ตอนที่ 43: การค้าและพันธมิตร (2)
คังชอลอินไม่มีความตั้งใจที่จะพบกับลีแชรินโดยไม่คิดหวังผล
หากเธอต้องการพบเขามากขนาดนี้มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเธอต้องการพึ่งพาเขาอย่างมากในบางเรื่อง
หาลีแชรินเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญเขาคงไม่ต้องมานั่งคิดให้เป็นวิตกมากถึงขนาดนี้ แต่เพราะเธอเป็นราชันย์เหมือนกันมันเลยจำเป็นต้องทำตัวเย็นชาใส่เธอ เพื่อขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาต้องกำหนดเงื่อนไขสำหรับการนัดเจอแม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย และเงื่อนไขในครั้งนี้ก็คือ…เนื้อย่าง
ถูกต้อง…
คังชอลอินที่ไม่มีความสามารถในการปรุงหรือการเตรียมอาหารได้ดีเท่าไหร่นัก แล้วเขาจะสามารถทำให้แม่ชอบใจเนื้อที่นำกลับมาได้อย่างไรหากเขาไม่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ดี? ดังนั้นเขาจึงต้องใช้สิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ซึ่งก็คือลีแชริน
“ชอลอิน”
ปาร์คซุนจาเอ่ยเรียกลูกชายตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดในชีวิต
“ลูกไปเจอกับเธอได้ยังไง?”
“เราเคยทำงานที่เดียวกัน”
“ลูกสังเกตไหมว่าเธอช่างเป็นคนที่ร่าเริงและน่ารักมาก แม่คิดว่าเธอน่าจะเหมาะกับการมาเป็นสะใภ้ให้บ้านเรานะ ชอลอิน ลูกไม่คิดแบบนั้นบ้างเลยเหรอ? โอ้ ให้ตาย…แม่อยากมีสะใภ้ซะแล้วสิ”
สายตาของปาร์คซุนจาถูกล็อคอยู่ที่ลีแชรินที่ในตอนนี้กำลังล้างผักอยู่ที่อ่างล้างจาน
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกแม่” คังชอลอินส่ายหน้าปฏิเสธ
“ที่แม่ได้เจอเธอนั่นก็เพราะพวกเราแค่สนิทกันมากเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หรืออะไรในทำนองนั้นโดยสิ้นเชิง”
“แต่อย่างน้อยแม่ก็หวังว่าลูกจะได้ลองพยายามดูก่อนนะ ตกลงไหม?”
“……”
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับ
แต่อย่างน้อย ๆ ต่อจากนี้ก็คงไม่มีการพูดถึงเรื่องนัดดูตัวหรือออกเดทอีกต่อไป
เมื่อคิดได้แบบนั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
‘ปัญหาเรื่องแบบนี้กลายเป็นภาระสำหรับเราไปได้อย่างไร หึ ช่างน่าตลกสิ้นดี’
หากอยู่ต่อหน้าแม่ของเขาเมื่อไหร่ การเป็นคังชอลอินและราชันย์คังชอลอินจะไม่มีความต่างระหว่างเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
และเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะบอกให้เธอรู้ถึงสถานะและตำแหน่งราชันย์ของเขาในตอนนี้แต่อย่างใด
ในอดีตเขาเคยเป็นลูกชายที่ทำตัวแย่ต่อเธอมามาก เขาสนใจแต่เรื่องเงินและอำนาจจนละเลยครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ลูกชายคนหนึ่งที่สามารถส่งเงินมาให้แม่ตัวเองได้ทีละหลายสิบล้านวอนต่อเดือนแต่กลับไม่เคยปรากฏตัวให้ได้เห็นเลยเกือบตลอดสิบปี เขาตั้งใจจะชดเชยให้กับความผิดในครั้งนั้น
“อาหารพร้อมแล้วค่ะ คุณแม่มานั่งตรงนี้สิคะ”
ในที่สุดอาหารมื้อเย็นก็ถูกปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลีแชรินชวนปาร์คซุนจาให้มานั่งโต๊ะทานอาหารด้วยทัศนคติที่อ่อนหวานและน่ารักต่อญาติผู้ใหญ่
“ผมบอกให้คุณมานั่งตรงนี้ คุณไม่ต้องทำไปอะไรแบบนั้นก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณแม่ของคุณชอลอินก็เหมือนกับคุณแม่ของฉันนั่นแหละค่ะ จะให้ฉันไปนั่งรวมบนโต๊ะง่าย ๆ แบบนั้นได้อย่างไรกันล่ะคะ อย่าคิดมากเลยค่ะ รีบมานั่งเถอะ”
“ โอ้ ~ หนูคนนี้นี่น่ารักจังเลยนะ”
“ค่า คุณแม่นั่งตรงนี้เลยนะคะ~”
ผู้หญิงสองคนที่กำลังมีช่วงเวลาดี ๆ ต่อกัน แม้จะเป็นลูกเจ้าของบ้านแต่คังชอลอินกลับเป็นคนเดียวที่ไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศนี้ไปซะอย่างนั้น ลูเซียจะคิดอย่างไรถ้าได้เห็นราชันย์ผู้แข็งแกร่งที่ไร้ความปราณีของนางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้…?
แต่…มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก
แม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับฉากตรงหน้าแต่เขาก็พอใจกับข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกันลีแชรินในขณะมองดูผู้เป็นแม่ที่กำลังยิ้มแย้มอย่างสดใส
เขาเป็นคนตั้งเงื่อนไขให้เธอมาทำอาหารให้แม่แทนเขาและนอกจากนี้เขายังขอให้เธอบอกใบ้ว่าพวกเขาเจอกันได้อย่างไรเพื่อสร้างเป็นความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ
มันคือการโกหกคำโตสำหรับแม่แต่ก็เป็นการกระทำที่มีเหตุผล
หลังจากสูญเสียคังฮัน สามีของเธอไปในช่วงแรก ๆ ของการแต่งงาน ปาร์คซุนจาไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการได้เห็นคังชอลอินเริ่มต้นมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
เพราะครอบครัวคังไม่ได้มีพี่น้องมากนักและบางครอบครัวเองก็มีปัญหาต่อกัน พวกเขามักสร้างความเครียดและทำตัวแย่ยิ่งกว่าเพื่อนบ้านเป็นไหน ๆ ด้วยความต้องอยู่ตัวคนเดียวนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ปาร์คซุนจาอยากมีลูกสะใภ้และหลานมาก
แต่เพราะคังชอลอินไม่ต้องการออกเดทหรือต้องการมีความสัมพันธ์อะไรกับใครจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ของเขากระตือรือร้นในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ดังนั้นทางเลือกเดียวที่เขาคิดได้ในตอนนี้คือให้ลีแชรินที่กำลังอยู่ตรงหน้าเขาช่วยมอบความเข้าใจแบบผิด ๆ แก่แม่ของเขาเพื่อหลบหนีจากความกดดันเรื่องการแต่งงาน เขาตั้งใจใช้ลีแชรินมาเป็นเกราะป้องกันในเรื่องกดดันที่ร้ายแรงนี้
อย่างน้อยเธอคงไม่พูดถึงเรื่องอะไรแบบนี้นับจากไปนี้ไปสัก 2 – 3 เดือน
แต่ใครจะรู้? ตอนนั้นเขาอาจมีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตนแล้วก็ได้
“แล้วนี่มันเนื้ออะไรกัน?”
เนื้อมังกรพีคอคปรุงสุกที่มีหน้าตาและสีสันชวนทานดึงความสนใจจากปาร์คซุนจาได้เป็นอย่างดีดีจนทำให้เธอเกิดข้อสงสัย
“ชอลอิน ลูกไปได้เนื้อนี่มาจากไหน? มันเป็นเนื้อที่แม่เคยกินมาก่อนหรือเปล่า?”
เธอจะต้องไม่เคยได้กินมันมาก่อนอย่างแน่นอนเพราะมันคือเนื้อของมังกรที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก
“เนื้อหมีน่ะครับ” เขาเริ่มหาข้อแก้ตัว
“ผมไปญี่ปุ่นมาแล้วเจ้านายที่นั่นก็มอบเนื้อหมีมาให้…เห็นมันเป็นเนื้อที่พิเศษดีเลยเก็บเอาไว้มาให้แม่ได้กินบ้าง”
“‘จริงรึ?”
“ครับ”
“มันดูน่าอร่อยดีนะ … แล้วทำไมพวกลูก ๆ ไม่กินกันล่ะ?”
“ผมไม่ชอบมันสักเท่าไหร่… มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบอยู่เหมือนกัน ถ้าแม่ชอบแม่ก็กินให้เยอะ ๆ เลยนะ”
“แต่ลูกก็ควรจะได้กินอะไรบ้างสิ”
“ผมไม่เป็นไร แม่กินไปเถอะ”
มันคือเนื้อส่วนพิเศษที่เขาตั้งใจเตรียมมาให้ผู้เป็นแม่โดยเฉพาะดังนั้นเขาจะไม่แตะต้องมันเป็นอันขาด รวมถึงลีแชรินด้วยเช่นกัน
“ฟู่ว!”
ปาร์ซุนจาถอนหายใจหลังจากทานอาหารเสร็จ
“ทำไมที่นี่ถึงได้ร้อนแบบนี้นะ?”
เธอกระพือมือเหมือนกับว่าเนื้อที่เพิ่งได้ทานลงไปเริ่มออกฤทธิ์
“แชรินจ๊ะ ช่วยอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนกับชอลอินเขาทีนะ แม่รู้สึกร้อน ๆ เหมือนถูกเผาไหม้ยังไงก็ไม่รู้เพราะงั้นแม่ว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย เนื้อหมีนี่ดีจังเลย ทำไมแม่ถึงรู้สึกดีได้ขนาดนี้กัน?”
แน่นอนว่าเธอควรจะเป็นเช่นนั้น
การได้กินเนื้อมังกรพีคอคส่วนคอจะช่วยให้เธอแข็งแรงและไม่ป่วยไปอีก 1 – 2 ปี
“เดี๋ยวแม่กลับมานะ ใช้เวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ กับหนูคนนี้ให้ดีล่ะ! เข้าใจไหม~?”
เธอรีบออกไปทันทีหลังจากทิ้งคำใบ้ไว้ในคำพูดเสร็จ เธอคงชอบลีแชรินเอามาก ๆ
‘น่าจะหาของอะไรมาให้แม่สักหน่อย’
คังชอลอินที่กำลังมองตามแผ่นหลังของผู้เป็นแม่นึกถึงไอเทมที่สามารถปกป้องเธอขึ้นมาได้ หากเขาได้รับสิ่งที่เธอต้องการเช่นแหวน ต่างหู หรืออย่างอื่นที่แตกต่างกันออกไป ของเหล่านั้นจะสามารถปกป้องเธอจากอันตรายใด ๆ ได้
และขณะนั้นเองที่ลีแชรินกำลังพยายามเริ่มต้นบทสนทนา
“เริ่มคุยกันเลยไหมครับ?”
คังชอลอินเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ไม่สิ เริ่มคุยกันเลยเถอะ ราชันย์ลีแชริน”
เธอตกใจเล็กน้อยกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงของเขา แต่เธอรู้ดีว่าเขากำลังพูดกับเธอในฐานะราชันย์ดังนั้นเธอจึงยอมรับมันอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
“ค่ะ ราชันย์คังชอลอิน”
เธอพยักหน้า
ทั้งสองคนเดินขึ้นไปคุยกันที่บนดาดฟ้าบ้านของคังชอลอินเพื่อป้องกันไม่ให้ปาร์คซุนจาโผล่พรวดเข้ามาได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน
“ช่วยฉันด้วยค่ะ” เธอพูดออกไปตามตรง
“ช่วยเรื่อง?” และเขาก็ตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ
“ทุกเรื่อง”
“ทุกเรื่อง?”
“ฉันถูกโจมตีค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง…แต่มันก็อาจจะเกิดได้”
เพราะดินแดนของเธอตั้งอยู่ในเคว้นเดียวกันซึ่งก็คือแพนดิโมเนียมเขาจึงพอเข้าใจเรื่องนี้ได้ และทันใดนั้นใบหน้าของคังชอลอินก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาแทน
‘ไอ้พวกบ้า’
ในขณะที่ราชันย์แห่งแผ่นดินใหญ่ต่างมุ่งความสนใจไปที่การเสริมสร้างกำลังภายในดินแดนของตัวเอง แต่บรรดาราชันย์ที่อยู่ในแคว้นแพนดิโมเนียมกลับเริ่มทำสงครามกันขึ้นมาบ้างแล้ว มันสามารถให้คำอธิบายถึงสติและเหตุผลของพวกเขาได้ดีว่าบ้าคลั่งมากเพียงใด
‘อย่างที่คิด เหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงไม่เคยเจอกับลีแชรินมาก่อน’
เขาได้รู้แล้วว่าทำไมเธอถึงไม่ได้มาปรากฏตัวในงานสำคัญอย่างงานสมัชชาครั้งแรก นั่นก็เพราะเธอได้จากไปก่อนหน้านั้นแล้ว
เธออาจอยู่รอดได้นานมากที่สุดจนกระทั่งถึงวันที่ 25 เดือนธันวาคม ปี 2022 หรือเธออาจถูกปลดออกจากตำแหน่งไปก่อนหน้านั้น…หรือหากแย่ยิ่งกว่านั้นก็คือถูกราชันย์คนอื่นฆ่าตายไปก่อนแล้ว
“ถ้างั้นแล้ว…” เขาเริ่มพูดต่อ
“คุณอยากให้ผมช่วยอะไร?”
“นั่นมัน…”
เธอกำลังลังเล
หลังจากได้ฟังเงื่อนไขการพบเจอกันระหว่างพวกเขาทางโทรศัพท์ มันเป็นที่ชัดเจนว่าเธอกำลังพยายามจะแสดงออกว่าตัวเธอเองก็เป็นราชันย์เช่นกัน
“ถ้าคุณกำลังพยายามทำตัวเป็นราชันย์มันก็สายเกินไปแล้วล่ะครับ แค่บอกผมมาตรง ๆ ก็พอ ไม่งั้นวันนี้คงไม่ได้รู้เรื่องกันพอดี”
คังชอลอินยิ้มเยาะ เธอกำลังร้องขอจากเขาอีกครั้ง ไร้ซึ่งการป้องกันศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ใด ๆ
“ส่งกองทัพมาสนับสนุนฉันทีเถอะค่ะ…คุณเองก็เป็นราชันย์ ถ้าคุณส่งทหารมาให้ฉันบ้าง…”
“ขอปฏิเสธ”
เขาตัดบทสนทนาอย่างรวดเร็วและปฏิเสธคำขอของลีแชรินในทันทีที่ได้ยิน
“ถ้าทั้งหมดที่คุณต้องการคือให้ผมส่งกองทัพไปสนับสนุนก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันอีกแล้ว มันเสียเวลา”
“ทำไมล่ะคะ ก็คุณบอกจะช่วยนี่!”
“ผมช่วยให้คำแนะนำกับคุณได้ แต่การส่งทหารให้มันต่างกันโดยสิ้นเชิง”
มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ระหว่างความช่วยเหลือง่าย ๆ และการส่งกองทัพไปช่วยมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจริง ๆ
สงครามไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรือเรื่องตลอก
เช่นกันกับการมาร้องขอทหารมันสามารถพูดได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก แม้คังชอลอินต้องการจะช่วยแต่เขาก็ต้องทำสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกตรงและเหมาะสม
“ราชันย์ลีแชริน”
เขามองตรงเข้าไปยังในดวงตาของเธอเพื่อชี้แจงให้เห็นถึงความชัดเจน
“ลองคิดดูอีกครั้งถึงความหมายของการร้องขอทหารจากผม”
“……”
“มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องส่งคนของตัวไปเองเสี่ยงตายเพื่อปกป้องคุณและดินแดนของคุณ? แน่นอนว่าพวกเขาจะยอมตายเพื่อคุณหากนั่นเป็นคำสั่งจากผม แต่ความหมายโดยนัยแล้วคืออะไร? คุณเคยคิดบ้างไหมว่าคนของผมจะต้องไปตายเพราะคำร้องขอแบบนี้”
“……”
คำตอบเย็นชาที่ได้รับทำให้เธอหยุดนิ่ง เธอไม่เคยคิดถึงการปฏิเสธคำขอจากเขาเช่นนี้มาก่อน
“คุณชอลอินคะ”
แต่เธอยังไม่ยอมแพ้
“ฉันไม่ได้มาร้องขอโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนให้”
มันแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังสิ้นหวังมากเพียงใด
“มาทำข้อตกลงกันเถอะค่ะ”
ในที่สุดเธอก็ได้แสดงตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมา
“ข้อตกลง?”
“ฉันจะจ่ายค่ากองทัพที่คุณส่งมาให้”
“จ่ายด้วยอะไร?”
“ฉันมีเงินนะคะ เยอะมากด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ไปซื้อทหารด้วยตัวเองซะเลยล่ะ?”
“เพราะ…มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พูดกันตามตรงต่อให้ฉันมีเงินมากเพียงใดแต่ฉันไม่สามารถเอาชนะสงครามนี้ได้เลย”
มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง…
ไม่อย่างนั้นสมการของ [เงิน = กำลังพล] ก็ต้องใช้ได้ผลแล้ว เช่นเดียวกับนักการเมืองและบิดาของภาษาลาตินกิแกโรกล่าวว่า “เครื่องมือที่ไม่มีวันจบสิ้นของสงครามคือเงินทุนที่ไม่มีที่สิ้นสุด”
“หมายความว่าคุณจะให้เงินผมถ้าผมส่งทหารไปให้?”
“ใช่ค่ะ”
“คุณใจกล้ามาก”
“……?”
“ความสัมพันธ์ระหว่างราชันย์แทบจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้เลยบนแพนเจีย แต่คุณกำลังอยู่ที่นี่เพื่อขอรอต้อนรับกองทหารของผมให้เข้าไปในดินแดนของคุณ ผมคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าอะไรทำให้คุณกล้าพูดแบบนั้นออกมา”
“คุณหมายถึงอะไร?”
“ชัยชนะที่ปราศจากเลือดและการทรยศ”
“…!”
“มันจะใช้เวลาเพียงประมาณ 30 นาทีเพื่อไปถึงที่กองบัญชาการใหญ่ของคุณ จากนั้นหัวของคุณก็จะถูกแห่ขบวนขึ้นไปบนกำแพงปราสาทและผมก็จะยึดดินแดนของคุณทั้งหมดโดยรวมได้ มันจะไม่มีภาคต่อของอนาคตอีกต่อไปและไม่มีใครที่จะมานั่งสนใจเรื่องของคุณและดังนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลว่าทำแบบนี้ไปทำไม คุณไม่เคยคิดอะไรแบบนี้บ้างเลยเหรอ?”
“คุณจะโหดร้ายขนาดนั้นได้อย่างไร…?!”
“อย่าทำตัวเหมือนคุณไม่รู้อะไร ศัตรูของราชันย์ก็คือราชันย์ คุณสามารถถูกทรยศได้โดยคนที่คุณเชื่อใจที่สุด นั่นคือราชันย์”
แม้จะเป็นคำพูดที่รุนแรงและโหดร้ายแต่นั่นคือเรื่องจริง
“คุณก็จะทำแบบนั้นใช่ไหมคะ? คุณจะแกล้งทำมาช่วยฉันและเดินเข้ามาพร้อมกับทหารของคุณเพื่อตัดหัวของฉันออกแล้วรับทุกสิ่งที่ฉันมี?”
เสียงของเธอสั่นเทา วิธีการสะอื้นในขณะพูดคำเหล่านี้ช่างดูน่าสงสารจับใจ หากเป็นเช่นนี้ผู้ชายทุกคนคงจะยอมอ่อนข้อลงเพราะความสงสาร
“ถ้ามันจำเป็นก็ใช่”
แต่คังชอลอินไม่ได้เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น
“……!”
“แต่…ผมคงจะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นถ้าคน ๆ นั้นเป็นมือใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก่อน”
เขากำลังคิดถึงวันเก่า ๆ ระหว่างลีแชริน
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูแลคังชอลอินตั้งแต่ที่เขาเริ่มเข้ามาทำงานให้กับเจ้านายที่เป็นเหมือนมนุษย์โรคจิต เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วอย่างน้อยเขาก็ยังมีความประทับใจที่ดีต่อลีแชรินอยู่บ้าง
“งั้นคุณจะส่งกองทัพมาช่วยฉันใช่ไหมคะ?”
เธอถามราวกับว่าเธอกำลังจับกิ่งไม้ใต้หน้าผาเพื่อรอให้มีคนมาช่วยดึงกลับขึ้นไป
“แน่นอนว่าไม่”
เขาไม่มีความสนใจจะส่งกองทัพอะไรไปให้ทั้งนั้น เขาเองก็มีปัญหาในส่วนนี้อยู่เช่นกัน
กองทัพของลาพิวต้ามีทหารแค่เพียง 100 นาย และเขาก็ไม่มีคลังสำรองเพื่อซื้อทหารหรือขยายดินแดนเพิ่มเติมในตอนนี้
หากมีราชันย์อื่นบุกเข้ามาในตอนนี้สถานการณ์ของเขาก็อาจแย่ไม่ต่างกัน ต้องขอบคุณบัฟเขตหวงห้ามมังกรที่ทำให้เขาสามารถรอดพ้นจากมังกรไปได้สักพัก เพราะงั้นมันอาจไม่มีมังกรโผล่มาอีกสักระยะแต่ถ้าเป็นการโจมตีสัตว์ประหลาดชนิดอื่นก็ยังไม่แน่…
“ถ้าอย่างนั้น…เรื่องนั้นก็คงจะไม่เกิดขึ้นสินะคะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณแล้วค่ะ”
“เข้าใจอะไร?”
“ก็คุณบอกว่าจะไม่ส่งทหารมาให้ฉันไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าหากคุณไม่สามารถส่งกองทัพมาช่วยฉันได้ฉันก็ไม่มีธุระอะไรอีกแล้วล่ะค่ะ อืม…ที่จริงมันก็เป็นความผิดของฉันเอง ฉันหวังที่จะพึ่งพาคุณมากเกินไป ขอโทษนะคะที่แสดงแต่ด้านที่น่าผิดหวังให้คุณได้เห็น…”
น้ำตาของเธอร่วงหล่นเมื่อเธอพูดเช่นนั้นจบ หยดน้ำตาเต็มไปด้วยความหนาวเย็นในยามที่ถูกสายลมพัดผ่าน
“เร็วไป… มันยังเร็วเกินไป”
เขาพูดขึ้น
“คะ…? คุณหมายถึง”
“คุณไม่คิดว่ามันจะยังมีวิธีอื่นที่แม้ว่าผมจะไม่ส่งกองทัพไปให้คุณก็ตามอยู่ด้วยเลยงั้นเหรอ?”
“……!”
ทันใดนั้นดวงตาของลีแชรินก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ แสงในดวงตาเธอได้สว่างขึ้นอีกครั้งเมื่อแสงแห่งความหวังส่องประกาย