The Overlord of Blood and Iron 59: ออกศึกทําสงคราม

ตอนที่ 59: ออกศึกทําสงคราม

ตอนที่ 59: ออกศึกทําสงคราม

 

“ซื้อทหารเพิ่มอีกสามร้อยนายและปืนใหญ่เวทมนตร์ระดับ D มาอีกสี่กระบอก”

 

“ปืนใหญ่เวทมนตร์?…เหมือนกับปืนใหญ่บนโลกอีกฝั่งของเรานะหรือ?”

 

“ไม่เชิง เนื่องจากมันเป็นเพียงอาวุธระดับ D ระยะและการสร้างความเสียหายของมันจึงค่อนข้างต่ํา แต่ก็ถือเป็นตัวป้องกันที่ดีที่สุดที่เรามีในตอนนี้”

 

เมื่อเทียบกับปืนใหญ่จากบนโลกแล้ว ปืนใหญ่ของแพนเจียนั้นไร้ซึ่งความยิ่งใหญ่จะเทียบเท่าได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังมีผลกระทบที่สําคัญต่อสงครามโดยเฉพาะกับการโจมตีที่สําคัญ

หากเป็นปืนใหญ่ที่มีระดับสูงมากยิ่งกว่านี้แน่นอนว่ามันจะต่อกรกับของบนโลกได้อย่างสบาย ๆ

ยกตัวอย่างเช่นปืนใหญ่ของเฮคาเต้ ระยะการยิงปืนใหญ่ของนางอยู่ที่ 10 กม. ด้วยปืนใหญ่จํานวน 74 กระบอกที่สามารถยิงผ่านกลางอากาศได้ มันเป็นหนึ่งในการโจมตีที่มีชื่อเสียงอย่างหนึ่งของนางในฐานะของ“การยิง”

“เข้าใจแล้ว”

“แล้วก็ซื้อนักรบโอเกอร์สองตัวกับโทรลป้องกันแปดตัว”

 

“เนื่องจากเราได้ซื้อของบางอย่างไปบ้างแล้วจะดีกว่าหรือไม่หากซื้อปืนใหญ่เพิ่มมากกว่านี้อีกสักหน่อย?”

“มันมีการจํากัดการซื้อแล้วแต่ละระดับของราชันย์อยู่จํานวนสูงสุดที่เจ้าสามารถซื้อได้ในตอนนี้มีเพียงเท่านี้”

“โอ้”

ลีแชรินพยักหน้าเพื่อทําความเข้าใจ

 

“โอ้ นี่มัน…ราคาสูงมากทีเดียว

เมื่อเปิดเมนูคลังราชันย์ ทันใดนั้นดวงตาของลีแชรินก็พลันเบิกกว้างเมื่อนางได้เห็นราคาการขายของปืนใหญ่เวทมนตร์

 

(ปืนใหญ่เวทมนตร์]

ประเภท: อาวุธเวทย์

อันดับ: D

ราคา: 1,200 ทอง

ระยะ: 2 กม

การยิงต่อนาที: 2

บรรจุได้สูงสุด: 10

ระบายความร้อน: 24 ชั่วโมง

ราคาสําหรับการบรรจุใหม่: 5 ทองต่อการยิง

 

คําอธิบาย: พลังการยิงกระสุนของปืนใหญ่ทํามาจากมานาหลังยิงกระสุนครบทั้งสิบลูกแล้วตัวปืนใหญ่จะทําการระบายความร้อนเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

 

*ขีดจํากัดของการบรรจุกระสุนสูงสุดสิบลูก

*ไม่มีข้อจํากัดเกี่ยวกับจํานวนปืนใหญ่ที่ท่านจะสามารถครอบครองได้

 

*สามารถเพิ่มระดับความสามารถได้ด้วยทองคํา

“เจ้าควรเพิ่มระดับความสามารถให้กับพวกมันก่อนการใช้จะดีกว่า”

 

“ตกลง”

 

“เตรียมตัวให้พร้อม เจ้าต้องตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าปืนใหญ่กําลังถูกคลุมด้วยอะไรบางสิ่งที่ไม่ผิดสังเกตเพราะหากศัตรูได้เผลอมาเห็นมันเข้าอาจสร้างความลําบากแก่เราได้”

หลังจากที่ลีแชรินออกจากห้องวางกลยุทธ์ไป คังชอลอินก็เริ่มคิดอะไรเพิ่มเติมเพียงลําพัง

 

“สงครามที่เป็นเหมือนกับสงครามจริง ๆ … มันก็ผ่านมาได้ซักพักแล้วสินะ

 

สงครามบนแพนเจียจะแตกต่างไปจากสงครามที่เกิดขึ้นบนโลกอย่างมากกองทัพในการทําศึกของที่นี่จะประกอบไปด้วยมนุษย์และสัตว์ประหลาดที่ทํานั่นเอาชีวิตกันอีกทั้งยังมีการใช้อาวุธที่ทํามาจากเวทมนต์เพื่อยิงโจมตีจากในระยะไกล

ไม่เพียงแค่นั้นแต่ยังมีนักเวทย์เช่นนี้ลัสที่ถ้าหากได้เข้าร่วมในสงครามด้วยเมื่อไหร่ มันจะสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นบนสนามรบได้เป็นอย่างมาก

 

อย่างไรก็ตามปัจจัยสําคัญที่แท้จริงก็คือ “มวลดอกไม้แห่งสงคราม” ที่เป็นเหมือนดั่งยอดมนุษย์เช่นคังชอลอิน

หากราชันย์คนใดสามารถเลื่อนระดับไปจนถึง 100 ได้สําเร็จพวกเขาจะมีอิทธิพลต่อสนามรบได้อย่างมหาศาล

 

ตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็คือคังชอลอินและโดเรียนผู้ที่เปลี่ยนการต่อสู้ให้เป็นสิ่งที่ยากจะเอาชนะพวกเขาไปได้ด้วยความ แข็งแกร่งที่แท้จริง

นอกจากนี้คังชอลอินยังสามารถทําลายห้องโถงป้อมปราการของรอสต์ไชลด์ได้ด้วยตัวเองเพียงลําพังและเป็นที่รู้จักในฐานะตํานาน นับตั้งแต่นั้นมา

คังชอลอินยังคงจดจําความรู้สึกตื่นเต้นในตอนนั้นได้เป็นอย่างดีบางทีเขาอาจจะเข้าร่วมกับสงครามในครั้งนี้เพื่อสัมผัสถึงความรู้สึกเหล่านั้นอีกครั้ง

 

แน่นอนว่าระหว่างคังชอลอินคนเก่าและคนใหม่นั้นมีความแตกต่างกันไปโดนสิ้นเชิง แต่ความจริงที่ว่าเขายังชื่นชอบในการออกท่องไปบนสนามรบนั้นยังคงเป็นเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน

 

“ชอลอิน แล้วเราจะยกทัพออกไปเมื่อไหร่?”

 

สีแชรินเต็มไปด้วยความใจร้อนในการจะยกทัพออกโจมตีทันที่ที่ได้ทําตามคําสั่งของคังชอลอินว่าให้ไปจัดเตรียมกองกําลังแบบกองโจรเสร็จ

 

“เดี๋ยวจะมีสัญญาณขึ้นมา”

“สัญญาณ? โพดอลส์กี้จะส่งสัญญาณให้เราอย่างนั้นหรือ?”

“ที่นี่ไม่ใช่บนโลกสักหน่อย ไม่มีทางที่โพดอลส์ก็จะทําแบบนั้น

ได้”

 

“นั่นก็จริง…”

“ศัตรูจะเป็นคนส่งสัญญาณให้แก่เรา”

“อะไรนะ?”

 

ลีแชรินไม่อาจเข้าใจคําพูดของคังชอลอินได้

 

ศัตรูน่ะหรือที่จะเป็นคนส่งสัญญาณให้กับพวกเขา?

 

สําหรับนางแล้วมันไม่สมเหตุสมผลกันเลยสักนิด จะมีศัตรูที่ไหนมาปาวประกาศว่า “เรากําลังทําสงคราม!” ในลักษณะที่เป็นมิตรแบบนั้นกัน?

“เฝ้ามองดูท้องฟ้าแล้วเจ้าจะได้รับคําตอบ”

 

คังชอลอินจิบไวน์ของโดราโด้แล้วชี้นิ้วขึ้นไปยังท้องฟ้า

 

“ท้องฟ้า?”

 

สีแชรินเงยหน้าขึ้นมองตามปลายนิ้วของเขาในทันใด แต่หลังจากจ้องมองได้ไม่นาน..

“ข้าเจ็บตาไปหมดแล้ว เราควรใช้ทักษะกองทัพจักรวาลดีหรือไม่?”

“ไม่มีเงิน หากคิดจะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการเราคงล้มละลายลงในไม่ช้า อีกทั้งตอนนี้เจ้าเองก็ไม่ได้มีเงินมากอย่างในตอนต้นด้วยซ้ํา”

 

“ก็จริง…”

 

ลีแชรินใช้จ่ายด้วยทองคําไปเกือบหมดคลังในการซื้อทหารและอาวุธต่าง ๆหากนางไม่ได้รับนด้าเวลเลียร์กลับคืนนางจะมีสภาพทางการเงินไม่ต่างอะไรจากคังชอลอินและกลายเป็นราชันย์ยาจกไปในปริยาย

เวลายังคงเดินผ่านต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเที่ยงวัน

“นั่นเป็นสัญญาณ” คังชอลอินกล่าว

 

“สัญญาณ?”

 

“ตรงนั้น”

คังชอลอินชี้ไปยังเหยี่ยวสอดแนมที่กําลังบินผ่านอากาศ

มันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองตัวเท่านั้นแต่มันมีเป็นสิบ มีคนต้องการตรวจสอบอาณาดินแดนโดยรอบของนาง

“พวกนั้นกําลังคิดทําสงครามกันอย่างเต็มกําลังจึงหวาดกลัวด้านหลังที่ไม่ได้สนใจเช่นดินแดนของเจ้า” คังชอลอินเริ่มอธิบาย

 

“ถ้าอย่างนั้น…”

“พวกนั้นกําลังจะต่อสู้กันเร็ว ๆ นี้แล้ว ตอนนี้ดินแดนของเจ้าแย่อย่างมากในสายตาของพวกนั้น ถูกหรือไม่?”

“ใช่!”

ขณะฟังคําอธิบายต่าง ๆ จากคังชอลอินลีแชรินก็ได้นึกถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับโดราโด้ในตอนนี้

มีทั้งขอทานที่นั่งเรียงรายอยู่ทั่วเมืองพร้อมกับศพคนแคระที่วางทิ้งระเกะระกะทหารที่ไร้ซึ่งระเบียบวินัยและบ้านเมืองที่กําลังถูกเผาจนมอดไหม้ทุกสิ่งล้วนเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความย่ําแย่ของดินแดน

“พวกนั้นจะคิดว่าเราไม่พร้อมต่อการทําสงครามและจะต่อสู้กันเองโดยไม่คิดระวังภัยจากเรา”

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็เข้าไปตลบตีพวกเขาจากทางด้านหลังดั่งเช่นที่เจ้าพูดเมื่อก่อนหน้า?”

“ใช่”

 

คังชอลอินพยักหน้ารับ

“ไปกันเถอะ ถึงเวลาทําให้พวกนั้นได้รู้จักกับนรกที่แท้จริงเสียที

 

“ข้าจะต้องทํามันได้แน่ ชอลอิน!”

แม้ลแชรินจะรู้สึกประหม่าเพราะนี่คือการออกทําสงครามครั้งแรกของนางแต่ความมั่นคงที่นางมีไม่ได้ทําให้นางรู้สึกสั่นไหวแต่อย่างอย่างใดเช่นเดียวกันกับชายที่นางกําลังหลงรักอยู่ในตอนนี้ นางกัดฟันกรอดด้วยความแน่วแน่

 

หน้าที่ของนางคือการกําจัดกองโจรที่ซุ่มอยู่รอบนอกเพื่อเปิดทางให้กับคังชอลอินได้ย้ายกองทัพเข้าประจําตําแหน่ง

“องค์ราชันย์” อะนูบิสก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อพูดกับนาง

 

“ข้าพร้อมจะปกป้องท่านทุกเมื่อขอท่านโปรดวางใจในตัวข้านะขอรับ”

“แน่นอน อะนูบิส”

อะนูบิสพยายามบรรเทาความเครียดและความประหม่าของลีแชรินตามนิสัยของมนุษย์สุนัขผู้ซื่อสัตย์

ลีแชรินและหน่วยอารักขาส่วนตัวของนางที่มีชื่อว่า “รอยัลฮาวนด์”เริ่มเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบมากที่สุด

พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวและดําเนินการได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากได้ทําการตรวจสอบตําแหน่งของศัตรูมาก่อนหน้านี้แล้วผ่านทางกองทัพจักรวาล

 

ฟุดฟิด ฟุดฟิด

 

อะนูบิสและหน่วยรอยัลฮาวนด์สูดดมกลิ่นรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบกลิ่นของศัตรู เนื่องด้วยการเป็นมนุษย์สุนัขจึงทําให้พวกเขามีจมูกดมกลิ่นที่ยอดเยี่ยมที่สามารถสัมผัสได้ว่าศัตรูกําลังเคลื่อนที่อยู่หรือไม่ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ศัตรูจะสามารถหลบหนีไป จากพวกเขาได้สําเร็จ

 

“ราชันย์ พวกเรามาถึงแล้วขอรับ”

อะนูบิสที่นอนคว่ําหน้าอยู่ในกองหญ้าหันไปกระซิบรายงายกับลีแชริน

ข้างหน้าพวกเขาคือชายประมาณ 20 คนที่กําลังนอนกันอยู่ในเต็นท์คนพวกนั้นคิดว่าคงไม่มีทางถูกโจมตีจากดินแดนโดราโด้ที่อ่อนแอเช่นนี้ได้จึงพากันตั้งค่ายพักพิงด้วยความสบายใจ

 

“เช่นนั้นเราจะโจมตีทันที”

“ขอรับองค์ราชันย์”

 

อะนูบิสพยักหน้าจากนั้นกองกําลังทางทหารทั้งหมดก็เริ่มเกร็งกล้ามเนื้อของตัวเองเตรียมพร้อมที่จะพุ่งออกจากสนามหญ้าเมื่อใดก็ตามที่เห็นต่อศัตรู

“1..2…3!!”

 

ทันทีที่ได้สัญญาณ รอยัลฮาวนด์แต่ละคนจับไม้พลองและมีดจนแน่นมือก่อนจะรีบวิ่งเข้าหาศัตรูราวกันสายฟ้าฟาด

 

จากนั้นการสังหารก็ได้เริ่มต้น

“อ้ากก!”

 

“ช่วยข้าด้วย!”

 

“วิ่ง!”

 

แม้ฝ่ายศัตรูจะกรีดร้องหรือพยายามวิ่งหนีมากเพียงใดแต่พวกเขาไม่คิดที่จะมีเมตตามอบให้

บางคนถูกทุบตีจนตาย บ้างก็ถูกฆ่าด้วยใบมีด รวมถึงบางคนก็ถูกคมเขี้ยวของสุนัขกัดทะลุจนตาย สําหรับกองโจรที่หละหลวมเหล่านี้มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่

 

“อะนูบิส ห้ามปล่อยให้ใครออกผ่านไปได้เด็ดขาด หากแผนการของเราเกิดความผิดพลาดทุกอย่างจะไร้ประโยชน์ไปในทันที”

 

ในไม่ช้าทุกอย่างก็ถูกกําจัดออกอย่างรวดเร็ว แม้แต่คนที่พยายามวิ่งหนีออกไปก็ยังถูกพวกมนุษย์สุนัขฉวยเอาชีวิตไปได้

 

“เราต้องเคลื่อนย้ายกันอีกครั้ง ไม่มีเวลามากแล้ว”

ลีแชรินเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วโดยการพารอยัลฮาวนด์ไปกับนางอีกจุดหนึ่งต่อ

 

คังชอลอินกําลังรอสัญญาณจากดีแชรินที่บ่งบอกว่านางสามารถกําจัดกองโจรและการซุ่มโจมตีของศัตรูทั้งหมดได้สําเร็จ

หลังจากรออยู่ประมาณสามชั่วโมง…สัญญาณก็เริ่มแสดงให้ได้เห็นจากที่ไกล ๆ มีธงสีเหลืองกําลังโบกสะบัดอยู่ต่อหน้าเขา

“สําเร็จแล้วอย่างนั้นสินะ ลีแชริน”

คังชอลอินยกยิ้มพอใจในตัวนางก่อนจะออกไปพบกับทหารห้าร้อยนายที่รออยู่ด้านนอก

มันเป็นเดือนมีนาคมที่เงียบสงัด

 

ปลายทางของพวกเขาคือที่ราบฝั่งตะวันตก

คังชอลอินตั้งปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกโดยให้มันอยู่ห่างจากสนามรบ 2 กม. เขาจะสั่งการยิงเมื่อการต่อสู้เข้าถึงจุดสําคัญแล้วเท่านั้น

 

กองทหารที่เหลือจะถูกส่งตัวไปประจําการบนเนินเขาเพื่อดูว่ามีเกิดอะไรขึ้นบ้าง

จากด้านบนลงด้านล่าง

การตั้งกองกําลังเพื่อรอซุ่มโจมตีจากที่สูงนั้นมีประสิทธิภาพและข้อได้เปรียบอย่างมาก

 

ทั้งหมดที่เขาต้องทําหลังจากนี้คือการซ่อนตัวเพื่อรอให้ศัตรูมาปรากฏ

จากยามบ่ายเป็นยามเย็นจนเริ่มเข้าสู่ยามรัตติกาล

 

พื้นที่ราบยังคงเงียบสงบไม่ต่างจากในตอนแรก

 

แม้จะมีหมูปาหรือสุนัขทุ่งหญ้าออกมาบ้างเป็นครั้งคราวแต่เขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของทหารแต่อย่างใด

บางทีการต่อสู้อาจจะเริ่มขึ้นในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น และเนื่องจากคังชอลอินมั่นใจมากว่าการต่อสู้จะต้องเกิดยังที่ราบแห่งนี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกร้อนใจอะไร

 

เมื่อได้มองดูแผนภาพโฮโลแกรมแล้วมันไม่มีที่อื่นใดที่จะเหมาะสมแก่ราชันย์ทั้งสองเพื่อการต่อสู้กันเองไปมากกว่าที่นี่อีกแล้ว มันไม่ใช่การทํานายหรือการเสี่ยงดวงหากแต่เป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

และตามที่คังชอลอินคิด เมื่อพระอาทิตย์ของวันใหม่เริ่มปรากฏคําพูดของเขาก็เป็นจริง

 

“ฝ่าบาท! ศัตรูเริ่มปรากฏตัวออกมาแล้วขอรับ!”

 

แม้คังชอลอินจะบอกให้นี่ลัสไม่ต้องตามมาเนื่องด้วยอายุของเขาแต่เขาก็ไม่ยอมฟัง

“ดี รออีกสักเดี่ยว”

คังชอลอินไม่ได้ออกคําสั่งให้โจมตีไปในทันที หากพวกเขาโจมตีไปในตอนนี้มันจะกลายเป็นสงครามแบบสามทางขึ้นมาแทน

จุดสําคัญของสงครามเท่านั้นคือเวลาที่เหมาะสม

ไม่นานหลังจากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น

 

กองทัพจากราชันย์ทั้งสองต่อสู้กันบนพื้นที่ราบและกําลังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกันและกัน

“รวมพล!”

 

ในขณะที่การต่อสู้บนพื้นที่ราบเกิดขึ้น คังชอลอินก็ได้เรียกรวมตัวเหล่าทหารทั้งหมดจากดินแดนโดราโด้มา

 

“พวกเจ้าเห็นผู้รุกรานที่เลวทรามพวกนั้นแล้วใช่หรือไหม?”คังชอลอินว่าพลางชี้ไปตรงกลางของสนามรบ

 

“ไอ้สารเลวพวกนั้นได้เข้ายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์และฆ่าพี่น้องของพวกเรา! พวกมันคือโจร!”

 

หนึ่งในทหารตะโกนตอบด้วยความโกรธแค้น

 

“ถูกต้อง!”

 

“พวกนั้นสมควรถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้น ๆ !”

“พี่ชายของข้าต้องมาตายด้วยน้ํามือของพวกมัน!”

“พวกมันบังอาจเข้ามาแตะต้องในสิ่งที่ไม่สมควร!”

 

หากองทัพมีขวัญกําลังใจที่ดีเพื่อการต่อสู้แล้วมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะพ่ายแพ้ เช่นเดียวกันกับกองทัพที่เต็มไปด้วย ความเกลียดชัง

 

มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในขณะนี้กับทหารของโดราโด้ พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ฆ่าผู้รุกรานที่ สกปรก

 

“โอกาสมาถึงแล้ว โอกาสที่พวกเจ้าจะได้ปลดปล่อยความกระหายในชัยชนะและเพื่อล้างแค้น! ทุกคน โอกาสของพวกเจ้าอยู่ที่

ร่างกายของทหารเกิดการสั่นเทา

แรงจูงใจที่คังชอลอินพูดยิ่งเป็นการเสริมสร้างให้ทหารยิ่งแข็งแกร่ง

และถ้าสาเหตุของสิ่งนั้นเป็นเพราะการแก้แค้นด้วยแล้วนั้นพวกเขาจะยิ่งมีความสามารถมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แม้แต่คนที่อ่อนแอก็อาจกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายได้เมื่อพวกเขามีความเกลียดชังอยู่ในใจและไม่เพียงแค่นั้นแต่พวกเขายังสามารถมองเห็นภาพของศัตรูที่กําลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดได้อยู่ตรงหน้าเช่นนี้อีก มันไม่มี อะไรที่จะสร้างแรงจูงใจให้กับพวกเขาได้ดีเท่ากับสิ่งนี้อีกแล้ว

“ออกทัพได้!”

คังชอลอินตะโกนเสียงดัง

 

“ข้าจะอยู่ประจําการอยู่ตรงหน้า ทหารทุกนายโจมตี!”

และก่อนที่ใครจะทันได้ออกตัวคังชอลอินวิ่งก็ได้ออกคําสั่งเพื่อเข้าร่วมสนามรบไปอย่างรวดเร็ว

 

“ไป ๆ ๆ !!!”

“ย่าาาาาาาาาาาาห์!!”

 

“ผู้บัญชาการอยู่ข้างหน้า!”

 

นิบ

 

“ฆ่าพวกมันให้หมด!!”

เสียงทหารทั้งห้าร้อยนายตะโกนก้อง ทหารจากดินแดนโดราโด้ติดตามผู้นําเช่นคังชอลอินเพื่อเข้าสู่สนามรบไปด้วยใจที่เต็มไปด้วยพลัง

 

ในเวลาเดียวกัน ปืนใหญ่ที่พวกเขาเตรียมมาก็เริ่มยิงเข้าใส่ศัตรู

 

The Overlord of Blood and Iron

The Overlord of Blood and Iron

Score 10
Status: Completed

มหาศึกจอมราชันย์ The Overlord of Blood and Iron

 

บทนำ

คังชอลอิน จอมราชันย์ผู้แกร่งกล้าจนใครต่างต้องสยบ เหตุสูญเสียทำให้เขาต้องย้อนเวลากลับไปเพื่อพิชิตกับความท้าทายอีกครั้งในการขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่และผู้ควมคุมทวีปแพนเจีย

คังชอลอินจะสามารถเอาชนะจอมราชันย์ทั้งเก้าเพื่อปกครองทวีปแพนเจียได้หรือไม่?!

Options

not work with dark mode
Reset