถเรียกสีหน้าอึมครึมจากสุภัชชาได้ เธอเองก็ไม่คิดว่าเธอจะโดนเด็กเมื่อวานซืนยอกย้อนให้ เมื่อเห็นว่าสุภัชชาไม่พูดอะไร เหนือภพจึงยิ่งตอกย้ำด้วยการตะโกนถามไปทางองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรที่กำลังยืนมองพวกเขาอยู่ริมระเบียงหน้าห้องของเธอ
“ที่ข้าพูดนี่จริงไหม องค์หญิง”
องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรชะงักไปชั่วครู่ เธอแค่นึกสนุกอยากดูพัฒนาการของเหนือภพ แต่ไม่คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะดึงเธอเข้าไปร่วมวงด้วย
เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะใช้อาคมขยายเสียงตอบกลับไปว่า
“ข้าเป็นเพียงองค์หญิงที่อยู่วังหลัง ไม่สันทัดเรื่องของแมวราตรีสักเท่าไหร่ คงต้องถามองค์รัชทายาทแล้วล่ะ ใช่ไหมเจ้าคะท่านพี่ ถ้าหากข้ามองไม่ผิดท่านพี่เองก็พาแมวราตรีมาด้วยนี่เจ้าคะ”
องค์รัชทายาทที่กำลังเกาคอแมวราตรีของตัวเองชะงักกึกทันที เขาหลับตาลงชั่วครู่เพื่อขับไล่แววตาแห่งความแข็งกร้าวออกไป ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างผ่อนคลายลง จากนั้นก็เกาคอแมวแสนรักต่อพร้อม ๆ กับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวล
“เป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า แค่ก ๆ ข้าโปรดปรานแมว และแมวตัวนั้นอดีตเคยเป็นของท่านพ่อจริง แต่ท่านพ่อก็ยกมันให้ขุนเพชรแล้ว แค่ก ๆ นิสัยแมวเป็นเช่นไรนั้นดูเหมือนขุนเพชรจะเป็นต้นเหตุ แค่ก ๆ”
สุภัชชาเอียงคอมององค์รัชทายาทด้วยความสงสัย นี่เขายอมหักหน้าเธอเพื่อเด็กคนนี้หรือ ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไรต่อไป ขุนเพชรก็รีบออกโรงมาคลี่คลายสถานการณ์ได้ทันท่วงที ราชวงศ์อมตะมีบุญคุณกับเขามาก และเมื่อไม่นานมานี้องค์เจ้าแคว้นเพิ่งจะแต่งตั้งให้เขาเลื่อนขั้นเป็น ‘ขุน’ ดังนั้นเขาจะต้องปกป้องศักดิ์ศรีขององค์รัชทายาทไว้ด้วยชีวิต
ขุนเพชรรีบออกมาคุกเข่าต่อหน้าสุภัชชา
“ท่านสุภัชชาเป็นความผิดข้าน้อยเองที่เลี้ยงแมวไม่ได้เรื่อง ทำให้มันมีนิสัยย่ำแย่ ความเสียหายที่เกิดจาะแมวของข้า ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ขอท่านโปรดให้อภัย”
เหนือภพมองหน้าสุภัชชาพร้อมกับยิ้มกริ่ม ในเมื่อเรื่องจบลงได้ด้วยดีเขาก็หมุนกายเดินกลับเข้าห้องรับรอง
สุภัชชาเอ่ยเสียงเข้ม พร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ ราวกับว่าเธอกำลังถือไพ่เหนือกว่า
“ในเมื่อแมวเป็นของท่านขุนเพชร แล้วมันมาอยู่กับเจ้าได้ยังไง นี่ก็แปลว่าเจ้าเป็นคนขโมยมันมา เด็ก ๆ มาจับหัวขโมยผู้นี้”
สิ้นเสียงสั่งการของเธอ เหล่าฮันเตอร์แรงค์ D เกือบ 5 คนต่างพุ่งเข้ามาหาเหนือภพ
เหนือภพพำพึมกับตัวเอง แล้วก็หัวเราะแห้ง ๆ แต่เขาก็ไม่มีท่าทีร้อนใจ ถึงอย่างไรเจ้าแมวดำกับเขาก็มีความสัมพันธ์ฉันเพื่อนร่วมงานมากกว่า ไม่ได้นับว่าเขาบังคับหรือจับมันมาทำงาน
“แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ถูกจับตัวมาเลยนะขอรับองค์ชาย”
พยัคฆ์คีรีกระซิบกับองค์ชายด้วยเสียงดังในระดับที่ได้ยินกันทุกคน องค์รัชทายาทเองก็หันกลับมาตอบคนสนิทด้วยเสียงดังในระดับเดียวกัน
“หรือเจ้าคิดว่า ขุนเพชรดูแลแมวได้ไม่ดีพอ มันจึงหนีไปอยู่กับคนอื่น”
ขุนเพชรได้ยินองค์รัชทายาทคุยกับองครักษ์คู่ใจเช่นนั้นก็รีบละล่ำละลักออกมา
“ใช่ ๆ องค์รัชทายาทพูดถูกต้องแล้วท่านสุภัชชา ข้าผิดเอง ไม่มีใครขโมยแมวไปหรอก คราวที่แล้วมันถูกพันศรีวะราขโมยไปจริง แต่เหนือภพก็นำมันกลับมาคืนแล้ว”
“ใช่ขอรับ ถ้าท่านสุภัชชายังแคลงใจ ก็สามารถไปขออนุญาตเปิดดูแฟ้มภารกิจของสำนักงานฮันเตอร์ได้”
ขุนเพชรหันมามองชายวัยกลางคนร่างเล็กในชุดสีฟ้าด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่าคนจากสำนักงานฮันเตอร์จะเข้ามาช่วย
สุภัชชาเกิดความลังเลใจ เธอหันมองไปข้างหลังเล็กน้อย ราวกับมีพลังงานบางอย่างพุ่งเข้ามาเสียดแทงกระดูกสันหลัง เธอจึงรีบหันกลับมาตัดบทอย่างแข็งกร้าว
“ยังไงเจ้าเด็กนี่ก็มีความผิด จัดการได้”
Favorite “ให้ข้าช่วยท่านเอง”
เหนือภพเอ่ยพลางมองสลับระหว่างบุษย์น้ำเพชรและบุษย์น้ำทองอย่างแค้นใจ ในเมื่ออยากแย่งอำนาจกันนักเขาก็จะส่งเสริม ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาต จากนั้นกะพริบตาครั้งเดียวดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า สดใสตามฉบับของเขา
เหนือภพกระโดดเข้าไปถึงกลางเวที แม้พื้นเวทีจะพังทลายแตกร้าวไปบ้าง แต่เขาก็ไม่สนใจ
องค์รัชทายาทมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากที่พยัคฆ์คีรีเอนกายเข้าไปกระซิบเล่าเรื่องเหนือภพให้องค์รัชทายาทรับรู้พอสังเขป เขาก็คลายใจลง ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างให้กำลังใจ แล้วยื่นคบเพลิงเปล่าที่ปราศจากแสงไฟในมือให้แก่เหนือภพ
ส่วนองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรกลับมีสีหน้าประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าเหนือภพจะกล้าแทรกมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของราชวงศ์เช่นนี้ เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเหนือภพจะทำเช่นไร เพราะตอนนี้คบเพลิงของจริงถูกดับไปแล้ว และหากต้องกลับไปเอาคบเพลิงสีทองศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง เพื่อไปเอาเพลิงสีทองศักดิ์สิทธิ์จากแท่นเพลิงสุริยันในพระราชวังของเมืองนิรันดร์กาล เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเลยฤกษ์ที่เป็นมงคลไป ถึงจะจุดติดก็ไม่ได้มีค่าเท่าครั้งแรก
ทั้งองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรและองค์รัชทายาทต่างก็ยืนเฉยไม่ห้ามปราม เพราะอยากจะรู้ว่าเหนือภพจะทำเช่นไรต่อไป
ทว่าเหนือภพไม่ใช่คนที่ชอบทำตามพิธีการ ในสายตาของเขาพิธีการพวกนี้มันบ้าบอสิ้นดี เขาก็แค่อยากหักหน้าพวกองค์หญิงเท่านั้น
จู่ ๆ มือขวาที่ใช้ถือคบเพลิงเปล่าของเขาก็เกิดความร้อนสูงจนมีไอร้อนพวยพุ่ง ทำให้คบเพลิงศักดิ์สิทธิ์เกิดประกายไฟ
เปลวเพลิงสีส้มเข้มลุกพรึ่บบนยอดคบเพลิง แต่มันก็เปล่งแสงแค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนมันจะดับลงไป
เหนือภพขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสามารถพอ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะพิเศษถึงขนาดนี้ จึงไม่ได้ใส่เต็มความสามารถ เขาหลับตาทำสมาธิ มือขวาจับคบเพลิงไว้จนแน่น ขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มปลดปล่อยไอร้อน จนองครักษ์ต้องพาองค์รัชทายาทก้าวถอยหลังไประยะหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
เมื่อร่างกายของเหนือภพปลดปล่อยความร้อนออกมาถึงจุดหนึ่ง ผิวหนังของเขาก็เกิดการเปล่งแสง เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายเกิดประกายคล้ายสะเก็ดไฟอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เปลวเพลิงสีทองจะลุกพรึ่บทั่วทั้งตัวของเหนือภพลามไปถึงคบเพลิงในมือ เขาตกใจมากพลางใช้มือข้างที่ว่างตบตามตัวเพื่อดับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้เสื้อผ้าของตัวเอง แต่มันไม่ได้ผล
เหนือภพวิ่งลนลานกระโดดโหยงเหยงไปรอบ ๆ เวที
เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ปากเขาร้องคร่ำครวญ แต่ความรู้สึกทางใจของเขานั้นเจ็บปวดมาก เสื้อผ้าชั้นดีตัวที่เขาใส่มางานในวันนี้มีมูลค่าตั้ง 300 เหรียญเงินเชียวนะ แม้เขาจะไม่ได้ซื้อเองก็เถอะ เขาอุตส่าห์ดูแลมันอย่างทะนุถนอม กะว่าพ้นงานประมูลนี้เขาจะเอาไปขายแลกเงินสักหน่อย แต่แล้วเขากลับกำลังทำมันไหม้
ด้วยเหตุนี้ผู้ชมจึงเห็นภาพแสนตลกขบขันของเหนือภพที่วิ่งไปรอบ ๆ เวทีประมูลพร้อมถือคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีเปลวไฟสีทองลุกโชติช่วง
อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกขำเหมือนพวกผู้ชมธรรมดา พวกเขาล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ดูระแวดระวัง และมีท่าทีที่เปลี่ยนไป
แค่มองพวกเขาก็รู้ว่าเปลวเพลิงสีทองในมือของเหนือภพนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนสามัญจะครอบครองมันได้ มันคือสิ่งที่ได้รับจากการกินแก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยัน หนึ่งในสัตว์อสูรที่มีความสามารถสร้างไฟที่มีความร้อนแรงเทียบเคียงเพลิงแห่งดวงตะวันได้ ดังนั้นเบื้องหลังของเหนือภพอาจมีผู้มีอำนาจหนุนอยู่ก็เป็นได้
และแล้วผู้มีอำนาจบางส่วนก็เริ่มเอนเอียงมาทางองค์รัชทายาท บางทีองค์รัชทายาทอาจจะได้รับการสนับสนุนจากองค์จักรพรรดินีเพลิงก็เป็นได้ เพราะมีแค่จักรวรรดิเงาสุริยันเท่านั้นที่จะมีคนที่ใช้เพลิงสุริยันได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงการต่อต้านหรือตีตัวออกห่างองค์รัชทายาทก็มีแต่จะทำให้พวกเขาเดินเข้าไปสู่ความหายนะ
เสื้อผ้าของเหนือภพถูกเผาไหม้ไปทีละน้อยจนหมด โชคดีที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวดุจสวมอาภรณ์แห่งเพลิงทำให้ผู้ชมไม่เห็นภาพอุจาดตาของเหนือภพ
องค์รัชทายาทกวาดตามองไปรอบ ๆ พื้นเวทีและเครื่องตกแต่งอื่น ๆ พรมสีแดงหนาอยู่ในสภาพไหม้เกรียมเป็นหย่อม ๆ เพลิงสุริยันเป็นเพลิงประเภทเดียวที่หากไม่มีปราณอาคมหล่อเลี้ยงพวกมันก็จะดับไปเอง แต่น่าแปลกคือเหนือภพเป็นผู้ไร้พรสวรรค์แท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงยังคงเปลวเพลิงสุริยันเอาไว้ได้ แล้วความคิดขององค์รัชทายาทก็หยุดลงเมื่อได้ยินเสียง
เหนือภพกระแอมเล็กน้อยแล้วยื่นคบเพลิงให้องค์รัชทายาท จากนั้นองค์รัชทายาทและองครักษ์ก็ลอยขึ้นไปจุดคบเพลิงที่ยอดดอกบัวบาน เพลิงสีทองสว่างวาบ เปลวเพลิงพุ่งขึ้นบนฟ้าเกือบถึงเมตร
หลังจากองค์รัชทายาทจุดเพลิงบูชาเทพสุริยัน พลุสีสันสวยงามก็ถูกจุดขึ้นฟ้าไล่เรียงกันไป มันแตกกระจายตัวออกเป็นรูปต่าง ๆ อันเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองของเมืองทั้งห้าสิบเมืองที่มารวมตัวกันอยู่ในที่นี้
“อลังการจริง ๆ ไม่คิดว่านิรันดร์กาลนครจะทุ่มทุนขนาดนี้”
ท่ามกลางการจุดพลุมากมายราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ดนตรีพื้นเมืองก็ค่อย ๆ บรรเลงแทรกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า พร้อม ๆ กับเหล่านางระบำสวมเครื่องแต่งกายเต็มชุดนับร้อย ตั้งแถวเป็นสองแถวเยื้องย่างขึ้นมาบนเวทีด้วยท่าย่อกายตั้งวงจีบมืออย่างชดช้อย แล้วเหล่านางระบำก็ย่ำเท้าแปรขบวนกระจายแถวกันอยู่ทั่วเวทีตามเสียงกลองโทนที่ค่อย ๆ รัวเร็วขึ้น ปี่ โหม่ง ฉิ่ง กรับ และเครื่องดนตรีอื่น ๆ ต่างบรรเลงสอดประสานไปกับอก เอว สะโพกที่ส่ายไปมาอย่างเข้าจังหวะ เป็นท่าระบำที่ดูสนุกสนานแต่ก็ดูเย้ายวนในเวลาเดียวกัน
พวกเธอทุกคนล้วนเป็นสาวงามที่ถูกคัดสรรมาจากหอหมื่นบุปผา หอคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงอมตะนคร ดังนั้นความสวย ความสาว เสน่ห์เย้ายวนใจชายของพวกเธอแต่ละคนจึงทำให้ผู้ชมถึงกับเคลิบเคลิ้ม มองตาค้างกันแทบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่บุษย์น้ำเพชร องค์รัชทายาท องครักษ์ และเหนือภพที่ยังคงยืนรวมกลุ่มกันอยู่กลางเวที โดยมีนางระบำล้อมรอบ
ผ้าคล้องแขนหลากสีสันของพวกเธอถูกโบกสะบัดไปมา ดูพลิ้วไหวราวกับสายน้ำหลากสี วงดนตรีรัวเร็ว ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับต้องการกระชากหัวใจของผู้ชมให้สูงขึ้นไป แล้วกลองก็หยุดตีปล่อยให้หัวใจของผู้ชมหยุดนิ่งกลางคัน เหล่านางระบำแปรขบวนอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง เกิดเป็นเส้นทางโล่งผ่าตัดกลางเวที
ณ มุมปลายสุดของเส้นทางปรากฏกลุ่มนางรำในชุดผ้านุ่งจับจีบซ้อนชั้นหนาสีชมพูเหลือบทองอร่ามไปทั้งตัว ยังไม่รวมความอลังการของปิ่นนางรำ ต่างหู จี้นาง กำไลมือ กำไลเท้าที่ล้วนทำมาจากอัญมณีสูงค่าทั้งสิ้น นางรำผู้มาใหม่ทั้งสามคนคือดาวเด่นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งแผ่นดิน นั่นคือเนตรกัญญา บุษบา และพราวจันทร์
เมื่อพวกเธอเยื้องย่างมาถึงกลางเวทีก็มีการโปรยกลีบดอกไม้สีแดง สีเหลือง สีขาว ฟุ้งกระจายลงมาจากชั้นบนสุด แล้วเสียงดนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง พร้อมกับดาวเด่นทั้งสามที่เป็นผู้นำในการระบำชุดต่อไป
“โอ้ ในที่สุดข้าก็ได้ยลโฉมเนตรกัญญา”
ชายมากมายล้วนจ้องมองตาค้าง พร่ำเพ้อด้วยความปรารถนาที่ไม่เคยเป็นจริง มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ยังพอจะคุ้นเคยกับสามดาวเด่นอยู่บ้าง
จนถึงตอนนี้องค์หญิงบุษย์น้ำเพชรและพวกองค์รัชทายาทต่างก็ถอยออกไปจากเวทีแล้ว คงเหลือเพียงเหนือภพที่ยังยืนนิ่งค้างอยู่บนเวทีพร้อมกับเปลวไฟบนผิวหนังที่ค่อย ๆ มอดลง เขาได้กลิ่นนี้อีกแล้ว มันคือกลิ่นของนางมารที่ขโมยพรหมจรรย์ของเขา เธอต้องเป็นหนึ่งในสามสาวนี้แน่นอน
เหนือภพยืนจ้องสามสาวอยู่เช่นนั้นโดยไม่แยแสว่าใครจะมองเขาอย่างไร มีทั้งเสียงตะโกนขับไล่ และออกคำสั่งเรียกตัวเหนือภพกลับ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เข้าหูเหนือภพแม้แต่น้อย
ฮันเตอร์แรงค์ D ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเวทีประมูล ร้องเรียกเหนือภพอยู่ด้านข้างเวที เมื่อเห็นว่าเหนือภพไม่ยอมทำตามคำสั่ง เขาจึงพุ่งตัวเข้ามายืนใกล้ ๆ หมายจับตัวเหนือภพออกไป แต่เขายังแตะต้องตัวเหนือภพไม่ได้เพราะสะเก็ดเปลวไฟยังมีอยู่บนผิวของเหนือภพ
เหนือภพหัวใจเต้นแรง ม่านตาเบิกกว้าง ตัวชาดิกไปในทันที ไม่ใช่เพราะเขากลัวฮันเตอร์คนนี้ แต่เป็นเพราะว่าเขาจำได้แล้ว กลิ่นนี้เหมือนกลิ่นตัวของกลิ่นจันทน์ไม่มีผิด
‘เป็นเจ้าหรือ เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ใช่ไหม’
เหนือภพตะโกนเรียกชื่อคนรักในอดีตของเขา เพื่อจับพิรุธว่ากลิ่นจันทน์ นางมาร และนางระบำดาวเด่น เป็นคนคนเดียวกันหรือไม่
เมื่อเหนือภพตะโกนออกไปทั้งเนตรกัญญา บุษบา และพราวจันทร์ต่างก็หันขวับมามองเหนือภพด้วยสายตาแบบเดียวกัน นั่นคือสายตาแห่งความตกตะลึง
“เอ่อ นี่เจ้า เปลวไฟมอดหมดแล้ว”
ฮันเตอร์แรงค์ D คนนั้นสะกิดไหล่เหนือภพยิก ๆ เหนือภพหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเขายังแยกไม่ออกว่าผู้หญิงที่เขาตามหาคือใครกันแน่
“เจ้าจะออกไปเองดี ๆ หรือจะให้ข้าลากตัวเจ้าออกไป”
หากไม่ถึงที่สุดเขาก็ไม่อยากลงมือกับคนที่น่าจะเป็นลูกน้องขององค์รัชทายาทให้หมางใจกัน
เหนือภพพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง แล้วก็ยกมือขึ้นกอดอก ทันใดนั้นเมื่อเขาสัมผัสได้ว่ากำลังกอดอกเปล่าเปลือยของตัวเอง เขาก็สะดุ้งโหยงขณะก้มมองร่างกายของตัวเอง
เหนือภพกระโจนหนีลงจากเวทีทันที นี่เขาทำเรื่องน่าขายหน้าต่อหน้าผู้คนตั้งมากมายขนาดนี้ได้ยังไง
‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะตามหาเจ้าให้ได้ กลิ่นจันทน์’
องค์รัชทายาทเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเหนือภพคงไม่มีเสื้อผ้าสำรองติดมาด้วย และเขาก็คิดจะใช้โอกาสนี้ประกาศว่าเหนือภพเป็นคนของเขาไปด้วยในตัว นั่นคงสร้างฐานอำนาจให้เขาได้ไม่น้อย
เหนือภพเอาผ้าคลุมขององครักษ์มาปิดตัวไว้อย่างลวก ๆ พลางหันไปดูการระบำบนเวทีที่ยังคงแสดงต่อไปอย่างตระการตา แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง เขาคงทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ แต่สิ่งที่ทำได้เลยในตอนนี้ ในตอนที่องค์รัชทายาทยังยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็คือการเจรจา
เหนือภพล้วงกระดาษในถุงสัมภาระมาแผ่นหนึ่ง เขาขีดเขียนลงไปแล้วพับมันยื่นให้กับองค์รัชทายาทด้วยรอยยิ้มกระจ่างใส
เมื่อเหนือภพไม่ตอบ องค์รัชทายาทจึงเปิดอ่านกระดาษอาคม เขามีสีหน้าเหลือเชื่อ เมื่อเห็นตัวอักษรตัวโตกลางหน้ากระดาษ
ค่าเสื้อผ้า – 300 เหรียญเงิน
ค่าจุดไฟ – 100 เหรียญเงิน
ค่าช่วยหักหน้าองค์หญิง – 500 เหรียญเงิน
องค์รัชทายาทยื่นกระดาษใบนั้นให้พยัคฆ์คีรีอ่าน เมื่อพยัคฆ์คีรีได้อ่านแล้ว เขาก็ยิ้มและส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ จากนั้นเขาก็พยักให้องค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทจึงมีคำสั่งให้มอบเงินแก่เหนือภพ 1,000 เหรียญทอง พร้อมกับเสื้อผ้าเนื้อดีที่มีคุณภาพเช่นเดียวกับเสื้อผ้าของราชนิกุล
เหนือภพตาเบิกกว้าง เขาไม่คิดเลยว่าองค์รัชทายาทจะใจป้ำขนาดนี้ เขาโอบกอดเสื้อผ้าและถุงเงินเอาไว้แนบแน่นด้วยความดีใจจนลืมกล่าวขอบคุณองค์รัชทายาทด้วยซ้ำ
ส่วนองค์รัชทายาทก็ได้แต่มองเหนือภพอย่างครุ่นคิด แม้จะรู้เรื่องเหนือภพจากพยัคฆ์คีรีมาบ้าง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจคนผู้นี้อย่างถ่องแท้ เขาคือพวกเห็นแก่เงินหรือเปล่า หรือนั่นเป็นเพียงท่าทีของคนที่ไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากกันแน่ อย่างไรก็ตามเขาถือคติที่ว่า หากไม่เข้าใจก็ไม่อาจไว้วางใจคนเช่นนี้ได้
‘เหนือภพ ในใจเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่’
Favorite “ดูสินั่น น่าขายหน้าจริง ๆ ไม่รู้ทำไมองค์เจ้าแคว้นถึงได้รักชัยวิชิตนักหนา จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนชั้น 5 บ่นให้ลูกสาวฟังอย่างแผ่วเบา คนอื่น ๆ ไม่มีทางรู้ว่าเธอพูดเรื่องอะไร เพราะใบหน้าของเธอยังคงยิ้มอ่อนหวานอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นลูกสาววัยสะพรั่งของเธอ
“อย่าเพิ่งพูดยังงั้นสิคะท่านแม่ เดี๋ยวใครได้ยินเข้า”
“เอ๊ะ น้ำทอง นี่ลูกกลัวพวกมันหรอ”
“โธ่ เปล่าสักหน่อย แต่ตอนนี้เรายังจัดการพี่วิชิตกับพี่ธวัชไม่ได้ ส่วนพี่น้ำเพชรก็ยิ่งจัดการไม่ได้เลย ลูกก็เลยคิดว่าตอนนี้เราอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า รอเก็บพวกมันทีละคน ๆ แล้วเราค่อยประกาศศักดาก็ยังไม่สายค่ะ”
“ใช่สิ ลูกเก่งจริง ๆ ไม่เสียแรงที่แม่เฝ้าอบรมสั่งสอนลูกมา”
องค์หญิงบุษย์น้ำทองยิ้มกว้างให้ท่านแม่ของเธอ เธอถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า องค์จ้าวแคว้นคนต่อไปคือพ่อของเธอ และต่อจากนั้นก็ต้องเป็นเธอที่จะได้ขึ้นเป็นองค์จ้าวแคว้นหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์
“ดูนั่นสิลูก องค์ชายเตชินท์กำลังมานู่นแล้ว คุยกับพี่เขาดี ๆ นะ หลังจากแต่งงานกันแล้วทุกอย่างจะได้ราบรื่น”
เมื่อบุษย์น้ำทองมองไปยังบันไดทางขึ้นก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาใช้ได้คนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเธอ เธอหน้ามุ่ยลงในทันที จากนั้นเธอก็หันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง ทางที่เธอมองไปคือชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางองอาจที่นั่งอยู่บนชั้นเดียวกัน เขาคือพยัคฆ์คีรี
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม พยัคฆ์คีรีก็ยังเป็นชายในดวงใจของบุษย์น้ำทองเสมอ แม้ว่าเขาจะไม่รับรักเธอก็ไม่โกรธ ต่อให้เธอต้องแต่งงานกับองค์ชายปลายแถวของเมืองอนันต์เพื่อสร้างฐานอำนาจ เธอก็จะยังคงรักพี่คีรีของเธอตลอดไป
แต่ท่าทางของสองแม่ลูกเชื้อพระวงศ์นี้ไม่อาจคลาดไปจากสายตาของสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เธอคือบุษย์น้ำเพชร สายตาเธอยังคงเฉียบคม เธอกำลังเฝ้ามองทุกคนอยู่อย่างเงียบเชียบโดยเฉพาะบุษย์น้ำทองกับแม่ของเธอ แม้ว่าบุษย์น้ำเพชรจะเป็นพี่สาวของบุษย์น้ำทอง แต่พวกเธอก็มีแม่คนละคนกัน ดังนั้นพวกเธอจึงได้รับการเลี้ยงดูปลูกฝังมาคนละแบบ และในฐานะพี่สาวเธอย่อมต้องจับตาคอยดูไม่ให้น้องสาวไปก่อเรื่องก่อราวอะไรอีก
ทันใดนั้นสายตาของบุษย์น้ำเพชรก็ต้องถูกดึงความสนใจไปที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินมาพร้อมฝูงชนกลุ่มใหญ่ เพียงแค่เห็นแวบแรกบุษย์น้ำเพชรก็จดจำได้ทันที
จากเด็กหนุ่มหน้าตามอมแมมเมื่อ 6 ปีก่อน กลายเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีบุคลิกโดดเด่นถึงเพียงนี้ หน้าตาเกลี้ยงเกลา รูปร่างองอาจแข็งแรงราวกับชนชั้นสูง เพียงแต่ว่าเขาก็คงยังเป็นคนเดิม ที่ชอบแบกข้าวของพะรุงพะรัง ด้านหลังมีอีเตอร์สะพายเอาไว้ตลอดเวลา เพราะสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เธอจำเหนือภพได้
เมื่อหลายเดือนก่อนเหนือภพได้ติดต่อมาขอแผนที่เหมืองโบราณ แต่ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างเธอจึงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย และเธอก็คิดว่าชาตินี้คงจะไม่เจอเหนือภพอีกแล้ว ไม่คิดว่าเธอจะได้เห็นเขาที่นี่ อย่างไรก็ตามเหนือภพไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเธออีกต่อไป บุษย์น้ำเพชรจึงละความสนใจไว้เพียงเท่านั้น
เหนือภพยืนอยู่ชั้นล่างสุดข้าง ๆ เวทีกลางพลางหันมองไปรอบ ๆ อาคารอย่างงงงวย เขาขอตัวไปจัดการเรื่องการประมูลแป๊บเดียวเอง กลับมาอีกทีเขาก็หาศิษย์พี่ใหญ่ไม่เจอแล้ว ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว โคมไฟหลากสีสันถูกจุดขึ้นทั่วบริเวณจนเหนือภพตาลาย และอาคารทรงกลมขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบเวทีกลางแห่งนี้ก็มีหลายชั้น มีผู้คนมากมายละลานตาเหลือเกิน เขาแหงนคอมองไล่ขึ้นไปทีละชั้นอย่างประหลาดใจ อาคารประมูลแห่งนี้ถูกออกแบบให้แต่ละชั้นสามารถมองเห็นกันได้ และมองเห็นเวทีกลางได้เช่นกัน ถ้าใครอยากเห็นเวทีแบบใกล้ชิดหน่อยก็จะออกมายืนเกาะระเบียง บ้างก็ส่งเสียงทักทายสรวลเสเฮฮากันไปตามประสา โดยไม่มีใครใส่ใจพิธีกรหญิงสาวสวยในชุดสีแดงและผู้ชายที่กำลังพูดเปิดงานเลย
เหนือภพขยับเข้าไปใกล้ขอบเวทีมากขึ้นด้วยหวังว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ที่ไหนสักแห่งจะมองลงมาเห็นเขา แล้วมาพาเขาไปนั่งด้วย
“….หวังว่างานเทศกาลในครั้งนี้ จะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างเมืองต่าง ๆ แค่ก ๆ ขอบใจทุกท่านที่มารวมตัวกันในที่นี้ แค่ก ๆ”
องค์รัชทายาทจบประโยคเปิดงานพร้อมกับลูบหน้าอกเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกไม่สบายตัว
เสียงพิธีกรหญิงดังขึ้นโดยไม่เว้นช่วงว่าง เพื่อไม่ให้องค์รัชทายาทรอนานเกินไป จากนั้นองค์รัชทายาทก็ใช้อาคมปีกครุฑ ซึ่งเป็นอาคมหนึ่งในสายปราณเวนไตยลอยตัวลงมาจากชั้น 5 ด้วยท่าทางราวกับมีปีกบินโดยมีองครักษ์กระโดดตามลงมาสองคน และหนึ่งในสององครักษ์ก็คือพยัคฆ์คีรี
ยามที่องค์รัชทายาทปลดปล่อยปราณอาคมของตน ภาพครุฑตัวใหญ่ก็ปรากฏเบื้องหลังเขาพร้อมเสียงคำรามก้องกังวาน กระแสอาคมที่ปลดปล่อยออกมานั้นทรงพลังอย่างถึงที่สุด
เหนือภพที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็สัมผัสบางอย่างได้ แก้วจันทรกาลที่อยู่ระหว่างอกของเขาเกิดสั่นสะเทือนราวกับต้องการต่อต้านบางอย่าง สิ่งที่เขาเห็นในเวลาต่อมาคือเงาร่างของพญานาคราชห้าเศียร ผุดออกมาจากแก้วจันทรกาล มันคำรามตอบโต้ปราณเวนไตยเพียงเสี้ยววินาที แล้วมันก็สลายหายไป
มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติยามพบเจอศัตรู ก่อให้เกิดกระแสคลื่นปราณอาคมสองกลุ่มปะทะกันและฝ่ายที่อ่อนแอกว่าอย่างองค์รัชทายาทก็ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ปราณอาคมภายในร่างของเขาสั่นไหว การควบคุมสั่นคลอน โชคดีที่พยัคฆ์คีรีตามมาติด ๆ เขาใช้ไหวพริบช่วยให้องค์รัชทายาทลงมาเหยียบบนเวทีได้อย่างปล่อยภัยและยังคงท่วงท่าสง่างามไว้ได้
อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจองค์รัชทายาทอยู่แล้ว พวกเขาสนใจการปรากฏของพญานาคห้าเศียรมากกว่า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ที่ภาพร่างพญานาคห้าเศียรปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือตำแหน่งที่พักรับรองของหมู่ตึกลำธาร ตึกในสังกัดของกลุ่มภารดาพอดี เหนือภพก็เพิ่งจะหันมาเห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขาอยู่บนชั้น 5 ด้านหลังเขานี่เอง
ผู้ใช้ปราณนาคราชของตระกูลนาคราชถึงกับออกมายืนริมระเบียงพร้อม ๆ กับตระกูลสุบรรณเวนไตยที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ 1 ห้อง พวกเขาต่างจ้องมองไปที่ห้องรับรองของหมู่ตึกลำธาร แม้แต่ผู้เป็นเลิศในตระกูลนาคราช ก็ยังใช้ปราณนาคราชได้เพียงสามเศียรเท่านั้น การพบเจอกับพญานาคห้าเศียร จึงทำให้พวกเขาตื่นตัวมาก
เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนพวกเขาได้ข่าวการปรากฏตัวของพญานาคห้าเศียรที่เหมืองแร่โชคไพศาล ณ เมืองสินธุ แต่เมื่อพวกเขาส่งคนไปถึงทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว เหลือเพียงซากปรักหักพังและหลุมพิษของพญานาค พอสืบข่าวก็รู้เพียงว่าผู้ที่จัดการพญานาคตนนั้นคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง ทุกคนเรียกเขาว่าผู้ปราบนาค เมื่อประกอบกับปรากฏการณ์ที่เห็นในวันนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาจะต้องตามหาเขาให้พบ
ทางด้านตระกูลสุบรรณเวนไตย ปราณครุฑของพวกเขาเหนือกว่าปราณนาคราชสามเศียรอยู่บ้าง ทำให้ตระกูลสุบรรณเวนไตยและราชวงศ์อมตะแทบจะไร้ผู้ต่อกร แต่หากต้องปะทะกับพญานาคห้าเศียร พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ ดังนั้นไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใครก็ต้องถูกกำจัด
อย่างไรก็ตามทั้งสองตระกูลก็ยังไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร จึงทำได้แค่กวาดตามองไปทางกลุ่มผู้ชมและที่เวทีกลางเพื่อก็คอยจับสังเกตดูทุกคนที่อยู่ที่นี่
ขณะเดียวกันนั้นเองตรงกลางเวทีมีกลไกบางอย่างแยกออกจากกัน จากนั้นก็มีแท่นโลหะค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจนสูงประมาณ 4 เมตร ตรงฐานมีการแกะสลักเป็นรูปต่าง ๆ ที่สื่อถึงเทพสุริยัน ตรงปลายยอดมีแอ่งเว้าลึกที่ถูกหล่อเป็นรูปดอกบัวบานอย่างสวยงาม มันมีไว้สำหรับจุดคบเพลิงเปิดงานนั่นเอง
ฮันเตอร์ชายคนหนึ่งยื่นคบเพลิงเปลวไฟสีทองที่มีรูปลักษณ์คล้ายดอกบัวตูมเปล่งแสงสีทองให้องค์รัชทายาท จากนั้นองค์รัชทายาทก็ถือคบเพลิงลอยตัวขึ้นไปหาแอ่งดอกบัวบานโดยมีองครักษ์ทั้งสองใช้อาคมบินตามขึ้นประกบเพื่อดูแลร่างกายที่อ่อนแอขององค์ชาย และคอยอารักขาอย่างใกล้ชิด
ขณะที่องค์รัชทายาทกำลังจะใช้คบเพลิงจุดดอกบัวบานเพื่อบูชาเทพสุริยัน ผู้คนทั้งอาคารก็เงียบกริบ พวกเขาล้วนรอคอยและจ้องมองไปที่องค์รัชทายาทอย่างสนใจ แท่นจุดคบเพลิงถือเป็นตัวแทนของเทพพระเจ้า และผู้ที่จะได้รับเกียรติจุดแท่นนี้ก็มีแต่เจ้าผู้ครองแคว้นหรือผู้สืบทอดที่ได้รับการยอมรับเท่านั้น
จู่ ๆ คบเพลิงที่องค์รัชทายาทยื่นไปทางแท่นบูชาเทพสุริยันก็เกิดดับมอดไปอย่างไร้สาเหตุ ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของฝูงชน ไฟสีทองนี้ไม่ใช่ไฟธรรมดา และการที่ไฟดับมอดเช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ราชวงศ์อมตะได้รับการสถาปนาขึ้นมา
กลุ่มอำนาจต่าง ๆ ที่หมายจะสานสัมพันธไมตรีกับพวกราชวงศ์ พวกเขาคงต้องคิดใหม่ว่าจะสนับสนุนใคร เพราะราชวงศ์อมตะไม่ว่าชายหรือหญิงก็สามารถขึ้นนั่งบัลลังก์ได้ ขอเพียงแค่เป็นผู้มีความสามารถถึงพร้อมเท่านั้น
สำหรับองค์รัชทายาทนั้นแม้จะมีความสามารถ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่น ซ้ำร้ายยังมีโรคประจำตัวตั้งแต่กำเนิดรวมกับโรคแทรกซ้อนมากมาย ทำให้เหล่าผู้มีอำนาจเอนเอียงไปทางองค์อนุชาขององค์เจ้าแคว้น เขาน่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ กับผู้ที่เป็นทั้งองครักษ์และสหายคู่กายขณะพากันกลับลงมายืนบนพื้นเวที
“มีคนเล่นตุกติกกับคบเพลิงนี่”
แท่นบูชาเทพสุริยันเป็นแท่นพิเศษที่ปราณอาคมธรรมดาทั่ว ๆ ไปจะไม่สามารถจุดติด และไฟที่จะนำมาจุดได้ก็ต้องเป็นไฟพิเศษที่ได้รับการชำระล้างแล้วเท่านั้น มันไม่มีทางดับมอดลงง่ายดายเพียงนี้ แต่ว่าคบเพลิงที่ชายผู้อัญเชิญไฟส่งมาให้เขา หาใช่ของจริงไม่ มันคงถูกสับเปลี่ยนมาเป็นแน่
แม้องค์รัชทายาทจะรู้เช่นนั้น แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ หากเปิดโปงเรื่องนี้ให้เอิกเกริก ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเรื่องให้ผู้คนนินทาต่อไปไม่รู้จบ จนอาจกลายเป็นว่าเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาท
แผนการครั้งนี้ของพวกเธอช่างล้ำลึกนัก
บุษย์น้ำทองกระโดดออกมาจากชั้นห้องรับรองลงมาหาลูกพี่ลูกน้องของตน
“หากท่านพี่จุดไม่ติดก็อย่าฝืนพยายามอีกเลยเจ้าค่ะ เกรงว่าท่านจะป่วยหนักเอาได้ ให้น้องคนนี้จุดแทนก็ได้นะเจ้าคะ”
บุษย์น้ำทองยิ้มระรื่นขณะกวักมือเรียกให้ฮันเตอร์ประจำเวทีนำคบเพลิงอีกอันมาให้เธอ มันคือคบเพลิงรูปดอกบัวตูมที่มีเพลิงสีทองเปล่งประกายเหมือนกับคบเพลิงขององค์รัชทายาทไม่ผิดเพี้ยน
“หยุดนะน้ำทอง เจ้าไม่ควรกล่าวเช่นนั้นกับท่านพี่”
บุษย์น้ำเพชรลงมาตำหนิบุษย์น้ำทองด้วยตัวเอง นั่นทำให้บุษย์น้ำทองหน้ามุ่ยกลับขึ้นไปที่ชั้นรับรองของตนทันที ดูเหมือนเธอจะเกรงกลัวพี่สาวมาก
บุษย์น้ำเพชรใช้อาคมดึงคบเพลิงอันใหม่มาถือไว้ในมือด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ภาพองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ยืนถือคบเพลิงสีทองอยู่กลางเวทีใหญ่เช่นนั้น ช่างทำให้คนตื่นตะลึงยิ่งนัก เธอดูสวยและเก่งกล้าราวกับเทพธิดาเลยทีเดียว
ยังไม่ทันที่เธอจะได้เข้าไปใกล้แท่นจุดบูชาเทพสุริยัน ไฟสีทองก็ดับมอดคามือของเธอ มีเสียงโห่แสดงความผิดหวังจากฝูงชนบ้างเล็กน้อย
องค์รัชทายาทกระอักเลือดคำโต แต่เขาฝืนทนกลืนเลือดกลับลงไปโดยไม่ให้ใครรู้ ใบหน้าเขามีเพียงความนิ่งเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดขณะจ้องมองคบเพลิงในมือของบุษย์น้ำเพชร นั่นเป็นคบเพลิงของจริง หากเธอนำไปจุดที่แท่นมันก็คงจะลุกโชติช่วงชัชวาล แต่เขาจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้อย่างไร เพราะนั่นจะถือเป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่า เธอคือผู้ที่เหมาะสมที่จะนั่งบัลลังก์เจ้าแคว้นในอนาคต
ดังนั้นเขาจึงกลั้นใจใช้ปราณอาคมระดับสูงเพื่อดับมันคามือของเธอ เขาเองก็นับว่าเป็นผู้มีระดับพลังปราณอาคมสูงมากเป็นลำดับต้น ๆ ของแคว้น ติดอยู่อย่างเดียวคือร่างกายที่แสนอ่อนแอนี้แทบจะรองรับการใช้อาคมระดับนั้นไม่ได้เลย การกระทำครั้งนี้จึงนับเป็นการเสี่ยงชีวิตเลยทีเดียว แต่จะว่าไปนับตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่งรัชทายาทมา เขาก็ต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกชินชาเสียแล้ว
บุษย์น้ำเพชรมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย การที่องค์รัชทายาททำเช่นนี้ไม่เพียงดึงตัวเองลงเหว เขายังดึงเธอลงไปด้วยอีกคน แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว หากบุษย์น้ำทองต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ เธอก็ขอเป็นผู้เผชิญหน้ากับองค์รัชทายาทเอง
เหนือภพที่ยืนอยู่ข้างเวทีมองดูท่าทางประหลาดของพวกพี่น้องราชวงศ์ แล้วเขาก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมองขึ้นไปยังห้องรับรองของบุษย์น้ำทอง
‘ยัยโรคจิตนั่นเป็นพี่น้องกับองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรหรอกหรือ’
เหนือภพย้อนคิดถึงความทรงจำในอดีต การกระทำของบุษย์น้ำทองนั้นโหดร้ายและโหดเหี้ยม เธอถึงกับพยายามส่งคนมาฆ่าเขาทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรเธอสักนิด ส่วนบุษย์น้ำเพชรก็คงจะรู้เห็นเรื่องนี้ แต่เธอกลับไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ กลับนิ่งดูดายปล่อยให้คนตายไป สุดท้ายเขาก็ต้องสูญเสียคนสำคัญทั้งเพื่อนฝูง มิตรสหายและคนรัก นั่นทำให้เหนือภพโกรธมาก ไม่ว่ายังไงเขาก็ขอให้ได้หักหน้าคนพวกนี้สักหน่อยก็ยังดี
เหนือภพวางข้าวของกองไว้ข้างเวที โดยไม่ได้พะวงกับมันนัก นอกจากอีเตอร์เก่าที่คงไม่มีใครอยากขโมยแล้ว มันก็ไม่มีของล้ำค่าอย่างอื่นอีก เพราะของล้ำค่าส่วนใหญ่เขาเอามัดไว้บนหลังแมวดำ
จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีพลางตะโกนก้อง
“ให้ข้าช่วยท่านเอง”
Favorite ณ โรงเรียนเซนต์อมตะ
ภายในคฤหาสน์โบราณหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าต้นมะม่วงในเขตหวงห้ามของโรงเรียน มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น ท่ามกลางเอกสารที่กองพะเนินอยู่เต็มโต๊ะ เธอคือ ‘สายธาร’ สาวสวยวัย 28 ปี ทายาทหญิงที่ยอดเยี่ยมรุ่นปัจจุบันของตระกูลไตรลักษณ์ ผู้เป็นพี่สาวแท้ ๆ ของสมุทร
เดิมทีเธอถึงวัยที่ต้องไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยตั้งนานแล้ว แต่ด้วยภาระหน้าที่บางอย่างของตระกูลทำให้เธอต้องอยู่ที่นี่ และในฐานะนักเรียนชั้นยอดของโรงเรียนเธอจึงได้รับสิทธิพิเศษนี้แลกกับการช่วยมาเป็นอาจารย์สอนนักเรียนในชั้นเรียนพิเศษ
เสียงขีดเขียนรัวเร็วของเธอทำลายความเงียบสงบของห้องนี้ เธอค่อนข้างหงุดหงิดใจที่พบว่ารายงานจากเหล่านักเรียนใหม่มีคุณภาพค่อนข้างแย่ เธอก้มหน้าก้มหน้าก้มตาขีดเขียนสลับขีดฆ่าข้อความในกระดาษโดยไม่ทันได้สังเกตว่าข้างหลังของเธอกำลังมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง
ผนังข้างหลังเธอมีกระจกโบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มันเป็นกระจกกรอบทองคำแท้รูปวงรี ที่มีความสูงถึงเพดาน มีความกว้างประมาณสามเมตร กรอบทองคำถูกหล่อเป็นลายเถาองุ่น ดูละเอียดลออสวยงาม และเก่าแก่ทรงคุณค่า ทว่าผิวหน้าของกระจกกำลังเปลี่ยนไป จากกระจกเงาขุ่นมัวกลายเป็นแผ่นสีชาทึบแสง มันกำลังไหลหมุนวนราวกับเป็นของเหลวหนืด ๆ
กระจกหนืดกำลังโป่งนูนออกคล้ายประติมากรรมรูปมัน มันดันออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ากำลังมีคนพยายามตะกายออกมาจากกระจก
และแล้วแผ่นกระจกหนืดก็แตกร้าวในที่สุด มือข้างนั้นพุ่งแหวกออกมาเป็นลำดับแรก จากนั้นก็ใช้เวลานานหลายนาทีกว่าที่หัวและลำตัวจะตามออกมาด้วยความยากลำบาก
สายธารยังคงก้มหน้าขีดเขียนอยู่เช่นนั้น ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
สมุทรมีใบหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาสงบนิ่งราวกับผ่านโลกมาเยอะ เขามีร่างกายสูงเพรียวที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ เส้นผมสีดำยาวจรดบั้นเอว เขานุ่งกางเกงขาสั้นขาดรุ่งริ่งเพียงตัวเดียว ทำให้เห็นลอนกล้ามหน้าท้องไร้ไขมันได้อย่างชัดเจน
เขาถูกผู้นำตระกูลจับขังไว้ในโลกแห่งกระจกมนตราเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ทว่าภายในโลกแห่งกระจกมนตรานั้นจะทำให้คนรู้สึกไปเองว่าเวลาหมุนผ่านไปเร็วกว่ามาก เขารู้สึกว่าเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนภายในนั้นถึง 10 ปี กว่าจะฝึกฝนตนเองจนมีพลังมากพอที่จะฝ่าทะลุแผ่นมนตราออกมาจากกระจกได้ ตระกูลของเขาช่างโหดร้ายเหลือเกิน นี่คือการทดสอบและเป็นการฝึกฝนที่เข้มงวดมาก หากเขามีพลังไม่มากพอก็ไม่ต้องออกมาอีกเลยตลอดชีวิต
สายธารพยักหน้าน้อย ๆ หลังจากหันหน้ากลับมาเห็นสภาพของน้องชาย เธอเอ่ยเรียกข้ารับใช้ภายในคฤหาสน์ให้พาสมุทรไปอาบน้ำแต่งตัว ใช้เวลาไม่นานสมุทรก็กลับมาในรูปลักษณ์ที่ดูดี ทรงผมถูกตัดแต่งจนเข้าทรง ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหล่อเหลาดูมาราศีเหมาะสมกับตำแหน่งคุณชายผู้มั่งคั่ง
“มาเถอะ พี่ให้คนตั้งโต๊ะอาหารไว้แล้ว เธอคงหิวมาก”
ท่าทางและคำพูดของสมุทรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เขาโตเป็นผู้ใหญ่ สุขุม และมีความสามารถขึ้นมาก จนสายธารยังรู้สึกชื่นชม เธอพึงพอใจมาก น้องชายของเธอเหมาะสมที่จะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้ว
สมุทรนั่งลงบนเก้าอี้บุผ้านุ่มแสนหรูหราในห้องรับประทานอาหาร มีอาหารหลายสิบจานวางเรียงจนเต็มโต๊ะ พวกมันล้วนทำมาจากวัตถุดิบชั้นเลิศและถูกจัดเตรียมด้วยทีมพ่อครัวประจำตระกูลไตรลักษณ์ สมุทรเริ่มลงมือทานอย่างสุภาพ นั่นเป็นท่าทีที่ผิดไปจากเด็กชายแสนซุกซนในกาลก่อนอย่างมาก
เมื่อสมุทรทานเสร็จสายธารก็พาเขาไปที่ห้องสมบัติของคฤหาสน์ เธอหยิบยื่นคันธนูเหล็กไหลที่เป็นของสมุทรคืนให้ แต่สมุทรกลับส่ายหน้าน้อย ๆ ในอดีตมันคืออาวุธที่เหมาะกับเขามากแต่ในตอนนี้มันไม่จำเป็นสำหรับเขาอีกแล้ว สมุทรไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ทำบางอย่างที่น่าตื่นตะลึงให้พี่สาวดู
เขาแบมือขวาแล้วยกขึ้นมา ไม่นานก็ปรากฏหมอกสีทองบนฝ่ามือนั้น มันค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นแล้วก็ก่อตัวเป็นรูปร่างคันธนูสีทองอันใหญ่ มันดูเหมือนเป็นของแข็งที่จับต้องและใช้งานได้จริง เมื่อเขาเห็นว่าพี่สาวได้เห็นมันอย่างชัดเจนแล้ว สมุทรก็ขยับนิ้วเล็กน้อย จากนั้นคันธนูที่ก่อตัวขึ้นจากกระแสอาคมสีทองสลายไป
ดวงตายาวรีของสายธารเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ‘ปราณอาคมไตรลักษณ์’ เป็นปราณที่สามารถสร้างลูกศรได้สามชนิดเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องใช้คันธนูชั้นดีเพื่อเป็นสื่อกลางในการใช้ความสามารถด้านปราณลูกศร แต่สิ่งที่สมุทรกลับสามารถสร้างคันธนูขึ้นมาเองด้วยปราณอาคม
สมุทรยิ้มลึกลับ ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะคว้าเอาชุดเกราะของตัวเองมาสวมใส่ไว้ด้านใน สายธารถอนหายใจราวกับรู้สึกปลงในใจ
“เธอเป็นทายาทที่มีพรสวรรค์มากที่สุดนี่นะ พี่คงไม่อาจเข้าใจเธอ”
สายธารเข้าใจดี แม้ว่าเธอจะเป็นทายาทหญิงที่เก่งมาก สามารถใช้ปราณศรไตรลักษณ์ได้ทั้งระดับ 1 และระดับ 2 ทำให้เธอยิงธนูได้อย่างแม่นยำและทรงพลัง นอกจากนั้นเธอยังเก่งด้านการบริหารกิจการของตระกูลอีกด้วย แต่สมุทรกลับสามารถเรียกใช้ปราณศรไตรลักษณ์ระดับ 3 ได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ปราณระดับ 3 นี้เป็นปราณขั้นสุดยอดในตำนานที่ไม่เคยปรากฏในตระกูลมาเกือบ 500 ปีแล้ว ดังนั้นพวกผู้ใหญ่จึงฟูมฟักเลี้ยงดูเขาเพื่อเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป
แม้ว่าเขาจะค่อนข้างเกเร ชอบแหกคอก ใช้ปราณศรไตรลักษณ์ระดับ 1 และระดับ 2 ไม่ได้เลย เรื่องการค้าขาย ทำธุรกิจต่าง ๆ ก็ยิ่งไม่ได้ แถมยังชอบหนีออกจากบ้าน แต่ทั้งตระกูลก็ยังฝากความหวังไว้กับสมุทรอยู่ดี ที่เหลือก็แค่ฝึกฝนอบรมเพิ่มเติมเท่าที่พวกเขาจะช่วยได้
สายธารยิ้มน้อย ๆ แล้วก็ส่ายหัวให้กับความดื้อรั้นในอดีตของน้องชาย ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เธอหยิบกล่องใบหนึ่งที่ถูกอาคมล็อกไว้แน่นหนาออกมา ก่อนจะทำการเปิดกล่องนั้นแล้วหยิบแหวนอัญมณีสีทองออกมาสวมใส่นิ้วกลางข้างซ้ายของน้องชาย
“แต่เดิมมันก็เป็นของของเธอแต่แรกแล้ว แต่เธอเอาแต่เที่ยวเล่น วัตถุอาคมพวกนี้พี่จึงจำเป็นต้องยึดเอาไว้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเธอ แต่ในตอนนี้เธอแข็งแกร่งมากพอที่จะได้ครอบครองมัน”
สมุทรจ้องมองแหวนอัญมณีวงนี้ด้วยความคิดถึง เขาจำได้มันเคยเป็นของท่านแม่ น่าเสียดายที่ท่านแม่ด่วนจากไปตั้งแต่เขายังเล็ก เขาลูบคลำแหวนด้วยความรู้สึกโหยหาและซาบซึ้งใจที่พี่สาวยังเก็บเอาไว้ให้เขา
“เธอไปพักเถอะพรุ่งนี้พี่จะพาเธอกลับตระกูลเพื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ”
สมุทรพยักหน้าน้อย ๆ โดยไม่พูดอะไรอีกตามเคย จากนั้นสายธารก็ออกจากห้องไปสั่งการข้ารับใช้และทีมอารักขาให้จัดเตรียมขบวนเดินทาง เวลาผ่านไปยังไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำเมื่อลับสายตาของสายธาร สมุทรก็กระโจนออกทางหน้าต่างคฤหาสน์ เขาใช้อาคมร่นระยะทางจนออกไปไกลแล้วหยุดท่ามกลางป่าต้นมะม่วง เขาหันมาร้องตะโกนออกไปว่า
“เรื่องอะไร ข้าจะเป็นหัวหน้าตระกูลงี่เง่าพรรค์นั้นด้วยเล่า ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น ข้าจะหนีออกจากบ้าน”
พูดจบสมุทรก็วิ่งหายลับไปโดยที่ไม่อาจติดตามได้ทัน สายธารได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับหัวคิ้วกระตุก กัดฟันกรอด เธอชะล่าใจเกินไป เพราะคิดว่าน้องชายกลับตัวกลับใจแล้ว
“ที่ผ่านมา คือแสดงใช่ไหม ? เจ้าน้องบ้า”
“ประกาศออกไป ใครจับตัวเจ้าเด็กบ้าสมุทรมาได้ ข้าจะให้เงินมันผู้นั้น 5,000 เหรียญทอง”
เหนือฟ้ากำลังนั่งแกว่งขาอยู่บนหอคอยสูงของโรงเรียนเซนต์อมตะกับเพื่อนสาวอีกสามคน เธอยิ้มกว้างก่อนจะแบมือไปทางบรรดาเพื่อนสาวที่กำลังหน้ามุ่ย พวกเธอวางเงินบนมือเหนือฟ้าอย่างไม่เต็มใจนัก
“ข้าบอกแล้วพี่สมุทรน่ะ ยังไงก็หนีออกจากบ้านอีก อาจารย์สายธารไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขหรอก”
ทุ่งหญ้าลมหวนคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในเขตชายแดนของเมืองนิรันดร์กาลด้านที่อยู่ติดกับเมืองสุพรรณิการ์ ในอดีตมันคือทุ่งหญ้าโล่ง ๆ ที่ใช้ในประโยชน์ในด้านปศุสัตว์เท่านั้น แต่ในตอนนี้ที่นี่กลายเป็น หมู่บ้านลมหวน หมู่บ้านแห่งใหม่ที่มีความเจริญทัดเทียมกับหมู่บ้านในตัวเมืองเลยทีเดียว
หมู่บ้านลมหวนเป็นหมู่บ้านที่ถูกวางผังและเริ่มการก่อสร้างอย่างพิถีพิถันเมื่อสี่ปีก่อน หลังจากที่เมืองนิรันดร์กาลได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพในการจัดงานเทศกาลประมูลระดับแคว้นในรอบต่อไป ซึ่งจะมีการจัดขึ้นทุก ๆ สี่ปี เป็นเวลา 20 วัน 20 คืน โดยมีการเวียนสลับเจ้าภาพไปเรื่อย ๆ ซึ่งองค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาลได้ตัดสินใจสร้างสถานที่จัดงานอันยิ่งใหญ่อลังการนี้เพื่อเป็นการประกาศศักดาว่านิรันดร์กาลก็พร้อมที่จะขึ้นเป็นเมืองมหาอำนาจเหมือนกัน และหลังจากที่งานเทศกาลผ่านพ้นไป นิรันดร์กาลนครก็ยังคงเหลือหมู่บ้านที่สวยงามไว้เป็นหน้าเป็นตา และเป็นจุดเชื่อมต่อชายแดนที่สำคัญแห่งใหม่
ตรงกลางหมู่บ้านมีลานขนาดใหญ่ ตรงกลางมีเวทีไม้ที่มีลายแกะสลักประดับอยู่รอบด้าน ด้านบนปูด้วยพรมหนาสีแดง เวทีนี้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นที่จัดแสดงงานประมูล เหนือเวทีสูงขึ้นไปเท่าตึกห้าชั้นมีม่านอาคมโปร่งใสกางอยู่ด้านบนเพื่อป้องกันลมฝน รอบเวทีขนาดใหญ่นี้มีหมู่อาคารไม้ห้าชั้นที่สร้างล้อมรอบเวที ดูคล้ายอาคารรูปวงกลมที่มีช่องว่างตรงกลางเป็นเวทีโล่ง อาคารเหล่านี้คือที่นั่งสำหรับผู้เข้าร่วมการประมูล หรือผู้มาร่วมชม ชั้นล่างสุดเป็นชั้นสำหรับคนธรรมดา เศรษฐีทั่วไป และขุนนางระดับต่ำ ชั้นบนขึ้นไปเป็นที่นั่งสำหรับชนชั้นที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามฐานะและอำนาจ จนถึงชั้นบนสุดที่เป็นชั้นสำหรับผู้ปกครองเมือง และเหล่าเชื้อพระวงศ์
ส่วนที่พักและสถานบริการอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ได้รับการจัดวางตำแหน่งแยกออกไปเป็นส่วน ๆ อย่างมีระเบียบและแบ่งแยกชนชั้นชัดเจน
เทศกาลนี้ไม่เพียงเป็นช่วงเวลาที่ชนชั้นสูงจะได้มารวมตัวกัน แต่ชนชั้นล่างต่างก็ต้องการมาร่วมเช่นกัน เพราะรอบนอกของหมู่บ้านจะมีการจัดเวทีการประมูลสินค้าทั่วไป ที่คนธรรมดาสามารถมาร่วมสนุกซื้อขายกันได้ คล้ายตลาดในชีวิตประจำวันแต่สนุกสนาน ตื่นเต้น และมีสินค้าหลากหลายมากกว่า
“และตอนนี้ก็ถึงเวลาอันเป็นมงคลที่องค์ประธานจะได้ทำพิธีเปิดงานเทศกาลประมูลระดับแคว้น ข้าน้อยขอกราบบังคมทูลเชิญองค์ชายชัยวิชิต องค์รัชทายาทแห่งอมตะนครได้กล่าวคำเปิดงานเจ้าค่ะ”
บนเวทีใหญ่พิธีกรหญิงสาวสวยในชุดสีแดงสุดอลังการพูดจบก็โค้งกายคำนับองค์ชายรัชทายาท ผู้เป็นตัวแทนขององค์เจ้าแคว้นมาเป็นประธานเปิดงาน เธอไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์อย่างเต็มที่ เนื่องจากตำแหน่งองค์รัชทายาทยังไม่คู่ควร มีเพียงจ้าวผู้ปกครองสูงสุดของเมืองเท่านั้นที่คู่ควรกับคำกล่าวที่แสดงความเคารพอย่างสูงสุด
องค์รัชทายาทที่นั่งอยู่ในอาคารชั้นบนสุดทางฟากทิศตะวันตก ได้ใช้อาคมขยายเสียงจากนั้นก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“ในฐานะผู้แทนพระองค์ ข้า แค่ก ๆ ข้ารู้สึกยินดีที่เห็นท่านทั้งหลายได้มารวมตัวกัน แค่ก ๆ”
องค์รัชทายาทหยุดพักเพื่อจิบน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง ความจริงอาการของเขาแย่ลงตั้งแต่มาถึงที่นี่เมื่อวันก่อนแล้ว อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่แตกต่าง หรือเป็นเพราะอณูเกสรจำนวนมากที่พัดมาจากทางเมืองสุพรรณิการ์ก็ไม่ทราบได้ ร่างกายของเขาจึงทรุดลงเช่นนี้ และก็มีเพียงองครักษ์มากฝีมือไม่กี่คนที่คอยดูแลเขา มีเพียงเท่านี้จริง ๆ ช่างน่าเศร้า กลุ่มอำนาจอื่น ๆ คงไม่สนใจไยดีในตัวเขาอีกต่อไป
จากนั้นองค์รัชทายาทก็ยังคงฝืนพูดต่อไป สลับกับการพักหอบหายใจและจิบน้ำอุ่นเป็นช่วง ๆ
Favorite วันต่อมาเหนือภพกลับมายังเหมืองโชคไพศาลอีกครั้งเพื่อตามหามีดหมออีก 2 เล่มที่หายไป เมื่อเขามาถึงก็เห็นผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่ที่ซากเหมือง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาแสวงโชคหาเงินและสมบัติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์อาละวาดของพญานาคในครั้งนั้น เหนือภพรู้สึกเซ็งนิดหน่อย เหตุการณ์ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ถ้ามีดหมอเขาตกอยู่แถวนี้ก็คงถูกใครสักคนเอาไปแล้ว
เหนือภพกำลังจะหันหลังกลับ แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนกลุ่มใหญ่ที่หน้าหลุมยักษ์ที่ลึกว่าร้อยเมตร นี่เป็นหลุมที่ถูกสร้างขึ้นจากการตกของเขาในการโจมตีของครั้งสุดท้าย เหนือภพจึงเปลี่ยนใจมุ่งหน้าเข้าไปมุงดูด้วย
เมื่อหนุ่มน้อยล่ำบึ๊กมาถึง ทุกคนก็เริ่มฮือฮา มีหลายคนที่จำเหนือภพได้
จากนั้นทุกคนต่างก็เรียกเหนือภพเช่นนั้น เหนือภพได้รับเกียรติจากฝูงชนโดยไม่คาดหมาย พวกเขาต่างแหวกทางให้ ฮันเตอร์น้อยใหญ่ต่างค้อมหัวทำความเคารพเขา แถมยังเชิดชูเขาในฐานะผู้กล้าที่ช่วยปราบพญานาค หากไม่เป็นเพราะเขา พญานาคคงเข่นฆ่าผู้คนอีกมาก
เหนือภพยิ้มรับอย่างสุภาพพลางโบกตอบเป็นเชิงว่า ไม่เป็นไร เขาแสดงออกเยี่ยงวีรบุรุษผู้ถ่อมตนอย่างรู้หน้าที่ มีคนชื่นชมทั้งทีหากเขาไม่เสพความสุขนี้สักหน่อยก็ไม่ใช่เขาแล้ว
เหนือภพเพ่งมองที่ก้นหลุม แต่มันถูกปกคลุมด้วยควันสีดำบางอย่าง แค่เห็นเขาก็รู้ว่ามันอันตรายมาก
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร มันปรากฏขึ้นหลังจากที่พญานาคหายไป ทุกคนที่สัมผัสโดนควันนั่นก็จะสลายกลายเป็นกองเลือดในพริบตา”
“ตั้งแต่เกิดมา ข้ายังไม่เคยเห็นพิษที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน แม้แต่กระดูกก็ยังไม่เหลือ”
ฮันเตอร์กลุ่มหนึ่งเล่าให้เหนือภพฟังโดยไม่ปิดบัง จนถึงป่านนี้พวกเขาก็ยังไม่เห็นทหารหลวงมาตรวจดูเลยสักคน คงเป็นเพราะพวกเขาไม่สนใจซากเหมืองที่ไม่อาจหาประโยชน์ได้อีกต่อไป
เหนือภพพยักหน้ารับทราบแล้วก็เกร็งกล้ามเนื้อ ตอนนี้พละกำลังของเขาสามารถเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 12 เขาอยากรู้ว่าอานุภาพสูงสุดมันจะมากขนาดไหน แต่เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งนาที เพื่อใช้กำลังระดับ 7 เท่านั้น
เมื่อเหนือภพพูดเช่นนั้นส่วนใหญ่ก็ถอยออกไป มีฮันเตอร์ระดับสูงบางส่วนเท่านั้นที่ไม่สนใจ แต่ถึงจะมีคนไม่เชื่อฟัง เหนือภพก็ไม่สนเพราะเขาเตือนแล้ว
กำปั้นกระแทกอากาศระดับ 7 ของเหนือภพ มีอานุภาพได้กับกำปั้นระดับ 6 ยามที่ใช้ควบคู่กับสหัสเดชะเลยทีเดียว เขาไม่คิดว่าพละกำลังที่ต่างกันแค่หนึ่งระดับจะให้ผลต่างกันถึงเพียงนี้ บางทีอาจจะเป็นผลจากแก้วจันทรกาลที่ช่วยเสริมกำลังให้เขา
คลื่นอากาศผสานกับลมกรรโชกทำให้หมอกพิษที่บดบังที่บริเวณก้นหลุมแหวกออก เหล่าฮันเตอร์ที่จ้องรอโอกาสนี้มาตลอดต่างพุ่งลงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจอะไร ในหัวของพวกมีเพียงแต่คำว่า
‘ของข้า ใครเจอก่อนก็เป็นของคนนั้น’
ความคล่องตัวของเขานั้นคือระดับ 7 เชียวนะ ปกติเขาเดินทางจากเมืองสินธุมาที่เหมืองโชคไพศาลก็ใช้เวลาเกือบ 2 วัน แต่ตอนนี้แค่วันครึ่งเขาก็ถึงแล้ว ระยะทางแค่ไม่กี่เมตรเพียงเท่านี้มีหรือที่ใครจะเอาชนะเขาได้
เหนือภพใช้อาคมย่นระยะทางเพียงสองครั้งเขาก็มาถึงก้นหลุมแล้ว พวกฮันเตอร์ที่มั่นใจว่าตัวเองมาถึงก่อนนั้น พอจะเหยียบยันพื้นเขาก็ต้องตกใจที่เห็นเหนือภพกำลังใช้อีเตอร์ของตัวเองขุดเจาะพื้นที่แห่งนี้ไปลึกกว่าสองเมตรแล้ว
“มาช้าเกินไปไหมพวกเจ้าน่ะ” เหนือภพทักทายผู้มาถึงอย่างขำขัน
ฮันเตอร์ชายคนนั้นกำลังอ้าปากจะตอบโต้เหนือภพให้เจ็บแสบ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร อยู่ ๆ เสียงก็ขาดหาย ยกมือกุมคอตัวเอง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำโต ร่างกายสูงใหญ่ของเขาค่อย ๆ สลายตัวจนยุบลงเป็นกองเลือด ประจวบเหมาะกับฮันเตอร์ที่เพิ่งมาถึงอีกคน ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน พอเขาเห็นพี่ชายตายก็หันมาจ้องมองเหนือภพด้วยแววตาเคียดแค้น
“เจ้าฆ่าพี่ข้า สักวันข้าจะแก้แค้นเจ้า”
ชายคนนั้นพูดจบก็ทะยานกลับไป แต่ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่เขาก็กุมคอตัวเอง กระอักเลือดแล้วก็ตายในสภาพเดียวกันกับคนก่อนหน้า
ราวกลับเป็นเรื่องตลกร้ายเรื่องหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีฮันเตอร์ทยอยลงมาถึงพวกเขาต่างโกรธแค้น เพราะคิดว่าเหนือภพเป็นคนฆ่าคนก่อนหน้า และสุดท้ายพวกเขาก็ต้องตายโดยไม่อาจหนีพ้น
เสียงร้องของฮันเตอร์สาวคนสุดท้ายทำให้เหนือภพรู้สึกตัวว่าที่ก้นหลุมมีพิษ ที่เขาไม่เป็นอะไรคงเพราะมีผ้าประเจียดของอาจารย์ช่วยคุ้มครอง แต่คนอื่นนี่สิจะเป็นอันตราย เหนือภพกำลังจะร้องตะโกนเตือนคนข้างบนปากหลุมว่าอย่าลงมาอีก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากก็มีพลังประหลาดดันขึ้นมาจากข้างล่าง
หมอกพิษสีม่วงดำฟุ้งกระจายขึ้นไปด้านบน ทำให้ผู้คนกระจัดกระจายแตกฮือกันออกไปบางส่วนก็รอดตาย บางส่วนก็โชคร้ายที่ถูกพิษเสียก่อนทำให้ไม่อาจหนีเคราะห์กรรมนี้ได้
เหนือภพยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แล้วเขาก็ลงมือขุดต่อ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ปล่อยพิษออกมา มันน่าจะฝังอยู่ใต้ดินแถวนี้
ใช้เวลาไม่นานเขาก็เจอเกล็ดพญานาคสีดำจำนวนมากที่จมอยู่ใต้โคลนเหนียว ๆ โคลนเหล่านั้นล้วนเกิดจากเลือดของพญานาคผสมกับดิน เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เลือดของพญานาคเหมือนจะทำปฏิกิริยาบางอย่างกับเกล็ดที่ถูกแช่ จนเกิดเป็นควันพิษออกมาอย่างต่อเนื่อง
เกล็ดสีดำเป็นมันเงาแต่ละชิ้นที่อยู่ตรงหน้าของเหนือภพมีขนาดใหญ่กว่าที่เขาเจอในถ้ำเสียอีก หากจะกะความกว้างของมันคงไม่ต่ำกว่า 20 นิ้ว แถมยังซ้อนทับกันอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย มันมีไม่ต่ำกว่าร้อยชิ้น ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายของเขาได้ผลดีเกินคาด
แต่ทำไมพญานาคถึงฟื้นตัวได้ไวขนาดนั้น เหนือภพก็ไม่เข้าใจจริง ๆ
เมื่อเหนือภพจ้องมองแผ่นเกล็ดที่มีความแข็งแกร่งในระดับสุดยอดนั้น เขาก็คิดอะไรดี ๆ ออก
เขาคิดถึงหัวหน้าช่างทำอาวุธที่ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักชื่อ แต่ในเมื่อเขาสามารถจัดการกับเกล็ดอสูรกริมได้เป็นอย่างดี ถ้าเช่นนั้นเขาก็น่าจะพอมีความสามารถในการจัดการกับเกล็ดพิษพวกนี้เช่นกัน
เหนือภพเขียนจดหมายไปหาหัวหน้าช่างทำอาวุธที่เมืองโกงกาง เพื่อสอบถามและขอคำแนะนำเกี่ยวกับการนำเกล็ดพิษพวกนี้มาใช้ทำเป็นชุดเกราะ ใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวเขาก็ได้จดหมายตอบกลับมาว่า พิษพญานาคเป็นพิษที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนจึงไม่รู้วิธีจัดการ ดังนั้นหัวหน้าช่างจะเดินทางมาดูด้วยตัวเอง เพราะเมืองสินธุเป็นทางผ่านที่เขาต้องผ่านเพื่อไปทำธุระที่เมืองนิรันดร์กาลอยู่แล้ว
หัวหน้าช่างทำอาวุธก็มาถึงปากหลุมลึกที่เคยเป็นเหมืองโชคไพศาลมาก่อน เหนือภพเอาเกล็ดของพญานาคขึ้นมาวางให้ดูหนึ่งชิ้น มีหลายคนที่อยากรู้อยากเห็นก็จะมามุงดูด้วย แต่เมื่อรู้ว่ามันคือเกล็ดพิษ พวกเขาต่างก็แยกย้ายหนีไปไกล เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการสยบพิษเหล่านี้
กลุ่มฮันเตอร์บางกลุ่มที่สนใจอยากได้เกล็ดไปทำชุดเกราะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดพิษที่อยู่บนเกล็ดยังไง สุดท้ายก็ค่อย ๆ ถอนตัวไปทีละคน บางกลุ่มคิดอยากเอาพิษร้ายนี้ไปทำอาวุธ แต่ก็ยังไม่รู้วิธีการที่จะสามารถเก็บพิษพวกนี้ได้ จึงจำเป็นต้องจากไปเช่นกัน ในท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเหนือภพ ช่างทำอาวุธกับลูกมืออีกหลายสิบคนที่ยังคงทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
“ถ้าคิดจะกำจัดพิษพวกนี้ออกให้หมดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจากที่ข้าลองวิเคราะห์ดูเกล็ดพวกนี้แช่อยู่ในแอ่งน้ำพิษมานานนับอาทิตย์ ทำให้พิษซึมลึกจนเกือบรวมเป็นเนื้อเดียวกัน วิธีการควบคุมพิษต้องใช้กระแสปราณอาคมรูปแบบเดียวกัน ถึงจะพอทำอะไรได้บ้าง”
เมื่อเหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นแก้วจันทรกาลให้หัวหน้าช่างทำอาวุธดูอย่างไม่หวง หัวหน้าช่างทำอาวุธถึงกับตาโต เขารู้จักสิ่งนี้จากในตำรา
เหนือภพไม่ตอบ แต่เขาชี้ไปยังเกล็ดพญานาคแล้วก็ชี้ไปที่หลุมลึก
หัวหน้าช่างพยักหน้ารับทราบ แม้เขาจะไม่เคยเห็นพญานาคตัวจริง หรือเคยเห็นวัตถุดิบจากพญานาคมาก่อน แต่เขาก็เคยอ่านเจอบางอย่างจากตำราการตีอาวุธสร้างชุดเกราะตำรับโบราณ
“แก้วจันทรกาลคือจิตของพญานาคที่ฝังอยู่ในหิน ถ้าว่ากันตามหลักการแล้วมันก็ไม่ต่างจากพญานาคตัวจริง ขอเพียงเจ้าเชื่อมจิตเข้ากับแก้วจันทรกาลได้ เจ้าก็จะควบคุมพิษพวกนี้ให้ไหลเวียนออกไปได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลานานหน่อย เพราะมันแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับเกล็ดแล้ว และหากเจ้าเอาพิษออกไปจริง ๆ เกรงว่าโครงสร้างของเกล็ดจะเปราะบางลงมาก”
“งั้นก็แปลว่าเราจะใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้เลยหรอครับ”
“ไม่ใช่ ข้ามีแนวคิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ข้าทำเจ้าคงต้องอยู่ด้วย พิษพวกนี้หากไม่ถูกควบคุมเอาไว้ให้ดีก็ไม่ต่างจากหมาบ้า หลุดออกกรงมาเมื่อไหร่ก็จะบรรลัยกันทั้งหมด แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องไปกับข้า”
พอเหนือภพได้ยินเช่นนั้น เขาก็บอกเรื่องที่เขาจะไปเทศกาลงานประมูลที่เมืองนิรันดร์กาลให้หัวหน้าช่างทำอาวุธฟัง ซึ่งช่างทำอาวุธก็กำลังจะไปที่นั่นอยู่พอดี จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยต่ออย่างถูกคอ จนเขาได้ทราบชื่อชายวัยกลางคนผู้นี้ เขามีชื่อว่า ‘ดาบ’ หรือจะเรียกว่า ‘ช่างดาบ’ ก็ได้
พวกเขาช่วยขนย้ายเกล็ดพญานาคไปใส่หีบที่ช่างดาบสร้างมาพิเศษ แม้จะกักเก็บพิษไม่ได้ทั้งหมด แต่มันก็สามารถป้องกันไม่ให้ละอองพิษแพร่กระจายออกไปได้ ที่สำคัญพวกเขาโชคดีที่เหนือภพใช้แก้วจันทรกาลช่วยควบคุมพิษส่วนใหญ่เอาไว้
“ก็อย่างที่ข้าเล่าให้ฟังนั่นแหละ ข้าต้องได้มันมา”
ช่างดาบพูดขณะกำลังใช้สมุนไพรถูมือทั้งสองข้างเพื่อช่วยลบล้างเศษละอองพิษที่อาจจะตกค้างได้
“หิ่งห้อยสุริยัน มันใช้ทำอะไรได้ครับ”
สิ่งที่ช่างแก้วกำลังพูดถึงคือแก่นชีวิตของหิ่งห้อยสุริยัน หากเหนือภพเข้าใจไม่ผิด มันคือสิ่งเดียวที่เขาสามารถซื้อมันได้จากแท็บเล็ต เขาจึงนั่งฟังพลางเก็บความรู้ใหม่อย่างใจจดใจจ่อ
“แก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยัน ไม่เพียงมีประโยชน์ในการต่อสู้เท่านั้น สำหรับช่างตีเหล็กมืออาชีพอย่างข้ามันคือของวิเศษ ประโยชน์ของมันมหาศาล สามารถเปลี่ยนให้คนคนหนึ่งกลายเป็นเตาหลอมได้เลย”
“เท่าที่ได้ยินมา ผู้ที่กินมันเข้าไปจะสามารถเพิ่มความร้อนในร่างกายให้สูงขึ้นจนเกิดเพลิงลุกไหม้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นไม่เท่ากับฆ่าตายทางอ้อมหรือครับ”
เหนือภพสงสัยในข้อนี้จริง ๆ แค่โดนน้ำมันร้อน ๆ จากกระทะเขายังดิ้นเป็นกุ้งทอดเลย แล้วถ้ามันเพิ่มความร้อนได้มากขนาดนั้น เขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะซื้อมันมากินแน่
“ของอะไรก็มีผลเสียกันทั้งนั้นแหละ เท่าที่ข้ารู้หากใช้การจุดเพลิงให้ลุกไหม้ตามตัวมากเกินไป มันก็จะบั่นทอนชีวิตของคนผู้นั้น แต่ถ้ารู้จักวิธีใช้ ก็จะเป็นอย่างจักรพรรดินีเพลิงผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนเงาสุริยัน”
“จักรพรรดินีเพลิงทำอะไรหรือครับ”
“เมื่อ 12 ปีก่อนองค์จักรพรรดินีได้กินแก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยันเป็นชิ้นที่สาม ตอนนางสำแดงฤทธิ์นั้น ความร้อนจากเปลวเพลิงของพระองค์ได้เผาหมู่บ้านผู้ทรยศขนาดกลาง จนหายวับไปในพริบตา”
“มันรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“แน่นอน ดังนั้นในงานประมูลที่เมืองนิรันดร์กาลครั้งนี้ พวกข้าต้องได้หิ่งห้อยสุริยันให้ได้ ถ้าได้มันมาล่ะก็ การหลอมชุดเกล็ดพญานาคก็จะไม่ใช่งานยากอีกต่อไป”
เหนือภพตาโตเมื่อได้ยินสรรพคุณเช่นนั้น เขาอยู่พูดคุยกับช่างดาบเพียงไม่นาน ก่อนจะแยกย้ายกันไป ช่างดาบกับลูกน้องช่วยกันขนกล่องที่บรรจุเกล็ดพญานาคมุ่งหน้าไปยังเมืองนิรันดร์กาลในทันที ส่วนเหนือภพตัดสินใจอยู่ที่นี่เพื่อรอเดินทางไปพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่
เหนือภพเขาตัดใจใช้เงินจากรางวัลพิเศษซื้อแก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยันมากิน จากนั้นเขาก็อยู่ทำภารกิจง่าย ๆ ของสำนักงานฮันเตอร์เพื่อหาเงินเพิ่ม ทั้งยังดำน้ำจับปลาตัวใหญ่มาตั้งขายที่ตลาด บางส่วนก็แบ่งให้แมวราตรีกิน
ส่วนเจ้าแมวราตรีนั้น มันกลายเป็นลูกหาบของเหนือภพไปโดยปริยาย ถุงแร่ห้าสีและหกสีถูกบรรจุในถุงผ้าอย่างมิดชิด แล้วเขาก็ผูกข้าวของไว้บนหลังแมวดำอย่างแน่นหนา ช่วงแรก ๆ เหนือภพก็รู้สึกระแวงกลัวว่าเจ้าแมวจะหนีไปเหมือนกัน แต่พออยู่ด้วยกันสักพัก เขาก็พบว่าแมวราตรีมันก็มีชีวิตของมัน มันชอบเที่ยวเล่นไปเรื่อย แต่พอถึงเวลาอาหาร หรือเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลืออะไร มันก็จะกลับมาทันเวลาทุกครั้งราวกับมีหูทิพย์
เช้าวันนี้เป็นวันออกเดินทาง คณะเดินทางของเหนือภพมีคนไม่มากนัก มีเพียงแค่เขา ศิษย์พี่ทานธรรม และก็พี่สะใภ้คนสวยอังกาบเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่ใต้สังกัดตึกลำธารของศิษย์พี่ใหญ่ก็ถูกแบ่งส่วนหนึ่งไปทำหน้าที่สำรวจความเรียบร้อยของเส้นทาง อีกส่วนก็มุ่งหน้าไปรออยู่เพื่อเตรียมความพร้อมอยู่ที่งานแล้ว และส่วนสุดท้ายจะคอยคุมกันท้ายขบวนอยู่ห่าง ๆ
หากพูดถึงเส้นทางไปเมืองนิรันดร์กาลนครแล้ว ถ้านับระยะทางจากเมืองหลวงอมตะนครต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 10 วัน 10 คืน แต่ถ้าเดินทางจากเมืองสินธุจะมีระยะใกล้กว่ามาก ใช้เวลาเพียงแค่ 7 วัน กว่า ๆ เท่านั้น
ทานธรรมเปิดม่านออกมาบอกสารถี จากนั้นก็ปิดม่านพักผ่อนอยู่ในรถเทียมเกวียนชั้นดีกับอังกาบ ส่วนเหนือภพนั้นก็พยักหน้ารับคำศิษย์พี่เช่นกัน จากนั้นเขาก็เริ่มออกเดินเท้าเคียงข้างรถเทียมเกวียนของศิษย์พี่ใหญ่อย่างกระตือรือร้น
Favorite เหนือภพมองรูปวงกลมหลากสีที่ปรากฏบนหน้าจอแท็บแล็ตด้วยความสงสัย มันคือตัวหนังสืออธิบายข้างใต้ว่า ‘กงล้อหรรษา’ มันคือกงล้อกลม ๆ ที่แบ่งออกเป็นซีกเล็ก ๆ 6 ซีกเกือบเท่ากัน ที่เรียกว่าเกือบก็เพราะทั้ง 5 ซีกนั้นกว้างเท่ากันหมด แต่มีอยู่ซีกหนึ่งที่เล็กแคบกว่ามาก ๆ พวกมันมี 6 สี ในแต่ละสียังมีภาพสัญลักษณ์ที่เขาสามารถเข้าใจได้ง่าย ได้แก่ รูปชุดเกราะ รูปดาบ รูปน่องสัตว์ รูปแร่ และ รูปตำรา ส่วนซีกวงล้อแคบ ๆ นั้นมีเพียงสีทองอร่ามที่โดดเด่นกว่าใคร โดยไม่มีรูปภาพที่บ่งบอกว่ามันคืออะไร
‘นี่คงเป็นสิ่งที่ผู้ชี้นำบอกว่ารางวัลพิเศษแน่ ๆ’
เหนือภพใช้นิ้วแตะไปที่รูปกงล้อ จากนั้นก็มีข้อความปรากฏขึ้นมา
-*-*- การหมุนกงล้อหรรษาครั้งที่ 1 ใช้เงิน 10 เหรียญทอง -*-*-
เหนือภพถึงกับหน้ามุ่ย นิ้วมือของเขาสั่น ๆ ระริก เขาเพิ่งได้รับเงินมา 100 เหรียญทอง แล้วจะให้เขาเสียเงินมากขนาดนั้น นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรอ เหนือภพถึงจะบ่นแบบนั้นนานหลายนาที แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เขายังอ่อนแอ แค่พญานาคตัวเดียวยังทำให้เขาถึงกับปางตาย แล้วแบบนี้เขาจะดูแลคนที่รักได้อย่างไร
เหนือภพเติมเงินเข้าไปในระบบแล้วก็จิ้มลงไปที่รูปกงล้อ กงล้อก็เริ่มหมุน มันหมุนเร็วจี๋และก็มีแสงสว่างวาบขึ้นตามซีกของวงล้อ เหนือภพจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร และรอแม้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ทำให้เขารู้สึกหัวเสียเพราะความกดดัน มันกินเงินของเขาไปมากขนาดนั้น แล้วทำไมยังช้าแบบนี้
เหนือภพแทบจะทุ่มแท็บแล็ตลงพื้น จนกระทั่งเวลามาถึงวินาทีที่ 10
สรรพคุณ : เพิ่มพละกำลัง แต่ลดทอนความคล่องตัว
ระยะเวลาสิ้นสุดการซื้อ : –
เหนือภพเริ่มเชื่อแล้วว่าผู้ชี้นำไม่ทำให้เขาเสียเปรียบ แต่ว่าผู้ชี้นำควรจะลดราคาให้กันบ้าง ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมาได้ เมื่อคิดออกว่าเขาจ่ายเงิน 10 เหรียญทองเพื่อแลกกับเนื้อราคา 450 เหรียญทอง
สิ่งของที่ได้จากการสุ่มครั้งแรกนับว่าไม่เลวเลย เนื้อประเภทกำลังนั้นเป็นอะไรที่เขาต้องการมากที่สุด และเนื้อสัตว์คุณภาพสูงจะให้ค่าสมรรถภาพถึง 2 แต้ม แม้ว่าเนื้อหมีดำพิภพนี้จะลดค่าความคล่องตัวของเขาลง 2 แต้ม แต่ก็ถือว่าคุ้มกับค่าพละกำลังที่เขาได้มา
เนื้อก้อนใหญ่หล่นลงมาจากฟ้า มาตกบนหัวของเหนือภพพอดี แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร เขาเอาเนื้อลงมาปิ้งกินอย่างง่าย ๆ แล้วก็แค่รอเวลาให้มันย่อยสลายซึมซับเข้าไปในร่างกายอย่างสมบูรณ์ อาจต้องใช้เวลาสัก 6 ชั่วโมง เขาถึงจะใช้กำลังระดับ 8 ได้ แค่คิดว่าเขาจะมีโอกาสใช้กำลังระดับนั้นเขาก็รู้สึกอารมณ์ดีจนต้องผิวปากเป็นเพลงพื้นบ้านเลยทีเดียว
ระหว่างนั่งรอเหนือภพก็คว้าแท็บแล็ตขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าวันนี้เขาค่อนข้างดวงดี จึงอยากเสี่ยงต่อ ก่อนอื่นเขายกมือขึ้นพนมเหนือหัว ที่ผ่านมาเขาไม่เคยนับถืออะไรอย่างสุดหัวใจ แต่ครั้งนี้เขาแทบจะขอพรจากเทพทุกองค์ ศาสดาของทุก ๆ ศาสนา กล่าวสาธุดัง ๆ แล้วก็แตะลงไปที่กงล้อหรรษาอีกครั้ง แต่เขาไม่รู้อยู่เรื่องหนึ่ง
-*-*- การหมุนกงล้อหรรษาครั้งที่ 2 ใช้เงิน 20 เหรียญทอง -*-*-
เหนือภพแทบจะกระอักเลือด นี่มันเพิ่มจำนวนเงินขึ้นตามจำนวนการสุ่มหรือนี่ แต่เขาจะสนเรื่องบ้าบอเช่นนั้นไปทำไมกัน
‘ท่องไว้ ๆ เงินหมดก็หาใหม่ได้ ฮึบ’
แม้เหนือภพจะรูัสึกไม่ยุติธรรม แต่เขาก็เติมเงินเพิ่มแล้วแตะลงไปอีกครั้ง เขารอจนกงล้อหมุนจนเสร็จ
คุณได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้า
สินค้า: แก่นชีวิตหิ่งห้อยสุริยัน
สรรพคุณ : เพิ่มความทนทานจากความร้อน เพิ่มความสามารถพิเศษร่างกายสามารถปลดปล่อยความร้อน จนทำเกิดเปลวเพลิงที่ร้อนแรงดุจสุริยันได้
ระยะเวลาสิ้นสุดการซื้อ : อีก 15 วัน
เหนือภพมองข้อความที่ต่างไปจากครั้งแรก เมื่อพิจารณาดี ๆ เขาถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่ได้จากการสุ่มมีสองแบบ แบบแรกจะเป็นเหมือนกับเนื้อหมีดำพิภพที่เขาได้มาฟรี ๆ เลย แต่แบบที่สองนั้นไม่เพียงเขาต้องเสียเงินหมุนกงล้อ เขายังต้องเสียเงินซื้อมันอีกที
เหนือภพกัดฟันกรอดได้แต่เก็บสินค้านี้ไว้ก่อน เขายังมีเงินไม่มากพอที่จะซื้อมัน
“รอบต่อไปก็คงใช้ 30 เหรียญทอง”
เหนือภพแตะนิ้วลงไปอีกครั้งเพื่อสุ่มรอบที่สาม พลางท่องในใจว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นทำให้เขารีบชักนิ้วกลับในทันที
-*-*- การหมุนกงล้อหรรษาครั้งที่ 3 ใช้เงิน 40 เหรียญทอง -*-*-
“เย้ย ให้ตายเถอะ นี่มันจะเกินไปแล้วนะ”
นี่ก็หมายความว่าราคาไม่ได้เพิ่มขึ้นทีละ 10 เหรียญทองอย่างที่เขาเข้าใจ แต่ราคารอบใหม่เป็น 2 เท่าจากเดิมต่างหาก เหนือภพส่ายหน้า
ไว้เขามีเงินเหลือใช้มากกว่านี้ก่อน ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวรวมของเก่า เขามีเงินเหลือประมาณ 79 เหรียญทอง และยังมีเศษทองอีก ประมาณ 2.7 กิโลกรัม หากเขาต้องเสียไปอีก 40 เหรียญทองคงไม่ดีแน่
อีกไม่กี่เดือนจะถึงวันเกิดของน้องสาว เขาต้องเอาเงินส่วนนี้ไปหาของขวัญดี ๆ ให้เธอ อีกทั้งเขาอยากจะส่งเงินบางส่วนไปให้แม่ใช้บ้าง ถึงแม่ของเขาจะแต่งงานใหม่และมีหัวหน้าไทคอยดูแลแล้ว แต่เขาก็อยากให้แม่มีเงินเป็นของตัวเอง สามารถพึ่งตัวเองได้ระดับหนึ่ง หากชีวิตการแต่งงานครั้งนี้ไม่ถูกใจแม่ แม่ก็จะอยู่คนเดียวได้โดยไม่จำเป็นต้องฝืนทนพึ่งพาผู้ชาย
เหนือภพคิดได้เช่นนั้นก็รีบเข้าเมืองไปหาซื้อกระดาษอาคมประเภทส่งของ เขาต่อราคาจนได้ลดราคา ก่อนจะเขียนจดหมายแล้วแนบเงิน 25 เหรียญทองส่งไปให้แม่ที่หมู่บ้านแร่ห้าสี
หากคิดตามค่าครองชีพที่หมู่บ้านนั้นล่ะก็ เงินเท่านี้ก็สามารถทำให้แม่เขากลายเป็นเศรษฐินีใหญ่ของหมู่บ้านได้เลยทีเดียว
หลายชั่วโมงต่อมา เหนือภพกำลังนั่งเหม่อมองพระอาทิตย์ตกดินอยู่ที่ยอดหลังคาของหอร้อยบุปผา แม้เขาจะพยายามทำตัวเบาที่สุดแล้วก็ยังทำให้แผ่นกระเบื้องหลังคาแตกหักไปหลายแผ่น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่นัก ในใจเขายังคงครุ่นคิดคาใจเกี่ยวกับกงล้อหรรษา เขารู้สึกว่าวันนี้เขามีโชคในการสุ่มอย่างมาก หากพ้นจากวันนี้ไปก็ไม่แน่ว่าเขาจะสุ่มได้ของระดับสูงอีก
เหนือภพจึงตัดใจกดสุ่มครั้งที่ 3 เหรียญทอง 40 เหรียญหายวับไปกับตา มันช่างบีบหัวใจเขานัก แต่เขาต้องท่องไว้ ในภายภาคหน้าเขานี่แหละจะเป็นฝ่ายรังแกพญานาคบ้าง จะเอาให้ร้องครางเหมือนอสูรกริมเลย
เหนือภพมีสีหน้าเต็มไปด้วยความตั้งใจอันเต็มเปี่ยม แต่ในขณะเดียวกัน ดวงตากลับคลอไปด้วยน้ำสีใส แล้วน้ำตาก็ไหลพรากลงมา มือขวาที่ตั้งใจจะแตะรูปกงล้อสั่นระริกอยู่แบบนั้นนานนับนาที
แล้วมือที่ค้างอยู่เหนือหน้าจอแท็บแล็ตก็ค่อย ๆ ถอยออก เขาไม่อยากเสีย 40 เหรียญทองแล้ว
การปรากฏตัวกะทันหันของทานธรรมทำให้เหนือภพสะดุ้งมือลั่นไปแตะรูปกงล้อในทันที และนั่นก็ทำให้เหนือภพร้องไห้คร่ำครวญออกมา
“เงินข้าาา เงินข้าหายไปแล้ว” ทานธรรมเห็นแบบนั้นก็รู้สึกงุนงง
‘เจ้าเด็กคนนี้ยิ่งรู้จักก็ยิ่งประหลาด อยู่ ๆ ก็จ้องวัตถุประหลาด ทำหน้าเหมือนจะดีใจแต่ก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิง แล้วยังทำหน้าเหมือนมุ่งมั่นอะไรสักอย่าง เพราะข้าสงสัยหรอก เลยเข้ามาดู ไม่คิดว่าเจ้านี่จะอารมณ์แปรปรวนขนาดนี้’
“เอ่อศิษย์น้องสาม เจ้าเป็นอะไรมากไหม”
ทานธรรมยิ้มแห้ง ๆ เมื่อเหนือภพจ้องเขาเขม็ง นี่เขาทำอะไรผิด
เสียงแจ้งเตือนทำให้เหนือภพก้มดูแท็บแล็ต จากนั้นเขาก็ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าเข็มชี้ไปหยุดอยู่ที่ช่องสีทองเล็ก ๆ แคบ ๆ นั้น
-*-*- ขอแสดงความยินดี คุณได้รับ Jackpot !! -*-*-
แม้เหนือภพจะไม่เข้าใจว่า Jackpot คืออะไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันคงจะเป็นของรางวัลพิเศษที่ผู้ชี้นำเคยพูดถึงนั่นเอง
เมื่อข้อความแสดงความยินดีจากระบบหายไป ก็มีของสามสิ่งปรากฏขึ้นแทน หนึ่งในนั้น คือเหรียญทอง 10 เท่าของเงินที่เขาใช้ไปกับกงล้อทั้ง 3 ครั้ง เหนือภพยิ้มกว้างทั้ง ๆ ที่หยาดน้ำตายังไม่แห้งไปจากใบหน้า เมื่อเขาเห็นตั๋วเงินมูลค่า 700 เหรียญทองลอยออกมาจากแท็บแล็ตเข้าสู่มือของเขา
เหนือภพกระโดดกอดทานธรรมแน่นโดยไม่กลัวว่าจะตกจากหลังคา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านนี่ช่างเป็นตัวเงินตัวทองของข้าโดยแท้ ต่อไปนี้ไม่ว่าท่านจะไปไหน ข้าจะขอตามติดท่านไปทุกที่”
เหนือภพพูดพลางเขย่าตัวทานธรรมอย่างดีใจสุดขีด ก่อนจะกลับไปสนใจแท็บแล็ตต่อ แล้วปล่อยให้ทานธรรมยืนงงอยู่คนเดียว
‘คนเรามันเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวขนาดนั้นเชียวหรอ’
“ศิษย์น้องสามเจ้าไหวแน่นะ ป่วยหรือเปล่า ไปหาหมอไหม?”
เหนือภพไม่ทันได้ฟังว่าศิษย์พี่ใหญ่พูดอะไร เพราะตอนนี้เขากำลังเพ่งรูปภาพกล่องสมบัติสองกล่องที่มีรูปลักษณ์ต่างกันปรากฏบนหน้าจอ ไม่เพียงแค่ได้รับเงินเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับรางวัลอย่างอื่นอีก มีคำอธิบายเล็ก ๆ ระบุเอาไว้ใต้กล่องหนึ่งว่า
-*-*-สุ่มรับวัตถุดิบสัตว์อสูรระดับชั้นเลิศ 1 ชิ้น หรือแร่ธรรมชาติระดับสูง 1 ชิ้น -*-*-
สินค้า : แก่นชีวิตคชสีห์โบราณ
ที่มา : ป่าแรกกำเนิดโบราณ
สรรพคุณ : ความว่องไวพุ่งทะยาน ความทรหดแข็งกร้าวทวีคูณ พละกำลังเรืองขึ้นมหาศาลดุจพญาคชสีห์
ระยะเวลาสิ้นสุดการซื้อ : –
เมื่อเหนือภพได้รับของเขาก็รีบกลืนมันลงคอทันที เขาชอบมากของจำพวกแก่นชีวิตแม้จะย่อยสลายยาก แต่ก็กินง่าย เพียงแค่รอเวลาซึมซับสักพักค่าสมรรรถทางร่างกายของเขาด้านต่าง ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างละ 4 หน่วย
‘ฮู้ว นึกไม่ถึงว่าอยู่กับศิษย์พี่ใหญ่แล้วเราจะโชคดีขนาดนี้’
แล้วเหนือภพก็หันมาให้ความสำคัญกับกล่องสุดท้าย มันมีข้อความระบุไว้ว่า
-*-*- สุ่มรับอาวุธ อุปกรณ์ หรือตำราหายาก 1 ชิ้น -*-*-
เรื่องเสี่ยงโชคนี่เขาถนัดนัก ขอเพียงไม่เสียเงินเพิ่มก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องลังเล
เหนือภพแตะมันทันที ขณะเดียวกันทานธรรมที่จ้องมองเหนือภพกับของประหลาดในมือก็เอ่ยขึ้นพลางสะกิดเหนือภพ
“นี่ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วสิ่งนั้นคืออะไร”
ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าเหนือภพโชคดีอยู่แล้ว เพราะการแตะของทานธรรมนั้นทำให้เหนือภพได้รับของดีมาอีกแล้ว เหนือภพหัวเราะลั่นอย่าชอบใจแล้วหันมาหาศิษย์พี่ใหญ่พร้อมกับโอบไหล่
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราต้องไม่แยกจากกันนะ จะไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน ตกลงไหม”
ทานธรรมมองเหนือภพอย่างอ่อนใจ เขาคงหาเหตุผลอะไรไม่ได้จากศิษย์น้องสามคนนี้
“อ่ะก็ได้ แต่อีกเจ็ดวันข้าจะไปงานเทศกาลประมูลระดับแคว้นที่เมืองนิรันดร์กาล”
“ก็ดี ถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตา ที่นั่นเราจะได้ไปเลือกประมูลสินค้าเด็ด ๆ มากมาย และเจ้าก็สามารถหาของไปร่วมประมูลหาเงินได้ด้วยนะ”
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า ยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายอย่างมีความสุข
Favorite “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าอยากเจอหน้าเมียข้า”
ทานธรรมถึงกับสำลักเหล้าน้ำผึ้งแล้วก็พ่นเหล้าทั้งหมดออกมาด้วยความตกใจ เขาจ้องมองศิษย์น้องสามด้วยใบหน้าจริงจัง ที่นี่คือที่ไหน ที่นี่ไม่ใช่หอร้อยบุปผาหรอกหรือ มันเป็นสถานที่ที่ผู้ชายผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีการยึดถือคำว่าผัวเมีย แต่เจ้าเด็กนี่….
ทานธรรมเลือกตอบปัดไปอย่างเสียไม่ได้ ถึงเขารู้ก็บอกไม่ได้ เขาถอนหายใจออกมาขณะย้อนคิดถึงเหตุการณ์ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
ทานธรรมเดินมาหน้าห้องของเหนือภพเป็นปกติทุกวัน เจ็ดแล้วมาแล้วที่เหนือภพยังไม่ฟื้นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ ที่สำคัญเขาเป็นห่วงน้องสาวของเขาเช่นกัน พราวจันทร์เป็นคนที่ถือตัว เยือกเย็น มีผู้ชายมากมายทั้งในกลุ่มภราดา ขุนนาง รวมถึงพวกราชวงศ์ต่างก็อยากแต่งงานกับเธอทั้งนั้น เธอไม่สนใจใครเลย แต่กลับยอมพลีกายเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง ทานธรรมขบคิดเช่นนี้มาตลอดจนเข้าวันที่เจ็ด ในที่สุดเขาก็นึกคำพูดของพราวจันทร์เมื่อ 6 ปีก่อนได้ ตอนที่เขาเจอร่างของเธอรวมกับศพของเด็กสาวที่ถูกฆ่าในตอนนั้น
เธอเอาแต่พร่ำเพ้อคำว่า ‘พี่ภพ’ ซ้ำ ๆ พอได้สติเธอก็เอาแต่ตามหาเด็กผู้ชายที่ชื่อเหนือภพ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนกระทั่งพวกเขาพบศพเด็กชายวัยเดียวกันที่ลอยตามน้ำมา ศพนั้นเปื่อยยุ่ยไปเยอะแล้ว แต่ก็พอดูออกว่าเป็นคนรูปร่างล่ำสันสูงใหญ่ เธอจึงเชื่อว่าเหนือภพตายไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาเธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอไม่ร้องไห้อีกเลย และกลายเป็นคนเยือกเย็น พูดน้อย ถึงแม้จะดูร่าเริงแต่กลับแฝงไปด้วยความคิดที่ยากจะหยั่งถึง เธอหันมาเรียนรู้วิชาทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง และเพื่อไม่ให้เธอหมกมุ่นจนเกินไป เขาจึงรับเธอเป็นน้องสาวบุญธรรม แล้วก็ดูแลอย่างดีเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา นั่นจึงทำให้เธอค่อย ๆ กลับมาเป็นเหมือนสาวน้อยคนอื่น ๆ
สุดท้ายกลายเป็นว่าเหนือภพคือเด็กผู้ชายที่เขาส่งไปหาอาจารย์ แล้วเขาก็ดันลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท เพิ่งจะจำได้ในตอนนี้นี่เอง เพราะความทรงจำของเขานั้นมีปัญหาแต่เด็ก เป็น ๆ หาย ๆ ไม่อาจควบคุมได้ ทำให้เขาดูเหมือนเป็นคนสองบุคลิกที่มีความทรงจำรวมกันบ้างแยกกันบ้าง
ทานธรรมมองไปยังห้องของเหนือภพ ขณะที่ประตูถูกผลักออกมาพร้อมกับร่างแน่งน้อยของพราวจันทร์ เธอมีท่าทางอ่อนแรง เพราะตลอดเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนมานี้เธอต้องช่วยคลายพิษของว่านกระทิงคลั่งให้เหนือภพทั้งวันทั้งคืน โดยมีทานธรรมเป็นคนช่วยส่งข้าวส่งน้ำ
เมื่อทานธรรมเห็นพราวจันทร์เดินเซพิงขอบประตู เขาก็พุ่งตัวเข้าไปประคอง
“ค่อย ๆ เดิน มาเถอะให้พี่อุ้มเจ้าไปส่งที่ห้อง”
พราวจันทร์ส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง
“เจ้าจะดื้อไปทำไม ไปพักก่อน”
“ข้าจะต้องรีบไปเตรียมงานที่เมืองนิรันดร์กาล เสร็จงานที่นั่นค่อยว่ากันอีกที”
พราวจันทร์ทำท่าจะเดินจากไป ทานธรรมจึงถามขึ้นอย่างสงสัย
“เขาไม่ใช่คู่หมั้นเจ้าที่เจ้าตามหามาตลอดหรอกหรือ ทำไมต้องแยกจากกันด้วย รอให้เขาตื่นก่อนสิ”
พราวจันทร์ส่ายหน้าโดยมีน้ำตาคลอในดวงตาคู่สวย ด้วยศักดิ์และฐานะของเธอในตอนนี้ไม่อาจทำอะไรตามใจได้ เธอเป็นคนที่กตัญญูรู้คุณคน หากยังไม่ได้ตอบแทนเธอก็ไม่อาจเลือกความสุขของตัวเองมาเป็นที่ตั้ง ในตอนนี้เธอเป็นจ้าวตึกบุปผา และการมีคู่ครองจะส่งผลกระทบต่องานใหญ่ของภารดา
“งั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ พี่จะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าพักอีกสักหน่อยก็พอแล้ว พี่ต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเขา ด้วยนิสัยของเขา ตื่นมาคงโวยวายแน่”
เพียงแค่คิดพราวจันทร์ก็อมยิ้มแล้ว นั่นเป็นยิ้มที่ทานธรรมไม่เคยเห็นมาก่อน
“แล้วข้าควรจะตอบเขาว่ายังไง ให้เขาตัดใจจากเจ้าหรือ”
“เมื่อก่อนข้าเป็นคนไล่ตามเขา เพราะในใจข้ามีเขา หากในใจเขายังมีข้าอยู่จริง สักวันเขาก็ต้องหาข้าจนเจอ พี่อย่าบอกเขาก็แล้วกันว่าข้าเป็นใคร”
ทานธรรมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“แล้วพี่ควรจะบอกเขาว่ายังไงดี ถ้าเจ้าให้พี่คิดเอง พี่คิดไม่ออกหรอกนะ”
“ที่นี่คือหอคณิกา ก็แค่สัมพันธ์ทางกายไม่กี่ครั้งจะนับเป็นอะไรได้”
พราวจันทร์พูดทิ้งท้ายเพียงแค่นั้น แล้วเธอก็เดินจากไป
“ที่นี่คือซ่อง ก็แค่เอากันไม่กี่ครั้งจะไปสำคัญอะไร”
ทานธรรมในสภาพเมามายตอบเหนือภพตามตรง นี่คือข้อมูลที่เขาประมวลมาจากพราวจันทร์ เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงควันออกหู
“นางมาร ! เธอมันโจรปล้นสวาท ท่านบอกข้าทีว่านางมารนั่นอยู่ที่ไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ข้าจะไปจัดการเอง”
เหนือภพรู้สึกว่าเขาต้องจัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ถึงอย่างไรผู้หญิงคนนั้นก็นับว่าเป็นเมียเขาแล้ว แม่สอนให้เขารักและเคารพผู้หญิงมาโดยตลอด ถึงเขาจะไม่ค่อยเชื่อฟังแม่ก็เถอะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่แม่มักย้ำเขาอยู่บ่อย ๆ เป็นผู้ชายหากทำเรื่องอย่างว่ากับผู้หญิงก็ควรที่จะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง
แต่ส่วนที่สำคัญจริง ๆ คงเป็นความรู้สึกประหลาดในใจเขามากกว่า มันรู้สึกคุ้นเคย และรู้สึกโหยหาเธออย่างประหลาด เขาอยากเจอเธออีกครั้ง
เหนือภพกุมหน้าอกตรงหัวใจที่กำลังเต้นรัว ทำไมเขาถึงรู้สึกโกรธขนาดนี้เมื่อรู้ว่าเธอพูดจาตัดรอนเช่นนั้น
เหนือภพมองค้อนผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ จากนั้นก็สะบัดหน้าหนีอย่างไม่พอใจ
“ทำไมศิษย์พี่ใหญ่ไม่รั้งเธอไว้”
“ห่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ เห้ยยย”
ทานธรรมงุนงง แล้วเขาก็ต้องตาสว่างเมื่อเหนือภพฉกไหเหล้าน้ำผึ้งไปจากเขา แล้วก็ยกขึ้นกระดกเพื่อย้อมใจ
มันเป็นความรู้สึกที่หวิว ๆ เจ็บปวดในใจแบบที่อธิบายออกมาไม่ถูก เหนือภพไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ จึงก็ได้แต่ดื่มเหล้าน้ำผึ้งเข้าไปอึกใหญ่ อึกแล้วอึกเล่า จนกระทั่งเหล้าน้ำผึ้งหมดไห จากนั้นค่อยยื่นไหคืนให้กับศิษย์พี่ใหญ่
“เหล้าข้าา…” ทานธรรมครางออกมาขณะจ้องเข้าไปในไห จนตาแทบจะแนบสนิทกับปากไห
เหนือภพออกจากห้องพักเดินหักเลี้ยวไปตามเส้นทางภายในของอาคารไม้ผสมหินแสนหรูหรา ในยามสายเช่นนี้มีผู้คนให้เห็นเบาบาง มีเพียงแค่ข้ารับใช้ที่ทำงานทั่วไปเท่านั้น หญิงคณิกาส่วนใหญ่ของหอร้อยบุปผามักจะนอนในเวลากลางวัน แล้วตื่นมาทำงานในเวลากลางคืน
“นี่ศิษย์น้องสาม เจ้าจะไปไหน อาจารย์บอกให้ข้าดูแลเจ้า หากต้องการอะไรก็บอกข้ามาได้เลย ไม่มีอะไรที่ข้าแก้ไขให้เจ้าไม่ได้ ยกเว้นเรื่องผู้หญิงคนนั้นเพียงคนเดียวที่ข้าจนปัญญาจริง ๆ”
เหนือภพเอ่ยขณะที่ลูบท้องตัวเองไปมาเป็นสัญญาณว่าศิษย์พี่ต้องพาเขาไปหาอะไรกิน แต่ก่อนที่พวกเขาจะพากันจากไป เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเห็นแมวดำที่อยู่ข้างกายข้าในคืนนั้นหรือเปล่า”
“อ๋อ เจ้าแมวนั่นอยู่ที่เรือนในกับพวกสาว ๆ แต่ที่นั่นเป็นพื้นที่หวงห้ามสำหรับหญิงคณิกาเท่านั้น พวกเราเข้าไปไม่ได้ต่อให้คนในจะพาเข้าไปก็เถอะ”
เหนือภพพอได้ยินนั้นเขาก็รู้สึกหายหิวทันที ความสนใจของเขาไปอยู่ที่เงิน 100 เหรียญทองมากกว่า ดังนั้นต่อให้เป็นนรกมีหรือจะห้ามเขาได้
“เรือนในที่ว่า มันอยู่ทางไหนศิษย์ที่ใหญ่”
พูดจบทานธรรมก็ถอนหายใจออกมา เจ้าเด็กนี่เป็นอย่างที่อาจารย์พูดในจดหมายไม่มีผิด ทั้งดื้อรั้นและเอาแต่ใจเป็นที่สุด
เหนือภพพุ่งตัวไปทางเรือนในของเหล่าคณิกาอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งร่องรอย เขาเป็นเสมือนสายลมหอบหนึ่งที่ผ่านมา เขาเข้าไปถึงลานพื้นหินกว้างแห่งหนึ่ง ที่นี่คือลานกลางแจ้งสำหรับซ้อมการแสดงของสาว ๆ มีตัวอาคารปิดล้อมรอบทุกด้าน ข้าง ๆ ลานมีน้ำตกจำลองเล็ก ๆ และสวนไผ่สีเขียวสดแซมรูปปั้นหินแสนน่ารัก ช่างส่งเสริมความสุนทรีย์ยิ่งนัก แต่สายตาของเหนือภพกลับจ้องมองไปที่ตรงกลางลาน เขาเห็นหญิงสาวรับใช้สามสี่คนกำลังนั่งป้อนปลาให้แมวตัวใหญ่ยักษ์ที่กำลังแกล้งทำท่าทางออดอ้อน
เหนือภพพุ่งตัวเข้าไปกอดรัดแมวดำยักษ์ทันที
ทานธรรมกำลังตามเหนือภพเข้ามาเพราะความหวังดี แต่เขากลับถูกผู้พิทักษ์สาวคุ้มกันเรือนในเข้าจู่โจมเสียก่อน แม้พวกเธอจะรู้จักว่าเขาเป็นใคร มีตำแหน่งอะไร แต่หอร้อยบุปผาก็มีกฎบางอย่างที่ห้ามก้าวล่วง ต่อให้เป็นจ้าวตึกของกลุ่มภารดาก็ห้ามล่วงละเมิด ดังนั้นทานธรรมจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นหนุ่มโรคจิตไปโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรสักนิด ท้ายที่สุดเขาก็จำใจต้องหลบหนีไปอีกทางหนึ่ง
เหนือภพอุ้มแมวดำเอาไปส่งที่สำนักงานฮันเตอร์ ซึ่งแมวดำก็ยินยอมทำตามข้อตกลงที่มันเคยตกลงกับเหนือภพไว้ เขารับเงินรางวัล 100 เหรียญทองแล้วก็เดินจากไป
เมื่อสำนักงานฮันเตอร์พาแมวดำไปส่งที่บ้านพันเพชร แต่แมวดำถึงบ้านเพียงไม่กี่นาทีมันก็หนีหายออกมาอีกครั้ง โดยไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปไหน
เหนือภพนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้พะยูงต้นสูงใหญ่ ที่นี่คือสวนป่าพะยูงของเมืองสินธุ พวกเขาปลูกไม้ชั้นดีทิ้งไว้สำหรับเก็บเกี่ยวใช้สอย โดยปกติจะไม่มีผู้คนเข้ามาที่นี่ เหนือภพจึงชอบที่นี่มาก มันเงียบสงบ ร่มรื่นและก็เป็นส่วนตัว
เหนือภพนำแท็บแล็ตออกมาจากตราสัญลักษณ์ แล้วเขาก็เห็นข้อความที่ผู้ชี้นำฝากไว้หลายวันก่อน
เต็งหนึ่ง No.1 : < ต่อไปตัวเลือกสินค้าจะเกิดขึ้นแบบสุ่มนะครับ >
เต็งหนึ่ง No.1 : < ระบบใหม่คือ กงล้อหรรษา ในส่วนนี้คุณจะสามารถกดสุ่มสิ่งของประเภทต่าง ๆ ที่มีอยู่บนแผ่นดินนี้ ซึ่งสิ่งของทั้งหมดจะมีตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงระดับที่ราชวงศ์เลือกใช้ แต่ขอให้คุณพึงระวังไว้ว่าคุณจะมีสิทธิ์ในการหมุนกงล้อเพียง 3 ครั้งในรอบ 15 วัน จากนั้นสิทธิ์ในการหมุนวงล้อก็จะถูกล้างค่า กลับมาเป็น 3 รอบอีกครั้งใน 15 วันถัดไป ไม่สามารถสะสมยอดได้ >
เต็งหนึ่ง No.1 : < สิ่งที่ได้จากการสุ่มหมุนกงล้อให้แต่ละครั้ง จะมีด้วยการสองแบบคือคุณได้สินค้านั้นแบบฟรี ๆ กับคุณต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้านั้น อาจจะมีรางวัลพิเศษบ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย ส่วนรางวัลพิเศษที่ว่าคืออะไรนั้น คุณต้องลองเสี่ยงดูครับ สุดท้ายนี้ก็ขอให้คุณรักษากติกาเดิมอย่าได้ติดต่อหาผม ผมเองจะติดต่อไปหาคุณเอง และที่สำคัญเชื่อมั่นในตัวผม ผมไม่ยอมไม่ให้คุณเสียเปรียบอย่างแน่นอน โชคดีครับ >
เต็งหนึ่ง No.1 : < ^_^ >
Favorite “มีอะไรรึอังกาบ หาคนไม่ได้หรอ ที่นี่คือหอร้อยบุปผา มีผู้หญิงมากมายนับร้อยจะหาสักคนที่ร่วมหลับนอนกับศิษย์น้องข้ามันยากขนาดนั้นเชียวหรือ”
ทานธรรมพูดจบก็หันไปมองหน้าสาวสวยผู้เป็นจ้าวตึกบุปผาที่ทรงอิทธิพลเหนือหอนางโลมทุกแห่งในละแวกนี้ เธอเลิกคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่าเธอเองก็แปลกใจเช่นกัน
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้หญิง”
อังกาบพูดเสร็จก็เดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ทานธรรม
“แล้วมันอยู่ที่อะไร ถ้าเป็นเรื่องเงินล่ะก็ เท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง ขอเพียงช่วยศิษย์น้องข้าได้ก็พอ”
“แล้วมันอะไรก็รีบ ๆ บอกมาสิ”
“ร่างกายของศิษย์น้องท่านร้อนเป็นไฟเลย หญิงคณิกาที่นี่ล้วนเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ที่อ่อนแอ แค่จะแตะต้องตัวศิษย์น้องของท่าน พวกนางยังบอกว่าร้อนจนผิวจะสุกหมดแล้ว”
อังกาบรู้สึกหงุดหงิดคิดไม่ตกว่าควรจะทำเช่นไร ถ้ายังแก้ฤทธิ์ว่านกระทิงคลั่งไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงการรักษากระดูกและบาดแผลเลย เพราะคงไม่มีหมอคนไหนแตะต้องเหนือภพได้ในตอนนี้
จ้าวตึกบุปผาได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหล
“ศิษย์น้องท่านเป็นอะไรหรือคะ ข้าพอจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า”
เมื่อทานธรรมเล่าเรื่องเกี่ยวกับว่านกระทิงคลั่งให้เธอฟัง เธอก็เอา ตำราจอมปราชญ์ ออกมาเปิดดู ใช้เวลาไม่นานเธอก็พบคำตอบว่าวิธีแก้ว่านกระทิงคลั่งนั้นมีเพียงแค่วิธีเดียว ก็คือการสมสู่แบบชายหญิง
แต่มันไม่ง่ายเลย ว่านกระทิงคลั่งมันเพิ่มกำลังให้มากก็จริง แต่หากกินมากเกินไปก็ต้องแลกกับอาการเจ็บปวดที่แสนสาหัส จนถึงขั้นหมดสติ ว่านชนิดนี้ไม่ได้ทำให้เกิดอารมณ์ใคร่จนอวัยวะเพศแข็งตัวเพียงอย่างเดียว ผลลัพธ์ของมันไม่เหมือนว่านราคะอื่นๆ ตรงที่จะมีอารมณ์มากจนอาจขาดสติปลุกปล้ำผู้อื่น เมื่อเสร็จกิจก็จะสิ้นฤทธิ์ไปเอง และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ หากใช้มากเกินไปร่างกายจะร้อนดุจเหล็กที่ถูกไฟเผา ยากมากที่จะหาคนมาร่วมรัก หากไม่รักกันจริงหรือไม่มีความอดทนมากพอ ผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะต้องตายเพราะถูกความร้อนเผาผลาญร่างกาย
เหนือภพนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนเตียง ตัวของเขาเป็นสีแดงก่ำ ดูร้อนแรงและอันตราย ทุกครั้งที่ใช้ผ้าชุบน้ำแตะบนตัวเขาก็จะเกิดเสียงดังซ่า น้ำในผ้าระเหยไปในทันทีราวกับโดนเตารีดร้อน
กลิ่นแก้ว ใบหลิว และแตงทองต่างพากันเข้ามารุมล้อมอังกาบ พวกเธอรีบมาในทันทีเมื่อทราบข่าวของเหนือภพ พวกเธอต้องการช่วยเขาเนื่องจากพวกเธอนั้นแตกต่างจากสายลับทั่วไปของตึกบุปผา แม้จะเป็นผู้ไร้พรสวรรค์แต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี มีโอกาสได้กินเนื้อพิเศษเพื่อเสริมร่างกายให้แข็งแกร่งทำให้ทนทานกว่าสตรีในหอคณิกาทั่วไป
อย่างน้อยชายคนนี้ก็เคยช่วยชีวิตพวกเธอไว้ แม้เขาจะโกหกพวกเธอว่าเป็นจ้าวตึกทานธรรม แต่โกหกก็โกหก บุญคุณก็คือบุญคุณ ต้องแยกเรื่องนี้ให้ชัดเจน
เมื่ออังกาบพอได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าพาคนอื่นออกไป โดยทิ้งเหนือภพไว้กับสามสาว ในขณะที่เธอกำลังจะเดินกลับก็สวนทางกับทานธรรมและจ้าวตึกบุปผาคนใหม่ เธอโบกมือให้หญิงสาวพราวเสน่ห์อย่างเป็นกันเอง
“จะกลับแล้วหรอพราวจันทร์ คราวหน้าถ้าว่างก็มาเยี่ยมพวกพี่อีกนะ”
พราวจันทร์แย้มยิ้มแล้วก็ค้อมหัวให้อังกาบนิด ๆ อย่างสง่างาม
“ค่ะพี่สะใภ้ ว่าแต่เรื่องปวดหัวของพี่เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว คนจากตึกของเจ้ามารับอาสาช่วยแล้ว จากนี้ก็คงทำได้แค่รอเท่านั้น”
พราวจันทร์ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเรื่องนี้มันถึงกวนใจเธอ หรือจะเป็นเพราะศิษย์น้องของพี่ชายบุญธรรมที่ชื่อภพคนนั้น อย่างไรก็ตามไม่ว่าเธอจะว้าวุ่นใจเช่นไร แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงดูเย้ายวนอยู่เช่นเดิม
“พี่คะ ศิษย์น้องของพี่ชื่ออะไรคะ”
พราวจันทร์เอียงแก้มน้อย ๆ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองทานธรรมราวกับกำลังยั่วเย้า
เมื่อคำตอบหลุดออกจากปากของทานธรรม แววตาของพราวจันทร์ก็สั่นไหวในทันที เธอชะงักเงียบไปพักใหญ่ แต่ทานธรรมก็ไม่ได้สนใจเธอ เขาเดินตรงเข้าไปหาอังกาบราวกับหนุ่มน้อยที่ชอบป้อยอสาว
เสียงครวญครางของสามสาวดังออกมาถึงข้างนอกเลยทีเดียว อังกาบกับทานธรรมหันมายิ้มให้กันอย่างยินดีแล้วก็โอบเอวกันเดินจากไป ส่วนพราวจันทร์นั้นยังคงยืนนิ่ง สายตามองตรงไปยังทางเดินข้างหน้า แต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่ามือเรียวงามทั้งสองที่กุมกันอยู่บริเวณหน้าท้องของเธอกำลังสั่นไหวอย่างคุมไม่อยู่ กำไลข้อมือทั้งสองข้างกระทบกันจนเกิดเสียงกรุ้งกริ๊งเบา ๆ
“ข้าลืมไป ข้ามีธุระที่อื่นต่อ ขอลาพี่และพี่สะใภ้ตรงนี้นะคะ”
พราวจันทร์ย่อกายถอนสายบัวอย่างแช่มช้อย แล้วก็หมุนกายจากไปในทิศทางตรงกันข้าม ทานธรรมเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
“เป็นอะไรของเขากัน เจ้าน้องคนนี้”
“เธอเพิ่งจะได้รับตำแหน่งจ้าวหอบุปผาไม่นาน ก็คงมีเรื่องมากมายให้สะสาง ว่าแต่ท่านเถอะ ท่านจะยืนตรงนี้อีกนานเท่าไหร่”
อังกาบหน้าแดงขณะกระตุกแขนของทานธรรม ทานธรรมเห็นท่าทางเช่นนั้นเขาก็อุ้มอังกาบขึ้นมาแนบชิด จากนั้นก็พากันหายลับเข้าไปยังห้องที่จองไว้เป็นพิเศษ
เมื่อทานธรรมและอังกาบจากไปแล้ว พราวจันทร์ก็กลับมาปรากฏกายอยู่หน้าห้องของเหนือภพ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวนี้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะหอร้อยบุปผาร้างผู้คนหรือมีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดี แต่เป็นเพราะว่านายเหนือหัวของผู้คนที่นี่ก็คือเธอ ‘พราวจันทร์’ แม้ที่นี่จะไม่ใช่ตึกบุปผา แต่ด้วยอิทธิพลของเธอ มันก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
ประตูหน้าห้องเปิดกว้างโดยมีพราวจันทร์ยืนกุมมือเด่นอยู่ตรงกลางประตู ชุดสีแดงสดของเธอแผ่ออกอย่างงดงาม ช่างแตกต่างกับใบหน้าของเธอยิ่งนัก ดวงตาของเธอฉายแววดุดัน ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างระงับอารมณ์ ปลายจมูกเชิดเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็ทำให้สามสาวที่อยู่ในห้องเกรงกลัวได้แล้ว
กลิ่นแก้ว ใบหลิว และแตงทองผงะทันทีที่เห็นนายหญิงมาที่นี่ด้วยตัวเอง พวกเธออยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย กลิ่นแก้วนิ่งค้างอยู่ในท่าที่กำลังจะคร่อมเอวเหนือภพ ใบหลิวและแตงทองนั่งตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ส่วนชายหนุ่มคนเดียวในห้องกลับยังนอนเปลือยหมดสติอยู่เช่นเดิม โดยที่พญาอสรพิษของเขายังคงชี้ตั้งอยู่เช่นนั้น
กลิ่นแก้วผงะกายถอยออกมาเมื่อทนความร้อนไม่ไหว รวมทั้งอายที่จะต้องทำเรื่องอย่างว่าต่อหน้านายหญิงอีกด้วย
พราวจันทร์กวาดตามองทั่วห้องก็พบว่า หญิงสาวทั้งสามคนยังไม่สามารถนำตัวเองสวมใส่เข้ากับเหนือภพได้ ไม่ว่าจะพยายามมากเช่นไรก็ตาม แตงทองมีแผลคล้ายถูกลวกที่ต้นขา ใบหลิวก็มีแผลที่ทรวงอกข้างขวา ฝ่ามือบวมพอง ส่วนกลิ่นแก้วดูจะเจ็บหนักที่สุด เหงื่อโซมกาย ฝ่ามือพุพอง ช่วงขาทั้งหมดบวมเป่ง เธอคงเป็นคนที่พยายามมากที่สุดแล้ว
พราวจันทร์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แววตาลึกล้ำแลดูอำมหิตไม่น้อย
กลิ่นแก้วรับคำอย่างว่องไวแล้วก็รีบลากเพื่อนสาวทั้งสองออกไปด้วย สาวงามของหอคณิกาคนอื่นคงไม่เข้าใจ แต่เธอเข้าใจดีที่สุด เนื่องจากว่าเธอเป็นคนรับใช้ที่ใกล้ชิดนายหญิงคนใหม่มากที่สุดแล้ว
ปกตินายหญิงจะไม่มีท่าทางโหดเหี้ยมเช่นนี้ เธอเคยเห็นครั้งเดียวเท่านั้นในครั้งที่จ้าวตึกบุปผาคนก่อนถูกลอบสังหารโดยพวกผู้มีพรสวรรค์ นายหญิงพราวจันทร์โกรธมาก แล้วเธอก็บุกไปสังหาร ‘บ้านเนตรพิฆาต’ บ้านของฮันเตอร์กลุ่มนักฆ่านั้นจนตายทั้งหมด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครคัดค้าน ไม่มีใครกล้าลองดีกับจ้าวตึกบุปผาคนใหม่อีกเลย
พราวจันทร์ย่างเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น แม้แต่เตียงนอนผ้าไหมอย่างดีก็ยังไม่อาจรองรับความร้อนจากกายเขาได้ เสียงกรุ้งกริ๊งจากกำไลข้อเท้าของเธอดังก้องท่ามกลางความเงียบ เธอกวาดสายตาพิจารณาร่างเปลือยของชายหนุ่มโดยปราศจากความเขินอาย จนกระทั่งสายตาของเธอไปหยุดอยู่ที่ข้อมือด้านในของเขา มันคือตราสัญลักษณ์ฮันเตอร์รูปเหรียญที่มีตัวอักษร F อยู่ตรงกลาง
พราวจันทร์พูดอย่างแผ่วเบา ขณะทรุดกายช้า ๆ มานั่งข้างเหนือภพด้วยความรู้สึกประดังประเด เขาคือคนที่เธอคิดว่าตายไปแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็พบว่าเธอคิดผิด ความรู้สึกคิดถึง ห่วงหา หึงหวง ดีใจ เสียใจ คละเคล้ากันจนดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา
เธอค่อย ๆ ปลดเสื้อผ้าทีละชิ้น ผิวขาวใสนวลเนียนอวดโฉมออกมาโดยไม่มีใครเห็น เมื่อก่อนตอนที่เธอยังไม่ได้รับตำแหน่งจ้าวตึกบุปผา เธอเคยเป็นถึงดาวเด่นของหอหมื่นบุปผาที่เมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความงาม ร้องรำทำเพลง ศิลปะ การดนตรี หรือการเดินหมากต่าง ๆ ล้วนไม่มีหญิงใดเทียบเธอได้ ชายหนุ่มแก่มากมายล้วนยอมทุ่มทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงเพื่อให้ได้หลับนอนกับเธอสักครั้ง ทว่าไม่มีใครเคยได้รับสิทธิ์นั้น แต่สำหรับผู้ชายคนที่นอนอยู่ตรงหน้านี้ เธอกลับยินดีมอบกายให้โดยไม่หวังสิ่งใด
พราวจันทร์ถอดชั้นในตัวน้อยออกเป็นชิ้นสุดท้าย แล้วร่างเปล่าเปลือยของสาววัยกำดัดก็ทาบทับไปบนร่างกายล่ำบึ๊กแสนร้อนฉ่า
ตะวันเริ่มทอแสง พร้อมกับเสียงบรรดาสัตว์ปีกออกหากิน ผสมผสานกับเสียงคึกคักตามแบบฉบับของเมืองใหญ่
เหนือภพตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย แต่ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างประหลาด เขามองร่างกายเปลือยเปล่าของตัวเองที่นอนอยู่บนพื้นไม้เย็นเฉียบ แล้วก็เห็นคราบเลือดติดอยู่ตรงหว่างขา
จากนั้นเขาก็กวาดตามองรอบห้อง เขาเห็นข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้น หมอน ผ้าห่มดูเหมือนถูกรื้อทิ้ง ถ้วยชามอาหารน้ำดื่มถูกกินแล้วก็ทิ้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบตรงมุมห้อง
“เอ๋ ? มีคนมาช่วยจัดกระดูกให้ข้าหรอ”
เหนือภพยืดแขนยืดขาทดสอบดูก็พบว่าร่างกายของเขาฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานแค่ไหน สงสัยจะมีหมอมาช่วยรักษาเขาระหว่างหลับ
ทั้งหมดนั้นยังไม่ทำให้เขาแปลกใจได้เท่ากับกลิ่นหอมอย่างหนึ่งที่ลอยเคว้งอยู่ในบรรยากาศ มันเป็นกลิ่นของไม้จันทน์หอมที่อบอวลอยู่ทั่วร่างกายของเขา ทั่วที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม แม้แต่ที่พื้นก็มีกลิ่นนี้เช่นกัน
เหนือภพยกแขนตัวเองขึ้นมาดม จนมั่นใจว่าบนร่างกายของเขามีกลิ่นนี้อย่างแนบแน่น
“กลิ่นนี้มาจากไหนนะ เอ๊ะ ลูกพ่อทำไมเช้าวันนี้ถึงได้หลับไม่ตื่นล่ะ”
เขามองส่วนที่ควรจะชูชันทุกครั้งที่ตื่นนอน แต่วันนี้มันกลับสงบนิ่งราวกับว่ามันเพิ่งเจอศึกหนักมา เขาส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก็หันไปสนใจค้นหาเสื้อผ้าที่มีในห้องมาใส่ ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องที่ยังติดค้างในใจ
‘กลิ่นหอมแบบนี้ ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยได้กลิ่นมาก่อน’
“โอ้ ศิษย์น้องสาม เจ้าตื่นแล้ว”
ทานธรรมเอ่ยขึ้นในขณะที่เขาดันประตูเข้ามา วินาทีถัดมาที่เขามองเห็นสภาพห้องได้ชัดเจน เขาก็ผิวปากเป็นเชิงล้อเลียน
“เจ้านี่ไม่เบานะ จัดหนักเจ็ดวันเจ็ดคืนเลย สมัยข้าแค่สองวันสามคืนก็คางเหลืองแล้ว”
เหนือภพมีสีหน้าเซ็ง เขารู้ว่าศิษย์พี่หมายถึงอะไร ถึงเขาจะใช้ชีวิตเยี่ยงนักบวชมานาน แต่พระอาจารย์ก็สั่งสอนเขามาบ้าง เกี่ยวกับธรรมชาติการใช้ชีวิต การสืบพันธุ์ของมนุษย์ และแม้ว่าเขาจะอยากลองเรื่องอย่างว่าสักครั้ง แต่เขาก็อยากบรรเลงมันด้วยตัวเองกับคนที่เขารัก
‘นี่อะไร ครั้งแรกของข้ากลับถูกใครก็ไม่รู้แย่งชิงไป ถึงจะทำเพื่อช่วยข้าก็เถอะ มันยากหรือไงที่จะปลุกข้าขึ้นมาร่วมบรรเลงด้วยกัน ปล่อยให้ข้านอนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ได้’
แค่คิดเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไร้น้ำยา รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
Favorite เหนือภพรู้สึกท้อสุด ๆ เขาพยายามล้วงมือเข้าไปในถุงหนังเพื่อหาแก้วจันทรกาล แล้วก็ยื่นมันให้พญานาค เขาคืนพญานาคไปจะดีกว่า มันไม่คุ้มเลย พญานาคห้าเศียรตนนี้ไม่ใช่พญานาคธรรมดา ที่ผ่านมามันเพียงเล่นสนุกกับเขาเท่านั้น หากต้องต่อสู้แลกชีวิตเพื่อทำให้เกล็ดมันหลุดออกมาก็เกรงว่าเขาคงต้องเอาชีวิตไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
แก้วจันทรกาลที่กำลังเปลี่ยนสีไปมา สลับแปดสีไปมาต่อเนื่อง มันค่อย ๆ ลอยออกจากมือของเหนือภพขึ้นไปหาพญานาค
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายจำนวนมากกว่าสิบตัวดังสอดประสานกังวาน พวกมันแต่ละตัวไม่ได้มีขนาดด้อยไปกว่าพญานาคเลย เพียงแต่ตัวของมันสั้นกว่ามาก เพียงแค่ เหนือภพได้เห็น เขาก็จำได้ รูปลักษณ์ของฝูงสัตว์อสูรผู้มาใหม่มันเหมือนรูปปั้นสัตว์หิมพานต์ที่อยู่ตรงขั้นบันไดของวิหารไม่มีผิด
เหนือภพหลุดปากออกมาด้วยความตกตะลึง การปรากฏตัวของฝูงมกร ทำให้แก้วจันทรากาลหยุดนิ่งกลางอากาศ
พญานาคห้าเศียรหันขวับไปทางฝูงมกรราวกับว่ามันพบศัตรูทางธรรมชาติ มันขู่คำรามออกมาดังลั่น มกรเห็นเช่นนั้นก็ขยับตัวถอยหลัง แต่เมื่อเสียงคำรามของพญานาคสิ้นสุดลง พวกมกรทั้งสิบก็พุ่งเข้าหาพญานาคห้าเศียรอย่างไม่ลังเล
หางของพญานาคห้าเศียรฟาดสะบัดมกรออกไปทีละตัว แต่ละเศียรหันแยกไปตามทิศทางของมกรแต่ละตัว ก่อนจะพ่นทั้งพิษ เปลวเพลิงพิษ และสายน้ำกรด ใส่เหล่ามกรอย่างไม่ปรานี แตกต่างจากที่สู้กับเหนือภพลิบลับ
แต่สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนเป็นส่วนผสมของผู้โดดเด่นหลายเผ่าพันธุ์ พวกมันทั้งแข็งแรงและก็ว่องไว ยิ่งการสู้แบบ 1 ต่อ 10 นั้นต่อให้พญานาคแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องเพลี่ยงพล้ำจนได้
พญานาคห้าเศียรตัดใจหลบหนีในทันที
เกิดแสงอาคมหลากสีฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ยากแก่การมองเห็น ห้าวินาทีต่อมาแสงอาคมนั้นก็สลายไปตัวไปพร้อมกับพญานาคที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทางด้านเหนือภพที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มกว้าง เขาไม่รู้ว่าพวกมกรมาจากไหน แต่ที่รู้แน่ ๆ คือพวกมันไม่เข้ามาทำอันตรายเขา นั่นก็เพียงพอแล้ว เขากระโดดคว้าเอาแก้วจันทรกาลที่ลอยอยู่กลางอากาศห่างจากเขาสองเมตรมาครอบครองอีกครั้ง แก้วจันทรกาลที่เปลี่ยนสีอยู่อย่างต่อเนื่องกลับเปลี่ยนสีสลับไปมาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันหยุดนิ่งที่สีแดง เหนือภพถึงกระโดดขึ้นอย่างดีใจด้วยขาข้างเดียว
“ในที่สุดก็ได้มันมา ไชโย !”
แก้วจันทรกาลสีแดงสามารถเพิ่มพละกำลังให้กับผู้ถือครองอย่างมหาศาล ต่อไปยามที่เขาใช้กำลัง ความเสียหายที่เขาทำได้คงสูงมากแน่
เหนือภพเก็บซ่อนไว้ในเสื้อคลุมอย่างมิดชิด ทันใดนั้นฝูงมกรก็วิ่งตึงตังมาทางเขา เหนือภพรีบกระโดดหลบ เมื่อมกรตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่พื้นที่เขาเพิ่งยืนอยู่เมื่อกี้
พื้นที่บริเวณนั้นยุบแตกร้าว พละกำลังที่มันใช้ไม่ต่างจากที่มันใช้กับพญานาคสักนิด นี่มันเห็นเขาแข็งแกร่งเทียบเคียงพญานาคงั้นหรอ ?
เหนือภพรีบขึ้นหลังแมวดำตั้งใจจะหลบหนีอีกครั้ง จนกระทั่งปรากฏร่างคนสองคนขวางหน้าเขาไว้ด้วยอาคมย่นระยะทาง
สิ้นเสียงคำสั่งของชายหนุ่มที่ยืนขวางเหนือภพ พวกมกรเหล่านั้นก็สลายกลับกลายเป็นอักขระสีทองพุ่งเข้าหาคือชายหนุ่มที่น่าจะแก่กว่าเหนือภพนับสิบปีคนนั้น
เขาคือชายหนุ่มที่แต่งกายมอซอสวมหมอกฟาง ผมเผ้าและหนวดเครารกรุงรัง แถมบนร่างกายยังปรากฏอักขระอาคมภาพสีทองเป็นรูปมกรนับสิบอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ก่อนที่รอยยันต์พวกนั้นจะค่อย ๆ จางหายไป
เหนือภพรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา
เหนือภพถามออกไปตรง ๆ เมื่อได้กลิ่นเหล้าผสมน้ำผึ้งที่โชยหึ่งจากตัวชายคนนั้น ชายคนนั้นยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนพูดว่า
“ไอ้พวกเหยื่อหน้าโง่ตัวไหนกัน ที่มันแยกข้ากับเจ้าไม่ออกเนี่ย”
แม้ทานธรรมจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่นี่ก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว ว่าเขานี่แหละคือทานธรรม ศิษย์คนโตของพระอาจารย์สิริ
เหนือภพรับไหเหล้าน้ำผึ้งที่ศิษย์ที่ใหญ่โยนมาให้ได้อย่างทุลักทุเล เขาพอจะเข้าใจศิษย์พี่ใหญ่คงรู้สึกเคืองที่เขาแอบอ้างชื่อแล้วไปก่อเรื่อง เหนือภพยิ้มกว้าง เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี แต่ในขณะที่เขาคิดจะยกเหล้าน้ำผึ้งขึ้นดื่ม ดวงตาที่สดใสของเขากลับค่อย ๆ อ่อนล้า แล้วเปลือกตาก็ปิดลง พร้อมกับร่างกายที่โอนเอนไม่ค่อยมั่นคงตั้งแต่แรกก็ทรุดตัวลงแล้วก็สลบไปในท่าทางที่ผิดธรรมชาติ
เขาฝืนตัวเองมาตลอดเพื่อให้ร่างกายที่อ่อนล้านี้ยังคงตื่นตัว แต่การที่เขาได้พบศิษย์พี่ใหญ่โดยไม่คาดหมาย ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด มันทำให้เขารู้สึกวางใจและปลอดภัย
“อ้าว สลบไปง่าย ๆ แบบนี้เลยรึ”
ทานธรรมมองเหนือภพแล้วก็หันไปสบตากับหญิงสาวข้างกาย ราวกับต้องการบอกว่า นี่แหละคือศิษย์น้องสามของเขาไม่ผิดแน่
“อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง”
ทานธรรมถามอังกาบด้วยท่าทางสุขุมดูต่างไปจากปกติ อังกาบชอบบุคลิกนี้ของทานธรรมมาก นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
“ถือว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ข้าไม่เข้าใจ สำนักของท่านนิยมกินว่านกระทิงคลั่งกันนักหรือ ก็รู้อยู่ว่าผลเสียของมันอันตรายแค่ไหน ไอ้ตรงนั้นของพวกท่านจะคงอยู่แบบนั้น แม้ข้าจะไม่มีตรงนั้น แต่ข้าก็พอจะเข้าใจว่ามันน่าจะทรมานมากแน่”
สิ่งที่น่ากลัวบนร่างกายของเหนือภพไม่ใช่บาดแผล ไม่ใช่กระดูกหัก ไม่ใช่อาการฟกช้ำ แต่เป็นส่วนกล่องดวงใจของเขาที่ยังคงตั้งแข็งราวกับหิน ร่างกายเหนือภพแดงเถือกอันเกิดจากไฟราคะที่พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง หากไม่มีการร่วมสัมพันธ์ชายหญิง เห็นทีคงต้องเส้นเลือดระเบิดจนตาย นี่คือผลร้ายของว่านกระทิงคลั่ง
ทานธรรมดูไม่ค่อยตกใจอะไร เขายิ้มเล็ก ๆ ก่อนจ้องตาอังกาบนิ่ง จนใบหน้าของเธอแดงระเรื่อขึ้นมา
“หากไม่ดีจริง ข้าคงไม่ได้เจ้ามาเป็นคนรู้ใจ”
หากทานธรรมพูดด้วยบุคลิกคนตกปลาขี้เมา เขาคงถูกอังกาบเตะยอดหน้าไปแล้ว แต่เมื่อพูดด้วยบุคลิกที่สุขุมแบบนี้กลับทำให้เธอเขินอายขณะย้อนความทรงจำกลับไปในตอนที่เธอยังเป็นเธอสาววัยแรกแย้ม ยังไม่รู้ประสีประสาทำให้ถูกคนหลอก
เธอกำลังจะถูกกระทำย่ำยีจากพวกคนโฉดชั่ว ทานธรรมในวัยเด็กหนุ่มก็มาช่วยเธอ ต่อสู้กับคนชั่วเหล่านั้น ทั้งที่สู้ไม่ได้ก็ยังฝืนสู้ จนสุดท้ายเพื่อที่จะเอาชนะกลุ่มคนเหล่านั้น ทำให้ทานธรรมต้องตัดสินใจกินว่านกระทิงคลั่ง เขามีกำลังเพิ่มสูงขึ้นมากทั้งถึกและทน จนสามารถต่อสู้อย่างต่อเนื่องสามวันสามคืน สุดท้ายพวกโฉดชั่วนั้นก็หวาดกลัวจนต้องหนีไป แต่ผลลัพธ์จากฤทธิ์ว่านกระทิงนั้นอันตรายอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะให้เขารอดพ่อของเธอที่ยึดถือบุญคุณเป็นสิ่งสำคัญจึงยอมให้เธอมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขา
อังกาบหน้าแดงก่อนจะสะบัดหน้าหนีเพื่อสลัดความรู้สึกที่เขินอาย จากนั้นค่อยหันกลับมาด้วยใบหน้าจริงจัง เธอยืนฟังทานธรรมพูดต่อเพื่อรับคำสั่ง
“ยังไงคนของตึกบุปผาก็ถือว่าติดหนี้ข้าอยู่ เจ้าไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ช่วยหาคนที่เต็มใจปรนนิบัติศิษย์น้องข้าสักคน พวกเขาแทรกซึมสายลับอยู่ทุกที่ เจ้าน่าจะหาคนมาช่วยได้ไม่ยาก”
อังกาบพยักหน้า แต่ยังไม่ทันที่เธอจะออกจากห้องไปก็มีคนของตึกลำธารเดินเข้ามาเสียก่อน
“ท่านจ้าวตึกลำธาร จ้าวตึกบุปผามาขอพบท่าน”
ทานธรรมพยักหน้ารับทราบ เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าเขานัดเธอไว้ที่เมืองหลวง แต่เขาไม่ได้ไปตามนัด ไม่คิดว่าเธอจะมาตามหาเขาถึงที่นี่
“ห้องรับรองชั้นบนสุดขอรับ”
“ได้ข้าจะไปพบเธอด้วยตัวเอง”
ทานธรรมพยักหน้าให้อังกาบออกไปตามหาคนมาช่วยเหนือภพ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปที่ห้องรับรองชั้นบนสุด เมื่อพบผู้มาเยือนเขาก็เอ่ยทักทายอย่างคนคุ้นเคยกัน
“ว่าไงหนูพราว มีธุระด่วนมากหรือไงถึงตามพี่มาถึงที่นี่ได้”
สตรีวัยสาวรุ่นยิ้มกว้าง เธอแต่งกายด้วยชุดสีแดงฉูดฉาด ปักลายเลื่อมระยับเป็นลายดอกไม้นานาพันธุ์ แม้เธอจะใส่เสื้อผ้าปกปิดมิดชิด แต่มันกลับช่วยเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แม้แต่ท่าทางการนั่งของเธอก็ยังดูยั่วยวนโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ ราวกับว่านี่เป็นธรรมชาติของเธอเอง
แน่นอนว่าคนของตึกบุปผาล้วนเย้ายวนเช่นนี้ทุกคน แต่ต่อให้พวกเธอจะดึงดูดใจบุรุษเพศได้มากแค่ไหนก็ไม่มีผลกับทานธรรม เขายังคงมีท่าทีผ่อนคลายเมื่อเข้ามาในห้องก็คว้าไหเหล้าน้ำผึ้งมาดื่มเป็นอย่างแรก
“นี่พี่ ท่านเอาแต่ดื่มอีกแล้ว เดี๋ยวพี่อังกาบก็เล่นงานพี่อีกหรอก”
“อังกาบไม่ว่างหรอก ป่านนี้คงกำลังหาสาวงามไปให้ศิษย์น้องข้าอยู่”
“ศิษย์น้องของพี่ พี่วัฏจักรนะหรือ พี่เขาเป็นคนแบบนั้นหรือคะ”
หญิงสาวเอียงคอมองอย่างสงสัยจนปอยผมสีน้ำตาลอ่อนทิ้งตัวสยายมาอีกข้างหนึ่ง ในความทรงจำของเธอนั้น เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวัฏจักรชอบมัวเมากับผู้หญิง เธอคิดว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบจุ้นจ้านกับผู้หญิงคนไหนเลยด้วยซ้ำ ใครที่ตื๊อเขามาก ๆ เห็นว่าถูกฆ่าทิ้งไปเลยก็มี
“ไม่ใช่เจ้าจักร แต่เป็นเจ้าภพศิษย์น้องสามน่ะ เพิ่งจะออกจากเขามาไม่กี่เดือนนี้เอง”
คำตอบของทานธรรมทำให้หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย
เธอทวนชื่อภพในใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เธอกลับมาพูดเรื่องสำคัญแทน
“นี่พี่ทานธรรม ข้อมูลที่พี่ต้องการให้หนูหาให้ หนูได้มาแล้วนะ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในกระดาษใบนี้”
ทานธรรมรับกระดาษใบนั้นมา มันไม่มีตัวอักษรเลยสักตัว
“วิธีอ่านเหมือนเดิมนะคะพี่”
หญิงสาวพูดจบก็ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง ต้นขาขาวเนียนโผล่พ้นรอยแยกของกระโปรงตัวสวยขณะที่เธอเอื้อมไปรินน้ำชาร้อนให้พี่ชายบุญธรรม
ทานธรรมพยักหน้ารับ ข้อมูลนี้สำคัญมากวิธีการเปิดอ่านจึงมีเพียงแค่เขากับน้องสาวบุญธรรมเท่านั้นที่รู้ เขาอยู่คุยกับน้องสาวเพียงไม่นาน อังกาบก็กลับเข้ามาด้วยใบหน้าคิ้วขมวด
Favorite “จำไว้ ด้วยพลังอัญเชิญของข้าและหลานสาวรวมกัน เจ้าจะมีเวลาแค่ 3 นาที เจ้าต้องรีบใช้พลังจัดการสัตว์อสูรตัวนี้ซะ”
ชองแซงกล่าวเตือนด้วยเสียงอ่อนล้า เมื่อเห็นว่าเหนือภพพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เขาก็พยุงหลานสาวเดินกลับออกไปที่กลุ่มคนรอบนอก พวกเขาทำดีที่สุดแล้ว
เหนือภพไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยเพราะฤทธิ์ของใบหญ้าฝาดเฝื่อน แม้ประสาทความรู้สึกของเขาจะถูกลดทอนลง แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงเค้าลางแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเอง แสดงว่าทวยเทพเทวาอำนวยพรของลุงชองแซงไม่ธรรมดาเลย ส่วนคลื่นกระแสปราณอาคมที่นุ่มนวลแต่ทรงพลังจากนางอัปสราก็พุ่งเข้าใส่ตัวเขา ร่างกายของเขาเสมือนถูกชะล้าง ผ่อนคลาย ทว่ามันก็ทำให้เขาสัมผัสถึงความตายได้ชัดเจนมากขึ้น
เหนือภพรู้ว่าร่างกายของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรองรับทั้งสองพลังนี้พร้อม ๆ กัน เขาจึงต้องรีบปลดปล่อยพลังออกไปให้เร็วที่สุด เขาดีดตัวกระโดดขึ้นสู่ฟ้าด้วยกำลังระดับ 6 เขาขึ้นไปบนฟ้าสูงมาก มันสูงจนเขาเห็นพญานาคที่ลำตัวยาวกว่าร้อยเมตรเหลือเพียงจุดดำเล็ก ๆ เขาเพ่งจิตไปยังยันต์อาคมที่อยู่ไหล่ขวาแล้วภาพนิมิตของพญายักษ์ผู้โฉดชั่วก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา แล้วนิมิตความสามารถของทศกัณฐ์ก็ถูกกลั่นเข้าสู่จิตของเขา
เหนือภพเอ่ยมาทั้งสองชื่อ ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดหรือลืมตัว แต่กระแสอาคมที่สองตาหลานส่งมาให้เขานั้นมากพอที่จะเรียกยักษ์สองตนนั้นออกมาพร้อมกันได้ โดยไม่ได้ถูกจำกัดอีกต่อไป
แขนซ้ายของเหนือภพปรากฏอักขระภาพยันต์ยักษ์ถือตะบอง ส่วนแขนขวาปรากฏอักขระยันต์ยันต์ยักษ์ในท่วงท่าดุร้ายชี้นิ้ว
ปรากฏยักษ์อาคมสีขาวโปร่งแสงขนาดใหญ่ยืนค้ำอยู่ด้านหลังของเหนือภพ แต่ที่น่าตะลึงคือยักษ์อาคมในครั้งนี้กลับมีถึง 10 แขน และมีความสูงมากกว่าครั้งไหน ๆ สองขาล่างยืนหยัดอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง ฝ่ามือซ้ายของมันชูร่างของเหนือภพลอยขึ้นมาระดับอกของมัน นี่เป็นครั้งแรกที่เหนือภพรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเทพที่อาศัยอยู่บนวิมานกลางอากาศ มันช่างเป็นระดับความสูงที่น่าทึ่งจริง ๆ ข้างกายสหัสเดชะมียักษ์อาคมกายสีเขียวโปร่งแสงขนาดใหญ่อีกตัว มันมี 10 แขน และสูงเท่ากับสหัสเดชะ ฝ่ามือขวาของทศกัณฐ์ยื่นออกมาวางคว่ำอยู่ด้านบนของเหนือภพ มองดูคล้ายยักษ์ทั้งสองกำลังช่วยกันปั้นลูกกลมอาคมที่บรรจุเหนือภพไว้ภายใน
เหนือภพกำลังเกร็งกล้ามเนื้อรออยู่ภายในลูกกลมอาคมสีทองขนาดใหญ่ ราวกับว่าเขาสามารถควบคุมยักษ์อาคมทั้งสองได้ เมื่อเขาเกร็งกำลังไปถึงระดับ 6 ยักษ์ทั้งสองก็ช่วยกันทุ่มลูกกลมลงไปเบื้องล่างทันที
การเคลื่อนไหวของยักษ์ทั้งสองเกิดขึ้นในไม่กี่วินาที การขยับตัวพร้อมกันในครั้งนี้ถึงกับทำให้แผ่นดินเบื้องล่างลั่นปริแตก
ลูกกลมอาคมพุ่งผ่านอากาศด้วยความเร็ว ทว่าพญานาคก็ไม่ได้ช้าไปกว่ากัน ร่างกายยาวราวกับเส้นเชือกของมันขยายใหญ่ขึ้นจนแทบจะเต็มล้นพื้นที่ลานเบื้องล่าง มันคำรามก้องทั่วทิศ
จากนั้นเศียรที่ชูสูงของมันก็ระเบิดพลังออกมาเป็นเศียรใหม่ มันระเบิดพลังออกมาเช่นนี้จนมีเศียรเรียงรายกันถึงห้าเศียร รัศมีกระแสอาคมที่มันปลดปล่อยออกมานั้นมากจนน่าตื่นตะลึง พลังงานอันมหาศาลก่อรูปร่างเป็นโล่อาคมทีละชั้น จนครบเป็นโล่ห้าชั้นแผ่ปกป้องร่างกาย
เหนือภพที่กำลังพุ่งลงมาจากฟ้าด้วยแรงทุ่มของสองยักษ์ เมื่อเห็นโล่อาคมหนาแน่นขนาดนั้นเขาก็ง้างหมัดและเกร็งลำขาทั้งสองอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยเขาก็ต้องประกาศศักดาอวดสรรพคุณสักหน่อย
“ถุงทองหมื่นเหรียญทลายพิภพ !”
สิ้นเสียงตะโกนที่ดังปานฟ้าผ่า ตามด้วยเสียงระเบิดที่ดังสนั่นตูมดังไปไกลกว่าร้อยกิโลเมตร พื้นดินแตกออกแยกออกจากกัน เหมืองโชคไพศาลถูกแรงสั่นสะเทือนนี้เขย่าจนถล่มทลายลึกลงไปเป็นร่อง เทือกเขาที่ทอดยาวดุจพญานาคราชเลื้อยก็ถูกสั่นคลอน แรงสั่นสะเทือนนี้ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวไปถึงเมืองสินธุ ทำให้พื้นที่บ้านเรือนแถบทางเหนือเกือบทั้งหมดพังทลายล้มครืนลงมาจำนวนมาก
ท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง กระแสลมผสานกับกระแสอาคมโหมคลั่งกลายเป็นพายุหมุนรุนแรงนานถึงหนึ่งนาทีกว่าทุกอย่างจะค่อย ๆ เงียบและสลายไป ร่างของเหนือภพตกตุบลงบนพื้นก่อเกิดเป็นหลุมแอ่งกระทะที่ลึกกว่าสามร้อยเมตร
เหนือภพค่อย ๆ คลานออกมาจากหลุม และยันตัวลุกขึ้นนั่ง ร่างกายบิดเบี้ยวในทิศทางไม่ปกติคล้ายกับว่ากระดูกเขาหักทั้งตัว เขากระอักเลือดออกมาโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด จากนั้นเขาก็หอบหายใจแรงล้มลงนอนหงายอยู่บนปากหลุมเช่นนั้น
พญานาคตัวใหญ่ยักษ์แน่นิ่งไปท่ามกลางกลุ่มแสงอาคม พื้นที่รอบข้างเงียบกริบ เหมืองโชคไพศาลเหลือเพียงแค่เศษซากกองภูเขาที่ไม่มีทางเข้า ไม่มีผู้คนครึกครื้นอีกต่อไป แม้พญานาคจะนิ่งไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ เพราะผู้คนที่ถอยร่นออกไปยืนดูในระยะไกลยังไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่
เหนือภพนอนหงายอยู่อย่างนั้นเกือบสามชั่วโมงกว่าที่เหล่าฮันเตอร์รอบนอกจะวางใจในสถานการณ์และเข้ามาดูอาการของเหนือภพ พวกแรกที่เข้ามาถึงคือสองตาหลานที่บาดเจ็บจากลูกหลงไม่มากนัก และก็ชายปริศนา อีกคนก็คือไร้ชื่อที่ดูเหมือนจะมีสภาพแย่กว่าใคร เขามีเลือดโซมกายแต่ก็ยังยิ้มให้เหนือภพได้
ไร้ชื่อคงเสี่ยงชีวิตเพื่อเก็บข้าวของของเหนือภพที่ตกอยู่ในลานต่อสู้มาให้ มีทั้งอีเตอร์ ถุงหนังเก็บของ มีดหมอที่เหลือเพียงแค่ 14 เล่ม อีกสองเล่มคงหล่นหายไป และก็ยังมีสมุนไพรบางส่วน เขาค่อย ๆ ผูกมัดพวกมันไว้กับร่างกายที่หักงอของเหนือภพ จากนั้นก็พูดด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“เผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมไม่ทิ้งกัน”
เหนือภพลืมตาขึ้นมองไร้ชื่อด้วยความซึ้งใจ
‘ถึงดูแปลก ๆ ป่าเถื่อนไร้อารยธรรม แต่ก็เป็นคนอ่อนโยนมีน้ำใจ’
“จบสักทีนะ ไม่คิดว่าการโจมตีของเจ้าจะทรงพลังขนาดนี้”
ชองแซงเอ่ยขึ้นอย่างโล่งใจ ตอนที่ยักษ์อาคมทั้งสองปรากฏกาย พวกเขาตกใจมากที่เห็นคนไร้พรสวรรค์คนหนึ่งทำได้ขนาดนี้
ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้ตอบอะไร เขาก็นิ่วหน้า ก่อนจะร้องครางออกมาอย่างอ่อนใจ
“อะไรมันจะตายยากขนาดนั้น”
เหนือภพยอมใจจริง ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่พร้อมกับเห็นพญานาคห้าเศียรเลื้อยขึ้นมาจากแอ่งกระทะ แม้ว่าร่างกายของมันจะมีบาดแผลน้อยใหญ่ แต่ทันทีที่มันเลื้อยขึ้นมาถึงพื้นด้านบนร่างกายของมันก็ฟื้นคืนกลับมาดีดังเดิมแล้ว
เหนือภพตะโกนสุดเสียงให้คนทั้งสี่วิ่ง พวกเขาก็ไม่รอช้าต่างวิ่งกระจายกันออกไปคนละทิศคนละทาง ส่วนเหนือภพเองก็ไม่อยู่รอความตาย แม้จะเคลื่อนไหวไม่สะดวกเขาก็ฝืนกัดฟันทนตะเกียกตะกายหนี ในขณะที่พญานาคกำลังอ้าปากเพื่อพ่นเพลิงพิษออกมาอีกครั้ง
ในเสี้ยววินาทีที่เหนือภพกำลังจะถูกเพลิงพิษเผาผลาญ ก็ปรากฏเงาสีดำวูบผ่านมาอย่างรวดเร็ว ความเร็วนี้ช่างเหนือความคาดหมาย มันพาเหนือภพหนีจากรัศมีการโจมตีของพญานาคห้าเศียรได้อย่างหวุดหวิด เปลวเพลิงพิษสีดำพ่นออกมากลืนกินพื้นที่อย่างน้อยสามร้อยเมตร พื้นดินต้นไม้ใบหญ้าลุกไหม้จนกลายเป็นซากธุลี
เหนือภพรู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าตัวเองกำลังนอนเกาะอยู่บนหลังแมวดำตัวใหญ่ มันคือแมวตัวเดียวกับที่อยู่ในคุกใต้ดินของคฤหาสน์พันศรีวะรา นี่นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายที่สัตว์อสูรจะเข้ามาช่วยเหลือมนุษย์ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในพื้นที่ไกลห่างจากวงต่อสู้ เหนือภพกำลังคิดใคร่ครวญบางอย่างอยู่ในใจ ยังไม่ทันไรแมวราตรีก็เหวี่ยงเขาลงแล้วทำท่าจะจากไปทันที เหนือภพรีบออกตัวกอดรั้งมันไว้ด้วยมือที่หงิกงอ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาของแมวราตรี
“นี่ ในเมื่อเจ้าช่วยคนแล้วก็ต้องช่วยให้สุดสิ”
แม้แมวดำจะสื่อสารทางจิตเช่นพญานาคไม่ได้ แต่มันก็ดูเหมือนจะเข้าใจภาษามนุษย์ หรือไม่มันก็เก่งในเรื่องการอ่านท่าทาง
มันหันมองเหนือภพแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งลงที่ขาหลังทั้งสอง ดวงตากลมโตจ้องมองเหนือภพนิ่ง ม่านตาสีดำสนิทของมันดูเหมือนจะเบิกกว้างขึ้นอีกนิด มันพร้อมที่จะรับฟังแล้ว
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าพันเพชรกำลังตามหาเจ้าอยู่”
แมวดำพยักหน้า แล้วก็เอียงคอก้มมองเหนือภพเล็กน้อย คล้ายกับต้องการสื่อสารว่า
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้กลับไปบ้านหรือยัง แต่อย่างน้อยก็ให้ข้าไปส่งเจ้าที่บ้านได้หรือเปล่า”
เหนือภพพูดด้วยตาเป็นประกาย ยิ้มกว้างแสดงความเป็นมิตรอย่างเต็มที่ งานตามหาแมวดำที่เขาได้รับมอบหมายก็จะได้เสร็จสักที เงิน 100 เหรียญทองเชียวนะ
แมวดำทำท่าเหมือนครุ่นคิด แต่สุดท้ายมันก็ส่ายหน้า ทำท่าจะลุกเดินจากไป เหนือภพรีบเข้ามากอดมันทันที ก่อนเอ่ยต่ออย่างรัวเร็ว
“นี่เจ้าช่วยข้า ข้าก็ช่วยเจ้าไง”
แมวดำนั่งลงอีกครั้ง เหนือภพประหลาดใจมาก เขาก็แค่พูดส่ง ๆ ไปไม่คิดว่าจะได้ผล
“เสื้อผ้าเป็นไง เสื้อผ้าสวย ๆ”
แมวดำนิ่วหน้า ของพวกนั้นมันจะเอามาทำไม มันเป็นแมวนะ ขนที่อยู่ตามตัวยังแข็งแกร่งและอบอุ่นกว่าเสื้อผ้าของพวกมนุษย์เสียอีก แมวดำรู้สึกผิดหวัง มันส่ายหัวเล็กน้อยแล้วก็ทำท่าจะจากไป
เหนือภพเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเสนออีกครั้ง
“อาหารไง เจ้าต้องชอบปลาตัวใหญ่ใช่มะ”
แมวดำรู้สึกว่าความคิดนี้เข้าท่า มันจึงนอนหมอบลงไปกลับพื้น เป็นการสื่อสารว่าให้เหนือภพพูดต่อไป เหนือภพรู้สึกโล่งอก เสียเงินไม่กี่เหรียญเพื่อแลกกับ 100 เหรียญทอง เขารู้สึกว่ายังไงก็ได้กำไรอยู่ดี
“เจ้าคงไม่เคยกินปลาตัวใหญ่ใต้แม่น้ำถูกไหม ปลาในแม่น้ำ โตอย่างงี้เลยนะ”
เหนือภพพยายามพูดกล่อมแมวดำ ขณะกางแขนทั้งสองกว้างเพื่อให้ดูสมจริง ถ้าไม่ติดที่ข้อศอกข้างขวาของเขาตกห้อยลงมาราวกับไร้กระดูก มันคงดูยิ่งใหญ่กว่านี้
“ตัวโตกว่าตัวเจ้าอีก เป็นไง เจ้าช่วยข้า ข้าช่วยเจ้า เจ้าคิดดูดี ๆ นะ”
แมวดำตาเป็นประกาย ม่านตาเบิกกว้างอย่างถึงที่สุด หางยาวเมตรครึ่งของมันโบกไปมาอย่างเชื่องช้าขณะครุ่นคิด
‘ก็แค่กลับไปบ้านนั้นอีกครั้ง แล้วค่อยหนีออกมาใหม่ก็ได้’
“เจ้าตกลงแล้วนะ มาตบมือสัญญากันเลย”
แมวดำยกเท้าหน้าที่มีสีขาวบริสุทธิ์ของมันออกมาแปะมือกับเหนือภพอย่างว่าง่าย เหนือภพชะงักเล็กน้อย ความจริงแล้วที่เขาชวนมันตบมือ เป็นเพราะความเคยชินในวัยเด็ก เวลาจะสัญญากับใครก็จะทำแบบนี้ แต่นั่นคือวัฒนธรรมของมนุษย์
‘สัตว์อสูรก็ทำแบบนี้ได้ด้วยหรอ ?’
ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้ทำความรู้จักกับแมวดำมากไปกว่านี้ พญานาคก็ตามหาเขาจนเจอ
“จะอะไรกับข้านักหนา ก็แค่อัญมณีก้อนเดียว จะเอากันให้ตายเลยหรือไง”
เหนือภพร้องออกมาอย่างอ่อนใจ
Favorite ชายวัยกลางคนเสนอตัวช่วยอย่างเต็มใจ เขาคือ ชองแซง เป็นฮันเตอร์พเนจรแรงค์ C ขั้นต้น ความสามารถทางปราณอาคมหลักของเขาคือการอัญเชิญองค์เทพเทวาลงมาสนับสนุนในระยะเวลาหนึ่ง แต่ว่ามันเป็นอาคมชนิดที่ใช้เสริมความสามารถให้กับผู้อื่นเท่านั้น
ส่วนหลานสาว ชองซา เธอเป็นหญิงสาวจากชนเผ่าห่างไกล ใบหน้าหวาน แก้มแดงปลั่ง เธออายุมากกว่าเหนือภพหลายปี เธอเป็นฮันเตอร์แรงค์ D ที่ใช้ปราณอาคมเช่นเดียวกับผู้เป็นตา เพียงแต่ว่าสิ่งที่เธออัญเชิญได้คือนางอัปสราแห่งสรวงสวรรค์ ซึ่งเงื่อนไขในการใช้ก็ไม่ได้ต่างจากผู้เป็นตาเลย นั่นคือใช้เสริมความสามารถให้กับผู้อื่นเท่านั้น
โดยปกติสองตาหลานจะผลัดกันอัญเชิญอาคมให้แก่กันและกัน เพื่อเสริมพลังในการต่อสู้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะอัญเชิญพลังของเทพเทวากับนางอัปสราลงมาประทับในตัวเหนือภพพร้อม ๆ กัน
พวกเขาจำเป็นต้องถอยออกจากระยะต่อสู้ แล้วปล่อยให้เหนือภพกับชายปริศนาอีกคนที่ปกปิดใบหน้าเข้าโรมรันถ่วงเวลาให้กับพวกเขา
การใช้ปราณอาคมสนับสนุนอันทรงพลังนี้ต้องแลกกับการใช้เวลาในการร่าย เมื่อบทอาคมเริ่มต้นร่ายมันจะถูกขัดขวางไม่ได้เป็นอันขาด ทันทีที่สองตาหลานเริ่มใช้ปราณของตน ท่าทางบุคลิกก็ดูแปลกไปอย่างประหลาด ร่างกายบังเกิดกระแสอาคมไหลเวียนเล็กน้อย แล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น
ร่างกายสั่นเทิ้มของชองแซง เริ่มร่ายรำด้วยท่วงท่าที่ทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวลราวกับว่าเป็นองค์เทพเทวาลงมาร่ายรำด้วยเองโดยผ่านร่างเขา
ส่วนชองซาก็เริ่มการร่ายรำเช่นกัน เป็นท่วงท่าเนิบช้า แต่ไหลลื่นต่อเนื่องราวกับสายน้ำอันสุขสงบ ช่างเป็นระบำอัปสราที่งดงามอ่อนช้อย ปรากฏคล้ายภาพร่างนางอัปสราสวมทับร่างของเธอ รัศมีความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ของกระแสอาคมที่ปลดปล่อยออกมานั้น แม้เทียบไม่ได้กับองค์เทพเทวาของผู้เป็นตา แต่กลับสามารถสะกดตรึงสิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่อยู่ในละแวกนี้ให้เกิดความรู้สึกหลงใหลอย่างประหลาด
แม้แต่พญานาคก็ยังคงถูกสะกดให้หลงเคลิบเคลิ้ม ดวงตาเลื่อนลอย ร่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ไม่ว่าเหนือภพหรือชายปริศนาอีกคนจะรุมโจมตีหนักเพียงใด มันก็ยังคงนิ่งไม่ตอบโต้
หากเป็นนางอัปสราตัวจริงคงทำให้พญานาคถูกกำราบจนสิ้นฤทธิ์ได้ในทันที ช่างน่าเสียดายชองซากลับมีพลังไม่มากพอที่จะคงความสามารถนั้นไว้ได้นาน เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมาพญานาคก็หลุดจากการสะกด มันพุ่งตรงมาทางชองซาในทันที ผู้หญิงคนนี้เป็นภัยต่อมัน
เหนือภพในร่างยักษ์สหัสเดชะพุ่งตัวไปจับปลายหางของพญานาคแล้วกระชากสุดแรง ยื้อยุดอยู่แบบนั้น เพื่อไม่ให้ชองแซงกับชองซาถูกโจมตี แต่เรี่ยวแรงของพญานาคนั้นนับว่าทรงพลังอย่างแท้จริง
ร่างยักษ์ที่ยืนปักหลักมั่นของเหนือภพถูกลากให้เคลื่อนที่ตามหางของพญานาคทีละน้อย ครูดไถหน้าดินเป็นร่องลึกรูปคลื่นโค้งซ้ายขวา
‘ปราณอาคมทักทอพิฆาต บทที่ 1 กำลังสองเป็นหนึ่ง’
ชายปริศนาที่ปกปิดปราณอาคมประจำกายมานาน เริ่มปลดปล่อยไม้ตายของตัวเองออกมา เกิดกระแสปราณอาคมแข็งกร้าวพัดหมุนรอบกาย ผ้าคลุมศีรษะที่ปกปิดตัวตนมาตลอดจึงหลุดร่วง เผยใบหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีแววตาว่างเปล่าไร้ชีวิต มีกายหยาบสัตว์อสูรชนิดหนึ่งปรากฏอยู่ข้าง ๆ เขา
มันคือ ทักทอ สัตว์อสูรประเภทสิงห์แต่มีหัวเป็นช้าง เมื่อมันยืนสี่ขา ช่วงหลังสูงจากพื้นถึงห้าเมตร
เมื่อชายคนนั้นเหวี่ยงมือทั้งสองข้างออกมาทำท่ายื้อยุดกลางอากาศ ร่างทักทอที่อยู่ข้างเขาก็พุ่งตัวออกไปตะครุบหางของพญานาคในทันที ราวกับว่าการเคลื่อนไหวของมันสอดคล้องตามการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ปราณอาคม
จึงเกิดเป็นภาพยักษ์กับสิงห์หัวช้างช่วยกันออกแรงฉุดดึงหางพญานาค พญานาคถูกลากถอยหลังไปทีละนิด ในท้ายที่สุดมันก็ไม่อาจต้านกำลังของทั้งคู่ได้ มันจึงถูกเหวี่ยงไปทางภูเขาด้านตะวันตก เกิดเสียงดังตึงก้องสะท้อนไปทั่วทิศ ผืนดินสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม
เหนือภพเอ่ยด้วยรอยยิ้มขณะปาดเหงื่อบนใบหน้า เขาก็รู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้ เหมือนเคยเห็นมาก่อน ชายคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร ท่าทางเขาดูเหมือนคนไร้จิตวิญญาณ ดูอมทุกข์อย่างมาก
พญานาคที่ถูกเหวี่ยงไปเมื่อกี้ได้เลื้อยกลับมาอย่างรวดเร็ว มาอยู่ตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างกายคดเคี้ยวของมันยังคงดำเงางาม ไม่มีร่องรอยขีดข่วนหรือเสียหายอะไรทั้งสิ้น
ชายปริศนาเลิกคิ้วสูง ในขณะที่เหนือภพถอนหายใจแล้วก็คร่ำครวญออกมา
“โอ๊ย หนังหนาเกินไปแล้ว ข้าไม่สู้แล้ว เจ้ากลับลงไปเลยนะ”
เหนือภพพอจะเข้าใจความรู้ของหลวงภามแล้ว ตอนที่มันโจมตีเขา ยังไงเขาก็ไม่สะทกสะท้าน มันทำให้คนโจมตีอึดอัดใจเสียจริง
‘อะไรกัน ข้าเพิ่งจะเริ่มสนุก เอาอีกสิ หรือไม่เช่นนั้นเจ้าก็คืนแก้วจันทรกาลมาให้ข้า’
ตลอดการจำศีลอันยาวนานของมัน ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นปีแล้วที่มันอยู่อย่างสงบใต้ดิน มันไม่เคยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสนุกสนานขนาดนี้ เจ้าหนุ่มน้อยหัวขโมยตัวร้ายนี่มีฝีมือไม่เลว
เหนือภพจ้องตาพญานาคด้วยความมุ่งมั่น เขาจะไม่ยอมแพ้ เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้จุดอ่อน
เหนือภพสู้จนร่างสหัสเดชะหมดเวลา สองตาหลานก็ยังร่ายอาคมของตนไม่เสร็จ พวกเขายังร่ายรำอย่างต่อเนื่องจนบรรยากาศบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยพลังงานอาคมมหาศาล แม้แต่เหนือภพยังรู้สึกขนลุก
พญานาคเองก็เล็งเห็นถึงความอันตรายนั้น มันพยายามอย่างมากที่จะเข้าไปทำลายพิธี แต่ก็ถูกเหนือภพกับชายปริศนาจับโยนออกมาเรื่อย ๆ พญานาคขัดขวางด้วยสารพัดวิธี แต่มันก็ทำไม่สำเร็จ เพราะถูกมนุษย์โต้กลับ
‘อยู่ข้างล่างไม่มีเพื่อนเล่นหรอ’
เหนือภพถามพญานาคในใจขณะเหวี่ยงร่างมันออกไปเป็นครั้งที่ร้อย แล้วเขาก็ได้ยินเพียงเสียงพญานาคหัวเราะชอบใจ
ดวงจันทร์ลอยสูงเด่นกลางฟ้า สองตาหลานก็ยังร่ายรำไม่เสร็จ ส่วนพวกเหนือภพก็ยังคงต่อสู้กันอยู่โดยมีผู้ชมมายืนมุงดูอย่างหนาแน่น พวกเขาคือคนจากตระกูลต่าง ๆ ที่ทยอยเดินทางมาถึง
เมื่อเหล่าฮันเตอร์มากหน้าหลายตาพากันสลับหมุนเวียกันเข้ามาช่วยโจมตีพญานาค พญานาครู้สึกหงุดหงิดกับพวกมดปลวกที่ชอบจุ้นจ้าน มันจึงพ่นเพลิงพิษสีม่วงดำออกมา
เพลิงพิษสีม่วงดำมีลักษณะคล้ายเปลวเพลิงร้อนผสมด้วยของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อน
เหนือภพและชายปริศนาดีดตัวหลบด้วยความว่องไว แต่ฮันเตอร์ผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากถูกกัดกร่อนทำลายจนร่างกายย่อยสลายกลายเป็นหลุมบ่อแห่งซากศพ
ฤทธิ์กัดกร่อนนี้ไม่ธรรมดา แม้แต่ถุงมือมัจฉาเจ็ดสีข้างขวาของเหนือภพยังถูกสะเก็ดพิษกัดกร่อนทำลายไปสามในห้าส่วน
พญานาคพ่นพิษอีกครั้ง ครั้งนี้ยาวนานและมันก็ส่ายหัวไปมาเพื่อให้พิษกระจายออกเป็นวงกว้าง กลืนกินรัศมีโดยรอบ
เหนือภพตีลังกาหลบ แต่เขาก็ยังโดนพิษอยู่ดี ชุดเกราะส่วนต่าง ๆ เริ่มย่อยสลาย สภาพไม่มีชิ้นดี และหากไม่มีผ้าประเจียดของพระอาจารย์ช่วยคุ้มครองกาย เกรงว่าเขาคงกลายเป็นแอ่งน้ำเลือดน้ำหนองสีดำไปแล้ว ส่วนชายปริศนานั้นหลบได้ไวกว่าเหนือภพมากนัก พวกเขาไม่ต้องห่วงสองตาหลานมากนัก เพราะตอนนี้รอบกายพวกเขาปรากฏพายุหมุนอาคมที่สามารถป้องกันเพลิงพิษได้
เหนือภพน้ำตาแทบไหลเป็นสายเลือด ชุดเกราะที่เขาสู้อุตส่าห์มานะหาวัตถุดิบและลงทุนจ้างช่างทำด้วยทองทั้งหมดที่มี ในตอนนี้เหนือภพต้องทนดูมันค่อย ๆ ย่อยสลายไปต่อหน้าต่อตา
เสียงฮือฮาจากฝูงชนเริ่มทำให้เหนือภพคิดได้ว่าตอนนี้เขากำลังยืนเปล่าเปลือยต่อหน้าธารกำนัล แม้แต่พญานาคยังจ้องมองเข้าด้วยความอึ้ง เพราะพญาอสรพิษตรงหว่างขาของเหนือภพกำลังผงาดชี้หน้าพญานาคอย่างท้าทาย มันเป็นอิสระแล้ว
ฮันเตอร์หญิงคนหนึ่งใช้อาคมโยนผ้าคลุมมาให้เหนือภพจากระยะไกล แม้ว่ารูปร่างของเหนือภพจะล่ำสันบึกบึนสมชายชาตรีมากก็เถอะ แต่เธอก็ทนเห็นภาพอุจาดตาไม่ได้อีกต่อไป
ตอนนี้เหนือภพไม่มีเวลามารู้สึกเขินอายอะไร เขารับรู้เพียงแค่ว่าร่างกายเบาสบายมากขึ้น พร้อมกับความไวที่มากขึ้นเช่นกัน
เหนือภพคำนวณเวลาคร่าว ๆ สองตาหลานร่ายรำมานานเกือบครึ่งวันแล้ว แต่ก็ยังไม่เสร็จสักที เรี่ยวแรงที่มีก็เริ่มถดถอย ฤทธิ์ของว่านกระทิงคลั่งใกล้จะสิ้นฤทธิ์เต็มที เหนือภพรู้สึกอยากจะคลั่งตาย
‘มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย’
ความรู้สึกตึงที่หว่างขาและท้องน้อยทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาปล่อยให้ตัวเองชูชันแบบนี้มานานถึงสามวันสามคืน นี่เขาต้องยอมอดทนรอไปอีกนานเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เหมือนปวดฉี่อยู่ตลอดเวลานี้มันช่างทรมานเหลือเกิน
“จ้าวอสูรทะเลสาบ จ้าวอสูรภูเขามาช่วยเจ้าแล้ว”
เสียงตะโกนแทรกแสนประหลาดทำให้เหนือภพตาเบิกกว้าง เสียงนี้คุ้นหูมาก ทันใดนั้นก็มีหน้าตาที่คุ้นเคยมาปรากฏตัวต่อหน้าเหนือภพ เจ้าหนุ่มไร้ชื่อที่เขาเจอในป่าสินธุนั่นเอง
ทันทีที่ไร้ชื่อพุ่งลงมาที่กลางลานกว้าง เบื้องหลังเขาปรากฏภาพอาคมเป็นฝูงสัตว์อสูรหน้าตาดุร้ายเจ็ดตัวที่คอยช่วยเสริมกำลังให้ ได้แก่ กระต่าย หมี ลิง หมู หมา กา และไก่
สัตว์อสูรปรากฏร่างค้ำหลังให้เจ้าไร้ชื่อ แล้วดาบที่อยู่ในมือไร้ชื่อก็ตวัดคมใส่เศียรพญานาคที่กำลังพุ่งเข้ามา
พญานาคเซถอยไปร่างกายโงนเงนเล็กน้อย ปรากฏรอยดาบที่ปากของพญานาคเล็กน้อย จากนั้นบาดแผลก็ถูกฟื้นฟูจนหายไปในเวลาไม่กี่วินาที
พญานาครู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พลางจ้องมองเจ้าเด็กหนุ่มผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แต่งกายราวกับคนป่าเถื่อนด้วยชุดหนังสัตว์ไร้อารยธรรม ในขณะที่เสื้อคลุมตัวหลวมของเขาถูกทิ้งลงข้างกาย
เหนือภพรู้สึกอึ้ง แต่เขาก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ผู้มีพรสวรรค์ยังไงก็คือผู้มีพรสวรรค์
เมื่อไร้ชื่อได้รับคำชมจากเหนือภพ เขาก็พอได้ทีตะลุยต่อสู้โดยไม่หยุดพัก ปราณอาคมของเขาคือการรวมพลังของสัตว์อสูรที่เคยเลี้ยงดูเขามาทั้งหมด ทำให้แข็งแกร่ง และป่าเถื่อนดุจสัตว์ป่า การโจมตีแต่ละครั้งเทียบได้กับสัตว์อสูรแรงค์ D ที่โจมตีพร้อมกัน 7 ตัว
แต่น่าเสียดายที่ชั้นเชิงการต่อสู้ของไร้ชื่อยังอ่อนด้อย เขาสู้ตามสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่าที่ใช้กำลังมากเกินไป ไม่รู้จักป้องกัน ไม่มีเทคนิคพลิกแพลง เอาแต่บุกทะลวงไปด้านหน้าอย่างหัวชนฝา ไร้แบบแผน จนเหนือภพต้องคอยช่วยเหลือทุกครั้งที่พญานาคโจมตีกลับ
“เจ้าหนุ่มพวกข้าพร้อมแล้ว เตรียมรับมันไว้ให้ดี จะสำเร็จหรือไม่มันอยู่ที่เจ้าแล้ว”
ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็ลอยเข้ามาสู่โสตประสาทของเหนือภพ เขารีบย่อตัวลงกดน้ำหนักตัวเองลงอย่างสุดกำลัง ทำให้พื้นที่เขายืนอยู่ปริแตกเป็นใยแมงมุม เกิดเป็นหลุมที่ค่อย ๆ ลึกลงไปเรื่อย ๆ ขณะที่กระแสอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเทวาและนางอัปสราไหลพุ่งเข้ามารวมตัวกันที่ร่างกายของเหนือภพ มองดูคล้ายร่างอาคมของเทพเทวาและนางอัปสราตัวสูงใหญ่กำลังโอบเหนือภพไว้ในอ้อมแขน แสงอาคมสีทองหลากเฉดตัดสลับไปมาช่างดูโดดเด่นท่ามกลางความมืดยามกลางคืน
ชองแซงเอ่ยเตือนเหนือภพว่า
“การแบกรับพลังเทพระดับสูงสุดที่พวกข้าเรียกมา จะทำให้เจ้าเจ็บปวดอย่างมาก เจ้าต้องอดทน อย่างได้ว่อกแว่ก ตั้งจิตใจให้มั่นคงไม่เช่นนั้นสิ่งที่พวกข้าทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าไปพร้อมกับร่างกายเจ้าที่แหลกเหลว”
เหนือภพหนังตากระตุก จะมาแช่งให้กลัวทำไมเนี่ย ?
Favorite “เจ้าหนุ่มนั่นคิดจะสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับนั้นรึ มันโง่หรือเปล่า”
“ก็แค่พวกทระนงตัว คิดว่าตัวเองแน่”
ห่างไปออกไปในแถบชายป่าที่อยู่ติดกับเหมืองโชคไพศาลมีฮันเตอร์แรงค์ D ช่วงปลายจำนวนมากเกาะกลุ่มกันอยู่ พวกเขาถูกเรียกตัวมาโดยสำนักงานฮันเตอร์ให้คอยเฝ้าดูสถานการณ์ จนกว่าจะตรวจวัดระดับที่แท้จริงของสัตว์อสูรตัวนั้น และประเมินผลประโยชน์ที่จะได้รับจากสัตว์อสูรตัวนั้นว่าคุ้มค่าต่อการลงมือหรือไม่
นี่เป็นระบบการทำงานของฮันเตอร์แรงค์ D เมืองสินธุ พวกเขาเล็งเห็นผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรก แม้พญานาคจะเข็นฆ่าผู้ไร้พรสวรรค์ไปก็ดี หรือฆ่าผู้มีพรสวรรค์ก็ช่าง พวกเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
เจ้าหน้าที่สำนักงานฮันเตอร์อาวุโสเดินเข้ามาในกลุ่มคนพร้อมกับกระดาษอาคมใบหนึ่ง
“นี่ตาแก่ รีบ ๆ บอกมาสักทีว่ามันเป็นตัวอะไร ระดับไหน เสียเวลาพวกข้า”
มงคลกฤต หนึ่งในฮันเตอร์แรงค์ D ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในเมืองสินธุ เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้แข็งแกร่งทั้งยังมีแววว่าจะสามารถเลื่อนแรงค์ไปถึงระดับ C ได้มากที่สุด แต่กระนั้นเขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีนิสัยแย่ที่สุดในเมืองเช่นกัน เขาถือว่าตัวเองมีท่านเจ้าเมืองให้ท้ายจึงไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา
“ใจเย็น ๆ ท่านมงคลกฤต ข้ากำลังจะบอกเดี๋ยวนี้แหละ”
ผู้อาวุโสเป็นฮันเตอร์ชายวัยกลางคนที่มีระดับแรงค์ D เช่นกัน แต่กระนั้นเขาก็ยอมอ่อนข้อให้มงคลกฤตแต่โดยดี เพราะไม่อยากมีปัญหาจุกจิก
“สัตว์อสูรตัวนี้มีชื่อว่า พญานาค หรือ นาคราช เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณที่แตกต่างจากสัตว์อสูรทั่ว ๆ ไป ระดับความแข็งแกร่งของกระแสอาคมพื้นฐานที่ข้าวัดได้จากตัวมันนั้นเกินระดับ 60”
เหล่าฮันเตอร์แรงค์ D คนอื่น ๆ พากันอ้าปากค้าง ตาแทบจะถลนออกจากเบ้า พวกเขาอยากจะคัดค้านว่าตาแก่นี่วัดระดับผิดพลาดหรือเปล่า แต่กระดาษอาคมที่ผู้อาวุโสกางออกให้กับพวกเขาดูนั้นชัดเจนและน่าเชื่อถือ
เมื่อมงคลกฤตได้ยินนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“แย่หน่อยนะวันนี้ข้ามีภารกิจของท่านเจ้าเมืองที่ต้องไปสะสาง น่าเสียดายจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกเจ้าไม่ได้ เฮ้อ น่าเสียดายจริง”
มงคลกฤตพูดราวกับเสียดายที่ไม่ได้จัดการพญานาคด้วยตัวเอง ใบหน้าหดหู่ที่แสดงออกมาดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกเช่นนั้นจริง พอพูดจบเขาก็พาฮันเตอร์แรงค์ D กลุ่มของตัวเองจากไป แม้จะมีเสียงต่อว่าไล่หลัง เขาก็ทำเอาหูทวนลมเสีย เรื่องอะไรเขาจะมาเสี่ยงชีวิตกับศัตรูที่เอาชนะไม่ได้
ผู้อาวุโสหันมาเอ่ยกับเหล่าฮันเตอร์ที่เหลือด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์
“พวกเจ้าไม่ไปหรือไง นี่ไม่ใช่ศัตรูที่พวกเจ้าจะเอาชนะได้ ”
“ขอท่านช่วยบอกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเราที”
ฮันเตอร์แรงค์ D ที่เหลืออยู่ยืนกรานปฏิเสธความหวังดีของผู้อาวุโส พวกเขาแตกต่างจากมงคลกฤต แม้จะมีปราณอาคมน้อยนิด แต่อย่างน้อยก็ขอได้ใช้พลังอันน้อยนิดนี้ปกป้องบ้างเมืองของตน ถ้าหากพวกเขาไม่ทำแล้วใครจะทำ
“ตามตำนานมีสิ่งมีชีวิตเพียงสองตนที่มีอำนาจสะกดข่มพญานาคได้ คือครุฑ กับ มกร”
“ครุฑงั้นหรือ งั้นทำไมท่านไม่ตามให้ตระกูลสุบรรณเวนไตยมาช่วยล่ะครับ พวกเขาเป็นตระกูลที่ใช้ปราณอาคมของเหล่าครุฑไม่ใช่หรอ”
ผู้อาวุโสของสำนักงานฮันเตอร์เมืองสินธุส่ายหน้า
“ข้าเชิญพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีพญานาคอยู่จริง และไม่คิดจะเดินทางไกลมาถึงที่นี่ด้วย ดังนั้นก็มีแต่พวกเราที่จะต้องจัดการกันเอง”
ผู้อาวุโสได้แต่ภาวนาว่าเด็กหนุ่มนั่นอาจจะมีดีมากพอที่จะจัดการกับนาคาได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้มีพรสวรรค์ต้องมาคาดหวังให้ผู้ไร้พรสวรรค์ช่วยปกป้อง หรือการบิดเบี้ยวของดินแดนนี้จะเริ่มลุกลามบานปลาย จนผู้มีพรสวรรค์ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้คนอื่นได้อีกต่อไป
เหนือภพชักมีดอาคมออกมาพร้อมกับปลดเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งทิ้ง เพื่อให้ตัวเองสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก ในขณะที่เขากำลังจะตั้งท่ามวยพหุยุทธ์ เหล่าฮันเตอร์แรงค์ D คนอื่นก็เริ่มทยอยปรากฏตัวออกมาทีละสองสามคน จนกระทั่งมีฮันเตอร์ระดับสูงอยู่ที่นี่เป็นจำนวนนับสิบคน
เหนือภพรู้สึกใจชื้นขึ้นมา พลางจ้องตาพญานาคและคิดในใจ
‘เจ้าคงไม่รังเกียจที่จะมีคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นหรอกมั้ง’
พญานาคตนนั้นมันไม่ได้ตอบอะไร แต่เหนือภพสังเกตเห็นท่าทางไม่ยี่หระของมัน และสายตาที่มันมองเหล่าฮันเตอร์ราวกับมดปลวก
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเคลื่อนไหว หางของพญานาคก็ตวัดมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า มีเพียงเหนือภพกับฮันเตอร์อีกแค่ 3 คนเท่านั้นที่หลบได้ทัน ส่วนฮันเตอร์ที่เหลือกว่าสิบคนต่างถูกฟาดจนร่างกายแหลกกระจาย เลือดสีแดงพุ่งกระจายเต็มบริเวณลาน
ในจังหวะที่เหนือภพกระโดดหลบนั้น เขาไม่ได้ทำมันอย่างเสียเปล่า เขาทำการเกร็งกล้ามเนื้อในช่วงที่ร่างกายลอยอยู่บนฟ้าสูง ความเร็วในการตกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยระยะความสูงขนาดนี้เขาสามารถใช้พละกำลังระดับ 6 ได้
ในขณะที่เหนือภพใกล้จะตกถึงพื้น เขาก็พุ่งเข้าไปถีบขาคู่ใส่หน้าของพญานาคสุดแรงเกิด แรงปะทะนั้นก่อให้เกิดของแสงสีส้มทองของกระแสอาคมจากเหล็กไหลรุนแรง แต่เศียรพญานาคกลับเอียงข้างเล็กน้อยเท่านั้น
เหนือภพยังไม่หยุดการโจมตีเพียงเท่านั้น เขาใช้มือสองข้างประสานกันราวกับค้อน ทุบซ้ำลงไปที่กึ่งกลางระหว่างดวงตาทั้งคู่ของพญานาค ดังตึงรุนแรง เศียรพญานาคที่หวังจะดันตัวขึ้นกลับทรุดต่ำลงไป เหนือภพรีบถีบยันเท้าไปที่หน้าพญานาคส่งตัวเองให้ลอยขึ้น มือขวาเกาะหงอนใหญ่ของมัน แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปด้านบน แล้วใช้มือสองข้างยึดเกาะเศียรพญานาคไว้แน่น เพราะหากเขาตกลงไปลอยอยู่กลางอากาศ เขาอาจถูกพญานาคโจมตีโดยที่เขาไม่สามารถป้องกันตัวได้
พญานาคสะบัดหัวไปมารุนแรง และต่อเนื่องเพื่อสลัดเหนือภพให้หลุด มันเริ่มโกรธแล้ว เพราะแรงทุบของเหนือภพก่อนหน้านั้นรุนแรงมากพอที่จะสั่นสะเทือนอวัยวะภายในของมัน แม้ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เจ็บปวดเอาการ
เมื่อเหนือภพถูกสะบัดมากเข้า เขาก็ไม่อาจทรงตัวได้อยู่อีกต่อไป เขาใช้ขาดีดตัวตีลังกาม้วนหน้ากลับมาด้านหน้าของพญานาค ขณะที่ยังคอยลอยอยู่ในอากาศมีดหมอทั้ง 16 เล่มก็ถูกซัดออกไปที่ตำแหน่งดวงตาของพญานาคติด ๆ กันหลายเล่มอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เสียจังหวะการม้วนตัว หมายบีบบังคับให้พญานาคหลับตา เพื่อป้องกันการโจมตีกลับ
โชคดีที่ยังมีฮันเตอร์แรงค์ D มากประสบการณ์อีก 2 คน ช่วยโรมรันพันตูดึงความสนใจพญานาคไว้ได้พอตัว พวกเขารู้ว่าควรจะทำอะไรในจังหวะไหน เฉกเช่นตอนนี้ที่พวกเขาช่วยดึงความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เหนือภพได้ล่าถอยออกมา
สิ่งที่เหนือภพทำในทันทีเมื่อเขาลงมาถึงพื้นคือ ยืนปักหลักมั่น ทำมุมเอียงตัวเข้าหาพญานาค เทน้ำหนักลงเท้าซ้ายที่วางอยู่ด้านหน้าเท้าขวา แรงกดของเท้าซ้ายนั้นมากจนพื้นดินเริ่มทรุดตัวและแตกร้าวเป็นใยแมงมุม แล้วเกร็งขาขวาจนเส้นเลือดดำปูดโปน พละกำลังพุ่งไปถึงระดับ 6
เมื่อร่างอาคมสหัสเดชะปรากฏขึ้น แม้แต่เหนือภพยังตกใจ เพราะยักษ์อาคมสีขาวโปร่งแสงขนาดใหญ่ที่ตัวสูงราว ๆ ยี่สิบเมตรที่ยืนค้ำอยู่ด้านหลังของเขา กลับมี 4 แขน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ร่างอาคมสหัสเดชะจะมีแค่ 2 แขนเท่านั้น อาจเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่เขากินว่านกระทิงคลั่งเพิ่มพลัง
ร่างกายของเหนือภพคล้ายมีกระแสพลังมากกว่าเดิมถึง 10 เท่าไหลเวียนอยู่ในตัว ขาขวาที่เขาเกร็งเอาไว้มีปราณอาคมสีส้มห่อหุ้มอยู่หนาแน่น
เหนือภพเหวี่ยงลำตัวและขาขวาเตะอัดไปข้างหน้าอย่างแรงจนร่างกายก็หมุนกลับมาจุดเดิม เขาเตะไม่โดนอะไรเลย ราวกับการเตะลมเล่นที่ไร้ประโยชน์
ทว่าอยู่ ๆ พื้นที่เบื้องหน้าก็แตกร้าวราว มีเสียงเปรี๊ยะตามด้วยความเงียบงันคล้ายเป็นพื้นที่สุญญากาศ สรรพสิ่งหยุดชะงักปราศจากเสียง คงเป็นเพราะเสียงนั้นแทบจะทำลายโสตประสาทหูของทุกคนไป แม้แต่เหนือภพก็ไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
วินาทีต่อมาก็เกิดการระเบิดของกระแสปราณอาคมแสงสีส้มทอง มันเป็นกระแสหมุนวนที่เกรี้ยวกราด แล้วก็ระเบิดออกเป็นทรงกว้าง จนพญานาคถึงกับถูกผลักไสถอยหลังออกไปเพียงแค่ไม่เมตร แล้วมันก็ยืนหยัดต้านรับพลังของเหนือภพไว้ได้ พื้นที่รอบด้านของพญานาคมีสภาพเละเทะราวกับเกิดสงครามล้างโลก ยกเว้นเพียงจุดที่พญานาคใช้ร่างกายบังเอาไว้เท่านั้น
เหนือภพจ้องมองจนตาแทบถลนออกจากเบ้าพลางหอบหายใจแรง สหัสเดชะสี่กร ที่มีพละกำลังมากกว่าสหัสเดชะสองกรถึง 10 เท่า แต่กลับทำได้เพียงผลักร่างของพญานาคให้ถอยหลังเล็กน้อยเท่านั้น นี่มันยากเกินไปแล้ว
การโจมตีของเหนือภพทำให้ฮันเตอร์ทั้งสองตกใจมาก พวกเขาคาดว่าเจ้าหนุ่มนี่ต้องมีไม้ตาย แต่ไม่คิดว่าจะโหดขนาดนี้ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ส่งผลอะไรแก่พญานาคเลย
‘ดูเหมือนเจ้าจะพัฒนาขึ้น’
เสียงของพญานาคดังทะลุเข้ามาในจิตของเหนือภพอีกครั้ง ความรู้สึกของมันที่ส่งผ่านเข้ามาในจิต คือความสนุก
เหนือภพหนังหัวตึง หนังตากระตุก เขาเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่สิ้นหวัง ไม่ว่าเขาจะโจมตีเช่นไร รุนแรงแค่ไหน พญานาคก็คงยืดตัวชูคอรับโดยไม่ไหวติง
“เจ้าหนู เจ้าสามารถโจมตีแรง ๆ แบบนั้นได้อีกหรือเปล่า”
ฮันเตอร์ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม ขณะหลบหางขนาดใหญ่ที่กำลังจู่โจมเข้ามา เขาหลบพร้อม ๆ กับเหนือภพ
เหนือภพพยักหน้าตอบ ขณะกระโดดตีลังกาหลบหางสีนิล
“งั้นก็ดีเลย ครั้งนี้ข้ากับหลานสาวจะช่วยเสริมพลังให้เจ้าเอง เจ้าทุ่มเทกำลังทั้งหมดอย่างเต็มที่เพื่อยื้อเวลาให้ข้า ไม่ต้องกังวล แต่อาจใช้เวลาสักหน่อย”
Favorite เหนือภพอยากจะคลั่งตาย ทำไมชีวิตของเขาถึงซวยขนาดนี้ พระเจ้าไม่เข้าข้างเขาแล้วหรือ เหนือภพกัดใบกระทิงคลั่งบดเคี้ยวมันอยู่ภายในปากทั้ง ๆ ที่ยังวิ่งอยู่ รสขมฝาดอบอวลอยู่ทั่วลิ้นและกระพุ้งแก้ม
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เขารู้สึกอุ่นวาบคล้ายมีพลังงานระลอกหนึ่งเขามาเสริม ความเร็วที่กำลังถดถอยกลับพุ่งสูงขึ้น แม้จะไม่เร็วดุจสายลม แต่อย่างน้อยเขาก็ทิ้งห่างพญานาคได้ถึง 10 เมตร โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
เขารักษาระยะห่างนี้ได้ตลอด 1 วันเต็มก่อนแรงจะตกอีกครั้ง เหนือภพมีสีหน้าบิดเบี้ยวเนื่องจากอาการปวดตุบ ตุงที่เป้า แต่เขาก็ฝืนกินใบกระทิงคลั่งเข้าไปอีกใบ เขารู้แล้วว่าฤทธิ์ของมันอยู่ได้เพียง 1 วันเท่านั้น
เมื่อเข้าวันที่สามเขาก็กินเข้าไปอีกใบ ขณะที่หัวใจของเขาเต้นรัว ร่างกายร้อนผ่าว เลือดสูบฉีด จนร่างกายปลดปล่อยควันร้อนออกมา ผิวกายแดงแจ๋ ร่างกายของเขาใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที มันไม่สามารถรับฤทธิ์ของใบกระทิงคลั่งได้อีก
โลหิตอุ่นร้อนเริ่มไหลออกมาจากตา หู จมูก ปากของเหนือภพ ความเร็วของเขาเริ่มตกอีกแล้ว ลมหายใจเริ่มหอบกระชั้นชิด เขาไม่ไหวแล้วนี่มันใกล้ถึงขีดจำกัดของเขา
“โอ๊ย เมื่อไหร่แกจะเลิกตามมาสักที กลับไปนอนพักสบาย ๆ เถอะไป๊”
เหนือภพตะโกนอย่างอ่อนแรง เขาไม่จำเป็นต้องหันไปดูข้างหลัง เขาก็รู้ได้ว่าพญานาคที่ตามอยู่ด้านหลัง ก็เริ่มอ่อนแรงเช่นกัน มันเคลื่อนที่ช้าลงมาก ในตอนนี้ทั้งคนและพญานาคต่างทิ้งระยะห่างกันเพียงแค่สามเมตรเท่านั้น ลมหายใจอุ่นร้อนของพญานาคพ่นรดหลังของเขาต่อเนื่อง จนหลังแทบจะสุกแล้ว
ทางด้านพื้นที่ขุดเหมืองทั่วไป ในคูหาต่าง ๆ ของเหมืองโชคไพศาลมีนักขุดเหมืองจำนวนมากเริ่มหยุดมือ พวกเขาเงี่ยหูฟังจนได้เสียงตึงรุนแรงและเสียงนั้นกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อย ๆ แถมยังทำให้ผนังถ้ำสั่นไหว เศษหินร่วงกราว พวกเขารู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ปกติก็เริ่มพากันเดินออกมาจากคูหาประจำของตัวเอง พลางถามไถ่กันและกัน
“ไม่น่าใช่ ที่นี่ไม่มีสัตว์อสูรขนาดใหญ่ถึงกับทำให้เหมืองสั่นได้หรอก”
“แต่ข้ารู้สึกว่าผนังหินเริ่มสั่นตั้งแต่สามวันก่อนแล้วนะ”
“เจ้าโม้รึเปล่า ข้าไม่เห็นรู้สึก”
พวกเขาถามกันไปมา จนกระทั่งฮันเตอร์แรง E ที่เฝ้าอยู่หน้าเหมืองเริ่มสังเกตเห็นความวุ่นวายนี้ ฮันเตอร์สองคนเดินเข้ามาสอบถามบรรดานักขุด แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน พวกเขายกขบวนกันเดินตามช่องทางเสียงที่สะท้อนออกมา จนกระทั่งมาถึงเส้นทางหนึ่งที่มีป้ายปักอยู่
เสียงที่ว่าดังมาจากเส้นทางนี้ไม่ผิด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางต้องห้าม มีคนมากมากเข้าไปแล้วไม่เคยรอดกลับมา ทำให้ให้ถูกลงมติว่าเป็นเส้นทางอันตราย
เสียงดังกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อย ๆ หนึ่งในฮันเตอร์รู้สึกแปลกใจจึงโยนคบเพลิงเข้าไปในเส้นทางมืดมิดนั้น เมื่อแสงสว่างวาบขึ้นก็ปรากฏภาพชายหนุ่มตัวแดงมีควันพวยพุ่งออกจากกายราวกับเตาถ่าน ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยริ้วเส้นเลือด ผิวหน้ามีเส้นเลือดดำนูนเป่งออกมา แลดูน่ากลัว แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาน่ากลัวกว่าเป็นไหน ๆ
อสรพิษขนาดใหญ่มีหงอนลวดลายซับซ้อน ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดสีนิลเงา ดวงตาแดงก่ำเปล่งแสงจ้าดูน่ากลัว ภาพนี้ทำให้พวกเขากรีดร้อง วิ่งกันกระเจิง แต่ก็มีบางคนที่ตกใจจนก้าวขาไม่ออก เหนือภพที่วิ่งสวนออกมาก็ช่วยจับพวกเขาเหวี่ยงออกไปนอกคูหา แล้วเขาก็วิ่งออกไปถึงปากถ้ำ ทะลุออกมายังลานโล่งที่เต็มไปด้วยตลาดร้านค้ามากมายพร้อม ๆ กับคนอื่น ๆ ที่พากันกรีดร้องขณะวิ่งออกมาจากเหมืองเช่นกัน
พญานาคพุ่งชนปากทางเข้าเหมืองออกมาอย่างไม่สนใจอะไร แล้วก็ชูคอสูงอ้าปากกว้างคำรามอย่างข่มขวัญ
ผู้คนตามแผงร้านค้าที่กำลังครึกครื้นถึงกับล้มลุกคลุกคลานหนีกันไปคนละทิศละทาง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและความโกลาหล
เหนือภพพ่นลมหายใจแรง เขายังคงวิ่งต่อไป โดยวิ่งลัดเลาะไปตามแผงร้านค้าต่าง ๆ ซิกแซกอ้อมไปมาเพื่อให้พญานาคตัวโตเสียแรงในการหักเลี้ยว เขาไม่อยากวิ่งหนีออกไปที่อื่น เพราะเกรงว่าพวกเขาจะไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่หมู่บ้านในเมือง หากจะวิ่งหนีเข้าไปในป่า เขาก็มั่นใจว่าเขาคงหนีไม่ทัน เพราะป่าคือถิ่นของสัตว์อสูรไม่ใช่มนุษย์ เขาจึงวิ่งวนอยู่อย่างนั้นจนรองเท้าสึก เสื้อคลุมถูกเกี่ยวขาดจนเกราะมัจฉาเจ็ดสีเด่นเด้งออกมาท่ามกลางแสงแดดจ้า
ส่วนพญานาคที่ยังคงไล่ตามเขาก็กัดกินผู้คนตามรายทางไปด้วยเพื่อเติมพลัง กลุ่มฮันเตอร์ประจำการที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็เข้ามาช่วยต่อสู้ โดยใช้ปราณอาคมกับอาวุธคู่กายเข้าสู้กับพญานาค แต่ผลลัพธ์คือล้มเหลวไม่เป็นท่า พวกเขาทำไม่ได้แม้แต่การเรียกร้องความสนใจจากพญานาค เพราะพญานาคยังคงพุ่งความสนใจไปที่เหนือภพคนเดียวเท่านั้น
นกอาคมจำนวนมากถูกส่งออกไปยังทั่วสารทิศหลังการปรากฏตัวของสัตว์อสูรขนาดใหญ่เพียงครู่เดียว ส่วนมากถูกส่งตรงไปถึงเมืองหลวงของแคว้นอย่างอมตะนคร มีไม่น้อยที่ส่งไปถึงสำนักงานฮันเตอร์เมืองสินธุที่อยู่ใกล้ที่สุด นอกนั้นก็ถูกกระจายไปยังเมืองต่าง ๆ ไกลไปถึงต่างแคว้นเลยทีเดียว
ภารกิจใหม่ถูกตั้งราคาอย่างรวดเร็ว ‘ภารกิจจัดการพญานาคที่หลุดออกมาจากเหมือง’ เป็นภารกิจเสี่ยงตายที่มีฮันเตอร์ต่างถิ่นจำนวนไม่น้อยรับงานนี้ เพราะหวังจะได้ยลโฉมสัตว์อสูรโบราณตัวนี้
พญานาคไล่ล่าเหนือภพไม่หยุด จนกระทั่งเหนือภพขี้เกียจวิ่งต่อไปตอนนี้เขาสามารถใช้ร่างของสหัสเดชะได้แล้ว แต่ถ้าหากเข้าใช้อีครั้ง หลังจากที่อานุภาพของสหัสเดชะพ้นสามนาทีไปแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพแบบไหน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่ายอมแพ้
เหนือภพหันกลับมาประจันหน้ากับพญานาคอีกครั้ง
พญานาคหยุดเคลื่อนไหว ชูคอสูงระแวดระวังมากกว่าเดิม มันเองก็เริ่มตระหนักในความแข็งแกร่งของเหนือภพเช่นกัน ตั้งแต่ที่มันจำความได้แล้วล่าสิ่งมีชีวิตอื่นมามากมาย แต่มันก็เพิ่งเจอสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่หนีมันได้นานขนาดนี้
พญานาคอ้าปากคำรามออกมา พร้อมกับเสียงหายใจดังฟืดฟาด
เหนือภพยกถุงน้ำขึ้นมาดื่ม เขาพยายามใจเย็น น่าแปลก..พญานาคเองก็ให้เกียรติโดยการไม่โจมตี เมื่อเห็นเหนือภพกิน มันก็กินเช่นกัน มนุษย์เคราะห์ร้ายที่อยู่ในละแวกนั้นที่อยากรู้อยากเห็นต่างถูกพญานาคจับกินจนสิ้น
เหนือภพมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกสยดสยองและเศร้าสลด แต่จะทำยังไงได้ เขาก็ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย เขาเดินไปยังร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาอาหารที่ตกเรี่ยราดขึ้นมากิน สามวันสามคืนที่วิ่งมาตลอดยังไม่อาหารตกถึงท้องเลยนอกจากน้ำ เมื่ออาหารตกถึงท้องบ้างเขาก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย
เมื่อมองไปที่พญานาคอย่างแล้วเพ่งพินิจดู เขาจึงค่อยเข้าใจความรู้สึกของมัน คล้ายกับว่ามันให้เกียรติเขาและยอมรับเขา แต่มันก็ยังไม่ยินยอมที่จะให้เขาเอาแก้วจันทรกาลไป สิ่งนี้เป็นสมบัติที่มันปกป้อง มันทำท่าเหมือนท้าให้เขาสู้ หากทำให้มันยอมรับได้ มันถึงจะยอมให้เขาถือครองแก้วจันทรกาล
เหนือภพถอนหายใจ การสื่อจิตกับมันทำให้เขารู้ว่าสัตว์อสูรระดับสูงที่ไม่ใช่ตัวราชาหรือราชินีก็มีสติปัญญาเยี่ยงมนุษย์หรืออาจจะเลิศล้ำมากกว่าได้
ไม่น่าเลย เขาไม่น่าโลภเอาแก้วจันทรกาลมาเลย
แต่ในเมื่อตัดสินใจเอามาแล้วเขาก็ไม่มีทางเลือก แก้วจันทรกาลถือเป็นสมบัติที่ควรค่าต่อการเสี่ยง หากได้ครอบครองอิทธิฤทธิ์ของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล็กไหล แก้วจันทรกาลมีด้วยกัน 8 สี ซึ่งมีอำนาจส่งผลให้แก่ผู้ถือครอง 8 แบบ ได้แก่
สีขาวใส จะมอบพลังจิตให้แก่ผู้ครอง สามารถมองเห็นภาพล่วงหน้า สัมผัสลางร้าย
สีแดง จะมอบพละกำลังอันมหาศาลให้ผู้ถือครอง
สีชมพู จะมอบความงดงามอันไร้ที่เปรียบ เป็นที่รักต่อสรรพสิ่งที่พบเห็น
สีม่วง มีอำนาจในการป้องกันและต่อต้านสิ่งลี้ลับ ขับไล่สัตว์อสูรและพิษร้าย
สีเหลือง เสริมสร้างปราณอาคมให้ผู้ถือครองอย่างมหาศาล
สีเขียว ส่งผลให้ชีวิตยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิด
สีน้ำเงิน ส่งเสริมความคล่องตัวของผู้ถือครอง
สีส้ม มอบเกราะกำบังกายป้องกันภัยอันตราย
ภาพชายหนุ่มในชุดเกราะที่สะท้อนแสงสีรุ้งวิบวับ ผมเกรียนผิวแดงแจ๋ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากทุกอณูของร่างกายที่กำลังยืนประจันหน้ากับอสรพิษยักษ์ สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนจำนวนมากเข้ามาดู แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ได้แต่มองดูอยู่ไกล ๆ ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว ตะวันเริ่มบ่ายคล้อยแต่หนึ่งคนกับหนึ่งสัตว์อสูรก็ยังคงอยู่ที่ลานกว้างหน้าเหมืองอยู่เช่นนั้น
ไม่นานฮันเตอร์แรงค์ D จำนวนมากของเมืองสินธุก็ปรากฏตัวขึ้น รวมถึงคนจากหอโลหิต คนจากกลุ่มภารดา เหล่าขุนนางฝ่ายบู้จากเมืองหลวง หรือแม้แต่ตระกูลชั้นนำต่าง ๆ ที่มีของขลังระดับสูงช่วยในการย่นระยะทาง พอทราบข่าวก็ทยอยเดินทางมาถึงเหมืองโชคไพศาล
‘แล้วเราจะสู้กันยังไง เราจะวิ่งวนกันอยู่อย่างนี้หรอ’
เหนือภพพูดในใจขณะจ้องเข้าไปในดวงตาของพญานาค ร่างกายของเขาใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที ก่อนว่านกระทิงคลั่งจะสิ้นฤทธิ์ เขาต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถ้าคิดจะต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่อันตรายและมีระดับพลังห่างกันมากขนาดนี้ เขาคงฆ่ามันไม่ได้ แต่ถ้าต่อสู้กันภายใต้กฎกติกาบางอย่างก็น่าจะพอได้
พญานาคดูเหมือนจะเข้าในใจความคิดของมนุษย์ตรงหน้า มันจึงใช้กระแสจิตโต้ตอบอย่างยียวน ราวกับแมวยักษ์ที่ต้องการตบหนูน้อยเล่น ๆ เพื่อความพอใจ จากนั้นค่อยตะครุบชิ้นปลาที่หนูขโมยไปกลับคืนมา
‘หากเจ้าทำให้เกล็ดข้าหลุดได้ แม้เพียงเกล็ดเดียวก็ถือว่าเจ้าชนะ’
เมื่อเหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะร้องไห้ออกมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ว่าเขาจะใช้พละกำลังระดับ 6 ในร่างสหัสเดชะ ซึ่งเป็นพลังระดับสูงสุดที่เขาใช้ได้ เขาก็ยังทำได้แค่หยุดพญานาคไว้ชั่วคราว แทนที่มันจะบาดเจ็บสาหัส แต่มันกลับยังเคลื่อนที่ต่อไปได้หน้าตาเฉย แถมผิวหนังที่หุ้มด้วยเกล็ดสีนิลแบบนั้น แค่ดูก็รู้ว่ามันเป็นเกราะที่แกร่งมาก แล้วเขาทำให้เกล็ดแผ่นใหญ่นั้นหลุดออกมาได้อย่างไร
Favorite เหนือภพบีบมือทั้งสองพลางหมุนคอไปมา สหัสเดชะของเขามีร่างกายใหญ่โตเมื่อขยายร่างเต็มที่แล้วอาจมีความสูงเลยเมฆเลยก็ได้ พญานาคตัวยาวแค่ไม่กี่ร้อยเมตรคิดจะมาสู้กับเขาหรือ
เหนือภพไม่ยอม เขาขยายร่างของสหัสเดชะจนมันสูงชนเพดานโถงถ้ำ แสงอาคมที่เปล่งออกมาจากร่างยักษ์ยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้น จนพญานาคตนนั้นมีท่าทางขัดใจ ตอนนี้มันดูเหมือนจะยำเกรงสหัสเดชะไม่น้อย ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเหนือภพมีพลังมากกว่า แต่เป็นเพราะสหัสเดชะมีความ
สามารถพิเศษ ใครก็ตามที่เห็นสหัสเดชะจะเกิดความหวาดกลัวในใจ ทำให้ความมั่นใจในการต่อสู้ถดถอยลง
พญานาคตนนี้ดูเหมือนจะเป็นพวกปลายแถว แต่มันหาใช่อ่อนแอ มันจึงใช้การชูคอสูงเพื่อข่มขวัญศัตรู
ทันใดนั้นพญานาคเริ่มหดเศียรลง แม้ท่าทีของมันยังคงเกรี้ยวกราดแต่ก็ลดน้อยลงมากแล้ว เหนือภพค่อย ๆ ถอยหลัง เขามีเวลาแค่ 3 นาทีเท่านั้นในการเรียกสหัสเดชะ เขาต้องรีบไปในตอนนี้ ไม่งั้นต่อให้เขาอยากไปก็จะไปไม่ได้แล้ว
เหนือภพถอยหลัง ส่วนพญานาคก็เลื้อยตาม โดยทิ้งระยะห่างไว้เพียงช่วงลำคอที่ชูขึ้น ซึ่งแม้จะชูคอต่ำสุดก็ยังยาวเกือบสิบเมตรได้
เหนือภพถอยมาถึงปากทางโพรงถ้ำ ณ จุดนี้เขาจำเป็นต้องลดขนาดร่างสหัสเดชะลงไม่ไม่เช่นนั้นเขาก็จะผ่านเข้าไปในโพรงไม่ได้ แต่ว่าหากเขาลดขนาดลง ความมั่นใจของพญานาคตนนี้อาจจะกลับมาเต็มล้น และนั่นอาจฆ่าเขาได้จากการฉกเพียงครั้งเดียว
เหนือภพเกร็งกล้ามเนื้อเตรียมใช้พลังระดับ 6 ทว่าในขณะที่เขากำลังเริ่มรวบรวมกำลัง พญานาคตัวนั้นกลับถอยหลังออกห่างประมาณสองร้อยเมตร มันฉลาดมาก ประสาทสัมผัสของมันเฉียบคม และรู้จักเรียนรู้จากประสบการณ์ที่โดนเขาต่อย สติปัญญาระดับนี้มันมากกว่าที่เขาคิดไว้
เขาเริ่มจนปัญญา ถ้าต่อยออกไประยะนี้ก็ไม่ประโยชน์ เขาจึงคลายกล้ามเนื้อ หดร่างสหัสเดชะ แล้วหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในโพรง สลับกับการใช้อาคมย่นระยะทาง ด้านหลังของเขามีเสียงพญานาคเลื้อยตามมาอย่างเร็ว เสียงตึงจนพื้นถ้ำสั่นสะเทือน เนื่องจากพญานาคตนนั้นเคลื่อนตัวเร็วเกินไปจนหักเลี้ยวไม่ทัน มันเคลื่อนไหวเร็วมากจนชนเข้ากับผนังถ้ำที่คดเคี้ยว
เหนือภพวิ่งมาถึงโถงถ้ำที่มีบ่อน้ำ เขาไม่รีรอกระโดดพุ่งตัวลงน้ำเย็นเฉียบ แล้วก็ว่ายน้ำอย่างรวดเร็วสุดแรงเกิด แต่เขาว่ายไปได้เพียงไม่กี่เมตร เศียรพญานาคก็โผล่มาถึงบึงน้ำแล้ว
เมื่อเหนือภพเห็นเงาเศียรใหญ่โตกำลังจะพุ่งลงน้ำตามเขามา เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ในขณะที่เขายังคงร่างของสหัสเดชะไว้ได้ เขาก็หยุดว่ายน้ำแล้วพยายามทำตัวนิ่ง ๆ ใต้น้ำเพื่อถ่วงเวลา และเริ่มเกร็งกล้ามเนื้อ เพียงไม่นานพญานาคก็จับทิศทางของเขาได้ มันอ้าปากกว้างแล้วก็พุ่งลงมาอย่างรวดเร็วหมายจะกัดเหยื่อให้ตายภายใต้การโจมตีเดียว
เหนือภพเห็นแล้ว แต่เขายังดึงเวลาอีกหน่อยเพื่อให้พละกำลังเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 6 และในจังหวะที่ปากของพญานาคพุ่งเข้ามาครอบตัวเขาเอาไว้ เหนือภพก็ปล่อยหมัดสวนออกไปพอดี
มวลน้ำรอบตัวเขาบิดหมุนเป็นเกลียวผสมกับแสงส้มเหลืองจากปราณอาคมเหล็กไหล ราวกับพายุหมุนอันตราย มันพุ่งทะลวงเข้าไปในลำคอของพญานาคอย่างรวดเร็วและรุนแรง
แรงสะท้อนจากหมัดส่งผลให้เกิดคลื่นน้ำตีกลับร่างของเขาพุ่งดิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ส่วนพญานาคตัวนั้นกำลังดิ้นพราด ๆ เนื่องจากถูกพลังกระแทกเข้าไปถึงอวัยวะภายใน ร่างที่คดเคี้ยวยาวกว่าร้อยเมตรของมันถูกพลังขับดันจนลำตัวเหยียดตรงราวกับไม้บรรทัดอย่างไม่อาจต่อต้านได้ เลือดสีม่วงทะลักออกมาจากปาก จนน้ำในบึงเกือบทั้งหมดถูกอาบย้อมไปด้วยสีม่วง
เหนือภพไม่สนใจ เขาว่ายน้ำต่อไปจนกระทั่งตามคนอื่นทันพอดี ตอนนี้พวกเขากำลังว่ายน้ำใกล้จะโผล่ไปถึงโถงถ้ำอีกฝั่งแล้ว มันเป็นโถงถ้ำเดิมที่พวกเขาได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรจระเข้
แต่จู่ ๆ เหนือภพก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้น้ำพร้อมกับเสียงคำรามอืออึ้ง ที่ทำให้เหนือภพถึงกับขนหัวลุก มันยังไม่ตาย แม้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นจะมากพอสมควรแต่ก็คงถ่วงเวลาไว้ได้อีกไม่นานนัก มันต้องตามมาแน่
เขารีบกระชากแล้วเหวี่ยงเพื่อนคนอื่น ๆ ขึ้นสู่ผิวน้ำทีละคน และตัวเขาเองก็ไม่รอช้ารีบปีนขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนไปด้วย
ใต้หล้า ใต้ศิลา และนักขุดเหมืองอีกสองคนได้ยินเช่นนั้น ก็ออกวิ่งโดยไม่เสียเวลากับพวกพ้องที่นอนตายกันอยู่เกลื่อนกลาด ระหว่างที่นั่งรอทั้งห้าคนเข้าไปสำรวจใต้บึงน้ำ พวกเขาที่นั่งรอกันอยู่บนนี้คงโดนพญานาคออกมาจัดการเป็นแน่ ความเสียใจ ความอาลัยนั้นมีแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
พวกเขาทิ้งของที่ไม่จำเป็นลงพื้นแล้วออกตัววิ่งราวกับนักลมกรดทันทีเพื่อเอาชีวิตรอด มีเพียงเหนือภพคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างบึงน้ำ เขาเกร็งกล้ามเนื้อง้างหมัดรอ แล้วนับถอยหลังในใจ ตอนนี้เขาไม่มีร่างสหัสเดชะคอยเสริมพลัง ดังนั้นหมัดธรรมดาคงทำอะไรได้ไม่มากนัก
เมื่อถึงวินาทีที่ 31 ก็เป็นดังที่เขาคาดไว้ เศียรพญานาคโผล่พ้นผิวน้ำ มันชูคอขึ้นสูงอย่างโดดเด่น แล้วก็พุ่งลงมาทางเหนือภพทันที มันเกือบจะงับร่างของเหนือภพได้อีกครั้ง แต่เหนือภพกลับออกหมัดได้เร็วกว่า หมัดระดับหกถูกต่อยออกไปในระยะเผาขน
บังเกิดคลื่นลมหมุนวนจนทำให้พญานาคเอนล้มเศียรฟาดกับผิวน้ำ เหนือภพรีบวิ่งทันที ขณะวิ่งอยู่นั้นสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นเกล็ดพญานาคสีดำเกล็ดหนึ่งบนพื้น น่าจะเป็นเกล็ดที่ใต้หล้าเก็บมา แต่สุดท้ายก็ทิ้งในช่วงเวลาเอาตัวรอด เหนือภพหยิบมันไปด้วย
เขาวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม เพียงครู่เดียวเขาก็ตามทันคนตระกูลใต้ทั้งสี่คน
เหนือภพตะโกนอย่างสุดเสียง ขณะที่เสียงตึงตังด้านหลัง ดังตามมาต่อเนื่อง ยิ่งดังเท่าไหร่ ทางเดินถ้ำก็ยิ่งสั่นไหวรุนแรงจนมีหินและก้อนแร่ร่วงกราวตกลงมา
เหนือภพกระตุ้นเพื่อนร่วมกลุ่มที่กำลังวิ่งช้าลงเรื่อย ๆ ก็จะไม่ให้ความเร็วตกลงได้อย่างไร พวกเขาดำน้ำท่ามกลางความมืดและความหนาวเย็นนานกว่าสิบนาที ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็ต้องมาวิ่งต่อ ตอนนี้พวกเขาเริ่มมีอาการหอบหายใจไม่ทันแล้ว นี่ถ้าหากพญานาคยังไล่ตามมา พวกเขาต้องวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ถึง 3 วัน 3 คืนเชียวนะถึงจะกลับขึ้นไปในเส้นทางปกติของเหมืองแร่โชคไพศาลได้ พอคิดไปคิดมาพวกเขาก็เริ่มถอดใจ พวกเขาหนีไม่รอดแน่
“เหนือภพพวกข้าไม่รอดแน่ เจ้าเอาแร่พวกนี้ไปส่งให้ตระกูลใต้ของข้า ถือเป็นคำขอร้องจากพวกข้าละกัน”
ใต้ศิลาวิ่งไปด้วยพูดไปด้วย ขณะถอดกระเป๋าที่แร่ที่สะพายอยู่ให้กับเหนือภพ เขาจะอยู่ที่นี่คอยถ่วงเวลาไว้เอง
ใต้หล้าก็เห็นด้วยกับท่านอาเขาถอดกระเป๋าแร่ออกเช่นกัน แม้จะไม่อยากตายแต่เขาก็ยึดถือผลประโยชน์ของตระกูลมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัว
นักขุดเหมืองอีกสองคนก็ต้องการเสียสละชีวิตและช่วยถ่วงเวลาเช่นกัน
เหนือภพเขาปฏิเสธด้วยอาการเหนื่อยหอบ เขาก็เหนื่อยไม่แพ้กันทั้งหนี ทั้งสู้ และต้องช่วยคนอื่นอีก ร่างกายของเขาก็ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที แต่เขาก็ยังพอทนไหว
เหนือภพตัดสินใจพุ่งไปข้างหน้า ชกผนังถ้ำที่มีรอยร้าวอยู่แล้ว จนเกิดเป็นช่องว่างขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จากนั้นเหนือภพก็จับพวกเขาสี่คนยัดเข้าไปในนั้นจนแน่น แล้วบอกว่า
“พวกเจ้ารอให้พญานาคเลื้อยผ่านไปแล้วค่อยออกมาละกัน ข้าจะล่อให้เอง”
พูดจบเหนือภพก็ออกวิ่งต่อไป โดยไม่สนใจเสียงร้องตะโกนไล่หลังด้วยความเป็นห่วงของทั้งสี่คน
ถ้าหากพวกเขาซ่อนตัวที่นั่นก็จะปล่อยภัย แม้เส้นทางโพรงถ้ำนี้จะมีขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ใหญ่พอให้พญานาคกลับตัวได้ ถ้ามันจะกลับเข้าไปยังที่มันจากมา มันต้องตามเหนือภพออกไปข้างนอกเหมืองแล้วค่อยหันหัวเลื้อยกลับเข้ามาอีกที
ขณะที่เหนือภพวิ่งนำหน้าต่อไปเรื่อย ๆ เสียงตึง ๆ ที่ตามมาข้างหลังก็กระชั้นชิดเข้ามา ความเร็วในการวิ่งของเหนือภพเริ่มตกลง แต่เขาก็ยังคงฝืนตัวเอง ก่อนจะล้วงมือลงไปในถุงผ้า เพื่อคลำหาใบว่านชนิดหนึ่ง ลักษณะใบว่านคล้ายกระทิงมีสีแดงปนเขียว
นี่คือ ว่านกระทิงคลั่ง ช่วยเพิ่มพละกำลังและเรี่ยวแรงให้มากขึ้นชั่วคราว แต่มันก็มีผลเสียอยู่ หากไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากใช้นัก
ว่านกระทิงคลั่ง สามารถบำรุงโลหิต แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ชะงัดนัก และมีสรรพคุณโดดเด่นเป็นยาบำรุงกำลัง มักนำมาใช้เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ คล้ายกับโด่ไม่รู้ล้ม และม้ากระทืบโรง แต่มันให้ผลรุนแรงยิ่งกว่า เมื่อใช้แล้วต้องหาทางปลดปล่อยไม่เช่นนั้นมันก็จะโด่อยู่แบบนั้น
ว่านที่ใช้เป็นยากำหนัดของผู้ชายด้อยสมรรถภาพแบบนี้นับว่าหาได้ยากบนโลกภายนอก แต่ที่วัดนั้นกลับมีอยู่มากเพราะไม่มีใครใช้ อาจารย์แนะนำให้เขาพกเอาไว้ และก็เตือนว่าหากไม่อยู่ในสถานการณ์เฉียดตายจริง ๆ ห้ามใช้เด็ดขาด เพราะผลลัพธ์นั้นมันไม่ดีต่อผู้บำเพ็ญศีล
Favorite ตำหนักเทพเป็นเพียงศัพท์เฉพาะของนักขุดเหมือง แท้จริงแล้วมันก็คือรังสัตว์อสูรที่ฮันเตอร์ทั่วไปเข้าใจ
เหนือภพไม่รู้ว่ารังพญานาคนี้มีมานานแค่ไหน ถ้าหากปล่อยไว้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นภัยคุกคามที่อันตรายต่อเมืองสินธุในอนาคตหรือไม่ แต่กังวลไปก็เท่านั้น ยังไงเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพญานาคเหล่านี้มีระดับแรงค์ที่เหนือกว่าอสูรกริมมากนัก นี่เป็นเพียงแค่พญานาคทั่วไปเท่านั้น ถ้าเกิดเป็นตัวองครักษ์ ตัวราชา หรือตัวราชินี ระดับพลังของมันจะมากถึงเพียงไหนเขาไม่อยากจะจินตนาการเลย
“เจ้าเห็นหรือเปล่า นั่นแร่ 6 สี”
ใต้ศิลาเอ่ยเสียงเบาพร้อมชี้นิ้วไปที่บึงน้ำมรกตเบื้องหน้า ตรงนั้นมีแร่หกสีอยู่จำนวนมาก มันรวมตัวกันอยู่เป็นก้อนน้อยใหญ่ ราวกับเป็นโขดหินประดับริมบึง แต่ตรงนั้นกลับเป็นจุดที่มีพญานาคนอนขดตัวอยู่มากที่สุด
“โธ่ท่านอา ถ้าท่านจะชี้ให้ความหวังข้าแบบนี้ ไม่สู้ท่านชี้จุดที่เราพอจะขุดได้จริงดีกว่ามั้ย ถ้าจะไปที่นั่นต่อให้ท่านสัญญาว่าจะไม่รังแกข้า หรือสัญญาว่าจะให้เงินข้าไปชุบเคลือบน้องแสงเงินชั่วชีวิต ข้าก็ไม่ไป”
ใต้หล้าพูดอย่างตัดใจ ขณะที่เหนือภพกำลังชี้ไปอีกทาง ทุกคนมองตามนิ้วของเหนือภพโดยไม่ทันสังเกตว่ามีประกายแสงสีส้มแวบผ่านดวงตาของเหนือภพ
เหนือภพบอกอย่างมั่นใจ และจุดที่เขาชี้มีแร่ 5 สีและแร่ 6 สี เกาะกลุ่มรวมกันโดยไม่มีพญานาคอาศัยอยู่ แต่ปัญหาคือมันเป็นพื้นที่โล่งแจ้งเกินไป
“ไม่ได้ ถ้าลงไปก็คงต้องออกแรงขุดงัดแร่ออกมาจากเนื้อหิน ต้องเกิดเสียงดังแน่ ไม่มีที่หลบแบบนั้น อันตรายพอกันเลย ไม่เอาหรอก”
ใต้หล้าพูดจบก็ส่ายหน้าอย่างแรง
หนึ่งในคนขุดแร่ชี้ไปอีกทางหนึ่ง ตรงนั้นเป็นภูเขาหินลูกเล็ก ๆ ที่มีร่องแตกระแหงลึกเข้าไปเป็นโพรงมากมาย พอจะมีช่องทางให้ซ่อนตัว และที่นั่นก็มีแร่ 6 สีมากเหมือนกัน
“ไอ้บ้า เจ้าดูไม่ออกหรือไง นั่นมันรังของพญานาคเห็น ๆ อยู่ดีไม่ว่าดีจะเสนอตัวไปถึงหน้ารังเลยหรือไง”
เมื่อพวกเขาเห็นเช่นนั้นก็ไม่คิดเสี่ยงอีก จะกลับออกทางเดิมก็ไม่ได้ จะรุกเข้าไปก็ไม่ได้อีก พวกเขาจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในช่องถ้ำขนาดเล็ก ในพื้นที่คับแคบแบบนั้น จากนั้นก็เริ่มคว้าอาหารแห้งขึ้นมากัดกินอย่างไม่มีอะไรทำ สลับกับการถอนหายใจทิ้งเป็นระยะ พวกเขาได้แต่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่แบบนั้น มันเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้
จนกระทั่งหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
เสบียงเริ่มร่อยหรอ แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่พวกพญานาคจะมักอยู่ในสภาวะจำศีลกันตลอดเวลา แถมยังขี้เซามาก หากไม่เกิดเสียงดังปานฟ้าผ่า หรือถ้ำถล่มทลายพวกมันก็แทบจะไม่ขยับตัวไปไหน พวกมันจะขดตัวนอนอยู่แบบนั้น ทำให้พวกเขาสามารถแอบไปเก็บผักผลไม้ในป่า และย่องไปตักน้ำมาดำรงชีวิตได้
พวกเขายังคงรอต่อไปอย่างอดทน พร้อมกับวางแผนเพื่อเก็บแร่ 5 สีและ 6 สีไป เพียงแต่ยังหาจังหวะเหมาะ ๆ ไม่ได้ เนื่องจากพวกเขายังไม่เห็นพญานาคตัวนั้นกลับมา
พญานาคตัวนั้นกลับมาแล้ว มันเลื้อยผ่านจุดที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่โดยไม่รับรู้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมเข้ามาแอบอยู่ใกล้รังของมัน พญานาคเลื้อยไปหยุดอยู่ที่ริมบึงน้ำมรกต ขดตัวอย่างเรียบร้อยแล้วก็หลับไปเฉกเช่นตัวอื่น ๆ
พวกเขารอจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าพญานาคตัวนั้นและตัวอื่น ๆ ไม่เคลื่อนไหวหรือไม่มีตัวใดกลับเข้ารังอีก พวกเขาจึงพากันออกมาจากที่ซ่อน
ใต้ศิลากระซิบประกาศให้ทุกคนรู้โดยทั่วกัน
“ทำตามแผน แยกกันทำงาน ถ้าได้ครบแล้วให้รีบกลับไปตามเส้นทางเดิม”
ทุกคนพยักหน้ารับโดยไร้เสียง ส่วนแผนการที่วางกันไว้ล่วงหน้านั้น ก็เรียบง่ายตามแบบฉบับของนักขุดเหมือง นั่นคือใครชอบตรงไหนก็ไปขุดตรงนั้น แต่ต้องเก็บไปอย่างพอดี เผื่อทางให้ตัวเองเคลื่อนไหวได้สะดวก หากเกิดเหตุไม่คาดฝันเหนือภพจะเป็นคนรั้งท้าย เพราะมีเขาเพียงคนเดียวที่ใช้อาคมทรงพลังช่วยถ่วงเวลาให้คนอื่นได้ ซึ่งเหนือภพก็ไม่ขัดข้องอะไรในเรื่องนี้ ขอเพียงทำตามเงื่อนไขเดียวคือของที่เขาเก็บได้ตระกูลใต้จะต้องไม่ขอรับส่วนแบ่ง
เหนือภพค่อย ๆ ย่องไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำหนักตัวของเขานั้นเป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนไหวโดยไร้เสียง ดังนั้นเขาจึงเคลื่อนที่ไปให้ช้าที่สุด ผิดกับคนอื่นที่พอออกจากที่ซ่อน ก็พากันวิ่งสุดแรงไปถึงเป้าหมายของตน กว่าเหนือภพจะไปถึงพวกเขาก็เริ่มทำการขุดงัดแร่กันแล้ว
เมื่อเหนือภพมาถึงจุดที่ต้องการ เขาก็ค่อย ๆ กะเทาะพื้นศิลากลางลานหินโล่ง โดยงัดแงะอย่างเบามือเพื่อเอาแร่หกสีที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นขึ้นมา เขาทำมันอย่างช้า ๆ เขาถือคติที่ว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม
ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเขาก็สามารถใช้มือแงะแร่ 6 สีขนาดกำปั้นขึ้นมาได้ 4 ก้อน และแร่ห้าสีอีกนับ 10 ก้อน ความจริงเขาอยากงัดมันออกมาอีก แต่ทุกคนส่งสัญญาณมือต่อกันมาเป็นระยะว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหนือภพจึงได้วางมือ เขาพยายามข่มใจตัวเองว่าอย่าได้โลภมากเกินไป
แต่ในขณะที่เขากำลังจะลุก เขาก็เห็นอะไรบางอย่างใต้ช่องพื้นที่เขางัดแงะแร่ ลึกลงไปมีสิ่งหนึ่ง มันมีพลังงานในตัวเองมหาศาล
เหนือภพโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาออกไปก่อน ขณะที่นัยน์ตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มทอง จ้องมองลงไปในร่องนั้น สิ่งที่เขาเห็นคือจุดแสงที่แปรเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ รวมแล้ว เป็น 8 สีที่ไม่เสถียร แถมจุดแสงที่ว่ายังมีขนาดใหญ่มาก จุดแสงของแร่หกสีที่อยู่รอบ ๆ ก็ยังเทียบไม่ติด
เหนือภพคงใช้อีเตอร์กะเทาะลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเห็นวัตถุที่ว่านั้น มันมีขนาดเล็กกว่ากำมือ ดวงตาเขาเป็นประกายทันที เขารู้จักสิ่งนี้
“แก้วจันทรกาล” (แก้ว-จัน-ทะ-ระ-กาน)
ขณะที่เหนือภพล้วงมือลงไปคว้าลูกแก้วสีเหลืองทองโปร่งแสงขึ้นมา หินก้อนหนึ่งก็ตกกระทบใส่หัวของเขา เขาหันมองไปข้างหลังก็เห็นพวกตระกูลใต้มีสีหน้าบิดเบี้ยว โบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้รีบวิ่ง เขาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เสียงหินถูกครูดบดละเอียด และเสียงคำรามในลำคอที่ฟังดูดุร้าย แล้วเขาก็เห็นเงาขนาดใหญ่ตกกระทบพื้น เงาเคลื่อนตัวมาเรื่อย ๆ จนบดบังตัวเขาในที่สุด ไม่ต้องเงยหน้ามองเขาก็รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร เพราะแค่เห็นเงาเขาก็ดูออกมาสิ่งนั้นกำลังแยกเขี้ยวพร้อมกับคำรามในลำคอ
เมื่อเขาทำท่าคลายมือที่คว้าจับแก้วจันทรกาลออก พญานาคตัวดังกล่าวก็มีท่าทีคล้ายจะสงบลง แต่เมื่อเขาเริ่มกำแก้วจันทรกาลแน่นขึ้น พญานาคก็ส่งเสียงคำรามในลำคอดังขึ้นตามไปด้วย
เมื่อเหนือภพเห็นแบบนั้น เขาก็ปล่อยแก้วจันทรกาลลง แล้วลองเลื่อนมือไปแตะก้อนแร่ 6 สี ปรากฏว่า พญานาคดูไม่ค่อยสนใจสิ่งนี้เท่าไหร่นัก แม้เหนือภพจะหยิบแร่ 6 สี ใส่ถุงหนังก้อนแล้วก้อนเล่ามันก็ไม่โจมตี แต่พอเขาเลื่อนมือจะไปแตะแก้วจันทรกาลอีกครั้ง เสียงคำรามในลำคอของมันก็ยิ่งดังขึ้น
นั่นทำให้เหนือภพยิ้มกว้าง ขอเพียงไม่ใช่แก้วจันทรกาลพญานาคตนนี้ก็คงไม่สนใจโจมตีเขา เหนือภพก็หน้าด้านหน้าทน ไหน ๆ เขาก็มาถึงขนาดนี้แล้ว จะต้องหนีพญานาคทั้งทีก็คงต้องกอบโกยให้คุ้มสักหน่อย
เขาลากถุงหนังใบใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่ง และถืออีเตอร์อีกข้างหนึ่ง เดินไปอีกทิศทางหนึ่งโดยที่พญานาคตนนั้นเพียงจ้องมองเท่านั้น
สายตาของพญานาคเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยากจะเข้าใจ เหนือภพก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมมันไม่หวงแร่อย่างอื่นเลย เขาจะทำการขุดเจาะเก็บเกี่ยว แร่ห้าสี แร่หกสีก้อนแล้วก้อนเล่าจนเต็มถุงหนังใบใหญ่เลยทีเดียว
เหนือภพขมวดคิ้วมุ่นแม้เขาจะทำเป็นขุดแร่เช่นนั้น แต่เขาก็เกร็งกล้ามเนื้อพร้อมรับทุกสถานการณ์
แต่พญานาคตนนั้นก็ยังไม่เคลื่อนไหว
เหนือภพย้อนกลับมาที่แก้วจันทรกาลอีกครั้ง เขารู้ว่าแก้วจันทรกาลเป็นของดี ถือเป็นของทนสิทธิ์ ของขลังทางธรรมชาติที่หาได้ยากถึงยากที่สุด หากเขาพลาดแก้วจันทรกาลดวงนี้ เขาก็ไม่รู้จะไปหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว รังพญานาคใช่ว่าจะบุกเข้าไปได้ง่าย ๆ และก็ใช่ว่าจะมีแก้วจันทรกาลอยู่เกลื่อนกลาด
แก้วจันทรกาลจะถือกำเนิดขึ้นเมื่อพญานาคที่มากล้ำด้วยตบะบารมีละสังขาร แล้วถอดจิตที่มีพลังทิพย์ออกมาอยู่ในหินแร่ใส เมื่อจิตยังคงอยู่ ก็อาจถือได้ว่าพญานาคสามารถมีชีวิตในอีกภพหนึ่งที่ไม่เจ็บไม่ตายอีกต่อไป สิ่งนี้ใช้เวลาเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ปีจึงจะเกิดขึ้นสักครั้ง ดังนั้นเขาจะพลาดมันไม่ได้
เหนือภพหันไปมองเพื่อนร่วมทีมที่ยังไม่ไปไหน จนเขาต้องส่งสายตาเป็นสัญญาณว่าให้รีบไปก่อนเลย เมื่อทุกคนเห็นสัญญาณฉุกเฉินนั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องเสียงอีกต่อไปแล้ว
เหนือภพสูดลมหายใจลึกเข้าปอด เขาไม่อยากใช้เลยจริง ๆ
สิ้นคำพูด เหนือภพก็คว้าแก้วจันทรกาลมาไว้ในมือขวา ขณะที่ร่างกายเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว
เมื่อยักษ์อาคมสีขาวโปร่งแสงขนาดใหญ่ที่ตัวสูงราว ๆ สิบเมตรปรากฏขึ้นมันก็แสดงท่าทางเหมือนกับเหนือภพไม่มีผิด ยักษ์อาคมค่อย ๆ ยกหมัดขวาที่มีท่าทางเหมือนกำแก้วจันทรกาลอยู่ แล้วก็ต่อยเปรี้ยงใส่เศียรพญานาคที่กำลังพุ่งเข้ามาจะกลืนกินเหนือภพ
เหนือภพยืดตัวขึ้นขณะยิ้มมุมปาก ต่อให้เป็นอสูรกริมก็ทนหมัดนั้นของเขาไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาเห็นคือเศียรพญานาคตัวนั้นเอียงไปด้านข้างเพียงเล็กน้อย แล้วมันหันหัวกลับมาตั้งตรงได้ภายในไม่กี่วินาที ปากของมันแสยะกว้างขึ้นราวกับกำลังยิ้มเยาะเหนือภพ
ขณะที่เหนือภพก้าวถอยหลัง พญานาคก็ขยับตัวแล้วชูคอขึ้นสูงกว่ายักษ์อาคมของเหนือภพ เขายิ้มออกมา
“จะแข่งความสูงกับข้าใช่ไหม เอาสิ”
เหนือภพไม่ยอมแพ้ เขาขยายยักษ์อาคมให้ใหญ่โตขึ้น เอาให้สูงกว่าเศียรพญานาคแถมยังแสดงท่าทางให้น่าเกรงขามมากขึ้น พญานาคคำรามในลำคออย่างไม่ชอบใจ แล้วมันก็ชูคอให้สูงกว่าเดิมโดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงขีดจำกัด ไม่รู้ว่ามันจะชูคอได้สูงที่สุดแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ลำตัวส่วนหางของมันยังคงซ่อนอยู่ในโพรงถ้ำขนาดใหญ่
Favorite “หากข้ามองไม่ผิด นั่นคือพลังยันต์อาคมสินะ”
ใต้ศิลาเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่ยังนอนหงายเพื่อพักเหนื่อย เขาอยู่ใกล้กับเหนือภพมาก ถ้าไม่นับใต้หล้าที่นอนคั่นกลางทั้งคู่อยู่
เหนือภพเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน เขาจึงตอบสั้น ๆ
เขามีแรงแค่นี้แหละ ถึงแม้แววตาของเขาจะยังดูสดใส แต่การสำแดงพลังยักษ์สหัสเดชะนั้น กินแรงเอาเรื่อง ถ้าหากไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากใช้
“ท่านอา ข้าว่ากลับกันก่อนไหม แค่ปากประตูยังโหดขนาดนี้ แล้วข้างในจะโหดขนาดไหน”
ใต้หล้าพูดขณะลุกขึ้นมาขัดถูแสงเงิน อีเตอร์คู่กายอย่างทะนุถนอม พอเห็นเหนือภพมองมาที่ใต้หล้าก็ไม่ได้พูดหาเรื่องอย่างเคย แต่เขากลับยื่นผ้ากับน้ำยาทำความสะอาดให้เหนือภพ
อีเตอร์คู่กายของเหนือภพที่ทั้งเก่าและดำขนาดนั้น แต่เหนือภพก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“เอาน่า ทนอีกหน่อย พวกเรามาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยต้องได้อะไรติดไม้ติดมือไปสักหน่อย”
ใต้ศิลาตอบกลับขณะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย
“หัวหน้า ถ้าลงไปพวกเราจะต้องตายอีกเท่าไหร่ ถ้าขุดแค่ในโถงนี้ พวกเราก็จะมีเงินใช้ไปอีกนาน แล้วทำไมต้องลงไปเสี่ยงข้างล่างอีก”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรจำนวนมากเช่นนี้ ขนาดมีเหนือภพช่วย พวกเขายังสูญเสียพี่น้องไปแล้วสิบกว่าคน ถ้าหากยังฝืนไปต่อพี่น้องที่รอดกลับออกไปจะเหลือสักกี่คนกัน
“มันไม่พอหรอก แต่ใครไม่อยากไปต่อข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ ตัดสินใจกันเอาเอง แต่ถ้าพวกเจ้าไปก็จะถือว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนตระกูลใต้อีกต่อไป”
กฎตระกูลใต้นั้นเข้มงวด ทุกคนรู้ดีและนั่นทำให้พวกเขายำเกรง หากใครไม่ใช่คนในตระกูล จะเป็นจะตายตระกูลใต้ไม่สนใจทั้งนั้น ในทางกลับกันหากมีคนตระกูลใต้ตายในหน้าที่ ตระกูลใต้ก็ไม่เคยไร้น้ำใจกับพี่น้อง ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังรับรองว่าอยู่สบาย
แต่ความอันตรายเบื้องหน้าก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัว
‘ทว่าพี่น้องที่ตายไปแล้วล่ะ จะให้พวกเขาตายเปล่างั้นหรือ’
และแล้วใจที่ฝ่อแฟบก็เริ่มฮึดขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ความตายนี้เปล่าประโยชน์
พวกเขาตัดสินใจพักรักษาตัวกันอีกหนึ่งคืนแล้วค่อยลงไปในน้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเพียงเหนือภพ ใต้ศิลา ใต้หล้าและนักขุดกล้ามโตอีกสองคนที่ขออาสาลงไปสำรวจดูเส้นทางใต้น้ำก่อนเพื่อความปลอดภัย ยังไงคนน้อยก็คล่องตัวกว่าคนหมู่มาก
หินเรืองแสงจำนวนมากถูกทิ้งกระจายลงใต้น้ำเป็นจำนวนกว่าร้อยก้อน บึงน้ำส่วนที่ลึกสุดเริ่มสว่างไสว มีสัตว์อสูรจระเข้และสัตว์อสูรงูเหลือเพียงไม่กี่สิบตัว เมื่อพวกมันเห็นผู้บุกรุกมันก็พุ่งเข้าใส่ทันที แต่สุดท้ายก็ถูกคนทั้งห้าจัดการจดหมดอย่างง่ายดาย
พวกเขาดำดิ่งลงลึกไปเรื่อย ๆ ก็เห็นโพรงถ้ำใต้น้ำ เมื่อว่ายลึกเข้าไปในโพรงถ้ำเพียงไม่กี่สิบเมตร พวกเขาก็เจอเข้ากับทางตันต่อ มีเพียงทางเดียวคือว่ายขึ้นสู่ผนังโพรงด้านบน มันมีช่องกว้างขนาดใหญ่ให้พวกเขาลอดผ่านได้สะดวก พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก จึงพากันพุ่งเข้าไปในทางลอดนั้น
อากาศในปอดของใต้ศิลา ใต้หล้า และนักขุดเหมืองอีกสองคนเริ่มหมด การเคลื่อนไหวของพวกเขาเริ่มช้าลงจนเห็นได้ชัด เหนือภพจึงส่งสัญญาณแล้วเข้าไปคว้าพวกเขาให้จับกันและกัน จากนั้นเหนือภพก็ลากพวกเขากลับขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว แม้ระยะทางจะไกลมากก็ตาม
เหนือภพลากพวกเขาทั้งสี่ทะลุขึ้นมาโผล่บนผิวน้ำในโพรงถ้ำมืดอีกแห่ง เขาสุ่มลากทุกคนไปในทิศทางหนึ่งโดยไม่รอช้า ด้วยหวังว่ามันจะไปสุดทางที่ริมฝั่งสักแห่ง และเหนือภพก็คิดถูกจริง ๆ เขาพาทุกคนมาถึงฝั่งภายในเวลาไม่นาน
พวกเขาล้วนหน้าซีด สำลักน้ำออกมา พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างต่อเนื่อง แม้อากาศที่นี่จะไม่บริสุทธิ์มากนักราวกับมีกลิ่นอับของบางสิ่งบางอย่าง แต่พวกเขาก็สูดมันเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย บรรยากาศเย็นยะเยือกมากกว่าโถงข้างนอกทำให้พวกเขาบางคนถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว
เหนือภพโยนหินเรืองแสงกระจายออกไปรอบทิศ จุดที่เขาอยู่คือโพรงถ้ำขนาดเล็กที่มีรัศมีความกว้างเพียงไม่กี่สิบเมตร มันเป็นโพรงถ้ำรูปร่างคล้ายหน้าตัดลำไผ่ที่ทอดยาวเข้าไปสู่พื้นที่มืดมิด ผนังหินรอบด้านดูเกลี้ยงเกลา เงาวับ ราวกับหินขัดมันธรรมชาติ มันเรียบลื่นน่าสัมผัส
เหนือภพถามทุกคนอย่างเป็นห่วง ขณะบิดยืดร่างกายด้วยท่านักบวชดัดตนเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย
“ขอบใจมาก ดีขึ้นเยอะเลย ไม่คิดว่าจะไกลและลึกขนาดนี้ ขนาดพวกข้าถูกฝึกมาให้กลั้นลมหายใจให้ได้ 10 นาที ก็แทบแย่ ดีนะที่มีเจ้าช่วย ว่าแต่เจ้าสามารถกลั้นหายใจในน้ำได้นานเท่าไหร่กัน”
นักขุดคนหนึ่งหันมาพูดกับเหนือภพอย่างเป็นกันเอง
“อย่าเรียกว่ากลั้นลมหายใจเลย เรียกว่าเก็บลมหายใจมากกว่า ข้าสามารถเก็บอากาศเพื่อใช้ได้นาน 20 นาที”
เหนือภพตอบความจริงไปเพียงบางส่วน โดยไม่ได้บอกว่าเขาสามารถหายใจใต้น้ำได้ เพราะเขาไม่อยากให้ใครพุ่งความสนใจมาที่เขา
พวกเขาแทบจะอุทานพร้อมกันอย่างนับถือ
เมื่อใต้ศิลาอาการดีขึ้น เขาก็เริ่มถือหินเรืองแสงสำรวจลูบไล้ไปตามผนังหิน หินที่นี่เย็นยิ่งกว่าอากาศเสียอีก คงเป็นเพราะความอับชื้น ไม่เคยได้รับแสงแดด และแสงไฟจากมนุษย์เลย ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็เขาหยุดชะงัก สีหน้าเริ่มไม่ค่อยจะสู้ดี ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า
ใต้ศิลาพูดยังไม่ทันขาดคำ ใต้หล้าก็ดึงบางอย่างออกมาจากผนังที่เรียบลื่นนั้น ลักษณะมันเหมือนเกล็ดปลาสีนิล มันเงาและแข็งมาก มันมีความกว้างและความยาวโดยประมาณถึง 16 นิ้ว
“นี่ท่านอา แผ่นเกล็ดที่ดูเหมือนเกล็ดปลานี่มันเป็นของตัวอะไร”
ใต้ศิลาตะลึงมองเกล็ดปริศนา สิ่งที่เขาคิดเริ่มชัดเจนขึ้นมาแล้ว
เหนือภพก็กำลังสำรวจอยู่เช่นกัน แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นจิตของเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัวมาทางน้ำที่พวกเขาเพิ่งว่ายขึ้นมา มันไม่ใช่คนแน่ ๆ และก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กด้วย แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ใหญ่มาก…
เหนือภพหน้าตาตื่น เขาร้องตะโกนออกมาพร้อม ๆ กับเสียงของใต้ศิลา
พวกเขาเลือกวิ่งไปทางโพรงถ้ำข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ไม่มีใครอิดออด ไม่มีใครถามหาเหตุผล แค่ได้เห็นสีหน้าของใต้ศิลาและเหนือภพที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้อันตรายแค่ไหน
พวกเขาวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต โชคดีที่เจอซอกหินที่เกิดจากการแตกร้าว พวกเขาทั้งห้าคนจึงรีบเข้าไปแอบในนั้นแล้วเก็บซ่อนลมหายใจ
เวลาผ่านไปไม่นาน ผนังหินทั้งหมดสั่นสะเทือนเล็กน้อย แล้วสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะเจอก็เลื้อยเข้ามาในโพรงที่พวกเขาอยู่อย่างรวดเร็ว ผิวของมันเต็มไปด้วยเกล็ดสีนิลเงางาม ขนาดลำตัวของมันพอดีกับโพรงยาวรูปวงกลมที่กว้างถึง 8 เมตร มันช่างพอดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ส่วนลำตัวมันยาวมาก ยาวจนทำให้พื้นที่ซอกถ้ำกลายเป็นที่สถานที่ไร้อากาศหายใจไปนานถึง 7 นาที สิ่งมีชีวิตชนิดถึงจะเคลื่อนตัวพ้นไป
ใต้หล้ากระซิบถามเสียงเบา ส่วนใต้ศิลาก็กระซิบตอบอย่างผู้มีประสบการณ์มากกว่า
“บางกลุ่มเรียกงูใหญ่ หรือพญางู แต่ความจริงแล้วมันคือพญานาค ข้าไม่คิดว่าเรื่องที่ท่านตาทวดเล่าให้ฟังจะเป็นความจริงนะนี่ สาเหตุที่ท่านตาทวดไม่เคยส่งใครเข้ามาขุดที่เหมืองนี้ ก็เพราะมันนี่แหละ พญานาคตัวนี้คือเทพพิทักษ์ภูเขาลูกนี้ ถ้าเรื่องเล่าทั้งหมดเป็นความจริง แล้วทำไมมันถึงออกมาได้ เดิมทีมันจำศีลอยู่นี่นา”
เหนือภพพยายามปฏิเสธสิ่งที่เขาได้ยิน มันไม่ควรบังเอิญขนาดนี้
“แล้วทำไมอยู่ ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาตอนนี้”
นักขุดตระกูลใต้ถามอย่างเป็นกังวล
ใต้ศิลาหยุดพูดกะทันหันแล้วก็หันหน้ามองหน้าเหนือภพ นี่เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าจะโกรธหรือจะขอบคุณดี เพราะหมัดพลังสะท้านสะเทือนของเหนือภพช่วยพวกเขาไว้ แต่ก็ดันปลุกเจ้าตัวอันตรายให้ตื่นขึ้นมาด้วย
“เรื่องนี้โทษเหนือภพไม่ได้หรอก ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตโบราณนี้มีอยู่จริง”
ใต้ศิลาเอ่ยอย่างปลงตก ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องหนึ่งให้ทุกคนฟัง โดยเฉพาะเหนือภพที่น่าจะไม่เคยฟังเรื่องนี้ โดยมีเนื้อหาอยู่ว่า….
ในอดีตเมืองสินธุเคยมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคยักษ์ตัวหนึ่งที่ถูกสาปให้กลายเป็นภูเขาเพื่อเฝ้าสมบัติของเทพเจ้า มันเป็นเรื่องราวที่คล้องจ้องกับภูมิประเทศทางเหนือของเมืองสินธุที่มีเทือกเขาทอดยาวคดเคี้ยวคล้ายกับลำตัวของพญานาค แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น
“แล้วสรุป พญานาคเฝ้าสมบัติอะไรไว้หรอครับ”
เหนือภพสนใจเพราะคำคำเดียวเท่านั้น ‘สมบัติของเทพเจ้า’ หากพญานาคมีจริง สมบัติก็ต้องมีอยู่จริงเช่นกัน
“ตำนานที่เล่าต่อกันมานานนั้น สุดท้ายเรื่องก็มีผิดเพี้ยนไปบ้าง บางคนก็เล่าว่ามันคือแก้วมณีพญานาคที่มีอำนาจดลบันดาลอำนาจและเงินทอง บางคนก็เล่าว่ามีภูเขาเงินภูเขาทองซ่อนอยู่ข้างใต้ บางคนก็เล่าว่ามีเคล็ดวิชานาคราชที่มีอานุภาพร้ายกาจ แต่ตระกูลข้าเล่าต่อกันมาว่ามีสายแร่ 6 สีที่บริสุทธิ์ มันอยู่ในส่วนลึกสุดของรังของพญานาค ทั้งยังมีขนาดใหญ่ขนาดกำมือ”
เมื่อทุกคนได้ฟังเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เรื่องไหนคือความจริงกันแน่
“มันจะเป็นอะไรนั้น พวกเราก็แค่ไปพิสูจน์ดูให้รู้แล้วรู้รอดไปซะก็สิ้นเรื่อง”
ใต้ศิลาเอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิม แต่พอเห็นสายตาของคนอื่นๆ เขาก็เริ่มถอนหายใจ แค่จะออกจากตรงนี้ก็ยังไม่ได้เลย
เหนือภพใช้จิตเพ่งฟังเสียงอยู่ตลอดเวลา จนเขาแน่ใจแล้วว่าพญานาคตัวนั้นไม่ได้อยู่ในละแวกนี้ เขาส่งสัญญาณว่าปลอดภัยให้ทุกคนทยอยออกมา ทุกคนเดินย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม ขืนเดินหน้าต่อไปก็เท่ากับว่าเดินตามพญานาคตัวนั้นน่ะสิ
ทันใดนั้นพวกเขาต่างก็กลั้นหายใจกันไปตาม ๆ กัน เพราะสิ่งที่เห็นคือหางของพญานาคที่โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำค้างอยู่อย่างนั้น
พวกเขาต่างลอบสบถในใจ สรุปแล้วมีพญานาคอยู่กี่ตัวกันแน่
พวกเขาไม่มีทางเลือกแล้ว ในเมื่อไม่อาจเดินหน้าก็ต้องย้อนกลับเข้าไปส่วนลึกของโพรงถ้ำแทน เมื่อเดินเข้าไปเรื่อย ๆ พวกเขาก็เหมือนหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง ที่นี่เหมาะสมจะเรียกว่าตำหนักเทพอย่างแท้จริง
ที่นี่สว่างเรืองรองด้วยแสงจากหินเรืองแสง เพชรนิลจินดา และแร่หลายสีที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก มันมากจนน่าตกใจ นอกจากนี้ยังมีบึงน้ำใสสะอาดและป่าไม้ที่วิจิตรงดงามที่สุด สวยยิ่งกว่าป่าไม้ที่เหนือภพเคยอยู่กับพระอาจารย์เสียอีก เมื่อมองดูโดยรอบแล้วเหนือภพก็สรุปได้ว่าที่นี่ช่างสวยและดูแพงยิ่งนัก แถมบรรยากาศก็อุ่นขึ้นอีกด้วย
ในขณะที่ทุกคนกำลังกวาดตามองรอบด้านอย่างตื่นตะลึง แต่จู่ ๆ สายตาทุกคู่ก็มาหยุดที่จุด ๆ หนึ่งโดยมิได้นัดหมาย
นั่นคือฝูงงูใหญ่มีหงอนกายสีดำสนิท ที่กำลังนอนขดตัวคล้ายจำศีลอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของพื้นที่ ที่รวมแล้วน่าจะมีศมีกว้างกว่า 20 กิโลเมตร
‘นี่ไม่ใช่ตำหนักเทพแล้ว แต่มันเป็นมิติรังกำเนิดที่อยู่ภายในรังสัตว์อสูร’
Favorite ณ วิหารหินอ่อนขาวอันเป็นที่พำนักของเทพสูงสุดสุริทรา
แล้วเทพผู้ชี้นำนับร้อยจากเผ่าจันทราก็ยกแถบผ้าอาคมของตัวเองชูขึ้นเหนือศีรษะโดยพร้อมเพรียงกัน มีข้อความหลากหลายที่ปรากฏอยู่บนนั้น อาทิเช่น
พวกเขารวมตัวกันมาชุมนุมประท้วงที่หน้าวิหารของท่านเทพสูงสุดเป็นเวลา 10 วัน 10 คืนแล้ว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเองและเรียกร้องความสมดุลกลับมาสู่โลก
“ใจเย็นก่อนทุกท่าน ตอนนี้เทพผู้นำสภาสุริยันและเทพผู้นำสภาจันทรากำลังปรึกษาหารือกับท่านเทพสูงสุดอยู่ พวกเราควรแยกย้ายกันไปก่อน”
เทพชราจากฝ่ายสุริยันลอยตัวสูงกลางอากาศเพื่อไกล่เกลี่ยให้ความวุ่นวายนี้จบลงโดยเร็ว เบื้องล่างของเขามีเทพผู้ชี้นำฝ่ายสุริยันอีกนับร้อยที่มาช่วยต้านการชุมนุม
“พอได้แล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก”
แล้วเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าเทพผู้ชี้นำฝ่ายจันทราก็ยังคงดังก้องต่อไป
ภายในวิหารท่านเทพสูงสุดก็กำลังมีการประชุมกันอย่างเคร่งเครียดเช่นกัน องค์ประชุมมีเพียง 4 เทพเท่านั้น ได้แก่ ท่านเทพสูงสุดที่มีครึ่งซ้ายเป็นชายครึ่งขวาเป็นหญิง เทพผู้นำสภาสุริยัน เทพผู้นำสภาจันทรา และเทพพยากรณ์
“ท่านได้ยินเสียงจากข้างนอกแล้วใช่ไหม สุดท้ายเทพผู้นำฝึกหัดของสุริยันก็ทำให้เกิดเรื่องบานปลายจนได้”
เทพผู้นำสภาจันทราถอนหายใจออกมาก่อนจะเสกกระดาษข้อมูลจำนวนมากให้ปรากฏออกมากลางโต๊ะประชุม จากนั้นเขาก็สาธยายเรื่องราวทั้งหมด
“เนื่องจากการประชุมคราวที่แล้วท่านเทพสูงสุดได้ตัดสินว่าเทพผู้ชี้นำฝึกหัดเต็งหนึ่งไม่มีความผิด พวกเราจึงปล่อยไป แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเราเฝ้าติดตามดูมนุษย์คนนั้นอย่างใกล้ชิดเพื่อศึกษาผลดีและผลเสีย แต่สุดท้าย…มนุษย์ผู้นั้นพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างก้าวกระโดดเกินไป
พวกท่านอ่านดูจากข้อมูลนี้ได้ นี่เป็นรายละเอียดเปรียบเทียบระดับประสบการณ์ของเขากับสัตว์อสูรทั้งหมดที่เขาฆ่าไป รวมถึงสถิติการต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน พวกมันล้วนมากเกินไป นี่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เขาจะทำให้โลกมนุษย์เสียสมดุลในวันหนึ่ง พวกเราจึงต้องมาคัดค้านให้เรื่องนี้ยุติลงเสียที เราต้องริบความสามารถในการใช้แท็บเล็บนั่นซะ”
“ท่านพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก เชิญทุกท่านดูข้อมูลจากข้าหน่อยเป็นไร”
เมื่อกล่าวจบเทพผู้นำสภาสุริยันก็เสกกระดาษข้อมูลอีกปึกหนึ่งลงบนโต๊ะด้วยเช่นกัน เขาก็เตรียมตัวมาอย่างดีเช่นกัน
“นี่คือข้อมูลเปรียบเทียบปริมาณการบริโภควัตถุดิบล้ำค่าของมนุษย์ทั้งสามแคว้น”
เทพผู้นำสภาสุริยันหยุดเว้นชั่วขณะเพื่อให้เทพทั้งสามได้มีเวลาพิจารณาข้อมูล เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วเขาจึงพูดต่อ
“พวกท่านคงเห็นแล้วว่าปริมาณวัตถุดิบล้ำค่าที่เหนือภพซื้อมาจากแท็บเล็ตนั้นเทียบไม่ได้เลยกับปริมาณที่มนุษย์ชั้นสูงในหลาย ๆ เมืองได้กินเข้าไป นี่ พวกท่านดูที่หน้านี้ มนุษย์ชั้นสูงที่มีกำลังทรัพย์และอำนาจไม่ว่าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์หรือผู้ไร้พรสวรรค์ก็ตาม พวกเขาต่างสรรหาวัตถุดิบล้ำค่ามากินกันแทบทุกวัน แต่สำหรับเหนือภพแล้ว เขาซื้อจากแท็บเล็ตเพียงไม่กี่ชิ้นในรอบ 6 ปีของโลกมนุษย์
ดังนั้นคำกล่าวอ้างที่ว่าเหนือภพทำให้โลกมนุษย์เสียสมดุล เป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ข้าว่าเหล่ามนุษย์ภายใต้การชี้นำของพวกท่านไร้ความสามารถในการพัฒนาตนมากกว่า เหนือภพจึงดูโดดเด่นขึ้นมาได้”
เทพผู้นำสภาสุริยันละเว้นคำพูดที่เกี่ยวกับมนุษย์คนอื่นภายใต้การชี้นำของพวกสุริยัน ที่แม้จะเป็นผู้มีพรสวรรค์เกือบทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาตนจนก้าวกระโดดอย่างเหนือภพได้
“แต่เขามีทักษะแบบผู้ไร้พรสวรรค์ มีเหล็กไหลราชันย์พิภพไหลเวียนในกาย มียันต์อาคมยักษ์สามตน มีวิชาการต่อสู้พหุยุทธ์ แถมยังมีแท็บเล็ตที่สามารถซื้อของชั้นเลิศได้ตลอดเวลา นั่นสมควรแล้วหรือ”
“จะทำได้อย่างไร เมื่อผู้ชี้นำมอบความสามารถให้แก่มนุษย์แล้วไม่อาจเรียกคืนได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเทพสูงสุดแย้มโอษฐ์เอ่ยออกมา ท่านรับรู้และรับฟังมามากพอแล้ว แม้ว่าฝ่ายสุริยันและฝ่ายจันทราจะชอบทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ แต่ท่านก็พร้อมไกล่เกลี่ยและช่วยตัดสินด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้าเสมอ
“ข้าเห็นควรให้เทพพยากรณ์ได้เพ่งจิตดูว่า เรื่องนี้สำคัญมากน้อยแค่ไหน เชิญ”
จากนั้นท่านเทพสูงสุดก็ผายมือให้เทพพยากรณ์ที่มีภาพลักษณ์เป็นหญิงชราได้เริ่มทำการพยากรณ์ ดวงแก้วแสงสว่างดวงหนึ่งลอยออกมาจากฝ่ามือของท่านเทพสูงสุดแล้วมันก็ลอยหายลับเข้าไปยังจุดกึ่งกลางหน้าผากของเทพพยากรณ์
เทพพยากรณ์หลับตาเหี่ยวย่นลงทันที เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาเธอก็ขมวดคิ้ว หยาดเหงื่อเริ่มซึมออกมาเต็มใบหน้าและลำคอ อาการเช่นนี้มักเป็นอาการยามที่เธอเห็นนิมิตแห่งลางร้าย เทพผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็เริ่มมีอาการไม่สู้ดี ส่วนท่านเทพสูงสุดยังคงรักษาความสงบบนใบหน้าไว้ได้
จู่ ๆ เทพพยากรณ์ก็เหลือกตาขึ้นสูง แววตาเลื่อนลอยขณะเอ่ยคำพยากรณ์
“ผืนดินครืนครั่นคล้าย ปริแตก ฤาลาง
สัตว์เก่าเผ่าแผกแทรก เคลื่อนย้าย
มิให้ก่อกวนแยก ต้านร่วม กันนา
เพียงร่วมหัวจมท้าย เรื่องร้ายรอดเอย”
สิ้นคำพยากรณ์เธอก็ฟุบก้มหน้า สติคืนกลับมาดังเดิม เมื่อเทพสูงสุดเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามอย่างผ่อนคลายว่า
“ท่านเห็นอะไรบ้าง เทพพยากรณ์”
“เรียนท่านเทพสูงสุด ข้าเห็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ ณ ที่ห่างไกล เมฆหมอกแห่งความมืดกำลังพัดย้อนหวนมาหาเรา”
เทพสูงสุดยังคงนิ่งเฉย แต่เทพผู้นำสภาสุริยันและเทพผู้นำสภาจันทรากลับมีท่าทีตรงกันข้าม พวกเขาทั้งสองมองสบตากันขณะเอ่ยทวนคำพยากรณ์
“หรือว่า สัตว์เก่าเผ่าแผก นั้นจะเป็นพวกอสูรงั้นหรอ”
เทพสูงสุดสุริทราปิดดวงเนตรชั่วครู่ เพื่อเพ่งหาความเป็นจริงของเรื่องนี้
อสูร ในความเข้าใจของดินแดนทวิสุริยันจันทราคือสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่งที่สามารถแบ่งแยกรูปลักษณ์ได้หลากหลายเผ่า เช่น อสูรวัว ก็จะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนวัว อสูรหมี ก็จะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนหมี แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือสติปัญญาและความแข็งแกร่ง
พวกเขามีสติปัญญาสามารถคิดคำนวณได้เหมือนมนุษย์ หรืออาจจะเหนือกว่าในบางแง่ด้วยซ้ำ เนื่องจากเผ่าพันธุ์อสูรมีการคิดค้นและพัฒนาวิทยาการได้ล้ำหน้าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ จนสามารถเดินทางข้ามดวงดาวได้
แต่พวกเขาก็มีข้อเสีย และเป็นข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ปั่นป่วนไปทั้งจักรวาล นั่นคือ การขยายพันธุ์
อสูรเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีการสืบพันธุ์และอัตราการเกิดสูงมาก มากจนถึงขั้นที่ว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงไม่มีพื้นที่และทรัพยากรเพียงพอสำหรับประชากรอสูรทั้งหมด นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อสูรแบ่งประชากรของตัวเองไปอยู่ตามดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่พอจะอยู่อาศัยได้ แม้จะเกิดความขัดแย้งกับสิ่งมีชีวิตดั้งเดิม แต่สุดท้ายอสูรก็มักเป็นผู้ชนะ และสามารถกวาดล้างสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมทิ้งไป
นานหลายล้านปีมาแล้วที่อสูรเคยพากันเดินทางมาที่โลกของบุตรแห่งสุริทรา โลกที่เหนือภพอยู่อาศัย แต่ในครั้งนั้นเหล่าเทพสุริยันจันทราและมนุษย์ได้ร่วมมือกันต่อต้าน จนสามารถปิดเส้นทางมิติที่อสูรใช้เดินทางผ่าน โลกนี้จึงเหลือรอดมาได้
อสูรส่วนใหญ่จึงล่าถอยกลับไปหาดาวดวงอื่นอยู่อาศัยแทน แต่กลับมีอสูรบางส่วนเหลือรอดอยู่บนโลกใบนี้ นานวันเข้าอสูรก็เริ่มผสมพันธุ์กับสัตว์ท้องถิ่นของโลกจนกลายเป็นสัตว์อสูรมากมาย
ในปัจจุบันนี้เหลือเพียงสัตว์อสูรที่ไร้สติปัญญา สายเลือดของอสูรค่อย ๆ จางลง ส่วนสัญชาตญาณแบบสัตว์ป่าก็ค่อย ๆ คืนกลับมา เหล่าสัตว์อสูรจึงดุร้าย ทั้งชีวิตรู้จักแต่เพียงกิน นอน สืบพันธุ์ ฆ่า และก็เอาตัวรอด มีสัตว์อสูรส่วนน้อยมาก ๆ ที่ยังคงระดับสติปัญญาไว้ได้ แต่พวกนี้มักจะแข็งแกร่งมากและเก็บตัวหลีกเร้นจากความวุ่นวาย
เทพสูงสุดยังคงเพ่งต่อไปท่ามกลางความเงียบ
ตอนนี้เผ่าอสูรได้ยึดครองดวงดาวเกือบทั้งหมดในจักรวาลแล้ว และพวกเขายังคงมุ่งหน้ายึดครองต่อไป เพราะประชากรล้นอีกแล้ว ทว่าพวกเขากลับติดแนวต้านแนวหนึ่งที่ไม่อาจไปต่อ ที่นั่นคือโลกแห่งทางช้างเผือก
โลกแห่งทางช้างเผือก เป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กที่อยู่ไกลจากที่นี่มาก ที่นั่นมีมนุษย์และสัตว์อยู่อาศัยเฉกเช่นเดียวกัน แม้มนุษย์ที่นั่นจะอ่อนแอ ไร้พลังอาคม ไร้กำลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง วิทยาการก็พอมีบ้างแต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าเผ่าอสูรได้ แล้วเหตุใดอสูรจึงยังมิอาจยึดครองพวกเขา
นั่นเป็นเพราะมนุษย์โลกแห่งทางช้างเผือกมีความเชื่อ ความเคารพและความศรัทธาต่อเทพเจ้าอย่างเข้มข้น หากนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มนุษย์ พวกเขาก็มีการกราบไว้บูชาเทพเจ้ามากมายนับพันนับหมื่นองค์แล้ว
ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่าเพราะมีเทพเจ้าจึงมีความเชื่อ หรือเพราะมีความเชื่อจึงมีเทพเจ้า สองสิ่งนี้เกี่ยวพันกันอย่างลึกล้ำ แต่ที่แน่ ๆ คือความเชื่อและความศรัทธาอย่างแรงกล้าเหล่านี้ก่อให้เกิดพลังปาฏิหาริย์ได้
ดังนั้นมวลพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ปกคลุมโลกใบนั้นไว้จึงแข็งแกร่งมาก ยากที่เผ่าอสูรจะฝ่าเข้าไปได้
จะว่าไปก็ถือเป็นเรื่องแปลก มนุษย์โลกแห่งทางช้างเผือกต่างพยายามและใฝ่ฝันอยากพบเจอกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาทำกลับเป็นการผลักไสสิ่งมีชีวิตนั้นออกไป นับเป็นโชคดีเพราะความบังเอิญโดยแท้
แต่พวกเขาสิจะโชคร้าย เมื่อเผ่าอสูรไปต่อไม่ได้ พวกมันก็จะย้อนกลับมาหาดาวดวงเดิมที่ยังเหลืออยู่ อีกไม่นานมันจะกลับมาชิงพื้นที่อีกครั้ง
เทพสูงสุดสุริทราลืมดวงเนตรขึ้นมา พร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนให้เทพผู้นำทั้งสองและเทพพยากรณ์
“พวกท่านมีอะไรจะถามเทพพยากรณ์อีกมั๊ย”
เทพสูงสุดเอ่ยเพียงเท่านั้น ท่านไม่ได้บอกสิ่งที่รู้ทั้งหมดให้พวกเขาฟัง บางเรื่องก็ควรปล่อยไปตามครรลองของแต่ละชีวิต
“ท่านเทพพยากรณ์ สรุปว่าอสูรจะกลับมาอีกใช่ไหม”
“แล้วอสูรจะกลับมาเมื่อไหร่”
เมื่อเห็นว่าเทพผู้นำทั้งสองเริ่มร้อนใจ เทพพยากรณ์ชราจึงตอบอย่างอ่อนโยน หมายให้ทั้งสองสงบใจ
“ใช่ อสูรกำลังมา แต่ครั้งนี้พวกเรายังมีทางรอด หากพวกเราร่วมมือกันโดยไม่แบ่งแยกว่าใครคือสุริยัน ใครคือจันทรา”
เมื่อเทพผู้นำทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็มองสบตากันและกัน
“เห็นทีเรื่องนี้จะใหญ่กว่าที่คิด ในฐานะเทพผู้นำสภาสุริยันขอเสนอให้พวกเราไปตกลงกันในสภาใหญ่”
เมื่อเห็นว่าเทพผู้นำทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว เทพสูงสุดก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
บรรยากาศภายนอกยังคงวุ่นวาย จนกระทั่งเทพผู้นำทั้งสองฝ่ายก้าวออกมาจากวิหาร
“ทุกท่านได้โปรดอยู่ในความสงบ ขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่สภากลางด้วย”
ในเมื่อเทพผู้นำสภาจันทราเอ่ยปากเองเช่นนั้น บรรดาผู้ประท้วงทั้งหลายจึงพากันสลายตัวไป
เทพผู้นำสภาสุริยันยืนมองเทพฝ่ายจันทราที่กำลังจากไปด้วยแววตาครุ่นคิด
“จากเรื่องของมนุษย์ภายใต้การชี้นำของเจ้า มันนำพาไปสู่เรื่องที่ใหญ่กว่าแล้ว นั่นคือ…….”
จากนั้นเทพผู้นำสภาสุริยันก็เล่าเรื่องราวให้เต็งหนึ่งฟังอย่างละเอียด
“อย่าเพิ่งตกใจไป เต็งหนึ่ง เรื่องแบบนี้พวกเราเคยผ่านมาแล้ว หากต้องเจออีกสักครั้งจะเป็นไรไป แต่เรื่องที่ข้าเป็นห่วงมากกว่าคือ ฝ่ายจันทราจะใช้ประเด็นของเด็กเหนือภพมาอ้าง เพื่อประโยชน์อย่างอื่นของพวกเขา เรื่องนี้เจ้าจะว่าอย่างไร”
“ถ้าหากว่าพวกเขาคิดว่าเหนือภพพัฒนาได้ไวเกินไป ผมก็จะเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ รับรองว่าพวกเขาจะคัดค้านไม่ได้อีกครับ”
เทพผู้นำสภาสุริยันขมวดคิ้วถามทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประหลาด
“คือยังงี้ครับท่าน ผมเคยเรียนรู้เรื่องการเป็นผู้บริหารในองค์กรใหญ่มาบ้าง ดังนั้นผมจึงลองนำมาฝึกบริหารมนุษย์ภายใต้การชี้นำ เผื่อในอนาคตผมมีมนุษย์ภายใต้การดูแลมากขึ้น ผมจะได้ช่วยชี้นำพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกลยุทธ์ระดับกลุ่มองค์กรมีอยู่สี่อย่างคือ กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโต กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ กลยุทธ์การถอนตัว และกลยุทธ์ผสมผสาน”
เทพผู้นำสภาสุริยันเริ่มตาลอย ในขณะที่เต็งหนึ่งยังคงอธิบายต่อไปอย่างตื่นเต้น
“ตอนแรกผมใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเจริญเติบโต แต่ตอนนี้ผมจะเปลี่ยนมาใช้ กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ มันเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะจะนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนามนุษย์แบบไม่ให้ก้าวกระโดด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญมากนัก แต่เป็นแบบเรื่อย ๆ ค่อยเป็นค่อยไป
ความจริงแล้วกลยุทธ์รักษาเสถียรภาพมีการแบ่งแยกย่อยได้อีกสามกลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การยับยั้ง กลยุทธ์การไม่เปลี่ยนแปลง และกลยุทธ์การทำกำไร แต่ผมจะใช้กลยุทธ์การยับยั้งผสมกับกลยุทธ์การไม่เปลี่ยนแปลง และก็อย่างอื่นอีกเล็กน้อย ให้เกิดเป็นรูปแบบเฉพาะของผมเอง”
เต็งหนึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกลิงโลด เขารู้ว่าเขาจะแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเทพผู้นำสภาสุริยันกำลังใช้มือนวดขมับทั้งสองข้าง
“แล้วมันสรุปได้ว่ายังไง ขอสั้น ๆ ข้าจะได้นำไปเสนอในสภากลางได้”
เต็งหนึ่งยิ้มกว้างให้เทพผู้นำก่อนตอบคำถามอย่างสั้นกระชับ
“ผมจะจำกัดการซื้อสินค้าในแท็บแล็ตให้ลดน้อยลง เหนือภพยังสามารถซื้อได้เหมือนเดิม สุ่มดวงเหมือนเดิม แต่ข้าย่อมไม่ให้เขาเสียผลประโยชน์”
เต็งหนึ่งยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“เข้าใจละ เจ้าไปได้ ไว้เจอกันที่สภากลาง”
เมื่อเต็งหนึ่งเดินจากไป เทพผู้นำสภาสุริยันก็ถอนหายใจออกมา
‘เจ้านี่พูดอะไรก็ไม่รู้ปวดหัวเสียจริง ไม่รู้ไปร่ำเรียนมาจากอาจารย์คนไหนทำไมถึงได้ประหลาดนัก’
ย้อนคิดถึงครานั้น สภาสุริยันเกิดขาดแคลนเทพผู้ชี้นำ เขาจึงดึงดวงจิตจากดวงดาวที่ไกลแสนไกลมาช่วย แต่ไม่นึกว่าจะได้เทพผู้ชี้นำที่เพี้ยนแบบนี้
“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าเราไม่ควรเสนอตัวมาอยู่ทัพหน้า”
สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหัวเหมือนกระต่ายบ่นพึมพำขณะกำลังขัดถูฐานสร้างประจุพลังงาน
“ใครจะไปรู้ว่าเรื่องจะกลายแบบนี้”
สิ่งมีชีวิตแบบเดียวกันแต่มีหัวเหมือนเต่าตอบกลับอย่างเซ็ง ๆ ขณะช่วยอสูรกระต่ายเติมเชื้อเพลิงเหลวใส่ช่องกระบอกโลหะ
“ทีนี้เราจะเอายังไงกันต่อล่ะ สภาอสูรคงไม่รับเรากลับเข้าตำแหน่งเดิมแน่”
“เราก็ทน ๆ รับโทษไปก่อนละกัน ยังไงตระกูลอสูรเต่าของข้าก็ยังพอมีเส้นสายอยู่ในสภาอสูรบ้าง พวกเราล้มเหลวครั้งเดียว มันไม่เป็นไรมากหรอกน่า”
“ก็จริง แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่าทำไมพวกเราถึงฝ่าทะลุเข้าไปไม่ได้”
“เจ้ากระต่ายโง่เอ๊ย สงสัยไปแล้วจะได้อะไร พวกเรามาช่วยกันคิดแผนการหาทางเข้าร่วมทัพในครั้งต่อไปดีกว่า ข้าได้ข่าวมาว่าสภาอสูรจะส่งทัพกลับไปยึดดาวเก่าแก่ดวงนั้น”
อสูรกระต่ายได้ยินดังนั้นก็ตบหัวอสูรเต่าดังฉาด
“ยัง ยังจะหาเรื่องเข้าตัวอีกเรอะ”
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ทะเลาะกันต่อ ก็มีเสียงเรียกจากนายทหารอสูรม้าเสียก่อน
“พวกเจ้าทั้งสองมานี่หน่อย มาช่วยเข็นแกนพลังงานเข้าไปที่ห้องประชุมหมายเลขหนึ่งหน่อย”
จากนั้นอสูรกระต่ายกับอสูรเต่าก็ช่วยกันเข็นแกนพลังงานไปด้วยความทุลักทุเล แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแรงมาก แต่แกนพลังงานนี้มันไม่ธรรมดา เพราะมันคือแกนพลังงานของยานฝ่าทะลุห้วงมิติ มันจึงมีขนาดใหญ่มาก คือกว้าง 10 เมตร สูง 10 เมตร เป็นลูกบาศก์ผลึกสีฟ้าใสที่มีความสำคัญต่ออสูรทุกตนบนดาวดวงนี้ หากมันถูกทำลายหรือเกิดไม่ทำงานขึ้นมา พวกอสูรทุกตนก็จะไม่สามารถเดินทางออกจากที่นี่ได้
“นี่เจ้าเต่า ถ้าพวกเราได้เจอกับพวกท่านนายพล เจ้าต้องทำหน้านิ่ง ๆ ยืนตัวตรง ๆ ไว้นะ”
“บร๊ะ ก็ท่านนายพลจะได้เห็นว่าพวกเรามีระเบียบวินัยน่าชื่นชม คราวหน้าเวลาเราไปสมัครร่วมทัพหน้า เราจะได้ผ่านยังไงล่ะ”
“แล้วเจ้าจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกเต่าทั้ง 200 ตนนั้น”
“เออ นั่นสิ ลูกข้ายิ่งกินเก่งอยู่ด้วย”
“นั่นแหละ เจ้าจะมัวแต่พึ่งพาตระกูลไม่ได้ เจ้าต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ส่วนข้าก็จะต้องหาเลี้ยงลูก ๆ เหมือนกัน ทำตามที่ข้าบอกเถอะ แล้วพวกเราจะได้เป็นคู่หูนายพลกันสักวันหนึ่ง”
พวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูโลหะยักษ์บานหนึ่ง อสูรกระต่ายสอดนิ้วมือเข้าไปในช่องว่างหน้าประตูเพื่อสแกนพันธุกรรม ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีประตูก็เปิดออกโดยไม่ต้องมีใครคอยควบคุม
ภายในห้องประชุมหมายเลขหนึ่ง มีอสูรทหารยืนเรียงรายอยู่เกือบห้าสิบตน เมื่ออสูรกระต่ายกับอสูรเต่าเข็นแกนพลังงานไปไว้ที่กลางห้อง นายทหารทั้งหมดก็มายืนล้อมรอบแกนพลังงานเป็นวงกลม
“ช่วยดูให้หน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
นายพลอสูรพยัคฆ์ยืนยืดอกเอามือไขว้หลังขณะเอ่ยสั่งทีมวิจัยและซ่อมแซม ซึ่งประกอบไปด้วยวิศวกรอสูรบีเวอร์ นักวิทยาศาสตร์อสูรลิง และนักปราชญ์อสูรช้าง
อสูรบีเวอร์ในชุดเครื่องแบบนายช่างเดินไปก้ม ๆ เงย ๆ แล้วก็ช่วยอสูรลิงเอาเครื่องมือโลหะพิเศษบางอย่างตรวจวัดแกนพลังงาน ส่วนอสูรช้างนั้นเพียงสังเกตรายละเอียดอยู่ห่าง ๆ แล้วก็เปิดตำราประกอบการวิเคราะห์
“เรียนท่านนายพล ข้าคิดว่าแกนพลังงานน่าจะรวน”
“ขยายความคำว่า รวน หน่อย”
นายพลอสูรพยัคฆ์ยืนจ้องอสูรบีเวอร์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อสูรบีเวอร์นิ่งไป เขาก็ไม่รู้จะขยายความอย่างไรให้ตรงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ยังดีที่อสูรช้างช่วยพูดให้
“แกนพลังงานคงได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังงานสีทองของโลกที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ดวงนั้น ในตอนนี้แกนพลังงานยังทำงานได้ เพียงแต่ว่ามันทำงานอย่างผิดปกติ”
เมื่ออสูรช้างเงียบไป อสูรลิงก็ช่วยเสริม
“พวกเราสามารถปรับจูนคลื่นพลังงานใหม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย”
ท่านนายพลพูดแค่นั้น แล้วก็หันหน้าไปสั่งการลูกน้องที่ยืนอยู่รายล้อม
“อสูรสิงโตเตรียมเสบียง อสูรจระเข้เตรียมยุทโธปกรณ์ทั้งหมด อสูรพิราบจัดเตรียมระบบสื่อสารให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา อสูรแมวป่าตรวจนับกำลังพลรอบสุดท้าย อสูรผึ้งเก็บข้าวของทั้งหมด อสูรบีเวอร์เตรียมยานพาหนะและเชื้อเพลิง ทุกอย่างต้องพร้อมภายในสามเดือนนี้ พวกเราจะเดินทางกลับไปรวมกับทัพใหญ่ที่ไอซี 1101”
จบคำสั่งของท่านนายพล ทุกคนก็ตอบรับด้วยเสียงดังก้องอย่างพร้อมเพรียงกัน
อสูรกระต่ายและอสูรเต่าลอบสบตากันแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
เมื่อท่านนายพลสั่งแยกย้าย ทุกฝ่ายก็ต่างวิ่งวุ่นทำงานตามคำสั่ง หากตั้งจุดหมายไว้ที่ไอซี 1101 แล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่ามันจะต้องเป็นการเดินทางที่ยาวนานเป็นปีแน่ เพราะมันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณหมื่นปีแสง
อสูรกระต่ายกับอสูรเต่าหันมาตามคำเรียกแล้วก็ชี้หน้าตัวเองอย่างงงงวย
“ใช่ พวกเจ้านั่นแหละ ยืนนิ่งอยู่ทำไม มาช่วยข้าคัดกรองจดหมายหน่อย”
‘ทำไมพวกเราถึงต้องตกอับเช่นนี้’
อสูรกระต่ายได้แต่เดินตามไปอย่างคอตก หน้าม่อย ใครกันนะที่ดันไปรู้เห็นวัฒนธรรมการส่งจดหมายด้วยกระดาษจากต่างเผ่าพันธุ์มา แถมยังตื่นเต้นอยากลองส่งจดหมายกลับไปหาครอบครัว แล้วใครกันที่ต้องลำบาก ก็พวกเขาไงล่ะ
“พวกเจ้าเปิดอ่านทุกแผ่นเลยนะ ถ้าไม่มีอะไรก็แยกไว้กองหนึ่ง แต่ถ้ามีใครเขียนถึงข้อมูลลับเฉพาะของกองทัพก็คัดออกเลย”
อสูรผู้ตกอับทั้งสองยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือกองกระดาษจดหมายที่สูงท่วมตัวจนเกือบถึงเพดานห้องแล้ว
“เจ้าพวกนี้นี่ยังไงนะ จะส่งข่าวด้วยวิธีปกติไม่ได้รึไง ลำแสงคลื่นเสียงน่ะ รู้จักมั๊ย”
“อย่าบ่นมากเลย เจ้ากระต่าย จะว่าไปการแอบอ่านเรื่องคนอื่นนี่ก็สนุกดีนะ”
“เจ้าเจอเรื่องอะไรน่าสนใจหรอ เจ้าเต่า”
“นี่ไง ท่านนายพลพยัคฆ์น่ะมีลูกคนที่ 455 แล้วนะ”
“ว้าว สุดยอดไปเลย ถ้าเราได้เป็นนายพลบ้างก็คงจะร่ำรวย มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงลูกมากมาย”
“ใช่ เจ้ากระต่าย ข้าอยากมีลูกสัก 1,000 ตน”
“ชิ อ่อนหัด ข้าตั้งเป้าไว้สัก 1,500 ตนนู่น”
แล้วทั้งสองก็กอดคอกันหัวเราะต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ความหวัง ความฝันของเหล่าอสูรยังคงสดใสเสมอ
Favorite เหนือภพกลับมานั่งคนเดียวอีกครั้ง เขานั่งขบคิดทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ พ่อเคยสอนอะไรเขาบ้างนะ บางที่พ่ออาจจะสอนวิธีเข้าไปตำหนักเทพแบบปลอดภัยให้เขาก็ได้ เขาไม่เชื่อว่าพ่อเขาจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตำหนักเทพให้เขาฟังเล่น ๆ เพียงอย่างเดียว พ่อเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องตำนานให้เขาฟัง ทั้งยังแฝงข้อคิดไว้ในเนื้อเรื่องเหล่านั้นเสมอ
‘เมื่อใดที่ลูกเข้าไปในตำหนักเทพ สิ่งที่ลูกควรมีไม่ใช่พลังหรือสหาย แต่จงมีสติ จำไว้อย่าให้อีเตอร์สืบทอดนี้ห่างจากตัวเจ้า’
เหนือภพทบทวนคำพูดของพ่อ แต่มันจะช่วยอะไรเขาได้ ถึงอีเตอร์สืบทอดนี้จะแข็งแรงมาก ผิดกับสภาพที่เห็นภายนอก แต่เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่ของวิเศษอะไรแน่นอน
ส่วนคำว่า สติ เป็นสิ่งที่ควรมีในทุกสถานการณ์อยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่คำใบ้ที่ง่ายนัก
เหนือภพเปิดแท็บแล็ตขึ้นมาค้นหาสินค้าดี ๆ ที่อาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็น
-*-*- ระบบปิดปรับปรุงชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ-*-*-
เหนือภพงง ผู้ชี้นำของเขาก็หายตัวไปเลย ไม่เคยติดต่อกลับมา แม้เขาจะส่งข้อความติดต่อไปหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องได้คำตอบจากผู้ชี้นำ
เหนือภพส่งข้อความรัว ๆ ถึงผู้ชี้นำของเขา
ข้าคือเหนือภพ : < ท่านเต็งหนึ่ง >
ข้าคือเหนือภพ : < ท่านเต็งหนึ่ง อยู่ไหม >
ข้าคือเหนือภพ : < ท่านเต็งหนึ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ >
ข้าคือเหนือภพ : < ท่านเต็งหนึ่ง ข้าเข้าระบบไม่ได้ >
ข้าคือเหนือภพ : < ยู้ฮู >
เต็งหนึ่ง No.1 : < ผมจำเป็นต้องปิดระบบชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหา ตอนนี้พวกเขาคิดว่าคุณโกง ความจริงมันก็ไม่ถือว่าโกงหรอก แต่คุณพัฒนาเร็วมากจนพวกขี้อิจฉาเริ่มเห็นว่าคุณโดดเด่นเกินไป พวกเขายืนยันให้ปรับเปลี่ยนระบบ คุณรอหน่อยนะครับ ขอให้โชคดี >
เหนือภพหน้ามุ่ยแต่ก็ไม่รู้จะแย้งผู้ชี้นำยังไง เวลาสำคัญเช่นนี้อยู่ ๆ ก็จำเป็นต้องปิดระบบเฉยเลย
เหนือภพได้แต่นั่งหลับตารอจนกระทั่งคนอื่น ๆ เริ่มตื่น พวกเขากินข้าวและเก็บของค่อนข้างไว เพียงครู่เดียวพวกเขาก็ทยอยกันดำน้ำลึกลงไป
แม้เหนือภพจะเกลียดน้ำอันเนื่องมาจากประสบการณ์อันเลวร้ายของเขา แต่เขาก็รู้สึกสบายสุด ๆ เพียงก้าวขาลงไปน้ำหนักตัวของเขาก็ช่วยถ่วงทำให้เขาไม่ต้องออกแรงดำน้ำเลย แถมเขายังมีความสามารถหายใจในน้ำได้อีก เขาจึงปล่อยให้ตัวเองดิ่งลึกลงไปสู่ปากถ้ำใต้น้ำอย่างรวดเร็ว
เมื่อผ่านเข้ามาถึงจุดที่มืดที่สุดเป็นคนแรก เหนือภพก็บีบหินเรืองแสงที่ได้รับแจกมา จนผิวเนื้อพิเศษบางส่วนของแร่เรืองแสงแตกออก เกิดแสงสว่างส่องประกายจ้าเป็นรัศมีกว่าสองเมตร
เหนือภพอุทานในใจ เขาตกใจจนทำหินเรืองแสงหลุดมือ เมื่อเห็นสัตว์อสูรจระเข้ตัวใหญ่ก็อ้าปากกว้างหมายจะงับเขาเข้าไปทั้งตัว
เหนือภพใช้มือปัดหัวจระเข้ออก ก่อนจะชักมีดหมอข้างเอวแทงเข้าไปที่ลำคอของมันซ้ำ ๆ จนเลือดสีม่วงฟุ้งกระจาย แล้วมันก็ค่อย ๆ แน่นิ่งไป
เขาก้มมองตามหินเรืองแสงก้อนนั้นค่อย ๆ ตกลงไปข้างล่าง แล้วก็ได้เห็นภาพที่ทำเขารู้สึกขนหัวลุก ผิวกายรู้สึกร้อนวาบด้วยเลือดที่สูบฉีดด้วยความตกใจ ความสยองที่รออยู่ข้างใต้คือฝูงสัตว์อสูรจระเข้นับร้อย ไม่สินับพันต่างหาก ไม่เพียงเท่านั้นมันยังมีอสรพิษอีกจำนวนหนึ่งรวมอยู่ด้วย
และเมื่อหินเรืองแสงตกลงไปถึงก้นบึงน้ำ เหนือภพก็พอจะมองเห็นว่าที่นั่นมีแต่เศษซากโครงกระดูกทั้งคนและก็สัตว์อสูรรวมกันอย่างหนาแน่น
เหนือภพเงยหน้ามองด้านบน คนอื่น ๆ กำลังตามลงมา เขาจึงรีบบีบหินเรืองแสงหลายก้อนแล้วโยนกระจายไปรอบทิศเพื่อให้คนข้างบนได้เห็นว่าข้างล่างอันตรายแค่ไหน เมื่อกลุ่มนักขุดทั้งสามสิบคนที่กำลังดำน้ำตามลงมาเห็นภาพดังกล่าวก็ถึงกับสำลักน้ำ พ่นฟองอากาศ จากท่าดำน้ำเท่ ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นท่าหมาตกน้ำซะอย่างนั้น
เหนือภพเกร็งกล้ามเนื้อระดับ 3 ต่อยลงไปข้างล่าง แม้แรงอัดของหมัดจะถูกลดทอนไปบ้าง แต่มันก็มากพอที่จะสร้างแรงต้านจากน้ำ แรงต้านนี้รุนแรงมากพอที่จะผลักพวกเขาทั้งหมดขึ้นไปข้างบน เหนือภพต่อยซ้ำอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดก็กลับขึ้นมาถึงผิวน้ำ
ต่างคนต่างหอบหายใจรุนแรง ขมวดคิ้ว หนังหัวตึง เอนตัวนอนหงายกับพื้นริมบึง
ทุกคนต่างหันมาขอบคุณเขา หากไม่เป็นเพราะเหนือภพ พวกเขาคงถูกฝูงไอ้เข้ข้างล่างแทะเป็นอาหารว่างแน่
“พวกเรากลับกันเถอะลูกพี่ เรามีคนน้อยเกินไป ทำอะไรมากไม่ได้”
“ข้าก็เห็นด้วยนะท่านอา ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักเทพแล้ว มันตำหนักอสูรชัด ๆ เกือบแล้วไงอยู่ดี ๆ ไม่ว่าดีจะลงไปเป็นอาหารให้มัน”
แม้แต่ใต้หล้าก็ยังต้องคิดหนัก พวกเขาเป็นนักขุดแร่ ไม่ใช่ฮันเตอร์ที่จะถนัดในด้านการต่อกรกับสัตว์อสูร
“ถึงเรากลับไป ก็ต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน ตอนนี้ราชวงศ์และขุนนางกดดันพวกเราอย่างหนัก หากพวกเราไม่อยากกลับไปเป็นทาสของราชวงศ์แบบในอดีต พวกเราก็ต้องมีแร่ 5 สีเป็นสิ่งต่อรอง”
ใต้ศิลาพูดอย่างตรงไปตรงมา คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบเสียงไป เมื่อไม่มีใครเห็นแย้ง ใต้ศิลาจึงเริ่มคิดหาวิธีการ
“เหนือภพเจ้ามีความคิดดี ๆ ที่จะทำให้พวกเราลงไปได้ไหม”
เหนือภพส่ายหน้า ต่อให้เขาหายใจใต้น้ำได้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้คล่องตัวเท่าบนบก แถมพละกำลังยังถูกลดทอนลงเพราะมวลของน้ำอีกด้วย เขาครุ่นคิดชั่วครู่แล้วก็เสนอความเห็นออกมา
“นอกจากเราจะล่อให้ตัวที่อยู่ข้างล่างทยอยขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ฆ่าพวกมันจนกว่าจะหมด นอกจากวิธีนี้ ข้าก็คิดไม่ออกแล้ว”
ใต้หล้าได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแห้ง แล้วก็ตาเบิกค้าง
“ข้าว่าไม่ต้องไปล่อมันหรอก พวกมันมาโน่นแล้ว”
พวกเขาทั้งกลุ่มหันกลับมองไปอีกทีก็เห็นฝูงจระเข้และฝูงอสรพิษที่มีความยาวไม่น้อยกว่า 5 เมตรโผล่หัวขึ้นมา ลอยเป็นแพเต็มบึงน้ำที่กว้างกว่า 500 เมตรนั้น
ในที่สุดเหนือภพก็ได้คำตอบว่าเพราะอะไรถ้ำลึกสุดของเหมืองแห่งนี้จึงไม่ถูกแตะต้อง ก็ฝูงสัตว์อสูรแรงค์ E พวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ไร้พรสวรรค์จะจัดการได้ ส่วนพวกผู้มีพรสวรรค์ก็ไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะปราณอาคมภายในร่างกายพวกเขาจะเป็นปัญหากับสถานที่ที่มีแร่ 3 สี ขึ้นไป หากได้เจอกันก็เหมือนน้ำกับไฟ เมื่อมีสิ่งหนึ่งอยู่อีกสิ่งก็ต้องอยู่ไม่ได้
เรื่องนี้อาจมีสาเหตุมาจากผู้มีพรสวรรค์ส่วนใหญ่ที่ซึมซับพลังงานจากแร่ 3 สีขึ้นไปเพื่อเพิ่มระดับปราณอาคมให้ตัวเอง ทำให้พวกแร่ 3 สีขึ้นไปที่มีความคิดและจิตวิญญาณเกิดตื่นกลัว มันก็ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คือมันไม่อยากตาย
ดังนั้นผู้มีพรสวรรค์จึงไม่สามารถเข้าใกล้สายแร่ที่มีสีมากกว่าสามสีได้เลย ต่างจากผู้ไร้พรสวรรค์ที่จะไม่ได้รับภัยคุกคามใด อย่างน้อยจุดอ่อนเรื่องไร้ปราณอาคมก็สามารถแลกกับการขุดแร่เอาไปขายหรือเอาไปเป็นวัตถุดิบประกอบในการผลิตสิ่งต่าง ๆ
พวกเขาทั้งหมดเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วน ความมุ่งมั่นนั้นฉายชัดในแววตา
เมื่อใต้ศิลาเปิดฉากโจมตีสัตว์อสูรที่กำลังคืบคลานขึ้นมาบนบก ทุกคนก็พุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยท่วงท่าห้าวหาญ พวกเขาไม่ใช่นักขุดแร่ธรรมดาทั่วไป แต่พวกเขาได้รับการฝึกฝนวิชาการต่อสู้ แถมยังได้รับการบำรุงด้วยเนื้อส่วนพิเศษเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายอีกด้วย
โดยรวมแล้วค่าความแข็งแรงและพละกำลังของร่างกายก็ไม่ได้แตกต่างจากเหนือภพสักเท่าไหร่ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มีเหล็กไหลผสานรวมในกายก็เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็นับเป็นผู้มีประสบการณ์โดยแท้ แต่ละคนล้วนมีอาวุธประจำกาย อาวุธที่ถูกสั่งทำพิเศษที่มีส่วนผสมของเหล็กไหลและเคลือบทับด้วยแร่ 4 สี อานุภาพและความคมของมันจึงเพียงพอที่จะเฉือนหนังแข็ง ๆ ของจระเข้ได้ไม่ยาก
ด้วยพละกำลังที่มากล้นของทีมนักขุดชั้นเลิศ ทั้งจระเข้และงูต่างถูกเหวี่ยงออกไปไกล บ้างถูกเหยียบจนแบน บ้างถูกรุมแทง ฉากการต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้มีท่วงท่าสวยงาม ไม่มีแสงสีเจิดจรัสเฉกเช่นการต่อสู้ของผู้มีพรสวรรค์ มีเพียงเลือดที่สาดกระเซ็น เสียงกรีดร้อง เสียงกระแทกสะเทือนเลื่อนลั่น และเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งของกลุ่มชายกล้ามโต
เหนือภพตวัดมีดหมอตัดหัวงูนับสิบที่พุ่งเข้ามาอย่างช่ำชอง หากเขาตกอยู่ในวงล้อมเขาก็จะกระโดดฝ่าวงล้อมพุ่งขึ้นฟ้าไป แล้วใช้กระบวนท่าดับเครื่องชนอย่างถุงเงินร่วงหล่นผสานกับอาคมของเหล็กไหล แถมด้วยพลังจากการเกร็งกล้ามเนื้อขาระดับ 3 แล้วค่อยพุ่งตกลงมา
แสงสีส้มทองระเบิดกลืนกินสัตว์อสูรที่อยู่ภายในรัศมีห้าเมตรจนหมดสิ้น น้อยครั้งที่จะมีตัวที่รอดชีวิต แต่ถึงแบบนั้นมันก็จะต้องถูกมีดหมอของเหนือภพเขวี้ยงใส่เพื่อปิดฉากความตาย
ใต้หล้าเอ่ยถามขณะใช้ ‘แสงเงิน’ อีเตอร์คู่กายของตัวเองจามหัวจระเข้จนเลือดสีม่วงกระฉูดพุ่งเปรอะเปื้อนใบหน้า แต่ใต้หล้าไม่สนใจ เขาเพียงดึงอีเตอร์กลับมาแล้วก็ทำการเช็ดคราบเลือดออก แล้วก็ใช้มันทุบหัวจระเข้ตัวต่อไป
เหนือภพตอบเพียงสั้น ๆ ขณะเขวี้ยงมีดหมอออกไปพร้อมกันสี่เล่ม พวกมันปักเข้าไปในหัวงูใหญ่สี่ตัวอย่างแม่นยำ พวกมันคืองูที่กำลังพุ่งเข้ามาหมายโจมตีใต้หล้า เมื่อช่วยใต้หล้าได้สำเร็จแล้ว เหนือภพก็จากไปพร้อมกับเอ่ยทิ้งท้ายไว้
“ถ่วงเวลาให้หน่อย สักครึ่งนาที”
ใต้หล้าตอบกลับพร้อมกับเคลื่อนตัวมาอยู่ใกล้เหนือภพเพื่อคอยป้องกันตัวก่อกวนทั้งหลาย ส่วนเหนือภพนั้นยืนนิ่งเกร็งกล้ามเนื้อแขนขวา หน่วงมันไว้เพื่อรีดเค้นกำลังมารวมอยู่ที่แขนข้างนี้ เมื่อครบเวลาที่กำหนด กำปั้นพละกำลังระดับสูงสุดของเขาก็เหวี่ยงออกไปพร้อมกับคำพูดหนึ่ง
ทิศทางที่เขาเหวี่ยงแขนออกไปคือจุดที่สัตว์อสูรจระเข้และสัตว์อสูรงูรวมตัวกันอยู่มากที่สุด
รูปลักษณ์ของเหนือภพกลายเป็นสีขาวทั้งหมด ขณะที่แขนซ้ายของเขาปรากฏอักขระสีทองรูปยักษ์ถือตะบองปรากฏทะลุเสื้อผ้า ทะลุเกราะเจ็ดสีออกมา ยักษ์อาคมสีขาวโปร่งแสงขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหลังของเขา สร้างความน่าเกรงขามและพลังอำนาจที่แผ่ออกมา ทำให้นักขุดเหมืองตระกูลใต้ต้องสั่นสะท้านจนเกิดเป็นความยำเกรงอย่างประหลาด
เสียงอากาศแตกร้าวราว โถงถ้ำธรรมชาติสั่นสะเทือนจนนักขุดเหมืองตระกูลใต้แทบยืนหยัดไม่อยู่ สรรพสิ่งในรัศมีสิบเมตรสะเทือนเลื่อนลั่น มันสั่นไหวรุนแรงจนพื้นดินแตกร้าวดีดเด้งราวกับฝุ่นผงบนหนังกลอง
ทันทีที่เหนือภพออกหมัด พื้นที่เบื้องหน้าเหนือภพถูกแทนด้วยกระแสลมกรรโชกผสมผสานไปด้วยแสงส้มเหลืองจากปราณอาคมที่บิดเป็นเกลียวผสมผสานไปกับสายลมหมุน กระแทกจนไถหน้าดินเป็นร่องกว้างเริ่มจากหนึ่งเมตรขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เป็นรูปกรวย กวาดล้างสัตว์อสูรจระเข้และสัตว์งูที่อยู่เบื้องหน้าภายในรัศมีจนสิ้น พื้นผิวบึงน้ำถูกไถจนเกิด เป็นกระแสคลื่นยักษ์พาพวกมันไปกระแทกเข้ากับผนังถ้ำอีกฝั่งดังสะเทือน ตัวโถงถ้ำสั่นคลอนคล้ายจะถล่ม เศษหินใหญ่หินเล็ก ก้อนแร่ หินเรืองแสงที่เกราะตามผนังหลุดร่วงกราวลงมา
มวลน้ำที่ถูกกระแทกโน้มไปอีกฝั่งก็เริ่มตีไหลย้อนกลับมาจนล้นตลิ่ง พร้อมกับเศษซากสัตว์อสูรและสัตว์อสูรที่ยังมีชีวิตไหลทะลักท่วมทีมนักขุด จนร่างกายพวกเขากลับมาเปียกโชกอีกครั้ง
พวกเขาใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่งจึงจัดการพวกมันเสร็จ ก่อนจะล้มตัวนอนหงายกับพื้นไปโดยไม่สนใจเศษซากสัตว์อสูรและพื้นชุ่มแฉะไปด้วยน้ำและเลือด
พวกเขาเหนื่อยล้าจนสุดทนแล้ว
Favorite ใต้ศิลามองประเมินเหนือภพอย่างชื่นชม เขาชอบคนหนุ่มไฟแรงที่กล้าเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และรู้ว่าสิ่งที่คู่ควรกับการลงแรงเหนื่อยยากของตัวเองคืออะไร ไม่เหมือนเจ้าหลานใต้หล้าของเขา ไม่ว่าจะมีฝีมือมากเพียงไหน ไม่ว่าจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ แต่ใต้หล้าก็ทุ่มทรัพย์สินทั้งหมดไปกับการซ่อมแซมอีเตอร์บ้าบอนั่น
“ข้าได้เห็นแล้วว่าเจ้ามีความสามารถในการค้นหาแร่สามสี และด้วยร่างกายใหญ่โตราวกับกระทิงยักษ์ของเจ้า ข้าเลยอยากให้เจ้ามาช่วยพวกเราขุดหาแร่ห้าสี”
“ข้าก็อยากจะหาอยู่หรอกนะ แต่มันคงหายากน่าดู ข้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้”
เหนือภพหาทางปฏิเสธ คนพวกนี้น่าสงสัย อาจจะหาทางขโมยเงินของเขาแน่เลย ให้ตายเขาก็ไม่ไป
“งั้นหรอกหรือ เสียดายข้าก็หวังไว้ว่าพวกเราจะช่วยกันหาจนเจอ พอเจอแล้วข้าคิดว่าจะแบ่งแร่ห้าสีให้เจ้าสี่ส่วน ข้าจะเอาแค่หกส่วน แต่ก็ไม่เป็นไร ตามใจเจ้า”
ใต้ศิลาพูดจบก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่เหนือภพเรียกเขาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิ ข้าคิดว่าข้าน่าจะทำได้นะ ถ้าท่านให้โอกาส”
‘ว่าแล้วเชียว คนหนุ่มไฟแรงจะปฏิเสธผลประโยชน์นี้ได้ไง’
แต่ใต้ศิลากลับแสดงออกด้วยท่าทีของผู้นำที่เข้มงวด
“ตกลง เราจะเริ่มงานกันตอนนี้เลย เหนือภพเจ้าตามพวกเขาไปก่อนเลย”
จากนั้นทีมนักขุดกล้ามโตทั้งสามสิบคนก็เดินนำเข้าไปในเหมือง โดยมีเหนือภพเดินตามไปด้วยดวงตาเป็นประกาย ส่วนใต้ศิลาและใต้หล้าเดินรั้งท้ายเพื่อพูดคุยกันตามประสาญาติสนิท
“ท่านอาชวนเขาง่ายไปมั๊ย เจ้านั่นเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้”
“ท่านอารู้อะไรหรือ บอกข้าที”
“ก็ได้ อ้อ ข้าขอส่วนแบ่งด้วยสิ”
ใต้ศิลาต่อยกลางหลังของใต้หล้าเต็มรัก หมัดนั้นไม่มีการออมแรงเลยแม้แต่น้อย ใต้หล้าถึงกับตัวปลิวไปจนเกือบชนเหนือภพที่เดินนำหน้าอยู่ แต่ใต้หล้ามีร่างกายแข็งแกร่งมากพอ เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร นอกจากความช้ำใจที่ท่านอายังชอบเล่นกับเขาเหมือนเขายังเป็นเด็ก นี่เขาโตแล้ว ท่านอาก็ยังมาทำแบบนี้อีก มันน่าช้ำใจนัก
เมื่อระยะทางลึกลงไปมากขึ้นคบเพลิงก็ถูกดับลง สิ่งที่พวกเขาใช้ให้แสงสว่างแทนคบเพลิงคือหินเรืองแสง แม้หินเรืองแสงจะสามารถให้แสงสว่างได้ดีกว่าคบเพลิง แต่มันก็ใช้ได้เพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น แถมยังมีราคาแพงถึง 10,000 เหรียญเงินต่อก้อน ดังนั้นหากไม่จำเป็นก็ไม่มีใครอยากใช้มัน
อากาศภายในเหมืองยังลงลึกปริมาณอากาศที่ใช้หายใจได้ก็มีน้อยลงมาก ใต้ศิลารู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเหนือภพไม่มีท่าทีอึดอัด ถึงเขาจะพอรู้จักตัวตนของเหนือภพ แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าเหนือภพจะถูกฝึกมาดีแบบนี้
“เจ้าเคยเข้าไปในเหมืองโบราณมาก่อนใช่มั้ย”
ใต้ศิลาเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง แต่เหนือภพส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ลงมาลึกขนาดนี้ ”
“น่าแปลก หากนี่เป็นครั้งแรกของเจ้า ก็ถือว่าเจ้ามีพรสวรรค์ไม่เลว แต่เมื่อไหร่ไม่ไหวเจ้าก็บอกพวกข้า อย่าได้ฝืน มีคนมากมายที่คิดว่าตัวเองแน่ตัวเองเก่ง แต่สุดท้ายก็ตายมานักต่อนักแล้ว”
พวกเขาเดินลึกลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านไปสามวันโดยประมาณ พวกเขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่ใต้ดิน เส้นทางถูกขุดมาถึงห้องโถงแห่งนี้ แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น
ภายในโถงถ้ำเหมืองนี้มีขนาดใหญ่มาก ความกว้างอย่างน้อยก็หนึ่งกิโลเมตร ส่วนความสูงนั้นก็ประมาณหนึ่งกิโลเมตรเช่นกัน บนพื้นมีพืชประหลาดมากมายที่สามารถพบเห็นใต้ดินเท่านั้น พวกพืชหลากสีสัน บ้างเรืองแสง บ้างเคลื่อนไหวโยกไปมา ต่างก็ขึ้นปกคลุมพื้นที่บริเวณนี้เกือบทั้งหมด
“โชคดีเหมือนกันนะนี่ มีหินเรืองแสง ไม่น้อยเลย ก้อนขนาดนี้คงได้เงินหลายถุง”
หนึ่งในกลุ่มคนขุดแร่พูดขึ้นเมื่อมองเห็นโถงถ้ำแท่งหินผลึกเหมือนคริสตัลส่องแสงสว่างตามผนังและเพดาน มันทำให้ห้องโถงนี้น่าดูและปลอดภัย
พื้นที่ด้านในสุดของถ้ำ มีบึงน้ำใสที่มีปากทางเข้าเหมืองซ่อนอยู่ใต้บึงน้ำอย่างมิดชิด
“ไม่ใช่ว่าเหมืองโบราณซ่อนอยู่ในป่าอมตะหรอกเหรอ ทำไมมีเหมืองโบราณที่นี่อีก โอ๊ย !”
ใต้หล้ายังพูดไม่จบก็โดนใต้ศิลาเขกหัวอย่างแรง
“เจ้าโง่ เหมืองโบราณมันไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นคำเรียกที่ใช้เรียกเหมืองที่มีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปีต่างหาก”
แท้จริงแล้วเหมืองโบราณคือเหมืองที่นักขุดสมัยโบราณขุดเพื่อหาทรัพย์สมบัติ โชคไพศาลเองก็เป็นหนึ่งในเหมืองโบราณที่คนภายนอกไม่รู้จัก เพราะเส้นทางที่ใช้ลงมาที่นี่ซับซ้อนและใช้เวลานาน อีกทั้งหากไม่ผ่านการฝึกฝนมาก่อนก็จะขาดอากาศหายใจจนตาย
คนส่วนใหญ่ที่พยายามมาที่นี่ล้วนตายไประหว่างทาง หรือไม่ก็ถูกสัตว์อสูรใต้ดินลากไปกิน และคนตายก็ไม่อาจออกไปบอกเล่าอะไรได้ ดังนั้นมันจึงยังคงเป็นความลับที่ตระกูลใต้เก็บซ่อนเอาไว้
“เดิมทีท่านผู้นำตระกูลไม่อยากให้พวกเราลงมาหรอก ที่นี่อันตรายเกินไป ทางที่ดีพวกเรารวมตัวกันไว้ อย่าแยกกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นขอให้ส่งเสียง”
“มันจะเกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
เหนือภพรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ที่แห่งนี้มีกลิ่นอายความตายหนาแน่นมาก เขารับรู้ได้ชัดเจน แม้เขาจะใช้ดวงตามองผนังแร่แต่ละแถบแล้วเห็นจุดสามสี จุดสี่สีเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ เพราะถ้าตระกูลใต้ยังไม่กล้าขุดมันก็แปลว่ามันขุดได้ไม่ง่ายแบบนั้น
“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับ ตำหนักเทพ หรือเปล่า”
เหนือภพรีบพยักหน้า พ่อเคยเล่าให้เขาฟังตอนเขายังเด็ก ตำหนักเทพเป็นคำเรียกสถานที่ใจกลางของภูเขาแร่ มันอยู่ลึกมาก แต่ก็เป็นสถานที่ที่สวยงามราวกับตำหนักสวรรค์ ที่นั่นมีแร่หายากมากมาย มีวัตถุทนสิทธิ์ธรรมชาติที่หาได้ยาก มันเป็นสิ่งที่มีอานุภาพด้านปราณอาคมที่หาใครเปรียบ
ภายในตำหนักเทพไม่ได้มีเพียงสมบัติล้ำค่าเท่านั้น แต่มันยังมีผู้ปกป้องที่แข็งแกร่ง มีคนจำนวนมากต้องตกตายภายในตำหนักเทพนับไม่ถ้วน
“ก็อย่างที่เจ้าเคยได้ยินมานั่นแหละ ตระกูลนักขุดเหมืองอย่างเรา ๆ ที่ควรระวังที่สุดก็คือ ตำหนักเทพ แต่ว่าบางครั้งผลประโยชน์ในตำหนักเทพก็คุ้มค่ากับความเสี่ยง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนจากตระกูลขุดเหมืองเช่นกัน ดังนั้นเจ้าคงประเมินได้ว่ามันเสี่ยงขนาดไหน”
“ใช่ หากข้าเดาไม่ผิด อีเตอร์ที่เจ้าพกอยู่น่าจะเป็นของสืบทอดจากตระกูลเหนือ ตราสัญลักษณ์วงกลมที่อยู่บนหัวเหล็กนั่นทำให้ข้าจำได้ ในอดีตตระกูลเหนือใต้เคยเป็นหนึ่งเดียวกัน กระทั่งถึงยุคที่ผู้ไร้พรสวรรค์ถูกกวาดล้าง ทำให้ตระกูลแตกแยกเป็นสองสาย สายเหนือส่วนใหญ่ล้มตาย ส่วนสายใต้ของเราก็แทบจะสิ้นเผ่าพันธุ์ แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าทายาทของสายตระกูลเหนือจะยังคงมีชีวิตอยู่”
“การที่ท่านชวนข้ามาก็เพราะอยากสานสัมพันธ์ในอดีตหรือครับ”
ใต้ศิลาปฏิเสธและพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก ตระกูลเหนือถือครองความลับเกี่ยวกับตำหนักเทพเอาไว้ การที่ข้าพาเจ้ามาก็เพราะเหตุนี้แหละ”
เหนือภพขมวดคิ้ว ที่แท้ก็แค่อยากใช้งานเขา แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่รู้ความลับที่ว่าอยู่ดี
“แต่ข้าไม่รู้ความลับที่ท่านว่าหรอกนะ พ่อข้าตายไปตั้งแต่ข้ายังเล็ก พ่อสอนให้ข้าดูแร่เป็นเท่านั้น ไม่ได้สอนอะไรอื่นเลย”
ใต้ศิลาจ้องเหนือภพเขม็ง เมื่อเห็นว่านั่นไม่ใช่การโกหก เขาก็เบนสายตาออก พลางถอนลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย
“งั้นก็ช่างเถอะ เราค่อยหาวิธีกันอีกทีว่าจะทำยังไงต่อ”
พูดจบใต้ศิลาก็ลุกออกไปหากลุ่มนักขุดที่เริ่มก่อไฟทำอาหาร
“ลูกพี่ พวกเราขุดแร่ที่นี่ได้หรือเปล่า มีอันตรายไหม”
พวกลูกน้องของใต้ศิลายังคงรู้สึกกล้า ๆ กลัวอยู่ ๆ แม้พวกเขาผ่านเหมืองแร่มามากแต่ก็เพิ่งเคยเจอเหมืองแร่ที่ให้ความรู้สึกขนลุกตลอดเวลาเช่นนี้
“จุดที่เราอยู่นี่ เรียกว่าตำหนักเทพ”
พอคำว่าตำหนักเทพหลุดออกจากปากหัวหน้าทีม ทุกคนก็มีสีหน้าซีดเซียว ไม่เว้นแม้แต่ใต้หล้า นักขุดเหมืองทุกคนต่างรู้จักคำคำนี้ มันเป็นสิ่งแรก ๆ ที่นักขุดจะถูกสอนให้ระวังสถานที่อันตรายนี้
“ไม่ต้องกลัว ตรงนี้ยังไม่ใช่ตำหนักเทพจริง ๆ เป็นแค่ลานหน้าประตูตำหนักเทพ ไม่มีอันตรายมากนัก จุดที่เป็นตำหนักจริง ๆ คือถ้ำที่ซ่อนอยู่ใต้บึงนั่น พวกเราพักกันก่อนแล้วค่อยลงไปสำรวจกัน”
“โธ่ลูกพี่ เรายังจะลงไปอีกหรอ พวกเรามากันแค่สามสิบคนเองนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาคนน้อย แบบนี้รอดยากนะลูกพี่”
“ไม่ต้องห่วงน่า เรื่องนี้ข้าวางแผนมาแล้ว เพียงตามข้าและฟังข้า พวกเราทุกคนจะกลับขึ้นไปได้แน่ แต่อาจจะต้องเจ็บตัวกันสักหน่อย”
เหนือภพพูดโพล่งขึ้นขณะเดินมาร่วมวง เขาเอาข้าวโพดจากถุงหนังที่พกมา แล้วเอามาย่างจนมีกลิ่นหอมอบอวล นี่เป็นอีกมื้อที่เขายังคงเจริญอาหาร
ขณะที่ทุกคนหลับไปเหนือภพกลับยังคงลืมตาใสแจ๋ว เขานอนเอนกายพิงหินข้างกองไฟเพื่อความอบอุ่น ถ้ำนี้ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งหนาว อากาศภายในเย็นจัด แม้ชุดคลุมหนังขนของสัตว์อสูรตัวใหม่ที่เขาได้มาจากหอร้อยบุปผาจะหนานุ่ม แต่มันก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก
จู่ ๆ ใต้ศิลาก็ลุกขึ้นมานั่งข้างเหนือภพ
ถึงเขาจะประหลาดใจกับแววตาที่ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาตลอดเวลาของเหนือภพ แต่เขาอยู่มานานพอ และได้เห็นอะไรแปลก ๆ มามากมาย
“เจ้าคงได้กินเนื้อสัตว์อสูรพิเศษที่มีสรรพคุณจำพวกไม่ต้องหลับต้องนอนสินะ”
เหนือภพประหลาดใจเล็กน้อยที่ชายวัยกลางคนทายได้ถูกเป๊ะเลย
“ตระกูลเจ้าเหลือนักขุดกี่คน”
คำตอบของเหนือภพช่างเหนือความคาดหมายของใต้ศิลา แต่นั่นก็ทำให้ใต้ศิลาพอจะเข้าใจได้ว่าเคล็ดลับพิเศษเกี่ยวกับตระกูลเหนือนั้นคงไม่ได้ถูกส่งต่อมายังเหนือภพอย่างสมบูรณ์
“เจ้าคงต้องเหนื่อยมากแน่ กับการที่ต้องทำงานคนเดียวเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง”
ใต้ศิลาตบไหล่เหนือภพเป็นนัยว่าเข้าใจชีวิตแบบนั้น
ใต้ศิลาตบแรงไปหน่อยตามความเคยชิน แต่เหนือภพก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนอะไร เขาเพียงหันมองใต้ศิลานิ่งอยู่อย่างนั้น
“โทษที มันเคยชินน่ะ ตระกูลนักขุดมันก็ต้องฝึกความแข็งแรง ใช่มั๊ยล่ะ อ้อ ถ้าเจ้าว่างก็ช่วยพยายามทบทวนหน่อย เผื่อว่าพ่อเจ้าจะบอกอะไรอย่างอื่นอีก”
ใต้ศิลาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็แยกตัวไปนอนพักผ่อน
Favorite กลางดึกคืนนั้น
เหนือภพพูดคุยอยู่กับตัวเองขณะจ้องมองแท็บแล็ตในมือ วัตถุดิบลับนี้น่าสนใจมาก แต่ว่าเขาต้องใช้เงินจำนวนมากมาแลกกับมัน
สินค้า : เหงือกข้างซ้ายของเงือกวารี
สรรพคุณ : ทำให้สามารถหายใจใต้น้ำได้เหมือนปลา มีผลตลอดชีวิต
ราคา : 9,000,000,000 พ้อย
เหนือภพคิดอยู่นาน จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจซื้อมา เพราะเขาผ่านประสบการณ์เลวร้ายที่เกี่ยวกับน้ำมามาก และหากเขาต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้นอีก เขาก็อยากเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง
เขารอเพียงครู่เดียวก็มีกระรอกตัวหนึ่งคาบถุงเล็ก ๆ สีแดงมาให้เขา จากนั้นเหนือภพก็ก่อไฟย่างเหงือกปลาที่มีขนาดเพียงนิ้วหัวแม่มือนั้น ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้กลืนเหงือกปลาในปาก เขาก็ลุกขึ้นเก็บของเตรียมเข้าเหมืองอีกครั้งโดยไม่สนใจนอนพัก เขาตั้งใจว่าจะต้องหาแร่สามสีและสี่สีให้ได้ เพื่อชดเชยกับเงินที่เพิ่งสูญเสียไป
“ขยันดีนะพ่อหนุ่ม ขอให้โชคดีได้แร่เยอะ ๆ”
เหนือภพจ่ายเงินให้ฮันเตอร์เฝ้าเหมืองอย่างรวดเร็วเช่นเคย บรรยากาศในเหมืองช่วงกลางดึกก็ไม่ต่างจากตอนกลางวันมากนัก นักขุดมากมายต่างผลัดกันขุดแทบจะตลอดเวลา
ในครั้งนี้เหนือภพเลือกเส้นทางใหม่ เขาเลือกเส้นทางที่ถูกบุกเบิกใหม่ โดยสังเกตจากสีของผนังหิน และจำนวนนักขุดที่มีหนาแน่นเป็นพิเศษ เส้นทางใหม่นี้น่าจะถูกขุดขึ้นมาในเวลาไม่เกินหนึ่งปี ดังนั้นสายแร่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่มาก เสียอย่างเดียวคือคู่แข่งนักขุดก็มากมายเช่นกัน แต่เหนือภพหากลัวไม่
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้หนู..”
นักขุดรุ่นเก๋าล่ำบึ๊กสามคนหยุดขุดแล้วหันมาขู่เหนือภพ พวกเขาจับจองคูหาที่อยู่ลึกที่สุดไว้แล้ว ส่วนคูหาอื่น ๆ ก็มีนักขุดจับจองไว้หมดแล้วเช่นกัน
เหนือภพหันมองรอบด้าน ที่นี่มีนักขุดเจ้าเก่าจำนวนนับร้อย ดังนั้นเหนือภพจึงไม่อยากก่อเรื่องวุ่นวายอะไร เขาจึงถอยตัวออกไปหาผนังหินที่ยังว่างอยู่ท่ามกลางผู้คน พื้นที่ที่เหนือภพยืนอยู่มีนักขุดขนาบสองข้าง พวกเขาขุดอยู่ตลอดเวลาราวกับต้องการแสดงให้เห็นว่า
‘ข้าขุดตรงนี้อยู่ อย่ามายุ่ง’
เหนือภพจึงจำเป็นต้องขุดเฉพาะพื้นที่ที่เหลือตรงหน้า พื้นที่ที่ว่ามีความกว้างประมาณ 60 เซนติเมตรเท่านั้น แต่เหนือภพก็ไม่เรียกร้องอะไร เขาเพียงยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เริ่มขุด ขุด แล้วก็ขุด
เสียงเซ็งแซ่ดังมาจากนักขุดรอบด้าน เมื่อพวกเขาเห็นว่าเจ้าหนุ่มหน้าใหม่คนนั้นหายลับเข้าไปในเส้นทางใหม่ที่เขาสร้างขึ้นมาจากพื้นที่เพียงไม่ถึงเมตร
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เนื่องจากชั้นหินใต้เหมืองแห่งนี้มีความแข็งมาก กว่าพวกเขาจะขุดสร้างเส้นทางใหม่ที่มีความลึกได้หนึ่งกิโลเมตรนี้ พวกนักขุดนับร้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นปีในการช่วยกันเบิกทาง แต่เจ้าหนุ่มนี่กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงขุดสร้างเส้นทางลึกลงเข้าไปจนไม่เห็นตัวเสียแล้ว
นักขุดรุ่นเก๋าหลายคนชวนกันจะเข้าไปในเส้นทางที่เหนือภพบุกเบิกขึ้นมาใหม่ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไป เหนือภพก็โผล่หัวออกมาซะก่อน
“หยุด ! ใครเข้ามาเจอดีแน่ อยากได้ที่ขุดใหม่ ๆ ก็ไปขุดเส้นทางเองสิ”
เหนือภพพูดจบก็ทำหน้าขึงขังเป็นการข่มขวัญ และมันก็ได้ผลไม่มีใครตามเขาเข้ามาอีกเลย และต่อให้พวกเขาจะมายืนออกันอยู่หน้าคูหาก็ไม่สามารถมองเห็นข้างในได้ เพราะเหนือภพขุดสร้างเส้นทางเป็นแนวฟันปลา เส้นทางที่หยักไปมานี้ทำให้คนภายนอกไม่สามารถเห็นภายในได้เลย
เหนือภพกลับเข้ามาในคูหาที่เขาเพิ่งขุดขึ้นมา ภายในนี้เขาขุดขยายเป็นวงกลมขนาดใหญ่ เนื้อหินภายในนี้มีสายแร่สองสีเป็นจำนวนมาก แต่เหนือภพไม่อยากเสียเวลาไปกับแร่สองสีอีกแล้ว ด้วยจำนวนกองทัพนักขุดที่พร้อมจะแห่เข้ามาแย่งขุดเมื่อเจ้าของที่เดิมไม่อยู่ บีบบังคับให้เหนือภพต้องขุดค้นหาของราคาแพงที่สุด โดยใช้เวลาน้อยที่สุด
“เห้อ แร่สามสีจ๋า เจ้าไปอยู่ที่ไหน รู้มั้ยว่า.. เอ๊ะ !”
จู่ ๆ เหนือภพก็รู้สึกตัวร้อนวูบวาบ ฝ่ามือทั้งสองข้างสั่นระริกจนอีเตอร์หลุดมือ เขารู้สึกได้ว่าเหล็กไหลในตัวเขากำลังเกิดปฏิกิริยาบางอย่างกับผนังหินตรงหน้า
เหนือภพมองผนังหินที่อยู่ห่างออกไปไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น
แต่เหนือภพตกใจเกินไป เขาขยี้ตาแล้วก็หลุดจากภวังค์ ความวูบวาบทั้งหลายหายไปจากตัว เมื่อลืมตามองอีกทีสิ่งที่เขารู้สึกเมื่อครู่ก็ไม่มีอีกแล้ว เหนือภพลงมือขุดผนังหินเบื้องหน้าเพื่อคลายความสงสัย และแล้วเขาก็ค้นพบสะเก็ดแร่สามสี ที่ติดค้างซอกหินอยู่เพียงปลายก้อย
“เรื่องจริงหรอนี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เหนือภพหยุดการขุดทั้งหมดแล้วมานั่งกุมขมับอยู่กลางโถงเล็ก ๆ เคียงข้างคบเพลิงเพียงหนึ่งอัน เขานั่งคิดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง จนในที่สุดก็เหมือนมีใครมาจุดประกายในสมองของเขา
“รู้แล้ว ต้องเป็นเพราะเหล็กไหลตัวของเราแน่เลย ราชันย์พิภพก็ต้องควบคุมพวกแร่ธรรมดาได้สิ ไหนลองใหม่สิ”
“แร่สามสี แร่สามสีจ๋า แร่สามสีออกมาหน่อย แร่สามสี…”
เขาเพ่งสมาธิและพูดกับตัวเองราวกับคนเพ้อ ทว่ามันกลับได้ผล ร่างกายของเขาเริ่มร้อนวูบวาบอีกครั้ง เขาตั้งใจเพ่งต่อไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด เขาไม่สามารถเรียกสายแร่สามสีออกมารวมกันได้
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อหลับตาลงในความมืดกลับเป็นจุดสีต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนผนัง จุดสีที่ว่าก็คือแร่มีสี ในคูหาที่เขาอยู่มีจุดสองสีหนาแน่น จุดสามสีที่เขาเห็นมีจำนวนน้อยกว่า ทั้งยังอยู่ลึกไปเนื้อหิน
เหนือภพค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจให้ช้าลง เมื่อลืมตาขึ้นดวงตาของเขาก็แปรเปลี่ยนสีส้มทอง ทำให้ความสามารถในการเพ่งจิตมองหาแร่ยังคงอยู่
เหนือภพลงมือขุดด้วยอารมณ์เบิกบาน จนกระทั่งสายแร่สามสีหมดลง เขาจึงรู้ตัวว่าขุดจนคูหาลึกเข้าไปอีกเกือบสิบห้าเมตร เขาตื่นเต้นมากกับแร่สามสีเต็มตะกร้าจนไม่อยากขุดแร่ธรรมดาเพื่อเติมเต็มตะกร้าอีกใบ
เหนือภพคว้าตะกร้าสุดหวงแล้วก็วิ่งออกไปหาพ่อค้าที่อยู่หน้าทางเข้าถ้ำ โดยมีเสียงฮือฮาของนักขุดตลอดเส้นทาง
ณ ร้านรับซื้อแร่หน้าเหมือง เวลาบ่ายโมง
“พี่ ๆ ทั้งหมดนี้เท่าไหร่”
เหนือภพวางตะกร้าลงหน้าร้านรับซื้อแร่ แล้วก็ยืนเท้าสะเอวยิ้มกว้างราวกับคนบ้า
เหนือภพหันมองใต้หล้าที่พูดแดกดันเขา ทั้งยังกำลังวางตะกร้าที่เต็มไปด้วยแร่สองสีลงข้าง ๆ เขาถึงสองตะกร้า
“ใครขี้อวดก็ยังไม่แน่” เหนือภพพูดจบก็ยิ้มเยาะเล็กน้อย
“ลองมาพนันกันมั๊ยล่ะ ของใครมีมูลค่ามากกว่ากันก็ถือว่าชนะ”
ใต้หล้ายึดอดแกร่งขึ้นอย่างผ่าเผยมั่นใจ เหนือภพได้ยินดังนั้นก็เห็นช่องทางหารายได้เสริม เขาจึงต่อรองไปว่า
“ถ้าข้าชนะ เจ้าต้องยกรายได้ของแร่สองตะกร้านั่นให้ข้า กล้ารึเปล่า”
“เฮอะ ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าข้าชนะ ข้าไม่เอาอะไรทั้งนั้น แต่เจ้าต้องเปลี่ยนไปใช้อีเตอร์อันใหม่”
ใต้หล้าพูดพลางเหลือบมองอีเตอร์สุดเก่าของเหนือภพด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างล้ำลึก ในฐานะทายาทตระกูลขุดแร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด เขาย่อมรักและทะนุถนอมอีเตอร์ยิ่งชีพ แค่เขาเห็นอีเตอร์มีรอยเพียงนิดเดียว เขาก็จะอุ้มมันวิ่งไปหาช่างซ่อมภายในวันนั้นเลย
‘แปลกคน ทำไมไม่อยากได้เงินทอง อ้อ เพราะเจ้านี่สินะที่ทำให้ทุกคนในเหมืองใช้อีเตอร์ใหม่กันหมด แล้วทำไมต้องมายุ่งกับของตกทอดของข้า ฝันไปเถอะ’
“ทั้งหมด 18,000 เหรียญเงินขอรับ”
ใต้หล้ารับเงินมาจากพ่อค้าด้วยอารมณ์เบิกบาน เขามั่นใจว่าชนะแน่ ถึงเหนือภพจะมีแร่สามสีวางทับอยู่ข้างบน แต่เขาก็เชื่อว่าข้างใต้ตะกร้านั่นส่วนใหญ่ต้องเป็นแร่หนึ่งสี หรือไม่ก็แร่สองสีแน่
พ่อค้ารับซื้อแร่หันมาพิจารณาตะกร้าแร่ของเหนือภพ โดยการเทตะกร้าลงไปในถาดโลหะขนาดใหญ่
ใต้หล้ากระโจนเข้าไปคุ้ยแร่ในถาดด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะตะกุยตรงจุดไหน เขาก็พบว่ามันคือแร่สามสีทั้งหมด
“ทั้งหมด 60,000 เหรียญเงินขอรับ”
พ่อค้านำเงินมอบให้เหนือภพอย่างนอบน้อม ส่วนเหนือภพนั้นกำลังยิ้มจนปากแทบจะฉีกออกจากกัน
“วันนี้เป็นวันดีจริง ๆ ข้าจะได้เงิน 78,000 เหรียญเงินเลยหรอนี่ อู้ว เงินเยอะขนาดนี้ข้าถือไม่ไหวจริง ๆ”
เหนือภพแกล้งพูดหยอกล้อใต้หล้า ส่วนใต้หล้าก็ได้แต่ยื่นเงินให้ด้วยดวงตาเชือดเฉือน
“ดูไว้ซะ นี่แหละผลงานของตระกูลนักขุดที่ไร้เทียมทาน”
ยังไม่ทันที่ใต้หล้าจะได้ตอบโต้อะไร ก็มีเสียงดุดันแทรกขึ้นเสียก่อน
“จะเลิกเล่นได้รึยังฮึ ใต้หล้า”
ใต้หล้าถึงกับหน้าเสียเมื่อเห็นอาแท้ ๆ ของตัวเองมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับผู้ชายล่ำบึ๊กอีกเกือบสามสิบคน พวกเขาทั้งหมดล้วนตัวใหญ่และสูงกว่าเขา
อาของใต้หล้ามีชื่อว่า ใต้ศิลา เขาคือนักขุดขั้นเทพคนหนึ่งของตระกูลใต้ หลายปีมานี้เขาวางมือจากการขุดแร่ทั่วไปแล้ว เพราะเขาถูกจัดอยู่ในระดับชั้นนักขุดพิเศษของตระกูล นาน ๆ ทีเขาถึงจะนำทีมนักขุดออกไปสำรวจ หรือขุดหาสิ่งมีค่าที่จำเพาะเจาะจงเท่านั้น
และในครั้งนี้เขาก็ได้รับมอบหมายจากท่านตาทวดให้มาค้นหาแร่ห้าสีในเหมืองแห่งนี้ แม้ว่าเหมืองแห่งนี้จะนับว่าเป็นเหมืองภายใต้อิทธิพลของตระกูลใต้ ลูกหลานตระกูลใต้ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นต่างเคยมาขุดที่นี่จนถึงขั้นเชี่ยวชาญ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปแร่ห้าสี สี่สี สามสี ก็เริ่มลดจำนวนลงจนยากที่จะหาแร่สี่สีได้ในปัจจุบัน
แต่เนื่องจากผู้มีอำนาจหลายฝ่ายในแคว้นนี้กำลังบีบตระกูลใต้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ท่านตาทวดจึงออกคำสั่งให้ใต้ศิลาไปขุดหาแร่ห้าสีให้ได้ หากได้แร่หกสีก็ยิ่งดี เพราะตระกูลใต้จะได้กลับมามีอำนาจต่อรองอีกครั้งหนึ่ง
“ใต้หล้า เจ้าต้องไปกับข้า”
“ก็ไปขุดแร่น่ะสิ ส่วนเจ้าก็คือเหนือภพสินะ”
เหนือภพที่กำลังนับเงินหลายหมื่นเหรียญเงินอยู่ สะดุ้งเล็กน้อยที่ได้ยินคนเรียกชื่อเขา
“แน่นอน ข่าวคราวเรื่องนักขุดแปลกหน้ายอดฝีมือน่ะ ดังกระฉ่อนไปทั่วเหมืองแล้ว ครั้งนี้มาเจอเจ้าด้วยก็ดี ข้าอยากจะให้เจ้าเข้าร่วมทีมกับเรา”
“ข้าหรอ ทำไมต้องเป็นข้า แล้วถ้าข้าเข้าร่วมข้าจะได้อะไร”
เหนือภพมีสีหน้างุนงง เขาไม่เข้าใจเลย ใต้หล้ามองเขาเป็นคู่แข่งตลอดเวลา แต่ท่านอาใต้ศิลากลับอยากชวนเขาเข้าร่วมทีม
‘คิดจะแกล้งข้าหรอ หรือจะแย่งเงินจากข้ากัน’
Favorite เหนือภพเดินทางมาถึงเหมืองโชคไพศาลแล้ว เขารู้ได้โดยไม่ต้องถามใคร เพราะบริเวณลานกว้างหน้าเหมืองแห่งนี้มีป้ายหินขนาดยักษ์รูปสี่เหลี่ยมที่ถูกแกะสลักคำว่า
เหนือภพแหงนหน้ายืนมองป้ายที่สูงเป็นสามเท่าของตัวเขาด้วยความแปลกใจ
แล้วเหนือภพก็ชะโงกหน้ามองลานกว้างข้างหลังป้ายหิน ที่ลานกว้างแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีร้านค้าตั้งอยู่อย่างแออัด ดูคล้ายตลาดของหมู่บ้านธารบรรจบในความทรงจำของเหนือภพ เพียงแต่ตลาดที่นี่ส่วนใหญ่เน้นค้าขายแร่ อัญมณี อุปกรณ์ยังชีพในถ้ำ และอาหาร รองลงมาคือร้านขายและซ่อมแซมอุปกรณ์ขุดแร่รวมถึงอาวุธต่าง ๆ
เหนือภพเดินไปซื้อตะกร้าใส่แร่ อาหารและน้ำดื่มที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตสามวัน แล้วเขาก็พบอะไรบางอย่าง มันคือร้านรับซื้อหินสี
“หินแบบนี้เอามาขายได้ด้วยหรอ”
“ได้สิพ่อหนุ่ม มีมาขายมั๊ยล่ะ ร้านของข้ารับซื้อในราคาที่ดีกว่าทุกร้านเลยนะ”
“ราคาต่อก้อนเท่าไหร่ครับ”
เหนือภพจ้องมองก้อนหินหลากสีขนาดประมาณหัวแม่มือที่กองรวมกันอยู่ในแผง มันยังไม่ผ่านการเจียระไน ดังนั้นพวกมันจึงดูหม่นหมองจนยากจะเชื่อว่ามันมีค่ามีราคา
“ก็ถ้าเป็นทับทิม มรกต ไพลิน บุษราคัม 20 เหรียญเงิน เพชร 30 เหรียญเงิน แต่ถ้าเป็นหยกสีหายากแบบนี้นะ ข้าให้ 40 เหรียญเงินเลย”
เหนือภพอ้าปากค้างตัวชาดิก เขาไม่เคยรู้เลยว่าหินสีพวกนี้มีราคาสูงมากขนาดนี้ นึกย้อนกลับไปสมัยที่เขาขุดเหมืองอยู่ที่เหมืองศิลาร้อยชั้น ที่นั่นเขาขุดได้หินสีแบบนี้มากมาย แต่กลับโยนทิ้งทั้งหมด เพราะไม่มีพ่อค้าคนใดมารับซื้อหินสีแบบนี้ เขาจึงคิดว่ามันไร้ค่า จากนี้ไปเขาจะไม่พลาดอีกแล้ว
“เอ่อ ข้ายังไม่มีมาขายหรอกครับ แต่ถ้าขุดได้เมื่อไหร่ข้าจะมาที่นี่ก่อนเลย”
จากนั้นเหนือภพก็มุ่งหน้าสู่ปากทางเข้าเหมืองโชคไพศาล
ฮันเตอร์ชายฉกรรจ์เรียกเก็บเงินด้วยความสุภาพ เหนือภพแปลกใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่าที่เหมืองนี้ค่อนข้างมีอารยธรรม นอกจากจะมีฮันเตอร์เฝ้ายามที่มีมารยาทแล้ว ที่นี่ยังมีจำนวนฮันเตอร์เฝ้ายามมากถึงยี่สิบคน นี่เป็นสิ่งรับประกันได้ว่านักขุดเหมืองที่นี่จะได้รับความคุ้มครองอย่างดีเยี่ยม
เหนือภพรีบจ่ายเงิน แล้วก็รีบเดินเข้าไปภายในโถงหลัก โถงหลักแห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่มาก แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำแต่ก็สว่างไสวตลอดเวลาด้วยไฟตะเกียงมากมาย ที่นี่มีกระโจมพักแรมของนักขุดเหมืองผู้มีอุดมการณ์นับร้อยหลัง บางคนก็ตั้งใจปักหลักอยู่ในนี้ราวกับว่าหากไม่ได้แร่สมใจก็จะไม่ขอออกไปอย่างเด็ดขาด
เหนือภพรู้สึกชื่นชมพวกเขาเป็นอย่างมาก เกิดมาเป็นผู้ไร้พรสวรรค์แต่หากมุ่งมั่นทุ่มเท สักวันพวกเราก็จะรวยได้
เหนือภพสังเกตพวกนักขุดอยู่พักใหญ่จนเห็นว่ามีเส้นทางไหนบ้างที่มีคนเข้าออกมากที่สุด เขาประหลาดใจเล็กน้อยที่นักขุดทุกคนต่างถืออีเตอร์ใหม่ หัวขุดเงาวับกันทุกคน
‘แปลก นี่มันจะมีอารยธรรมเกินไปมั๊ย’
จากนั้นเหนือภพก็เดินดุ่มลึกลงไปตามเส้นทางที่มีนักขุดบางตาที่สุด แสดงว่าเส้นทางนี้ต้องลึกมาก หรือไม่ก็อันตรายมากแน่
ตลอดทางเหนือภพได้ยินเสียงขุดแร่เพียงบางเบา เส้นทางนี้มีคูหาไม่ซับซ้อน ขอเพียงเดินเข้าไปจนสุดทางก็จะเห็นคูหาตามรายทางทั้งหมด มีนักขุดกล้ามโตเพียงไม่กี่คนที่ยังดันทุรังขุดที่คูหาแถวนี้
นักขุดกล้ามโตคนหนึ่งที่มีรอยแผลพาดยาวบนใบหน้าเอ่ยถามเหนือภพอย่างสงสัย
“ข้าจะไปหาที่เหมาะ ๆ ขุดแร่”
เหนือภพหยุดตอบคำถาม พร้อมกับเหลือบมองตะกร้าแร่ของชายคนนี้ และก็เป็นอย่างที่คิด ในตะกร้ามีเพียงแค่แร่หนึ่งสีเพียงเท่านั้น
“อย่าไปทางนั้นเลย ไม่มีประโยชน์”
“มันสุดทางแล้ว เมื่อสองวันก่อนมีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งดื้อรั้นจะเข้าไปให้ได้ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เห็นเขาออกมาเลย”
“เห้อ เจ้าก็คงเป็นพวกหนุ่มดื้อรั้นอีกคนสินะ ถ้างั้นจะทำอะไรก็เรื่องของเจ้า”
“ขอบคุณครับ อ้อ ข้ามีอีกเรื่องจะบอก ด้านที่พี่กำลังขุดอยู่น่ะไม่มีสายแร่แล้ว ขืนขุดต่อไปจะเจอแต่แร่ไร้สีนะ ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี”
เหนือภพพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็เดินจากไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของเส้นทาง จนกระทั่งเดินมาถึงป้ายไม้สีแดงที่ปักเด่นหราอยู่กลางเส้นทาง
ในอดีตเขาเคยดื้อเข้าไปขุดในเขตอันตราย จนได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของสัตว์อสูรตุ่นตุ๊กแก แต่ตอนนี้เขาคิดว่าสัตว์อสูรในถ้ำธรรมดาคงทำอะไรเขาไม่ได้หรอก
เหนือภพคว้าคบเพลิงตรงสุดทางเดิน แล้วก็เดินอ้อมป้ายประกาศเข้าไปในพื้นที่มืดมิดข้างหน้า
‘เอ๊ะ มีนักขุดอยู่ที่นี่ด้วยหรอ หรือจะเป็นหนุ่มดื้อรั้นที่พี่คนนั้นเล่าให้ฟัง’
เมื่อเหนือภพส่องคบเพลิงไปในทิศทางที่น่าจะเป็นต้นเสียง เขาก็เห็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังขุดผนังหินอยู่อย่างขะมักเขม้น เขาคนนั้นไม่สวมเสื้อ มีเพียงกางเกงขายาวเนื้อหนาเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ติดอยู่บนร่างกายเขา
“เฮ้ เจ้าควรจะออกไปจากที่นี่นะ”
เหนือภพตะโกนบอกด้วยความหวังดี เพราะที่แบบนี้อาจจะมีสัตว์อสูรใต้ดินโผล่มาตอนไหนก็ได้ แต่ในจังหวะที่ชายหนุ่มคนนั้นหันตัวกลับมา เหนือภพก็ถึงกับหรี่ตามองอย่างไม่เป็นมิตร
เมื่อชายหนุ่มคนนั้นหันหน้ากลับมา แผงอกกำยำชุ่มเหงื่อ กล้ามเนื้อแน่นทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาสะท้อนกับแสงคบเพลิงในมือเหนือภพ หากเป็นหญิงสาวสักคนมาเห็นเข้าก็คงอ่อนระทวยลงตรงนั้นเลย แต่สำหรับเหนือภพแล้ว เขาไม่ได้มองเช่นนั้น
แค่เพียงเห็นใบหน้าคมสันกับร่างกายบึกบึนนั้น เหนือภพก็รู้สึกได้ถึงพลังกายอันแข็งแกร่งแบบที่เขามี ชายคนนี้คือคู่แข่งขุดแร่ที่น่ากลัว…
“เจ้าคือใคร ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้า”
ชายคนนั้นตะโกนถามเหนือภพทั้ง ๆ ที่อีเตอร์เงาวับในมือยังไม่หยุดขุดหิน เหนือภพรู้สึกเหมือนถูกหยาม
‘คิดว่าตัวเองขุดแร่เก่งนักรึ เจอข้าหน่อยเป็นไร’
“ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า”
เหนือภพพูดจบก็วางข้าวของลง แล้วก็เริ่มขุดผนังหินในด้านตรงกันข้ามกับคนชายคนนั้นทันที
สองหนุ่มแข่งกันขุดราวกับนัดกันไว้ หากใครคนหนึ่งขุดหนึ่งที อีกคนจะขุดรัวสองที แล้วอีกคนก็จะต้องขุดให้ได้มากกว่าเป็นสามที โดยมีคบเพลิงอันเดียวตั้งเด่นเป็นกรรมการอยู่ตรงกลาง
และเรื่องราวก็ดำเนินต่อไปเช่นนี้หนึ่งวันเต็มโดยไม่มีใครเสียเวลาหยุดพักกินอาหาร มีเพียงน้ำดื่มเท่านั้นที่พวกเขาใช้ประทังชีวิต
“เจ้าจะไม่บอกข้าจริง ๆ หรอ ว่าเจ้าเป็นใคร” ชายคนนั้นหันมาถามเหนือภพเป็นระยะ
“เอาไว้เจ้าชนะข้าได้เมื่อไหร่ ค่อยมาถามก็แล้วกัน”
เหนือภพหันหน้ากลับไปมองตามคำเรียกร้อง เขากวาดตาดูตะกร้าแร่ของตนเองและชายคนนั้นก็พบว่ามันบรรจุแร่สองสีไว้เท่า ๆ กันคือประมาณครึ่งตะกร้า ดังนั้นจึงถือว่าพวกเขายังเสมอกัน
แต่ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้พูดอะไร ชายคนนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะวางก้อนแร่สองสีก้อนสุดท้ายลงไปในตะกร้า
“รอบนี้เจ้าแพ้ บอกมาซะดีดี”
“ข้าชื่อเหนือภพ แล้วเจ้าล่ะ”
เหนือภพรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เจ้านี่เป็นใคร ? ทำไมถึงได้แข็งแรงมากขนาดนี้ แต่หากวัดกันที่ความอึดแล้ว เหนือภพกลับเหนือกว่า เขาสามารถขุดด้วยความเร็วมากกว่าชายคนนั้นถึงสองเท่า
ทว่าชายคนนั้นกลับมีความแข็งแรงอย่างเยี่ยมยอด แถมยังไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนอีกด้วยเพียงแค่เขาง้างแขนขุดเพียงครั้งเดียว ผนังหินแกร่งใต้ดินก็เกิดเป็นหลุมลึกเข้าไปเกือบหนึ่งศอก
เหนือภพเป็นฝ่ายตะโกนเรียกบ้าง ชายคนนั้นหยุดขุดแล้วหันมาดูก็พบว่าตะกร้าของเหนือภพเต็มแล้ว แต่ของเขาก็เต็มเช่นกัน
แล้วเขาก็วางก้อนแร่สองสีก้อนสุดท้ายลงไปในตะกร้าทำให้มันพูนสูงขึ้นกว่าของเหนือภพ
เหนือภพอมยิ้มจากนั้นก็โกยแร่ที่เขาซ่อนไว้หลังตะกร้าขึ้นมาใส่ทับของเดิม ตอนนี้ตะกร้าของเหนือภพพูนจนล้นตกลงมาเลยทีเดียว
“บอกมาเจ้าคือใคร มาจากไหน”
“เฮอะ ข้าชื่อใต้หล้า มาจากตระกูลใต้”
“เจ้าเป็นแค่ผู้ไร้พรสวรรค์ แต่ทำไมเจ้าถึงแข็งแรงขนาดนี้”
เหนือภพถามอย่างไม่เข้าใจ ใต้หล้าคนนี้ไม่ได้เป็นฮันเตอร์ด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงได้พอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาได้
“แปลกตรงไหน ก็บรรพบุรุษของข้าเป็นคนขุดแร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
“งั้นรึ แต่บรรพบุรุษของข้าเป็นคนขุดแร่ที่ไร้เทียมทาน”
เมื่อสองหนุ่มสบตากัน ก็คล้ายจะมีเสียงชริ๊งดุจประกายดาบที่เผยคมออกมา แต่ทั้งสองก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกันอีก ต่างคนต่างแยกย้ายแบกเอาตะกร้าแร่ออกมาขาย
ตลอดทางจากก้นเหมืองจนถึงหน้าร้านรับซื้อแร่ พวกเขาทั้งสองต่างได้รับเสียงฮือฮาระคนชื่นชมมาตลอดทาง ด้วยภาพลักษณ์ชายหนุ่มวัย 18 ปีแสนหล่อล่ำกำยำบวกกับตะกร้าแร่ที่พูนไปด้วยแร่สองสี แร่สองสีที่แม้จะพบเห็นกันได้ทั่วไปในเหมืองนี้ แต่มันก็ต้องใช้เวลานานนับเดือนกว่าจะขุดรวบรวมจนได้เต็มตะกร้าเช่นนี้ พวกเขาจึงทำให้ทุกคนหนุ่มอิจฉาและทำให้สาว ๆ ตาร้อนกันเลยทีเดียว
เหนือภพขายแร่ได้เงินหลายพันเหรียญเงิน เขายังไม่พอใจนักแต่ก็ต้องหยุดพักกินอาหาร และแบ่งเวลามาหาวัตถุดิบลับในแท็บแล็ตด้วย เขาเดินเข้าไปในชายป่าใกล้ ๆ แล้วลงมือสร้างกระโจมพักชั่วคราวด้วยตัวเอง
ส่วนใต้หล้านั้น หลังจากเขาได้เงินมาเขาก็มุ่งหน้าไปร้านซ่อมแซมเครื่องมือและอาวุธทันที ก็อีเตอร์ของเขามีรอยขูดนี่นา เขาจึงต้องพามันไปหาช่างเพื่อทำการเคลือบผิวใหม่สักหน่อย
Favorite
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะท่านเจ้าตึกที่ข้าแต่งตัวไม่เหมาะสม ทั้งยังเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นโจรปล้นสวาท ท่านคงเป็นเจ้าตึกลำธาร ท่าน ทานธรรม ถูกไหมเจ้าคะ”
ผมสีแดงสดสยายเต็มแผ่นหลังเมื่อเธอมายืนประจันหน้ากับเหนือภพ
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจ
‘นั่นเป็นชื่อศิษย์พี่ใหญ่นี่นาไม่รู้ว่าศิษย์พี่อยู่ไหน แต่ก็ช่างเถอะ เล่นละครสักหน่อยก็ดี’
“หูตาเจ้าช่างกว้างไกลนัก”
ตอนแรกหญิงสาวทั้งสามก็ไม่ได้มั่นใจ 100% เพราะเหนือภพดูหนุ่มเกินไป แม้เธอจะไม่เคยเจอเจ้าตึกคนอื่นมาก่อน แต่พวกเธอก็ได้ยินชื่อเสียงของเจ้าตึกลำธารมามาก ว่าเป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญที่ทำอะไรตามใจ แต่งตัวมอซอ ติดเหล้าน้ำผึ้งงอมแงม ไปไหนไร้ร่องรอย ทั้งยังมีกำลังดุจช้างสาร ทุกกำปั้นส่งผลให้ฟ้าเปลี่ยนสีแผ่นดินสะเทือน
ทั้งสามสาวยกมือไหว้เสมออก ค้อมหัวลงพร้อมย่อเข่าลงเล็กน้อย แลดูงดงามแช่มช้อย
“พวกข้าขอไหว้เจ้าตึกเจ้าค่ะ”
พวกเธอพูดกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน นี่เป็นธรรมเนียมการทำความเคารพของกลุ่มภารดา ไม่เหมือนราชวงศ์ที่เอะอะก็คุกเข่า เอะอะก็ก้มหัว
เมื่อเหนือภพได้ใช้เวลาคุยกับพวกเธอ เขาก็รู้จักพวกเธอมากขึ้น สาวผมแดงในชุดทรวงอกทะลักที่เขาเจอครั้งแรกชื่อ กลิ่นแก้ว ส่วนหญิงสาวอีกสองคนที่เพิ่งรอดพ้นมาจากห้องใต้ดินคือ ใบหลิว กับ แตงทอง พวกเธอทั้งสามคนเป็นคนจากตึกบุปผาแห่งกลุ่มภราดา แน่นอนว่าเขาเองก็รู้เรื่องเกี่ยวกับกลุ่มภราดามาไม่น้อยจากพระอาจารย์
กลุ่มภารดาประกอบไปด้วยขุมอำนาจทั้งห้าที่กระจายออกไปตามทิศต่าง ๆ บนแผ่นดินเงาสุริยันห้าทิศ ได้แก่ตึกภูเขา ตึกลำธาร ตึกบุปผา ตึกป่า และตึกสัตว์ ความรู้ของเขามีเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับตึกแค่ 2 ตึกเท่านั้น
ตึกบุปผามีหน้าที่สืบหาและรวบรวมข่าวสารจากทั่วสารทิศ พวกเขาเป็นเจ้าแห่งข่าวสาร ที่แม้แต่สำนักข่าวหลวงก็ยังต้องขอซื้อข่าวบางเรื่องจากพวกเขา
ส่วนตึกลำธารมีหน้าที่ชะล้างสิ่งสกปรกที่แปดเปื้อนให้สายน้ำ หรืออีกความหมายก็คือการเก็บกวาดนั่นเอง
ส่วนอีกสามตึกนั้นพระอาจารย์เองก็ไม่มั่นใจว่าพวกเขามีหน้าที่อะไร รู้เพียงคร่าว ๆ ว่า ตึกป่า คือจ้าวแห่งสรรพยา ตึกภูเขาคือผู้เป็นอมตะ ส่วนตึกสัตว์คือผู้วิปลาส ทั้งสามตึกล้วนเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงเพียงพอที่จะเขย่าทั้งแผ่นดินให้สั่นคลอน แต่กลับมีตัวตนเร้นลับยิ่ง
ไม่นานนักพวกเธอก็ชวนเหนือภพไปที่แห่งหนึ่ง ก็ไม่รู้ไปทำไม แต่เขาก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย พวกเขาเดินเข้าไปในตัวเมือง ซึ่งจุดศูนย์กลางของเมืองสินธุในยามกลางคืนนี้ก็สว่างไสว ผู้คนหนาแน่น คึกคักไม่ต่างจากตอนกลางวันเลย
พวกเขามากันมาหยุดยืนอยู่หน้าตึกหินผสมไม้สูงใหญ่แห่งหนึ่ง ด้านหน้าประดับโคมไฟไว้มากมาย เรียงรายเป็นทางยาวเข้าไปถึงข้างใน เหนือภพแหงนหน้ามองป้าย
เหนือภพพึมพำออกไปโดยไม่ทันคิด แต่พอหันมาเห็นสีหน้าของสามสาว เขาก็ยิ้มแห้ง ๆ ดูเหมือนพวกเธอจะอ่อนไหวกับคำคำนี้ ‘ซ่อง’
“ตึกรามบ้านช่องแถวนี้สวยดี ดูเจริญกว่าที่บ้านข้าเยอะเลย”
เหนือภพพลิกลิ้นอย่างว่องไว แต่ดูเหมือนพวกเธอจะไม่ติดใจอะไร เหนือภพรู้สึกโล่งใจแต่ลึก ๆ ก็รู้สึกผิดอึดอัดในใจไม่น้อย เขาไม่ได้เจตนาดูถูกใคร แต่ที่หมู่บ้านของเขาเรียกสถานที่แบบนี้ว่าซ่องจริง ๆ
เหนือภพเดินตามสาว ๆ เข้าไปด้วยรอยยิ้ม พลางแสร้งโบกมือทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง แล้วเขาก็ได้พักในห้องรับรองที่ดีที่สุดบนชั้น 4 ภายใต้ชื่อ ‘ทานธรรม’ ชื่อของศิษย์พี่ใหญ่ของเขาเอง
ศาลาสงบใจเป็นศาลาพักผ่อนแห่งหนึ่งในพระราชวังอมตะนคร มันตั้งอยู่กลางสระผักตบชวาที่ชูช่อดอกสีม่วงอ่อนบานสะพรั่งเต็มสระ ท่ามกลางความมืดที่มีแสงจันทร์ส่องลงมาเพียงบางเบา มีร่างคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง จากนั้นก็มีชายปริศนาเดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หัวสะพาน ทางเดินทอดสู่ศาลาอยู่ตรงหน้าแต่เขากลับหยุดยืน ไม่ก้าวเดินต่อไป
“พันศรีวะราและขุนศรีไชยะถูกกลุ่มภารดาฆ่าตายแล้วครับ ส่วนหลวงภามก็ตกอยู่ในมือของพวกเราตามแผน”
ชายปริศนาเอ่ยรายงาน แต่เงาร่างผู้นั้นไม่ได้ตอบอะไร ชายปริศนาจึงไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในศาลาเป็นใคร ชายหรือหญิง และมีฐานะอะไรในพระราชวัง
“ท่านต้องการให้พวกเราเริ่มลงมือตามแผนขั้นต่อไปหรือเปล่าครับ”
เงาร่างนั้นไม่ได้ตอบกลับด้วยเสียง แต่มีม้วนกระดาษอาคมถูกคว้างออกมา ชายปริศนารับสารไว้แล้วก็ถอยกายออกไปด้วยอาคมย่นระยะทาง เพียงพริบตาเขาก็หายไปจากจุดนี้ ทิ้งไว้เพียงเสียงไอแค่ก ๆ ที่ดังลอดออกมาจากศาลากลางบึงน้ำ
ข่าวด่วนเช่นนี้ไม่เพียงไปถึงพระราชวังเท่านั้น มันยังถูกกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว แม้แต่จ้าวตึกลำธารอย่างทานธรรมก็ยังต้องตกใจเมื่ออังกาบปากระดาษข่าวสารใส่หน้าเขา
ท่าทางงัวเงียแบบคนขี้เมาของทานธรรมนั้นยังคงเหมือนเดิม เขาไม่แตกต่างไปจากข่าวลือที่ว่านัก แต่งตัวสมถะ ชอบตกปลา ยามว่างก็เป็นต้องเมามาย นี่คืองานอดิเรกของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหอกของกลุ่มภารดา แต่ผู้บริหารตึกลำธารจริง ๆ คงเป็นสาวอวบอั๋นหน้าหมวย ที่กำลังยกดาบพาดคอทานธรรมเสียมากกว่า
อังกาบเขี่ยกระดาษอาคมที่ตึกบุปผาเพิ่งส่งมา เธอตกใจมากเพราะช่วงเวลาเกิดเหตุดังกล่าว เธอกับทานธรรมไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ทานธรรมคว้ากระดาษขึ้นมาก่อนจะดึงเข้าดึงออกห่างใบหน้า จากนั้นก็ยิ้มแห้ง อังกาบรู้ว่าทานธรรมจะพูดอะไร เธอดันใบดาบกดลงไปที่คอของทานธรรมมากขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเข้ม
“อ่านมันซะ ถ้าอ่านไม่ได้ ข้าเชือดท่านแน่”
ทานธรรมอ่านออกเสียงตะกุกตะกัก มีหลายครั้งที่อ่านออกเสียงผิด จนความหมายเพี้ยนไป แต่ทานธรรมก็ไม่ได้ใช้เวลาสี่ปีไปโดยสูญเปล่า ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าใจเนื้อหาในจดหมายได้ แม้จะใช้เวลาอ่านตัวอักษรเพียงไม่กี่สิบบรรทัดเป็นชั่วโมงก็เถอะ
“ข้าเนี่ยนะ ไปเมืองสินธุ”
ทานธรรมครุ่นคิด เขาเองก็จำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ไปไหนมา รู้แค่ว่าเขาเดินทางออกจากตึกไปหาเหล้าน้ำผึ้งที่ร้าน พลน้ำผึ้งเว้ยเฮ้ย ! หลังจากนั้น…
“เอ๋ ? ไปไหนอีกที่น้า…” ทานธรรมนึกไม่ออกเสียแล้ว
“เป็นฝีมือท่านหรือเปล่าที่ช่วยคนของตึกบุปผา ฆ่าขุนนางหลวง แถมยังทำลายคฤหาสน์และไร่ข้าวโพดไปครึ่งหนึ่ง”
อังกาบมั่นใจว่าเป็นฝีมือของทานธรรม มีเพียงเขาที่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ หากไม่ใช่เขาก็คงมีแต่ วัฏจักร ศิษย์น้องของทานธรรมเพียงเท่านั้น วัฏจักรเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหอโลหิต ทว่าวัฏจักรไม่ใช่พวกแอบอ้างชื่อใคร แต่เขาจะอวดอ้างชื่อตัวเองทุกครั้งที่ก่อเรื่อง ดังนั้นอังกาบจึงเทใจมาทางทานธรรม
ทานธรรมสร่างเมาในทันทีราวกับว่าเขาสามารถควบคุมได้ดั่งใจ ท่าทางไร้ความสามารถเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม อังกาบเห็นเช่นนั้นก็หน้าแดงเรื่อ เธอไม่เคยเห็นบุคลิกแบบนี้ของทานธรรมมานานแล้ว
ทานธรรมจ้องมองจดหมายก่อนจะมองอังกาบด้วยแววตาจริงจัง
“ลักษณะการต่อสู้เป็นยังไง สภาพแวดล้อมเสียหายกว้างแค่ไหน เจ้าพอจะอธิบายให้ข้าได้ฟังได้หรือเปล่า”
อังกาบเล่าสิ่งที่รู้ออกไปอย่างเต็มใจ ท่าทีผิดกับก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง เมื่ออังกาบเล่าจบ ทานธรรมก็ยิ้มออกมา ก่อนล้วงเข้าไปในอกเสื้อดึงจดหมายอาคมที่ถูกพับไว้เป็นอย่างดีออกมา
“ไม่ใช่ฝีมือข้าหรอกอังกาบ ไม่คิดว่าศิษย์น้องสามจะใช้วิธีนี้ตามหาข้า ไม่แปลกใจเลยทำไมอาจารย์ถึงอยากให้พวกข้าช่วยดูแลเจ้าเด็กนี่นัก ออกจากวัดไม่ทันไรก็ก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้”
อังกาบมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอยังคงจำได้ช่วงที่ทานธรรมและวัฏจักรปรากฏตัวครั้งแรกนั้น หัวเมืองแต่ละแห่งโกลาหลน่าดู ทานธรรมใช้กำลังปกป้องคนดีจากเหล่าคนชั่วสุดท้ายเขาก็ถูกราชวงศ์ตามล่าทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งฝีมือไปเข้าตาพ่อของเธอ ทานธรรมจึงได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มภารดา
ส่วนวัฏจักรนั้น ชีวิตเขาไม่ราบรื่นนัก เขาได้พบรักกับหญิงขายกล้วยแขกหน้าตลาด สุดท้ายเธอก็ถูกฆ่าตายโดยขุนนางที่เธอปฏิเสธที่จะมอบกายให้ ซึ่งวัฏจักรนั้นแตกต่างจากทานธรรม เขาทั้งฉลาดและโหดเหี้ยม เพียงคืนเดียวตระกูลขุนนางนั้นก็ถูกฆ่าจนสิ้น แล้วพื้นที่ของตระกูลก็กลายเป็นที่ฝังศพคนรักของเขา มันเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ทำเพื่อสตรีนางเดียว
อังกาบไม่รู้ว่าศิษย์น้องสามของทานธรรมคนนี้จะก่อเรื่องอะไรอีก เพียงแค่เขาสำแดงฝีมือในครั้งแรก ขุนนางหลวงมากฝีมืออย่างขุนศรีไชยะถึงกับยอมฆ่าตัวตาย ส่วนพันศรีวะราที่แม้เขาจะเป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ E ช่วงปลาย ที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรเลย แต่ความเป็นจริงแล้วเขาเป็นผู้ควบคุมดูแลการเกษตรของเมืองสินธุ ที่คอยบริหารการเกษตรและรวบรวมเสบียง เขาจึงเป็นหนึ่งในคนสำคัญของทางการที่ขาดไม่ได้เลย แม้แต่สายข่าวของกลุ่มบุปผายังสืบหาหลักฐานเอาผิดไม่ได้ นั่นหมายความว่าพันศรีวะราก็มีเส้นสายไม่น้อยเหมือนกัน
อังกาบรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลก ๆ เกรงว่าเรื่องนี้คงมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแน่ หรือว่าศิษย์น้องสามของทานธรรมจะรับใช้ราชสำนัก ถ้าเป็นแบบนั้นคงแย่หน่อย เพราะฝีมือของเจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาเลย
“ไปไหน” อังกาบงุนงงเล็กน้อย
เหนือภพร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ในสภาพเปลือยเปล่าที่กำลังแช่อยู่ในถังน้ำว่านสมุนไพร สตรีงามสามนางที่มีฝีมือด้านการแพทย์จากตึกป่ากำลังช่วยกันปฐมพยาบาลเขา เนื่องจากร่างกายของเขาถูกพิษกัดกร่อนอยู่ใต้เกราะโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลย หากไม่เป็นเพราะเหล้าน้ำผึ้งที่สตรีเหล่านั้นนำมาให้ดื่มเพื่อฟื้นฟูกำลังและผ่อนคลายร่างกายแล้วละก็ เขาก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้
เหนือภพอยากจะบ้าตาย เขาไม่น่ากินใบหญ้าฝาดเฝื่อนบ้านั่นเลย มันช่วยกดความรู้สึกเจ็บได้ดี ดีจนเขาอาจจะตายโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังดีที่ประสิทธิภาพของมันมีช่องโหว่อยู่บ้าง เมื่อเขาได้รับของหวานเข้าไปในร่างกาย ประสาทการรับรู้ความเจ็บปวดจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมชั่วคราว
เขาต้องปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่า สักวันเขาต้องหาทางแก้ฤทธิ์ใบหญ้าฝาดเฝื่อนนี้ให้ได้
เมื่อตัวยาอีกชนิดหนึ่งถูกโรยใส่รอยแผลกัดกร่อน เขาก็เดือดพล่านราวกับหมูถูกทอดในกระทะร้อนทั้งเป็น มันมีเสียงซ่าออกมาพร้อมกับควันดำเหม็น เขาเกร็งร่างกายนิ้วมือจับเกาะขอบถังน้ำหนากว่าห้านิ้ว จนนิ้วมือทะลุแผ่นไม้อีกด้าน เขากัดฟันทน แต่ก็มีหลายครั้งที่เขากรีดร้องออกมา
“มันคือพิษอะไร” เหนือภพถามด้วยเสียงกระเส่า
“ว่านพรายทมิฬ มันเป็นว่านชนิดเดียวกับว่านที่ใช้เพิ่มพลังให้ผู้มีพรสวรรค์รึเปล่า”
“ใช่เจ้าค่ะ ชนิดเดียวกัน แต่ว่านพรายทมิฬตัวนี้น่าจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยเลือดมนุษย์แทนน้ำ ใช้ปราณอาคมฟูมฝักเป็นเวลานาน แล้วนำปรุงด้วยศาสตร์เฉพาะจนทำให้เกิดควันพิษชนิดหนึ่งที่ทะลุผ่านได้แม้แต่โล่อาคม คนที่ทำเช่นนี้ได้มีเพียงศิษย์ของอาศรมป่าช้าพันปีเท่านั้น ไม่ทราบว่านายท่านไปประมือกับใครมาเจ้าคะ ถึงได้ถูกพิษปริมาณมากเช่นนี้”
เหนือภพตอบอย่างไม่ปิดบัง และนั่นดูเหมือนว่าจะเพิ่มอรรถรสในการสนทนาได้ดี พวกเธอดูจะชื่นชอบวีรบุรุษ โดยเฉพาะวีรบุรุษที่อัดขุนนางหลวง
การคุยกับพวกเธอทำให้เหนือภพรู้สึกผ่อนคลาย และการถอนพิษก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ดังนั้นเพียงแค่คืนเดียวเหนือภพก็กลับมาเป็นปกติ
ช่วงสายของวันต่อมา เหนือภพก็ขอลาจากหอร้อยบุปผาเมืองสินธุ เขาออกจากเมืองไปทางทิศตะวันออก ใช้เวลาไม่ถึงสองวันดีก็มาถึงบริเวณเขตแดนป่าสินธุ ป่าที่มีเทือกเขาขนาดใหญ่เทียมฟ้าทอดตัวยาวราวกับพญานาคราชที่กำลังนอนคดเลี้ยวสุดลูกหูลูกตา ที่นั่นมีเหมืองแร่แห่งหนึ่งมันคือเหมืองโชคไพศาล
Favorite
หลวงภามตอบกลับไปขณะดึงถุงหนังที่บรรจุน้ำออกมาดื่ม เหนือภพเห็นแบบนั้นก็ส่ายหัว
‘เจ้านี่ มันจริง ๆ เลย แม้ข้าจะเลียนแบบท่าทางผ่อนคลายของมัน แต่ก็ยังนิ่งไม่เท่ามัน’
หลวงภามเห็นสายตาของเหนือมองมา เขาก็ยื่นถุงหนังให้พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เขาเริ่มอารมณ์ดีแล้ว
“ขืนกินของเจ้า ข้าได้ตายพอดี ใส่อะไรลงไปบ้างก็ไม่รู้”
“รีบ ๆ บอกมาสักที ว่าเกราะนั่นเจ้าได้มาจากที่ไหน ”
เหนือภพเขาไม่ได้รีบตอบ เขาแค่ต้องการอดทนรอเพียงแค่ 32 วินาทีเท่านั้น เขาก็สามารถใช้พละกำลังระดับ 6 ได้
“ชื่อของมันก็คือ มัจฉาเจ็ดสีอิทธิฤทธิ์เหลือหลาย ทั้งโลกาไม่มีศาสตราวุธใด เจ็ดแสงยิ่งใหญ่ไร้คู่ต่อกร”
เหนือภพพูดรัวเร็ว จนหลวงภามฟังไม่ทัน
“โธ่ เจ้านี่โง่หรือเปล่าเนี่ย ข้าจะพูดให้ฟังครั้งสุดท้ายนะ ฟังให้ดี ถ้าฟังไม่ดี ข้าไม่พูดด้วยแล้ว พร้อมรึยัง”
หลวงภามพยักหน้าราวกับเด็กน้อยที่กำลังตั้งใจฟังครูสอน
“ชื่อของมันก็คือ มัจฉาเจ็ดสีอิทธิฤทธิ์เหลือหลาย ทั้งโลกาไม่มีศาสตราวุธใด เจ็ดแสงยิ่งใหญ่ไร้คู่ต่อกร”
พอหลวงภามได้ฟังชื่ออีกครั้ง เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก แม้ชื่อจะยาวเกินไป แต่ก็รู้สึกถึงเอกลักษณ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียว
ความแข็งแกร่งของมันน่าจะเทียบได้กับเกราะป้องกันตัวของรัชทายาท มันน่าจะสร้างมาจากชิ้นส่วนของสัตว์อสูรแรงค์ D ขั้นสูง ที่ต่อให้ฮันเตอร์แรงค์ C ก็ยังไม่สามารถทำลายลงได้โดยง่าย
เหนือภพถามย้ำพร้อมกับอมยิ้ม ตอนนี้กำลังกล้ามเนื้อของเขาเพิ่มมาถึงระดับ 6 แล้ว เมื่อเห็นว่าหลวงภามพยักหน้าหงึกหงัก เขาก็กล่าวต่อไปในทันที
รอยยิ้มกว้างที่แฝงไปด้วยความอันตรายของเหนือภพทำเอาหลวงภามเริ่มเอะใจ ลางสังหรณ์เลวร้ายปรากฏขึ้นเป็นภาพในหัวของเขา สิ่งที่เขาเห็นในจิตคือภาพร่างกายของเขาถูกระเบิดฉีกขาด ทุกชิ้นส่วนล้วนแหลกเหลว มันช่างน่าอนาถถึงที่สุด
ด้วยความตื่นกลัว เขารีบเอ่ยปากในทันที
เจ้าเด็กนี่กำลังเตรียมใช้วิชาโจมตีรุนแรงแน่ ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ชวนเขาคุยนานแบบนี้
คำพูดที่เปล่งออกมาจากปากของเหนือภพทำให้หลวงภามเปลี่ยนใจที่จะตอบโต้ เมื่อภาพลางสังหรณ์ที่เขาเห็นนั้นมันชัดเจนมากขึ้น
หลวงภามเปลี่ยนใจเคลื่อนตัวหนีออกห่าง เป็นโชคดีของเขาแล้วที่เลือกฝึกวิชาสัมผัสลางร้ายมาจากอาจารย์ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะเดินเข้าไปหาความตายด้วยตัวเองก็เป็นได้
ผิวหนังของเหนือภพกลายเป็นสีขาวทั้งหมด ขณะที่แขนซ้ายของเขานั้นมีอักขระสีทองรูปยักษ์ถือตะบองปรากฏทะลุเสื้อผ้า ทะลุเกราะเจ็ดสีออกมา ผมสีม่วงเข้มที่เคยสั้นเกรียนก็งอกยาวสยายเป็นแพผมขาว ส่วนใบหน้าของเขาก็ปรากฏเป็นภาพยักษ์ดุร้ายนัยน์ตาแดงก่ำ ปากแสยะกว้าง มันคือรูปลักษณ์เช่นเดียวกับยักษ์อาคมที่ปรากฏค้ำอยู่เบื้องหลังของเขา
ยักษ์อาคมสีขาวโปร่งแสงขนาดใหญ่ สร้างความหวาดกลัว ความน่าเกรงขาม และแผ่พลังอำนาจออกมา จนทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ท่าทางของเหนือภพเปลี่ยนไป มือขวาที่เกร็งไว้เหวี่ยงชกออกไปด้านหน้า โถมกำลังทั้งหมดภายในร่างกายใส่เข้าไปในหมัดนี้ ทิศทางที่เล็งไปคือทิศที่หลวงภามเคลื่อนตัวหนีด้วยอาคมย่นระยะทาง เพียงแค่ไม่กี่ก้าว มันก็ไปไกลกว่าห้าสิบเมตรแล้ว
ทันทีที่เหนือภพออกหมัด พื้นที่เบื้องหน้าเขาก็ถูกแทนด้วยกระแสลมกรรโชกผสมไปด้วยแสงส้มทองจากปราณอาคมที่บิดเป็นเกลียวผสานไปกับสายลมหมุน กระแทกไถหน้าดินเป็นร่องกว้าง เริ่มจากหนึ่งเมตรขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เป็นรูปกรวยที่เปิดกว้างออก ระยะทางที่มันขยายออกไปนั้นกว้างจนทำให้ไร่ข้าวโพดถูกความร้อนเผาไหม้เสียหาย เสียงอากาศแตกร้าวราวกับแผ่นฟ้าจะแยกออกจากกันด้วยหมัดนี้ สรรพสิ่งในรัศมีสิบเมตรสะเทือนเลื่อนลั่นสั่นไหวรุนแรง กรวดทรายแตกร้าวดีดเด้งขึ้นมาราวกับฝุ่นผงบนหนังกลอง พื้นดินถูกแรงอากาศไถเพียงพริบตาเดียวร่างของหลวงภามก็ไม่อาจหลบหนีได้พ้น
แสงสีทองหมุนเกลียวไล่ตามหลังหลวงภามไปได้ทันเวลา แต่หลวงภามไหวตัว ชักดาบประจุพรายออกมาต้านรับพร้อมถอยหนี ควันดำก่อตัวเป็นกำแพงหนาซ้อนหลายสิบชั้น ต่อต้านไว้อย่าเหนียวแน่น แต่สุดท้ายควันดำที่เป็นเพียงความเย็นยะเยือกก็ไม่อาจต้านปราณอาคมที่เปรียบเสมือนความร้อนของดวงตะวัน มันต้านไว้ได้เพียงไม่กี่สิบวินาที ก็ถูกแสงอาคมสีส้มทองเผาไหม้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ดาบประจุพรายที่คู่กายหลวงภามมานาน มันหักสะบั้นเป็นสองท่อน
ร่างกายของหลวงภามไม่เพียงถูกความร้อนจากปราณอาคมของเหนือภพเผาไหม้ ยังถูกแรงดีดสะท้อนจากวิญญาณร้ายที่เขากักขังไว้ภายในดาบย้อนกลับมาทำร้าย ปราณอาคมคุ้มกายของหลวงภามรวมถึงของขลังคุ้มกายคล้ายสิ้นฤทธิ์ไปชั่วขณะ อาการที่สาหัสอยู่แล้วก็ยิ่งสาหัสมากขึ้นไปอีก
เหนือภพถือคติที่ว่า ‘ตีงูถ้าตีไม่ตายก็ต้องเอาให้เละ เอาให้มันเคลื่อนไหวไม่ได้อีกเลย’
เหนือภพดีดตัวขึ้นฟ้า เตรียมพร้อมใช้กระบวนท่าถุงเงินหล่นฟ้าปิดฉากการต่อสู้อันยาวนานนี้
แต่จู่ ๆ ก็มีฮันเตอร์แรงค์ D ปลดปราณอาคมแข็งกร้าวห้าคนปรากฏตัวออกมาพร้อมกันสกัดการโจมตีของเขา หมายพาร่างหลวงภามจากไป พร้อมทิ้งข้อความเอาไว้ว่า
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือคนของกลุ่มภราดาหรอก”
แม้ฮันเตอร์ทั้งห้าจะมีฝีมือเทียบหลวงภามไม่ได้ แต่หากพวกเขาร่วมมือกันสู้โดยใช้วิชาปราณจำเพาะอย่าสุดฝีมือ คนเก่งที่หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเหนือภพก็ไม่ใช่คู่ต่อกร
กว่าเหนือภพจะสลัดหลุดจากการบุกโจมตีออกมาได้ หลวงภามก็ถูกพาตัวหายลับไปแล้ว
“พวกชั่วนี่ ตายยากจริง ๆ”
เหนือภพพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด เขาไม่พอใจอย่างมาก หากปล่อยมันรอดไปครั้งนี้ การจะหาตัวมันพบอีกครั้งก็คงยาก แต่ก็ยังดีที่เขาคว้าเงื่อนงำบางอย่างมาได้
เหนือภพแบมือออก สิ่งนั้นคือเศษชุดเกราะของหนึ่งในฮันเตอร์พวกนั้น วัตถุดิบที่ใช้สร้างชุดเกราะนั้น แต่ละตระกูล แต่ละเมือง แต่ละร้านย่อมมีวิธีการทำที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการตามตัวพวกมันไม่น่าใช่เรื่องยากอีกต่อไป
เหนือภพหันมองรอบกายก็เห็นสภาพไร่ข้าวโพดที่ย่อยยับจากการต่อสู้ ไร่ข้าวโพดกว่าร้อยไร่เละเทะ พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ส่วนคฤหาสน์ตระกูลศรีเหลือเพียงเศษซาก โชคดีที่ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นแอบซ่อนอยู่ที่ห้องใต้ดิน พวกเขาจึงยังคงปลอดภัยและยังคงอิ่มเอมกับการทรมานพันศรีวะรา
เหนือภพลงมาที่ห้องใต้ดิน มองเห็นร่างกายของพันศรีวะราที่เละเทะ น่าสยดสยอง โดยเฉพาะกล่องดวงใจที่ย้ายตำแหน่งไปอยู่ในปากเสียแล้ว และทุกครั้งที่มันถูกทรมาน มันก็ต้องขบกัดของรักของตัวเองแบบนั้น แค่คิดก็สยองแล้ว
เหนือภพเกร็งกำปั้น เขาไม่ควรทำให้คนดี ๆ อย่างขุนศรีไชยะต้องผิดหวัง ในเมื่อเขาใช้ชีวิตแลกกับความตายอย่างสงบของพี่ชาย เขาก็ไม่ควรปฏิเสธ
จู่ ๆ หญิงสาวหน้าสวยคนเดียวกับที่เขาเจอบนห้องนอนก็มาปรากฏกายอยู่ข้าง ๆ
‘นี่เธอไม่คิดจะสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดหน่อยเหรอ’
เหนือภพมองไปที่ทรวงอกของเธอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป จากนั้นก็เบนสายตาไปยังร่างสุดอนาถนั้น เขายังคงแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะปลิดชีวิตมัน
“ท่านผู้มีพระคุณ พวกข้าเป็นหนี้ท่าน แต่ท่านจะให้คนอย่างมันตายไปง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้ ไม่สาสมกับมันทำกับพวกเราไว้”
หญิงสาวร่างผอมแห้งอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น หน้าตาของเธอเสียโฉมจากการถูกเหล็กร้อนนาบ แล้วเธอก็ปลดเสื้อผ้าออกเผยให้เห็นรอยการถูกทรมาน จนไม่เหลือพื้นผิวหนังเรียบเนียนแม้แต่ตำแหน่งเดียว
แล้วเธอก็ชี้ไปที่คนอื่น ๆ พวกเขาปลดเสื้อผ้าทีละคน ทีละคน ทั้งหญิง ชาย เด็ก และคนแก่ เขามองพวกเธอ ก่อนจะหันมองไปทางพันศรีวะรา เขาเข้าใจแล้วว่าความแค้นของอิสตรีนั้น ร้อยปีค่อยเอาคืนก็ไม่สาย
เหนือภพคลายมือที่เกร็ง พ่นลมหายใจออกมา ไม่ว่าเขาจะเรียนพระธรรมมามากแค่ไหน แต่เขาก็หาเหตุผลมาแย้งพวกเขาไม่ได้
เมตตาแล้วปล่อยให้เป็นเรื่องของเวรกรรมงั้นหรือ หากเวรกรรมมีจริง คนชั่วก็คงหมดไปนานแล้ว แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม คนดีอายุสั้น คนชั่วกลับอายุยืนยาว ดูอย่างเจ้าศรีวะรานี่ มันโดนมากขนาดนี้มันยังไม่ตายเลย ท้ายที่สุดแล้วเหนือภพก็ยังไม่อาจเข้าใจถึงหลักธรรมลึกซึ้งที่พระอาจารย์พร่ำสอน
เหนือภพหันหลังให้คนเหล่านั้น แล้วก็กระโดดกลับขึ้นไป ทว่ากลับมีคนหนึ่งกระโดดสวนทางกับเขา ลงมาสะบั้นหัวของพันศรีวะราจนขาด
“ตามหาเสียนานในที่สุดก็เจอตัวเสียที”
ชายผู้มาใหม่ยืนนิ่งมองศีรษะของพันศรีวะราที่อยู่ในมืออย่างพอใจ
เหนือภพหันขวับเมื่อได้เห็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคย
‘เจ้าคนไร้ชื่อที่เจอกันในป่านี่ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้’
เหนือภพไม่คิดจะทักทาย เขารีบหลบหน้าหนีทันที
‘เจ้าบ้านั่นดันไปปลิดชีวิตเหยื่อของสตรีคลั่งเหล่านั้น ขืนข้าแสดงออกว่ารู้จักกัน ข้าได้ติดร่างแหไปด้วยแน่’
แต่เหนือภพก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก เพราะผู้ไร้ชื่อคนนั้นหิ้วศีรษะจากไปในทันที
เหนือภพมุ่งตรงมาที่ศพของขุนศรีไชยะ เขาอุ้มร่างไร้ชีวิตนั้นไปฝังที่กลางไร่ข้าวโพด เขายังไม่ได้ตัดสินใจจากไปไหน รออยู่ที่นั่นจนกระทั่งผู้เคราะห์จากตระกูลศรีแยกย้ายกันจากไปหมด หวังว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
เหนือภพไล่ตามหาแมวดำแต่ก็คว้าน้ำเหลว จากนั้นก็เข้าไปหาทรัพย์สมบัติในคฤหาสน์ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะช้าไปเสียแล้ว เมื่อหาอะไรไม่เจอเขาก็กลับมาห้องใต้ดินอีกครั้ง เพื่อนำร่างของพันศรีวะราไปฝังใกล้กับหลุมศพน้องชายเขา ตอนมีชีวิตไม่ต่างจากพิษร้ายกัดกินโลก อย่างน้อยตอนตายก็ได้เป็นปุ๋ยทำประโยชน์ให้แก่ไร้ข้าวโพด
เหนือภพพนมมือขึ้นเอ่ยบทสวดส่งคนตาย ก่อนจะเอ่ยปิดท้ายว่า
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำเพื่อพวกเจ้าได้”
พูดจบเหนือภพก็เดินไปเด็ดฝักข้าวโพดฝักโต ๆ จำนวนมากใส่ถุงหนัง
“อย่ามาหลอกหลอนข้านะ คิดว่าเป็นค่าฝังศพพวกเจ้าก็ได้”
เหนือภพพูดติดตลกกับหลุมศพ ก่อนจะมองไปทิศทางหนึ่ง เสียงแหวกทุ่งข้าวโพดเข้ามาทางเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปรากฏร่างยั่วยวนของหญิงสาวคนเดิมโผล่ออกมา พร้อมกับเพื่อนสายลับสาวอีกสองคน
เหนือภพทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยถาม
“นี่เจ้าไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าให้หนาขึ้นหน่อยหรอ ?”
เธอก็ช่างยั่วยวนผู้คนได้เก่งจริง ๆ เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนสักหน่อย ถ้าไม่ติดว่าผู้ชายต้องเสียเงินเลี้ยงดูเมียนะ เขาจะจับเธอทำเมียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
Favorite
เหนือภพดึงมีดหมอที่เกราะติดอยู่ปีกหลังออกมาทั้งสองเล่ม แล้วถือมันไว้โดยเอาส่วนใบมีดกดลงสู่ดิน ขณะตั้งท่ามวยพหุยุทธ์
“รออะไรอยู่ล่ะ เจ้าไม่อยากให้ข้าร่วมฉลองงั้นหรือ ?”
หลวงภามจำไม่ได้แล้วว่าเขาเคยชักดาบประจุพรายเล่มนี้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ แต่พอได้เห็นความก้าวหน้าของเมล็ดพันธุ์ที่เขาปลูกไว้ ก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากใช้ดาบประจุพรายของเขาตัดโค่นต้นไม้นี้
หลวงภามบิดโซ่เหล็กที่เขาใช้พันดาบเป็นเงื่อนปิดตายออก แล้วชักใบดาบสีดำสนิทออกมา บนใบดาบลงอักขระเรืองแสงสีแดงเอาไว้ เผยกลิ่นอายชั่วร้ายสุดบรรยาย ควันวิญญาณสีดำทะลักออกมาวนเวียนอยู่รอบใบดาบนั้นอย่างหนาแน่น
“ดาบประจุพรายของข้า ปลิดชีวิตผู้แข็งแกร่งมานักต่อนักแล้ว วิญญาณของพวกมันล้วนถูกจองจำเอาไว้ในนี้เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ข้า”
“แต่ข้าจะไม่เป็นหนึ่งในนั้น”
เหนือภพพูดตัดบทอย่างเอือมระอา หลวงภามกลับยิ้มอย่างชอบใจ
“หัวไวดีนี่ ไม่ต้องรีบ ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ตายเร็วนัก อย่างน้อยข้าก็ควรแก้แค้นแทนลูกน้องผู้ภักดีของข้า”
หลวงภามพูดขณะชำเลืองมองไปยังร่างของขุนศรีไชยะ
“มันเป็นคนดีที่หาได้ยาก มันตายไปง่าย ๆ แบบนี้ข้าจึงรู้สึกเสียดาย และเสียใจ”
เหนือภพไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น เสียเวลา
เขาพุ่งเข้าใส่ด้วยอาคมย่นระยะทาง แต่เมื่อคมมีดหมอของเขาเข้าใกล้ระยะศัตรู หลวงภามก็ยิ้มร่าคล้ายกับว่ารอเวลานี้มานานแล้ว ดาบประจุพรายตวัดออกหวังสะบั้นเอวของเหนือภพ ทว่ากลับผิดคาด หากเมื่อก่อนดาบนี้คงต้องสังหารเขาได้ในทันที แต่ตลอดสี่ปีมานี้เขาไม่ได้นอนเล่นปล่อยเวลาไปวัน ๆ เสียเมื่อไหร่ สิ่งที่อาจารย์เคยเข้มงวดมาตลอดก็ได้แสดงผลแล้วในตอนนี้
ร่างกำยำของเหนือภพกระโดดลอยตัวหลบ พร้อมกับเหวี่ยงเท้าขวาเข้าปะทะก้านคอหลวงภามจนลำตัวมันโงนเงน นี่คือกระบวนท่า นารายณ์ข้ามสมุทร
สีหน้าของหลวงภามบิดเบี้ยว หัวสมองอื้ออึงขณะเซถอยหลัง เหนือภพกระโดดลอยตัวเข้าประชิดอีกครั้งพร้อมกับ ขว้างศอกขวาเข้าแสกกลางหน้าหลวงภามทันที ด้วยกระบวนท่ารามสูรเขวี้ยงขวาน
แต่น่าเสียดายที่ข้อศอกของเหนือภพฟันลงไปโดนเกราะอาคมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว หลวงภามรีบถอยกายห่าง รอยยิ้มบนหน้าเริ่มหม่นหมองขณะใช้ดาบประจุพรายปัดมีดหมอของเหนือภพที่ขว้างตรงเข้ามาหาเขาสามเล่มติด
ขณะที่มีดหมอทั้งสามเล่มกระเด็นออกไปก็ถูกเหนือภพที่เคลื่อนไวได้ราวภูตผีคว้ารับไว้ได้สองเล่ม ส่วนอีกเล่มปลิวไปคนละทิศทาง ทำให้เหนือภพไม่อาจรับได้ทัน เขาจึงเดินเข้าไปหยิบมีดที่พื้นด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย
หลวงภามถามด้วยน้ำเสียงสนใจใคร่รู้ ท่วงท่าประหลาดเหล่านั้นยากที่จะเข้าใจและคิดหาทางป้องกันได้ทันเวลา
‘ผ่านมาเพียงสี่ปี เจ้าเด็กนี่ก้าวหน้าได้ถึงเพียงนี้เลยหรอ’
“อยากเรียนไหมล่ะ ? ข้าสอนให้ได้นะ”
เหนือภพยิ้มกว้างก่อนจะพุ่งเข้าใส่หลวงภามอีกระลอกหนึ่งด้วยการ ชก เตะ ศอก เข่า จัดเป็นชุดอย่างต่อเนื่อง การโจมตีด้วยร่างกายในระยะประชิดพร้อมกับมีดหมอนั้นสร้างความลำบากให้กับหลวงภามไม่น้อย เพราะมีดหมอของเหนือภพไม่ใช่ของธรรมดา สสารที่ใช้สร้างล้วนเป็นวัตถุอาคมทรงฤทธิ์ มีอำนาจในการเจาะทะลุและต่อต้านปราณอาคม ทำให้ร่างกายของหลวงภามเกิดบาดแผลขีดข่วนจำนวนนับไม่ถ้วน
หลวงภามที่ตกเป็นรองมาตลอดในที่สุดก็เห็นช่องโหว่ของเหนือภพ แล้วเขาก็แสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ หากต้องการจัดการเหนือภพให้เด็ดขาด ช่องทางเดียวที่หลวงภามทำได้คือทิ้งดาบ แล้วเปลี่ยนเป็นการโจมตีด้วยหมัด หากเขาใช้แรงที่เหมาะสม เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
มือทั้งสองของหลวงภามกำลังควบแน่นไปด้วยปราณอาคมสีทอง ดาบประจุพรายพุ่งตรงเข้ามาหมายทะลวงร่างเหนือภพ แต่แขนซ้ายขวาของเหนือภพสะบัดไปมาเพื่อปัดดาบออก แต่ยังไม่ทันไร ดาบที่ว่ากลับถูกเจ้าปล่อยทิ้งในทันที
ยังไม่ทันที่ดาบจะตกถึงพื้น กำปั้นพลังอาคมของหลวงภามก็พุ่งเข้ามากระแทกตำแหน่งหัวใจของเหนือภพ
บังเกิดเป็นระลอกคลื่นแสงสีทองกระจายวาบราวกับระเบิด แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นอย่างที่หลวงภามคิด เขาความรู้สึกเหมือนต่อยลงไปในน้ำ ยิ่งดันมือลงน้ำไปเรื่อย ๆ เรี่ยวแรงที่แข็งกร้าวก็ยิ่งสลายหายไป
“อะไร ? เมื่อเช้าเจ้าไม่ได้กินข้าวมาหรือไง”
ประกายตาของเหนือภพเริ่มฉายแววอำมหิต เขาสะบัดวงแขนซ้ายฟันมีดหมอเพื่อทำลายเกราะอาคมของหลวงภาม ตามมาติด ๆ ด้วยมีดหมอที่อยู่ในมือขวา หวังจะสะบั้นหน้าหลวงภามให้ขาดออกจากกัน
แต่หลวงภามก็คือตาลุงหนังเหนียวดี ๆ นี่เอง ผิวหนังของเขาแข็งยิ่งกว่าศิลาพันปี คมมีดหมอทำได้เพียงทิ้งรอยบากจากแก้มขวามาซ้ายเป็นเส้นตรงตัดผ่านจมูก
หลวงภามดีดตัวออกห่าง แววตาแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอย สีหน้าที่เคยเต็มไปรอยยิ้มเปลี่ยนไป เขาไม่สนุกแล้ว นี่มันเป็นการทำร้ายฝ่ายเดียวชัด ๆ
เจ้าเด็กนี่มีระดับพลังต่ำกว่าเขาก็จริง แต่ปัญหามันอยู่ที่วิชาการต่อสู้ที่พิสดาร ยากที่จะจับทาง ทั้งยังมีอาวุธอาคมที่ร้ายกาจ และที่สำคัญคือเครื่องป้องกันของมัน ชุดเกราะสีรุ้งนั่นมีคุณภาพในการป้องกันอยู่ในระดับสุดยอด แม้แต่เกราะที่เขาสวมใส่ยังเทียบไม่ติด ทุกการโจมตีของเขาไม่อาจเจาะทะลวงผ่านเข้าไปได้เลย
“เกราะของเจ้ามีชื่อว่าอะไร เจ้าได้มาจากที่ไหน”
น้ำเสียงของหลวงภามไม่ได้แฝงอารมณ์ขี้เล่นอีกต่อไป
“โอ้ ในที่สุดก็สังเกตเห็นแล้วสินะ เจ้าอยากรู้ชื่อมันจริงรึ”
เหนือภพยังคงผ่อนคลาย เขารู้สึกสงบขึ้นมากเมื่อได้เห็นความวุ่นวายใจผ่านดวงตาแดงก่ำคู่นั้น มันทำให้เขาสนุกและมีความสุข เขาจะค่อย ๆ ทำให้มันตื่นกลัว ปั่นหัวมัน ทำให้มันรู้ซึ้งถึงความพ่ายแพ้และทุกข์ทรมานจนตาย นี่เป็นการแก้แค้นที่เขาจะทำให้กลิ่นจันทน์ได้
แม้พระอาจารย์จะพร่ำสอนเขาว่าการแก้แค้นมันไม่ได้ช่วยอะไร มันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่า เขาได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อเธอ
“ถ้าทำข้าเลือดออกได้ ข้าอาจจะบอกเจ้าก็ได้นะ”
เรื่องอะไรเขาจะบอกมันง่าย ๆ
เหนือภพพุ่งเข้าโจมตีอีกระลอก การต่อสู้ของเขารุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม รัศมีการทำลายล้างกว้างขึ้นเรื่อย ๆ แสงสีทองส้มสอดประสานกับแสงทองอาคมของหลวงภามเป็นพัลวัน
หลวงภามที่ไม่เคยต่อสู้อย่างจริงจังมานาน ก็ถึงกับสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“ปราณอมนุษย์ป่าทมิฬ บทที่ 1 พลังโหงพราย”
คำอาคมพ่นออกมาจากหลวงภาม ออร่าอาคมสีทองที่อยู่รอบ ๆ แปรเปลี่ยนเป็นควันสีดำดุร้าย พลังนี้สอดประสานเข้ากับดาบประจุพรายได้เป็นอย่างดี
ดวงตาของหลวงภามแปรเปลี่ยนสีแดงเข้มทั้งดวง เส้นเลือดดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตามผิวหน้าและผิวกาย ควันวิญญาณที่โอบล้อมใบดาบประจุพรายลุกโหมรุนแรง
หลวงภามกระชับดาบแน่นแล้วชี้มาทางเหนือภพ
“หมดเวลาเล่นสนุกกันแล้วเด็กน้อย ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าก็จะฆ่าเจ้าแล้วเอามันมา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในดินแดนนี้จะไม่มีใครรู้จักมัน”
หลวงภามพุ่งเข้ามาด้วยอาคมย่นระยะทาง ความเร็วนี้มีมากจนน่าเหลือเชื่อ การเคลื่อนไหวร่างกายก็ไวมากกว่าที่ผ่านมา จนเหนือภพหาช่องตอบโต้ไม่ได้ ได้แต่หลบหลีกด้วยสัญชาตญาณที่เหนือมนุษย์ทั่วไปเท่านั้น
แต่การหลบเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ยิ่งเขาถอยไปเรื่อย ๆ หลวงภามผู้คร่ำหวอดอยู่ในสงครามและการต่อสู้ จึงจับจังหวะการเคลื่อนไหวของเหนือภพได้ในเวลาไม่นาน
คมดาบประจุพรายตวัดออก ควันดำที่ลอยออกมาจากใบดาบไม่ต่างจากเขี้ยวเล็บ แม้ใบดาบจะไม่โดนตัวเหนือภพตรง ๆ แต่เมื่อควันดำกระทบเข้ากับสิ่งใด มันก็กัดกร่อนในทันที ชุดคลุมสีเทาดำที่เขาอุตส่าห์ขอมาจากสารถีถูกกัดกร่อนจนเป็นช่องโหว่ มีรูพรุนนับไม่ถ้วนจนมันแทบจะกันลมหนาวไม่ได้อีกแล้ว
บนร่างของเหนือภพเริ่มปรากฏรอยบาดแผล เกราะมัจฉาเจ็ดสีป้องกันคมดาบได้ก็จริง แต่มันไม่อาจต้านการโจมตีของควันดำได้ เขาไม่รู้ว่าควันดำนั่นคืออะไร ภูตผี ปีศาจ หรือพิษ แต่เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นพิษมากกว่า
พระอาจารย์เคยบอกว่าพิษของพืชหรือสัตว์ร้ายบางชนิด ไม่ว่าอาคมหรือของขลังใดก็ไม่อาจต่อต้านได้
เหนือภพระวังตัวมากขึ้น ขณะหอบหายใจออกมาอย่างรุนแรง บนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดเกราะ เลือดเริ่มซึมไหลลงมาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จนจุดที่เขายืนอยู่นั้นปรากฏเป็นแอ่งเลือดขนาดเล็ก
หลวงภามนั้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน แต่แย่กว่า เพราะบาดแผลของเขานั้นมีมากกว่า การต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองคนคงจะตัดสินได้จากการที่ใครอดทนได้มากกว่ากัน
เหนือภพไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย โชคดีที่เขากินใบหญ้าฝาดเฝื่อนเข้าไปก่อนหน้า สรรพคุณของมันช่วยกดข่มเส้นประสาทรับความเจ็บปวดทั่วร่างกาย ทำให้เขาไม่รู้สึกเลยว่ากำลังบาดเจ็บ ผลลัพธ์ของมันไม่เลวเลยทีเดียว
ความเจ็บจะทำให้จิตใจของคนเราสั่นไหวและเกิดความกลัว เหนือภพลอบเกร็งกล้ามเนื้อ การใช้พละกำลังระดับสูง ๆ นั้น จำเป็นต้องเกร็งเพื่อรีดเค้นเอากำลังทั่วร่างกายออกมา แต่ช่วงระยะเวลาการเกร็งนั้นห้ามเคลื่อนไหว หากเริ่มเคลื่อนไหวแล้วก็ต้องโจมตีในทันที ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ทำมาก็จะเสียเปล่า
เหนือภพยังคงยืนนิ่งขณะที่เอ่ยปากพูดถ่วงเวลา
“เห็นแบบนี้ ข้าก็เป็นคนรักษาสัญญานะ ในเมื่อเจ้าเล่นทำเอาซะเลือดท่วมตัวข้าแบบนี้ ถ้าไม่รีบบอกก็เกรงว่าเลือดจะหมดตัวเสียก่อน”
เหนือภพพูดอย่างติดตลกขณะแสร้งห่อตัวงอเล็กน้อยราวกับกำลังเจ็บปวด
หลวงภามยิ้มจากที่กำลังตั้งท่าดาบพร้อมโจมตีอีกครั้ง เขาก็ละมือลงแล้วเก็บดาบเข้าฝัก แต่ออร่าควันดำที่อยู่รอบกายยังคงไม่หายไป เพียงแค่เบาบางลง สงบนิ่งไม่เกรี้ยวกราดเฉกเช่นเมื่อครู่
Favorite
เหนือภพหันไปมองขุนศรีไชยะที่จ้องมองมาด้วยความแค้น
“เจ้ามองข้าทำไม ถ้าเจ้ายังคงเป็นเหมือนพี่เจ้า ก็จึงระลึกไว้ว่า เจ้าก็จะลงเอยแบบมัน”
“ทำไม ทำไมไม่ฆ่าพี่ข้า ทำไมต้องปล่อยให้เขาทรมาน”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานของพันศรีวะราก็ดังออกมาจากห้องใต้ดิน น้ำเสียงนั้นแหบแห้งและก็อ่อนแรงลงทุกที แต่เขาก็ยังไม่ตาย เขายังสามารถเรียกใช้เกราะอาคมได้บางจังหวะ
“นั่นเป็นสิ่งที่มันควรรู้ ในเมื่อมันทำคนอื่นได้ แล้วคนอื่นจะทำมันกลับไม่ได้งั้นเหรอ ?”
คำพูดของเหนือภพ ทำให้ขุนศรีไชยะพูดไม่ออก เขารู้ดีว่าสักวันมันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ แต่ความเป็นจริงมันน่ากลัวกว่าสิ่งที่เขาคิดไว้มากนัก
“ข้าขอใช้ชีวิตของข้าแลกกับพี่ชายข้า”
ดวงตาของเหนือภพเริ่มสั่นไหว
“ทำไม เจ้าอยากให้มันรอดแล้วออกมาทำร้ายผู้คนอีกงั้นเหรอ ?”
ขุนศรีไชยะยังคงไม่ยอมแพ้ เขากัดฟันฝืนตอบ
“ได้โปรดเถอะ อย่างน้อยก็อย่าได้ทรมานเขาอีกเลย ใช้ชีวิตของข้าเพื่อหยุดความทรมานนั้น ให้พี่ชายข้าตายอย่างสงบได้หรือเปล่า ได้โปรด แม้ข้าจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ข้าก็มีทรัพย์สินมากมาย ขอเพียงท่านช่วยให้พี่ชายข้าไปอย่างสงบ ทุกอย่างของข้าจะเป็นของท่าน”
ขุนศรีไชยะขอร้องพร้อมเอากระดาษที่ซ่อนอยู่ในสาบเสื้อออกมายื่นให้กับเหนือภพ จากนั้นเขาก็ดึงดาบเหล็กไหลคู่กายตัดสะบั้นคอตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดใด
ภาพในความทรงจำของเขาย้อนกลับมาพร้อมกับความรู้สึกที่กำลังดำดิ่งลึกลงไปยังเหวลึกของความตาย
ภาพในวัยเด็กของเขานั้นช่างสวยงาม มันเป็นช่วงเวลาที่เด็กชายศรีไชยะมีความสุขที่สุด พี่ชายแท้ ๆ ของเขาคือเด็กชายศรีวะรา พวกเขาทั้งสองเกิดมาในครอบครัวขุนนางที่มียศถาบรรดาศักดิ์ แต่แล้วในวัยเด็กพ่อของเขาที่เป็นขุนนางได้ถูกคู่อริทางการเมืองใส่ร้ายและถูกทรมานในคุกจนตาย ส่วนแม่ก็ถูกศัตรูจับตัวไปทรมานต่าง ๆ นานาเพื่อให้บอกความลับ จนในที่สุดก็ตายตามพ่อไป
เขาและพี่ชายต้องระหกระเหินเอาชีวิตรอดไปตามประสา และเพื่อหาเงินมาเลี้ยงเขา พี่ชายเขาจึงทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะขโมย หลอกลวง เมื่อโตขึ้นก็เรียนรู้ที่จะฆ่า ข่มขู่ กรรโชก ขณะที่ตัวเขาถูกพี่ชายปกป้องดังไข่ในหิน เขาไม่เคยรับรู้ถึงแหล่งที่มาของเงินแต่ละเหรียญ อาหารแต่ละมื้อ หน้าที่ของเขาก็คือเรียนหนังสือเพื่อตอบแทนพี่ชายเพียงเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็เป็นฮันเตอร์ที่สร้างผลงานมากมาย จนถูกทาบทามเข้าสู่รั้วพระราชวัง ได้มียศตำแหน่ง จนสามารถทวงคืนความเป็นธรรมที่ตระกูลได้รับไปได้สำเร็จ ความอัปยศในอดีตที่ได้รับถูกชำระล้าง
แต่ว่าเวลากว่า 20 ปีที่พี่ชายของเขาดำดิ่งอยู่ในความมืดมานาน จิตใจของเขาจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้เขาจะพยายามเตือนสติเช่นไรแต่มันก็สายไปแล้ว นี่เป็นความผิดของเขา เขาควรจะใช้ชีวิตตัวเองชดเชยให้กับบาปของพี่ชาย มันสมควรแล้ว
ศีรษะที่หลุดลอยของขุนศรีไชยะนั้นไม่ได้ลืมตาขึ้นอีกเลย ใบหน้าไม่ปรากฏรอยเคียดแค้น แต่กลับดูผ่อนคลาย มุมปากเหมือนยกยิ้มอย่างโล่งใจ
เหนือภพมองอย่างเศร้าใจ ถึงเป็นพี่น้องกันแต่นิสัยกลับต่างกันถึงเพียงนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าเขาควรฆ่าขุนศรีไชยะ ด้วยเหตุผลที่ว่าพี่น้องกันก็ต้องรู้เห็นเป็นใจกัน แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว เขาก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกัน
“หรือเขาจะเป็นคนดีกว่าที่ข้าคิด”
เหนือภพเดินไปใกล้เพื่อหยิบกระดาษอาคมที่ถูกพับครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็คลี่ออกมาอ่าน มันคือพินัยกรรม เป็นจดหมายที่เหล่าฮันเตอร์มักพกติดตัว เพื่อให้คนที่พบศพเขา ทำเรื่องสุดท้ายให้แก่เขา
ภายในจดหมายพินัยกรรม สิ่งที่ขุนศรีไชยะเขียนไว้ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องฝากฝังให้ดูแลพี่ชายเพียงคนเดียวของเขา แล้วเขาจะมอบทรัพย์สมบัติที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้ให้
สุดท้ายสิ่งที่ศรีไชยะเป็นห่วง ก็ยังเป็นเพียงพี่ชายที่ชั่วช้าคนหนึ่ง
เหนือภพเห็นแบบนี้แล้วจะไม่ทำอะไรเลย เขาก็รู้สึกผิด เขาจึงเคลื่อนตัวไปทางห้องใต้ดินหวังจะยุติความทรมานให้พันศรีวะรา
แต่ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาลง มีดหมอที่ถูกซ่อนไว้ในเสื้อคลุมถูกเหวี่ยงออกไปยังทิศทางหนึ่ง ทิศทางที่เต็มไปด้วยจิตมุ่งร้าย
เสียงโลหะปะทะกัน มีดหมอถูกเบนออกไปทางหนึ่ง แต่เหนือภพก็สามารถพุ่งตัวไปรับมันไว้ได้ทัน จากนั้นภาพชายรูปร่างคุ้นตาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเหนือภพ แม้เสื้อผ้าและทรงผมจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้านั้นกลับยังคงเหมือนเดิม และเหนือภพไม่มีทางลืมมันแน่
แววตาของขุนภามเบิกขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนจะยิ้มกว้าง ดวงตาครุ่นคิด
“เจ้ารู้จักข้าด้วย หืม แปลกนะ ทำไมข้าถึงไม่รู้จักเจ้า”
เหนือภพไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อาคมที่เขาไม่เคยคิดใช้มาตลอด ก็ถูกเรียกใช้ในทันที
คำร่ายหลุดออกมาจากปากของเหนือภพ พร้อมร่างกายที่เรืองรองไปด้วยแสงสีส้ม ปรากฏพรึบเบื้องหน้าของขุนภามที่ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ขุนภามก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงพำพึมต่อมา
ร่างของขุนภามถูกแข้งขวาของเหนือภพเตะต่ำ กวาดจากขวาไปซ้ายอย่างรุนแรงจนร่างกายสูญเสียสมดุล แต่ยังไม่ทันที่ร่างกายจะตกกระแทกพื้น ขุนภามก็ต้องอ้าปากค้างร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อเข่าซ้ายขวาของเหนือภพกระแทกใส่สีข้างและแผ่นหลังอย่างต่อเนื่อง
จากร่างกายที่ควรจะตกพื้นกลับเด้งขึ้น ก่อนจะถูกกำปั้นขวาเหนือภพที่ง้างออกไปด้านหลังก่อนเหวี่ยงกลับมาทุบลงบนหน้าอกของขุนภามเต็ม ๆ
ร่างของขุนภามจมลึกลงไปในพื้นดินเกือบครึ่งเมตร พื้นที่โดยรอบแตกร้าวราวกับใยแมงมุมรอบตัวเขา ขุนภามร้องครางออกมา ไม่ใช่เขาไม่อยากตอบโต้ แต่เขาไม่มีโอกาสต่างหาก เจ้าหนุ่มคนนี้ไวมาก
เหนือภพฉวยโอกาสที่ขุนภามยังเคลื่อนไหวไม่ได้ เขาเกร็งกล้ามเนื้อง้างค้างไว้ เขามีโอกาสใช้กำลังมากกว่าเดิม แม้ไม่มั่นใจว่าจะฆ่ามันได้ แต่เขามั่นใจว่าหากมันโดนหมัดนี้เข้าไปต้องเจ็บหนักแน่
ทว่าเหนือภพเริ่มเกร็งกล้ามเนื้อได้เพียงแค่ระดับ 2 ขุนภามก็เริ่มเคลื่อนไหว เหนือภพจึงจำเป็นต้องออกหมัดตามขุนภามไปในทันที
คลื่นกระแทกที่ถูกซัด กระแทกร่างขุนภามที่กำลังเคลื่อนตัวหลบ ขุนภามถึงกับเสียหลักล้มไถลไปกับพื้น ขณะที่เหนือภพพุ่งขึ้นฟ้าทิ้งตัวลงมาด้วยท่าถุงเงินร่วงหล่น
แต่ขุนภามใช้คาถาย่นระยะทางเพื่อถอยหนีสำเร็จ เขายังคงมีรอยยิ้มและเริ่มจำได้ว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นใคร จากนั้นก็ถอดดาบที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมา
ขุนภามยิ้มและก็แปลกใจไปพร้อม ๆ กัน เจ้าเด็กนี่เป็นผู้ไร้พรสวรรค์ไม่ใช่เหรอ แต่ท่าโจมตีของมันกลับแฝงเร้นไปด้วยปราณอาคม หรือว่ามันจะเป็นคนของกลุ่มภราดาที่สายข่าวรายงานให้เขาฟัง
ในใจเหนือภพตอนนี้เดือดดาลอย่างมาก แต่สิ่งที่เขาควรทำคือดับไฟแค้นในใจตัวเอง ไฟแค้นมันไม่ได้ช่วยอะไร มันจะทำให้สติสัมปชัญญะสูญสิ้น เขาต้องเย็นให้มากกว่ามัน หากเขาทำตามเกมของมัน เขานี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายแพ้
“ขุนภามเจ้าจำข้าได้ช้าเกินไปไหม แบบนี้ผู้เสียหายอย่างข้าเสียใจแย่”
น้ำเสียงใจเย็นผ่อนคลายของเหนือภพทำให้ขุนภามประหลาดใจเล็กน้อย
ขุนภามใช้นิ้วชี้ส่ายไปส่ายมา ขณะที่เดินวนรอบตัวเหนือภพ รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้พิจารณาเหนือภพอย่างละเอียด เมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นที่เขาปลูกไว้ ในที่สุดก็กลายเป็นไม้ใหญ่ที่น่าเก็บเกี่ยว
“ข้าไม่ใช่ขุนแล้วนะ ข้าเลื่อนเป็นหลวงแล้ว เรียกข้าว่าหลวงภามดีกว่า เจ้าจะมาลดตำแหน่งให้ข้าแบบนี้ไม่ได้นะ”
หลวงภามอมยิ้มน้อย ๆ อย่างคนใจดี
“โอ้ ดีใจด้วยนะ แบบนี้ข้าคงต้องฉลองให้เจ้าเสียหน่อย”
เหนือภพพูดขณะดึงมีดหมอทั้งหมดออกมาจากถุงหนังใบใหญ่ที่เขาพกไปมา เขาเอามาแปะติดไว้ตามตัว เพื่อง่ายต่อการใช้งาน ต้นขาทั้งสองข้างแปะติดไว้ข้างละ 3 เล่ม หน้าแข้งอีกข้างละ 2 เล่ม รอบเอวส่วนข้างและส่วนหลัง 6 เล่ม ปีกหลังอีก 2 เล่ม
เขาไม่จำเป็นต้องใช้เชือกรัด เพราะส่วนประกอบของมีดหมอเหล่านี้มีโลหะเป็นวัตถุดิบหลัก ทันทีที่มันอยู่ใกล้ร่างกายของเขา มันก็ดูดติดกันจนแน่น ขอเพียงเขาไม่ตั้งใจถอดมันออก มันก็ไม่มีวันหลุดออกมา
Favorite
เหนือภพลืมไปเสียสนิทเลยว่าเขามาที่นี่ทำไม สิ่งที่เขาคิดได้คือคำสั่งสอนของอาจารย์ที่ลอยขึ้นมาในหัว
“วิชาความรู้ที่ข้าสอน อย่านำไปใช้ในทางที่ผิด หมั่นทำแต่กรรมดี ลดกรรมชั่ว สิ่งไหนควรให้อภัยได้ก็ให้อภัย ใช้พลังความสามารถที่มีปราบปรามอธรรม อภิบาลคนดี ปกป้องผู้คนจากเหล่าสัตว์ร้าย”
เขาไม่รู้หรอกคนไหนคือคนดี คนไหนคือคนชั่ว แต่เขารู้แน่ก็คือไอ้ศรีวะรานี่มันไม่ใช่คนแล้ว มันคือสัตว์นรกมาเกิดชัด ๆ
เหนือภพเกร็งกล้ามเนื้อนิ่งนานจนพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 6 แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงความปวดร้าวบนกล้ามเนื้อขวา มันเริ่มปวดตุบเนื่องจากใกล้จะเกินขีดจำกัดแล้ว
เขาเหวี่ยงกำปั้นออกไป 45 องศา ในทิศทางลานกว้างของคฤหาสน์ เขารู้ได้จากการสัมผัสเสียงต่อสู้อันครึกโครมด้านบน
เสียงกระแทกอากาศราวกับอุกกาบาตตกลงมา กำปั้นที่กระแทกเข้าไปในอากาศ ก่อเกิดคลื่นกระแทกคล้ายระลอกน้ำระเบิดออก แม้จะไร้สีแต่ก็สัมผัสได้ถึงคลื่นที่ถูกบีบออกมา กระจายเป็นวงกว้าง
พลังกำปั้นระดับ 6 ของเหนือภพทำให้คุกใต้ดินแหวกกว้างกว่าร้อยเมตร คฤหาสน์หายไปครึ่งหลัง พันศรีวะราและพันเพชรที่กำลังสู้กันอยู่อย่างดุเดือดถึงกับชะงักหันมามองด้วยใบหน้าซีดเผือด โดยเฉพาะพันศรีวะราที่ยืนอยู่ใกล้รัศมีระเบิดของพลังทำให้เขารับพลังหมัดอากาศของเหนือภพเข้าไปเต็ม ๆ โชคดีแล้วที่เขายังชะตาไม่ถึงฆาต
พันศรีวะราถึงกับเข่าทรุดลงไปอย่างอ่อนแรง ฉี่แทบราดออกมาเมื่อเขาคิดว่าพันเพชรนำคนมีฝีมือระดับนี้มาด้วย ยังไม่ทันที่เขาจะอ้อนวอนร้องขอความเมตตา ดวงตาก็พลันเบิกกว้างพลางพึมพำออกมาอย่างโล่งอก
“น้องพี่ ในที่สุดเจ้าก็มาช่วยแล้ว พวกมันกำลังจะฆ่าพี่ น้องต้องฆ่ามันให้พี่นะ”
พันศรีวะราเอ่ยปากบอกชายหนุ่มอายุอ่อนกว่าหลายปี ที่จู่ ๆ ก็กระโดดเข้ามายืนปักหลักใช้อาคมต้านพลังของเหนือภพให้เขา จนโล่อาคมมีรอยแตกร้าวปรากฏให้เห็น
ทันทีที่เขาปลดโล่ออก ขุนศรีไชยะ น้องชายของพันศรีวะราก็กระอักเลือดออกมา เข่าทรุดลงแบบพี่ชาย ขณะเงยหน้ามองเหนือภพที่เพิ่งกระโดดขึ้นมาจากห้องใต้ดิน
“พี่ข้าทำอะไรผิด ทำไมผู้ทรงพลังของกลุ่มภราดาจึงต้องการชีวิตเขา”
ศรีไชยะเป็นขุนที่คอยปกป้องเมืองหลวงมาช้านาน เขาเคยต่อสู้กับคนจากกลุ่มภารดามาหลายต่อหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอผู้ทรงพลังอย่างแท้จริง การโจมตีด้วยแรงอัดอากาศเป็นหลักวิชาที่กลุ่มภารดาใช้ มันคือทักษะต่อสู้ด้วยกายภาพที่เน้นใช้แรงอัดกระแทก ต่อให้มีอาคมป้องกันก็ใช่ว่าจะรอดพ้น ตราบใดที่คนเรายังหายใจด้วยอากาศก็ย่อมไม่มีทางหนีพ้นหมัดอัดอากาศนี้
“หลบไป พี่ชายของเจ้าได้กระทำการป่าเถื่อน เขาสมควรถูกพิพากษา”
เหนือภพตอบกลับด้วยใบหน้าเฉยชา ราวกับว่าอารมณ์ของเขาถูกสะเทือนไปถึงก้นบึ้งของหัวใจจนมันขาดสะบั้นออกมา
สีหน้าของศรีไชยะดำมืดลงขณะมองพี่ชายเพียงคนเดียวของเขาด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งรัก ทั้งเกลียด ทั้งชิงชัง และเป็นห่วง เขารู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้หมายถึงอะไร คงหนีไม่พ้นรสนิยมอันแปลกประหลาดของพี่ชายเขาแน่นอน
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงยัง….”
ขุนศรีไชยะเต็มไปด้วยโกรธและก็เสียใจขนไม่อาจพูดมันออกมาได้ ในฐานะพี่ชายเขาทำหน้าที่ได้ดีมาก แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งพี่เขากลับถูกจัดอยู่ในประเภทที่หยาบช้าที่สุด
ศรีวะราหน้าดูแตกตื่นทันทีเมื่อได้ยินชื่อ ภราดา สองมือสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่ก็พยายามกดข่มเอาไว้ เหลือเพียงความโกรธที่แสดงผ่านดวงตา
‘เพราะอะไรพวกมันถึงมาที่นี่ได้ ทั้งที่ข้าได้จัดการนังหมูสกปรกที่เป็นสายลับไปหมดแล้ว มันไม่ควรมีใครรู้เรื่องนั้น’
ทุกคนต่างรู้ดีว่ากลุ่มภารดาทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องผู้ไร้พรสวรรค์ พวกเขาเป็นพวกนอกกฎหมาย เป็นศาลเตี้ยที่จะคอยลงทัณฑ์เหล่าคนที่กระทำเรื่องเลวร้าย แต่พวกเขาไม่เคยทำตามอารมณ์ พวกเขาจะลงทัณฑ์เหล่าคนชั่วร้ายที่จำนนต่อหลักฐานเท่านั้น
และพันเพชรที่ตั้งใจมาจัดการพันศรีวะราโดยอ้างเรื่องแมวพระราชทานที่หายไป แต่เมื่อเห็นกลุ่มภราดาเข้ามาร่วมด้วย เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ กองทหารขมังเวทย์ของพันเพชรนับสิบคนจึงค่อย ๆ ถอนตัวออกไปตามคำสั่งอย่างเงียบ ๆ
เหนือภพเดินเข้ามาใกล้สองพี่น้อง ฝ่ามือของเขาปัดใส่อากาศอย่างเร็วและแรง เกิดเป็นคลื่นแรงกระแทกอากาศผลักร่างของขุนศรีไชยะที่บังร่างของพี่ชายอยู่ กระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตรโดยที่เขาไม่อาจต่อต้านได้เลย
แม้ผิวกายภายนอกของเขาจะยังดูดีไร้รอยบาดแผล แต่ความจริงแล้วอวัยวะภายในของเขาบอบช้ำมาก บางส่วนฉีกขาดจนไม่อาจฟื้นตัวได้ หากเขาไม่มีปราณอาคมอยู่ในระดับแรงค์ D ก็คงจะตายไปตั้งแต่ตอนนี้เลย
เหนือภพไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาใช้เท้าขวาเหยียบลงไปบนขาขวาของพันศรีวะรา แม้พันศรีวะราจะต้านด้วยอาคมแต่ก็ไม่ได้ผล เสียงแตกหักของกระดูกดังขยี้หัวใจยิ่งนัก กระดูกขาแหลกละเอียดในทันที ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันทุกข์ทรมานของพันศรีวะรา
เมื่อเหนือภพได้ยินเสียงกรีดร้อง เขาจึงค่อย ๆ เริ่มได้สติ แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อทำให้จิตสงบ เสียงเทศนาของพระอาจารย์กลับมาดังก้องในใจเขา แน่นอนว่าเขารู้ดี คนเราไม่ควรตัดสินความเป็นความตายของใคร เขาไม่ควรตัดสินทุกอย่างด้วยอารมณ์ แต่ควรตัดสินด้วยความเป็นธรรม
การหยุดการโจมตีของเหนือภพสร้างความงุนงงแก่เหล่าทาส ชาวบ้านธรรมดา ผู้เคราะห์ร้าย รวมถึงสายลับกลุ่มต่าง ๆ ที่พากันขึ้นมาจากคุกใต้ดินได้สักพักแล้ว
พวกเขาต่างภาวนาในใจให้เหนือภพฆ่าไอ้ชั่วนี้ให้ตายเพื่อแก้แค้นสิ่งที่มันทำกับพวกเขา
“ฆ่ามันให้ตายเถอะ ได้โปรด”
เสียงของพวกเขาดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง จนแทบอยากจะวิ่งเข้ามาลงมือด้วยตัวเอง แต่เหนือภพก็ยังไม่ทำอะไรต่อ
ขุนศรีไชยะรู้สึกโล่งอก ถึงพี่ชายเขาจะเลวยังไง เขาก็ยังอยากให้พี่ชายรอดชีวิตอยู่ดี ส่วนพันศรีวะรานั้นก็ยังดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด
“ปล่อยข้าเถอะ เจ้าอยากได้อะไรข้าจะให้หมดเลย เงินทอง ผู้หญิง หรือนังหมูสกปรกพวกนั้น ข้าให้ ข้าให้หมดเลย”
พันศรีวะรายกมือไหว้อย่างสั่นกลัว ขณะที่พยายามเขยิบร่างกายออกห่างจากเหนือภพ
สีหน้าของเหนือภพกลับมาสงบเยือกเย็นขณะผายมือไปทางกลุ่มผู้ถูกจองจำ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
พันศรีวะราเริ่มยิ้มตัวเอง เขามีทางรอดแล้ว
“ท่านอยากได้หรอ ได้สิ ข้าให้ เอาไปเลย ขอแค่ไว้ชีวิตข้าก็พอ”
แต่เหนือภพกลับส่ายหน้า
“คนพวกนั้นย่อมต้องเคยขอความเมตตาจากเจ้าเช่นกัน แล้วเจ้าทำอย่างไรกับพวกเขา แล้วยังมีหน้ามาขอชีวิตกับข้าเนี่ยนะ”
เหนือภพจ้องเข้าไปในแววตาของพันศรีวะราด้วยแววตาลึกล้ำ จนทำให้พันศรีวะราเริ่มกลัว ภาพเก่า ๆ ในอดีตของเขาย้อนกลับมาในห้วงสำนึก ภาพที่เขาลงมือทรมานผู้หญิงแต่ละคนค่อย ๆ ย้อนกลับมาในหัวสมองของพันศรีวะรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผิดแต่อย่างใด
“มันก็แค่พวกไร้ค่า โชคดีแค่ไหนแล้วที่มันยังสร้างความสุขให้แก่คนชั้นสูงอย่างพวกเราได้ ท่านปล่อยข้าสิ ข้าสอนให้ท่านได้นะ แล้วท่านจะรู้สึกว่าการฟังเสียงร้องของพวกไร้ค่ามันมีความสุขแค่ไหน”
เหนือภพหรี่ตาลง เจ้านี่มันโรคจิตเกินเยียวยาจริง ๆ เหนือภพยังคงเงียบขณะจ้องหน้าพันศรีวะราท่ามกลางเสียงด่าทอของเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังรุมด่าพันศรีวะราดังขึ้นเรื่อย ๆ
เหนือภพส่ายหน้าราวกับสงสาร ขณะจับร่างพันศรีวะราโยนขึ้นฟ้า แล้วเหนือภพก็กระโดดตามขึ้นไปฟาดเตะร่างอ้วนฉุของพันศรีวะราลงมาเบื้องล่างอย่างแรง
พื้นดินยุบตัวลง ร่างอ่อนปวกเปียกนอนลึกอยู่ที่ใจกลางแอ่งกระทะที่มีรัศมีสี่เมตร เหนือภพหลับตาลง ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะตามด้วยท่าถุงเงินร่วงหล่น แต่ก็ตัดใจไม่ทำ ไม่ใช่เพราะเขาเมตตา หรือปรานี แต่มันจะตายอยู่แล้วต่างหาก
เหนือภพก้มมองไปยังพันศรีวะราที่นอนอยู่ก้นหลุม เห็นได้ชัดว่าพันศรีวะรากำลังพยายามพูดอะไรบางอย่าง
เขาพูดออกมาอย่างอ่อนแรง แต่สายตายังคงเต็มแน่นไปด้วยความเคียดแค้น
“คำสาปแช่งของคนชั่วช้า ฟ้าดินไม่ฟังหรอก และอย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้า ก่อนที่เจ้าจะตายเจ้าควรจะได้รู้ซึ้งว่า ความรู้สึกตายทั้งเป็นนั้นเป็นยังไง”
เหนือภพกระโดดลงไปลากร่างอ้วนฉุขูดไปตามพื้น ก่อนจะเหวี่ยงมันลงไปในหลุมที่ทะลุต่อกับห้องขังใต้ดิน
“ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะทำให้คนอย่างมันได้ชดใช้กรรมแล้ว ยังไงก็เอ็นดูมันหน่อยละกัน”
พูดจบเหนือภพก็เดินออกมาอย่างไม่ยี่หระ ส่วนพวกเหยื่อผู้โชคร้ายต่างส่งเสียงร้องอย่างพอใจ แล้วก็พากันวิ่งกรูเข้าไปหาพันศรีวะราราวกับฝูงผีดิบที่หิวโหยการแก้แค้น มันเป็นภาพที่ไม่น่าดูสักนิด
Favorite
หญิงสาวผมสีแดงเพลิงในชุดยั่วยวนน้อยชิ้นกำลังรื้อค้นข้าวของภายในห้องของพันศรีวะราอย่างรีบเร่ง แต่จู่ ๆ ชายหนุ่มปริศนาก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีเสียงเตือน ดาบสั้นสองเล่มในมือเธอกวัดแกว่งตั้งท่าสู้โดยไม่ต้องคิด การตอบสนองของเธอรวดเร็วมากจนน่าตกใจ แต่ฝีมือแค่นี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เหนือภพระคายเคืองได้
เหนือภพยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากของตัวเองพลางส่ายหน้า ขณะมองไปยังหญิงสาวที่มีทรวดทรงองค์เอวอันน่าตะลึง รูปร่างของเธอถึงกับทำให้เขาหัวใจเต้นรัวไปครู่หนึ่ง
‘อู้ว รูปร่างของเด็กสาวกับหญิงสาวแตกต่างกันถึงเพียงนี้เลย’
เหนือภพคิดในใจอย่างหนึ่ง แต่เขาก็ดึงสติกลับมาได้
“ข้ามาตามหาแมว ไม่ได้มาปล้นสวาท”
เหนือภพพูดอย่างติดตลก แต่หญิงสาวรู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า มีใครบ้างที่จะเข้าหาผู้อื่นทางหน้าต่างห้องนอนที่อยู่สูงจากพื้นดินอย่างน้อยสิบยี่สิบเมตร อีกทั้งห้องนอนของพันศรีวะราห้องนี้ยังตั้งอยู่บนหอคอยทรงกลม ผิวข้างนอกหอคอยเรียบตรงยากต่อการปีนป่าย และต่อให้พยายามปีนขึ้นมาได้ พวกทหารรอบนอกจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร
หญิงสาวไม่วางใจ เธอมาที่นี่ในฐานะสายลับของตึกบุปผาเพื่อตามหาสายลับหญิงคนก่อนที่มาทำภารกิจที่นี่ แต่พวกเธอกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ เธอจึงต้องมาสืบในฐานะหญิงขายบริการที่จับพลัดจับผลูถูกใจพันศรีวะราจนเขานำเธอเข้ามาเลี้ยงดูภายในคฤหาสน์
เหนือภพหลับตาไม่สนใจโต้ตอบกับหญิงสาว เธอเป็นเพียงผู้ไร้พรสวรรค์ และแม้ว่าเธอจะมีอาวุธที่ถูกปรับแต่งด้วยอาคมที่อาจฆ่าผู้มีพรสวรรค์แรงค์ E ได้ แต่คงไม่ใช่เขาแน่
ความจริงเขามาที่นี่เพราะได้ยินเสียงร้องของแมว แต่มันก็เป็นเพียงเสียงแหลมบางเบาเท่านั้น เสียงที่ดังมากคือประโยคคำพูดของชายแก่คนนั้นต่างหาก เขาตะโกนดังลั่นเรื่องที่จะให้ใครสักคนทำให้แมวดำหุบปาก
เหนือภพยังคงหลับตาเปิดรับประสาทสัมผัสอื่น ๆ แม้ว่าเขาเคยฝึกจิตมาในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังทำได้ไม่ถึงระดับอาจารย์ที่สามารถมองภาพที่ห่างไปได้ชัดเจน เขาทำได้แค่สัมผัสเสียงร้องของแมวอันเลือนราง และไม่ได้มีแค่นั้น ยังมีเสียงลมหายใจรวยรินของมนุษย์จำนวนมากอีกด้วย
เมื่อเหนือภพลืมตาขึ้นมาก็เห็นดาบของหญิงสาวจี้เข้ามาที่คอเขาแล้ว เขายกมือขึ้นดีดใบมีดนั้นจนแตกละเอียดด้วยท่าทางปกติ แต่ในสายตาของหญิงสาวแล้วการเคลื่อนไหวของเขานับว่าเร็วมากจนน่าตกใจ
เหนือภพหันมองหญิงสาวที่ไม่แม้จะสวมใส่ชุดคลุมปกปิดร่างกาย จะว่าไปเขาเองก็ชอบมองผู้หญิงโป๊เปลือย มันทำให้รู้สึกตื่นเต้น แต่เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตที่เขาชอบดูกลิ่นจันทน์อาบน้ำ สีหน้าของเขาก็หม่นหมองลง จนเกิดเป็นความรู้สึกมืดมน ปนเปไปด้วยความโกรธที่คุกรุ่น รังสีอันตรายแผ่ออกจากตัวเขาโดยไม่รู้ตัว แม้แต่หญิงสาวก็ยังสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ทำให้สัญชาตญาณของเธอต้องสั่นกลัว
เธอก้าวถอยหลัง ก่อนจะทรุดเข่าลงกับพื้นที่ปูด้วยหนังสัตว์อย่างหมดแรง
“ไว้ชีวิตข้าด้วยข้าไม่มีเจตนาล่วงเกินท่าน ข้าทำไปเพื่อป้องกันตัว จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ขอเพียงท่านไว้ชีวิตข้า”
เธอกล่าวขณะที่ฝ่ามือเรียวงามเผลอไปเกี่ยวกับผ้าพันรัดอก จนผ้าหลุดออกมาพร้อมกับเต้าเต่งตึงที่ล้นทะลักตามออกมาด้วย
ใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นเขินอายราวกับว่านั่นเป็นอุบัติเหตุ
หญิงสาวจากตึกบุปผาไม่เพียงมีมารยาร้อยเล่มเกวียน และเสน่ห์เย้ายวนอันไร้ที่ติ เธอยังมีฝีมือการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองชายใด ที่สำคัญพวกเธอไม่มีคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ขอเพียงมีชีวิตรอดเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จได้ แม้จะต้องถูกทรมาน ต้องปรนเปรอผู้ชายมากแค่ไหนพวกเธอก็ยินดีทำ มันไม่ใช่เพราะเธออยากทำ แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่พวกเธอทำมันได้ดีและทำให้พวกเธอยังคงมีชีวิตรอด
เหนือภพจ้องมองท่าทางอ้อนวอนขอชีวิตของเธอด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้ทำอะไรเธอสักหน่อย แต่เขารู้สึกได้ถึงความกลัวที่ฉายชัดทางแววตาของเธอ
‘งั้นก็แปลว่าข่าวลือเป็นจริงสินะ พันศรีวะรามันเป็นขุนนางที่ชอบฉุดหญิงสาวสวยมาเป็นเมีย เธอคงเป็นหนึ่งในนั้น น่าสงสาร..’
“ไม่ต้องกลัวตามข้ามา แล้วเจ้าจะปลอดภัย”
คำพูดธรรมดาของเหนือภพกลับถูกหญิงสาวแปลความผิดตามอคติของตน ดังนั้นสิ่งที่เธอได้ยินคือ
‘ตามข้ามา ข้าจะให้เจ้าเป็นนางบำเรอจนกว่าเจ้าจะตาย หากเจ้าคิดหนี คิดทรยศเจ้าจะต้องตายอย่างทรมาน’
นั่นทำให้หญิงสาวหน้าซีดตื่นกลัว เธอรีบสาวเท้าเดินตามเหนือภพไปโดยไม่กล้าอิดออด
เหนือภพเดินไปตามทางเดินของหอคอยราวกับชำนาญ จนกระทั่งมาถึงชั้นล่างสุดของหอคอย ที่นี่เป็นสถานที่ลับที่ไม่สามารถเข้ามาจากด้านนอกได้ เหนือภพมองสำรวจรอบด้านก็ไม่พบทางออก คงต้องเป็นคนในที่อยู่มานานเท่านั้นจึงจะรู้
เหนือภพสังเกตเห็นรูปสลักวงกลมอันหนึ่งบนผนังหิน มันน่าจะมีความสำคัญบางอย่าง แต่เมื่อเขากำลังจะเปิดกลไกลับที่ถูกซ่อนไว้ เหล่าทหารในคฤหาสน์ก็ส่งเสียงร้องดังขึ้นเสียก่อน
“มีผู้บุกรุก ! ทางนี้ เร็วเข้า !”
เหนือภพคว้าแขนของหญิงสาวก่อนพุ่งขึ้นไปบนเพดานหินทรงโค้ง โดยใช้นิ้วมือเจาะเข้าไปในเนื้อหินเพื่อยึดจับให้ตัวเขาค้างอยู่บนนั้น
เมื่อทหารยามเดินมาตรวจตราแล้วไม่พบอะไรผิดสังเกต จึงเดินกลับออกไปที่เดิม
ไม่นานจากนั้นเหนือภพก็เห็นว่าประตูลับถูกเปิดโดยชายวัยกลางคนสองคนที่กำลังพุ่งตัวออกมา เมื่อพวกทหารที่กำลังปรี่เข้ามา เขาก็ถามด้วยความอารมณ์เสีย
“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรอีก”
“ตอนนี้คนของพันเพชรบุกเข้ามาถึงลานกลางคฤหาสน์แล้วขอรับ เขามาพร้อมหมายค้นจากท่านเจ้าเมืองที่กล่าวหาว่านายท่านขโมยแมวพระราชทานไป ถ้าท่านไม่ยอมส่งแมวคืน พวกเขาบอกว่าจะกวาดล้างคฤหาสน์ศรีสินธุให้ราบขอรับ”
ศรีวะราสบถอย่างหงุดหงิด จากนั้นเขาก็ตรงเข้าไปคว้าอาวุธคู่กายในห้องอาวุธ ก่อนจะเรียกให้ทหารตามออกไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
เหนือภพครุ่นคิดด้วยความนิ่งสงบ ดูเหมือนว่าพันเพชรจะรู้แล้วว่าแมวอยู่ที่ไหน เขาคงต้องรีบลงมือก่อน เพราะถ้าปล่อยให้พันเพชรเจอแมวก่อน เขาคงอดเงิน 100 เหรียญทองแน่
หญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ แขนขวาของเขาใหญ่กว่าต้นขาของเธอเสียอีก แม้ว่าจะแบกน้ำหนักของเธอ และถุงหนังบางอย่างไว้ด้วยแต่มันก็ยังยึดจับเพดานได้อย่างไม่ไหวติง ใบหน้าของเขาไม่มีความเกร็งแม้แต่น้อย
เหนือภพค่อย ๆ ปล่อยตัวลงมาจากเพดานอย่างระมัดระวัง แต่สุดท้ายเขาก็ทำให้พื้นคฤหาสน์ทะลุลงไปชั้นล่าง ร่างของเขาและหญิงสาวตกลงไปโดยไม่มีใครได้ยิน เพราะด้านนอกหอคอยนั้นกลุ่มทหารของพันศรีวะราและพันเพชรกำลังรบราฆ่าฟันกันอย่างดุเดือด คละเคล้าด้วยเสียงระเบิดจากอาคมเป็นระยะ
เหนือภพทะลุลงมายังพื้นที่มืดมิดและอับชื้น ที่นี่มีแต่กลิ่นเหม็นเน่าของซากสิ่งที่เคยมีชีวิต บรรยากาศเย็นเฉียบเสียดเข้าไปถึงกระดูก คนที่ฝึกบำเพ็ญจิตมาแล้วยิ่งรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจน มันจึงทำให้เหนือภพรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
“ใบหลิว แตงทอง เจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ”
หญิงสาวผมสีแดงร้องตะโกนขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองอยู่ในสภาพไม่น่าดูนัก ร่างกายเปลือยเปล่าของพวกเธอถูกตอกตรึงเข้ากับผนังหิน ร่างกายซูบผอมมีเลือดทั้งใหม่และเก่าติดอยู่ตามตัว ของเสียที่ขับถ่ายออกมาก็รดราดลงที่ตรงนั้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำราวกับถูกทรมานมานาน พวกเธอไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียก เหลือเพียงลมหายใจรวยรินเพียงเท่านั้น
สายตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความแค้นขณะมองเพื่อนในกรงฝั่งตรงข้าม เธอพุ่งตัวไปฝืนเขย่ากรงหวังทำลายมันให้พังพินาศ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เหนือภพไม่ชอบบรรยากาศในห้องนี้ มันเต็มไปมวลอณูแห่งความอาฆาต ความวิปริตและความตาย เหนือภพกำปั้น เกร็งกล้ามเนื้อหน่วงมันไว้นานจนกระทั่งพลังกล้ามเนื้อพุ่งไปถึงระดับ 4 เขาไม่กล้าใช้มากกว่านี้ด้วยเกรงว่าจะเป็นจุดสนใจมากเกินไป แล้วเขาก็เหวี่ยงกำปั้นเป็นแนวทแยงขึ้นไปบนผนังสูงเกือบชิดเพดานเพื่อทำให้อากาศและแสงจันทร์ส่องเข้ามาในนี้ได้มากขึ้น
ผนังหินของห้องใต้ดินถูกกระแสลมและคลื่นกระแทกทำให้พวกมันถูกอัดทะลุพื้นดินออกไปเป็นแนวเฉียงจนเห็นเป็นโพรงถึงข้างนอก
คฤหาสน์ทั้งหลังสั่นสะเทือนจนแทบจะพังลงมา แต่กำลังระดับ 4 ของเหนือภพก็ทำให้ช่องว่างเปิดกว้างเพียงแค่ 6 เมตรเท่านั้น แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้อากาศในนี้บริสุทธิ์ขึ้น แสงจันทร์ส่องลงมาถึงชั้นใต้ดิน และนั่นทำให้เหนือภพเห็นสิ่งที่แทบทำให้หัวใจหยุดเต้น
‘นี่มันฝีมือมนุษย์ด้วยกันหรือ’
เขาเคยแต่ได้ยินเรื่องเล่าจากพระอาจารย์ที่ว่ามนุษย์มักทำทรมานกันและกันด้วยความโหดร้าย ชะตาชีวิตของผู้เป็นทาสนั้นต้องทุกข์ทรมาน ผู้ที่เป็นทาส หรือเชลยศึกจะถูกตัดแขนขา บดกระดูกเพื่อให้พวกเขาพูดในสิ่งที่ใครบางคนอยากได้ยิน จากนั้นก็ถูกทรมานจนตาย
ที่นี่มีทาสถูกกักขังไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยคน มีทั้งเด็กและคนแก่ โดยเฉพาะผู้หญิงต่างอยู่ในสภาพหวาดกลัว โดยเฉพาะกลัวผู้ชาย เหนือภพไม่อาจเข้าใกล้พวกเธอได้เลย พวกเธอจะส่งเสียงกรีดร้องทั้งน้ำตาจนแทบขาดใจหากมีผู้ชายเดินเข้าไปใกล้
“เจ้าจัดการดูแลตัวเองและเพื่อนเถอะ”
เหนือภพพูดจบก็โยนถุงว่านคุ้มครองชีวิตให้หญิงสาวที่เขาไม่รู้จักชื่อ จากนั้นเขาก็จัดการทำลายกรงขังทุกกรงด้วยความเกรี้ยวกราด จนกระทั่งถึงกรงสุดท้ายที่มีแมวตัวใหญ่สูงหนึ่งเมตร ความยาวจากหัวถึงหางเกือบห้าเมตร มันมองมาที่ผู้ช่วยชีวิตมันอย่างขอบคุณ จากนั้นมันก็วิ่งหายลับไปท่ามกลางความมืด
Favorite
เหนือภพเดินสำรวจเมืองไปเรื่อย ๆ จนถึงสำนักงานฮันเตอร์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทุ่งนาข้าวหลายร้อยไร่ที่ปลูกไว้ภายในเขตเกษตรกรรมของเมืองสินธุ ด้วยความตั้งใจอยากสำรวจเรื่องราวต่าง ๆ ของฮันเตอร์ในเมืองนี้ ถ้าหากมีภารกิจที่เกี่ยวกับเหมืองโชคไพศาลก็ยิ่งดี นั่นจะเท่ากับว่าเขาขุดครั้งเดียวแต่ได้เงินสองต่อ
ตัวอาคารสำนักงานเป็นอาคารไม้สามชั้นยกสูงเหนือพื้น จนสามารถมองเห็นใต้ถุนอาคารที่เรียงรายไปด้วยร้านรับฝาก/แลกเงินของทางสำนักงาน ร้านค้าขายอาวุธ ชุดเกราะ ยา และอาหาร นอกจากนี้ก็ยังมีแพทย์ฉุกเฉินประจำการคอยรักษาฮันเตอร์บาดเจ็บ
เหนือภพเดินขึ้นบันไดชั้น 1 ชั้นนี้เป็นชั้นประกาศภารกิจทุกชนิด ภายในเป็นห้องโถงกว้าง ตามผนังมีป้ายขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกระดาษอาคมจำนวนมากแปะติดเอาไว้ โดยแบ่งเป็นโซน ๆ กำหนดระดับแรงค์ที่สามารถรับภารกิจไว้ชัดเจน
เขามองไปที่ป้ายขนาดใหญ่ที่มีควรจะมีภารกิจสำหรับแรงค์ F แปะอยู่ แต่มันกลับว่างเปล่า ส่วนป้ายของแรงค์ E ก็มีกระดาษแปะอยู่ไม่กี่แผ่น ส่วนของแรงค์ D และแรงค์ C นั้น แม้ป้ายจะใหญ่โตเทียบไม่ได้กับป้ายแรงค์ F กับ E แต่บนป้ายกลับเต็มไปด้วยกระดาษอาคมหนาแน่นจนแทบจะไม่มีที่ว่างที่จะแปะกระดาษได้ต่อไป
เหนือภพดึงกระดาษจากป้ายของแรงค์ E มาแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็ถือมันไปยังโต๊ะบริการตัวยาวด้านในสุดของโถงห้อง ที่นั่นมีพนักงานคอยบริการถึงสิบคน โดยนั่งอยู่คนละจุดของโต๊ะโดยไม่อึดอัด
เหนือภพวางกระดาษลงตรงหน้าพนักงานสาวคนหนึ่ง
“ถ้าข้าจะรับภารกิจนี้ ข้าจะต้องทำยังไงบ้าง”
เขาถามขณะที่พนักงานดึงกระดาษไปดูพร้อมกับอ่านออกเสียง
“ตามหาแมวของลูกสาวพันเพชร ลักษณะของแมวมีขนสีดำ ที่เท้าทั้งสี่ข้างมีขนสีขาว เหมือนสวมถุงเท้า ตัวยาวถึงหางประมาณห้าเมตร แมวหายตัวไปเมื่อ 3 วันก่อน จุดที่หายไปคือไร่ข้าวโพดของพันศรีวะรา ค่าจ้าง 300 เหรียญทอง ไม่จำกัดค่าความน่าเชื่อถือ”
พนักงานสาวเงยหน้าสำรวจเหนือภพอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าเหนือภพเป็นเพียงฮันเตอร์แรงค์ F เท่านั้น เธอจึงย้ำถามว่า
“เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำงานนี้ เจ้าคงเป็นหน้าใหม่สินะ พันศรีวะราน่ะเป็นพวกบ้าอำนาจและก็เกลียดสัตว์เป็นที่สุด ทั้งยังมีเรื่องบาดหมางกับพันเพชรมาตลอด เงินตอบแทนนี่มากพอ ๆ กับภารกิจแรงค์ D ระดับต่ำก็จริง แต่ข้าคิดว่าถ้าเจ้ารับงานนี้ไปก็มีแต่ล้มเหลว ไม่แน่ว่าแมวตัวนั้นอาจจะถูกฆ่าตายไปแล้วก็ได้”
“ถ้าอยากลองมันก็ลองได้ แต่เจ้าต้องยอมรับกฎของสำนักงานฮันเตอร์เสียก่อน หากทำภารกิจล้มเหลว 1 ครั้ง เจ้าจะถูกหักคะแนนความน่าเชื่อถือ และความน่าเชื่อถือของมือใหม่อย่างเจ้า คือ 0 แค่นี้ก็หางานทำยากแล้ว แต่ถ้าเจ้าทำภารกิจแรกพลาด ค่าความน่าเชื่อถือของเจ้าจะติดลบ เป็น -1 และเจ้าคงหางานทำอีกไม่ได้แน่ อาจต้องไปทนรับงานจากหอโลหิตเลยนะ”
พนักงานสาวเตือนด้วยความหวังดี พวกฮันเตอร์หน้าใหม่มักไม่ประมาณตนแบบนี้แหละ คิดแต่จะกอบโกยเงินทองด้วยภารกิจง่าย ๆ แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งค่าตอบแทนมากเท่าไหร่ ความยากก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น แต่เมื่อพนักงานสาวเห็นสีหน้าเชื่อมั่นของเหนือภพก็ไม่อยากห้าม ในเมื่อมันอยากลองของเองก็เอาเถอะ
“ถ้าตกลงก็ยื่นตราฮันเตอร์มาค่ะ”
เหนือภพยื่นแขนขวาออกไปขณะที่พนักงานสาวเอากระดาษอาคมแผ่นหนึ่งมาแปะที่ตราสัญลักษณ์ของเขาพร้อมกับ ใช้หินตราประทับสีดำสนิทคล้ายกับหินแท่นจ้าวอาคมที่เขาเคยเห็นที่หมู่บ้าน ทับลงไปบนกระดาษอาคมแล้วเธอก็ลูบไล้มันไปมา
กระดาษอาคมเรืองแสงขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏอักขระสีแดงขึ้นเต็มใบกระดาษอาคม มันเป็นข้อมูลที่บ่งบอกข้อมูลบางอย่างของฮันเตอร์ให้เห็น
พนักงานสาวถึงกับตาเบิกกว้างเมื่อมองไปยังข้อมูลที่เกี่ยวกับสัตว์อสูร
–สังหารสัตว์อสูรแรงค์ F จำนวน 201 ตัว สังหารสัตว์อสูรแรงค์ E จำนวน 554 ตัว–
“เจ้าทำได้ขนาดนี้ทำไมไม่ไปเลื่อนระดับแรงค์”
การสังหารสัตว์อสูรได้มากขนาดนี้ ฮันเตอร์แรงค์ F ไม่น่าทำได้ นี่ควรจะเป็นผลงานของฮันเตอร์แรงค์ E ช่วงท้าย ไม่ก็ฮันเตอร์แรงค์ D ช่วงต้นถึงจะทำได้ขนาดนี้
“ก็อยากอยู่นะ แต่ข้าไม่มีเวลาขนาดนั้น”
เหนือภพตอบด้วยท่าทางปกติ แต่มุมมองของพนักงานสาวที่มีต่อเหนือภพได้เปลี่ยนไปแล้ว จากการดูถูกเปลี่ยนเป็นความเคารพนับถือ เป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ F แต่มีปริมาณการฆ่าสัตว์อสูรระดับนี้ มันบ่งบอกว่าเขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้คนมากกว่าระดับแรงค์ พวกที่ชอบเลื่อนขึ้นไปแรงค์สูง ๆ มักใช้มันเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ รักษาอำนาจ หรือไม่ก็อวดเบ่งรังแกผู้คนไปวัน ๆ แทบจะสร้างประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
หากฮันเตอร์แรงค์ D ในเมืองนี้เป็นอย่างเหนือภพ ป้ายประกาศภารกิจคงว่างเปล่าไปตั้งนานแล้ว
แต่ในความคิดของเหนือภพ เขากลับมองต่างออกไป การเลื่อนระดับแรงค์นั้นจำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 5,000 เหรียญเงิน เรื่องอะไรเขาจะจ่าย ถึงเขาจะมีระดับแรงค์น้อยทำให้โดนดูถูก แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาและไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่ถ้าเขาเสียเงินมันจะเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขา
หลังจากที่เหนือภพจัดการรับงานเรียบร้อย เขาก็เดินออกมาจากสำนักงานฮันเตอร์ในทันที ขณะที่ยังคงบ่นพึมพำออกมาอย่างหัวเสีย
คำพูดของพนักงานคนนั้นยังคงหลอกหลอนอยู่ในหัวของเขา
“โดยปกติแล้วฮันเตอร์จะไม่สามารถรับงานข้ามแรงค์ได้นะคะ แต่เห็นว่าเจ้าเพิ่งมารับงานที่สำนักงานฮันเตอร์ที่สาขาของเราเป็นครั้งแรก จึงยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ แต่เจ้าจะได้ผลตอบแทนแค่ 100 เหรียญทองเท่านั้น”
เหนือภพยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเสียเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ได้รับเงินอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่ฮันเตอร์แรงค์ E ได้รับ แต่เขาก็ยังเดินมุ่งไปในทิศทางที่พนักงานสาวแนะนำ เส้นทางนี้มีโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะเจอแมว
เสียงหอบกระเส่าของหญิงสาวผมสีแดงเพลิงและชายวัยกลางคนผสมปนเปกันอย่างดุเดือด ขณะที่อารมณ์ของทั้งสองกำลังจะถึงจุดที่ระเบิด ก็พลันมีเสียงร้องของแมวก็ดังขึ้น
เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูดังลั่นไปทั่วคฤหาสน์ ทำลายบรรยากาศของคู่ชายหญิงเสียหมด จนชายวัยกลางคนผลักสาวอวบอึ๋มออกจากอ้อมกอด
แต่ไหนแต่ไรมาเสียงสัตว์ร้องมักทำให้เขารู้สึกคลั่ง
“ไอ้ห่าดำ มึงช่วยหุบปากไอ้แมวนรกนั่นสักที หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างสิโว้ย ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก”
ศรีวะราตะโกนขึ้นอย่างหัวเสีย ขณะหันไปมองสาวงามกับเสื้อผ้าน้อยชิ้นบนเตียง เธอตกใจหน้าซีดเผือดในขณะที่แววตายังคงยั่วยวนเขาอยู่ แต่ลึก ๆ แล้วก็กลับซ่อนความรังเกียจอยู่ไม่น้อย
ศรีวะราหันมาจับแก้มของหญิงสาวโน้มเข้ามาจูบหน้าผาก แล้วกระซิบเบาๆ
“รอผัวสักครู่นะแม่คนงาม ข้าขอไปทำธุระสักครู่ เดี๋ยวจะรีบมาเชยชมเจ้า”
คำตอบรับจากริมฝีปากอวบอิ่มเต็มไปด้วยเสียงเย้ายวนทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกกระชุ่มกระชวยแท่งเนื้อลุกชูชัน แทบไม่อยากผละจากสาวงามไป แต่เจ้าแมวบ้าที่เขาเอามันมาขังไว้ กลับชอบร้องเสียงดังน่ารำคาญขัดจังหวะสนุกของเขาทุกที
ศรีวะราลากดาบยาวลงมายังชั้นใต้ดิน ที่นี่เต็มไปกรงขังของสิ่งมีชีวิตมากมายเฉพาะมนุษย์ เขามองกวาดไปรอบด้าน เห็นกรงที่มีซากมนุษย์ผอมแห้งจากถูกอดน้ำอดอาหารจนตาย และกรงที่มีแมวใหญ่สีดำสนิทตัวหนึ่ง ดวงตาของมันแดงก่ำ ขาคู่หน้าที่เหมือนสวมใส่ถุงเท้าสีขาวของมันกระแทกเข้ากับกรงเหล็กรุนแรงดังปัง จนทำให้ศรีวะราถึงกับสะดุ้ง
“มึงอยากตายมากใช้ไหมไอ้แมวชั่ว”
ร่างกายและดาบของศรีวะราเปล่งแสงสีทองอ่อน ดาบถูกยกขึ้นพร้อมกับที่เขาเดินตรงเข้าไปใกล้ประตู หวังเปิดเข้าไปแล้วฆ่ามันให้ตาย จะได้จบ ๆ เรื่องไป
แต่ในขณะนั้นเอง ไอ้ดำพ่อบ้านของคฤหาสน์ก็วิ่งลงมาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“นายท่านศร ท่านอย่าได้ทำแบบนั้น ท่านทำแบบนั้นไม่ได้”
“ไอ้ดำ มึงมาก็ดี กูจะฆ่ามึงให้ตายด้วย”
ศรีวะราโมโหสุด ๆ แล้ว เขาเกลียดเสียงแมว และเขาก็เกลียดเวลาที่พวกลูกน้องทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ
เจ้าดำรู้จักนิสัยของเจ้านายเป็นอย่างดี เขารีบคุกเข่าพร้อมกับพูดเตือนสติเจ้านายอย่างรวดเร็ว
“ท่านฆ่าบ่าวคนนี้ได้ แต่ท่านจะฆ่าแมวพระราชทานตัวนั้นไม่ได้นะขอรับ”
เมื่อเห็นว่าเจ้านายชะงักไปนิดหนึ่ง เขาจึงมีโอกาสได้พูดต่อ
“นายท่านอย่าลืมสิขอรับ แมวราตรีตัวนี้พันเพชรได้รับพระราชทานมาจากองค์เจ้าแคว้นเพื่อเป็นของขวัญให้ลูกสาวของเขา”
“บัดซบเอ๊ย ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ โธ่โว๊ย”
ศรีวะราเขวี้ยงดาบปักพื้นหินลงไปเกือบครึ่งเล่มอย่างต้องการระบายอารมณ์ เขาพยายามสงบใจตัวเอง ขณะที่แมวราตรียังคงร้อง เมี้ยว เมี้ยว มันจ้องมองศรีวะราราวกับกำลังยิ้มเยาะกวนประสาท
ศรีวะราได้แต่อดทน หากไม่มีพ่อบ้านดำคอยให้ความช่วยเหลือและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เข้าใจ และช่วยย้ำเตือนเขาว่านี่คือแผนร้ายของพันเพชรเขาคงตกหลุมพรางที่มันขุดไว้นานแล้ว
เจ้าพันเพชรมันวางแผนนี้มาเพื่อกำจัดเขาโดยเฉพาะ มันตั้งใจส่งแมวราตรีตัวนี้เข้ามาในเขตคฤหาสน์ของเขา ทั้งยังสร้างเรื่องให้สำนักงานฮันเตอร์ช่วยออกตามหาแมวตัวนี้
ด้วยฐานะและความขัดแย้งตลอดครึ่งค่อนชีวิตของเขาและพันเพชร ผู้คนจะมองเขายังไงถ้าเขาเอาแมวตัวนี้ไปคืน มันก็เหมือนเป็นการบอกว่า เขาขโมยแมวพระราชทานของมันมา แต่ถ้าไม่ยอมคืนตรง ๆ แล้วแอบปล่อยแมวออกไปก็เป็นไปไม่ได้อีก พวกมันก็คงลงทุนฆ่าแมวนั้นและหาวิธีป้ายความผิดมาให้แก่เขาจนได้
Favorite
“ผ่านมาตั้ง 6 ปีแล้ว ยังไม่มีการพัฒนาเลย”
เหนือภพบ่นอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นสภาพของรถเทียมเกวียนที่พังทลายลงไปทันทีที่เขาก้าวขาขึ้นบนบันไดของมัน
“นายท่าน ถึงท่านไม่พอใจข้า ก็อย่าได้ทำลายข้าวของของข้าสิขอรับ”
สารถีร้องขึ้นอย่างอัดอั้น เมื่อเห็นสภาพตัวรถที่เทียมอยู่กับม้าอสูรหักครึ่งลงต่อหน้าต่อตา พร้อมกับม้าอสูรที่ร้องตกใจเพราะถูกเชือกรั้งคอแทบหัก ส่วนลูกค้าคนใหม่ในชุดสีรุ้งนั้นกลับยืนนิ่ง
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับข้าที่ไหนละ รถเจ้าไม่มีมาตรฐานเองต่างหาก”
เหนือภพตอบโต้ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า ต่อให้เขาไม่สวม ‘ชุดเกราะมัจฉาเจ็ดสีอิทธิฤทธิ์เหลือหลาย ทั้งโลกาไม่มีศาสตราวุธใด เจ็ดแสงยิ่งใหญ่ไร้คู่ต่อกร’ ร่างกายของเขาก็หนักมากอยู่แล้ว เพราะเนื้อสัตว์อสูรที่เขากินเข้าไป ทำให้มวลกล้ามเนื้อของเขาหนาแน่นขึ้นและหนักขึ้น ยิ่งรวมกับชุดเกราะมัจฉาเจ็ดสีอีก น้ำหนักตัวเขาก็เลยพุ่งทะยานไปไกล
พอเหนือภพคิดแบบนั้นเขาก็หันไปมองด้านหลังตามเส้นทางเดินที่เขาเดินผ่านมา มีรอยรองเท้าที่จมลึกลงไปบนพื้นหินเล็กน้อย
เหนือภพมองสารถีที่กำลังคร่ำครวญแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสาร เขาไม่รู้นี่ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะในมุมมองเขาชุดเกราะแสนหนักนี่ก็เป็นเพียงเสื้อผ้าปกติธรรมดา ออกจะเบาสบายด้วยซ้ำ
“เอาเถอะ ข้าชดใช้ให้เจ้าก็ได้ ”
เหนือภพยื่นเหรียญเงินสองเหรียญให้กับสารถี พร้อมกับถามย้ำ
“นายท่านแค่ซื้อตัวรถยังพอได้ แต่ค่ารักษาม้าอสูรของข้าเกรงว่ามันจะไม่พอ”
เหนือภพกัดฟัน เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกไถเงิน แต่ก็เพิ่มให้อีกหนึ่งเหรียญเงิน ก่อนจะพูดตัดบทไปว่า
“ข้ามีแค่นี้ละ ถ้าอยากได้เพิ่มก็ไปเอาจากผู้เฒ่าที่โรงเตี๊ยมสำราญใจโน้น”
เขาโยนเหรียญเข้าอกเสื้อของสารถีอย่างแม่นยำ ก่อนจะสาวเท้าออกไปเขาก็คว้าชุดคลุมสีเทาดำที่พาดอยู่บนไหล่ของสารถีไปด้วย แม้มันจะมีรอยปะด้วยผ้าหลากสีเต็มไปหมดแต่เหนือภพก็ไม่สนใจ
“เอ๊ะ นายท่านนั่นมันเสื้อคลุมของข้า”
เหนือภพเดินมุ่งหน้าออกจากประตูพร้อมกับชูมือโบกไปมา
“เจ้าไม่ไปส่งข้าก็ได้ แต่เจ้าจะให้ข้าหนาวตายหรือไง”
เหนือภพเดินออกจากเมืองด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ขณะที่เงยหน้ามองฟ้าเป็นระยะเขาก็ถอนลมหายใจออกมา หากน้ำหนักตัวเขายังมากแบบนี้ เขาคงต้องเดินทั้งชีวิตแน่
เหนือภพคิดขณะกระชับเสื้อคลุมให้แน่น และยกฮู้ดมาคลุมศีรษะเอาไว้ ต่อให้เขาแข็งแกร่งอย่างไร ผิวหนาแค่ไหน แต่ผิวหนังของเขาก็ไม่ได้ตายด้าน มันยังคงรับรู้ร้อนหนาวได้ตามปกติ ความร้อนระอุจากแสงแดดสามารถทำให้เขากระหาย กระแสลมที่โบกพัดยามค่ำคืนก็ทำให้เขาหนาวสั่นได้เช่นกัน
หากเดินทางไปเมืองสินธุด้วยรถม้า ใช้เวลาสามวันก็ถึง แต่หากไปด้วยการเดินเท้าก็จะล่าช้าไปถึงสองวัน เหนือภพในสภาพมอซอกระชับเสื้อคลุมแน่น บัดนี้เสื้อคลุมของเขามีฝุ่นผงเศษใบไม้ และคราบเลือดของสัตว์อสูรที่เขาฆ่ามันมาตลอดทางเปื้อนกระจายเป็นหย่อม ๆ
เมื่อเขามาถึงประตูเมืองสินธุสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินก็คือ
“พวกเจ้าเป็นฮันเตอร์จากที่ไหนข้าไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น ที่นี่มีกฎ และพวกเจ้าต้องทำตาม ข้า พันศรีวะรา ผู้ดูแลเรื่องราวต่าง ๆ ของเมืองสินธุ ไม่อนุญาตให้ฮันเตอร์ต่างถิ่นที่ไม่มีใบอนุญาตผ่านเข้าเมืองเด็ดขาด !”
เสียงโห่ร้องของฮันเตอร์จำนวนมากดังขึ้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าขอเพียงฮันเตอร์ไม่ทำผิดกฎหมาย ก็ถือว่าตราสัญลักษณ์ฮันเตอร์ที่ข้อมือขวาเป็นใบอนุญาตที่แท้จริง และได้รับการยืนยันจากองค์เจ้าแคว้นว่าสามารถใช้งานได้
แต่เจ้าโง่นี่มันเป็นใคร อ้างตัวว่าเป็นพัน แต่กลับไม่รู้กฎเกณฑ์ง่าย ๆ แค่นี้
“ข้าอยากรู้จริง ๆ ไอ้บ้านี่มันได้ตำแหน่งมาเพราะความสามารถ หรือเพราะเงินในถุงของมันกันแน่ บัดซบฉิบหาย”
ฮันเตอร์แรงค์ E ที่ยืนอยู่ข้างเหนือภพทั้งสบถและเอ่ยมาอย่างหงุดหงิด คนยิ่งรีบ ๆ กลับต้องมาเจอกับพวกบ้าอำนาจ
เหนือภพพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะย่อตัวลงแล้วดีดมันขึ้นสู่ฟ้า กระโดดเกาะกำแพงเมืองสูงแล้วก็กระโดดไปอีกสามครั้ง เขาก็ผ่านพ้นกำแพงที่สูงกว่าสามสิบเมตรของเมืองมาได้ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
ท่ามกลางสีหน้าตกตะลึงของเหล่าฮันเตอร์ที่รู้สึกว่า ‘ความคิดนี้ไม่เลว’ พอมีคนหนึ่งเริ่ม อีกคนก็ทำตาม จนกลายเป็นภาพที่ทำให้นายพันหน้าใหม่อย่างศรีวะราหน้าตึงเลยทีเดียว
“บัดซบ ! ไปจับพวกมันมาให้ได้โดยเฉพาะไอ้หัวโจกที่กระโดดไปคนแรก”
เหล่าทหารตอบรับด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนหนักแน่น แต่แววตากลับรู้สึกดูถูกผู้พันคนนี้ พวกเขาจึงวิ่งออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจอยากจะตามจับคนนัก และต่อให้พวกเขารู้สึกเต็มใจ ชายคนนั้นที่กระโดดข้ามกำแพงได้โดยใช้การกระโดดต่อเนื่องเพียงสามครั้งแบบนั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว พวกเขาเป็นแค่แรงค์ F จะไปทำอะไรได้ แค่ดูก็รู้ระดับพลังแบบนั้นต้องเป็นพวกแรงค์ D แน่นอน
เหนือภพเคลื่อนตัวไปตามอาคารบ้านเรือนเรื่อย ๆ แม้เขาจะพยายามลงน้ำหนักเท้าให้น้อยที่สุด แต่ก็ยังทิ้งรอยเท้าไว้ตามรายทาง นี่เป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลเสียต่อเขาในอนาคต หากอยู่ในสถานการณ์ไล่ล่า ต่อให้เขาเร็วแค่ไหน ก็ต้องมีใครสักคนตามมาพบจนได้
เหนือภพแวะหยุดบนหอคอยสูงแห่งหนึ่ง บนนี้สูงมากและสงบมากด้วย มีเพียงระฆังใบใหญ่กับนกพิราบตัวน้อยเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขา
เขาเปิดแท็บแล็ตขึ้นมาอีกครั้ง พลางหวนคิดถึงครั้งหนึ่งที่เขาเคยเห็นผลไม้ชนิดหนึ่ง มันถูกเรียกว่า ผลขนนก มันมีสรรพคุณในการทำให้ร่างกายเบาลง แต่ตอนนั้นเขายังอยู่ที่วัด แถมราคาของมันยังสูงถึง 100 ล้านพ้อย ทำให้เขาไม่มีปัญญาที่จะซื้อมัน และเขาก็ได้แต่หวังว่าจะเจอมันในตลาดออนไลน์อีกครั้ง
ตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่วัด พระอาจารย์บำรุงเขาด้วยเนื้อสัตว์อสูรพิเศษสามเดือนครั้ง เขากินเนื้อสัตว์อสูรที่นั่นมาทั้งหมด 16 ครั้ง และทำให้เขาค้นพบความลับบางอย่าง เนื้อสัตว์อสูรที่มีสรรพคุณเหมือนกันสามารถทับซ้อนกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้
หากจะยกตัวอย่างเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพก็ต้องเท้าความก่อนว่าร่างกายของมนุษย์เราจะมีค่าพลังและความสามารถที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และสมรรถภาพร่างกายโดยกำเนิด ซึ่งปกติจะแบ่งเป็น
พละกำลัง คือเรี่ยวแรงที่ใช้กระทำด้วยกายหยาบ การเตะ การต่อย การแบก ล้วนใช้สิ่งนี้เป็นตัววัด และผู้ไร้พรสวรรค์มักจะมีค่าพละกำลังนี้มากกว่าผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาจะมีค่าพละกำลังแค่ 1 แต่ผู้ไร้พรสวรรค์สามารถมีได้ถึง 2
ความคล่องตัว คือค่าการเคลื่อนไหวทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง การเดิน การเคลื่อนไหวแขนขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าผู้มีพรสวรรค์หรือไร้พรสวรรค์ก็ล้วนเกิดมามีค่านี้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสายเลือดและพันธุกรรม แต่ค่อนข้างแน่ชัดว่าสตรีจะมีค่าความคล่องตัวมากกว่าบุรุษ
ความทรหด คือค่าความอึด ความอดทน และที่แน่ชัดคือค่านี้จะมีมากในกลุ่มผู้ไร้พรสวรรค์ ทั้งยังเป็นค่าที่เหล่าผู้ค้าทาสใช้เป็นตัวชี้วัดมูลค่าของผู้ไร้พรสวรรค์ ซึ่งเป็นเครื่องรับประกันว่าพวกมันจะตายยาก และทำงานได้คุ้มค่ามากขึ้น
ปราณอาคม คือค่าที่ปรากฏในเหล่าผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น โดยปราณอาคมจะเกิดขึ้นครั้งแรกในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีเท่านั้น หากอายุเกินกว่านี้แล้วยังไม่มีปราณอาคมก็จะถูกนับเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ทันที
การตอบสนอง คือความสามารถที่เกิดจากการฝึกฝน สภาพแวดล้อมที่เป็นตัวกระตุ้นการตอบสนอง หรือถือครองของวิเศษ มันเป็นสัญชาตญาณดิบของร่างกายที่ถูกกระตุ้นขึ้น อย่างเช่นเมื่อมีอันตราย ร่างกายของเราจะตอบสนองเพื่อที่เอาตัวรอดจากอันตรายนั้น การตอบสนองจะพัฒนาได้มากกับสิ่งมีชีวิตที่เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
ความสามารถพิเศษ คือสิ่งที่ให้คำจำกัดความที่เจาะจงไม่ได้ แต่ที่แน่ชัดคือ ความสามารถพิเศษเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถหลักของร่างกาย อย่างเช่น เหนือภพมีความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด คือร่างกายมีการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเองได้ไวกว่ามนุษย์ทั่วไป
นี่เป็น 6 ค่าวัดสมรรถภาพของมนุษย์โดยพื้นฐาน ซึ่งถูกกำหนดโดยสภาฮันเตอร์ส่วนกลางของดินแดนเงาสุริยัน
แล้วมันเชื่อมโยงกับพวกเนื้อสัตว์พิเศษได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น
เหนือภพมีค่าสมรรถภาพพื้นฐาน ดังนี้
(ความสามารถพิเศษ) : ฟื้นฟูตัวเอง
แน่นอนว่าค่าพวกนี้จะสามารถพัฒนาเพิ่มได้ด้วยการเติบโตขึ้น และจะลดลงเองเมื่ออายุมากขึ้นตามธรรมชาติ แต่การกินเนื้อสัตว์อสูรพิเศษจะให้ผลที่ต่างกันออกไปนิดหน่อย
อย่างเช่นเหนือภพกินเนื้อช้างคุณภาพต่ำหนึ่งครั้ง ประสิทธิภาพของมันคือเพิ่มพละกำลังให้เขา เนื้อสัตว์คุณภาพต่ำจะให้ผลลัพธ์คือ 1 แต้มของค่าสมรรถภาพของร่างกายจากเดิม ดังนี้
(พละกำลัง) : 1 +(1) ค่าพละกำลังของเขาก็จะถูกปรับให้เป็นระดับ 2 เรี่ยวแรงของเขาจะถูกยกระดับขึ้นมาอีกเท่าของค่าพื้นฐาน นี่คือผลการทำงานของเนื้อสัตว์อสูรของคุณภาพต่ำ
ถ้าหากเป็นเนื้อสัตว์คุณภาพสูงจะให้ค่า สมรรถภาพ 2 แต้ม ในขณะที่เนื้อสัตว์อสูรคุณภาพชั้นเลิศนั้นจะให้ค่าสมรรถภาพถึง 4 แต้ม แต่ว่ามันเป็นเพียงแค่คำบอกเล่าเท่านั้น แม้ตัวเขาเองตอนอยู่ที่วัด แม้จะเต็มไปด้วยสัตว์อสูรหายากเขายังกินแค่เนื้อสัตว์อสูรคุณภาพต่ำเท่านั้น
จากจำนวนเนื้อทั้ง 16 ชนิด และรวมที่เหนือภพเคยกินตั้งแต่ได้แท็บแล็ตมา รวม ๆ แล้วค่าสมรรถภาพร่างกายของเขาอยู่ที่
(ความสามารถพิเศษ) : ฟื้นฟูตัวเอง , มวลกล้ามเนื้อหนาแน่น
ในตอนนี้เหนือภพสามารถใช้พละกำลังได้ถึงระดับ 6 และพระอาจารย์ก็ได้สอนให้เขาสามารถควบคุมพละกำลังนั้นได้อย่างใจนึก
แท้ที่จริงมันก็ไม่ได้ยากเลย ขอเพียงเข้าใจหลักการ นั่นคือการเกร็งและการหน่วงกล้ามเนื้อให้นานที่สุด ถ้าโจมตีออกไปเลยนั้นคือ กำลังระดับ 1 เป็นกำปั้นธรรมดา หากเกร็งและหน่วงกล้ามเนื้อไว้นานถึง 2 วินาที หรือเกิน 2 วินาที เขาจะสามารถใช้กำลังระดับ 2 ได้ และแน่นอนว่าถ้าหากต้องการใช้กำลังระดับ 3 ก็จำเป็นต้องหน่วงกล้ามเนื้อให้มากกว่าเดิมอีกหนึ่งเท่าเป็น 4 วินาที
หากเหนือภพต้องการใช้กำลังระดับ 6 เขาก็ต้องหน่วงกล้ามเนื้อไว้นานถึง 32 วินาที เพื่อใช้การโจมตีนี้ระเบิดพลังในครั้งเดียว แต่ในการต่อสู้นั้นสถานการณ์พลิกผันและเปลี่ยนแปลงได้ภายในเสี้ยววินาที ดังนั้นทุกการต่อสู้ที่ผ่านมา เหนือภพจึงมักใช้พละกำลังแค่ระดับ 3 ก็ถือว่ารุนแรงพอจะขุดหลุมกว้าง ๆ ได้มากกว่าสามเมตรแล้ว ต่อให้เป็นสัตว์อสูรแรงค์ E ถ้าโดนไปหมัดเดียว กว่าร่างกายของมันจะฟื้นฟูกลับมาก็เหลือเวลามากพอให้เหนือภพกินข้าวอิ่มเลยทีเดียว
นอกเหนือจากการเพิ่มระดับค่าข้างต้นแล้ว ก็มีกรณีหักล้างได้ด้วย อย่างเช่น เหนือภพมีค่าการตอบสนอง 4 ถ้าหากในอนาคตเขากินเนื้อพิเศษบางอย่างที่มีผลทำให้การตอบสนองช้าลง ค่าการตอบสนอง ก็จะมีค่า 4+(-1) กลายเป็น 3 นั่นเอง
** จบบันทึกพิเศษ**
Favorite
เหนือภพใช้เวลาอยู่ที่เมืองโกงกางอีกนานหลายเดือน ฐานะตำแหน่งของเขาภายในโรงเตี๊ยมสำราญใจยิ่งนานก็ยิ่งเลื่อนขึ้น ยิ่งมั่นคงขึ้น จนกระทั่งเขาได้เป็นผู้จัดการร้านควบคุมเรื่องราวทุกอย่างภายในโรงเตี๊ยมอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าเรื่องการเงิน การต้อนรับ การดูแลคนงานและการบริการลูกค้าคนสำคัญ ท่านผู้เฒ่าก็ล้วนวางใจให้เหนือภพรับผิดชอบ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีตัวยุ่งยากเข้ามาก่อกวน
ชื่อเสียงของเหนือภพถูกกล่าวขานกันปากต่อว่า ตุลาการคลั่ง ผู้ที่เคยเจอดี ต่างไม่กล้าก่อเรื่องเป็นครั้งที่สอง คนที่กังขาในชื่อเสียงต่างพากันมาก่อเรื่อง แต่ไม่นานก็ถูกโยนออกไปด้านนอกไม่ต่างจากขยะ
นานวันเข้าสัญลักษณ์ของโรงเตี๊ยมสำราญใจก็คือเหนือภพ จึงมีคนมีชื่อเสียงมากหน้าหลายตานิยมเข้ามาพัก ขอเพียงพวกเขาไม่ก่อเรื่องเสียเองก็มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าใครจะรบกวน
เหนือภพรับเงินเดือนจากผู้เฒ่าตามปกติ จากนั้นก็ขอลาออกในทันที เรื่องนี้สร้างความปั่นป่วนและส่งผลกระทบต่อเจ้าของกิจการโรงเตี๊ยมสำราญใจเป็นอย่างมาก
แม้ผู้เฒ่าจะตกใจ แต่ด้วยประสบการณ์ก็ทำให้เขารู้ว่าควรจะต่อรองยังไง
“เพราะอะไร ข้าให้เงินเจ้าไม่พอหรือ เจ้าต้องการเท่าไหร่ พวกเราตกลงกันได้”
“ถึงเรื่องเงินจะสำคัญต่อข้าก็จริง แต่มีบางเรื่องที่สำคัญต่อข้ามากกว่า ข้าจำเป็นต้องไปเมืองสินธุ ข้ามีธุระต้องจัดการ หวังว่าท่านผู้เฒ่าจะเข้าใจ ถ้าหากเป็นไปได้ ข้าก็อยากทำงานอยู่กับท่าน ไม่เพียงเงินดี ที่อยู่ที่กินก็เพียบพร้อมแบบนี้ ให้อยู่ทั้งชีวิตก็ยังได้ แต่ข้ามีความจำเป็นต้องไปจริง ๆ”
เหนือภพอธิบายออกไปตามตรง แต่ไม่ลงลึกในรายละเอียดมาก
แม้ผู้เฒ่าจะเสียความรู้สึกไปบ้างแต่เขาก็เข้าใจว่าเหนือภพเป็นฮันเตอร์มากฝีมือ ควรมีอนาคตที่ไกลกว่านี้ เขาเป็นบุคคลที่ยากเกินกว่าจะอยู่กับที่ การที่เขามาที่เมืองโกงกางก็คงมีหน้าที่หรือจุดประสงค์บางอย่างและเหนือภพคงบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาไม่อาจรั้งเหนือภพไว้ได้อีก
“เอาเถอะยังไงก็เป็นการตัดสินใจของเจ้า หากเจ้าไม่มีที่ไป เจ้ากลับมาหาข้าได้เสมอ โรงเตี๊ยมสำราญใจยินดีต้อนรับ ถ้าไม่มีเจ้าคงวุ่นวายอีกมากแน่ เฮ้อ”
เพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์ ผู้เฒ่าถึงกับให้คนงานภายในร้านเตรียมอาหารแห้ง ทั้งคาวและหวานให้เหนือภพเพื่อใช้เป็นเสบียงเดินทาง หนำซ้ำยังจ่ายค่าเดินทางก้อนโตพร้อมกับเรียกรถอสูรวัวเขาหักเพื่อให้เหนือภพเดินทางอย่างสบายที่สุด
ก่อนเหนือภพจะออกจากเมือง เขาตรงไปยังร้านทำอาวุธเพื่อขอรับชุดเกราะที่ได้สั่งทำไว้ ซึ่งผลงานของหัวหน้าช่างทำอาวุธคนนี้ทำให้เขาพอใจมาก รอบที่แล้วถือว่าดี แต่ครั้งนี้กลับดียิ่งกว่า เพราะมันคือชุดเกราะเกล็ดอสูรกริมแวววาวทั้งชุด มีทั้งความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ
ขณะที่หัวหน้าช่างทำอาวุธกำลังอธิบายผลงานของตัวเอง เหนือภพก็กำลังทดลองสวมใส่ชุดเกราะใหม่ไปด้วย
“ส่วนของเสื้อและกางเกงข้าใช้วิธีทำแบบเกราะโซ่ ข้านำเกล็ดอสูรกริมขนาดใหญ่มาตัดแต่งเจียระไนใหม่ ทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดเท่า ๆ กัน แล้วนำมาเย็บร้อยต่อแบบซ้อนชั้นด้วยลวดโลหะชุบแร่สองสีเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่น มันจะทำให้การเคลื่อนไหวของเจ้าคล่องตัวขึ้น เมื่อเคลื่อนไหวร่างกายจะไม่ติดขัด
ด้านในของแผงเกล็ดแต่ละชิ้นส่วนข้าได้บุหนังกิ้งก่าทะเลแดง ช่วยในการให้ผิวไม่ระคายเคือง เพิ่มความยืดหยุ่น และระบายความอับชื้น เจ้าจะไม่รู้สึกร้อนเมื่อสวมใส่ตลอดการต่อสู้
ที่สำคัญตัวเกราะข้าได้ไหว้วานให้ผู้ชำนาญแกะสลักอักขระอาคมลงไปทั่วทุกเกล็ด เพื่อดึงพลังของมันออกมาช่วยเสริมตัวเจ้า ไม่เพียงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ความคล่องตัวและความเร็วของเจ้าก็จะเพิ่มสูงขึ้นได้ภายใน 20 นาที แต่ก็มีเงื่อนไขคือเจ้าต้องเอามันไปแช่น้ำกลางแสงอาทิตย์วันละสองชั่วโมงเพื่อเติมพลังงาน”
เหนือภพพยักหน้าเข้าใจขณะบิดเอี้ยวลำตัว หมุนคอไปมา ก้มหัวลงเอามือจับเท้าตัวเองและก็กระโดดตบมือขึ้นลง มันเป็นจริงอย่างที่หัวหน้าช่างทำอาวุธว่าไม่มีผิด เขาไม่รู้สึกติดขัดเลย
เหนือภพถามขณะมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกทองเหลือง ชุดสีรุ้งนี้ราวกับชุดปลาที่มีลักษณะเหมือนเสื้อยืดแนบติดเนื้อ บริเวณคอเป็นคอเต่าขึ้นมา ช่วยป้องกันการโดนลอบเชือดคอได้เป็นอย่างดี แขนมีความยาวสามส่วน ปลายแขนเสื้ออยู่เหนือแขนพับเพียงสองนิ้ว
เกล็ดของอสูรกริมปกป้องทุกส่วนของร่างกายส่วนบน ไม่เว้นแม้รักแร้เพียงแต่ว่าเกล็ดที่อยู่บริเวณนั้นถูกตัดแต่งจนมีขนาดเล็กมาก เมื่อต่อกันเป็นแพจึงแทบจะมองไม่เห็นรอยต่อ ถ้าไม่ลองลูบไล้ดู
“ข้าเรียกมันว่า มัจฉาเจ็ดสีอิทธิฤทธิ์เหลือหลาย ทั้งโลกาไม่มีศาสตราวุธใด เจ็ดแสงยิ่งใหญ่ไร้คู่ต่อกร”
เหนือภพยิ้มกว้าง มันยาวมากแต่เขาชอบ
เหนือภพมองส่วนของกางเกงที่มีความยาวเพียงสามส่วนที่ยาวเพียงหุ้มหัวเข่าของเขาเท่านั้น ซึ่งกางเกงนี้ไม่ได้ใช้ยางยืดหรือเข็มขัดใด แต่มันมีแม่เหล็กขนาดเล็กที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างพิถีพิถัน ทันทีที่สวมกางเกงเข้าไป ส่วนของหัวกางเกงจะเชื่อมต่อเข้ากับชายเสื้อจนกลายเป็นชิ้นเดียวกัน
เหนือภพยกนิ้วให้กับฝีมือและความคิดอันแปลกใหม่ของหัวหน้าช่างทำอาวุธที่ออกแบบมาได้เป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังมีข้อสงสัย
“แล้วถ้ามันเชื่อมติดกันแบบนี้ข้าจะเอามามันออกยังไง ?”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา ข้าได้วางกลไกแม่เหล็กเอาไว้ให้เจ้าแล้ว ที่บริเวณสีข้างของเจ้ามีจุดเชื่อมต่อ ถ้าเจ้าเลื่อนเกล็ดของมันสลับกัน ขั้วแม่เหล็กของกางเกงจะเด้งออกมาจากชายเสื้อ ในทันที”
เหนือภพทำตามที่ช่างบอก บริเวณสีข้างขวาของเขามีเกล็ดสี่อันที่สามารถขยับได้ เขาลองขยับมันโดยการเลื่อนทวนเข็มนาฬิกา
แต่กางเกงกลับไม่หลุดออกจากตัวเขา มันยังติดแน่นราวกับเขากำลังใส่กางเกงซับในขาสามส่วน
หัวหน้าช่างทำอาวุธมีสีหน้าประหลาด เขาว่าเขาวางกลไกนี่เป็นอย่างดีแล้วนะ
เหนือภพจะเอ่ยถาม แต่จู่ ๆ เขาก็เห็นหนึ่งในคนงานกำลังเทเหล็กหลอมลงในแม่พิมพ์ดาบ เขาก็ร้องอ๋อ ทันที ก่อนจะเอ่ยออกไปเบา ๆ ว่า
“ตัวข้าได้ผสานเข้ากับเหล็กไหล เป็นไปได้ไหมว่าเพราะสาเหตุนี้”
พอหัวหน้าช่างทำอาวุธได้ฟังก็ตกตะลึง ถึงว่าทำไมเสื้อเกราะของเขาถึงเป็นแบบนี้ เหล็กไหลถือเป็นเจ้าแห่งเหล็ก ถ้ามันสำแดงพลังก็มันสามารถดูดเหล็กเกือบทุกชนิดให้เข้าหาตัวได้และผู้ที่ผสานร่างกับเหล็กไหล ร่างกายก็ถือว่าเป็นเหล็กไปแล้วครึ่งหนึ่ง มันจะมีแรงดึงดูดต่อเหล็ก เมื่อจับดาบแล้วไม่คิดปล่อย ดาบนั้นก็ไม่มีทางหลุดมือ
“มันไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
เหนือภพถามย้ำ แต่หัวหน้าช่างทำอาวุธส่ายหน้า
“มันจะไปมีปัญหาอะไรได้ละ” หัวหน้าช่างทำอาวุธส่ายหัวพร้อมกับคิดคำนึงในใจ
‘มันดียิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่มันจะดีกว่านี้ ถ้าเจ้าบอกข้าตั้งแต่แรกว่ามีเหล็กไหลในตัว ข้าจะได้ไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งคิดกลไกบ้านั่นขึ้นมา เอาเวลาไปทำส่วนอื่นยังจะดีกว่า เฮ้อ’
“ปัญหาเพียงอย่างเดียวของมันคือมีน้ำหนักมาก เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าจะใส่มันได้สะดวก ตั้ง 60 กิโลกรัมเลยนะ”
เป็นอีกครั้งที่หัวหน้าช่างทำอาวุธรู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ เขาหวังว่าจะได้แก้มือคราวหน้า การแก้ปัญหาเรื่องน้ำหนักของชุดเกราะนั้นเป็นปัญหาที่ช่างทำอาวุธมักจะต้องเจอ หากทำให้ทนทาน
แข็งแกร่งน้ำหนักมันก็จะมากขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าหากต้องการให้เบาลง การป้องกันก็จะลดทอนลงจนแทบจะไร้ประสิทธิภาพ
เหนือภพโบกมือปัดไปมาอย่างไม่ใส่ใจ
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหากับข้าหรอก”
สี่ปีที่ผ่านมา เขาอยู่ในดินแดนที่มีแรงโน้มถ่วงโลกมากจนจะเรียกว่านรกก็ไม่ผิด ของแค่นี้ยังหนักไม่เท่าถ้วยที่เขาใช้กินข้าวทุกวันเลย
เขายื่นมือไปคว้าเอาส่วนที่เป็นถุงมือมาใส่โดยมีหัวหน้าช่างตีเหล็กเป็นผู้ช่วย มันปกปิดได้ทั้งลำแขนจนเกือบถึงข้อศอก เขาลองกำมือมือ แล้วก็แบมือ วนซ้ำไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็ลองหักนิ้วมือ รวมถึงหมุนควงข้อมือ เขาก็ทำได้อย่างสบาย เหมือนเขากำลังสวมใส่ถุงมือที่ทำจากยางไม้ มันทั้งยืดหยุ่นและกระชับพอดี
เหนือภพเอ่ยขึ้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ยิ้มแห้งของหัวหน้าช่างทำอาวุธ เขาก็พอเดาออก
“อย่าบอกนะว่าท่านไม่ได้ทำ ท่านผิดสัญญา”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำ แต่เกล็ดอสูรกริมที่เจ้าให้มามันพอที่ไหนล่ะ”
หัวหน้าช่างทำอาวุธบอกพร้อมแสดงหลักฐานเป็นรองเท้าที่ทำได้เพียงข้างละครึ่งส่วน
ความจริงแล้วเกล็ดที่เหนือภพให้มามันเพียงพอที่จะทำได้ครบชุด แต่ด้วยความที่ช่างทำอาวุธเป็นคนช่างคิดและชอบผลิตผลงานคุณภาพ มันเป็นความเคยชินและเป็นความท้าทายหากไม่ดีกว่าที่เคยทำ เขาก็จะเริ่มทำมันใหม่
จนกระทั่งเขาพบสูตรซ้อนเกล็ดอสูรกริมทับกันสองชั้น มันช่วยซึมซับและลดแรงกระแทกได้อย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเอาส่วนเกล็ดที่เสียหายนำมาหลอมพร้อมกับแร่สองสีด้วยไฟอุณหภูมิสูง จนกลายเป็นโลหะที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและซึมซับแรงกระแทก
จากนั้นเขาก็นำเกล็ดที่เขาทำขึ้นมาใหม่นำมาชุบเคลือบตัวเกล็ดด้วยโลหะหลอมพิเศษซ้ำทั้งหมด 7 รอบ ซึ่งวิธีการนี้สิ้นเปลืองเกล็ดอสูรกริมเป็นอย่างมาก แต่ก็แลกมาด้วยประสิทธิภาพการป้องกันเป็นทวีคูณ แต่วิธีการทำทั้งหมดนี้หัวหน้าช่างทำอาวุธไม่ได้บอกเหนือภพ เพราะถือว่ามันเป็นความลับทางการค้า
แม้เหนือภพจะสงสัย แต่เมื่อดูจากผลงานชิ้นเลิศแล้ว เขาก็ไม่อยากถือสาอะไรมาก
“งั้นก็ช่างเถอะ หากเมื่อไหร่ที่ข้าหาเกล็ดมาได้อีก ข้าจะนำมาให้ท่านทำต่อจบเสร็จ แต่…”
หัวหน้าช่างทำอาวุธลุ้นจนตัวเกร็ง เมื่อเหนือภพเงียบเสียงไป
“ข้าจะจ่ายค่าแรงชิ้นส่วนแค่เสื้อ กางเกงและก็ถุงมือเท่านั้น”
นั่นทำให้หัวหน้าช่างทำอาวุธถึงกับหัวคิ้วกระตุก ก่อนจะเหยียดตัวขึ้นเอ่ยต่อรองว่า
“ข้ารู้ว่าข้าผิดพลาดไปสักหน่อย ข้ายอมลดให้เจ้าได้แค่ 10% เจ้าอย่าลืมว่ามีค่าวัตถุดิบที่ข้าใช้ไปกับชุดเจ้ามากมาย แค่นี้ข้าก็แทบไม่ได้กำไรอยู่แล้ว เจ้าต่อรองแบบนี้ฆ่าข้าซะดีกว่า”
“พี่อย่าลืมว่าพี่ให้ข้ารอตั้งห้าเดือน แถมยังให้คนอื่นมาแซงคิวข้าอีก ข้าก็ไม่ถือสา ถือว่าข้าใจดีกับพี่แล้วนะ ลด 20% แล้วกัน”
“นี่เจ้า ข้าให้เจ้าได้แค่ 15% แค่นี้ห้ามต่อรองอีก”
เหนือภพยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบไปว่า
“ข้าเห็นแก่ท่านนะ นี่ถ้าเป็นคนอื่น ข้าคงไล่เตะก้นมันแล้ว”
หัวหน้าช่างทำอาวุธพ่นลมหายใจออกมาอย่างขมขื่น แต่ก็รู้ดีว่าเจ้าเด็กนี่ถึงปากเสียไปหน่อย แต่แววตาของมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ขณะที่หัวหน้าช่างทำอาวุธจะไปเอาเศษทองบริสุทธิ์ที่เหนือภพเคยให้มาคืน แต่เขานึกขึ้นได้ว่าเขาเอามันไปแลกเป็นเหรียญทองหมดแล้ว เลยเปลี่ยนเป็นคืนเหรียญทอง 80 เหรียญแทน
จากนั้นเขาก็มองเหนือภพค่อย ๆ เดินจากไปพร้อมกับชุดเกราะเกล็ดสีรุ้งรัด กลางแสงแดดที่ร้อนระอุ เกล็ดหลายร้อยชิ้นบนชุดเกราะต่างเปล่งประกายสีเจ็ดสีสู้แข่งประชันสีสันกันอย่างไม่ยอมใคร
‘เด่นแบบนี้จะรอดถึงเมืองสินธุไหมนั่น’
Favorite
ค่ำคืนนั้นเหนือภพเรียกแท็บแล็ตออกมาจากตราฮันเตอร์ที่ข้อมือ แล้วก็นั่งดูรายการสินค้าตามปกติ
“เฮอะ มีแต่ของไร้ประโยชน์”
ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้ซื้ออะไร ก็มีนกวิญญาณปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน เขาแบมือคว้าตัวนกวิญญาณที่ค่อย ๆ แปรสภาพเป็นสาส์นฉบับหนึ่ง มันเป็นสาส์นที่เขียนในเนื้อกระดาษที่ดูดีเป็นพิเศษ
ผู้ส่ง – องค์หญิงบุษย์น้ำเพชร
ที่อยู่ผู้จัดส่ง – ห้องรับรองของพระราชวังแห่งนิรันดร์กาลนคร
ที่อยู่ผู้รับ – โรงเตี๊ยมสำราญใจ เมืองโกงกาง
หากแค่แผนที่ที่ข้าให้เจ้ายังรักษาไว้ไม่ได้ แล้วเจ้ายังจะมีหน้ามาติดต่อขอความช่วยเหลือจากข้าอีกหรือ ข้าต้องการผู้ช่วยที่มีฝีมือและไว้ใจได้ แต่ข้าคงคิดผิดไป เจ้าไม่ใช่คนคนนั้น
อย่าติดต่อมาหาข้าอีก ตอนนี้ข้าอยู่ต่างเมืองไม่สะดวกคุย
ลงชื่อ องค์หญิงแห่งอมตะนคร
เหนือภพกัดฟันกรอด แต่ก็ดีเขาจะได้ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตทำเรื่องไม่จำเป็น เขาถอนหายใจออกมาด้วยหวังจะทำให้ตัวเองสงบใจ แต่ความรู้สึกที่เหมือนกับถูกถีบหัวส่งแบบนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด ขุ่นเคือง ได้แต่บอกย้ำกับตัวเองว่าเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด
หากองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรจะยกเลิกสัญญากับเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาหายไปตั้ง 6 ปี โดยไม่ส่งข่าวคราวอะไรเลย ดังนั้นการที่เธอไม่ทวงเงินมัดจำคืนไปก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว
บุษย์น้ำเพชรยังคงเหม่อมองไปยังทิศทางที่นกวิญญาณบินลับไป จนกระทั่งเวนไตย องครักษ์คู่กายส่งเสียงกระแอม จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“คุณหนูอย่าไปใส่ใจกับคนไม่เอาไหนเลยขอรับ”
เวนไตยยังคงเรียกองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรว่า คุณหนู ตามที่เธอสั่ง ยกเว้นกรณีที่ต้องออกงานระดับราชวงศ์เท่านั้นเขาถึงจะเรียกเธอเต็มยศ
ลึก ๆ ในใจของเธอมีความเสียดายไม่น้อย เพราะเธอเคยคาดหวังกับเหนือภพไว้มาก แต่เมื่อเหนือภพถึงกับทำของสำคัญที่เธอมอบให้หายไป เธอจึงรู้สึกเหมือนกับอกหักเล็ก ๆ
“คุณหนู คืนนี้เราต้องไปงานเฉลิมฉลองตามคำเชิญขององค์ประมุขนะขอรับ”
บุษย์น้ำเพชรตอบอย่างไร้อารมณ์ ที่เธอมานิรันดร์กาลนครครั้งนี้ก็เพราะหน้าที่อย่างเดียวเท่านั้น
“เจ้าเตรียมของขวัญไว้แล้วใช่มั๊ย”
“ดีมาก เจ้าออกไปได้ แล้วก็เรียกนางกำนัลเข้ามาด้วย ข้าจะแต่งตัว”
เมื่อตะวันลับขอบฟ้า ถูกแทนที่ด้วยจันทราสุกสกาว บุษย์น้ำเพชรในชุดองค์หญิงเต็มยศก็มาปรากฏกายที่หน้าท้องพระโรงด้วยรูปลักษณ์สวยสง่าแบบหญิงสาววัยสะพรั่ง ประกอบกับเครื่องแต่งกายล้ำค่าที่เสริมให้เธอดูสูงส่งอย่างลงตัว ทำให้สายตาทุกคู่ในท้องพระโรงต่างจับจ้องมาที่เธอ
วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาลนคร บุษย์น้ำเพชรจึงมาร่วมงานในฐานะตัวแทนขององค์เจ้าแคว้นแห่งอมตะนคร หากจะว่ากันตามศักดิ์และฐานะแล้ว เมืองหลวงของแคว้นอย่างอมตะนครย่อมมีอำนาจเหนือทุกนครในละแวกนี้ ดังนั้นองค์ประมุขทุกองค์ที่อยู่ที่นี่ย่อมต้องให้เกียรติแก่ตัวแทนขององค์เจ้าแคว้น
องค์ประมุขที่กำลังนั่งอยู่บนพลับพลาสูงถึงกับลุกย่างพระบาทลงมาตามเส้นทางพรมแดง เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นองค์หญิงบุษย์น้ำเพชร
บุษย์น้ำเพชรย่างกรายผ่านบรรดาตัวแทนจากเมืองต่าง ๆ ที่กำลังยืนจับกลุ่มพูดคุย ดื่มกิน เต้นรำกันอยู่อย่างสรวลเสเฮฮา เพื่อเข้าไปหาองค์ประมุข
“ถวายพระพรเพคะ ขอเทพเทวาโปรดประทานพรให้องค์ประมุขมีพลานามัยสมบูรณ์นับร้อยปี นี่คือของขวัญจากหม่อมฉันเพคะ”
แล้วบุษย์น้ำเพชรก็ตรงเข้ามาย่อกายถวายของขวัญชิ้นโตให้แก่องค์ประมุข โดยมีองค์รานีและนางสนมยืนอยู่รายล้อม
“และนี่คือของขวัญที่องค์เจ้าแคว้นและองค์รัชทายาทฝากมาเพคะ”
ของขวัญลำดับต่อมานั้นมีขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด องค์ประมุขหรี่ตาลงทันทีหลังจากได้มองประเมินมูลค่าของมัน แล้วพบว่าของขวัญจากองค์หญิงยังมีมูลค่ามากกว่าของขวัญจากองค์เจ้าแคว้นเสียอีก
“และก็ของขวัญชิ้นสุดท้าย ท่านพ่อก็ฝากมาด้วยเพคะ หากท่านพ่อไม่ติดภารกิจสำคัญ ท่านก็คงมาด้วยตัวเอง”
บุษย์น้ำเพชรยิ้มหวานขณะยกมือเรียวงามขึ้นปรบมือหนึ่งครั้ง จากนั้นก็มีเสียงฮือฮาของตัวแทนจากแต่ละเมือง เนื่องจากเวนไตยกำลังเข็นบางสิ่งผ่านประตูท้องพระโรงเข้ามาด้วยท่าทางประหลาด ราวกับว่าเขากำลังทุ่มเทแรงกายมาก ๆ สิ่งนั้นมีความสูงชะลูดยาวขึ้นไปประมาณ 4 เมตร แม้มันจะถูกคลุมไว้ด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง แต่ทุกคนก็พอจะดูออกว่ามันคือรูปปั้นนั่นเอง
“ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองเพคะ”
ทุกคนในท้องพระโรงแทบกลั้นหายใจเมื่อองค์ประมุขกระชากผ้าคลุมออก ทันใดนั้นทุกคนก็ได้เห็นพร้อม ๆ กัน สิ่งนั้นคือรูปปั้นเสมือนจริงขององค์ประมุขในชุดเครื่องทรงแบบเต็มยศที่ถูกหล่อมาจากทองคำแท้ทั้งชิ้น
“โอ้ องค์อนุชาช่างใจกว้างยิ่งนัก ฝากบอกท่านพ่อขององค์หญิงด้วยว่าข้าชอบของขวัญชิ้นนี้มาก”
องค์ประมุขมองรูปปั้นทองคำด้วยสายตาเปล่งประกาย
“เพคะ หากท่านพ่อทราบว่าพระองค์ชอบ ท่านคงดีใจมาก”
“อมตะนครนี่โชคดีจริง ๆ ที่มีองค์อนุชาและองค์หญิงบุษย์น้ำเพชรคอยช่วยค้ำจุน หากไม่มีพวกท่านก็ไม่รู้ว่าอมตะนครจะยังเป็นเมืองหลักของแคว้นได้อีกรึเปล่า”
บุษย์น้ำเพชรได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเผือดสีเล็กน้อย เธอย่อกายขณะเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“หามิได้เพคะ เป็นเพราะองค์เจ้าแคว้นทรงมีพระปรีชาสามารถต่างหาก ส่วนองค์รัชทายาทแม้จะมีร่างกายอ่อนแอ ป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนมากมาย แต่พระองค์ก็ชาญฉลาดและเสียสละเพื่อประชาชนมากเหลือเกินเพคะ”
องค์ประมุขอมยิ้มเล็ก ๆ อย่างรู้ทัน ทำไมพระองค์จะไม่รู้ว่าองค์อนุชาแห่งอมตะนครกำลังอยากได้บัลลังก์ของพี่ชายจนตัวสั่น แต่พระองค์กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเลือกสนับสนุนใครดีระหว่างองค์เจ้าแคว้นผู้มีบุตรชายถึงสองคน แต่คนหนึ่งนั้นขี้โรค ส่วนอีกคนก็ไม่เอาไหน กับองค์อนุชาผู้มีฐานอำนาจไม่น้อยไปกว่ากัน แถมยังมีบุตรสาวที่สวยสง่าและมากความสามารถถึงสองคน
“เอาเถอะองค์หญิง ขอบใจมาก เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัย”
บุษย์น้ำเพชรย่อกายถวายความเคารพ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เดินจากไปไหนก็มีเสียงมาจากทางด้านหลังเสียก่อน
“ถวายพระพรองค์ประมุขพ่ะยะค่ะ”
เมื่อชายหนุ่มรูปงามภายใต้เครื่องแบบองครักษ์เต็มยศทำความเคารพองค์ประมุขเสร็จแล้ว เขาก็หันมาโค้งกายให้องค์หญิงเล็กน้อย
“องค์หญิงได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ข้ามาช้า นี่คือของขวัญอีกชิ้นที่องค์เจ้าแคว้นกำชับมาว่าให้ขนส่งอย่างระมัดระวังที่สุดขอรับ”
บุษย์น้ำเพชรดูตื่นตะลึงเล็กน้อย เธอไม่ได้ระแคะระคายมาก่อนเลยว่าท่านลุงของเธอจะเตรียมของขวัญไว้อีกชิ้นหนึ่ง
‘ไหนท่านบอกว่าให้หลานจัดการเองทุกอย่าง แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน’
ส่วนองค์ประมุขก็ลอบมองผู้มาใหม่ด้วยความสนใจ พระองค์สังเกตที่ข้อมือของเขาก่อนเป็นอย่างแรก และพระองค์ก็ถึงกับสำลักสุราเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ฮันเตอร์รูปใบหน้าเสือ และตัวอักษร D ประทับอยู่
‘องค์เจ้าแคว้นถึงกับใช้ฮันเตอร์แรงค์ D มาส่งของเลยหรือนี่ หึ ไม่เลว’
“ขอบใจมาก ไม่นึกว่าเจ้าจะเป็นผู้นำส่งด้วยตัวเองนะ พยัคฆ์คีรี”
“ข้าน้อยเพียงทำตามคำสั่งของหัวหน้าองครักษ์เท่านั้น”
จากนั้นพยัคฆ์คีรีก็ส่งมอบของขวัญให้บุษย์น้ำเพชร ของล้ำค่านั้นถูกบรรจุอยู่ในกล่องโลหะที่ยาวประมาณสองศอก แต่แคบเพียงหนึ่งคืบ บุษย์น้ำเพชรย่อกายถวายให้แก่องค์ประมุขอีกครั้ง และในครั้งนี้เธอก็ลุ้นไม่ต่างไปจากองค์ประมุขเลย
เมื่อองค์ประมุขเปิดกล่องโลหะต่อหน้าทุกคน ทันใดนั้นเสียงฮือฮาก็ดังมาจากรอบทิศทาง ดวงตาขององค์ประมุขเปล่งประกายแวววาวโดยไร้คำพูด ส่วนบุษย์น้ำเพชรนั้นถึงกับเปิดริมฝีปากกว้างเลยทีเดียว
นั่นเป็นเพราะว่าของขวัญพิเศษที่พยัคฆ์คีรีนำมาคือ กระบี่โบราณที่ถูกเคลือบด้วยแร่หกสี แม้ว่ามันจะเก่าแก่มาก แต่อาวุธที่ถูกเคลือบด้วยแร่หกสีนั้นถือว่าเป็นระดับตำนานที่ยากจะพบได้ในช่วงชีวิตคนคนหนึ่ง แต่นี่องค์เจ้าแคว้นกลับมอบมันให้แก่องค์ประมุขแห่งนิรันดร์กาลนครอย่างง่ายดาย
“ฝากทูลองค์เจ้าแคว้นด้วยนะองค์หญิง ว่าข้าปลาบปลื้มกับของขวัญชิ้นนี้มาก”
บุษย์น้ำเพชรทูลลาองค์ประมุขอย่างสง่างาม จากนั้นเธอก็เดินออกจากท้องพระโรงในทันทีโดยไม่ลืมส่งสายตาดุดันให้พยัคฆ์คีรี
ส่วนพยัคฆ์คีรีนั้นหาได้โกรธเคืององค์หญิงไม่ เขาส่งยิ้มกลับแล้วโค้งตัวให้องค์หญิงอย่างสุภาพจากนั้นก็เดินหายเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคนในท้องพระโรง
Favorite
คุณชายเจ้าสำราญพร้อมด้วยลูกน้องนับสิบคนกำลังยืนล้อมคุณชายร่างเล็กที่ดูบอบบางคนหนึ่งอย่างเอาเรื่อง แม้ว่าคุณชายร่างเล็กจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงและรายล้อมด้วยลูกน้องที่มีจำนวนไม่น้อยไปกว่ากัน แต่คุณชายเจ้าสำราญก็ไม่มีความเกรงกลัว
เสียงสั่งอย่างวางอำนาจของเขาดังก้องไปทั่วชั้นสองของร้านเลยทีเดียว ทว่าคุณชายร่างเล็กกลับไม่สะทกสะท้าน เขายังคงยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เมื่อคุณชายทั้งสองได้มาอยู่ใกล้ชิดกันจึงเกิดการเปรียบเทียบขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับว่าจอมโจรในชุดขุนนางกำลังข่มขู่ชายงามชั้นสูงแห่งหอร้อยบุปผา
“ยังจะเงียบอยู่อีก อยากมีเรื่องรึไง”
ไม่มีเสียงตอบจากคุณชายร่างเล็กเช่นเดิม ราวกับว่าหากตรงหน้าของเขามีชาหอมกรุ่นแล้ว อย่างอื่นล้วนไร้ความหมาย ยังดีที่หญิงคนรับใช้ของเขาช่วยสื่อสารแทน
“อย่าเพิ่งโมโหเจ้าค่ะ นายน้อยของข้าแค่กำลังรอให้ท่านพูดอธิบาย ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”
คณะผู้มาหาเรื่องงุนงงเล็กน้อยว่าหญิงรับใช้คนนี้อ่านความต้องการของเจ้านายได้อย่างไร
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ ชุดกาน้ำชาชุดนั้นน่ะ ข้า คุณชายเพิ่มศักดิ์ ได้สั่งจองไว้นานมากแล้ว จองตั้งแต่ตอนที่ช่างหลวงยังไม่ได้ทำขึ้นด้วยซ้ำ แล้วนี่อะไร พวกเจ้ามาแย่งซื้อไปได้อย่างไร”
จบคำของคุณชายเพิ่มศักดิ์ คุณชายร่างเล็กก็จิบชาเสร็จพอดี เขาวางถ้วยชาบนจานรองตามมาด้วยเสียงกริ๊ง เบา ๆ
“นายน้อยบอกว่า นายน้อยก็แค่เสนอเงินซื้อ ส่วนทางร้านก็ตกลงขายก็เท่านั้น”
สาวรับใช้อธิบายให้จอมกร่างฟังด้วยความสงบนิ่ง
“ถ้างั้นก็ขายคืนให้ข้าซะ จะเอาเงินเท่าไหร่ก็ว่ามา”
ดวงตาคมเฉี่ยวของคุณชายร่างเล็กเหลือบมองคุณชายเพิ่มศักดิ์เพียงแวบเดียว จากนั้นเขาก็หันไปบรรจงหยิบใบชาแห้งใส่กาน้ำร้อนทีละใบทีละใบ โดยปราศจากคำพูดเช่นเคย
“นายน้อยบอกว่า ไม่ขาย พวกท่านไปซะเถอะ”
“เอ๊ะ กวนบาทานี่ แล้วทำไมถึงไม่คุยกับข้า คิดตัวเองแน่มาจากไหน”
“นายน้อยของข้าไม่ใช่คนที่ท่านจะแตะต้องได้ นายน้อยคือทายาทคนสำคัญของตระกูลพฤษภปฐวีเชียวนะ หากท่านต้องการชุดกาน้ำชาจริง ๆ เดี๋ยวข้าจะให้คนไปซื้อชุดใหม่ให้ท่าน”
คุณชายเพิ่มศักดิ์อารมณ์เดือดทะลุเพดานทันที เขาต้องการเพียงกาน้ำชาชุดพิเศษ ซึ่งช่างหลวงจะทำออกมาขายให้แก่สามัญชนเพียงปีละหนึ่งชุดเท่านั้น และเพื่อเอาใจสาวงามที่หมายปอง เขาจะต้องเอามันคืนมาให้ได้ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม
“ตระกูลวัวอะไรนั่นมันอยู่ที่ไหน ข้าไม่เคยได้ยิน ข้ารู้แค่ว่าในเมืองโกงกางแห่งนี้ตระกูลศักดินาบรรพ์ของข้าใหญ่ที่สุด”
คุณชายเพิ่มศักดิ์พูดจบก็ใช้เท้าเตะโต๊ะตรงหน้าคุณชายร่างเล็กจนล้มกระเด็นไป จากนั้นก็เหวี่ยงดาบจ่อที่ลำคอขาวระหงของคุณชายร่างเล็กอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
เสียงโครมครามบวกกับข้าวของที่ล้มระเนระนาดทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่อยู่บนชั้นสองต่างแตกตื่นพากันวิ่งลงมาข้างล่างอย่างวุ่นวาย
ส่วนผู้เฒ่าและพวกบริกรตัวน้อยที่ยืนรวมตัวกันอยู่ด้านหนึ่งของโรงเตี๊ยมก็พากันส่ายหัวและก็ก้มหน้าน้อยใจในโชคชะตา ราวกับสวรรค์เห็นว่ากิจการโรงเตี๊ยมยังสนุกสนานไม่พอ จึงดลบันดาลให้มีเรื่องต่อยตีที่นี่ได้ไม่เว้นวัน
“เฮ้ย ! ทุกคน เหนือภพมาแล้ว”
บริกรทุกคนลิงโลดขึ้นมาเมื่อเห็นเหนือภพกำลังเดินผ่านประตูรั้วของโรงเตี๊ยมเข้ามาพอดี บริกรหัวไวคนหนึ่งพุ่งออกไปเรียกตัวเหนือภพในทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากท่านผู้เฒ่า
เหนือภพได้รับคำบอกเล่าเพียงเล็กน้อยจากเพื่อนบริกร แล้วเขาก็ตรงขึ้นไปที่ชั้นสองทันที
ในขณะที่เหนือภพพุ่งเข้าไปถึงคุณชายทั้งสอง เขาก็พบว่าคุณชายคนหนึ่งคืออันธพาลจอมกร่างที่เพิ่งมีเรื่องกับเขา ส่วนคุณชายหน้ามนอีกคนนั้นเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
คุณชายทั้งสองคนยังอยู่ในท่าเดิม คนหนึ่งนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ ในมือถือกล่องใบชา นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาคว้าไว้ก่อนที่โต๊ะจะถูกเตะล้มไป ส่วนอีกคนกำลังยืนกางแขนกางขาอยู่ในท่าพร้อมต่อสู้ ในมือของเขามีดาบเล่มโตจ่อชิดลำคอคนที่นั่งอยู่ โดยที่ร่างกายของทั้งสองกำลังเปล่งแสงสีทองออกมาอย่างเลือนราง หากมีการปะทะกันเมื่อไหร่แสงอาคมของทั้งคู่ก็จะพร้อมต่อสู้ในทันที
“ใจเย็น ๆ นะขอรับคุณชายทั้งสอง มา ๆ ข้าจะไกล่เกลี่ยเอง ใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด ตัดสินอย่างยุติธรรม”
สาวรับใช้กำลังจะอธิบายเรื่องราวให้เหนือภพฟัง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูด เหนือภพก็ขัดเธอเสียก่อน
“ไม่ต้อง ข้าน้อยได้ฟังมาบ้างแล้ว ข้าไม่เข้าใจเลยทำไมคุณลูกค้าต้องแย่งกันยังกับเด็กเล่นขายของขอรับ เฮ้อ ข้าอยากจะบอกว่าของของใครก็ต้องยกให้เจ้าของไปนะขอรับ”
คุณชายเพิ่มศักดิ์ยิ้มทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นของเหนือภพ แล้วเหนือภพก็เดินเข้าไปหาคุณชายเพิ่มศักดิ์พลางค้อมหัวให้คุณชายเล็กน้อย จากนั้นเหนือภพก็จับคุณชายโยนออกนอกหน้าต่างของชั้นสองไปเลย
ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน พวกลูกน้องของคุณชายเพิ่มศักดิ์กรูกันเข้ามาล้อมเหนือภพ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ออกลีลาการต่อสู้ พวกเขาก็ถูกจับโยนตามหัวหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว คุณชายแห่งพฤษภปฐวีเพิ่งจะได้ถ้วยน้ำชาใบใหม่จากสาวใช้ น้ำร้อนยังรินไม่เต็มถ้วยดี เหนือภพก็จัดการโยนตัวก่อกวนออกไปได้ครบทุกคนแล้ว
ขณะที่ทุกคนภายในร้าน โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานด้วยกันถึงกับชูมือยกขึ้นส่งเสียงร้องอย่างดีใจ
‘หึ ข้านี่แหละเหนือภพผู้มีความยุติธรรม ตัดสินด้วยใจปราศจากอคติ จริง ๆ นะ ไม่มีอคติอะไรกับพวกเวรนั่นจริง ๆ เชื่อสิน่า’
เหนือภพพูดคุยทำความเข้าใจกับตัวเองอยู่ในใจ
“เรียบร้อยขอรับคุณชาย ข้าทวงคืนความยุติธรรมมาให้คุณชายแล้ว”
เหนือภพพูดคุยกับลูกค้าระดับพิเศษอย่างนอบน้อม จากนั้นคุณชายร่างเล็กก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะอีกตัวใกล้ ๆ กันเพื่อรอให้สาวรับใช้นำกล่องใบชาชุดใหม่มาบริการ
“หา ใครบอกนะ ข้ายังไม่ได้ยินอะไรเลย”
“นายน้อยไง ข้าเป็นผู้แปลสารให้คนอื่นเข้าใจ”
เหนือภพเหลียวมองคุณชายประหลาดที่เอาแต่นั่งเงียบ แล้วเขาก็หันขวับมาดูสาวใช้ประหลาดที่แปลข้อความมาได้เป็นตุเป็นตะ
จู่ ๆ คุณชายร่างเล็กก็หยิบกล่องชาสองชนิดมาวางเรียงกันบนโต๊ะ
“นายน้อยบอกว่า ท่านถูกใจเจ้ามากจึงอยากตกรางวัลให้ เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย”
เหนือภพทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
‘แม่สาวใช้นี่แต่งเรื่องเองรึเปล่าหว่า แต่ถ้าได้รางวัลจริงก็ดีสิ เอาอะไรดีน้า… ถ้าเป็นเงินก็ดูจะธรรมดาไป เราต้องขออะไรที่มันมีมูลค่ามากกว่านั้น อ้อ ใช่แล้ว’
“หากเป็นไปได้ข้าก็อยากได้ข้อมูลหรือไม่ก็แผนที่ของเหมืองโบราณ”
คุณชายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหยิบใบชาแห้งจากทั้งสองกล่องขึ้นมาดมอย่างพิถีพิถัน
สาวรับใช้เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเรียกสาวรับใช้อีกคนให้นำสมุดเล่มโตมาให้เธอ มันคือสมุดปกหนังสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งเตียงของเหนือภพ และมีความหนาประมาณสองศอก ภายในเป็นกระดาษสีครีมเนื้อบางเบาที่มีตัวหนังสือบรรจุอยู่เต็มพรืด
สาวรับใช้ชวนคุยขณะกำลังเปิดค้นสมุดเล่มโต เมื่อเธอเปิดไปถึงช่วงกลางของหนังสือก็มีแผ่นหนังสัตว์ที่แทรกอยู่ตามหน้ากระดาษหลุดออกมา
“อ่ะนี่แผนที่เหมืองโบราณ”
“โอ้ พวกท่านให้ข้าง่าย ๆ อย่างงี้เลยหรอ” เหนือภพรู้สึกว่ามันง่ายจนเขารู้สึกระแวง
“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนี่นา”
ในจังหวะที่สาวรับใช้กำลังจะปิดสมุด เหนือภพก็ร้องห้ามในทันใด บางทีสมุดนั่นคงมีอะไรดี ๆ มากกว่าที่คิด
“เดี๋ยว ๆ คือข้าอยากสอบถามเพิ่มเติมได้หรือเปล่า ? ”
สาวรับใช้เงียบไปชั่วครู่ เมื่อเธอเห็นว่านายน้อยของเธอกำลังใช้นิ้วเรียวบางจุ่มทดสอบอุณหภูมิน้ำในถ้วยอยู่ เธอจึงหันมาพยักหน้าให้เหนือภพ
“ขอบคุณขอรับ คือข้าอยากรู้ว่าเหมืองในละแวกนี้ที่สามารถเข้าไปขุดได้โดยไม่ต้องซื้อสัม สัม สัมอะไรสักอย่างนี่ละ”
“อ้อ ใช่ ๆ ไม่ต้องซื้อสัมปทานอะไรนั่น มีที่ไหนบ้างที่มีสายแร่หรือของมีค่าเยอะ ๆ”
หญิงรับใช้เปิดค้นสมุดอีกรอบ ครั้งนี้เธอใช้เวลาในการอ่านไล่เรียงข้อมูลนานพอสมควร ก่อนเงยหน้าขึ้นมาตอบ
“ถ้าในเมืองนี้บอกได้เลยว่าไม่มี แต่มีอยู่ที่เมืองสินธุที่อยู่ติดเมืองหลวงในด้านทิศเหนือ ที่นั่นจะมีอยู่เหมืองหนึ่ง ชื่อว่าเหมืองโชคไพศาล เอ และก็มีอีกที่นะแต่ที่นั่นค่อนข้างไกล มันชื่อว่าเหมืองศิลาร้อยชั้น”
“ห๊ะ ! เหมืองศิลาร้อยชั้นเนี่ยนะ”
เหนือภพไม่คิดเลยว่าเหมืองเก่าในหมู่บ้านแร่ห้าสีที่เขามักจะเข้าไปขุดแร่ตอนเด็ก ๆ ก็มีของมีล้ำค่าอยู่ด้วย ครั้นจะกลับไปที่นั่นก็คงจะลำบากไป เพราะบ้านเกิดของเขานั้นอยู่ไกลมากเมื่อเทียบกับเมืองสินธุ เมืองที่อยู่ใกล้กว่าใช้เวลาอย่างเพียงไม่เกินสามวันก็ไปถึง
ดังนั้นเหนือภพจึงตั้งใจจดจำชื่อเหมืองโชคไพศาลแห่งเมืองสินธุเอาไว้ เพื่อหาโอกาสไปแสวงโชคสักครั้ง อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเป็นวันเกิดของน้องสาวเขา เขาจึงคิดว่าจะหาเงินให้มาก ๆ แล้วซื้อของไปฝากเธอสักหน่อย
“ขอบพระคุณขอรับ หากพวกท่านต้องการความช่วยเหลืออะไร ได้โปรดเรียกใช้ข้านะขอรับ”
เหนือภพพูดประจบเล็กน้อยก่อนโค้งตัวให้ลูกค้าอย่างงดงาม แล้วเขาก็เดินจากไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
Favorite
“เจ้าแน่ใจหรอว่าที่เหมืองมหาลาภมีสายแร่หกสีอยู่จริง”
คุณชายถามด้วยท่าทางแบบผู้มีอำนาจ ในขณะที่เขาโอบกอดสาวงามไว้ตลอดเวลา
“แน่ใจขอรับ ข้าเคยไปเฝ้าหน้าเหมืองแถวนั้นเกือบสิบปี จึงเคยได้ยินข่าวลือมามากมาย ปกติคนที่รู้มักจะไม่มีใครปากโป้งหรอกนะขอรับ”
“หึ นั่นสิ แล้วเจ้าคิดยังไงถึงมาบอกข้า”
เมื่อฮันเตอร์วัยกลางคนเห็นแววตาดุดันน่ากลัวของคุณชาย เขาก็ถึงกับสั่นน้อย ๆ ในขณะตอบ
“เพราะข้าหวังว่า.. ถ้าข้าบอกข้อมูลนี้แก่คุณชาย คุณชายก็จะเมตตาไว้ชีวิตครอบครัวข้าและช่วยยืดเวลาชดใช้หนี้ให้ข้า”
“คือว่า… ถ้ายังงั้นข้าก็จะบอกทุกอย่างให้คุณชาย แต่ข้อมูลพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจยืนยันได้นะขอรับ”
“มีคนลือกันว่าในชั้นลึกสุดของแต่ละเหมืองมีสายแร่อยู่ เหมืองเขี้ยวหนุมานมีสายแร่ทองคำ เหมืองหยกขาวมีสายแร่หยกหมื่นปี เหมืองอัคนีมีสายแร่เพชรสีชมพู เหมืองศรีหมอกมีสายแร่พลอยหลายอย่างตัดสลับกัน และก็เหมืองแร่หลวงไพศาลมีสายแร่ห้าสีขอรับ”
“งั้นหรือ เห็นแก่ความจริงใจของเจ้า ข้ายกหนี้ให้ก็แล้วกัน”
เมื่อคุณชายพูดจบแล้วเขาก็หันมาคีบอาหารต่อโดยไม่สนใจฮันเตอร์ตรงหน้าอีก
“จะอยู่หาพระแสงอะไรอีก คุณชายท่านจบธุระกับเจ้าแล้ว ไสหัวไปซะ”
หญิงสาวผู้มีริมฝีปากและเล็บสีแดงสดเอ่ยปากไล่ฮันเตอร์วัยกลางคนอย่างไม่ไยดี จากนั้นเธอก็หันกลับมาฉอเลาะเสียงหวานกับคุณชายราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้
“อร่อยมั๊ยคะคุณชาย นี่ค่ะของโปรดของท่านเลย”
“คุณชายจะส่งคนไปขุดหาแร่ตามคำร่ำลือหรือคะ”
“ไม่ใช่ตอนนี้ มันหาไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
“ทำไมหรอคะคุณชาย หรือว่าท่านกลัวว่า…. เอ๊ะ สุราหมด เจ้าน่ะมานี่หน่อย ไปเอาสุรามาเพิ่มสองไห ให้ไวเลยนะ”
เหนือภพโค้งรับคำแล้วรีบไปที่ห้องครัวอย่างไว
‘บร๊ะ อีกนิดเดียวเองเกือบได้ฟังแล้ว จะมาหมดทำไมตอนนี้’
ท้ายที่สุดแล้วเหนือภพก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก
กลางดึกคืนนั้นเหนือภพนั่งคิดตรึกตรองอยู่เพียงครู่เดียว แล้วเขาก็ออกจากโรงเตี๊ยม พุ่งตรงไปยังพื้นที่เหมืองในเขตเมืองโกงกางพร้อมกับอีเตอร์คู่กายของเขา
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางดึก แต่บริเวณเหมืองของที่นี่ก็ยังคงดูครึกครื้น โคมไฟวางตั้งส่องสว่างทั่วบริเวณตั้งแต่หน้าถ้ำยาวไปจนถึงภายในถ้ำ พ่อค้าแร่ก็ดูเหมือนจะตั้งกระโจมรับซื้ออยู่ที่นี่ตลอด 24 ชั่วโมง และก็มีชาวบ้านเดินสวนทางเข้าออกเหมืองตลอดเวลาเช่นกัน
เหนือภพเลือกเดินเข้าไปคุยกับฮันเตอร์ที่เฝ้าปากทางเข้าเหมืองก่อนเป็นลำดับแรก
“ลุงครับ ที่นี่ชื่อเหมืองอะไรหรอ”
“คนต่างถิ่นสิท่า นี่คือเหมืองศิลาอำพัน”
“เจ้าจะไปที่เหมืองไหนล่ะ”
“ข้าอยากไปที่เหมืองมหาลาภ เหมืองเขี้ยวหนุมาน เหมืองหยกขาว เหมืองอัคนี เหมืองศรีหมอก และก็เหมืองแร่หลวงไพศาลครับ”
เมื่อเหนือภพพูดจบประโยค ลุงฮันเตอร์ก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็แนะนำเหนือภพด้วยความหวังดี
“เหมืองพวกนั้นน่ะส่วนใหญ่อยู่ในเขตเหมืองหลวงนู่น ถึงจะมีบางส่วนอยู่ที่เมืองอื่น แต่เจ้าก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี”
“เหมืองพวกนั้นเป็นเหมืองได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ถ้าอยากเข้าไปก็ต้องซื้อสัมปทานจากองค์จ้าวแคว้นเสียก่อน”
เหนือภพไม่สนใจอยากรู้ว่าสัมปทานคืออะไร เขาสนใจแค่ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะเข้าไปได้ ส่วนลุงฮันเตอร์นั้นก็ทำได้เพียงส่ายหัวให้กับความบ้านนอกของเหนือภพ
“ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดหรอก แต่ที่แน่ ๆ มันคงไม่ต่ำกว่า 10,000 เหรียญทอง”
เหนือภพรู้สึกเหมือนจะเป็นลม มันมีอาการหวิว ๆ ในอกของเขา เมื่อลุงฮันเตอร์เห็นเหนือภพมีอาการเช่นนั้นก็นึกเอ็นดูเหนือภพขึ้นมา
“นั่นแหละ ใครจะไปจ่ายไหว ไหน ๆ ก็มาแล้วก็มาขุดที่เหมืองศิลาอำพันก่อนก็ได้นะ ค่าเข้าคนละ 1 เหรียญเงิน”
เหนือภพยังไม่หายตกใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ถึงกับหน้าเผือดสี
‘อะไรกัน แค่เหมืองธรรมดา ๆ เก็บตั้ง 1 เหรียญเงินเลยหรอ ขูดรีดเกินไปแล้ว เหมืองที่หมู่บ้านข้าเก็บแค่ 1 เหรียญทองแดงเอง’
“เฮอะ อิดออดจริง ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายก็ไปขุดฟรีที่เหมืองโบราณรกร้างเลยไป๊”
ลุงฮันเตอร์เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เจ้าหนุ่มนี่ดูเหมือนจะเรื่องมากไม่น้อย
เหนือภพตาเบิกโพลงเมื่อเขานึกได้ว่าเคยรับปากอะไรไว้กับองค์หญิงบุษย์น้ำเพชร เขาจะต้องตามหาแร่สี่สีให้เธอ แต่แผนที่ของเหมืองโบราณที่เธอเคยมอบให้เขา ตอนนี้มันสูญหายไปแล้ว
“เอ่อ ลุงพอจะรู้มั๊ยว่าเหมืองโบราณที่ลุงว่าไปทางไหน”
“อุบ๊ะ ! นี่ข้าประชด ยังจะซื่อบื้ออีก เหมืองโบราณรกร้างน่ะเข้าฟรีก็จริง เข้าไปแล้วก็อยู่ที่นั่นตลอดกาลเลย”
“ใครมันจะไปขุดแร่ต่อเนื่องได้นานตลอดกาล”
“ข้าหมายถึง ตาย สิเจ้าโง่ในนั้นอันตรายมากเลย แต่ก็ช่างเถอะ สรุปว่าข้าไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
“โธ่ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้สิครับ ข้าลาก่อนล่ะ”
แล้วเหนือภพก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมด้วยเป้าหมายใหม่ในใจ เขาจะทำงานเก็บเงินไปพร้อม ๆ กับการสืบข่าวเกี่ยวกับเหมืองโบราณ จากนั้นเขาก็จะไปขุดหาแร่สี่สีไปขายให้องค์หญิงบุษย์น้ำเพชร แล้วเขาก็จะมีเงินมีทองและมีความภาคภูมิใจที่จะกลับไปหาแม่และน้องสาว
แต่ก่อนอื่นเขาต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงก่อน เพราะเธอเคยพูดเองว่าถ้ามีปัญหาก็ให้บอก
ที่อยู่ผู้จัดส่ง – โรงเตี๊ยมสำราญใจ เมืองโกงกาง
ผู้รับ – องค์หญิงบุษย์น้ำเพชร
ที่อยู่ผู้รับ – พระราชวัง
เรียนองค์หญิง ข้าทำแผนที่หาย ท่านช่วยส่งแผนที่เหมืองโบราณมาให้ข้าหน่อยละกัน
หนึ่งเดือนต่อมา ณ ม้านั่งข้างสวนสาธารณะ
“เย้ ! เจอของมีประโยชน์สักที”
ที่มา : ยอดเขาแหลมแดนหิมะ
สรรพคุณ : ช่วยข่มเส้นประสาทรับความเจ็บปวดทั่วร่างกาย แต่ผลการยับยั้งความเจ็บปวดจะลดลงเมื่อกินของหวาน
เหนือภพซื้อใบหญ้าฝาดเฝื่อนจากแท็บแล็ตด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่เขาได้มีโอกาสเลือกซื้อวัตถุดิบลับจากแท็บแล็ต แล้วนี่ก็นับเป็นวัตถุดิบแรกที่เขาเห็นว่าน่าสนใจ
เหนือภพนำใบหญ้าฝาดเฝื่อนมาบรรจงห่อเนื้อเค็มที่เขาชอบพกติดตัว เมื่อห่อเรียบร้อยเขาก็กัดกินทั้งอย่างนั้นเลย รสชาติฝาดขมติดลิ้นเมื่อผสมผสานกับรสเค็ม คลุกเคล้าด้วยกลิ่นสาบของพืชสด เหนือภพจึงจบมื้อของว่างด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
จากนั้นเขาก็เดินมุ่งหน้าไปที่ร้านทำอาวุธ แต่เขาคงรีบร้อนไปหน่อย
ชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำอางล้มกระแทกลงไปกับพื้นอย่างแรง
“คุณชาย เป็นอะไรมากมั๊ย เจ้ากล้าดียังไงถึงเดินชนคุณชายของข้า”
ชายคนนั้นรีบเข้าไปประคองคุณชายของเขาแล้วก็ชี้หน้าเหนือภพ จากนั้นพวกลูกน้องอีกสิบคนก็เข้ามาล้อมเหนือภพทันที
แต่เหนือภพยังนิ่งเฉย เขาพยายามไกล่เกลี่ยด้วยเหตุผลก่อน
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ เขาก็ไม่ได้ถือว่าเจ๊ากันไปละกัน”
“ถุย รู้มั๊ยว่าข้าเป็นบุตรของใคร คิดจะจากไปง่าย ๆ งั้นรึ”
คุณชายเจ้าสำอางถ่มเลือดลงพื้นแล้วก็ยืดตัวด้วยความกร่างเยี่ยงนักเลง เหนือภพเห็นแล้วก็เชื่อไม่ลงว่าเขามาจากตระกูลผู้ดีจริง ๆ เขาว่าจิตใจเขาหยาบช้าแล้วนะ แต่เจอคนที่จิตใจหยาบช้ายิ่งกว่า
‘เห้อ เดี๋ยวนี้แค่รวยก็นับว่าเป็นคุณชายได้แล้วหรอ มิน่าถึงได้มีคุณชายเกลื่อนเมือง อย่าให้ข้าได้เป็นคุณชายบ้างละกัน’
ไม่ว่าเหนือภพจะคิดเช่นไร แต่เขาก็ต้องแสดงออกอย่างผู้มีอารยธรรม
“เสแสร้ง คิดว่ามันจะจบง่ายหรอห๊ะ !”
คุณชายเจ้าสำอางคิดว่าตัวเองมีพวกมากจึงไม่เคยกลัวใคร ในจังหวะที่เขากำลังจะสำแดงอาคมนั้น ก็พอดีมีลูกน้องเข้ามากระซิบบอกเรื่องสำคัญเสียก่อน
“คุณชาย มีข่าวมาว่าชุดของสะสมกาน้ำชาที่เราจะเอาไปมอบให้แม่นางหยาดทิพย์ถูกคนต่างเมืองซื้อตัดหน้าไปแล้ว”
“อะไรนะ ! มันเป็นใครกัน ไปพวกเรา ไปดูหน้ามันหน่อยสิ กล้าดียังไงมาแย่งชิงของของข้า”
แล้วพวกคุณชายเจ้าสำอางก็พากันเดินจากไปโดยไม่ไยดีเหนือภพอีกเลย
“เจ้าพวกนี้มันยังไง คิดว่าตัวเองสำคัญมากเรอะ ช่างเถอะ ไร้สาระ”
เหนือภพตัดเรื่องขุ่นมัวออกไปจากจิตใจด้วยการภาวนาตามที่พระอาจารย์เคยสอน แล้วเขาก็ภาวนาไปตลอดทางจนถึงร้านทำอาวุธ
เขาได้คุยกับหัวหน้าช่างทำอาวุธเพียงไม่นาน อารมณ์โมโหก็ย้อนกลับมากระแทกใจอีกครั้ง
“พี่ให้มันแซงคิวข้าได้ยังไง” เหนือภพเดือดดาล
“เห็นใจข้าเถอะนะ ข้าสู้อิทธิพลของพวกนั้นไม่ได้จริง ๆ นี่เขาก็เพิ่งมารับของไป ตอนนี้ข้าก็ว่างทำชุดเกราะให้เจ้าแล้วนะ อย่าโกรธข้าเลย”
“เพิ่งมารับ ? อย่าบอกนะว่ามันคือพวกคุณชายจอมกร่างที่มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังนั่น”
หัวหน้าช่างทำอาวุธได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ
“อีกเดือนหนึ่งค่อยมาเอานะ”
“เห้อทำไงได้ล่ะ ถ้าพี่ทำเสร็จเมื่อไหร่ก็ส่งข่าวให้ข้าละกัน ข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมสำราญใจ”
“แล้วอย่าให้ใครมาแซงคิวข้าได้อีกล่ะ ไม่งั้นข้าที่แหละจะพังร้านท่าน” เขากำชับซ้ำอีกครั้ง
จากนั้นเหนือภพเดินไปร้านขายขนมพื้นถิ่นอบแห้งเพื่อส่งไปเป็นของว่างให้แม่และเหนือฟ้า เสร็จแล้วค่อยกลับโรงเตี๊ยม
ร้านนี้มีขนมน่ารักจุ๋มจิ๋มมากมายที่มีขายเฉพาะที่เมืองโกงกางเท่านั้น เหนือภพคิดว่าแม่กับน้องสาวคงจะชอบ และกลิ่นจันทน์ก็คงจะชอบเช่นกัน คิดได้ดังนั้นเหนือภพก็บิดขนมชิ้นหนึ่งแล้วโปรยลงไปในลำคลองเล็ก ๆ ที่ไหลตัดผ่านเมือง
‘หวังว่ามันจะไหลไปถึงเจ้านะ กลิ่นจันทน์’
Favorite
หลังจากที่เหนือภพเดินออกมาจากร้านทำอาวุธ เขาก็มุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมือง เพื่อไปขอสมัครงาน เขาพูดคุยตกลงกับผู้เฒ่าคนดูแลโรงเตี๊ยมได้เรียบร้อย เหนือภพก็ยิ้มแก้มปริเดินเข้าไปในที่พักสำหรับคนงานทันที
ตำแหน่งที่เหนือภพมาสมัครคือ บริกร มันเป็นตำแหน่งเดียวที่ยังว่างอยู่ บริกรของที่นี่มีหน้าที่จัดส่งอาหารจากโรงครัวไปให้ถึงโต๊ะลูกค้าอย่างเรียบร้อยและนุ่มนวล แถมยังมีหน้าที่รินเครื่องดื่มต่าง ๆ ให้ลูกค้าด้วย และหากลูกค้าต้องการบริการอื่นใด เขาก็จะต้องจัดให้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง
เดิมทีผู้เฒ่าเกือบจะปฏิเสธเหนือภพไปแล้ว ด้วยรูปร่างหน้าตาและท่าทางราวกับนักรบที่ไปฝึกเพาะกล้ามแบบนี้ คงยากที่จะเหนือภพจะบริการลูกค้าได้ ทว่าเหนือภพกลับยอมกรีดหัวใจตัวเองเพื่องานนี้เลยทีเดียว
“ท่านผู้เฒ่า ข้าต้องการทำงานจริง ๆ นะ ได้โปรดรับข้าไว้เถอะ”
“ข้าต้องจ่ายวันละ 5 เหรียญเงินให้กับบริกรที่ไม่มีเคยผ่านงานบริการมาเลยเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ”
“เดี๋ยวท่าน ข้า.. ข้า.. ข้าขอแค่วันละ 4 เหรียญเงินก็พอ ขอเพียงท่านมีที่อยู่ที่กินให้ข้า ข้ายอม”
ผู้เฒ่าหรี่ตามองเหนือภพราวกับเหยี่ยวกำลังจะโฉบเหยื่อ
“3 เหรียญเงินต่อวัน เป็นไง”
เรื่องการรับสมัครงานจึงจบลงด้วยความสำเร็จของทั้งสองฝ่าย เหนือภพได้งานพร้อมที่อยู่ที่กิน ส่วนผู้เฒ่าก็ได้คนงานในราคาแสนถูก
“เหนือภพเอาอาหารชุดนี้ไปส่งให้ลูกค้าห้องพิเศษหน่อย”
“เหนือภพมาช่วยล้างจานด้วย”
“นี่ ไอ้หนุ่มเอาอสูรม้าของลูกค้าไปมัดไว้ที่คอกสัตว์ข้างหลังที”
เหนือภพอดทนทำงานที่โรงเตี๊ยมจนครบ 3 วัน เขาเก็บเงินได้ 9 เหรียญเงินแล้ว มันเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย แต่มันก็ไม่มากพอที่เขาจะใช้ซื้อของในแท็บแล็ตได้อย่างสบายใจ
คืนนั้นเหนือภพนั่งเขียนจดหมายอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างห้องนอน ด้วยชุดเครื่องเขียนที่เขาเพิ่งไปซื้อมาใหม่
ที่อยู่ผู้จัดส่ง – โรงเตี๊ยมสำราญใจ เมืองโกงกาง
ที่อยู่ผู้รับ – โรงเรียนเซนต์อมตะแห่งอมตะนคร
เป็นไงสาวน้อยของพี่ อย่าเพิ่งโกรธพี่นะ พี่เพิ่งจะมีโอกาสเหมาะ ๆ มาเขียนจดหมายน่ะ พี่ได้รับจดหมายของน้องทุกฉบับเลย วางใจได้ ตอนนี้พี่กำลังมุ่งทำงานเก็บเงินอยู่น้องไม่ต้องเป็นห่วง หากพี่พอจะตั้งตัวได้แล้วก็จะรีบไปหาน้องที่โรงเรียนแน่นอน
ปล.ไม่ต้องส่งจดหมายมาหาพี่อีก เพราะพี่คงจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ น้องรอจดหมายจากพี่อย่างเดียวก็พอ
“ไอ้หนู รีบขนอาหารหน่อยนะ วันนี้ลูกค้าเยอะ”
พ่อครัวตัวอ้วนตะโกนสั่งงานเหนือภพ ในขณะที่กำลังผัดข้าวไปด้วย
เหนือภพจัดเรียงจานในอ้อมแขนทั้งสอง เขาต้องขนไปให้ได้มากที่สุดในครั้งเดียว และครั้งนี้เขาก็ได้ทำลายสถิติของตัวเองที่จำนวน 12 จานต่อ 1 รอบ จากนั้นเขารีบเดินมุ่งหน้าไปที่โต๊ะของบรรดาลูกค้าในทันที
วันนี้โรงเตี๊ยมมีลูกค้าแน่นร้าน โต๊ะอาหารบริเวณชั้นหนึ่งเต็มทุกโต๊ะ ผู้คนเบียดเสียดกันจนแทบไม่มีเก้าอี้ว่าง ส่วนบริเวณชั้นสองก็เต็มเช่นเดียวกัน
“เถ้าแก่ ลูกสะใภ้ของท่านช่างน่ารักน่าเอ็นดู ข้าขอแสดงความยินดีด้วยจริง ๆ”
“ใช่ ๆ ขอแสดงความยินดีด้วย”
แล้วบรรดาแขกเหรื่อก็พากันยกสุราดื่มให้แก่เจ้าของงาน วันนี้เป็นการปิดร้านเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเถ้าแก่ร้านค้าเกลือได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา
“เถ้าแก่ วันนี้ข้าจ้างนางระบำมาจากหอร้อยบุปผาเพื่อให้ท่าน คู่บ่าวสาว และแขกทุกคนได้รับชม เด็ก ๆ เริ่ม !”
หลังจากดื่มกินกันอย่างเต็มเหนี่ยว เพียงไม่นานคนทั้งงานก็เริ่มมึนเมา
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มหน้ามนจะพูดจบ เขาก็อ้วกใส่คุณชายที่กำลังนัวเนียสาวจากหอร้อยบุปผาโดยไม่อาจยับยั้งได้ ทำให้คนที่กำลังนั่งอยู่นั้นวงแตกในทันที
“นี่เจ้า วอนหาเรื่องงั้นรึ ไปจัดการมันสิ”
คุณชายส่งสัญญาณให้ลูกน้องเข้าไปจัดการหนุ่มหน้ามน โดยไม่ได้สนใจเลยว่าบริเวณนั้นมีใครอื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า
หนุ่มหน้ามนถูกต่อยเข้าไปทีเดียวก็ถึงกับสร่างเมา ใครต่อยเขา เขาก็เตะกลับ พวกเขาต่อยตีนัวเนียกันเช่นนั้น ไม่สนใจว่าจะมีกี่คนที่ถูกลูกหลงบ้าง
“โอ๊ย ดูดี ๆ ก่อนสิ โว้ย!”
“เดี๋ยวขอรับ อย่าเพิ่งตีกัน คุณลูกค้า”
“อย่ามาขวางอยากโดนด้วยรึไง ห๊า”
แล้วหลังจากนั้นบริเวณชั้นหนึ่งเกือบทั้งชั้นก็เกิดความชุลมุนขึ้น ดูเหมือนว่าพวกผู้ชายทั้งหลายจะซัดกันนัวโดยไม่สามารถแบ่งแยกฝ่ายได้อีกต่อไป ส่วนพวกผู้หญิงและเด็กเล็กก็พากันวิ่งออกไปยืนข้างนอกร้านเรียบร้อยแล้ว
ส่วนลูกค้าที่อยู่บนชั้นสองก็ดูเหมือนจะช่วยโห่เชียร์เสียมากกว่าที่จะช่วยห้าม
“ท่านผู้เฒ่าเอาไงดีขอรับ โต๊ะเก้าอี้พังเกือบหมดแล้ว ประตูหน้าต่างก็ไม่เหลือ ตอนนี้ข้ากำลังเป็นห่วงผนังขอรับ”
หัวหน้าบริกรร่างเล็กยืนปรึกษาอยู่กับผู้เฒ่าผู้ดูแลโรงเตี๊ยมด้วยความร้อนใจ พวกเขาไม่สามารถห้ามศึกนี้ได้เลย
ผู้เฒ่าผู้ดูแลมีสีหน้าเรียบเฉยขณะสั่งงาน
“เหนือภพ ไปห้ามลูกค้าหน่อย”
“ห๊ะ ! ทำไมต้องเป็นข้าล่ะ”
“เจ้าก็ดูดี ๆ สิ ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร”
เหนือภพกวาดตามองเพื่อนร่วมงานที่กำลังยืนเรียงแถวหน้าสลอนอยู่ข้าง ๆ ผู้เฒ่า ทุกคนล้วนเป็นบริกรที่มีรูปร่างเล็ก เพรียวบาง ดูคล่องแคล่วแต่อ่อนแอ มีเพียงเหนือภพคนเดียวที่ดูล่ำสันบึกบึนต่างจากทุกคน
เหนือภพทำท่าอิดออดอยู่นาน เพราะเขาไม่ต้องการต่อสู้ถ้าไม่จำเป็น เมตตา เมตตา ท่องไว้ เมตตา…
“ข้าจะให้รางวัล 5 เหรียญเงิน แต่ถ้าผนังพังลงมา เจ้าอดได้… อ้าว”
ยังไม่ทันที่ผู้เฒ่าจะพูดจบ เหนือภพก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนูหลุดจากแล่ง เขาบุกตะลุยเข้ากลางวงล้อมโดยไม่สนใจหลบมือเท้าของใครทั้งนั้น ใครที่บังเอิญเตะต่อยมาโดนเหนือภพ คนนั้นก็ต้องแบกรับความเจ็บเอาเอง
พูดจบเหนือภพก็จับคอเสื้อของคู่กรณี โยนคนหนึ่งไปทางซ้าย แล้วโยนอีกคนไปทางขวา เขาแบบนี้ซ้ำ ๆ กับทุกคนที่ยังต่อยตีกันอยู่ และไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ชายร่างใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เหนือภพก็สามารถจับโยนทิ้งได้ราวกับโยนตุ๊กตาผ้า
จนในที่สุดทั้งห้องก็กลับมาสู่ความสงบ โดยมีกองมนุษย์แยกกันอยู่ที่มุมซ้ายและมุมขวาของห้อง พวกเขาต่างงงงวย ไม่เข้าใจว่าตัวเองมานอนทับกันอยู่แบบนี้ได้ยังไง ความมึนเมาผสมความสับสน คละเคล้าด้วยความเจ็บปวดตามร่างกาย ทำให้บรรดาลูกค้าทั้งหลายได้แต่นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่สามารถหาต้นตอของเรื่องนี้ได้
ส่วนเหนือภพนั้นแอบหนีกลับเข้ามาข้างในตั้งนานแล้ว
ผู้เฒ่ามองเหนือภพที่รับเงินไปด้วยอาการดี๊ด๊าอย่างไม่เข้าใจ
‘เจ้าหนุ่มนี่แอบซ่อนฝีมือไปเพื่ออะไรกัน ดีนะที่ข้าไม่กดขี่มันมากไปกว่านี้ ไม่งั้นล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลย แล้วทำไมฮันเตอร์ถึงเลือกมาทำงานที่นี่’
หลายวันจากนั้นเหนือภพก็คล้ายว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง เขาได้รับหน้าที่จัดหาอาหารให้ลูกค้าชั้นพิเศษที่อยู่บนชั้นสามของโรงเตี๊ยม แน่นอนว่าเหนือภพชอบมาก ลูกค้าชั้นเลิศก็ย่อมให้เงินรางวัลพิเศษเป็นค่าบริการอย่างงาม
“นี่คือกุ้งหัวโตจากแม่น้ำนันทาย่างเกลือเจ็ดทิวาขอรับ”
“นี่คือลิ้นอสูรกระทิงตุ๋นซอสส้มขอรับ”
แล้วเหนือภพนำเสนออาหารทุกจาน ตบท้ายด้วยการรินสุราผลไม้หมักสิบปีให้แก่ลูกค้าทั้งสามคนอย่างมืออาชีพ จากนั้นเขาก็ถอยหลังไปยืนอยู่ที่มุมห้องเพื่อคอยบริการลูกค้า
ลูกค้าทั้งสามคนมีคุณชายที่ดูร่ำรวย มีหญิงสาวที่ดูร้อนแรง และผู้ชายอีกคนที่ดูออกอย่างชัดเจนว่าเป็นฮันเตอร์รับจ้างนอกกฎหมาย บทสนทนาของพวกเขาไม่มีการพูดคุยเวิ่นเว้อหรืออารัมภบทอะไรทั้งสิ้น และนั่นทำให้เหนือภพเกือบเก็บอาการเอาไว้ไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เขารอคอยมาตลอดจะมาถึงในวันนี้
สิ่งที่เขารอคอยก็คือ ข้อมูล นั่นเอง
Favorite
“เจ้าไปล่าที่ไหนมาทำไมถึงนานค่อนวันแบบนี้ หรือเจ้าหลงทาง”
“ข้าไปล่าแถวนี้แหละ แต่ที่ข้าเจอล้วนเป็นพวกพ้อง เป็นเผ่าพันธุ์ผู้มีพระคุณของข้า ข้าทำไม่ลง มีคนเคยบอกข้าว่าบุญคุณต้องตอบแทน ความแค้นต้องชำระ ในเมื่อพวกเขาเป็นผู้มีพระคุณข้าจึงไม่สามารถอกตัญญูได้”
ผู้ไร้ชื่อเอ่ยตอบอย่างจริงใจและก็ดูเคารพสัตว์อสูรเหล่านั้นมาก จากนั้นเขาก็เล่าให้เหนือภพฟังว่า ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ก็มีสัตว์อสูรกระต่ายใจดีเลี้ยงดูเขา พอโตขึ้นอีกหน่อยสัตว์อสูรกระต่ายถูกสัตว์สังคมอย่างมนุษย์รังควาน เขาก็ถูกแม่หมีรับมาเลี้ยงดู ต่อมาแม่หมีก็ถูกสัตว์สังคมล่าอีก เขาจึงถูกฝูงลิงเอาไปเลี้ยงดู สุดท้ายพวกมนุษย์ก็มาฆ่าพวกลิงอีก….
เหนือภพได้ฟังก็อึ้งกิมกี่ นอกจากกระต่าย หมี ลิง ยังมีหมู หมา กา ไก่ ที่เลี้ยงดูผู้ไร้ชื่อมา
‘จริงดิ ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าหนุ่มนี้ถูกสัตว์อสูรเลี้ยงดู จะเป็นไปได้เหรอ ?’
นอกจากสัตว์อสูรที่สามารถนำมาใช้งานได้แล้ว เขาก็มีเคยเห็นตัวไหนมีดีสักตัว เขาจึงเชื่อสิ่งที่ผู้ไร้ชื่อพูดไม่ลง
เหนือภพกวาดตามองสำรวจชายนิรนามอีกครั้ง แล้วเขาก็ได้คำตอบ
‘นี่มันคนเพี้ยนจริง ๆ ด้วย แต่ก็เป็นคนเพี้ยนที่น่าสนใจ’
“ไม่ต้องแกล้งตกใจขนาดนั้น ข้ารู้เจ้าก็เป็นลูกสัตว์อสูรเช่นเดียวกับข้า”
ผู้ไร้ชื่อยิ้มอย่างเป็นมิตร และเมื่อเขายิ้มออกมา ใบหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
เหนือภพเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ มันใช้ตาข้างไหนมองว่าเขาเป็นสัตว์อสูร แต่เมื่อเขาก้มดูร่างกายโป๊เปลือยของตัวเองก็ได้ถอนหายใจ
ค่ำคืนนั้นพวกเขานั่งกินอาหารอยู่ข้างกองไฟ แวดล้อมด้วยบรรยากาศร่มรื่นของป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่ และคลอด้วยเสียงรินไหลของแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ๆ
เหนือภพนั่งกินเนื้อย่าง ขณะที่ผู้ไร้ชื่อกำลังกัดแทะเนื้องูเผาด้วยท่าทางมูมมาม
“เรียกข้า ภพ ก็พอ ข้าเป็นคนที่ไหนเป็นลูกของใครไม่สำคัญ เจ้ารู้แค่ว่า ข้าเป็นฮันเตอร์ และมาจากทะเลสาบใจกลางป่าลึกก็พอ”
เหนือภพเลือกที่จะปกปิดตัวเอง คนเราไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องให้คนอื่นรู้ แต่ในใจเขากลับย้อนคิดถึงความหลัง ความยากลำบากในการหาเลี้ยงแม่พิการและน้องสาวตัวน้อยหลังจากที่พ่อตาย ไล่เรียงไปจนถึงเหตุการณ์ที่เขาได้พบเจอกับผู้ชี้นำใจดี ที่ทำให้เขาได้เป็นฮันเตอร์แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ไร้พรสวรรค์ก็ตาม
“เจ้าเป็นสัตว์อสูรทะเลสาบสินะ ข้ามาจากป่าทางใต้นู่น ข้าไม่รู้เลยว่าใครกันแน่เป็นคนให้กำเนิดข้า มีคนเคยบอกข้าว่าพ่อกับแม่เป็นคนให้กำเนิดข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นสัตว์อสูรประเภทไหน แต่ก็ช่างเถอะ สักวันข้าจะหาสัตว์อสูรที่ชื่อพ่อกับแม่ให้เจอ เพราะแบบนี้ข้าถึงมาเป็นฮันเตอร์ เพื่อตามหาสัตว์อสูรที่เป็นพ่อแม่ข้า”
ผู้ไร้ชื่อพูดจบก็เหม่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่คุ้นเคย หวนคิดถึงความทรงจำวัยเด็ก ตั้งแต่จำความได้เขาก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาไม่ซ้ำหน้า พอโตขึ้นมาจนรู้จักมีความคิดเป็นของตัวเอง เขาก็ไปจับมนุษย์มากมายมาสอนให้ตัวเองพูดเป็น อ่านออก เขียนได้
มนุษย์เหล่านั้นเห็นเขาเป็นเด็กแข็งแรงจึงสัญญาว่าจะรับเลี้ยงเขา แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางมนุษย์มากสักแค่ไหน แต่ในใจเขายังเชื่อมั่นว่าเขาคือสัตว์อสูรที่มีความคิด และยังรู้สึกคับแค้นใจที่มนุษย์บุกทำลายฝูงของเขา และฆ่าพวกพ้องของเขาตายทุกครั้ง
เหนือภพเริ่มทำใจได้แล้ว จะว่าไปการคุยกับคนเพี้ยนนี่ก็สนุกดีเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็สบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรจากผู้ไร้ชื่อคนนี้
ผู้ไร้ชื่อพูดจบก็นอนลงทันที แถมยังมานอนเบียดแผ่นหลังของเหนือภพอีกด้วย ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้ตอบอะไร มันก็หลับสนิทเสียแล้ว ช่างเหมือนกับพวกสัตว์ที่ชอบเบียดเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่กัน
เหนือภพจะเอ่ยปากไล่ แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ลง เขายังนั่งตาใสอยู่ข้างกองไฟ สุมฝืนที่กองเตรียมไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่น ร่างกายของเขาไม่จำเป็นต้องนอนพักผ่อนมากขนาดนั้น และที่สำคัญเขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคิด
ท่ามกลางเสียงนกร้องยามเช้า แม้ว่าจะยังเช้ามืด แต่ผู้ไร้ชื่อก็รู้สึกตัวตื่นอย่างรวดเร็ว ตาใสแจ๋วหันมองรอบกาย ก่อนจะขุดดินที่เขาฝังเนื้องูขึ้นมาเผากิน เมื่อก่อนเขามักชอบกินแบบดิบ ๆ แต่พอได้เข้ามาอยู่กับสัตว์สังคม เขาก็เรียนรู้วัฒนธรรมมากขึ้น รู้ว่าถ้านำอาหารไปปรุงสุกมันจะอร่อยมากขึ้น
ผู้ไร้ชื่อลาอย่างไม่มีพิธีรีตอง ก่อนที่เขาจะเดินจากไป เขาก็มีความคิดว่าถ้าเหนือภพไปด้วยก็จะน่าจะดี
“เจ้าก็เหมือนข้า เราไปด้วยกันไหม เจ้ามาอยู่ฝูงข้า ข้าจะปกป้องและแบ่งอาหารให้เจ้า เวลาหนาวเราจะมอบความอบอุ่นให้แก่กัน”
เป็นคำพูดที่มาจากใจจริง ๆ อารมณ์เหมือนหมาป่าผู้โดดเดี่ยวพยายามชักชวนสัตว์อื่นให้เข้าร่วมฝูง
เหนือภพส่ายหัวอย่างเอือมระอา ก่อนจะโบกมือลาอย่างเซ็ง ๆ เจ้านี่มันเพี้ยนได้โล่จริง ๆ อีกอย่างเขาก็มีเป้าหมายอื่นที่ต้องไปทำก่อน
ณ ร้านทำอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองโกงกาง
หัวหน้าช่างทำอาวุธกำลังนั่งตบยุงอยู่ริมหน้าต่างร้านอย่างเบื่อหน่าย ตลอดหลายปีมานี้เขารู้สึกว่าเขากำลังหมดไฟกับการทำงาน
ช่างทำอาวุธมากฝีมืออย่างเขาควรจะได้รับโอกาสทำอาวุธชั้นเลิศของแผ่นดินสิ แต่นี่อะไร วัน ๆ มีแต่คนมาสั่งทำรองเท้าส้นแหลมเอาไว้เดินเจาะกระดองหอยทาก ไม่ก็มาสั่งทำสร้อยคอที่มีเข็มพิษอยู่ภายใน ไม่ก็สั่งทำโซ่ล่ามสัตว์อสูรลากเกวียน งานพวกนี้เป็นอะไรที่ง่ายเกินไป ไม่มีความท้าทายเลยสักนิด
หากย้อนคิดถึงความท้าทาย เขายังจำได้ว่าหกปีก่อนมีเด็กหนุ่มน้อยคนหนึ่งเอาเกล็ดอสูรกริมในตำนานมาให้เขาทำชุดเกราะให้ ตอนนั้นเขาตั้งใจทำทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หยุดพักเลยสักนาที จนกระทั่งมันเสร็จเป็นชุดเกราะเคลือบยางดำที่พอจะใช้งานได้
ทว่าลึกลงไปในใจของเขา เขารู้สึกผิดมาตลอด เนื่องจากผลงานจากชิ้นส่วนระดับตำนานมันควรจะออกมาดีกว่านั้น
หลังจากนั้นเขาจึงทุ่มเทฝึกฝนตนเองอย่างหนัก เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ทำผลงานระดับตำนานอีกครั้ง แต่สุดท้ายโอกาสครั้งที่สองก็ไม่เคยมี
“เห้อ เงียบเหงาจริงวันนี้”
“อ้าว พี่นี่เอง จำข้าได้รึเปล่า”
หัวหน้าช่างทำอาวุธจ้องมองชายหนุ่มร่างบึกหัวเกรียนตรงหน้าด้วยความสงสัย
“จะว่าไปก็คลับคล้ายคลับคลา เห้ย เจ้าคือเจ้าหนูนั่นเรอะ”
เหนือภพยิ้มกว้างพลางพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี
“ดีจังที่จำข้าได้ รอบนี้ข้าจะให้พี่ช่วยทำชุดเกราะให้อีก แต่ขอครบชุด เอาแบบที่ปกป้องได้ทั้งตัวเลยนะ”
พูดจบเหนือภพก็วางเกล็ดอสูรกริมสิบชิ้นลงบนโต๊ะ เมื่อหัวหน้าช่างทำอาวุธเห็นเกล็ดสีรุ้งแวววาวซ้อนกันเป็นตั้ง เขาก็ถึงกับตาโตเลยทีเดียว แต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่กว่ากระทะที่ใช้กันในโรงทานเสียอีก
“โอ้โห เกล็ดนี่มาจากตัวที่ใหญ่กว่าคราวที่แล้วใช่มั๊ยเนี่ย”
“เจ้านี่มันสุดยอดจริง ๆ คราวนี้ข้าจะจัดให้อย่างแจ่มเลย”
“อ้อ ไม่ต้องเคลือบยางดำแล้วนะพี่ เอาสีรุ้งนี่แหละสวยดี”
“แต่ว่า.. เจ้าจะกลายเป็นเป้าเด่นของศัตรูเลยนะ”
“เด่นก็ดี ไม่เด่นก็ช่าง ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจ เอาให้มันแข็งแกร่งที่สุดก็พอ”
“เยี่ยม มันต้องยังงี้สิ งั้นข้าจะทำให้สุดฝีมือเลย แต่ข้าขอเวลาทำสามเดือนนะ ส่วนเรื่องราคา…”
เหนือภพรู้ว่าค่าจ้างทำชุดแบบทั้งตัวมันต้องแพงมากแน่ ๆ เขาจึงวางเศษทองทั้งหมดที่เขามีลงบนโต๊ะ แล้ววางมือทับเอาไว้
หัวหน้าช่างทำอาวุธเห็นเช่นนั้น แววตาของเขาก็เปล่งประกายในทันที การแสดงฝีมือผ่านทางผลงานนั้นสำคัญมากเท่าไหร่ เรื่องค่าตอบแทนก็สำคัญมากเท่านั้น
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็วางใจ เขายกมือขึ้นโดยกำทองส่วนหนึ่งออกมาด้วย
“ส่วนลดของข้าไง พี่ไม่ลดให้ข้าเลยหรอ ข้าเป็นลูกค้าเก่าแก่ของพี่นะ”
เหนือภพงัดไม้ตายออกมาใช้ ดวงตาของเขากะพริบปริบ ๆ หยาดน้ำตาเริ่มคลอหน่วย ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวดูเหมือนหนุ่มน่าสงสาร แต่หากดูดี ๆ แล้วมันบิดเบี้ยวคล้ายคนปวดท้องหนักมากกว่า
“งกไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเจ้าน่ะ ข้าลดให้ไม่ได้จริง ๆ เจ้าก็รู้นี่ว่าเกล็ดนี่มันแข็งแค่ไหน งานยากเลยนะ และที่สำคัญทองนั่นยังไม่มีตราประทับเลย ที่ข้ายอมรับไว้นี่ก็ถือว่าใจดีกับเจ้าแค่ไหนแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคอันหนักแน่นของหัวหน้าช่างทำอาวุธ เหนือภพก็จำต้องคืนเศษทองไปอย่างเศร้า ๆ มองเศษทอง 6 กิโลกรัมที่เขาต้องจ่ายเป็นค่าทำเกราะ
‘ลาก่อนนะพวกเจ้า ข้าทำดีที่สุดแล้ว’
หัวหน้าช่างทำอาวุธถึงกับส่ายหัวให้กับท่าทางอาลัยอาวรณ์เศษทองของเหนือภพ
Favorite
สายตาของเหนือภพเต็มไปด้วยความเว้าวอนอย่างเด็กน้อยแสนบริสุทธิ์
พระอาจารย์ยิ้ม ส่ายหน้าอย่างเอ็นดู เจ้าเด็กนี่ ทำไมยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนศิษย์พี่ทั้งสอง ก่อนที่พวกเขาจะไปก็ไม่ต่างจากเหนือภพเท่าไหร่นัก
พวกเขาดีกว่าเหนือภพนิดหน่อยตรงที่พวกเขาเป็นพวกขี้เกียจขนของเยอะ แต่เจ้าเหนือภพนั้นมีนิสัยบ้าหอบฟางโดยสันดาน ดังนั้นหากมันรู้สึกไม่ปลอดภัยมันก็จะขนของไปมาก โดยหารู้ไม่ว่า มันจะตายก็เพราะของที่มันหอบนั่นแหละ
แต่ด้วยความรัก ความเอ็นดูที่มีต่อศิษย์ อาจารย์ก็เปรียบเสมอเป็นพ่อคนที่สอง ไม่อาจปฏิเสธได้ พระอาจารย์เดินเข้าไปใกล้ แล้วถกแขนเสื้อของเหนือภพจนถึงต้นแขน จากนั้นท่านก็ถอด ผ้าประเจียด ที่มัดไว้ที่ต้นแขนตัวเองออกมา แล้วผูกมันเข้ากับต้นแขนของศิษย์
เมื่อมีผ้าประเจียดคุ้มกาย ร่างกายของเหนือภพปรากฏเกราะอาคมสีทองฉาบไล้บนผิวหนังทุกส่วน เป็นเสมือนเกราะป้องกันที่คลุมกายอยู่ตลอดเวลาไม่จำเป็นต้องควบคุม นี่เป็นหนึ่งในบรรดาของขลังอาคมที่หาได้ยาก จากนั้นแสงสีทองก็วาบจางหายไป
เหนือภพยกมือประนมค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้วด้วยความเคารพสุดใจ ดวงตาแวววาวไปด้วยน้ำตา อาจารย์ช่างดีกับเขาเหลือเกิน
“ไปแล้วก็อย่าได้ก่อเรื่องก่อราว หากไม่มีที่ไปก็ไปหาศิษย์พี่ของเจ้า อาจารย์ส่งจดหมายไปบอกพวกมันแล้ว แต่ถ้าเจ้าเบื่อหน่ายโลกภายนอก เจ้ากลับมาที่นี่ได้เสมอ”
พระอาจารย์ลูบหัวศิษย์คนที่สามอย่างเอ็นดู
เหนือภพเป็นคนที่ท่านสั่งสอนเข้มงวดที่สุด ด้วยเคยหวังที่จะให้เขาเป็นผู้สืบทอด เป็นเจ้าอาวาสคนต่อไป แต่ว่าหากไม่มีใจ เหมาะสมแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
เหนือภพหมุนตัวกำลังจะก้าวเท้าจากไป หันกลับมายิ้มทั้งน้ำตา
“อ้อ พวกเราลืมอีกเรื่องหนึ่งนะอาจารย์ ทั้งเนื้อทั้งตัวข้าไม่มีแม้สักเหรียญทองแดง”
เหนือภพยืนมองพระอาจารย์ด้วยสายตาละห้อย ทั้ง ๆ ที่กำลังหอบมีดหมออยู่เต็มอ้อมแขน ต้นแขนขวาก็มีผ้าประเจียดผูกมัดไว้
“เฮ้อ เอาเถอะบรรพชิตย่อมไม่ยึดติดกับสิ่งใด แต่ข้าไม่มีเงินทองหรอกนะ ถ้าเจ้าอยากได้จริง ๆ ก็…นู่นแหนะ ไปหาเอาเองสิ”
พระอาจารย์พูดแล้วก็ชี้มือไปยังกองซากปรักหักพังของปราสาทโบราณที่อยู่บนยอดเขาหลังวัด
ท่ามกลางเศษซากมากมายมีรูปปั้นสัตว์หิมพานต์ที่ในอดีตคงมีการชุบทองทั้งตัว แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงเศษทองติดอยู่เป็นหย่อม ๆ หากสามารถรวบรวมมันได้ทั้งหมด ก็คงพอเป็นค่ากินค่าเดินทางได้อีกนาน
พระอาจารย์พยักหน้าน้อย ๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ส่วนเหนือภพนั้นก็ไม่มีการเล่นตัวอะไรอีก เขารีบพุ่งไปขูดลอกเศษทองทั้งหมด
ใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าเขาจะเสร็จภารกิจ รวบรวมทองบริสุทธิ์ได้ประมาณ 4 กิโลกรัม ถ้าเอาไปแบ่งแล้วคำนวณ 1 เหรียญทอง จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 8.5 กรัมต่อเหรียญ รวม ๆ แล้วเขามีเงินที่มูลค่าถึง 470 เหรียญทองเชียวนะ แต่จะเอาไปใช้งานทั้งแบบนี้ก็ไม่ได้ ร้านค้าบางแห่งรับเฉพาะเหรียญทองที่มีตราประทับ ทองเป็นก้อนนั้นยากที่จะใช้งาน และอาจจะถูกมองว่าเป็นกบฏ
เพราะเหมืองแร่เงินและทองนั้นถูกควบคุมโดยราชสำนักและสภาฮันเตอร์ บนเหรียญจึงต้องมีทั้งตราประทับของฮันเตอร์และราชวงศ์อยู่คนละด้านของเหรียญ ถ้าต้องการเอาก้อนทองบริสุทธิ์ไปแลกเหรียญที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาต้องขายต่ำกว่าราคามูลค่าเดิมของมัน บางทีอาจจะได้เพียงแค่ 300 เหรียญทองเท่านั้น
เหนือภพคิดคำนวณอย่างหนัก เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นใครอีกแล้ว
“อ้าว อาจารย์กับศิษย์น้องไปไหนแล้ว ไม่มาส่งข้าแล้วหรอ”
เหนือภพเดินไปที่ริมฝั่งน้ำตกอย่างเหงาหงอย
‘เห้อ จะว่าไปแล้ววันเวลามันก็ผ่านพ้นไปไวจริง ๆ นั่นแหละ’
เหนือภพแหงนหน้ามองฟ้า เขาคิดถึงทุกคน คิดถึงแม่และก็น้องสาว
‘น้องพี่รออีกหน่อยนะ พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ’
เหนือภพสะพายถุงหนังที่เต็มไปด้วยมีดกับข้าวของพาดบ่าด้วยมือขวา มือซ้ายจับอีเตอร์ประจำตระกูลแน่น แล้วก็ทิ้งตัวลงไปยังน้ำตกด้วยสายตามุ่งมั่น ร่างกายเปล่งแสงจากเกราะอาคมที่เขาได้เรียนรู้มาจากพระอาจารย์อีกชั้น
เขาสูดลมหายใจจนเต็มปอด ในเสี้ยววินาทีก่อนตกถึงน้ำ แล้วก็ปล่อยให้ร่างกายจมลงตามแรงโน้มถ่วงที่มหาศาล เพื่อนำเขาไปสู่กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากใต้ทะเลสาบ มันเป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบอีกที หากจะผ่านเส้นทางนี้ไปได้ก็จำเป็นต้องผ่านการฝึกฝน การแบ่งลมหายใจและทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะจำศีลเพื่อให้ใช้อากาศหายใจน้อยที่สุด
เหนือภพหลับตา ขดตัวเป็นก้อนกลม แล้วก็ปล่อยตัวไปตามกระแสน้ำโดยไม่รู้เลยว่าวันเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
จนกระทั่งเขาถูกแรงดันน้ำประหลาด ฉีดพุ่งดันตัวเขาขึ้นข้างบนเรื่อย ๆ เหนือภพยังไม่ยอมลืมตา จนทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง เขาจึงพบว่าตัวเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนโขดหินริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง พร้อมกับถุงหนังใบใหญ่ที่เขาจับปากถุงไว้แน่น พร้อมกับอีเตอร์ที่อยู่มือซ้าย
เมื่อมองย้อนกลับไป เขาก็มองเห็นน้ำพุยักษ์กลางแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งที่พวยพุ่งสูงเหนือผิวน้ำไม่มากนัก มันคงเป็นน้ำพุโบราณที่พุ่งอยู่อย่างนี้มานานชั่วนาตาปี อยู่ท่ามกลางแม่น้ำสาขานับร้อยสาย แต่ละสายล้วนกว้างกว่าห้าร้อยเมตร บิดคดเลี้ยวไปมา ทั้งบนฟ้าและก็พื้นดินราวกับรางรถไฟเหาะท่ามกลางป่าไม้ น้ำตก ภูเขาสูง มันช่างเป็นดินแดนที่เหนือจินตนาการ
ที่นี่คือกลางป่าลึกอย่างแน่นอน เพราะเหนือภพรู้สึกได้ถึงความสุขสงบใจ ปราศจากมนุษย์มารบกวน ส่วนพวกสัตว์อสูรนั้นเขาตัดออกไปจากสมองแล้ว จากนี้เป็นต้นไปพวกสัตว์อสูรในป่าส่วนใหญ่ก็เปรียบได้แค่ริ้นไรสำหรับเขา
ท่ามกลางอากาศร้อน ยามตะวันตรงศีรษะ เหนือภพถอดเอาเสื้อผ้าและสิ่งของอื่น ๆ มาผึ่งตากแดด จากนั้นก็นั่งกินห่อข้าวเปียกน้ำฝีมืออาจารย์
‘มีศิษย์น้องสี่อยู่ด้วย ท่านไม่เหงาแล้วนะ อาจารย์’
“สหาย เจ้ารู้ทางไปเมืองอมตะนครมั๊ย”
จู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้ามาทรุดตัวนั่งข้างเหนือภพ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่ที่แน่ ๆ เหนือภพไม่สามารถจับสัมผัสเขาได้แม้แต่นิดเดียว
เหนือภพทิ้งห่อข้าวในมือ แล้วเอามือปิดจุดสงวนในทันที ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาห่อเข้าหากันโดยสัญชาตญาณ แม้แต่ผมรำไรบนหัวเกรียนของเขายังลุกชันด้วยความตกใจ
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
ชายแปลกหน้าที่คงมีวัยไม่ต่างจากเหนือภพเท่าไหร่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วเขาก็ดมกลิ่นฟุดฟิด
เหนือภพถามพร้อมกับเบี่ยงตัวหนี พลางมองประเมินชายแปลกหน้า
เขามีรูปร่างเพรียวบาง แต่น่าจะแอบซ่อนกล้ามเนื้อไว้แน่ ๆ เหนือภพไม่มั่นใจนักเพราะชายแปลกหน้าคนนี้สวมชุดคลุมหนาเตอะ มันเป็นชุดเก่า ๆ สีเขียวตุ่นที่คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ที่สำคัญคือเขาไม่มีสัมภาระอะไรติดตัวมาเลย
‘คนบ้าอะไร ไม่มีสัมภาระ พวกไม่เตรียมพร้อมแน่ ๆ’
“ข้าคือผู้ไร้ชื่อ แต่ผู้คนก็มักจะเรียกข้าในชื่อต่าง ๆ มากมาย”
“เอิ่ม ช่างเถอะ เจ้าจะไปที่ไหนนะ”
“ข้ารู้ว่าที่นั่นอยู่ไหน แต่ประเด็นคือข้าไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันแน่”
“ป่าสินธุไง ที่อยู่ติดกับเมืองโกงกางน่ะ แต่ที่ตรงนี้คือจุดที่ลึกที่สุดของป่า”
เหนือภพได้ยินเช่นนั้นก็ตาวาวทันที
“เมืองโกงกางอยู่ทางไหนนะ”
ผู้ไร้ชื่อชี้ไปยังทิศทางที่เขาเพิ่งเดินจากมา
“เจ้าดูคุ้นเคยกับป่ามากเลยนะ ทำไมเจ้าไม่เดินทางด้วยเส้นทางปกติ”
จู่ ๆ เหนือภพก็เกิดระแวงขึ้นมา
ผู้ไร้ชื่อตอบด้วยท่าทีนิ่งเฉย เขาไม่ได้ดูดุร้ายหรือดูเจ้าเล่ห์อะไรเลย
“อ่อ งั้นหรอ ถ้าเมืองโกงกางอยู่ทางนั้น เมืองอมตะนครก็อยู่ทางนี้”
ในจังหวะที่ผู้ไร้ชื่อกำลังจะลุกเดินจากไป เหนือภพก็รีบกระโดดคว้าข้อมือของเขาทันที
“เดี๋ยว อยู่คุยกันก่อนสิ เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเจ้าจะไปที่นั่นทำไม”
เหนือภพกำลังลังเลใจ เหมือนจิตใต้สำนึกกำลังบอกเขาว่า ‘ชายคนนี้เป็นคนที่ควรทำความรู้จักด้วย’ แต่จิตสำนึกปกติกลับบอกว่า ‘อย่าไปยุ่งกับเขา’ และจิตใต้สำนึกก็กำลังตบตีจิตสำนึกของเขาอย่างบ้าคลั่ง
เหนือภพยื้อยุดฉุดแขนของผู้ไร้ชื่อโดยลืมไปเลยว่าตอนนี้เขากำลังยืนเนื้อตัวโล่งโจ้ง จนบางส่วนห้อยโตงเตงลงมา
น่าแปลกที่ผู้ไร้ชื่อคนนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับความโป๊เปลือยของเหนือภพเช่นกัน แต่เขากลับตาเป็นประกายดีใจ เหมือนกับสัตว์ป่าที่ได้เจอเพื่อนพ้องของตัวเอง
ปกติแล้วผู้ไร้ชื่อจะไม่ชอบคุยสุงสิงกับใคร แต่เขารู้สึกได้ว่าพวกเขามีบางอย่างคล้ายกัน
ผู้ไร้ชื่อชี้นิ้วไปยังห่อข้าวที่ตกกระจายอยู่บนพื้น
เหนือภพเหลือบมองห่อข้าวแล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ นั่นมันของที่เขากินแล้ว
“หมดแล้วล่ะ ถ้าอยากกินไปหาอะไรมาสิ ข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้กินเอง เนื้อสัตว์อสูรก็ได้ ข้าทำได้ทั้งนั้นแหละ”
ผู้ไร้ชื่อพอได้ยินแบบนั้นก็ตาเป็นประกาย ก่อนจะตอบตกลงแล้ววิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ไร้ชื่อหายไปนานมาก จนกระทั่งเหนือภพต้องออกไปล่าด้วยเอง สัตว์อสูรที่เขาเจอมีมากจนเรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์
‘แต่ทำไมเจ้าหนุ่มนั่นถึงหายไปนานขนาดนี้ หรือโดนตัวอะไรคาบไปกินนะ’
ตอนแรกเหนือภพคิดว่าคงหาสัตว์อสูรยาก แต่ไม่ใช่เลย เพียงเดินไปไม่ถึงสิบก้าวก็จะเจอสัตว์อสูรกระต่าย เดินไปอีกนิดก็มีหมีตัวใหญ่ เดินไปไกลอีกหน่อยก็มีฝูงลิงมากมาย เดินไปเรื่อย ๆ จะเจอทั้ง หมู หมา กา ไก่
เหนือภพย่างเนื้อกระต่ายไปพร้อมกับการนั่งครุ่นคิด
จนกระทั่งผู้ไร้ชื่อกลับมาพร้อมงูตัวใหญ่
Favorite
วันเวลาผ่านไปหลายวัน เหนือภพรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องตักน้ำใส่โอ่งอยู่ทุกวัน แต่สิ่งที่กวนใจเขามากกว่าคือสายตาของศิษย์น้องที่มองเขาด้วยความชื่นชม ความเคารพ และดูเขาเป็นแบบอย่าง
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขาหน้าด้านมากพอที่จะรับสายตาเกลียดชัง แต่เขาไม่ด้านพอที่จะรับสายตาแห่งความชื่นชม ตัวเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย แต่ก็ต้องเรียนรู้ให้มาก มันเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า เขาควรทำตัวให้เป็นแบบอย่างแก่คนอื่นบ้าง
การเปลี่ยนแปลงของเหนือภพในเวลาหลายเดือนต่อมา ทำให้พระอาจารย์เริ่มประทับใจ พระอาจารย์มักพูดอยู่เสมอว่าเขามีพรสวรรค์พิเศษ เพียงแต่ความพิเศษนั้นถูกปิดกั้นจากความคิด เขายึดมั่นกับความคิดตัวเองมากไป ทำให้ความคิดคับแคบ
นกวิญญาณตัวหนึ่งร่อนลงมาที่ลานวัดพร้อมกับปล่อยจดหมายฉบับหนึ่งให้เหนือภพ เขากำลังกวาดวัดเสร็จยิ้มกว้างออกมาทันที เขารู้ว่าจดหมายนี้เป็นของใคร มันคือจดหมายจากน้องสาวของเขาแน่ เขาคลี่มันออกแต่ยังไม่ทันได้อ่านข้อความภายในก็ถูกศิษย์น้องเรียกไปพบอาจารย์เสียก่อน
เหนือภพถามมองไม้ทรงกลมที่วางอยู่ข้างหน้าอาจารย์ด้วยความสงสัย
“มันคือบักฮือ เจ้ารู้ที่มาของมันไหม”
พระอาจารย์รู้ดีว่าศิษย์ตัวเองค่อนข้างมีความรู้น้อยจึงชิงบอกเล่าเรื่องราวเสียเอง
“สิ่งนี้ศิษย์พี่ของเจ้าได้ส่งมาให้อาจารย์เมื่อนานมาแล้ว มันมีชื่อเรียกว่า บักฮือ เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่ใช้ตอนสวดมนต์ มาจาก อาณาจักรเงามังกร อยู่ทางตอนเหนือของ อาณาจักรเงาสุริยัน ของเรา”
“ครั้งหนึ่งมหาจักรพรรดิในสมัยหนึ่งของราชวงศ์เงามังกรได้มีคำสั่งให้พระมหา นามว่า ฉือกวงไต้ซือ พร้อมลูกศิษย์ 2 รูป เดินทางไปยังดินแดนเงาบัวชมพู เพื่อไปอัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา ในระหว่างการเดินทางกลับทางเรือนั้น ก็เกิดพายุลูกใหญ่ซัดใส่จนเรือโคลงเคลง หีบใส่พระไตรปิฎกตกลงไปในทะเลแล้วถูกอสูรปลายักษ์ที่ชื่อ หลีฮื้อ ตัวหนึ่งกลืนลงท้องไป ในเวลานั้นด้วยความตกใจและความโกรธแค้น พระมหาจึงพลั้งมือฆ่าสัตว์อสูรตัวนั้นจนตาย
เมื่อพายุสงบลงเขาก็ได้ลากหัวอสูรปลายักษ์ขึ้นมาไว้ที่วัด และในทุก ๆ วัน เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องสวดมนต์ เขาก็จะเคาะหัวปลายักษ์ไปด้วยเพื่อเป็นการบอกให้ผู้ที่ได้ยินเสียงเคาะ รู้ว่าพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกนั้นมีอยู่จริงและอยู่ในหัวปลายักษ์”
เหนือภพพอได้ฟังก็อึ้งกิมกี่
แต่ศิษย์น้องของเขากลับเอ่ยขึ้นว่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เลื่อมใส เลื่อมใส ช่างเป็นปริศนาธรรมที่ลึกซึ้ง”
เหนือภพหันขวับมองศิษย์น้องสี่ราวกับเห็นว่าศิษย์น้องสี่เป็นตัวประหลาด เขายังไม่รู้สึกเลยสักนิดว่ามันมีปริศนาธรรมตรงไหน
‘ทำไมพระรูปนั้นโง่แบบนี้ ไปเคาะหัวปลาให้ยุ่งยากทำไม ก็แค่ผ่าท้องเอาพระไตรปิฎกออกมาเสียก็สิ้นเรื่อง ท้องปลาคงไม่ย่อยพระไตรปิฎกเร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง’
“ต่อไปหากเจ้าจิตใจว้าวุ่น ก็จงเคาะสิ่งนี้ทุกครั้งที่สวดมนต์”
เหนือภพอยากปฏิเสธแต่กลับไม่กล้า เขาจึงรับปากอาจารย์อย่างว่าง่าย
หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาอยู่ในโบสถ์ นั่งสวดมนต์บำเพ็ญอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปนานนับเดือน แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เหนือภพจึงหาโอกาสล้วงจดหมายที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อออกมา ขณะที่เสียงเคาะไม้ยังดังขึ้นต่อเนื่องไม่ช้าและก็ไม่เร็วมากเกินไป
ท่ามกลางเสียงเคาะไม้ทรงกลมที่แกะสลักเป็นรูปปลา เหนือภพใช้มือซ้ายอ่านจดหมายฉบับล่าสุดของเหนือฟ้า ในขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิ มือข้างขวาเคาะบักฮืออยู่ในวิหารดัง เป็นจังหวะไปพร้อมกับเสียงสวดมนต์ของพระอาจารย์สิริ
ตลอดเวลากว่าสี่ปีที่ผ่านมามันช่างยาวนานจริง ๆ อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป ยกเว้นเขาที่ยังคงเป็นเณรน้อยหัวขาวที่ต้องหมั่นทำวัตรสวดมนต์ ใช้ชีวิตเรียบง่ายตัดขาดจากโลกภายนอกมุ่งสู่ทางธรรม
เหนือภพรีบเก็บจดหมายของน้องรักก่อนจะเปลี่ยนมือซ้ายมาทำท่าพนมมือข้างเดียวดังเดิม เมื่อเขาเห็นว่าพระอาจารย์ยังคงหลับตาท่องบทสวดอยู่ เขาก็รีบหลับตาภาวนาตาม
เมื่อเสียงบทสวดจบลงพระอาจารย์สิริก็ลืมตาขึ้น แล้วพูดกับเหนือภพด้วยกระแสเสียงอันสุขสงบ
“เจ้าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แต่ลึก ๆ แล้วจิตใจของเจ้าย่อมรู้ดี หากเจ้าตัดขาดไม่ได้ การอยู่ที่นี่จะได้ประโยชน์อะไร”
คำพูดที่แฝงไปด้วยปรัชญาของพระอาวุโส ทำให้เหนือภพยิ้มแห้ง หากเป็นครั้งแรกอาจไม่เข้าใจ แต่ตลอดเวลากว่าสี่ปีมานี้ ทำให้เขารู้และเข้าใจในพระธรรมคำสอนของอาจารย์ แม้จะไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่ก็เพิ่มพูนปัญญาให้เขาได้ไม่น้อยเลย
“ภพ ตอนนี้เจ้าก็อายุ 18 แล้ว เจ้าต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง ความรู้ทั้งหลายที่ข้ามี ก็ได้ถ่ายทอดให้เจ้าไปหมดแล้ว อยู่ที่ตัวเจ้าเองว่ารับได้แค่ไหน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากกลับออกไป ถ้าเจ้าตัดทางโลกไม่ได้เช่นนั้นก็ไปเถอะ
แต่จงจำคำของอาจารย์ไว้ วิชาความรู้ที่ข้าสอน อย่านำไปใช้ในทางที่ผิด หมั่นทำแต่กรรมดี ลดกรรมชั่ว สิ่งไหนควรให้อภัยก็ให้อภัย ใช้พลังความสามารถที่มีปราบปรามอธรรม อภิบาลคนดี ปกป้องผู้คนจากเหล่าสัตว์ร้าย”
แววตาของเหนือภพคลอไปด้วยหยาดน้ำตา สำหรับเขาแล้วอาจารย์ก็ไม่ต่างจากพ่อบังเกิดเกล้า ในยามที่เขาอ่อนแอจมอยู่ในความเศร้าเสียใจ ก็มีแต่อาจารย์ที่ฉุดรั้งเขาขึ้นมา ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคน กลายเป็นเหนือภพที่พัฒนาขึ้นแล้ว ไม่ใช่เด็กโง่เง่าที่ตัดสินทุกอย่างด้วยกำลังแบบเดิม
“ข้าจะไล่เจ้าได้ยังไง ในเมื่อใจเจ้าไม่เคยอยู่ที่นี่”
เหนือภพยิ้มทั้งน้ำตาก่อนคุกเข่าก้มกราบผู้เป็นอาจารย์สามครั้ง เพื่อให้ผู้เป็นอาจารย์ทำพิธีสึกให้ ก่อนบอกลาแล้วเดินทางออกจากวัด
จนกระทั่งเขามาหยุดยืนอยู่ริมน้ำตก เขาหันหลังกลับไปมองเห็นผู้เป็นอาจารย์ที่มักปรากฏตัวข้างเขาอยู่ตลอดเวลา
“อาจารย์ ศิษย์น้องสี่ ข้าขอลาตรงนี้ หากมีโอกาสเราคงได้พบกันใหม่”
เหนือภพยกมือไหว้อาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย โบกมือลาเณรน้อย จากนั้นก็กระโดดลงไปยังน้ำตกเบื้องหน้าทันที
ศิษย์น้องสี่โบกมือให้อย่างร่าเริง เขาดีใจที่ศิษย์พี่สามจะได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการจริง ๆ เสียที
ส่วนพระอาจารย์ไม่ได้พูดอะไร ท่านเพียงแต่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าอิ่มสุข ในอ้อมแขนของท่านมีเพียงชุดเกราะเกล็ดอสูรกริมสีดำ แผ่นเกล็ดอสูรกริมสีรุ้งและอีเตอร์อันเก่าของเหนือภพ รวมถึงห่อเสบียงอีกนิดหน่อย จากนั้นพระอาจารย์ก็ยื่นของทั้งหมดคืนให้แก่เหนือภพ
เหนือภพทิ้งตัวลงไปในน้ำตกทันที ในขณะที่พระอาจารย์และศิษย์น้องสี่กำลังหันกายเดินกลับขึ้นเขา ก็มือมีประหลาดยื่นขึ้นมาจากเบื้องล่างตะปบขึ้นมาบนฝั่งอย่างรวดเร็ว
ตามมาด้วยร่างกายของเหนือภพที่กำลังตะกายกลับขึ้นมา เขาลืมบางอย่าง โชคดีที่เขาเปลี่ยนทิศทางทันไม่งั้นหากตกลงไปข้างล่างกว่าจะได้ขึ้นมาก็คงอีกนานแน่
“เดี๋ยวอาจารย์ ท่านลืมอะไรไปรึเปล่า ท่านคิดว่าจะปล่อยศิษย์คนนี้ไปเผชิญชะตากรรมโดยไม่มีอาวุธดี ๆ เลยหรอครับ”
เหนือภพยิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มขี้ประจบอย่างเคย พระอาจารย์ส่ายหัวเบา ๆ อย่างเอือมระอา
“เจ้าศิษย์คนนี้นี่ อ่ะรับไว้”
พระอาจารย์สิริขว้างอาวุธขนาดกลางที่เตรียมไว้ให้เหนือภพอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดีที่เหนือภพมีความสามารถรับไว้ได้
เมื่อเหนือภพนำมันมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็พบว่ามันคือ มีดเหน็บ ขนาดเหมาะมือ ใบมีดถูกลงอักขระอาคมและผ่านการชุบแร่มีสี ทั้งยังผ่านพิธีกรรมมาแล้ว มีอำนาจในการเจาะทะลวงเกราะปราณอาคม
ใบมีดโลหะพิเศษมีความยาว 8.5 นิ้ว มีรูปร่างปลายแหลม กลางป่อง โคนแคบ สันมีดค่อนข้างหนา ด้ามทำจากกระดูกสีขาวขุ่นยาวประมาณ 1 คืบ ที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายกนก แม้จะดูเก่าแก่แต่ก็มันก็ยังคมกริบ ส่วนปลอกมีดก็คงจะทำมาจากกระดูกชนิดเดียวกัน
นี่เป็นอาวุธที่ถูกยกย่องว่าเป็นเทพศาสตราของเหล่าฮันเตอร์ผู้ใช้อาคม หรืออาจเรียกกันอย่างติดปากว่า มีดหมอ
“ขอบคุณครับอาจารย์ แต่… ถ้าเกิดว่าข้าขว้างไปปักที่ตัวสัตว์อสูรแล้วข้ายังต้องวิ่งไปดึงมาออกมาสู้อีก ข้าเกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวก”
พระอาจารย์อมยิ้มเล็ก ๆ ท่านถูกรีดไถเสียแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นศิษย์รัก ท่านจึงขว้างมีดแบบเดิมไปให้เหนือภพอีกหนึ่งเล่ม
“แล้วถ้าข้าต้องตกอยู่ในวงล้อมล่ะอาจารย์…”
“อาจารย์ ท่านลองคิดดูนะ ถ้าหากข้า…”
ในท้ายที่สุดเหนือภพก็ได้มีดหมอไปทั้งหมด 16 เล่ม โดยมีพระอาจารย์สิริยืนมองด้วยสีหน้าสุดจะบรรยาย
เขาเรียกอาจารย์อีกครั้ง แต่สีหน้าพระอาจารย์เริ่มบึ้งตึง หัวคิ้วกระตุก
“มีอาวุธแล้ว อาจารย์ไม่มีเครื่องป้องกันให้ข้าบ้างเหรอ ”
Favorite
เหนือภพพูดอย่างเหนื่อยหอบขณะหนีบเกล็ดสองอันที่เขาดึงติดมือมา ตอนนี้ร่างกายของเขากลับมาเป็นดังเดิมแล้ว ร่างกายเปลี่ยนสภาพ เงาร่างของยักษ์ดุร้ายสลายหายไป เมื่อพวกอสูรกริมสัมผัสได้ว่าพลังมหาศาลหายไปแล้ว พวกมันก็พากันกลับมาที่เดิม จ้องมองเหนือภพหน้าสลอนสายตาเต็มไปด้วยความแค้น
“ทำไม พวกเจ้ายังไม่เข็ดอีกหรอ”
เมื่อเหนือภพเห็นแบบนั้น เขาก็เอากำปั้นทุบลงไปยังหัวอสูรกริมที่อยู่บนบกดังตุบ แล้วก็บ่นอย่างหงุดหงิดว่า
“ส่วนเจ้านี่ก็ดิ้นจริง ข้าถอดเกล็ดแค่นี้ทำเป็นงอแง ถ้าอาจารย์ไม่บอกให้ข้าเอาแค่เกล็ด ข้าฆ่าพวกเจ้าไปแล้ว”
เหนือภพบ่นอุบขณะถอดเกล็ดออกมากองอยู่บนพื้นนับสิบชิ้น แม้อาจารย์จะบอกว่าต้องการแค่เกล็ดเดียว แต่เขาไม่คิดเช่นนั้น เกล็ดของอสูรกริมมีความทนทานและดูดซับแรงกระแทกได้ดี หากเขาไม่เอาไปทำชุดสักหน่อยก็เสียดายแย่ แต่จะเอามากเกินไปก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวผิดสังเกตเกินไป
“แกน่ะ ตัวก็ใหญ่ ทำใจเสาะไปได้”
อสูรกริมเริ่มร้องไห้เสียงอืออึ้งสะท้อนกังวานคล้ายเสียงแซกโซโฟนคีย์ต่ำ มันร้องดังอย่างกับว่า เขารังแกมัน
“โอ๋ เจ้าอย่าร้องสิ ข้าต้องการแค่นี้แหละ ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวอาจารย์ข้าได้ยินนะ”
เหนือภพรีบฉีกทึ้งเชือกเขียวออก แล้วถีบปลายักษ์ตัวนั้นลงน้ำ
จากปลาที่เห็นร้องไห้งอแง เมื่อตกถึงน้ำมันก็ว่ายดำดิ่งลงไปหาจุดที่ลึกที่สุดอย่างรวดเร็ว
เหนือภพอารมณ์เสียสุด ๆ เหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมาเมื่อคิดว่าเสียงนั้นจะทำให้อาจารย์ได้ยิน แต่ก็ประหลาดดีเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินปลาร้อง
แต่คิดดูอีกทีเขาก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากที่สามารถพัฒนาตัวเองจนแกร่งได้ถึงขนาดนี้ เขายังจำได้ว่าในอดีตนั้นต้องใช้ฮันเตอร์แรงค์ D ตั้งหลายคนกว่าจะสู้อสูรกริมได้อย่างสูสี แต่ตอนนี้เขากลับสามารถสู้ได้ด้วยตัวเองคนเดียว
เขาหันซ้ายหันขวาสูดลมหายใจเข้าปอดขณะมองสำรวจสภาพพื้นที่ชายฝั่งที่เป็นแอ่งกระทะ สภาพยับเยินสุด ๆ แต่แล้วเขาก็เห็นว่า อยู่ ๆ ฝูงอสูรกริมก็ต่างพร้อมใจกันว่ายไปยังทิศทางอื่น
‘หรือมันกลัว ? ไม่น่าใช่ พวกมันจ้องจะกินข้ามาตั้งหลายวัน มันคงไม่เลิกล้มเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่ หรือมันจะเจอเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่าข้า’
นั่นทำให้เหนือภพสงสัย เขารีบวิ่งลัดเลาะไปตามชายฝั่ง ขณะที่ฝูงอสูรกริมว่ายเป็นเส้นตรงขนานกับชายฝั่งพอดี ทำให้เหนือภพสามารถติดตามมันไปได้
ไกลออก ณ แง่งหินที่ยื่นเลยออกมาจากม่านน้ำตกยักษ์อีกด้านหนึ่ง มีร่างเด็กชายคนหนึ่ง นอนคว่ำอยู่ด้วยสภาพยับเยิน เสื้อผ้าฉีกขาด ร่างกายมีรอยช้ำและรอยบาดของของมีคม เลือดสีแดงรินไหลปะปนลงมากับน้ำตก แม้จะถูกเจือจางจนมองไม่เห็น แต่ย่อมไม่รอดพ้นประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของสัตว์อสูรใต้น้ำ
ซึ่งอสูรกริมก็เป็นหนึ่งในพวกที่ถูกกลิ่นเลือดดึงดูด พวกมันพากันมาอออยู่ที่ผืนน้ำด้านล่างที่อยู่ต่ำกว่าแง่งหิน กว่าหลายร้อยเมตร
พวกมันรอคอยให้เด็กน้อยคนนี้ถูกน้ำพัดตกลงมาโดยเร็ว แต่รอจนแล้วจนเล่าเด็กน้อยก็ยังไม่ตกลงมา พวกมันจึงใช้หางตีน้ำให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างหงุดหงิด หวังให้แรงสั่นสะเทือนนี้ส่งผลถึงแง่งหินข้างบนจนแตกหัก
เหนือภพที่เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าบนแง่งหินข้างบนนั้นคืออะไร สายตาเขาไม่ได้ดีเท่าสัตว์อสูร อีกอย่างมันจะเป็นอะไรก็ช่าง ในเมื่อพวกมันดูสนใจเป็นอย่างมาก เขาจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นตกอยู่ในมือพวกมันอย่างแน่นอน
แต่เพื่อไขข้อสงสัยนั้นเหนือภพจึงกระโดดไต่ขึ้นไปตามแง่งหินเล็ก ๆ ตามผนังผาน้ำตก จนกระทั่งมาปรากฏตัวอยู่บนแง่งหิน
เหนือภพใช้นิ้วมือจับไปยังจุดชีพจรของเด็กน้อยวัยประมาณหกขวบอย่างแผ่วเบา เขาได้รับสืบทอดวิชาแพทย์มาจากอาจารย์บ้าง ทำให้เขารู้ว่าชีพจรภายในร่างกายแผ่วเบามาก เด็กคนนี้ใจแข็งไม่เบา การที่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ภายในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยแรงโน้มถ่วงรุนแรงนี้นับเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
เหนือภพค้นหาว่านยาสำหรับยื้อชีวิต บดจนละเอียดแล้วป้อนให้เด็กน้อยกินสด ๆ ทั้งอย่างนั้น เขาทำเต็มที่ได้แค่นี้ มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่จะพอจะรักษาเจ้าเด็กหนุ่มนี้ได้
เหนือภพเอาเกล็ดอสูรกริมส่วนใหญ่ไปซ่อน โดยเก็บติดตัวไว้ชิ้นเดียว ก่อนอุ้มเด็กชายที่ยังหมดสติไว้ในวงแขน แล้วค่อย ๆ ไต่แง่งหินขึ้นไปข้างบนด้วยแขนขวาที่ยึดจับเพียงข้างเดียว สองเท้าถีบยันเพื่อดันตัวขึ้น
ใช้เวลาเพียงครึ่งวันเขาเขาก็ไต่จนใกล้จะถึงด้านบนเต็มที ระยะทางยังเหลืออีกประมาณเจ็ดถึงแปดร้อยเมตร แต่อาการของเด็กน้อยย่ำแย่ลงทุกที ว่านคุ้มครองชีวิต ที่เขาให้เด็กนี่กิน มีผลในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จะให้กินซ้ำก็ไม่ได้ เพราะว่านมีสรรพคุณทั้งให้คุณและโทษ ใช้น้อยเป็นยา ใช้มากเป็นพิษ
เหนือภพจำเป็นต้องเร่งความเร็วขึ้น ขณะที่ส่งเสียงร้องเรียกอาจารย์ไปด้วย ร่างกายของเขาไหว แต่เจ้าเด็กนี่ไม่ไหวแน่
พระอาจารย์สิริที่กำลังนั่งเข้าฌานอยู่บนรากต้นโพธิ์ริมน้ำตก ลืมตาขึ้นเพราะเสียงร้องเรียกของผู้เป็นศิษย์ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทอย่างชัดเจน จากนั้นท่านก็หลับตาลงใช้จิตเพ่งมอง จึงได้เห็นภาพศิษย์ของตัวเองกำลังปีนขึ้นมาตามผาข้างน้ำตก ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยในสภาพที่บาดเจ็บหนัก ลมหายใจรวยริน
พระอาจารย์ได้แต่พึมพำกับตัวเอง
“มันใกล้ถึงเวลาของข้าแล้วสินะ”
พระอาจารย์หลับตาลง ร่างกายเรืองแสงสีทองออกมา ผิวหนังที่เหี่ยวไปตามกาลเวลาปรากฏรอยสักอาคมสีทองสว่างเป็นภาพร่างขององค์พระสาวกในท่าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ร่างอาคมอยู่ในท่ายืน หัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมออก หัตถ์ขวาห้อยลงข้างลำตัว
สองเท้าของร่างอาคมเหยียบยืนมั่นคงอยู่เบื้องล่างน้ำตก มีความสูงมากในระดับน่าอัศจรรย์ เพราะเศียรสูงโผล่พ้นด้านบนน้ำตกจนสามารถประจันหน้ากับพระอาจารย์สิริได้
ร่างกายของเหนือภพและเด็กน้อยในอ้อมแขนอยู่ใจกลางหัตถ์ขวาที่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาเหนือน้ำตกอย่างเนิบช้า แต่งดงาม ก่อนวางทั้งสองลงเบื้องหน้าพระอาจารย์สิริที่ยังนั่งสมาธิอยู่ ท่านลืมตา ยกมือขึ้นพนม ร่างอาคมพระสาวกสีทองยักษ์ก็อันตรธานหายไป
ทิ้งไว้เพียงพุทธคุณและความเมตตา ความเมตตาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังแห่งชีวิต ทำให้มวลบุปผา พืชสมุนไพร และต้นไม้ที่ล้มตายหักโค่นไปเพราะการต่อสู้ของเหนือภพ ฟื้นฟูตัวเองขึ้นมา
ไม่เว้นแม้แต่ร่างกายของเด็กน้อยก็กำลังสมานแผลจนพ้นขีดอันตรายได้อย่างปาฏิหาริย์ นี่เป็นครั้งแรกที่เหนือภพได้เห็นพลังของพระอาจารย์สิริ พลังอำนาจที่แท้จริงของบุคคลที่เรียกว่านักบวช ช่างน่าอัศจรรย์ ถ้าหากเอาไปใช้ในยามสงครามคงสุดยอดมากแน่ แต่น่าเสียดายนักบวชมักไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสงคราม
เพียงไม่กี่เดือนต่อมาที่เด็กน้อยได้อยู่ในความดูแลของพระอาจารย์ ร่างกายของเด็กน้อยก็กลับเป็นปกติ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้ากันได้ดีกับอาจารย์
เจ้าเด็กนี่เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นนักบวชโดยแท้ เหนือภพไม่รู้ว่าในสมองของเจ้าเด็กนั่นทำด้วยอะไร รู้แต่ว่ามันชอบพูดว่า ‘ธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุข การบำเพ็ญสมาธิคือการขัดเกลาจิตวิญญาณ เพื่อมุ่งแสวงหาที่พึ่งที่แท้จริง’ อะไรทำนองนั้น
ส่วนเขากลับต้องมากวาดลานวัด แบกน้ำ ทำอาหาร แล้ววัน ๆ อาจารย์ก็เอาแค่คลุกคลีกับเจ้าเด็กนั่น ถึงแม้เมื่อก่อนเขาจะรู้สึกรำคาญไปบ้างที่มีอาจารย์อยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา แต่พอไม่มีอาจารย์เขากลับรู้สึกแปลก ๆ ชอบกล
“เจ้าอิจฉา ศิษย์น้องเจ้าเหรอ”
พระอาจารย์สิริเอ่ยขึ้น ขณะปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ เหนือภพ นั่นทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก
“อาจารย์ เมื่อไหร่ท่านจะเลิกปรากฏตัวไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้สักที ข้าตกใจหมด”
“ศิษย์พี่ อาจารย์ไม่ได้ปรากฏตัว แต่ท่านนั่งบำเพ็ญฌานอยู่กับข้าที่นี่ตั้งนานแล้ว”
“ศิษย์พี่ อาจารย์บอกว่าหากจิตใจของเราถูกครอบงำด้วยกิเลส ย่อมไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งใด ๆ ตามความเป็นจริง หากศิษย์พี่ละวางกิเลสภายในใจ ละวางตัวตนเพื่อเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ศิษย์พี่ก็จะเห็นการคงอยู่ทุกสรรพสิ่ง ไม่เพียงแค่ข้ากับอาจารย์”
เหนือภพอ้าปากค้าง เรื่องแบบนี้พูดง่ายแต่ทำยากจะตายไป นี่ก็ผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน ทำไมเขารู้สึกว่าเห็นเจ้าเณรน้อยพุทธ ศิษย์น้องของเขาทีไร ก็เหมือนเขาได้เห็นอาจารย์อีกคน
“ข้าไม่เอาด้วยแล้ว พวกท่านนั่งฌานกันต่อเถอะ”
“เรื่องบำเพ็ญจิตเจ้าคงไม่ถนัด งั้นเจ้าก็ลองไปบำเพ็ญด้วยร่างกายละกัน ดูเหมือนน้ำในโอ่งหลังวัดจะแห้งหมดแล้ว เจ้าไปเติมให้เต็มเถอะ”
เหนือภพร้องเสียงหลง โอ่งหลังวัดคือโอ่งยักษ์ที่แต่ละใบสามารถบรรจุน้ำเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้านได้สัปดาห์หนึ่ง มันจำนวนนับพันใบ ปกติโอ่งด้านหลังจะมีน้ำเต็มอยู่เสมอเพราะเขาเป็นคนตักใส่อยู่บ่อย ๆ และเมื่อใดก็ตามที่พระอาจารย์อยากจะสอนเขา น้ำในโอ่งก็มักจะหายไปอย่างปริศนา
“เจ้าไม่พอใจอาจารย์งั้นเหรอ”
“ข้าจะไม่พอใจได้ยังไงอาจารย์ ข้าเป็นพวกที่น้ำล้นโอ่งสินะ ข้ารู้อาจารย์อยากให้ข้าเป็นเหมือนโอ่งไม่เต็มที่สามารถเติมน้ำได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีสิ้นสุดใช่ไหมอาจารย์”
เขาเข้าใจดี ก็เขาโดนลงโทษให้ตักน้ำใส่โอ่งปีละร้อยกว่าครั้ง จนเข้าใจปรัชญาของพระอาจารย์ที่แฝงให้เขาได้เรียนรู้และก็จดจำใส่ใจ ว่าอย่าเป็นโอ่งที่น้ำล้น แต่จงเป็นโอ่งที่พร้อมจะเติมสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่สิ่งที่อาจารย์สอนมันน่าเบื่อจะตายไป เขาพร้อมที่จะเรียนวิชาอาคม เรียนศาสตร์การต่อสู้ เขาไม่พร้อมที่จะบำเพ็ญจิต นั่งหลับตาเมื่อไหร่เขาก็เข้าสู่ภวังค์หลับใหลเมื่อนั้น
“ไม่รู้คือไม่ผิด แต่รู้แล้วยังทำผิดอีก แปลว่าเจ้ายังไม่เข้าใจ ไปตักน้ำเถอะ จนกว่าเจ้าจะเข้าใจ”
เหนือภพยิ้มแห้ง ๆ นึกว่าจะรอด แต่สุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี
Favorite
เหนือฟ้าพับเก็บจดหมายจากพี่ชายสุดที่รักไว้ในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม เธอมักจะมานั่งรอนกวิญญาณที่จะมาส่งจดหมายจากพี่ชายบนหลังคาหอคอยสูงร้อยชั้นแห่งนี้เสมอ แต่วันนี้กลับต่างออกไป ปกติพี่ชายจะส่งจดหมายมาให้เธอทุก ๆ เดือน เพื่อพูดคุยบอกเล่าความเป็นอยู่ต่าง ๆ
แต่นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วที่เธอไม่ได้รับจดหมายจากพี่ชายเลย ไม่รู้ว่าพี่ชายเป็นยังไงบ้าง เธอจึงได้แต่อ่านข้อความในจดหมายเก่า ๆ ซ้ำ ๆ จนกระทั่งเธอมีความคิดที่จะไปหาพี่ชาย แต่สุดท้ายก็หมดหวังเพราะเธอไม่รู้จักสถานที่ที่พี่ชายกล่าวถึงในจดหมายเลยแม้แต่น้อย แม้แต่กองข่าวสารที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงก็ไม่อาจระบุตำแหน่งของพี่ชายได้
สิ่งที่เธอพอจะทำได้คือเขียนจดหมายตอบกลับ โดยหวังว่าสักวันพี่ชายจะได้เห็นและตอบกลับมา
สาวน้อยน่ารักวัย 12 ปี ได้หยิบกระดาษลงอาคมใบใหม่ขึ้นมาเขียนจดหมายด้วยปากกาขนนก ครั้งนี้เธอมีเวลามากพอในการเขียน จึงตั้งใจจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหนึ่งปีนี้ให้พี่ชายได้รับรู้อีกครั้ง เพราะเธอกลัวว่าพี่ชายจะไม่ได้อ่านจดหมายฉบับก่อนหน้า
ที่อยู่ผู้จัดส่ง – โรงเรียนเซนต์อมตะแห่งอมตะนคร
ที่อยู่ผู้รับ – ศาลาเหลืองข้างน้ำตก
สวัสดีค่ะพี่ภพ หนูไม่ได้รับจดหมายจากพี่มานานมากเลยรู้มั๊ย หนูเลยไม่แน่ใจว่าพี่จะได้รับจดหมายจากหนูรึเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม หนูก็จะพยายามเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้พี่ฟังนะคะ
ตลอดเวลากว่าหนึ่งปีมานี้ ในที่สุดความพยายามของหนูก็สำเร็จ หนูสามารถกลายเป็นฮันเตอร์ที่ทุกคนยอมรับ รู้ไหมพี่ ตอนนี้หนูมีวิชาปราณอาคมเป็นของตัวเองแล้วนะ
อาจารย์ใหญ่รับหนูเป็นศิษย์สืบทอด ท่านได้ถ่ายทอด ปราณพญาสุบรรณ ให้กับหนู ตอนนี้ระดับอาคมของหนูพัฒนาไปมากแล้ว ถ้าพี่ได้เห็นพี่จะต้องอึ้ง อาจารย์มักชมหนูบ่อย ๆ ว่าหนูเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ อายุยังไม่ถึง 12 ปี ก็สามารถมีปราณเทียบเท่ากับฮันเตอร์แรงค์ D แล้ว
แต่หนูไม่ชอบการเปรียบเทียบที่สุดเลย หนูก็เลยแอบหนีอาจารย์ไปลองทดสอบความสามารถ รู้ไหมพี่ ตอนนี้หนูได้เป็นฮันเตอร์แรงค์ D อย่างเป็นทางการแล้วนะ
พี่เบื่อไหม ที่ต้องมาฟังเรื่องเล่าเดิม ๆ ของหนู เอาล่ะ หนูรู้นะบางทีพี่ก็คงอยากรู้เรื่องราวของคนอื่น ๆ บ้าง ก็ได้ หนูเตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้ว เมื่อครึ่งปีก่อนหนูให้สำนักข่าวหลวงช่วยสืบหาข้อมูลของคนอื่น ๆ มาให้พี่ด้วยนะ
ตอนนี้แม่กับลุงไทแต่งงานกันแล้ว หนูดีใจมากเลยที่ในที่สุดแม่ก็มีใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ จะได้ไม่เหงา แต่หนูไม่รู้ว่าพี่จะชอบลุงไทหรือเปล่า หนูขอโทษด้วยนะที่หนูไม่ได้บอกพี่ล่วงหน้า แต่แม่ติดต่อมาเพื่อขอความคิดเห็นจากหนู หนูเองก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องไม่ดี ลุงไทก็ดีกับหนู กับพี่และแม่มาก หากจะมีใครสักคนที่จะเข้ามาในชีวิตแม่ หนูก็พอใจที่จะให้ลุงไทมาเป็นพ่อหนู พี่คิดว่าความคิดของหนูถูกต้องไหม หนูเชื่อว่าพี่คงเห็นด้วยกับหนูแน่ เพราะพี่ดีกับหนูที่สุด
ส่วนพี่พลนั้น พี่รู้ไหมพี่เขานะ อยู่ ๆ ก็วางมือออกจากวงการฮันเตอร์ไปเปิดร้านขายน้ำผึ้งที่ดังที่สุดในเมืองหลวง หนูชอบน้ำผึ้งของพี่พลมากที่สุดเลย ทั้งหวานและอร่อย และพี่พลก็ยังชอบให้หนูกินฟรีอีก ถ้าพี่ได้มาเมืองหลวง พี่ต้องกินน้ำผึ้งที่ร้านพี่พลให้ได้นะ
ส่วนพี่อรุณ หลังจากได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้น ก็ทำให้เส้นทางการใช้ชีวิตฮันเตอร์ของพี่เขายากลำบากขึ้น พี่เขาเลยตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านนอก ทำไร่ไถนา แต่งงานมีครอบครัวไปตามประสา แต่บางครั้งพี่เขาก็มาเมืองหลวงมาเป็นลูกจ้างให้พี่พล แถมยังพูดเสมอว่าสักวันพี่เขาจะกลับมายิ่งใหญ่
แต่พอหนูถามกลับว่าเมื่อไหร่ พี่อรุณกลับบอกว่าปากท้องสำคัญกว่า พูดเสร็จเขาก็รีบไปทำงานหาเงินแบบพี่เลย
ส่วนพี่สมุทรน่ะน่าสงสารที่สุด พี่เขาหนีไปไกลถึงชายแดน แต่ก็ถูกพี่สาวที่เป็นรุ่นพี่ของหนูไปลากตัวกลับมาด้วยตัวเอง ตอนนี้ได้ข่าวว่า พี่สมุทรถูกขังอยู่ในตราผนึกของตระกูล หากระดับปราณอาคมไม่ถึงระดับที่กำหนดก็จะไม่สามารถออกมาได้
คิด ๆ ดูแล้ว หนูเห็นใจพี่สมุทรมากเลย ก็เงื่อนไขที่จะออกมาจากตราผนึกได้น่ะ จะต้องมีปราณอาคมระดับ 40 เทียบได้กับฮันเตอร์แรงค์ D เชียวนะ หนูคิดว่าชาตินี้พี่กับหนูคงไม่ได้เจอพี่สมุทรอีกแล้ว
ส่วนพี่เฮงเฮงอยู่ ๆ ก็ตัดสินใจเปิดร้านขายของเล่นเป็นของตัวเอง ถึงจะขาดทุนอยู่ตลอดแต่พี่เขาก็ยังขายต่อไป แถมยังบอกว่าขายของขาดทุนดีกว่าไปเสี่ยงชีวิตในดงสัตว์อสูร
แต่หนูรู้สึกว่ามันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่เลย ทุกครั้งที่หนูไปเจอพี่เฮงเฮง หากพี่เขาไม่โดนนักเลงเจ้าถิ่นรุมหาเรื่อง ก็ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำให้ร้านของพี่เขาพังพินาศ
ส่วนพี่ซวยซวยก็ยังคงชื่นชอบการต่อสู้มาก ตลอดเวลากว่าหนึ่งปี พี่เขาใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในสนามประลองตลอด โดยไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้เลย แต่ก็ยังไม่เคยได้ต่อสู้จริง ๆ สักครั้ง ถ้าหากคู่ต่อสู้ไม่เจ็บป่วย ก็ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างที่ทำให้ยอมแพ้ไปเสียก่อน เป็นชีวิตที่น่าอิจฉาเอามาก ๆ แต่พี่เขาชอบบอกว่าชีวิตของตัวเองรันทด ไม่เคยได้ลิ้มรสการต่อสู้เลยสักครั้ง ทำให้พี่เขาเบื่อ
ตอนนี้เห็นว่าพี่เขากำลังตระเวนหาลานประลองที่ใหม่ ๆ เพราะลานประลองเก่าที่เคยไปต่างสั่งห้ามไม่ให้พี่ซวยซวยเข้าร่วมประลองอย่างเด็ดขาด เพราะพี่เขาทำให้สูญเสียรายได้และความสนุกทุกครั้ง
ส่วนพี่มีนา หนูยังไม่รู้ข่าวคราวของพี่มีนาเลย ไม่มีการติดต่อใดใด พี่เขาเงียบหายไปในอากาศ
และก็มีอีกคนที่หนูรู้ว่าพี่ไม่ชอบใจแน่ แต่พี่ไม่ชอบก็เรื่องของพี่สิ หนูชอบของหนู พี่พยัคฆ์คีรีไงคะ พี่เขาเป็นแบบอย่างที่ดี แถมยังเป็นแรงบันดาลใจในด้านความแข็งแกร่งของหนูอีกด้วย ตอนนี้พี่เขาโด่งดังมากเลยนะ พี่เขากลายเป็นฮันเตอร์แรงค์ D ช่วงปลาย ที่มีผลงานปราบปรามสัตว์อสูรเยอะแยะเลย ทั้งยังเป็นผู้ทรงเกียรติได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนของหนูไปกวาดรางวัลชนะเลิศการแข่งขันชิงแชมป์ผู้แข็งแกร่งประจำแคว้นทุกรายการเลย
จนตอนนี้พี่เขาถูกทาบทามให้เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยฮันเตอร์ที่แคว้นใหญ่อย่างแคว้นสุบรรณแล้ว
แล้วพี่ล่ะคะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่ หนูคิดถึงพี่และคิดถึงพี่กลิ่นจันทน์ด้วย หนูอยากให้พวกพี่มาหาหนูบ้างจังเลย
หนูรู้ว่าทุกคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง พี่เองก็คงมีเรื่องที่จะต้องทำมากมาย พี่ไม่จำเป็นต้องกลับมาหาหนูก็ได้ แต่อย่างน้อยหนูก็หวังว่าพี่จะตอบจดหมายของหนูบ้าง ขอให้หนูรู้ว่าพี่ยังคงปลอดภัยก็พอ
น้องน้อยผู้เฝ้ารออยู่เสมอ
เมื่อเขียนจบแล้วเหนือฟ้าก็พับจดหมายเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างเรียบร้อย เธอวางจดหมายไว้ที่ขอบหน้าต่างหอคอย แล้ววางเหรียญเงินจำนวนหนึ่งทับลงไป ไม่นานจากนั้นนกวิญญาณก็ปรากฏขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า มันคาบจดหมายและเงินทั้งหมดบินหายไปในท้องฟ้า ครู่เดียวมันก็สลายตัวเป็นอากาศธาตุ ยากที่จะติดตามไปได้ว่ามันนำจดหมายไปส่งที่ไหน
Favorite
ณ ธารน้ำกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
เสียงกระแสน้ำเชี่ยวกรากกระแทกกับแก่งหินดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง ละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาต้องแสงแดดอ่อน ๆ ได้แปลงกลายเป็นรุ้งกินน้ำที่ดูเหมือนจะปรากฏอยู่อย่างถาวร
บริเวณนี้เป็นจุดที่กระแสน้ำหลักแตกแยกไปสู่แม่น้ำรองสี่สาย ดังนั้นสภาพภูมิประเทศเกือบทั้งหมดจึงผสมผสานไปด้วยแม่น้ำ ละอองน้ำ โขดหิน และต้นไม้ใบสีเขียวปนส้ม กินอาณาบริเวณสุดลูกหูลูกตา
ริมฝั่งด้านหนึ่งมีชายหนุ่มหน้าตาคมคาย แต่งตัวมอซอ ใบหน้าสงบนิ่งขณะจ้องมองไปที่ปลายคันเบ็ดไม้ไผ่ที่อยู่ในมือตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ ข้างตัวเขามีไหเหล้าขนาดย่อมวางเรียงราย แต่ไหเหล้ากว่าครึ่งถูกดื่มกินจนหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ไหที่ว่างเปล่า
จู่ ๆ คันเบ็ดไม้ไผ่ในมือเขาก็เกิดกระตุก อันเป็นสัญญาณว่าปลากำลังจะติดเบ็ด แต่มันยังไม่ถึงเวลา นี่เป็นแค่การตอดเหยื่อของปลา เขานั่งรออย่างใจเย็นจนกระทั่งคันเบ็ดถูกโน้มลงจากการฉุดกระชากอย่างรุนแรง
คิ้วของชายหนุ่มขมวดเป็นปมก่อนจะตวัดคันเบ็ดขึ้นมาด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย
เหยื่อของเขามีขนาดใหญ่กว่าที่คิด รูปร่างมันดูคล้ายคน แต่กลับปกคลุมไปด้วยสาหร่ายสีดำหนาเตอะจนมองไม่เห็นรูปร่างที่แท้จริง แล้วเขาก็ยืนพิจารณาเหยื่อประหลาดอยู่เช่นนั้นจนกระทั่ง
ก้อนสาหร่ายที่ดูเหมือนจะไร้ชีวิตกลับฟื้นคืนตื่นขึ้นกะทันหัน ทำให้ชายหนุ่มนักตกปลาถึงกับตกใจร้องเสียงหลง
“นี่มันเหยื่อบ้าอะไรเนี่ย ทำใจหายใจคว่ำหมด”
หนุ่มนักตกปลาบ่นอุบ ขณะจ้องมองมนุษย์สาหร่ายที่กำลังสูดลมหายใจเข้าออกรุนแรง พลางแหวกสาหร่ายที่ปกปิดทั่วใบหน้าออก เผยหน้าตาที่แท้จริง…เขาคือ เหนือภพ นั่นเอง เหนือภพเด็กหนุ่มไร้พรสวรรค์ที่ถูกสายน้ำพัดพามาจากที่ไกลแสนไกล
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มนักตกปลาจะได้พูดคุยกับเหยื่อ เขาก็ถูกเหนือภพคว้าจับแขนไปเสียแล้ว
ต่อให้เขาเป็นนักตกปลาที่เก่งกาจเพียงใด แต่เขาก็ไม่คิดว่าเจ้าเหยื่อหนุ่มน้อยนี่จะมีเรี่ยวแรงมากขนาดนั้น แขนเขาคงมีรอยจ้ำรูปนิ้วแน่ ๆ เลย
แต่เหนือภพก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของชายผมยาวรุงรังคนนี้เท่าไหร่ เขาเพียงแต่ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
“เจ้ารู้จักกลุ่มภารดาไหม ? ช่วยบอกเส้นทางให้ข้ารู้ที”
หนุ่มนักตกปลาเพียงชำเลืองมองเหนือภพด้วยใบหน้าเรียบเฉย คำพูดของเหนือภพไม่ทำให้เขาแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะมีคนไม่น้อยที่มักจะมาถามเขาเช่นนั้น มีทั้งผู้มีพรสวรรค์และผู้ไร้พรสวรรค์
ที่ตั้งของกลุ่มภารดานั้นไม่ได้เป็นความลับ แต่ก็เป็นเรื่องที่น้อยคนจะรู้ ไม่ใช่เพราะกลุ่มภารดาต้องการปกปิด
แต่เป็นราชสำนักต่างหากที่พยายามปิดข่าว บิดเบือนและลบเลือนข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของกลุ่มภารดา
แต่เขาก็เข้าใจดีว่าการมีตัวตนของกลุ่มภารดา มันเป็นสิ่งคุกคามการปกครองของผู้มีพรสวรรค์มากเกินไป หากที่ตั้งของกลุ่มภารดาถูกเปิดเผยก็จะเป็นการชักนำผู้ไร้พรสวรรค์ให้มารวมตัวกัน และนั่นคงจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อฐานอำนาจของผู้มีพรสวรรค์ ซึ่งผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่ทางราชสำนักไม่อาจรับความเสี่ยงได้แม้แต่น้อย
“ด้วยสภาพเจ้าในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะไปที่กลุ่มภารดาเลย แค่เอาตัวให้รอดจากที่นี่ก็ยังยาก แต่จะว่าไป…เหยื่ออย่างเจ้าก็มีร่างกายที่น่าสนใจ”
เหนือภพคงไม่ทันเห็น แต่เขานั้นกลับเห็นเรื่องราวได้ชัดเจนถึงปฏิกิริยาของเหล็กไหลภายในตัวเขา เมื่อเผชิญเข้ากับเหล็กไหลภายในตัวของเหนือภพ ก็เกิดแสงออร่าสีน้ำผึ้งบนผิวหนังสีเข้ม พร้อมทั้งยังปรากฏรอยอักขระสีทองขึ้นล้อมรอบแขนของทั้งคู่ ก่อนจะจางหายไปเมื่อเหนือภพถอนมือออกจากตัวเขา
สายตาของเขาจ้องลึกไปในดวงตาของเหนือภพ มันเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าระคนความแค้น ความแค้นที่ถูกผู้แข็งแกร่งพรากชีวิตคนที่ตัวเองรัก สายตานี้เขาคุ้นเคยดีที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่คนคนหนึ่งเปราะบางมากจนสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งทางดีและทางร้าย
“เหยื่อน้อย เจ้าอยากจะแข็งแกร่งขึ้นงั้นหรอ”
“แล้วท่านรู้หรือเปล่าว่ากลุ่มภารดาอยู่ที่ไหน”
“แน่นอนว่าข้ารู้ แต่เหยื่อน้อยอย่างเจ้าเต็มไปด้วยความแค้น ไปที่นั่นก็ไม่มีประโยชน์หรอก กลุ่มภารดาไม่ใช่สำนักแห่งการต่อสู้”
สีหน้าของเหนือภพเศร้าหมองด้วยความผิดหวัง ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ท่านไม่ได้หลอกข้านะ ถ้าไม่ใช่ ทำไมคนอื่น ๆ ถึงบอกว่า กลุ่มภารดาช่วยให้ผู้ไร้พรสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นได้”
“ข้าจะหลอกเหยื่อของข้าไปทำไม ข้ากับเจ้าก็ต่างเป็นคนไร้พรสวรรค์ กลุ่มภารดามันก็คือจุดศูนย์รวมจิตใจของผู้ไร้พรสวรรค์ก็เท่านั้น หากเจ้าอยากแข็งแกร่งจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นหรอก ข้าช่วยให้เจ้าสามารถตกปลาตัวที่ใหญ่กว่านั้นได้ เพียงเจ้ายินดีที่จะทำ”
แม้คำพูดของชายนักตกปลาจะฟังดูแปลก ๆ แต่เหนือภพก็ไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อย ต่อให้เป็นคำลวงก็ช่าง ขอเพียงช่วยให้เขาแข็งแกร่งได้ ไม่ว่าอะไรเขาก็ยอมทำ
“เจ้าจะไม่ผิดหวัง ข้าชื่อทานธรรม เหยื่อน้อยชื่ออะไร”
‘เหนือภพ’ ทานธรรมครุ่นคิดในใจ เขารู้สึกคุ้นหูเหมือนว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาจากปากใครมาก่อน แต่พอดีว่าเขามีปัญหาด้านความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนิดหน่อย ทำให้นึกยังไงก็นึกไม่ออก
“เป็นชื่อที่ดี ข้าจะพยายามจำไว้ให้ได้เหยื่อน้อย เจ้ากัดฟันแน่น ๆ นะ ข้าส่งเจ้าไปถึงที่ หากเจ้ารอดกลับขึ้นมาได้ เจ้าก็จะแข็งแกร่ง และสามารถตกได้แม้กระทั่งปลาใหญ่ จงจำคำข้าไว้ จงรอดกลับมาให้ได้แล้วเป็นเหยื่อให้เต็มภาคภูมิ”
ยังไม่ทันที่เหนือภพจะได้พูดขอบคุณหรือถามเพื่อไขข้อข้องใจ สายเบ็ดพิลึกพิลั่นที่ไม่มีแม้แต่ตะขอเกี่ยว มันมีเพียงเส้นโลหะสีขาวนวลเท่านั้นที่เคลื่อนไหวเข้ามาพันรอบตัวของเหนือภพ ผูกรัดไว้จนแน่นก่อนที่เจ้าของเบ็ดจะจับคันเบ็ดไม้ไผ่เหวี่ยงเหยื่อตัวใหญ่ตกลงไปในกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากสายหนึ่ง จากนั้นเส้นลวดประหลาดก็หดกลับมาสั้นเท่าเดิม
แล้วทานธรรมก็มานั่งตกปลาต่อ พร้อมกับยกไหเหล้าข้างกายขึ้นดื่มกิน จนกระทั่งมีสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังของเขาด้วยสายตาไม่พอใจ เมื่อมองไปยังไหเหล้าที่วางระเกะระกะ
เธอเป็นสาวสวยที่เพิ่งผ่านวัยแรกแย้มมาได้ไม่นาน ด้วยรูปร่างอวบอัดของเธออาจทำให้ผู้ชายหลายคนปรารถนาได้สัมผัส ประกอบกับดวงหน้ารูปไข่ที่มีเครื่องหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ดวงตาสีเขียวมรกต เข้ากันได้ดีกับผมเปียเส้นใหญ่สีน้ำตาลคาราเมล
แม้เธอจะไม่สูงเทียบเท่ามาตรฐานของหญิงสาวในอมตะนคร และแม้ว่าเธอจะมีช่วงเอวที่อวบไปบ้าง แต่นั่นกลับไม่ใช่จุดอ่อนของเธอ จุดอ่อนของเธอคือชายซกมกคนนี้ต่างหาก
“นี่ท่าน เหล้าน้ำผึ้งพวกนี้สำคัญกับพวกเรามากแต่ไหน ท่านไม่รู้บางเลยเหรอ ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้ว ท่านจะกินเหล้าอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่เหล้าน้ำผึ้ง ท่านนี่มัน”
เธอตะคอกด้วยน้ำเสียงหวานใสแต่คงไว้ซึ่งความเกรี้ยวกราด ขณะรีบกระชากไหเหล้าที่อยู่คาปากชายหนุ่มออกมา แล้วเก็บไหเหล้าน้ำผึ้งที่เหลืออยู่ไปทั้งหมด
แม้ทานธรรมจะแสดงออกว่าไม่ยินยอม เขาพยายามยื่นมือคว้าไหเหล้า แต่ก็ถูกสตรีที่กำลังเกรี้ยวกราดตีมือดังเพี๊ยะ จนเขาต้องชักมือกลับไป
“เจ้าใจเย็นก่อนอังกาบ ข้าขออีกหน่อยไม่ได้เหรอ”
“นี่ท่าน ท่านยังกินล้างกินผลาญไม่พออีกหรอ รู้ไหมเหล้าพวกนี้ข้าใช้เวลาทำยากเย็นแค่ไหน ปีหนึ่งพวกเราทำได้แค่ร้อยไห แต่ท่านกลับ… นี่ยังไม่ทันพ้นเดือน ท่านก็กินไปแล้วแปดสิบไห เหลือแค่ยี่สิบไห ท่านก็รู้ว่าพวกเราต้องเอาไปแจกจ่ายให้บรรดาจ้าวตึกอีก ท่านจะทำให้ข้าบ้าตายให้ได้เลยใช่ไหม”
อังกาบพูดจบก็มองกวาดทั่วร่างกายของทานธรรม เขายังคงอยู่ในชุดมอซอสวมหมอกฟาง รองเท้าไม่ใส่ เนื้อตัวมอมแมม
หัวคิ้วของหญิงสาวกระตุก เธอกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดดำปูดขึ้นมาราง ๆ
“นี่มันวันอะไร ท่านยังไม่แต่งตัวอีก”
ดวงตาของทานธรรมกลอกไปมา พลางยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีประชุม
อังกาบยิ้มเย็น ก่อนจะเตะเปรี้ยงใส่ใบหน้าของทานธรรม จนเขากระเด็นตกลงไปในกระแสน้ำข้างหน้า
“ข้าให้เวลาท่านยี่สิบนาที ทุกอย่างต้องพร้อม ไม่งั้นข้าจะบอกพ่อข้าให้ถอนชื่อท่านออกจากตำแหน่งจ้าวตึกลำธาร”
“หากข้าไม่ได้เป็นจ้าวตึกแล้ว ข้าจะได้กินเหล้าน้ำผึ้งของเจ้าอีกหรือเปล่า”
“ไม่ได้กินแน่ ถ้าอยากกินก็ต้องทำตัวดี ๆ”
จบคำพูดของเธอ ทานธรรมที่เนื้อตัวมอมแมมก็ขึ้นจากน้ำด้วยกางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว พร้อมกับเบ่งกล้ามที่สะอาดสะอ้านให้หญิงสาวดู แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินจนไม่รู้สึกว่ามันแปลกใหม่อะไร มีเพียงความเงียบ และสายตาพึงพอใจเล็ก ๆ จากเธอเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มเดินมาใกล้แล้วพวกเขาก็เดินไปพร้อมกัน
“เหยื่อสำคัญของข้า ! ข้าดีขนาดนี้แล้วขอเหล้าน้ำผึ้งให้ข้าสักไหได้หรือเปล่า”
ขณะที่เดินเคียงคู่กันอยู่นั้นสายตาของเขาก็มองไปยังต้นคอของอังกาบที่มีร่องรอยบาดแผลสดใหม่ มันทำให้เขาคิดถึงเรื่องหนึ่งได้
“พวกเหยื่อน้อยของเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วง พวกนางไม่เป็นไร ข้าส่งพวกนางไปอยู่ภายใต้การดูแลของจ้าวตึกบุปผาแล้ว ขอเพียงพวกนางมีจิตใจที่เข้มแข็งก็จะผ่านเรื่องเลวร้ายนั้นไปได้”
“เจ้าพวกผู้มีพรสวรรค์นี่ยังไง นับวันยิ่งกระทำป่าเถื่อนกับพวกเราโดยไม่สนบาปบุญคุณโทษ”
สายตาของทานธรรมมีแต่ความเดือดดาล ยิ่งยามนึกถึงภาพศพเด็กสาวไร้พรสวรรค์หลายร้อยคนที่ถูกทิ้งลงน้ำ พวกเธอแต่ละคนล้วนถูกกระทำย่ำยีอย่างป่าเถื่อนแล้วก็ฆ่าทิ้ง
แม้บางส่วนจะรอดมาได้ แต่จิตใจก็บอบช้ำเกินกว่าจะสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ซึ่งสามารถสืบความได้ว่าเป็นฝีมือของขุนนางหลวงผู้หนึ่ง ที่เปิดสถานค้าบริการกามให้กับเหล่าผู้มีจิตใจวิปริต และมีรสนิยมป่าเถื่อน
เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าที่เขาจะตัดสินใจได้ จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาจะต้องไปร่วมประชุมเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงการปะทะกันได้ก็จะดี ไม่เช่นนั้นคงได้ประกาศสงครามระหว่างผู้มีพรสวรรค์และผู้ไร้พรสวรรค์ในสักวันหนึ่ง
“พวกมันต้องได้รับการชดใช้”
ในฐานะที่อังกาบเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเองก็โกรธไม่น้อยไปกว่าใคร
“อ้อ มีอีกเรื่อง เจ้าช่วยเขียนจดหมายให้ข้าหน่อย”
อังกาบเป็นเหมือนกองไฟที่กำลังลุกไหม้ แล้วจู่ ๆ ก็มีน้ำมันราดลงมา เธออยากจะตบไอ้ผู้ชายเฮงซวยนี่สักทีให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่ใช่เธอไม่รู้ว่าทานธรรมอ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาคนเราเรียนรู้กันได้ เธออุตส่าห์ส่งอาจารย์เก่ง ๆ มากมายมาช่วยสอนเขา แต่ว่าเขาก็ยังเขียนไม่ได้อีก จะไม่ให้เธอโกรธได้ยังไง
“นี่ท่าน เวลาตั้งสองปีท่านไปทำอะไรมาห่ะ !”
“แหม เจ้าก็รู้นี่ ตัวหนังสือมันรู้จักข้า แต่ข้ารู้จักมันซะที่ไหนเล่า เวลาสองปีสำหรับข้า ข้าท่อง กอ ไก่ ถึง ฮอ นกฮูกได้ก็ถือว่าข้าเก่งมากแล้วนะ นี่ยังไม่รวมพยัญชนะที่ข้าเพิ่งจะท่องได้อีก เจ้าต้องชมข้าสิ”
“ได้แค่เนี้ย! ข้าจะทำยังไงกับท่านดีห่ะ ! สักวันถ้าไม่มีข้าสักคน คนทั้งหมู่ตึกลำธารคงได้เลี้ยงควายกินกันทั้งคณะ ฮึ้ยยย”
อังกาบอ่อนใจไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่สุดท้ายเธอก็ทนสายตารบเร้าของทานธรรมไม่ได้
“ก็ได้ นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะ”
“เจ้าช่างเป็นเหยื่อที่สำคัญที่สุดของข้าจริง ๆ”
“เลิกเรียกคนอื่นว่าเหยื่อสักที รีบพูดมาว่าจะให้เขียนอะไร รีบ ๆ เขียน รีบ ๆ ส่ง แล้วก็จะได้รีบไป นี่มันสายมากแล้ว”
ที่อยู่ผู้จัดส่ง – ไม่ระบุ
ที่อยู่ผู้รับ – ต้นโพธิ์โบราณข้างน้ำตก
ถึง…ท่านอาจารย์ที่เคารพรัก
ท่านอาจารย์มีความสุขสงบใจดีอยู่หรือไม่ ข้าหวังว่าท่านจะยังแข็งแรงสมบูรณ์เช่นเดิมนะ ตลอดเวลาที่ข้าออกมาผจญภัยในโลกกว้างนี้ ข้าคิดถึงท่านอยู่เสมอ ท่านไม่ต้องตามหาข้าหรอก เพราะข้ายังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จริง ๆ นะท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้โกหก
ตอนนี้ท่านวางใจได้เลย ข้าได้ส่งว่าที่ศิษย์น้องคนใหม่ไปให้ท่านอาจารย์แล้ว อย่างที่ข้าเคยสัญญากับท่านนั่นแหละ ว่าข้าจะหาศิษย์คนใหม่มาให้ท่าน สุดท้ายข้าก็ทำตามที่พูดนะท่านอาจารย์
ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะเลี้ยงดูและอบรมเขาให้เขากลายเป็นศิษย์สืบทอดของท่านได้อย่างที่ท่านเคยหวังไว้ จากนี้ไปท่านจะไม่เหงาแล้วนะ ข้าดีใจกับท่านด้วยจริง ๆ
ศิษย์พี่ใหญ่ผู้กตัญญูอย่างสุดซึ้ง
Favorite
Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ
Status: Completed
เรื่องนี้เป็นภาค 2 ต่อจากตอนสุดท้ายของภาคที่แล้ว หลังจากเหนือภพหมดสติไหลไปตามน้ำ เขาก็ได้ไปพบกับอาจารย์ผู้ฝึกสอนผู้ไร้พรสวรรค์ ทำให้เหนือภพเพิ่มความเก่งกาจขึ้น ที่สำคัญอาจารย์ยังได้เพิ่มรอยหยักในสมองให้เขาอีกด้วย
เหนือภพไม่เพียงได้รับการอบรมบ่มนิสัย เขายังได้รับการฝึกฝนอย่างทรหดอดทนเป็นเวลาหลายปี กว่าที่เขาจะผ่านเกณฑ์ที่อาจารย์กำหนด
จากนั้นเขาก็ได้เข้ามาในเมืองหลวงเพื่อก่อร่างสร้างตัว ทว่าเขาไม่คิดเลยว่าเขาจะถูกลากเข้าไปในวังวนของการแก่งแย่งชิงดีในราชวงศ์ ไม่มีความจริงใจ ไม่มีความปรานี และไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอ แต่โชคดีที่เขายังมีที่พักใจ เธอคือเจ้าของหอหมื่นบุปผา ผู้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นใจได้อย่างประหลาด
Options
Background
White
Light gray
Light blue
Light yellow
Sepia
Dark blue
Dark yellow
Wood grain
not work with dark mode
Font Family
Fira Sans
Merriweather
Segoe UI
Verdana
Tahoma
Arial
Font Size
15
16
18
20
22
24
26
28
30
32
34
36
38
40
Line Height
100%
120%
140%
160%
180%
200%