ตอนที่ 59: ออกศึกทําสงคราม
“ซื้อทหารเพิ่มอีกสามร้อยนายและปืนใหญ่เวทมนตร์ระดับ D มาอีกสี่กระบอก”
“ปืนใหญ่เวทมนตร์?…เหมือนกับปืนใหญ่บนโลกอีกฝั่งของเรานะหรือ?”
“ไม่เชิง เนื่องจากมันเป็นเพียงอาวุธระดับ D ระยะและการสร้างความเสียหายของมันจึงค่อนข้างต่ํา แต่ก็ถือเป็นตัวป้องกันที่ดีที่สุดที่เรามีในตอนนี้”
เมื่อเทียบกับปืนใหญ่จากบนโลกแล้ว ปืนใหญ่ของแพนเจียนั้นไร้ซึ่งความยิ่งใหญ่จะเทียบเท่าได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังมีผลกระทบที่สําคัญต่อสงครามโดยเฉพาะกับการโจมตีที่สําคัญ
หากเป็นปืนใหญ่ที่มีระดับสูงมากยิ่งกว่านี้แน่นอนว่ามันจะต่อกรกับของบนโลกได้อย่างสบาย ๆ
ยกตัวอย่างเช่นปืนใหญ่ของเฮคาเต้ ระยะการยิงปืนใหญ่ของนางอยู่ที่ 10 กม. ด้วยปืนใหญ่จํานวน 74 กระบอกที่สามารถยิงผ่านกลางอากาศได้ มันเป็นหนึ่งในการโจมตีที่มีชื่อเสียงอย่างหนึ่งของนางในฐานะของ“การยิง”
“เข้าใจแล้ว”
“แล้วก็ซื้อนักรบโอเกอร์สองตัวกับโทรลป้องกันแปดตัว”
“เนื่องจากเราได้ซื้อของบางอย่างไปบ้างแล้วจะดีกว่าหรือไม่หากซื้อปืนใหญ่เพิ่มมากกว่านี้อีกสักหน่อย?”
“มันมีการจํากัดการซื้อแล้วแต่ละระดับของราชันย์อยู่จํานวนสูงสุดที่เจ้าสามารถซื้อได้ในตอนนี้มีเพียงเท่านี้”
“โอ้”
ลีแชรินพยักหน้าเพื่อทําความเข้าใจ
“โอ้ นี่มัน…ราคาสูงมากทีเดียว
เมื่อเปิดเมนูคลังราชันย์ ทันใดนั้นดวงตาของลีแชรินก็พลันเบิกกว้างเมื่อนางได้เห็นราคาการขายของปืนใหญ่เวทมนตร์
(ปืนใหญ่เวทมนตร์]
ประเภท: อาวุธเวทย์
อันดับ: D
ราคา: 1,200 ทอง
ระยะ: 2 กม
การยิงต่อนาที: 2
บรรจุได้สูงสุด: 10
ระบายความร้อน: 24 ชั่วโมง
ราคาสําหรับการบรรจุใหม่: 5 ทองต่อการยิง
คําอธิบาย: พลังการยิงกระสุนของปืนใหญ่ทํามาจากมานาหลังยิงกระสุนครบทั้งสิบลูกแล้วตัวปืนใหญ่จะทําการระบายความร้อนเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
*ขีดจํากัดของการบรรจุกระสุนสูงสุดสิบลูก
*ไม่มีข้อจํากัดเกี่ยวกับจํานวนปืนใหญ่ที่ท่านจะสามารถครอบครองได้
*สามารถเพิ่มระดับความสามารถได้ด้วยทองคํา
“เจ้าควรเพิ่มระดับความสามารถให้กับพวกมันก่อนการใช้จะดีกว่า”
“ตกลง”
“เตรียมตัวให้พร้อม เจ้าต้องตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าปืนใหญ่กําลังถูกคลุมด้วยอะไรบางสิ่งที่ไม่ผิดสังเกตเพราะหากศัตรูได้เผลอมาเห็นมันเข้าอาจสร้างความลําบากแก่เราได้”
หลังจากที่ลีแชรินออกจากห้องวางกลยุทธ์ไป คังชอลอินก็เริ่มคิดอะไรเพิ่มเติมเพียงลําพัง
“สงครามที่เป็นเหมือนกับสงครามจริง ๆ … มันก็ผ่านมาได้ซักพักแล้วสินะ
สงครามบนแพนเจียจะแตกต่างไปจากสงครามที่เกิดขึ้นบนโลกอย่างมากกองทัพในการทําศึกของที่นี่จะประกอบไปด้วยมนุษย์และสัตว์ประหลาดที่ทํานั่นเอาชีวิตกันอีกทั้งยังมีการใช้อาวุธที่ทํามาจากเวทมนต์เพื่อยิงโจมตีจากในระยะไกล
ไม่เพียงแค่นั้นแต่ยังมีนักเวทย์เช่นนี้ลัสที่ถ้าหากได้เข้าร่วมในสงครามด้วยเมื่อไหร่ มันจะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นบนสนามรบได้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามปัจจัยสําคัญที่แท้จริงก็คือ “มวลดอกไม้แห่งสงคราม” ที่เป็นเหมือนดั่งยอดมนุษย์เช่นคังชอลอิน
หากราชันย์คนใดสามารถเลื่อนระดับไปจนถึง 100 ได้สําเร็จพวกเขาจะมีอิทธิพลต่อสนามรบได้อย่างมหาศาล
ตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็คือคังชอลอินและโดเรียนผู้ที่เปลี่ยนการต่อสู้ให้เป็นสิ่งที่ยากจะเอาชนะพวกเขาไปได้ด้วยความ แข็งแกร่งที่แท้จริง
นอกจากนี้คังชอลอินยังสามารถทําลายห้องโถงป้อมปราการของรอสต์ไชลด์ได้ด้วยตัวเองเพียงลําพังและเป็นที่รู้จักในฐานะตํานาน นับตั้งแต่นั้นมา
คังชอลอินยังคงจดจําความรู้สึกตื่นเต้นในตอนนั้นได้เป็นอย่างดีบางทีเขาอาจจะเข้าร่วมกับสงครามในครั้งนี้เพื่อสัมผัสถึงความรู้สึกเหล่านั้นอีกครั้ง
แน่นอนว่าระหว่างคังชอลอินคนเก่าและคนใหม่นั้นมีความแตกต่างกันไปโดนสิ้นเชิง แต่ความจริงที่ว่าเขายังชื่นชอบในการออกท่องไปบนสนามรบนั้นยังคงเป็นเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน
“ชอลอิน แล้วเราจะยกทัพออกไปเมื่อไหร่?”
สีแชรินเต็มไปด้วยความใจร้อนในการจะยกทัพออกโจมตีทันที่ที่ได้ทําตามคําสั่งของคังชอลอินว่าให้ไปจัดเตรียมกองกําลังแบบกองโจรเสร็จ
“เดี๋ยวจะมีสัญญาณขึ้นมา”
“สัญญาณ? โพดอลส์กี้จะส่งสัญญาณให้เราอย่างนั้นหรือ?”
“ที่นี่ไม่ใช่บนโลกสักหน่อย ไม่มีทางที่โพดอลส์ก็จะทําแบบนั้น
ได้”
“นั่นก็จริง…”
“ศัตรูจะเป็นคนส่งสัญญาณให้แก่เรา”
“อะไรนะ?”
ลีแชรินไม่อาจเข้าใจคําพูดของคังชอลอินได้
ศัตรูน่ะหรือที่จะเป็นคนส่งสัญญาณให้กับพวกเขา?
สําหรับนางแล้วมันไม่สมเหตุสมผลกันเลยสักนิด จะมีศัตรูที่ไหนมาปาวประกาศว่า “เรากําลังทําสงคราม!” ในลักษณะที่เป็นมิตรแบบนั้นกัน?
“เฝ้ามองดูท้องฟ้าแล้วเจ้าจะได้รับคําตอบ”
คังชอลอินจิบไวน์ของโดราโด้แล้วชี้นิ้วขึ้นไปยังท้องฟ้า
“ท้องฟ้า?”
สีแชรินเงยหน้าขึ้นมองตามปลายนิ้วของเขาในทันใด แต่หลังจากจ้องมองได้ไม่นาน..
“ข้าเจ็บตาไปหมดแล้ว เราควรใช้ทักษะกองทัพจักรวาลดีหรือไม่?”
“ไม่มีเงิน หากคิดจะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการเราคงล้มละลายลงในไม่ช้า อีกทั้งตอนนี้เจ้าเองก็ไม่ได้มีเงินมากอย่างในตอนต้นด้วยซ้ํา”
“ก็จริง…”
ลีแชรินใช้จ่ายด้วยทองคําไปเกือบหมดคลังในการซื้อทหารและอาวุธต่าง ๆหากนางไม่ได้รับนด้าเวลเลียร์กลับคืนนางจะมีสภาพทางการเงินไม่ต่างอะไรจากคังชอลอินและกลายเป็นราชันย์ยาจกไปในปริยาย
เวลายังคงเดินผ่านต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเที่ยงวัน
“นั่นเป็นสัญญาณ” คังชอลอินกล่าว
“สัญญาณ?”
“ตรงนั้น”
คังชอลอินชี้ไปยังเหยี่ยวสอดแนมที่กําลังบินผ่านอากาศ
มันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองตัวเท่านั้นแต่มันมีเป็นสิบ มีคนต้องการตรวจสอบอาณาดินแดนโดยรอบของนาง
“พวกนั้นกําลังคิดทําสงครามกันอย่างเต็มกําลังจึงหวาดกลัวด้านหลังที่ไม่ได้สนใจเช่นดินแดนของเจ้า” คังชอลอินเริ่มอธิบาย
“ถ้าอย่างนั้น…”
“พวกนั้นกําลังจะต่อสู้กันเร็ว ๆ นี้แล้ว ตอนนี้ดินแดนของเจ้าแย่อย่างมากในสายตาของพวกนั้น ถูกหรือไม่?”
“ใช่!”
ขณะฟังคําอธิบายต่าง ๆ จากคังชอลอินลีแชรินก็ได้นึกถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับโดราโด้ในตอนนี้
มีทั้งขอทานที่นั่งเรียงรายอยู่ทั่วเมืองพร้อมกับศพคนแคระที่วางทิ้งระเกะระกะทหารที่ไร้ซึ่งระเบียบวินัยและบ้านเมืองที่กําลังถูกเผาจนมอดไหม้ทุกสิ่งล้วนเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความย่ําแย่ของดินแดน
“พวกนั้นจะคิดว่าเราไม่พร้อมต่อการทําสงครามและจะต่อสู้กันเองโดยไม่คิดระวังภัยจากเรา”
“เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็เข้าไปตลบตีพวกเขาจากทางด้านหลังดั่งเช่นที่เจ้าพูดเมื่อก่อนหน้า?”
“ใช่”
คังชอลอินพยักหน้ารับ
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาทําให้พวกนั้นได้รู้จักกับนรกที่แท้จริงเสียที
“ข้าจะต้องทํามันได้แน่ ชอลอิน!”
แม้ลแชรินจะรู้สึกประหม่าเพราะนี่คือการออกทําสงครามครั้งแรกของนางแต่ความมั่นคงที่นางมีไม่ได้ทําให้นางรู้สึกสั่นไหวแต่อย่างอย่างใดเช่นเดียวกันกับชายที่นางกําลังหลงรักอยู่ในตอนนี้ นางกัดฟันกรอดด้วยความแน่วแน่
หน้าที่ของนางคือการกําจัดกองโจรที่ซุ่มอยู่รอบนอกเพื่อเปิดทางให้กับคังชอลอินได้ย้ายกองทัพเข้าประจําตําแหน่ง
“องค์ราชันย์” อะนูบิสก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อพูดกับนาง
“ข้าพร้อมจะปกป้องท่านทุกเมื่อขอท่านโปรดวางใจในตัวข้านะขอรับ”
“แน่นอน อะนูบิส”
อะนูบิสพยายามบรรเทาความเครียดและความประหม่าของลีแชรินตามนิสัยของมนุษย์สุนัขผู้ซื่อสัตย์
ลีแชรินและหน่วยอารักขาส่วนตัวของนางที่มีชื่อว่า “รอยัลฮาวนด์”เริ่มเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบมากที่สุด
พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวและดําเนินการได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากได้ทําการตรวจสอบตําแหน่งของศัตรูมาก่อนหน้านี้แล้วผ่านทางกองทัพจักรวาล
ฟุดฟิด ฟุดฟิด
อะนูบิสและหน่วยรอยัลฮาวนด์สูดดมกลิ่นรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบกลิ่นของศัตรู เนื่องด้วยการเป็นมนุษย์สุนัขจึงทําให้พวกเขามีจมูกดมกลิ่นที่ยอดเยี่ยมที่สามารถสัมผัสได้ว่าศัตรูกําลังเคลื่อนที่อยู่หรือไม่ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ศัตรูจะสามารถหลบหนีไป จากพวกเขาได้สําเร็จ
“ราชันย์ พวกเรามาถึงแล้วขอรับ”
อะนูบิสที่นอนคว่ําหน้าอยู่ในกองหญ้าหันไปกระซิบรายงายกับลีแชริน
ข้างหน้าพวกเขาคือชายประมาณ 20 คนที่กําลังนอนกันอยู่ในเต็นท์คนพวกนั้นคิดว่าคงไม่มีทางถูกโจมตีจากดินแดนโดราโด้ที่อ่อนแอเช่นนี้ได้จึงพากันตั้งค่ายพักพิงด้วยความสบายใจ
“เช่นนั้นเราจะโจมตีทันที”
“ขอรับองค์ราชันย์”
อะนูบิสพยักหน้าจากนั้นกองกําลังทางทหารทั้งหมดก็เริ่มเกร็งกล้ามเนื้อของตัวเองเตรียมพร้อมที่จะพุ่งออกจากสนามหญ้าเมื่อใดก็ตามที่เห็นต่อศัตรู
“1..2…3!!”
ทันทีที่ได้สัญญาณ รอยัลฮาวนด์แต่ละคนจับไม้พลองและมีดจนแน่นมือก่อนจะรีบวิ่งเข้าหาศัตรูราวกันสายฟ้าฟาด
จากนั้นการสังหารก็ได้เริ่มต้น
“อ้ากก!”
“ช่วยข้าด้วย!”
“วิ่ง!”
แม้ฝ่ายศัตรูจะกรีดร้องหรือพยายามวิ่งหนีมากเพียงใดแต่พวกเขาไม่คิดที่จะมีเมตตามอบให้
บางคนถูกทุบตีจนตาย บ้างก็ถูกฆ่าด้วยใบมีด รวมถึงบางคนก็ถูกคมเขี้ยวของสุนัขกัดทะลุจนตาย สําหรับกองโจรที่หละหลวมเหล่านี้มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่
“อะนูบิส ห้ามปล่อยให้ใครออกผ่านไปได้เด็ดขาด หากแผนการของเราเกิดความผิดพลาดทุกอย่างจะไร้ประโยชน์ไปในทันที”
ในไม่ช้าทุกอย่างก็ถูกกําจัดออกอย่างรวดเร็ว แม้แต่คนที่พยายามวิ่งหนีออกไปก็ยังถูกพวกมนุษย์สุนัขฉวยเอาชีวิตไปได้
“เราต้องเคลื่อนย้ายกันอีกครั้ง ไม่มีเวลามากแล้ว”
ลีแชรินเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วโดยการพารอยัลฮาวนด์ไปกับนางอีกจุดหนึ่งต่อ
คังชอลอินกําลังรอสัญญาณจากดีแชรินที่บ่งบอกว่านางสามารถกําจัดกองโจรและการซุ่มโจมตีของศัตรูทั้งหมดได้สําเร็จ
หลังจากรออยู่ประมาณสามชั่วโมง…สัญญาณก็เริ่มแสดงให้ได้เห็นจากที่ไกล ๆ มีธงสีเหลืองกําลังโบกสะบัดอยู่ต่อหน้าเขา
“สําเร็จแล้วอย่างนั้นสินะ ลีแชริน”
คังชอลอินยกยิ้มพอใจในตัวนางก่อนจะออกไปพบกับทหารห้าร้อยนายที่รออยู่ด้านนอก
มันเป็นเดือนมีนาคมที่เงียบสงัด
ปลายทางของพวกเขาคือที่ราบฝั่งตะวันตก
คังชอลอินตั้งปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกโดยให้มันอยู่ห่างจากสนามรบ 2 กม. เขาจะสั่งการยิงเมื่อการต่อสู้เข้าถึงจุดสําคัญแล้วเท่านั้น
กองทหารที่เหลือจะถูกส่งตัวไปประจําการบนเนินเขาเพื่อดูว่ามีเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จากด้านบนลงด้านล่าง
การตั้งกองกําลังเพื่อรอซุ่มโจมตีจากที่สูงนั้นมีประสิทธิภาพและข้อได้เปรียบอย่างมาก
ทั้งหมดที่เขาต้องทําหลังจากนี้คือการซ่อนตัวเพื่อรอให้ศัตรูมาปรากฏ
จากยามบ่ายเป็นยามเย็นจนเริ่มเข้าสู่ยามรัตติกาล
พื้นที่ราบยังคงเงียบสงบไม่ต่างจากในตอนแรก
แม้จะมีหมูปาหรือสุนัขทุ่งหญ้าออกมาบ้างเป็นครั้งคราวแต่เขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของทหารแต่อย่างใด
บางทีการต่อสู้อาจจะเริ่มขึ้นในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น และเนื่องจากคังชอลอินมั่นใจมากว่าการต่อสู้จะต้องเกิดยังที่ราบแห่งนี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกร้อนใจอะไร
เมื่อได้มองดูแผนภาพโฮโลแกรมแล้วมันไม่มีที่อื่นใดที่จะเหมาะสมแก่ราชันย์ทั้งสองเพื่อการต่อสู้กันเองไปมากกว่าที่นี่อีกแล้ว มันไม่ใช่การทํานายหรือการเสี่ยงดวงหากแต่เป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
และตามที่คังชอลอินคิด เมื่อพระอาทิตย์ของวันใหม่เริ่มปรากฏคําพูดของเขาก็เป็นจริง
“ฝ่าบาท! ศัตรูเริ่มปรากฏตัวออกมาแล้วขอรับ!”
แม้คังชอลอินจะบอกให้นี่ลัสไม่ต้องตามมาเนื่องด้วยอายุของเขาแต่เขาก็ไม่ยอมฟัง
“ดี รออีกสักเดี่ยว”
คังชอลอินไม่ได้ออกคําสั่งให้โจมตีไปในทันที หากพวกเขาโจมตีไปในตอนนี้มันจะกลายเป็นสงครามแบบสามทางขึ้นมาแทน
จุดสําคัญของสงครามเท่านั้นคือเวลาที่เหมาะสม
ไม่นานหลังจากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น
กองทัพจากราชันย์ทั้งสองต่อสู้กันบนพื้นที่ราบและกําลังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกันและกัน
“รวมพล!”
ในขณะที่การต่อสู้บนพื้นที่ราบเกิดขึ้น คังชอลอินก็ได้เรียกรวมตัวเหล่าทหารทั้งหมดจากดินแดนโดราโด้มา
“พวกเจ้าเห็นผู้รุกรานที่เลวทรามพวกนั้นแล้วใช่หรือไหม?”คังชอลอินว่าพลางชี้ไปตรงกลางของสนามรบ
“ไอ้สารเลวพวกนั้นได้เข้ายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์และฆ่าพี่น้องของพวกเรา! พวกมันคือโจร!”
หนึ่งในทหารตะโกนตอบด้วยความโกรธแค้น
“ถูกต้อง!”
“พวกนั้นสมควรถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้น ๆ !”
“พี่ชายของข้าต้องมาตายด้วยน้ํามือของพวกมัน!”
“พวกมันบังอาจเข้ามาแตะต้องในสิ่งที่ไม่สมควร!”
หากองทัพมีขวัญกําลังใจที่ดีเพื่อการต่อสู้แล้วมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะพ่ายแพ้ เช่นเดียวกันกับกองทัพที่เต็มไปด้วย ความเกลียดชัง
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในขณะนี้กับทหารของโดราโด้ พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ฆ่าผู้รุกรานที่ สกปรก
“โอกาสมาถึงแล้ว โอกาสที่พวกเจ้าจะได้ปลดปล่อยความกระหายในชัยชนะและเพื่อล้างแค้น! ทุกคน โอกาสของพวกเจ้าอยู่ที่
ร่างกายของทหารเกิดการสั่นเทา
แรงจูงใจที่คังชอลอินพูดยิ่งเป็นการเสริมสร้างให้ทหารยิ่งแข็งแกร่ง
และถ้าสาเหตุของสิ่งนั้นเป็นเพราะการแก้แค้นด้วยแล้วนั้นพวกเขาจะยิ่งมีความสามารถมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แม้แต่คนที่อ่อนแอก็อาจกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายได้เมื่อพวกเขามีความเกลียดชังอยู่ในใจและไม่เพียงแค่นั้นแต่พวกเขายังสามารถมองเห็นภาพของศัตรูที่กําลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดได้อยู่ตรงหน้าเช่นนี้อีก มันไม่มี อะไรที่จะสร้างแรงจูงใจให้กับพวกเขาได้ดีเท่ากับสิ่งนี้อีกแล้ว
“ออกทัพได้!”
คังชอลอินตะโกนเสียงดัง
“ข้าจะอยู่ประจําการอยู่ตรงหน้า ทหารทุกนายโจมตี!”
และก่อนที่ใครจะทันได้ออกตัวคังชอลอินวิ่งก็ได้ออกคําสั่งเพื่อเข้าร่วมสนามรบไปอย่างรวดเร็ว
“ไป ๆ ๆ !!!”
“ย่าาาาาาาาาาาาห์!!”
“ผู้บัญชาการอยู่ข้างหน้า!”
นิบ
“ฆ่าพวกมันให้หมด!!”
เสียงทหารทั้งห้าร้อยนายตะโกนก้อง ทหารจากดินแดนโดราโด้ติดตามผู้นําเช่นคังชอลอินเพื่อเข้าสู่สนามรบไปด้วยใจที่เต็มไปด้วยพลัง
ในเวลาเดียวกัน ปืนใหญ่ที่พวกเขาเตรียมมาก็เริ่มยิงเข้าใส่ศัตรู