ผมเตือนยานามิที่จะเดินไปห้องชมรม
“แน่ใจแล้วหรอคุณยานามิ? จะพูดยังไงดีล่ะ ชมรมเล็กๆมันดีแล้วหรอ”
ด้วยบรรยากาศแบบเมื่อวาน ผมสังสัยว่าคนธรรมดาควรไปที่นั้นหรือไม่
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ของแบบนั้นฉันก็เคยทำ รู้ไหมว่าสมัยก่อนฉันชอบทำพวกลูกขนๆมาก่อน”
“อันนั้นมันชมรม หัตถกรรม ที่จะไปนี้มันชมรมวรรณกรรม”
ช่างเถอะ ผมควรหยุดกังวลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว ผมเปิดประตูชมรมเข้าไป
“ไง หวัดดี”
“สวัดดี นุตุมิสึคุง”
รุ่นพี่ซึกิโนกิ กำลังปัดผมหน้าม้าของเธอขึ้นข้างบนเพื่ออ่านหนังสือ
“อืมม….”
โึคมาริเงยหน้าขึ้นด้วยอาการหงุดหงิด แต่เธอก็ตัวแข็งทันทีเมื่อเห็นผู้หญิงแปลกหน้า
“คือ…เธอมาที่นี้เพื่อเยี่ยมชมรมหรอ…”
“ขอรบกวนด้วยค่ะ หนูชื่อยานามิ อยู่ชั้นเดียวกันกับนุคุมิสึคุง”
“ara~~ยินดีต้อนรับจะ นั่งก่อนๆ ฉันจะชงชาให้น่ะ”
รุ่นพี่สึคิโนกิ กระดิกแว่นตาของเธอแล้วสะกิดผมขณะที่เธอเดินผ่าน
“เจ๋งมากนุคุมิสึคุง ไม่อยากจะเชื่อเลยเธอเอาผู้หญิงน่ารักๆแบบนี้มาในที่แบบนี้ได้
“หา?”
“อย่าบอกน่ะว่า คุณแฟนใช่ไหมเอย?”
อุหวา รุ่นพี่กินอะไรผิดสำแดงรึเปล่า
“อา ไม่ เธอไม่ใช่-”
“อะ เข้าใจผิดแล้วค่ะ พวกเราก็แค่เพื่อนร่วมชั้นกันเอง”
ยานามิไม่ได้มีปฎิกิริยาใดๆกับคำถามนั้น เธอไม่ได้เขินอายหรือรำคาญ เหมือนแค่ถูกถามคำถามประมาณวันนี้อากาศเป็นอย่างไงบ้างเท่านั้นเอง
แล้วเธอก็เดินสังเกตุห้องชมรมอย่างสงสัย
“ว่าแต่ที่นี่มีหนังสือเยอะเต็มไปหมดเลยนะคะ แล้วปกติที่นี่กิจกรรมชมรมเค้าทำอะไรกันหรอคะ”
“เอะ!?”
…ผมสัมผัสได้เลยว่ารุ่นพี่และโคมาริกำลังจ้องเขม็งมาที่ตัวผม ราวจะกินเลือดกินเนื้อผมให้ได้
แต่แล้วราวกับบรรยากาศที่อึดอัดก่อนหน้านี้ได้หายไป เป็นเพราะประตูห้องชมรมได้เปิดออก
“ช่างเป็นวันที่สดใสเสียนี้กระไร”
ชายร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง ไม่ผิดแน่ประทานชมรมรุ่นพี่ทามากิแน่ๆ ยังไงก็ตามตอนนี้ผมรอดแล้ว
“ชินทาโร่ นายเป็นสมาชิกที่ไม่ทำกิจกรรมชมรมน่ะถึงจะเป็นประธานชมรมก็เถอะ”
รุ่นพี่สึกิโนกิแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วและจ้องเขาที่เดินเข้ามา แต่เธอก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มที่ริมผีปากที่อ่อนนุ่มของเธอได้
“โทษทีน่ะโทษที พอดีต้องยุ่งกับเรื่องเรียนน่ะ”
ประทานวางมือบนไหล่รุ่นพี่อย่างไม่ใส่ใจ
“ตอนปกติก็ไม่เห็นจะเรียนเลยนิ หืมม?”
“คือว่า….โอะ นั้นมันไม่ได้เจอกันนานเลย นุคุมิสึคุง นี่ชมรมของพวกเรามีสมาชิกใหม่ด้วยหรอ?”
“คะ ยินดีที่ได้รู้จัก ยานามิคะ พอดีมาที่นี่เพื่อเยี่ยมชมน่ะคะ”
“เยี่ยมชมหรอตามสบายเต็มที่เลยน่ะ”
ประธาน แสดงรอยยิ้มที่มีเสน่ห์เมื่อเขาเดินเข้ามาหาพวกผม ส่วนโคมาริ เหมือนเธอตัดสินใจอะไรบ้างอย่างได้จึงพุ่งเข้ามาแทรกระหว่างพวกเรา
“อา ประ-ธาน ห-หนังสือที่ให้ยืมมาก่อนหน้านี้ เจ๋งมากเลยค่ะ!”
“อ่านเสร็จแล้วหรอ? ผมดีใจที่ชอบน่ะ โคโตะมักจะบอกว่าพวก นิยายไซไฟน่ะน่าเบื่อ”
ประทานพูดอย่างนั้น ขณะที่เขาเหลือบไปมองรุ่นพี่ซึกิโนกิ รุ่นพี่หันกลับมาพร้อมกับแววตาราวกับว่าเธอกำลังจะฆ่ากันให้ได้
“ฉันไม่ได้ดูถูกมันซ่ะหน่อย ไม่ใช่ว่าชินทาโร่ก็เกลียดหนังสือของฮารุกิเหมือนกันหรอ?”
“ไม่รู้เลยน่ะเนี้ยว่าเธอก็เป็นแฟนคลับของ ฮารุกิ มารุคามิด้วย?”
“ฉันไม่ใช่ นายก็ไม่ได้อ่านหนังสือของ ริน อุสามิ ที่ฉันให้ยืมกับนายก่อนหน้านี้สักหน่อยนิ ก็เจ๊ากันไปแล้วนิ”
“ผมอ่านเล่มนั้นแล้ว และก็ออกความคิดเห็นไปแล้วด้วยว่ามันก็สนุกดี”
นี่ทั้ง2คนกำลังจีบกันอยู่หรอ เอาจริงดิ?
ขณะที่ผมกำลังมองดูพวกเขาอย่างุนงง โคมาริก็ขัดจังหวะการสนทนาขอพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“อา อา! หนูก็ชอบหนังสือของEqan เหมือนกัน! ถึงจะ..ไม่เข้าใจ..เนื้อหาก็..ตาม” (หนูลูก…)
“จริงหรอ? โคมาริรสนิยมดีเหมือนกันน่ะเนี่ย”
ประธานยิ้มและทำการลูบหัวของโคมาริ
“โอ้ย”
รุ่นพี่สึกิโนกิตบมือของประธานทิ้งไปทันทื
“เฮ้ ตาบ้านี้คือสิ่งที่สามารถหาได้ตาม#metooน่ะ(จากที่เข้าใจน่ะครับประมาณล้วงละเมิดทางเพศน่ะครับ) โคมาริจังฉันบอกตาบ้านี้ได้น่ะถ้าไม่ชอบน่ะ”
“ห-หนู!”
โคมาริดูเหมือนจะตกใจกับเสียงตีกันและก้มหัวของเธอลง
“หนู…ไม่…รังเกียจ..การลูบหัว…หรอกค่ะ”
เธอพึมพำ ใบหน้าของเธอนั้นแดงในทันที
“อ้าโคมาริจัง น่ารัก โคโตะเธอต้องหัดเรียนรู้จากโคมาริจังเสียบ้างน่ะ”
“ชิ โคมาริจังอย่าไปตามใจตานี้มากเกินไปนะ ตานี้สักวันจะต้องกลายร่างเป็นสัตว์ป่าแน่”
ประธานมองดูนาฬิกาแล้วตกใจ
“ถึงเวลาที่ต้องไปแล้วสิ.ต้องเข้าประชุมแล้ว ผมว่าจะไปอวดสักหน่อยว่าชมรมนี้ยังมีคนมาเยี่ยนอยู่”
“ฉันจะไปด้วย เดี่ยวนายก็เผลอหลับระหว่างประชุมอีก”
“เจ๋งเลย ถ้าโคโตะอยู่ก็จะสามารถปลุกผมเวลาสำคัญๆได้”
“ใครว่าจะปลุกนายกัน? ถึงเวลานั้นชั้นจะเสนอให้นายเป็นคนธรรมความสะอาดเลยคอยดู”
อ้าาา เบาหวานขึ้นตาพวกเค้าทำให้ผมเบาหวานขึ้นตาก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปเนี้ยน่ะ ว่าแต่แล้วแบบนั้นเราจะมีประธานชมรมไปทำไมล่ะเนี่ย?
“น่ารัก— ประธานพูดว่าฉัน-ฉันน่ารัก….เอะเฮะเฮะ”
โคมาริยิ้มเหมือนคนสมองไหลไปแล้วขณะทีเธอพึมพำกับตัวเอง โทษทีน่ะที่ต้องขัดความสุขของเธอน่ะ แต่มองจากมุมไหนยังไงเธอก็แค่ถูกเค้าหลอกใช้แน่นอน
อยู่ๆยานามิก็ตบไหล่ผมแล้วเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ ใกล้เกินไปแล้ว อีกอย่างยังได้กลิ่นอะไรหอมๆด้วย
“ที่ออกไปใช่ประธานกับรองประธานชมรมใช่ไหม? นี่สองคนนั้นกำลังจีบกันอยู่หรอ?”
“ผมก็ไม่แน่ใจน่ะ แต่จากที่มองน่าจะใช่เหละ”
ดูเหมือนโคมาริจะได้ยินบทสนทนาของพวกเรา หูอันแหลมคมของเธอโยกไปโยกมาราวกับรับคลื่นสัญญาณบางอย่าง
<พวกเค้าก็แค่สนิทกันเพราะเป็นเพื่อนสมัยเด็กเฉยๆ! พวกเขาไม่ได้จีบกันน่ะ!>
ยานามิหรี่ตาของเธอในทันที่
“…..แค่เพื่อนสมัยเด็กหรอ?”
<ใช่แล้ว! ก็แค่เพื่อนสมัยเด็ก>
โคมาริพิมมาอย่างนั้นแล้วจากไปด้วยความโกรธ-หรือไม่ก็ตาม หลังจากนั้นเธอก็ใส่หูฟังเปิดเพลงเสียงดังจนเราสองคนได้ยินและเริ่มอ่านหนังสือ ชั่งเป็นผู้หญิงที่เอาแต่ใจจริงๆ
ยานามิ ย้ายเก้าอี้ของเธอมาข้างๆผม
“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมทำไมเธอต้องสื่อสารกับพวกเราโดยใช่การพิมด้วยล่ะ”
ตรงนั้นจุดนั้นผมก็อยากรู้เหมือนกัน
“เรื่องนั้นพอลองกลับมาคิดดูแล้วน่ะ นุคุมิสึคุง ประธานกับรองประธานเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันสิเนอะ…”
“เอะ ก็ใช่น่ะ”
“…ทำไมมันถึงได้ต่างกันได้ขนาดนี้กันน่ะ… ก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”
ยานามิพึมพัมอะไรบ้างอย่างพร้อมกับกัดฟันไปด้วย
“ฟังผมน่ะ คุณยานามิ พวกเค้าไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่นิดเดียว”
“เดี่ยวน่ะ งั้นก็หมายความว่า….”
ดูเหมือนยานามิจะเข้าใจอะไรบ้างอย่าง เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่โคมาริ
“…มือที่3?”
อยู่ๆเธอก็พึมพำขึ้นมา แต่โคมาริกับตัวสั่นด้วยความสั่นกลัว
“ไม่-ไม่ไม่ ประธานไม่เคยเดทกับทางนั้นเลยน่ะ(โคมาริ) ทำไมถึงคิดในแนวนั้นได้ล่ะ?”
“ไม่ มันไม่ใช่ความจริงหรอ? ความสัมพันธ์ของเด็กสาวที่กล้าที่จะมาแทรกกลางความสัมพันธ์หวานเชื่อนระหว่างเพื่อนสมัยเด็กน่ะมันก็ต้องเป็นมือที่3 อยู่แล้วสิ นายไม่เข้าใจหรอ?”
ออ เหมือนประมาณมีผู้ชายมาโผล่ใน YURIสักเรื่องสิน่ะ เข้าใจล่ะ ไปตายซ่ะ( ผมเห็นด้วยไปตายซ่ะ)
“ตรงจุดนั้นก็พอเขาใจอยู่หรอก แต่เรื่องนี้ก็ไม่ควรพูดน่ะ เพราะตอนนี้คุณโคมาริก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“แต่เธอก็ไม่ได้ยินเรานิตอนนี้เธอก็ฟังเพลงอยู่ไม่ใช่หรอ?”
ผมไม่รู้ว่าเธอสัมผัสได้ถึงสายตาของพวกเราหรือเปล่า
แต่ตอนนี้โคมาริกับสั่นและถอยกลับไปซ่ะงั้น เอ่อ…. นี่มันอะไรกันเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นอย่าบอกน่ะว่า
“อย่าบอกน่ะ… คุณโคมาริไม่ได้ฟังเพลงอยู่หรอ?”
“เอะ แต่เธอใส่หูฟังอยู่น่ะ”
“บางทีเธออาจจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาของเราผ่านหูฟังก็ได้”
“แต่เพลงมันดังมากจนเราได้ยินไม่ใช่หรอ?”
“แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ยินเพลงแล้วนิ แสดงว่าตอนแรกมันก็แค่การแสดงเพื่อหลอกพวกเรา”
ใบหน้าของโคมาริเต็มไปด้วยเหงื่อขณะที่เธออ่านหนังสือ
เธอถอดหูฟังออกแล้วมองมาที่ผม หลังจากนั้นเธอหยิบอะไรบางอย่างออกมา
“นุคุมิสึคุง นี่คือ…กุญแจห้องชมรมน่ะ”
“โอ้..ขอบใจ”
“ฉ-ฉ-ฉ-ฉันขอกลับก่อนน่ะ”
โคมาริเดินออกจากห้องชมรมด้วยอาการตัวสั่น
….ห้องชมรมที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตชีวาเงียบลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ในห้องประกอบไปด้วยคนที่เกี่ยวข้องกับชมรมเล็กน้อยและไม่เกี่ยวข้องเลย
แล้วเอาไงต่อดีล่ะที่นี้
แม้ว่าทางยานามิจะมาเยี่ยมชมชมรมแต่ ผมก็ไม่รู้จะแนะนำให้เธอดี
“เอาเถอะ ผมจะชงชาสักหน่อย เอาหน่อยไหมเออผมแนะนำให้คุณเขียนชื่อลงไปบนรายชื่อเยี่ยมชมชมรมนะ”
“ขอบใจนะ เออขอชาเชียวน่ะ”
ยานามิเริ่มพลิกรายชื่อหลังจากนั้นเธอก็เขียนชื่อของเธอลงไป
“เอ้ ที่นี่มีคนมีเยี่ยมเยอะเลย มีชื่อของนุคุมิสึคุงอยู่ด้วย แล้วก็ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคุณโคมาริแน่ๆใช่ไหม”
ผมไม่รู้ว่าเธอเริ่มเบื่อกับเรื่องนี้เร็วไปหรือเปล่า ยานามิเริ่มมองไปที่ชั้นหนังสือ มันอันตรายเพราะงั้นขอร้องอย่าหยิบหนังสือของดาไซและมิชิมะน่ะ
“ผมวางชาไว้ตรงนี้น่ะ”
“ขอบใจน่ะ อ่ะนี่นุคุมิสึคุง”
ยานามิจิบชาขณะที่เธอถามผมด้วยสายตาที่ไร้เดียงสา
“ว่าแต่ขอถามอีกรอบน่ะ ที่ชมรมนี้พวกเราต้องทำอะไรกันหรอ?”
–
หลังจากที่ผมกลับถึงบ้าน ผมก็เริ่มกลิ่งตัวบนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วถอนหายใจ
“เราเป็นนักเรียนม.ปลายธรรมดาๆแล้วสิน่ะ”
ผมเคยดาวน์โหลดLine เพื่อซื้อสติ๊กเกอร์ตัวละครที่ผมชอบอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ผมก็ไม่เคยมีโอกาศเลยที่จะได้ใช้มันจนถึงเมื่อกี้ ผมมองไปที่ข้อความต้อนรับของรุ่นพี่สึกิโนกิ.
ใช่แล้ว ตอนนี้ผมได้อยู่ในline ของชมรมวรรณกรรมแล้ว
ผมควรถือว่านี้คือจุดสูงสุดของชีวิตในรั่วโรงเรียนมัธยมของผมสิน่ะ หลังจากนี้ผมก็ต้องใช่ชีวิตอย่างระมัดระวังไว้เหมือนกับหอยกาบ
จำได้ว่า อายาโนะฝากให้ผมยืมหนังสือให้เขาสิน่ะ เอาล่ะตัดสินใจได้แล้วนี่คือข้อความแรกของผม
“คนที่ผมรู้จักเขาอยากยืมหนังสือซีรีย์อาจารย์ kobo abe, ….ประมาณนี้สิน่ะ”
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคนแก่ถึงต้องพูดประโยคเดียวกันกับที่พวกเขากำลังพิมพ์บนคียบอร์ดออกมาด้วย
นี่ผมจะได้รับคำตอบกลับมาใช่ไหม? ผมได้ยินมาว่าบ้างคนก็ชอบอ่านแล้วไม่ตอบกลับมา หรือไม่ก็บล็อกไปเลยด้วยเหตุผลบางอย่าง แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นผมจะทำยังไงดีล่ะ?
ขณะที่ผมกำลังกังวลรุ่นพี่สึกิโนกิก็ตอบกลับมา
อ่าขอบคุณพระเจ้า ดูเหมือนว่าผมจะไม่ถูกบล็อก
<Tsukino-Mono: ได้สิ พยายามชวนเขาเข้าชมรมด้วยน่ะ อย่าปล่อยกลับไปเฉยๆ>
ผมได้รับอนุญาติ สำเร็จแล้ว….ว่าแต่ ใครบางคนช่วยทำอะไรกับ usernameของรุ่นพี่สึกิโนกิได้ไหม? (*เสริม* Tsukinomono แปลว่าประจำเดือน ประมาณนั้นครับ )
ขณะที่ผมกำลังกลิ่งอยู่บนโซฟา คาจู น้องสาวของผมก็นั่งลงบนโต๊ะฝั่งตรงข้าม
“ท่านพี่นี่เป็นคนที่ดีมากๆเลยคะ”
จู่ๆเธอก็พูดออกมาแบบนั้น
“อา ขอบใจ”
“ท่านพี่มักจะฟังสิ่งที่คาจูพูดด้วยรอยยิ้มเสมอ และท่านพี่ก็จะไม่มีวันพูดปฎิเสธหนู”
“บางครั้งหนูก็คิดว่า หนูพูดมากเกินไปแล้ว”
ใช่แล้ว เหมือนตอนนี้เลย
“ท่านพี่มักจะอดทนความเอาแต่ใจของหนูเสมอ ท่านพี่นั้นจะไม่มีวันรำคาญหนูอีกด้วย”
“นี่ถ้ารู้ว่าตัวเองเอาแต่ใจ ทำไมไม่เปลี่ยนนิสัยตรงจุดนั้นล่ะ?”
คาจูเมิน ผมและกระแอมในลำคอของเธอ
“ท่านพี่คะ คาจูอยากจะทำเคียราเบนให้นะคะ” (*ข้าวกล่องรูปสัตว์ anime)
ดูเหมือนเธอยังพยายามพูดอะไรบ้างอย่างต่อ แต่ผมก็ไม่อยากบ่นอะไรต่ออีก
“แล้วคือยังไงล่ะ? อธิบายสิ”
“คาจูกังวลมากเรื่องของท่านพี่ เวลาที่ท่านพี่ยิ้่มแปลกๆให้กับตัวละครในโทรศัพท์มือถือน่ะคะ”
งั้นหรอ นั่นเป็นเหตุผลที่จะทำเคียระเบนให้สิน่ะ
“โทษทีน่ะ พี่ไม่เข้าใจน่ะ”
“ท่านพี่ ส่ามารถดึงดูดตวามสนใจของทุกคนได้ด้วยเคียระเบน นี่จะกลายเป็นโอกาศที่จะเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับอนิเมหรือมังงะได้คะ ทุกคนน่าจะชอบอะไรแบบนั้นมากกว่า”
“ทำไมต้องมังงะกับอนิเมด้วยล่ะ?”
“มีแต่หัวข้อนั้นไม่ใช่หรอคะที่ท่านพี่สามารถพูดได้?”
น้องสาวของผมนี่หยาบคายจริงๆ ถึงจะไม่ใช่ความผิิดเธอก็เถอะ
“แต่ ลองคิดดูสิถึงจะพี่จะมีเคียราเบน แต่ก็ไม่ได้เอาไปโชวให้ใครเห็นอยู่ดีนิ”
“ถึงท่านพี่จะไม่มีเพื่อนแต่ก็ไม่ได้กินข้าวเที่ยงคนเดียวนิคะ?”
“เอ่อ ไม่น่ะ ปกติพี่แยกไปกินข้าวเที่ยงคนเดียวน่ะ”
“เอ๊ะ เอาจริงหรอคะ?”
คาจูโป่งตาของเธอ และปิดปากของเธอด้วยความไม่เชื่อ
“แต่ ปกติทุกอย่างจะราบรื่นได้นะคะถ้าท่านพี่ยังมีปฎิสัมพันธ์หรือพูดคุยกับคนอื่นนิคะ”
ท่านพี่คนนี่จะไม่มีทางอยู่คนเดียวแน่นอนคุณน้อง ถ้าพี่สามารถทำแบบนั้นได้น่ะ
“ท่านพี่ึคะ ถ้าอย่างงั้นคาจูขอไปโรงเรียนกับท่านพี่ด้วยได้ไหมคะ? เผื่อหนูจะสามารถชวนคนอื่นมากินข้าวกับท่านพี่ได้”
“ขอร้องล่ะอย่าเลย ลองคิดดูว่าคนอื่นจะมองพี่ยังไงเวลาที่มีน้องสาววัยม.ต้นมาทำอะไรแบบนั้นให้น่ะ”
“งั้น เคียราเบนก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดจริงๆ ลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่าคะ”
เดียวน่ะ นี่น้องทำมันออกมาแล้วหรอ? คาจูหยิบกล่องเบนโตะ ออกมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ
“ในตัวเลือกแรกของหนู เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก ตัวแทนของท่านพี่”
เดี่ยว เดี่ยว เดี่ยว เดียว Stopเลยแบบนั้นมันชักจะทำให้พี่กลัวแล้วน่ะ
“นอกจากนี้หนูก็ยังสร้างออกมาด้วย สไตล์ เกคิกะแบบเก่าอีกด้วยคะ มัน
เหมือน ศิลปะสาหร่าย มากกว่าเคียราเบนคะ” (*สไตล์เกคิกะคือภาพการตูนดราม่าครับของญี่ปุ่นช่วง 1960-1970ครับ มีเนื้อภาพเป็นผู้ใหญ่ครับ)
“หนูจะเขียนข้อมูลส่วนตัวของท่านพี่ โดยใช้งาดำค่ะ ด้วยวิธีนี่หนูพนันได้เลยว่าทุกคนในชั้นจะต้องรู้ว่าท่านพี่มีเสนห์มากแค่ไหนแน่คะ”
แล้วเพื่อนร่วมชั้นพี่จะมาอยากรู้ ส่วนสูง น้ำหนัก หรือความรักครั้งแรกของพี่ไปทำไมเล่า
“แล้วตรงจุดนั้น ทำไมรักแรกของพี่ถึงได้เป็นชื่อ คาจูได้ล่ะ?”
“เอ๊ะ นั่นก็เพราะว่าท่านพี่ชอบพูดว่า คาจูน่ารักตั้งแต่เด็กๆ แล้วนิคะ”
ไม่น่ะ ที่ชมไปแบบนั้นเพราะว่าน้องคือน้องสาวพี่เฉยๆ
“ยังไงก็เถอะ สุดท้ายแล้วตอนนี้พี่ไม่ต้องการข้าวกล่องหรอก มีคนทำมาให้พี่แล้ว”
“…มีบางคนทำข้าวกล่องให้ท่านพี่งั้นหรอคะ? เฮ้ เอ๊ะ!?”
ดูเหมือนว่าสมองของเธอจะปฎิเสธ ที่จะเข้าใจคำตอบของผม คาจูตัวแข็งทื่อไป
“นี่ คาจู?”
“ท่านพี่! ท่านพี่จะไปเดธกับผู้หญิงโดยที่ยังหาเพื่อนจริงๆไม่ได้หรอคะ? ท่านพี่ยังไม่ได้ขออนุญาติ จากคาจูเลยด้วยซ้ำ!?”
“ไม่ใช่ มันไม่ใช่! พี่จะมีแฟนได้ยังไงขนาดแค่เพื่อนพี่ยังหาไม่ได้เลย”
“ใช่ค่ะ ทำไมท่านพี่ถึงหาแฟนได้ล่ะค่ะ ทั้งที่ยังหาเพื่อนไม่ได้เลย”
ทำไมน้องสาวผมถึงย้ำตรงจุด “ไม่มีเพื่อน” กันนักกันหนากันจัง
“คาจูได้ยินมาว่ามีวัฒนธรรม แปลกๆ ทำนองว่า ‘แฟนสาว อากาศ’ ในกลุ่มคนโดดเดี่ยวอยู่ค่ะ ถึงอย่างงั้นเถอะค่ะการกิน ‘ข้าวกล่องอากาศ’ ไม่ได้ให้แคลลอรี่แม้แต่นิดเดียว ท่านพี่ควรกินอาหารให้ถูกหลักนะคะ”
“คิดว่าพี่เป็นคนยังไงกัน? พี่กินอาหารจริงๆดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
ถึงแม้มันจะเป็น อาหารจากร้านสะดวกซื้อก็เถอะ
“แต่ตามปกติแล้วไม่มีใครอยากทำข้าวกล่องให้คนอื่นน่ะคะ ถ้าคนนั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนรัก…นิคะ?”
“พี่จ่ายไปแล้วน่ะ”
“อย่างงี้นี่เอง ผู้หญิงคนนั้นทำเป็นธุรกิจนี้เอง”
ดูเหมือนว่าคาจูจะเข้าใจแล้วพร้อมกับปรบมือของเธอ
“แลกเปลี่ยนข้าวกล่อง สิน่ะคะ?คาจูเคยได้ยินเรื่องนี้จากเพื่อนอยู่ค่ะ”
“เลือกเพื่อนระวังๆหน่อยนะคะ”
พี่หาคนทำเคียระเบงได้ด้วยความบังเอิญน่ะ
….ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งคู่จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากสิน่ะ
<หนี้คงเหลือ วันนี้ 3267เยน> (*ประมาณ769บาท)
*
วันถัดมาเป็นวันพุธ ยานามิทำตามสัญญาของเธอและมาที่บันไดฉุกเฉิน ดูเหมือนว่าเธอจะจ่ายหนี้ของเธอด้วยข้าวกล่องจริงๆ
เธอวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนบนได ก่อนจะนั่งลง
เธอถอนหายใจเสียงดังจนผมได้ยิน มันจะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของเธอและแฟนหนุ่นของเพื่อนเธอแน่ๆ
“วันนี้นะ ฉันได้รับคำชวนจาก2คนนั้นด้วย ว่าวันอยากจะมาติวด้วยกันที่บ้านของคาเรนจังไหน่ะ”
“ไม่ลองปฎิเสธไปดูล่ะครับ”
ยานามิได้ยินความคิดเห็นตรงๆจากผมและได้แย้งขึ้นมาทันที
“ถ้าฉันไม่ไปล่ะก็ 2คนนั้นได้อยู่กัน2ต่อ2แน่ๆ”
“ยอมแพ้เถอะครับ มองยังไง2คนนั้นก็จีบกันอยู่”
ผมมาที่นี่เพื่อกินข้าวกล่องน่ะ หยุดพูดเรื่องแปลกๆพวกนี้ผมกับผมทีได้ไหม
“…อันที่จริง ฉันคิดว่าคาเรนจังกำลังพยายามที่จะทำลายฉัน ฉันพนันได้เลยว่าเธอรู้ว่าฉันมองโซสุเกะด้วยสายตาลามก”
ยานามิ ขอร้องล่ะเก็บเรื่องแบบนั้นไว้ในใจเถอะไม่ต้องพูด
“ผมจำได้ว่าผมเคยบอกว่าไม่ต้องคิดมากนิ? บางทีพวกเขาก็อาจจะคิดว่าการอยู่ด้วยกัน2ต่อ2มันอึดอัด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงอยากให้คุณยานามิอยู่ด้วย”
“…พูดอีกอย่างก็คือ เธอก็แค่ใช่ฉันเป็นเครื่องมือในการพาโซสึเกะไปที่บ้านของเธอสินะ”
เอ๊ะ นี่ผมพูดอะไรแย่ๆออกไปรึเปล่า?
“คิดมากน่ะครับ คิดมาก…”
“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ คาเรนลดการป้องกันของเธอลงแล้วให้โชวสุเกะเข้าไปที่บ้านของเธอ และแล้วมันก็จะ-”
ยานามิจ้องมองมาที่ผม
“…อันนะจังบอกว่าไม่ว่างเลยมาไม่ได้น่ะ”
….จู่ๆ ยานามิก็เปลี่ยนเสียงพูดขึ้น
“ฮะ?”
ยัยนี้อาการหนักแล้ว
“นี่คือการสาธิต ลองนึกภาพตามน่ะ ฉากที่คาเรนจังอยู่กับโซสึเกะ2ต่อ2”
“ฮะ….”
ของร้องล่ะหยุดลากผมไปทำอะไรแปลกๆได้ไหม?
“เอาใหม่น่ะ เอาใหม่ วันนี้อันนะจังมาไม่ได้. ตาของนุคุมิซึคุงแล้ว นายต้องเล่นเป็นโซสึเกะ เร็วเข้า!”
“เอ่อ…งั้นวันนี้ก็มีแค่พวกเรา2คน…”
นี่มันจินตนาการบ้าอะไรเนี่ย?
“คือว่าสมมุติน่ะ สมมุติน่ะว่าฉันไม่ได้เอ่ยปากชวนเธอมา จะทำอะไรฉันรึเปล่า?”
ยานามิก้มศีรษะลงและย่นระยะห่างระหว่างพวกเรา
นึกให้ออก ผมต้องนึกให้ออก ปกติแล้วเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้พวกตัวเอกรอมคอมมันจะตอบคำถามยังไง?
“จะทำอย่างไงหรอถ้าผมจะบอกว่าเรื่องที่บอกไปเมื่อกี้ผมรู้อยู่แล้ว”
“โซซึเกะ…”
“คาเรน…”
ช่วงเวลาแห่งความเงียบแผ่กระจายเมื่อเรามองหน้ากันและกัน ยานามิรีบขยับร่างของเธอออกและตีไปที่หัวเข่าของเธอ
“มันต้องเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นแน่! ยัยนั้นกำลังเล็งไปที่ร่างกายของโซสึเกะ….”
ส่วนใหญ่มันก็จินตนการของเธอไม่ใช่หรอ
“ลืมเรื่องนั้นไปเถอะ แล้วข้าวกล่องของผมล่ะ”
“นุคุมิสึคุง ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาของเรื่องนั้น เนอะ? ไม่เคยมีเพื่อนเลยหรอ?”
ไม่ต้องห่วงเรื่องผมเลยน่า
ยานามิหยิบข้าวกล่องที่ทำจากอะลูมิเนียมออกมา เดี่ยวนะ ทำไมมันถึงมีแค่อันเดียวล่ะ?
“ช่วยเปิดฝาหน่อยได้ไหม”
ยานามิให้ผมจับฝาขณะที่เธอแทงตะเกียบเข้าไปในข้าว
“กำลังทำอะไรเนี่ย?”
“เมื่อวานฉันเคยพูดไปแล้วนิ? ตอนนี้ฉันทำข้าวกล่องได้แค่กล่องเดียว”
ข้อมือของเธอสั่นขณะที่เธอพยายามแบ่งข้าวกองใหญ่แล้ววางลงฝา กล่องอะลูมิเนียม
มันดูหนัก จากตรงนี้สามารถมองเห็นกลุ่มก้อนของข้าวที่เกาะกันจนกลายเป็นเค้กข้าวได้เลยหากมองมันใกล้ๆ
“เพราะงั้น ฉันจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใส่สำหรับ2คนไว้ในกล่องเดียว ผักอยู่ในชั้นถัดไปนะ”
ผมได้ อะไรบ้างอย่างมา2กอง ผักทอดที่ถูกอัดมาเลยอยู่ในรูปของกล่อง ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากอาหารเลย
“อืม ขอบคุณสำหรับอาหารน่ะ”
“…อืม ตามสบายเลยน่ะ มากินข้าวกันเถอะ”
งั้น แล้วผมจะชิมเค้กข้าวที่ยานามิพยายามทำสุดฝีมือนี้ยังไงดีล่ะ ? ผมรู้สึกสิ้นหวังยิ่งไปอีกตอนที่ตะเกียบของผมไม่สามารถที่จะหยิบก้อนข้าวพวกนี้ขึ้นมาได้ ในเวลาเดียวกัน ผมก็พยายามยัดมันเข้าปากโดยใช้ซอสจากอาหารที่ต้มแล้วยัดพวกนั้นทั้งหมดเข้าปากของผม
“คือ.. อร่อยมั้ย?”
เอ๊ะ เห็นรีแอกชั่นของผมแล้วนิยังมีหน้ามาถามว่าอร่อยมั้ย? อีกหรอ
“ตรงส่วนของผักคุณยานามิก็ทำด้วยหรอ?”
“ใช่แล้ว ตรงจุดนั้นฉันใช้ความพยายามสูงเลยน่ะ แล้วให้ราคาเท่าไรดีล่ะ?”
อา งี้เอง ก็ยังดี อย่างน้อยตอนนี้ผมก็รับรู้ได้ว่ายานามิไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาด้วยอาหารแบบนี้
อา ผมลองชิมทอดมันที่กองอยู่ตรงกองผักแล้วนั้น
“อ่ะ 400เยน”
“ดีเลย ราคาสมเหตุสมผล”
ยานามิเคี้ยวข้าวปั่นอย่างอารมาณ์ดี ผมจะพูดยังดีล่ะ มาตรฐานของราคานั้นค่อนค่างต่ำไปหน่อย อีกอย่างข้าวกล่องนี้ก็ยังใหญ่มากด้วย….
“ฉันคิดว่า หนี้ของฉันน่าจะจ่ายหมดก่อนถึงวัยหยุดฤดูร้อนได้”
ใช่แล้ว มื้อเที่ยงของเรา จะจบลงหลังจากจ่ายหนี้เสร็จแล้ว ผมคิดว่ามันก็ไม่แย่น่ะที่จะเปลี่ยบเทียบว่ามันเป็นอีเว้นที่มีเวลาจำกัด ยังไงซ่ะก็ต้องใช้หนี้ผมอยู่ดี
“นี่ อยากขึ้นมานั่งข้างบนกันไหม? ตรงชั้น4 สามารถมองเห็นสนามกีฬาได้เลยน่ะ”
ผมจัดการข้าวกล่องของยานามิจนเสร็จ ทางยานามิเองก็ลุกขึ้นยืนหลังจากรับข้าวกล่องที่ว่างเปล่าไปแล้ว ส่วนทางผมเองไม่มีเหตุผลที่จะปฎิเสธข้อเสนอของเธอ
ภายใต้ท้องฟ้าของเดือนกรกฎาคมที่แจ่มใสนั้นไม่มีก้อนเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว
ชมรมกีฑาก็กำลังฝึกซ้อมกันอยู่ที่สนาม
“อา นั่นเรมงจังใช่ไหม?”
ยานามิพิงที่จับแล้วยื่นมือออกไป
ผมมองเห็นผิวสีข้าวสาลีของ เรมง ยากิชิโอะได้จากระยะไกล เธอทิ้งระยะห่างจากคนอื่นๆได้ตั้งแต่ออกตัว
“เรมงจังนี่เร็วจังเลยน่ะ!”
กินข้าวเที่ยง เปลี่ยนชุดแล้วออกไปซ้อม แล้วกลับมาเปลี่ยนชุด ในเวลาพักเที่ยง50นาที ผมคิดไม่ออกเลยว่าผมจะทำอะไรแบบนั้นรึเปล่า
ผมไม่ได้พยายามล้อเลียนเธอน่ะ ผมแค่ท้อกับตัวเองที่ไม่สามารถสัมผัสอะไรที่วิเศษแบบนั้นได้บ้าง
“เธอชนะการแข่งขันวิ่ง100 เมตรระดับตำบลเลยน่ะรู้ไหม? เธอยังได้รับอันดับที่ดีในระดับจังหวัดอีกด้วย”
“เฮ้- รู้เยอะจังเลยน่ะครับ”
บ้างทีผมน่ะจะสามารถขอให้เธออ่านบอร์ดประกาศให้ผมได้บ้างในบ้างครั้ง
“เธอสุดยอดมากจริงๆ เรมงจัง”
เธอพูดประโยคนั้นออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ ด้วยบรรยากาศแบบนั้นผมเลยกลืนสิ่งที่อยากจะพูดกลับลงไป
ดวงตาของยานามิเต็มไปด้วยน้ำตา
น้ำตาที่ล่วงหล่นของเธอพัดปลิวไปกับสายลม
ใบหน้าของยานามินั้นยังคงความรู้สึกไร้เดียงสาเอาไว้ เมื่อไม่นานมานี้ ผมไม่เคยมีปฎิสัมพันธ์กับเธอมาก่อนเลย แต่ในตอนนี้ ผมได้มาอยู่ที่นี่และเห็นเธอร้องไห้ออกมา มันให้ความรู้สึก ราวกับว่าตรงจุด จุดนี้้มันไม่ใช่ของจริง
“นี่ คุณยานามิ.โอเคมั้ย”
“ฉันถูกทิ้ง-”
เพิ่งรู้ตัวหรอ?
“เฮ้ ฉันพนันได้เลยว่า เมื่อกี้นายเพิ่งคิดในหัวว่า ฉันนั้นจะเพิ่งรู้ตัวหรอ”
“อา รู้ได้ไงเนี้ย?”
อย่าอ่านใจคนอื่นสิ
“ฉันจะพูดยังไงดีล่ะ? ในที่สุดฉันก็รู้สึกตัว”
“คุณรู้สึกตัว?”
“ฉันรู้ตัวว่าถูกทิ้งจริงๆหลังจากที่เห็นเรมงจัง กำลังวิ่งไป”
น้ำตาบนขนตาของเธอนั้นเป็นประกาย
“สมองของฉันเข้าใจเรื่องที่ฉันถูกทิ้ง มาโดยตลอด… แต่ร่างกายของฉันพยายามแกล้งที่จะไม่ยอมรับมัน”
ตอนนี้ยากิชิโอะวิ่งอยู่กลุ่มเดียวกับผู้ชายแล้ว จากมุมมองของพวกเราไม่ช้าเธอก็ถูกผู้ชายร่างสูงใหญ่แซงขึ้นไปในทันที
“ฉันคิดว่านุคุมิซึคุงจะต้องเข้าใจแน่ถ้าโดนปฎิเสธอย่างไร้เยื่อใยมา”
“อาจจะนะ”
“ยังไงก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้ว่าฉันจะถูกปฎิเสธมาก็ตาม
ฉันรู้สึกไม่สดชื่นเอาเสียเลย”
ยานามิพูดอย่างนั้นแล้วยืดหลังของเธอ
“แต่ว่า ทุกๆอย่างรอบตัวฉันก็จะดำเนินต่อไปและฉันก็ต้องก้าวเท้าต่อไป ไม่ว่าฉันจะอยากหรือไม่ก็ตาม”
มันน่าจะอารมณ์เหมือนเควสหลักในเกม
“นั้นสิผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะตอนนี้ผมยังไม่เคยถูกปฎิเสธมาก่อนเลย”
“โอ้ว นั้นมันประโยคคำพูดจากคนที่popplarนี่นา”
ยานามิตอบกลับการหยอกล้อของผมด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
ผมพนันได้เลยว่าตัวเอกไลท์โนเวลจะทำให้หัวใจของนางเอกเต้นรัวได้ด้วยคำพูดติดตลกเมื่อกี้ แต่ผมคิดว่านี่คือไกลที่สุดที่ผมสามารถทำได้แล้ว
ส่วนของตัวนางเอกที่พ่ายแพ้ นั้นการเวลาก็คงจะได้ผันผ่านเธอไป ชีวิตประจำวันของเธอนั้นก็ดำรงอยู่ต่อไปเรื่อยๆและใช้ชีวิตประจำวันของเธอต่อไปตามปกติ เช่นเดียวกันกับคู่รักอีกคู่ที่กำลังสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำ
เราสองคนปล่อยให้บทสนทนาเงียบดับลง เพลิดเพลินไปกับสายลมที่พัดผ่านพลางเฝ้ามองนักเรียนคนอื่นๆที่กำลังวิ่งแข่งกันอยู่ที่สนามกีฬา
<หนี้คงเหลิือ วันนี้ 2867เยน> 674.68 บาท
หยุดพักกันชั่วครู่- แม้วว่าเธอนั้นจะหิวโหย แต่เธอนั้นก็เป็นเด็กดีเหมือนกับพระเจ้า
หลังจากกดปุ่มบนหม้อหุงข้าว เสียงไฟฟ้าก็ดังขึ้นในห้องครัวที่แสนจะมืด อันนะ ยานามิสวมชุดนอน และเปิดตู้เย็นพร้อมกับหาวไปด้วย
“อี้ มันก็แค่ไข่…”
ยานามิเปิดช่องแช่ผัก ในนั้นมีกะหล่ำดอกและแฮมอยู่ ในส่วนอื่นก็ยังมีสปาเก็ตตี้แช่งแข็งและไอติมการิการิคุงเธอก้มลงไปข้างล่างและพบกับถุงพักที่เปิดอยู่
“ฉันจะทำอะไรจากของพวกนี้ดี…น่ะ”
ไข่ แฮม ผักรวม เธอมองดูของที่ริบมาจากสงครามบนโต๊ะอาหาร
วันพรุ่งนี้ข้างกล่องจะทำเป็นอะไรดี? แม้ว่าฉันจะทำอาหารไม่เก่งแต่ฉันไม่ชอบปฎิกิริยาของตานั้นมากกว่า
“เขาก็ไม่ได้บอกว่าข้าวกล่องของฉันรสชาติแย่เหรอ…?”
จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจของยานามิ ขณะทีเธอเปิดชั้นวางชามที่เต็มไปด้วยอาหารกระป๋อง ยานามิหยิบกระป๋องที่อยู่ด้านในสุดออกมา และปัดฝุ่นออก
มีป้ายเขียนว่า “ผลิตภัณฑ์จาก Emperor’s hotel: ซอสสีขาวสูตรลับ
โอ้น่าจะดีน่ะ ฟังดูดีด้วย ฉันพนันได้เลยว่าตานั้นต้องยอมรับในการทำอาหารของฉัน
ยานามิยิ้มอย่างซุกซนและมองไปที่โต๊ะ เธอสังเกตุเห็นวันหมดอายุที่ด้านข้าง
เดี่ยวนะ นี่มันปีไหนล่ะเนี้ย? อืม ปีแรกของเรวะคือ2019-
ยานามิหยุดความคิดและวางกระป๋องลงบนโต๊ะ
มีคนเคยพูดเอาไว้ นโปเลียนเป็นคนแรกที่กินอาหารกระป๋อง ถ้าคนเมื่อนานมาแล้วยังกินได้ แค่หมดอายุไป2ปีก็ไม่น่าเป็นอะไรใช่ไหม?
ยานามิยอมรับข้อสรุปอันลึบลับในสมองของเธอ และกัดไอติมการิการิคุงเข้าปาก
(….อุ๊ย!)
เธอนั่งยองๆ อยู่คนเดียวในห้องครัวมืดๆ
อันนะ ยานามิ วัย15ปีสาวน้อยที่ไวต่อความรู้สึกมากเกินไป พบกันอีกครั้งกลางดึกในฤดูร้อน
จากคนแปลครับ
เลือดตาแทบกระเด็นการเป็นสมาธิสั่นแม่งลำบากชิบ กว่าจะจบบทที่1ได้เสียที ล่อไปกี่เดือนล่ะนั้นช่วงมหาลัยด้วย ยาวๆกันไปครับ บทที่2 มาแน่แต่ มาแน่ครับ เชื่อผม คำผืดด่าได้เลยครับแต่แนะนำจะเป็นพระคุณ