THE NEXT WITCH’S JOURNEY – ว่าที่แม่มดมือใหม่ 1.3 ความมืดใต้หุบเขา

ตอนที่ 1.3 ความมืดใต้หุบเขา

เป็นดังที่อาจารย์พูดไม่มีผิด เพราะผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก โชคดีที่พวกเธอพบกับโพรงใต้หินผาหลังจากฝนเพิ่งตกได้ไม่นาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังช้าเกินไปนิดหน่อย ด้วยกว่าจะวิ่งไปถึงชะง่อนหินที่ยื่นออกมาเหมือนกันสาด พวกเธอก็เปียกปอนไม่ต่างจากเพิ่งไปกระโดดแม่น้ำมายังไงยังงั้นเสียแล้ว

“เห็นเมฆครึ้มเหมือนฝนจะตกมาตั้งหลายวันแต่ก็ไม่ยอมตกสักที มาทีนี้นึกจะตกก็ตกเอาซะดื้อ ๆ แบบนี้เนี่ยนะ” วาร์ริบ่นระหว่างดึงข้าวของจากกระเป๋าสะพายหลังออกมาเรียงบนพื้น เสียงซ่าดังสนั่นกลบทุกสรรพเสียงของโลกใบนี้ ม่านน้ำหนาทึบปกคลุมนอกชะง่อนหินกระทั่งมองไม่เห็นเส้นทางที่ผ่านมาเลยทีเดียว

หลังย้ายสัมภาระทั้งหมดมาไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงก็เทน้ำออกจากกระเป๋า

“แล้วไม่ดีหรือ พวกเรากำลังต้องการเสบียงสำหรับการเดินทางอยู่พอดี” เอลเดรดยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางหยิบชามไม้จำนวนสามใบออกมาวางเรียงบริเวณด้านนอกที่กำบัง จากนั้นก็ใส่กิ่งไม้สีน้ำตาลอ่อนหงิกงอลงชามละหนึ่งกิ่ง “โลกเองก็จำเป็นต้องได้รับการชำระล้างเป็นพัก ๆ ”

“แต่อย่างน้อยก็ให้หาที่หลบก่อนค่อยตกก็ไม่ได้นะ เนี่ย! เปียกไปหมดเลย” วาร์ริบ่น

“คิดในแง่ดีสิ เจ้าไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรือ” เอลเดรดหัวเราะ

เด็กหญิงมองค้อนอาจารย์ตน “อาจารย์เองก็ใช่ว่าจะตัวหอมสักหน่อย! อาจารย์น่ะเหม็นกว่าข้าอีก!”

เอลเดรดยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม

วาร์ริทำหน้ายู่ หมุนตัวว่าจะกระทืบเท้าออกห่างจากเอลเดรดไปอีกทาง ตอนนั้นเองที่สายลมอันน่าขยะแขยงขุมหนึ่งพัดวูบมาปะทะกับเธอ

เด็กหญิงขาอ่อนยวบ เธอล้มแผละลงกับพื้นพร้อมความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ร่างสั่นสะท้านจากความประหวั่นพรั่นพรึงประหนึ่งถูกแตะต้องด้วยเงื้อมมือของความตาย ท้องไส้ปั่นป่วนพยายามจะขย้อนความว่างเปล่าเหม็นเปรี้ยวกลับออกมา สัมผัสลี้ลับนั้นชวนสะอิดสะเอียนราวกับกองเนื้อเน่าเปื่อย บิดเบี้ยวและอัปลักษณ์ยิ่ง

เธอหายใจไม่ออก สายตาคล้ายปกคลุมด้วยความมืดมิด เด็กหญิงใช้มือยันพื้นก่อนที่ศีรษะจะโยกมาทางด้านหน้ามากเกินไปกระทั่งไม่อาจทรงตัวได้อีก

วินาทีนั้นฝ่ามือหยาบกระด้างใหญ่โตก็คว้าไหล่วาร์ริ ฉับพลันอากาศหลั่งไหลเข้าปอดเช่นเดียวกับความอบอุ่นถ่ายทอดผ่านทางมือข้างนั้นแล้วแผ่ซ่านทั่วร่างผลักไสความหนาวเหน็บลึกลับเสียวสยองออกจากร่างเล็ก ๆ ของเธอ

“อาจารย์…” เธอพึมพำ เงยขึ้นมองเอลเดรดที่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างเธอ นัยน์ตาสีเขียวเจิดจ้าเป็นดั่งสมอยึดโยงเด็กหญิงไว้กับความเป็นจริงที่ว่าเธอไม่ได้ตัวคนเดียว เธอยังมีอาจารย์ผู้แข็งแกร่งคอยเคียงข้างอยู่ทั้งคน

เธอจะต้องไม่เป็นไร

“ตั้งสติไว้ ไม่ว่ายังไงข้าก็อยู่กับเจ้าเสมอ” เอลเดรดบีบไหล่เธอแรงขึ้นนิดหน่อย เขาเบือนหน้าจากเด็กหญิงไปจับจ้องบางสิ่ง

วาร์ริมองตามสายตาของเอลเดรดไปพบกับรอยแยกบนแผ่นหิน ภายในรูทรงสามเหลี่ยมอัดแน่นด้วยความมืดมิดขนาดแสงฟ้าแลบก็ไม่อาจทะลุผ่านได้ มืดเสียยิ่งกว่ารัตติกาล รอบรอยแยกคือเส้นแตกร้าวมองเผิน ๆ ไม่ต่างจากเส้นเลือดเปรอะเปื้อนด้วยคราบดำเสมือนถูทาด้วยน้ำมันดิน คิดอีกทีไม่แน่ว่านี่อาจเป็นรอยไหม้จากการถูกสายฟ้าฟาดใส่ ไม่หรอก ไม่น่าเป็นไปได้ ฟ้าผ่าที่ไหนจะผ่าลงมาใต้ชะง่อนหินแบบนี้ได้ล่ะ

สายลมยะเยือกอีกระลอกพัดวูบออกจากความมืดในรู ครั้งนี้วาร์ริได้ยินเสียงกระซิบกระซาบแผ่วค่อย แม้จะอธิบายไม่ได้ กระนั้นเธอก็แน่ใจว่ามันเป็นการเชื้อเชิญ

โลกทั้งใบสว่างไสว จากนั้นเสียงคำรามของท้องนภาก็ดังขึ้น

“ใครบางคน… อยู่ในนั้น” เธอพึมพำ “อะ อาจารย์ได้ยินไหมคะ”

“มาเถอะ” เอลเดรดไม่ตอบคำถามตรง ๆ เขาช่วยพยุงเธอขึ้น วาร์ริหันไปมองอาจารย์ของตนอย่างไม่เชื่อหู “เราเข้าไปดูให้แน่ใจกันเถอะ”

“พะ พูดอะไรน่ะ จะ จะ จะเข้าไปในนั้นหรือคะ!?! ที่น่ากลัวแบบนั้น!!!”

“ใช่สิ ในเมื่อฝ่ายนั้นลงทุนส่งเสียงเรียกออกมาแบบนี้ ถ้าไม่ตอบรับก็ดูจะเสียมารยาทไปหน่อย เจ้าไม่คิดงั้นหรือ”

“ไม่เลยค่ะ!!!” วาร์ริสั่นหัวดิก

ทว่าต่อให้เธอจะแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยขนาดไหน อาจารย์ก็ไม่สนใจเธอสักนิด เอลเดรดหยิบตะเกียงเจ้าพายุจากกองข้าวของที่ถูกนำออกมาจากกระเป๋าเพื่อตากแห้ง เด็กหญิงเห็นเขาก้ม ๆ เงย ๆ เหนือตะเกียงครู่หนึ่ง จากนั้นไฟในตะเกียงก็ติดพรึบ แสงสีเหลืองให้ความรู้สึกอุ่นใจแปลก ๆ สว่างทั่วบริเวณที่ล้อมรอบด้วยม่านน้ำแห่งนี้ทันที

“อาจารย์ เราไม่เข้าไปได้หรือไม่” เธอลองพยายามเป็นครั้งสุดท้าย ทว่าเอลเดรดกลับเดินดุ่ม ๆ แทรกตัวเข้าไปในนั้นแล้ว “อาจารย์คะ!”

ไม่จำเป็นต้องคิดด้วยซ้ำ วาร์ริรีบไล่ตามอาจารย์ไปทันที ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เด็กหญิงก็รู้ดีว่าที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอก็คือข้างกายอาจารย์นั่นเอง

ตอนที่วาร์ริเบียดตัวผ่านรอยแยกรูปสามเหลี่ยมบนแผ่นหินเข้าไป เธอรู้สึกราวกับก้าวทะลุบางสิ่งที่ทั้งเย็น นิ่มหยุ่นและเปียกชื้น ความมืดคล้ายขยับเปิดทางให้เธอ ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกมันหนีแสงจากเปลวไฟตะเกียงในมือของอาจารย์ต่างหาก ชั่วขณะหนึ่งที่เธอมองเห็นอย่างกับพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตก็ไม่ปาน

ความเย็นภายในรอยแยกไม่ใช่แค่ความเย็นธรรมดาทว่ามีสภาพประหนึ่งคลื่นอารมณ์ความรู้สึกด้านลบซึ่งอัดแน่นกระทั่งมีตัวตนขึ้นมาในความเป็นจริง เช่นความกลัวมหาศาลที่โอบล้อมเด็กหญิงทุกทิศทาง วาร์ริชะงัก จู่ ๆ กำแพงหินทั้งสองด้านรวมถึงเพดานก็เคลื่อนที่ปุบปับเข้ามาหาด้วยหมายจะบดขยี้เธอ

“วาร์ริ อยู่ใกล้ข้าไว้” เสียงอาจารย์ดึงสติเด็กหญิงกลับมา เวลานี้เอลเดรดยืนอยู่ตรงหน้า มือข้างที่ไม่ได้ถือไม้เท้าซึ่งแขวนตะเกียงเอาไว้วางบนไหล่เธอ วาร์ริกะพริบตาปริบ พบว่าผนังกับเพดานไม่มีการเคลื่อนที่แต่อย่างใด พวกมันนิ่งสนิทไร้ชีวิตเช่นที่เป็นมาตลอด น้ำหนักของมือเตือนวาร์ริว่าเธอจำเป็นต้องตั้งสติให้ดี ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่ากระแสความกลัวที่อบอวล ณ ที่แห่งนี้อาจถึงขั้นเอาชีวิตเธอได้เลยทีเดียว “ความมืดภายในนี้รุนแรงยิ่งนัก”

วาร์ริเข้าใจดีว่า ‘ความมืด’ ที่อาจารย์พูดถึงหาได้หมายถึงสภาพแวดล้อมตามจริงแต่อย่างใด

“อาจารย์คะ ที่นี่คืออะไรกัน” วาร์ริถามเมื่อทั้งสองหลุดจากช่องแคบระหว่างก้อนหินมาสู่เส้นทางกว้างขวางมากขึ้น ทางเดินลาดลงต่ำและโค้งไปทางซ้ายเล็กน้อย พื้นมีลักษณะเป็นขั้นกว้างบ้างแคบบ้างคล้ายขั้นบันไดชื้นแฉะ ฉากเหล่านี้ไม่มีความเป็นธรรมชาติสักนิด มันเป็นฝีมือมนุษย์สร้างชัด ๆ ยกเว้นก็หินงอกหินย้อยที่ประดับตามสองข้างทางนั่นแหละ

เหมือนกับพวกเธอกำลังอยู่บนบันไดวนกว้าง ๆ ยังไงยังงั้น

ในตอนที่เด็กหญิงเริ่มเชื่อว่าเส้นทางอาจไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าพวกเธอจะไปโผล่ในนรกโน่น วาร์ริกับอาจารย์ก็หลุดออกจากทางลาดเลี้ยวโค้งมาสู่ความเวิ้งว้างกว้างใหญ่มโหฬารที่แสงตะเกียงในมือเอลเดรดไม่อาจส่องไปถึงขอบเขตแต่ละด้านได้เลย ข้างล่างนี้หนาวเหน็บเสียยิ่งกว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมารวมกัน เสียดแทงผ่านเนื้อหนังเข้าถึงจิตวิญญาณซึ่งวาร์ริมั่นใจว่าหากเธอเพียงคนเดียวลงมาก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอน่าจะมีเวลาหายใจไม่กี่วินาทีก่อนหัวใจจะหยุดเต้นจากความกลัวเกินขีดจำกัด สายลมกระโชกราวเสียงโหยหวนของปีศาจร้าย หอบกลิ่นเหม็นอับหมักหมมนานนับศตวรรษ

วาร์ริหายใจไม่ออก ไม่ใช่แค่จากกระแสความรู้สึกด้านลบที่พยายามบดขยี้ลงมาเท่านั้น ทว่ายังเพราะความเก่าแก่ตายซากข้างล่างนี้ด้วย

เด็กหญิงสะดุดบางสิ่ง วัตถุเบาหวิวกระเด็นหายไปพร้อมเสียงแกรกกรากแบบสิ่งมีชีวิตหลายขา เธอกำลังจะกรี๊ดออกมาแต่วินาทีนั้นเองฝ่ามือแข็งแรงและอบอุ่นตรงข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่โอบล้อมเธออยู่เวลานี้ก็วางลงบนศีรษะเด็กหญิง หยุดเธอจากความผวาสุดขีดเสียก่อน

“เจ้าควรระลึกให้ดีว่าความกลัวนั้นเป็นสิ่งที่จิตของตัวเองสร้างขึ้น โดยเฉพาะคนที่รู้ไม่เท่าทันมันก็ยิ่งเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็นมากนัก” เอลเดรดพูด รอยยิ้มของเขาช่วยให้วาร์ริสามารถคงสติไว้ได้ “ความกลัวในปริมาณที่เหมาะสมมีประโยชน์ในการเอาตัวรอด เป็นสัญชาตญาณช่วยให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน แต่หากมีมากเกินไป น้ำหนักของมันจะถ่วงจิตใจกระทั่งทำให้สูญเสียตัวของตัวเองไป และก็ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้เลวร้ายกว่าการไม่รู้จักตัวเองอีกแล้ว”

เอลเดรดสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็ผ่อนจนหมดปอด เสียงหายใจอย่างสงบของเขาลากยาวสะท้อนหายไปในความมืด แล้วสิ่งแปลกประหลาดที่สุดก็เกิดขึ้น

 

THE NEXT WITCH’S JOURNEY – ว่าที่แม่มดมือใหม่

THE NEXT WITCH’S JOURNEY – ว่าที่แม่มดมือใหม่

Score 10
Status: Completed
ในดินแดนที่ถูกความเสื่อมทรามครอบงำ เอลเดรด พ่อมดปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เวทมนตร์ และวาร์ริ เด็กหญิงผู้ใฝ่รู้ ออกเดินทางฝ่ามรสุมแห่งความชั่วร้ายเพื่อตามหาความจริงและทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้แก่กันและกัน แต่ท่ามกลางอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกในทุกหัวระแหง การเดินทางครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งสองต้องเผชิญกับผู้ใช้ศาสตร์มืดสุดร้ายกาจ ขุนนางทรราช และหายนะทั้งหกที่ถูกส่งลงมากวาดล้างมนุษยชาติ นอกจากนี้พวกเขายังต้องแฝงตัวเข้าสู่มหาวิหารของลัทธิคลั่งที่เคยตามล่าผู้ใช้เวทมนตร์จนแทบสิ้นซากเพื่อค้นหาคัมภีร์ต้องห้ามอันทรงพลังและไขปริศนาการฆาตกรรมต่อเนื่องของปีศาจ การผจญภัยครั้งนี้จะนำพาพวกเขาไปพบกับความลับดำมืดที่อาจคร่าชีวิตหรือพลิกชะตาของโลกทั้งใบกันแน่ ขอเชิญเข้าสู่โลกแฟนตาซีอันเต็มไปด้วยด้านมืดของมวลมนุษย์กับการต่อสู้แห่งศรัทธาและพลังเวทมนตร์!

Options

not work with dark mode
Reset