The Overlord of Blood and Iron ตอนที่ 52: ความทรยศได้น่าไปสู่จุดจบแห่งชีวิต
ตอนที่ 52: ความทรยศได้นําไปสู่จุดจบแห่งชีวิต
กลุ่มนักผจญภัยที่ส่วนหนึ่งเคยเป็นผู้พิชิตมาก่อนกระโจนเข้ามาจากทางหน้าต่าง
“พวกเจ้า”
บิลลี่ ฮาร์ฟอร์ด หัวหน้าทีมนักผจญภัยนํากระบองลูกตุ้มหนามที่น่ากลัวออกมาแสดงแล้วพูดว่า
“จงฆ่าทุกคนที่ไม่ได้คุกเข่าดั่งเช่นที่ท่านผู้นําบอกเมื่อครู่นี้”
และทันทีที่เขาพูดจบ …
“โอ๊ยย!”
“อ้ากกก!!”
เสียงร้องโหยหวนของกลุ่มคนแคระก็เริ่มบรรเลง
‘นางโตขึ้นแล้ว’
คังชอลอินยืนมองอยู่ตรงมุมห้องด้วยท่าที่ไม่ทุกข์ร้อนขณะเฝ้ามองดูการต่อสู้ของนักผจญภัย เขายังไม่มีความสนใจต่อฉากนองเลือดตรงหน้านี้
เขาเคยฆ่าคนมาเป็นหมื่นเพียงในเวลาแค่หนึ่งวันจึงไม่มีอาการตอบสนองใด ๆ กับการสังหารคนแค่เพียงในระดับนี้
“ชอลอิน…”
“ลีแชรินกล่าวเรียกคังชอลอินด้วยน้ําเสียงประหม่า”
“ทําไม? เจ้ากลัวหรือ?” เขาตอบเสียงนิ่ง
“มันน่ากลัว…มาก ๆ” นางพูดด้วยน้ําเสียงสั่นเครือ
‘ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น’
คังชอลอินสามารถเข้าใจความรู้สึกที่นางกําลังเป็นได้เป็นอย่างดี
ทําไมน่ะหรือ?
นั่นเพราะเขาเองก็เคยมีช่วงเวลาที่เป็นเหมือนนางเมื่อสิบปีมาก่อนเช่นกัน
‘แต่เจ้าจําเป็นต้องเอาชนะความหวาดกลัวนี้ไปให้ได้ หากเพียงเท่านี้เจ้ายังไม่สามารถข้ามพ้นไปได้ เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันอยู่บนแพนเจียแห่งนี้ได้อีกตลอดกาล’
หากนางเป็นราชันย์ที่เลือกอยู่ในแผ่นดินใหญ่เขาจะไม่ผลักดันหรือเข้มงวดกับนางมากถึงเพียงนี้ แต่ที่นี่คือแพนดโมเนียมดินแดนปีศาจที่เป็นดั่งสวรรค์ของการสังหารและความตาย
หากนางไม่เผชิญหน้ากับความกลัวนับตั้งแต่ตอนนี้นางจะไม่มีทางรอดไปจนถึงสงครามแร็กนาร็อกได้เลย
“มันควรจะรู้สึกเจ็บปวด” เขาเริ่มพูด
“มันทั้งน่ากลัว ทั้งน่าขยะแขยง และชวนให้รู้สึกแย่อย่างมาก ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกเช่นไร…แต่เจ้าต้องแข็งแกร่ง”
“แข็ง…แกร่ง?”
“วินาทีที่เจ้าได้เผยจุดอ่อนมันคือช่วงเวลาแห่งโอกาสของคนที่ต้องการโจมตีเจ้า เช่นเดียวกับผู้ทรยศพวกนี้” เขาพูดพลางชี้ไปยังคนแคระที่กําลังต่อสู้กับกลุ่มนักผจญภัย
“แม้จะเศร้าเพียงใดก็จงอดทน แม้จะเจ็บปวด แม้จะอ้างว้าง หรือแม้กระทั่งในตอนที่เจ้ากําลังกลัวเพียงใดก็ตาม อย่างน้อยก็อย่าได้แสดงสิ่งนั้นให้ใครได้เห็น จงปิดบังตัวเองอยู่เสมอในม่านแห่งความองอาจ”
ทั้งหมดที่เขาจะสามารถพูดได้จากประสบการณ์ที่เขาเคยได้รับ
“แม้เจ้าจะไม่รู้สิ่งใดเลยก็ตามแต่จงทําตัวเหมือนเจ้ารู้ทุกสิ่งนั่นคือการกระทําของราชันย์ หากต้องการขึ้นเป็นราชันย์ที่ยิ่งใหญ่ก็จงเรียนรู้วิธีการว่าควรทําอย่างไรถึงอ้างสิทธิ์ที่พึงมีได้”
“เจ้า….อดทนได้กับทุกอย่างเลยหรือไม่? ทั้งความกลัว ความเจ็บปวด และความโดดเดี่ยว ทุกสิ่งที่เจ้าพูดอยู่ในตอนนี้…ล้วนเป็นคําพูดจากผู้มีประสบการณ์อย่างแท้จริง”
นางไม่อาจมองคังชอลอินได้อย่างทะลุปรุโปรง สิ่งเดียวที่นางรู้เกี่ยวกับเขาคือความน่าประทับใจที่เปล่งกระกายและความแข็งแกร่งที่มั่นคง
“อีกหนึ่งสิ่ง” คังชอลอินพูดต่อ
“แม้ว่าเจ้าไม่ควรที่จะหลีกเลี่ยงหรือควรเกลียดการฆ่า แต่เจ้าก็ไม่ควรสนุกไปกับมัน แม้มันจะมีความต่างแค่เพียงเล็กน้อยแต่นั่นคือสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างราชันย์และฆาตกร จงจําเอาไว้ให้ดี คําพูดของราชันย์สามารถมีอิทธิพลต่อชีวิตและความเป็นความตายของผู้อื่นได้อย่างแท้จริง”
นางค่อนข้างเข้าใจความหมายที่คังชอลอินจะสื่อได้เป็นอย่างดี
จงอดทนและเข้มแข็ง
‘แม้ว่าการตัดสินใจจะทําเช่นนั้นหรือไม่ก็เป็นทางเลือกของ เจ้า ลีแชริน’เขาคิด
เขาไม่มีคําแนะนําเพิ่มเติมใด ๆ ไม่มีอะไรที่เขาจะพูดหรือมีอะไรให้ต้องพูดอีกเช่นกัน
‘ถึงเวลาต้องเข้าร่วมด้วยเสียหน่อยแล้ว’
ในขณะที่นางกําลังพยายามข่มตัวเองให้สงบ คังชอลอินก็ตระหนักได้ในที่สุดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะเข้าไปร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย
ขณะนั้นเองบิลลี่ก็ตะโกนจนลั่นทั่วห้องโถงว่า
“อย่าไปสู้โดยตรง! คนแคระพวกนี้มีกําลังที่น่าฟังมาก!”
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเหมือนทดแทนส่วนสูงที่ขาดหาย หากมนุษย์ผู้ชายโดยเฉลี่ยแล้วจะสามารถต่อสู้กับการรับน้ําหนักได้ 100 กก. คนแคระจะสามารถรับน้ําหนักได้มากกว่าถึง 200 กก.
มันคือความแตกต่างเรื่องมวลกล้ามเนื้อและพันธุศาสตร์ ระหว่างมนุษย์ปกติและคนแคระที่มีค่าเฉลี่ยสูงประมาณ 150 ซม. และมีน้ําหนักกว่ามนุษย์ถึง 30 กก.
หากจะกล่าวโดยสรุปแล้ว คนแคระมีความแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์ประมาณ 1.5 – 2 เท่า
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร?! ทําไมคนแคระที่ถูกสาปพวกนี้ถึงแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้กัน?”
บิลลี่คิดขณะเล็งไปที่สมาชิกของกลุ่มค้อนเหล็กคนหนึ่ง
แก๊ง!
เสียงของโลหะกระทบโลหะดังขึ้นก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
“กึก ๆ กือ ๆ…”
บิลลี่ที่มีความสูง 190 ซม. ถูกกระแทก มือที่ถือกระบอกนองไปด้วยสีแดงสดที่กําลังสาดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ถึงแม้จะมีบางสิ่งที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นแต่เขาก็สามารถควบคุมสติตัวเองเอาไว้ได้
เมื่อเห็นว่าเขากําลังเสียท่า คนแคระสองสามคนก็ถือโอกาส นี้วิ่งเข้าหาบิลลี่ในทันใด
คลิปหลุด
‘ฉิบหาย’
บิลลี่สบถขณะพยายามขยับร่างกายแต่กลับไม่สามารถทําได้ดั่งใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหัวของเขาจะถูกแยกออกเป็นสองส่วนหรือไม่จากการถูกค้อนกระแทกในครั้งนี้
“หลบไป”
ตอนนั้นเองที่คังชอลอินได้มาปรากฏตัวพร้อมกันร่างของบิลลี่เพื่อเผชิญหน้ากับคนแคระสองคนที่กําลังวิ่งเข้ามาหาเขาแทน
‘ความเร็วคือความแม่นยําที่มากยิ่งกว่าความแข็งแกร่ง’
สายตาของคังชอลอินแปรเปลี่ยนเป็นคมเข้มดุจสายตาของนกเหยี่ยว
ปึ้ก
ดาบที่ลีแชรินมอบให้กับคังชอลอินมาได้แสดงพลังของมันได้เป็นอย่างดีเมื่อเขาเจาะปลายดาบเข้าไปยังช่องว่างของหมวกป้องกันที่คนแคระสวมใส่
“กึ้ก!”
เลือดสาดกระเซ็นทะลุหมวกป้องกันออกมาจากด้านใน
แต่แม้คนแคระจะได้รับบาดเจ็บสาหัส คนแคระคนนั้นก็ยังพุ่งตัวเข้ามาเพื่อปะทะกับคังชอลอินอย่างไม่ลดละ เป็นไปตามความคาดหวังที่จะได้รับจากคนแคระ ความคิดในการถือตัวของพวกเขาเป็นสิ่งที่สมควรได้รับการยกย่อง
แต่ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินจะต่อกรด้วยได้
“จงรับนี้ไปซะ!”
คังชอลอินผู้ถือดาบอยู่ที่มือขวาพุ่งตัวเข้าหาคนแคระด้วยความเร็วอันน่าตกใจ จากนั้นเขาก็กดคมดาบแทงเข้าไปที่คนแคระหลายต่อหลายครั้งจนจบชีวิตไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่ถึงวินาที การโจมตีอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วถึงสี่ครั้งได้ทําคนแคระอ้าปากค้าง จากนั้นคมดาบของเขาก็ได้เจาะทะลุปากทะลุขึ้นไปจนถึงส่วนกะโหลกที่แข็งแกร่ง
“หัวหน้า…”
บิลลี่ที่ได้รับการช่วยชีวิตไว้จากคังชอลอินมองเขาด้วยสายตาทราบซึ้งอย่างที่ไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบได้
‘หืม ดูเหมือนว่าน่าจะใช้ได้’
คังชอลอินค่อนข้างพอใจกับ “พอนโท” ดาบใหม่ที่ได้รับมาเป็นอย่างมาก
ไอเทมนี้มีลักษณะเด่นเฉพาะสําหรับการแทงและช่วยเพิ่มความเร็วในการโจมตีของเขาเพิ่มขึ้นได้อีก 20% ทําให้เขา สามารถเล็งถึงจุดอ่อนของคนแคระได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าการใช้ไอเทมที่เต็มไปด้วยศักยภาพนั้นตัวผู้ใช้ เองก็ต้องมีศักยภาพในการเป็นผู้ใช้ดาบและต้องแทงได้อย่างแม่นยําและสมบูรณ์แบบกับเวลาและพื้นที่การใช้ด้วยเช่นกัน
แม้ว่ามันจะไม่สําคัญกับคังชอลอินที่มีความเชี่ยวชาญในการฟันดาบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ตาม
“บิลลี่”
หลังจากสังหารคนแคระสองคนจากกลุ่มค้อนเหล็กนี้เสร็จ คังชอลอินก็พูดขึ้น
“ขอรับ ท่านผู้นํา!”
บิลลี่ที่ล้มลงก่อนหน้าลุกขึ้นยืน
“เราไม่มีเวลามากแล้ว ต้องรีบจบเรื่องโดยเร็ว”
แล้วเขาก็จากไปในทันที
นี่ไม่ใช่ปัญหาเดียวที่เขาต้องจัดการ
ในอีกหนึ่งชั่วโมง เขาจําต้องให้ลีแชรินซื้อหน่วยทหารการรบขึ้นมาใหม่เพื่อกําจัดผู้ทรยศและสมาชิกระดับสูงของดินแดน ของนางให้หมดสิ้นไปอย่างเด็ดขาด
เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันต้องเสร็จสิ้นภายในห้านาที
หลังจากตัดสินใจเลือกเป้าหมายได้แล้ว คังชอลเรียกใช้มานาของตัวเองเพื่อเข้าสู่สถานะเต็มพิกัด
พ้าว!
แค่เพียงลําพัง คังชอลอินได้สร้างหายนะให้เกิดกับกลุ่มคนแคระทั้งหมดที่ดูเหมือนจะได้เปรียบกับนักผจญภัยให้เป็นฝ่ายที่เสียเปรียบไปในบัดดล
แต่ไม่มีใครที่เขาจัดการได้สําเร็จเป็นการส่วนตัว เขาเพียงต้องการลดระดับการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของคนแคระให้กับนักผจญภัยเพื่อที่พวกเขาจะสามารผลิกกลับสถานการณ์ที่กําลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้
เหตุผลนั้นก็เพราะทักษะ “เต็มพิกัด” ของเขาจะสามารคงอยู่ได้แค่เพียงนาทีเดียว
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะนําพันธมิตรของเขาให้เข้าสู่ชัยชนะ
เมื่อถึงเวลาที่ทักษะนี้สิ้นสุด การต่อสู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งที่หนักหนาต่อนักผจญภัยก็ได้กลายเป็นการต่อสู้ที่พวกเขาโปรดปราน
“ไอ้…ไอ้สัตว์ประหลานนั่น!” สเลจน์ไม่สามารถเชื่อในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ได้
กลุ่มค้อนเหล็กที่เป็นกลุ่มพลังยอดเยี่ยมของโดราโด้เริ่มล้มลงไปทีละคน ๆ สเลจน์ที่เชื่อมั่นในกองทัพของตัวเองเป็นอย่างยิ่งรู้สึกราวกับถูกท้องฟ้าหล่นทับ
แต่มันไม่มีเวลาให้มาคิดเสียใจ
…เพราะนั่นเป็นเพียงอดีตที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว
กึ้ก!
หลังจากที่สมาชิกคนสุดท้ายของกลุ่มค้อนเหล็กถูกโจมตีโดยบิลลี่เสร็จ สเลจน์ก็เริ่มรู้สึกหวดกลัวและนึกสิ้นหวังต่อชีวิตขึ้นมา
“ได้โปรด…ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!!”
นักปราชย์มาเจสติกคุกเข่าและขอยอมแพ้ต่อความภูมิใจของคนแคระเพื่อต้องการการอยู่รอด
“อึก…คุ้ก!”
ในขณะเดียวกัน นายพลสมิธได้สูญเสียแขนทั้งสองข้างจนตอนนี้เหลือแต่เลือดที่กําลังพ่นกระจายไปทั่วพื้นอย่างสยดสยอง
ศพของหน่วยสอดแนมแอนท์วานแน่นิ่งอยู่บนพื้นพร้อมกับส่วนหัวที่ถูกตัดขาดออกจากลําตัวและกําลังกลิ้งไปมา
ทุกอย่างจบนิ่ง
“ดูเหมือนว่าข้าจะพบคนที่สามารถใช้งานได้ในอนาคตเสียแล้ว”
คังชอลอินว่าพลางนึกถึงรายชื่อต้องประหารที่ลีแชรินเคยเขียนไว้ก่อนหน้าด้วยความประหลาดใจ
“รายชื่อต้องประหาร” เป็นเพียงบททดสอบความตั้งใจของนาง คุณค่าของมันไม่ได้ต่างไปจากเศษกระดาษชําระสักเท่าไหร่
แต่รายชื่อที่ดีแชรินเขียนในคราวนั้นสอดคล้องกับสมาชิกชนชั้นสูงของดินแดนโดราโด้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มันช่างน่าแปลกใจนัก
นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าสายตาในการมองเห็นถึงความสามารถของผู้อื่นยังไม่ได้จางหายไปและลีแชรินก็ได้สร้างความหวังที่นางจะสามารถอยู่รอดในแคว้นแพนดิโมเนียมขึ้นมาได้ อย่างแท้จริง
‘ไม่เลว นางได้แสดงประโยชน์กับการได้เป็นพันธมิตรต่อ กันเสียที เรื่องนี้คงต้องตรวจสอบให้มั่นใจในภายหลัง…’
แต่ในขณะที่คังชอลอินกําลังคิดถึงเรื่องนั้นเพียงลําพังอยู่นั้น สเลจน์ก็เริ่มเคลื่อนไหว
“นางแพศยาที่น่ารังเกรียจ!”
ด้วยมือในก้อนที่น่ากลัว สเลจน์รีบวิ่งเข้าหาลีแชรินด้วยความเร็วที่เป็นอันตราย
“ท่านแชริน โปรดระวัง!!”
แม้ว่าบิลลี่จะพยายามไล่ตามไปเพียงใด แต่มันก็สายเกินไป เสียแล้วสําหรับเขาที่จะตามสเลจน์ได้ทัน สเลจน์เริ่มเข้าใกล้นางมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
อันตราย
หากลีแชรินถูกค้อนนั่นทุบตีนางจะต้องสิ้นใจในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม
“ช่างกล้าดีอย่างไร”
ทันใดนั้นโพดอลส์กี้ก็ปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนสักแห่ง และผูกข้อเท้าขวาของสเลจน์เอาไว้เพื่อขวางกั้น
“โอ๊ย!”
ปึ้ง!
ราวกับว่าเขาตกไปยังหลุมกับดักของนายพรานที่กําลังล่าสัตว์ ร่างของสเลจน์หมุนเคว้งกลางอากาศ 360 องศาก่อนจะล่วงหล่นสู่พื้น
“จบแล้วหรือยัง?” คังชอลอินเอ่ยถามพลางมองไปรอบ ๆ ห้อง
ผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในรายชื่อต้องประหารถึงคราวจบสิ้นชีวิตของตัวเองกันหมดแล้วทุกคนเว้นเพียงแต่สเลจน์ แม้แต่กลุ่มค้อนเหล็กที่สเลจน์ไว้วางใจก็ยังย่อยยับและนอนตายอยู่เกลื่อนพื้น
“บิลลี่”
“ขอรับ”
“กําจัดซากศพพวกนี้ซะ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสามารถกลับมาขยับตัวหรือพูดได้อีกเป็นครั้งที่สอง”
“ปล่อยให้ข้าจัดการเองขอรับ!”
จากนั้นนักผจญภัยก็เริ่มเคลื่อนไหวตามคําสั่งของเขา
“คนทรยศ” คังชอลอินว่าพลางใช้ดาบจิ้มลงเนื้อหน้าผาก ของสเลจน์จนเกิดเป็นหยดเลือดที่ไหลลงมาจรดปาก
“ข้าควรจะฆ่าเจ้าเช่นไรดี?” เมื่อมองไปที่สเลจน์ การจ้องมองของคังชอลอินนั้นเย็นเยียบยิ่งกว่าธารน้ําแข็ง
แต่หากจะพูดให้ถูก มันเข้าใกล้กับความโกรธเคืองมากกว่าจะเป็นสายตาแบบเย็นชา
เขาเป็นคนที่ไม่อาจยอมรับได้กับการทรยศที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นการละเมิดราชันย์ของตัวเอง
ไม่เพียงแค่นั้น แต่คนที่ควรจะดูแลราชันย์มากที่สุดอย่างผู้ช่วยส่วนตัวกลับกลายเป็นคนที่นําไปสู่การกล่าวหาและว่าร้ายต่อราชันย์ตัวเองเช่นนี้ ก่อนที่เขาจะได้กลับมามีชีวิตใหม่ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้เห็นราชันย์และผู้ช่วยส่วนตัวครองรักกัน เช่นนั้นการได้เห็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ทําตัวก่อกบฏเช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขาต้องโกรธเคืองได้อย่างไร?
“เจ้า…ไอ้มนุษย์สกปรก!” สเลจน์จ้องมองคังชอลอินด้วยความโกรธ
“เจ้าวางแผนกับนางแพศยานั่นเพื่อทําลายพวกข้า! เจ้าได้ล่วงหล่นมายังห้วงขุมนรกที่ลึกเกินกว่าจะย้อนกลับ! เจ้าจะตายโดยที่ไม่มีใครรู้ ณ กลางทะเลทรายที่ว่างเปล่าคอของพ่อ แม่เจ้าจะถูกบิดหักด้วยน้ํามือของศัตรู ลูกหลานของเจ้าจะกลายเป็นทาสต่อศัตรูที่เหลือแค่เพียงความอัปยศอดสูในชีวิต!” เขาเริ่มพ่นคําสาปแช่งไปที่คังชอลอิน
“หากเจ้าคิดที่จะสาปแช่ง อย่างน้อยก็จงพยายามทําให้มันดูน่ากลัวกว่านี้เสียหน่อยเถอะ” คังชอลอินกล่าวเสียงเบา
“เฮ้ย เจ้าคนทรยศ” คังชอลอินกล่าวเรียกพร้อมรอยยิ้มสยองขวัญ
“มีคนเป็นร้อยเป็นพันเช่นเจ้าที่ต้องการสาปแช่งให้ข้าตาย”
จากราชันย์ในอดีต หากพวกเขามีการจัดอันดับเพื่อดูว่าใครจะได้รับความเกลียดชังมากที่สุดแน่นอนว่าคังชอลอินจะต้องอยู่ในแถวหน้า
เพราะเขาเป็น “ผู้ชั่วร้าย” ที่ยิ่งใหญ่ ในตอนท้ายด้วยชื่อ “ผู้แข็งแกร่งที่สุด” ของเขาก็จบลงด้วยความหมายที่เหมือนกันกับ “ผู้ชั่วร้ายที่สุด”
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกคนที่สาปแช่งข้า?”
คังชอลอินกํามือทั้งสองข้างจนแน่น
และจากนั้น…บทลงโทษถึงความผิดอันฉกาจฉกรรจ์ของสเลจน์ก็เริ่มต้น…