ความว่างเปล่ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่เรียกว่าว่างเปล่านั้นก็เพราะมันไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากกองหินขรุขระใต้ผืนฟ้าขมุกขมัว นาน ๆ ทีจึงจะเจอพุ่มไม้หนามเตี้ย ๆ สักต้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่วาร์ริรู้สึกว่าแต่ละย่างก้าวของเธอจำเป็นต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติหลายเท่า อาจตั้งแต่เส้นทางเริ่มชันขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ลืมไปแล้วว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ เมื่อเช้า เย็นวาน หรือก่อนหน้านั้นกันแน่นะ
ภูเขาหินมหึมาหลายลูกทอดตัวอยู่ไม่ไกล ล้อมรอบวาร์ริจากทุกทิศทาง เด็กหญิงไม่กล้าหันกลับไปมองด้วยกลัวจะพบว่าเวลานี้เธอขึ้นมาจนสูงขนาดไหนแล้ว เธอไม่เคยรู้ว่าตัวเองกลัวความสูงมาก่อนก็จนตอนนี้เอง และพื้นผิวหินที่เต็มไปด้วยรูกับช่องว่างก็ไม่เอื้อต่อการเดินเลยสักนิด เธอจำเป็นต้องใช้มือช่วยยึดเกาะในบริเวณที่ชันเกินไปซึ่งก็ปรากฏมีมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งฝ่ามือเล็ก ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งที่มือคู่นี้เคยผ่านการทำงานอย่างหนักมากระทั่งด้านและหยาบพอสมควรแล้ว ทว่าเอาเข้าจริงพวกมันก็ยังไม่เพียงพอต่อสภาพแวดล้อมเช่นนี้ด้วยซ้ำ
ท้องไส้วาร์ริโหวงวูบแทบจะตลอดเวลา หินใต้ฝ่าเท้าเธอให้ความรู้สึกโคลงเคลงในทุกย่างก้าวราวกับจะพังทลายและลากเธอกลับสู่เบื้องล่าง ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอจะต้องเจ็บมากแน่ ๆ
พริบตานั้นหินใต้เท้าซ้ายของเด็กหญิงก็หลุดจากการยึดกับรอบข้าง ร่างผอมแห้งของวาร์ริกระแทกกับพื้นผิวแข็งเต็มไปด้วยก้อนหินยื่นออกมาที่ต่อให้ไม่คมถึงขั้นสามารถแทงทะลุตัวเธอได้ แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้ไม่น้อย กระนั้นความกลัวที่เกิดอย่างฉับพลันนั้นดูจะมากกว่าความเจ็บปวดมากนัก วาร์ริพยายามจิกนิ้วลงในร่องหินขณะที่ร่างของเธอเริ่มไถลลง ปากก็ร้องเรียกหาอาจารย์ไปด้วย
“ใจเย็น” ชายผู้ถูกเรียกในฐานะ ‘อาจารย์’ เอื้อมมือมาคว้าแขนเธอ เพียงเขาออกแรงเล็กน้อยก็สามารถดึงวาร์ริกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง “สิ่งต่าง ๆ ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยความคิด แล้วเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจิตของเจ้าถูกครอบงำด้วยความกลัวน่ะ”
“ข้า…” วาร์ริพยายามทำความเข้าใจคำพูดของเขา ถึงงั้นมันก็ไม่ง่ายเลยในขณะที่หัวใจเธอยังคงสูบฉีดความกลัวอย่างบ้าคลั่ง
“เอาเถอะ ข้าเองก็คิดว่านี่น่าจะถึงขีดจำกัดของเจ้าแล้วละ” อาจารย์ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน “เราจะพักกันสักหน่อย”
อาจารย์ชี้ไปทางขวามือ วาร์ริกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากจุดที่อาจารย์ชี้ไปนั้นเป็นลานโล่งไม่ถึงกับกว้างเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ชันเหมือนจุดที่เธออยู่เวลานี้ ที่สำคัญมันยังมีหินผิวเรียบก้อนเบ้อเริ่มเหมาะแก่การนั่งพักบนนั้นเป็นอย่างยิ่งอีกสองก้อนตั้งอยู่อีกด้วย ก้อนหนึ่งสำหรับเธอ ส่วนก้อนที่ใหญ่กว่าเกือบเท่าตัวเป็นของอาจารย์ ความประหลาดของมันอยู่ตรงที่เด็กหญิงสาบานได้ว่าก่อนหน้านี้ที่มองไปทางนั้น เธอไม่เห็นอะไรเลยนอกจากชั้นหินขรุขระลาดชันไม่ต่างจากตลอดทางที่ผ่านมาและเส้นทางเบื้องหน้าที่กำลังมุ่งไป จนเมื่ออาจารย์ชี้ให้ดูนั่นแหละ เธอจึงตระหนักถึงจุดพักที่ไม่น่าจะมีอยู่เป็นครั้งแรก
“อาจารย์ ข้าไม่เห็นว่าตรงนี้มีจุดพักมาก่อน” วาร์ริเอ่ยหลังจากอาจารย์กับเธอนั่งลงบนหินทั้งสองก้อนเรียบร้อยแล้ว
“เพราะเจ้าไม่ได้ตั้งใจสังเกตไงล่ะ”
เอลเดรดคือนามอาจารย์ของเธอ หนึ่งในชื่อเสียงเรียงนามที่มีอยู่มากมายของเขา เอลเดรดผู้ทรงภูมิ คาไรอาบินส์ผู้ลึกลับ อาชญากรนอกรีตแห่งอีอะเทม และอีกนับไม่ถ้วน เอลเดรดเป็นชายรูปร่างปานกลาง ซ่อนตัวอยู่ใต้เสื้อคลุมสีน้ำตาลรุ่มร่ามซ่อมซ่อ ภาพลักษณ์ของเขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูธรรมดาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ชายผู้อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพผิดจากคนทั่วไปในยุคอันเสื่อมทรามนี้ เอลเดรดมักสะพายย่ามใบใหญ่ที่ไหล่ซ้ายและถือท่อนไม้ยาวกว่าหนึ่งเมตรสำหรับช่วยเดินด้วยมือขวา
เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนแซมเทาราวกับสัญญาณเริ่มต้นของช่วงวัยสุดท้ายแห่งชีวิต เอลเดรดไว้ผมยาวแต่ไม่ปล่อยรุ่มร่ามรวบเป็นกระจุกกลางกระหม่อม นัยน์ตาเรียวม่านตาสีเขียวอ่อนโยน หนวดเหนือริมฝีปากและเคราตลอดแนวกรามถึงคางตัดแต่งสั้นเป็นระเบียบ
“แต่ข้ามั่นใจว่าไม่เห็นตรงนี่จริง ๆ นะ” วาร์ริยังไม่เลิกสงสัยง่าย ๆ “นี่คงไม่ใช่การกระทำของอาจารย์ใช่ไหมคะ”
เอลเดรดไม่ตอบ เขาแค่ส่งยิ้มบาง ๆ ที่เด็กหญิงคุ้นเคยมาให้ วาร์ริจ้องเขาเขม็งอย่างไม่ยอมแพ้ขณะที่อาจารย์มองตอบเธอด้วยแววขบขัน
“ยื่นมือมา” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด “ทั้งสองข้างเลยนั่นแหละ”
“อาจารย์จะโชว์เวทมนตร์ให้ดูหรือคะ” เธอถามขณะที่เอลเดรดเริ่มคุ้ยหาบางอย่างในย่ามหนังของเขา
“ทายาต่างหาก” เอลเดรดว่า วาร์ริสะดุ้งตอนที่เขาควักของเหลวสีเขียวอมฟ้าจากตลับไม้จากนั้นชโลมลงบนฝ่ามือข้างขวาของเธอ ความรู้สึกเย็นวาบผสมกับความแสบเล็กน้อยเกิดขึ้นในวินาทีแรกก่อนแปรเปลี่ยนเป็นอาการชาและอบอุ่น “ถูมือทั้งคู่ด้วยกันแล้วนั่งนิ่ง ๆ สักครู่” เขาสั่ง
วาร์ริอยู่กับเอลเดรดมานานจนพอรู้ว่าท่าทางนี้ของอาจารย์คือการปิดปากเงียบอย่างจงใจ เมื่อไม่มีทางเค้นข้อมูลจากปากเขาได้ เด็กหญิงจึงเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นแทนเสีย “อีกไกลแค่ไหนหรือคะกว่าเราจะพ้นจากตรงนี้”
เอลเดรดเบือนหน้ามองไปรอบ ๆ พื้นที่ลาดชันซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากหินขรุขระสีเทากับผืนฟ้าปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆสีเข้มยิ่งกว่า “นั่นสินะ อย่างน้อยเราก็ควรข้ามเนินนี่ให้ได้ภายในสองชั่วโมง ไม่สิ สักหนึ่งชั่วโมงครึ่งละมั้ง”
“มีอะไรหรือคะ”
“ธรรมชาติแปรปรวนน่ะ” เอลเดรดตอบ “มาเถอะ พอเริ่มหายเหนื่อยแล้วใช่ไหม”
วาร์ริปิดปากเงียบ ก้มลงมองพื้น ท่าทางนั้นเป็นการปฏิเสธชัดเจน เอลเดรดถอนหายใจ เขาลุกยืนขึ้น ยื่นมือมาขยี้ผมเธอเบา ๆ
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”