ตอนที่ 22: น้ำหนักของสงคราม, น้ำหนักของการออกคำสั่ง
คังชอลอินเหวี่ยงกระบองเหล็กลงบนตัวคิมูระด้วยความนิ่งสงบ
เขาไม่ได้ใช้แรงที่มีทั้งหมดเพื่อหวดตีคิมูระเพราะถ้าเขาทำแบบนั้นสะโพกของคิมูระจะแตกหลังจากโดนหวดไปในครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม และเขาจะตายทันทีหลังจากโดนหวดในครั้งที่สิบ เขาพยายามควบคุมความแข็งแรงของตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้ตีคิมูระให้ได้ในจำนวนมากที่สุดเท่าที่คิมูระจะทนไหว อย่างไรก็ตามมันก็ยังดูจะมากเกินรับได้สำหรับคิมูระ
“อึ่กๆ! อุ่ก!”
คิมูระกรีดร้องตามจังหวะการโดนกระบองเหล็กหวด แต่เพราะที่ปากถูกปิดแน่นมันจึงเต็มไปด้วยเสียงร้องอู้อี้ไม่รู้ความ
ตุ้บ! ตุ้บ!
คังชอลอินหวดตีราวกับเขาเป็นเครื่องจักรที่ไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมและนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก ทำให้ใครก็ตามที่กำลังได้มองดูภาพการลงโทษตอนนี้ต้องเกิดอาการขนลุกตั้งชันด้วยความหวาดกลัว
และมันก็ดำเนินแบบนั้นต่อเนื่องนานถึง 30 นาที
เมื่อคิมูระถูกหวดตีไปได้ประมาณ 50 ครั้งคังชอลอินก็พูดขึ้นว่า
“แก้มัดซะ”
“ขอรับ”
ทหารคนหนึ่งรีบมาทำตามคำสั่งเขาในทันใด
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ! ข้าขอร้อง!”
คิมูระที่ได้รับอิสระจากการถูกคลายมัดเปิดปากขอร้องวิงวอนพร้อมแบมือลงแนบเท้า เขาร้องไห้อย่างหนักและกำลังขวัญเสียอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในตอนนี้คิมูระเป็นเหมือนกับเด็กชายวัยรุ่นที่เพิ่งมีปัญหาร้ายแรงกับผู้เป็นพ่อเป็นครั้งแรก
“ข้า อึก… ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว! ข้าสาบาน! เพราะงั้นได้โปรด ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย อย่าฆ่าข้าเลย!”
คิมูระคุกเข่าขอร้อง เขาได้สูญสิ้นถึงเกียรติและศักดิ์ศรีในฐานะราชันย์ไปจนหมดสิ้น เขายอมจำนนอย่างเศร้าโศกและพูดขอร้องจนพัลวัน
“เจ้าทำอะไรผิดมา?” คังชอลอินเอ่ยถามโดยไม่สนใจต่อคำร้องขอใด ๆ จากเขา
“ข้าขออภัยที่ข้าก่อสงคราม ข้าผิดไปแล้ว และ…และข้าก็เสียใจที่สาปแช่งท่านไปแบบนั้น”
“ไม่ใช่”
คังชอลอินส่ายหัวให้กับคำตอบที่ได้รับ
จากนั้นปากของคิมูระก็ถูกปิดไว้อีกครั้ง
“อืมมมม! อื้มมมมมม!!”
ตามมาด้วยเสียงจากกระบองเหล็กที่ปะทะกับร่างกายเขาอีกหน
“พูดสิ ว่าเจ้าทำอะไรผิด?”
คังชอลอินรามือกับการตีรอบที่สองและเอ่ยถามไปใหม่อีกครั้ง
“ข้า ข้าขอโทษ … ข้าผิดไปแล้ว”
“เช่นนั้นอะไรล่ะที่เจ้าได้กระทำความผิด?”
“ข ข้าไม่รู้ แต่ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่ง! ได้โปรด ไว้ชีวิตข้า ปล่อยข้าไปเถิด…”
“ยัดผ้ากลับไปใหม่”
คังชอลอินยังไม่พอใจราวกับคำตอบนั้นไม่ใช่ในสิ่งที่เขามองหา
แคร่ก!
หลังการหวดกระบองเหล็กรอบที่สามเกิดขึ้น คิมูระก็เกือบหมดสติไปในที่สุดและการลงโทษด้วยกระบองเหล็กก็หยุดลงอีกครั้ง
“อึ่ก!”
“นี่เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าเจ้าได้ทำอะไรผิด?”
“ได้โปรด หากท่านสามารถบอกข้าได้…โปรดบอกข้า”
คิมูระไร้ซึ่งพลังที่จะร้องขอชีวิตอีกต่อไป แม้คังชอลอินจะควบคุมแรงในการตีอย่างไรแต่ความจริงที่ว่าเขาโดนกระบองเหล็กหวดตีไปเป็นร้อยครั้งนั่นทำให้เขาแทบปางตายได้ไม่ต่างกับการลงแรงตีหนัก ๆ
“องค์ราชันย์ เหตุใดท่านถึงไม่ประหารหัวเขาไปเสียเลยล่ะขอรับ?”
เจมส์ที่ไม่อาจเฝ้ามองดูได้อีกต่อไปเขยิบก้าวไปข้างหน้าเพื่อถามข้อสงสัยแก่คังชอลอิน คิมูระที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากที่เจมส์กำลังร้องขอความตายที่ไร้ซึ่งความเจ็บปวดให้กับเขา
“ไม่ ข้าไม่คิดที่จะฆ่าเขา”
คังชอลอินส่ายหัว
“ให้ยาเขาซะ”
เมื่อได้รับคำสั่ง ทหารของคังชอลอินก็พยักหน้ารับด้วยความหวาดกลัว มันฟังดูเหมือนกับว่าเขาต้องการรักษาบาดแผลให้กับคิมูระเพื่อที่เขาจะได้ลงโทษต่อไปได้
“คนที่เจ้าควรขอโทษไม่ใช่ข้าหากแต่เป็นข้างนอกนั่น”
การกระทำของคังชอลอินขัดแย้งกับความคิดของทุกคนในตอนนั้น เขาปล่อยกระบองเหล็กที่อยู่ในมือลงพื้นแล้วพูดต่อว่า
“เมื่อเจ้าร้องขอบทเรียน ข้าก็จะมอบให้”
นิ้วของคังชอลอินชี้ออกไปที่ด้านนอก
“คนที่เจ้าควรขอโทษไม่ใช่ข้าหากแต่เป็นทหารของเจ้า คนที่ต้องมาตายเพียงเพราะคำสั่งของเจ้าที่ไร้ซึ่งความสามารถและไร้ความคิด”
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นราชันย์ที่ไร้ความสามารถมากเพียงใดแต่อำนาจสั่งการก็ยังเป็นสิทธิ์ขาดของเจ้า เจ้าเคยคิดถึงน้ำหนักของคำสั่งนั้นบ้างหรือไม่? เคยคิดถึงสิ่งที่จะตามมาเมื่อเจ้าได้ออกคำสั่งไปบ้างหรือเปล่า?”
เมื่อการสั่งสอนที่แท้จริงของคังชอลอินเริ่มขึ้น คิมูระไม่สามารถโต้แย้งอะไรออกไปได้เพราะทุกอย่างที่เขาพูดมันเป็นความจริงทุกประการ
“แน่นอนว่าเจ้ายังเด็กอยู่มากจึงไม่อาจสรุปเหตุการณ์การอัญเชิญที่เกิดขึ้นนี้ได้โดยสมบูรณ์ สถานการณ์นี้อาจรู้สึกเหมือนเป็นแค่เพียงความฝันหรือเป็นหนึ่งในการเล่นเกมแบบเสมือนจริง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจ แต่…”
คิมูระกลั้นเสียงสะอื้นด้วยความสั่นกลัว
“ไม่ว่าเจ้าจะโง่เขลาและไร้ความสามารถเพียงใดแต่สิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปไม่อาจให้อภัยกันได้ง่าย ๆ มดเป็นสัตว์ที่มีทั้งอารมณ์และสติปัญญา และมดกว่า 200 ตัวนั่นต้องมาตายเพราะการออกคำสั่งโง่ ๆ ของเจ้า”
ห้องโถงราชันย์เงียบสนิทเมื่อสิ้นคำพูดของคังชอลอิน
“ยิ่งเจ้ามีตำแหน่งที่สูงมากเพียงใดเจ้าก็ต้องยิ่งมีความรับผิดชอบที่มากเพิ่มขึ้นเท่านั้น จงจำไว้ว่าชีวิตทหารของเจ้าจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเสมอ”
มันไม่ใช่เพราะเขาต้องการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีในฐานะผู้พิชิตราชันย์แต่มันเป็นสิ่งที่คังชอลอินเท่านั้นที่จะสามารถพูดออกไปได้ มีความเป็นความตายของคนตั้งเท่าไหร่ที่ต้องขึ้นอยู่กับคำสั่งของเขา ครั้งหนึ่งคังชอลอินเคยเป็นบุรุษที่ควบคุมชีวิตไว้ได้หลายพันคน อาจมีบางคนที่รู้ดีกว่าตัวเขาว่าน้ำหนักของการเป็นราชันย์และน้ำหนักของสงครามที่ต้องแบกรับไว้นั่นมีมากเพียงใด
“หากมีทหารแม้แต่เพียงคนเดียวของข้าต้องมาตายเพราะสงครามในครั้งนี้ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างไม่ลังเล แต่เจ้ายังโชคดีที่ไม่มีทหารคนใดของข้าต้องมาจบชีวิตให้กับสงครามโง่ ๆ นี่ แต่แม้ข้าจะให้อภัยแล้วเสียงทหารของเจ้าที่ต้องจบสิ้นไปแล้วล่ะใครจะมารับฟัง? แล้วไหนจะอารมณ์ความรู้สึกจงรักภักดีของทิโมธีที่เจ้าได้ทอดทิ้งเขาไว้อีกนั่นล่ะ?”
“อะ อ่า!”
ดูเหมือนว่าคิมูระจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่คังชอลอินต้องการบอกกล่าวกับเขาได้ในที่สุด
“จงขออภัยให้กับผู้ที่ต้องมาจบชีวิตเพียงเพราะความโง่เขลาของเจ้าซะ”
คิมูระคุกเข่าแล้วก้มศีรษะของเขาลงติดพื้น
“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษจริง ๆ…”
การขอโทษยังคงดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลานาน
‘เราเองก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน’
คังชอลอินนึกคิดเพียงลำพังขณะมองดูคิมูระด้วยท่าทีนิ่งสงบและตระหนักได้ว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากเพียงใด ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะตัดคอประชาชนจากฝ่ายศัตรูทุกคนไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง แม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ก็มีอยู่สองสามครั้งที่เขาได้ลงมือทำเช่นนั้นไปจริง ๆ
อย่างไรก็ตามหลังจากได้กลับมาในคราวนี้เขารู้สึกว่าเขาได้แตกต่างไปจากเมื่อครั้งก่อน อาจเป็นเพราะความพ่ายแพ้ในวันนั้นที่ได้เปลี่ยนความคิดและชีวิตให้กับเขา
‘ถือซะว่าเป็นหนึ่งในโอกาสที่ได้รับก็แล้วกัน’
บุรุษผู้โง่เขลาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะขาดการตระหนักได้ถึงความเป็นจริง มันเป็นที่ยอมรับได้ที่จะแสดงความเมตตาเมื่อพิจารณาว่าการอัญเชิญในครั้งนี้เพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานนัก
“การขอโทษต่อหน้าข้าจบสิ้นแค่เพียงเท่านี้ ข้าไม่รู้ว่าคำขอโทษที่เจ้าแสดงในตอนนี้เต็มไปด้วยความความจริงใจหรือเล่ห์เหลี่ยมเพียงเพื่อต้องการเอาตัวให้รอดจากสถานการณ์นี้เท่านั้นหรือไม่ ข้าไม่มีทางรู้และข้าก็ไม่คิดสนใจ แต่ถ้าเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างแท้จริงเจ้าจะต้องไม่มีวันลืมสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปในวันนี้เป็นอันขาด จากนี้ไปมันก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติด้านมนุษยธรรมของเจ้า และข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซง”
คังชอลอินหยุดพูดไปชั่วขณะก่อนจะดำเนินการต่อ
“บทเรียนของข้าหมดสิ้นเพียงแค่เท่านี้ อย่างที่ข้าพูด ข้าจะยอมเชื่อใจเจ้าดังนั้นจงกลับบ้านไปทันทีที่คอของเจ้าดีขึ้น อ่อ… แต่ก่อนหน้านั้นทั้งเจ้าและข้าต้องทำบางสิ่งให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ลูเซีย!”
ลูเซียที่ลงมาจากหอสังเกตุการณ์และได้มาอยู่ในห้องโถงก่อนหน้านี้เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอบรับเมื่อได้ยินการเรียกชื่อของตัวนาง
“เจ้าค่ะ มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะองค์ราชันย์?”
“จงนำแกนวิญญาณมาให้ข้า”
“เจ้าค่ะ!”
ลูเซียหายไปที่ไหนสักแห่งแล้วกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้วยดาบงดงามที่นางถือมาทั้งสองมือ
“แกนวิญญาณ”
มันเป็นดาบที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อใช้เป็นอาวุธแต่จะนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ในการทำพิธี มันเป็นกุญแจสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของราชันย์และการควบคุมอาณาเขต ดังนั้นแกนวิญญาณจึงเป็นสิ่งที่ราชันย์และผู้ช่วยส่วนตัวของเขาเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสได้ คังชอลอินจะสามารถควบคุมสิ่งอำนวยความสะดวกของลาพิวต้ารวมไปถึงดาวเทียมที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ในอวกาศได้เฉพาะกับแกนวิญญาณนี้เท่านั้น สำหรับราชันย์แล้วแกนวิญญาณเป็นเหมือนพระราชกฤษฎีกา: ของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานมอบให้
“เจ้าไม่มีอำนาจสิทธิ์ในการเป็นราชันย์อีกต่อไป ความรับผิดชอบจากการพ่ายแพ้ในศึกสงครามจะตกอยู่ที่ราชันย์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้นในวันนี้ข้าจะชิงชนชั้นราชันย์ของเจ้ามา”
“ย อย่างไร…?”
คิมูระตอบเสียงสั่น
“สิ่งที่เจ้าสวมใส่อยู่ที่เอว … นั่นคือแกนวิญญาณของเจ้า กล่าวคำสาบานต่อข้าขณะถือมันไว้ซะ”
คิมูระดึงแกนวิญญาณของเบอร์โรลออกมาตามคำสั่งของคังชอลอิน
“คุกเข่าแล้วแตะแกนวิญญาณของเจ้ามาที่ดาบข้า พูดตามข้า ข้า…”
“ข้า…”
“จะยอมมอบทหารและดินแดน…”
“จะยอมมอบทหารและดินแดน…”
“แก่ผู้ที่ได้รับชัยชนะเหนือข้า…”
“แก่ผู้ที่ได้รับชัยชนะเหนือข้า…”
“แด่ราชันย์แห่งลาพิวต้า คังชอลอิน”
“แด่ราชันย์แห่งลาพิวต้า คังชอลอิน”
“ส่วนข้าจะเหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า”
“ส่วนข้าจะเหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า”
เมื่อคำปฏิญาณได้ดำเนินต่อไป แกนวิญญาณของลาพิวต้าและเบอร์โรลก็เริ่มเปล่งแสงสว่าง
“และข้าจะขอสละสถานะของข้าในชนชั้นราชันย์”
“และข้าจะขอสละสถานะของข้าในชนชั้นราชันย์”
ทันทีที่คิมูระกล่าวคำคำปฏิญาณเสร็จ แกนวิญญาณของเบอร์โรลก็เผาไหม้เป็นสีแดงฉาดและจากนั้น …
แคร่ก!
แกนวิญญาณเบอร์โรลได้พังทลายจนเป็นแค่เพียงเศษซาก
ท่ามกลางซากของแกนวิญญาณเบอร์โรลที่แตกสลาย พลังงานเวทมนตร์ได้หลั่งไหลเข้าสู่แกนวิญญาณของคังชอลอิน
จากนั้นก็มีหน้าต่างข้อความปรากฏขึ้นมา
[ท่านได้รับอำนาจสิทธิ์ในการควบคุมดินแดนเบอร์โรล]
[ท่านได้เลื่อนเป็นระดับ 5 ด้วยการพิชิตจากข้าศึก]
[ท่านได้รับ 50 คะแนนราชันย์ด้วยการพิชิตจากข้าศึก]
[บรรลุระดับ 14!]
[บทฝึกที่ 1 สำเร็จ!]
[รางวัลสำหรับเควสที่ทำได้สำเร็จ: ประสบการณ์ + 500 / 20 ทอง / บัตรผ่านประตูมิติ(ไม่จำกัด)]
เนื่องจากเป็นเพียงข้อมูลสรุปจึงไม่ได้มีรายละเอียดมากเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตามตอนนี้มันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าอำนาจสิทธิ์ปกครองเบอร์โรลได้ตกมาอยู่ที่คังชอลอิน เช่นเดียวกับมดที่รอดชีวิตและทองคำของคิมูระที่ได้โยกย้ายมาเป็นของคังชอลอินโดยสมบูรณ์ทั้งหมด เว้นเพียงแต่ทิโมธีเท่านั้น
นอกจากนี้เนื่องจากเขาสามารถทำเควสบทฝึกที่ 1 ได้สำเร็จและได้รับรางวัลตามมา แม้จะเป็นชัยชนะที่น่าเบื่อเกินกว่าจะยินดีแต่รางวัลที่ได้รับยังคงเป็นสิ่งที่ดีงาม
“จบ…จบแล้วงั้นหรือ?”
คิมูระพูดเบา ๆ
“ใช่ มันจบแล้ว”
“ข้า ข้าขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งต่อทุก…”
คิมูระเป็นลมหมดสติล้มไปกับพื้นโดยที่ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค
“พาตัวออกไป”
ทันทีที่คังชอลอินออกคำสั่ง ทหารสองนายก็ได้พาตัวคิมูระออกไปจากห้องโถง
‘เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลากลับโลกอีกครั้งแล้ว”
เมื่อเทียบกับสามหรือสี่วันที่เขาเคยคาดการณ์ไว้จากในตอนต้นเขากลับต้องใช้เวลานานถึงสองสัปดาห์อยู่ที่แพนเจีนซึ่งเป็นการเลื่อนเวลาที่นานออกไปมาก
อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถกลับไปได้ในทันที
เขาต้องดูแลมดที่รอดชีวิตและคางคกเพลิงที่เขาได้รับมาจากคิมูระ จากนั้นก็ต้องมอบรางวัลแก่เหล่าทหารของเขาที่มีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้ รวมถึงการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับดินแดนเบอร์โรลต่อ
เพื่อจะได้กลับสู่โลกอีกครั้ง เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามวัน
‘นอกจากนี้ถึงเวลาที่ต้องกลับไปจ่ายดอกเบี้ยด้วยใช่ไหมนะ?’
คังชอลอินที่ยืมเงินมาเป็นจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มอันขมขื่น เขาอาจต้องบอกให้ลูเซียนำเงินในคลังส่วนตัวออกมาก่อน อย่างไรก็ตามอาจจะมีทองคำที่ได้รับจากคิมูระเหลืออยู่สักเล็กน้อยดังนั้นมันน่าจะพอมีเหลืออีกมากหลังการไปใช้ชำระหนี้เสร็จแล้ว และหากมันยังมีเหลือมากพอเขาอาจมอบมันเป็นทุนให้กับแม่เพื่อให้แม่ของเขาได้หาเช่าอพาร์ตเมนต์ดี ๆ แห่งใหม่
มันเป็นเรื่องจริงที่คังชอลอินไม่สามารถหลบหนีจากความกังวลเรื่องหนี้สินและค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ได้พ้น แน่นอนว่าถ้ายิ่งเวลาผ่านไปนานกว่านี้เท่าไหร่เขาจะสามารถมีเงินได้หลายล้านแทนที่จะเป็นเพียงแค่หลักหมื่น แต่มันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณหนึ่งปี
.
.