“แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ส่งคนมาเพิ่มล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “นี่จะส่งเรามาตายเหรอไง ส่งกองทัพมากำจัดโจรก็จบแล้ว!”
“นายรู้หรือเปล่าว่าทำไมที่นี่เรียกว่าแดนเถื่อน” หยางเสียวจิ่นว่า “เป็นเพราะว่า ที่นี่คือศูนย์กลางที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่สี่แห่ง ซึ่งสามแห่งได้แก่สมาคมตระกูลจง ตระกูลหยาง และป้อมปราการ 178 ใครก็ตามที่ส่งทหารเข้ามาย่อมทำให้อีกสองฝ่ายเกิดความระแวง ทั้งสามฝ่ายจับตากันเองเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่อยากให้อีกฝ่ายได้พื้นที่นี้ไปครอง
“ที่นั่นก็เลยกลายเป็นสถานที่รวมตัวกันของพวกโจรเพราะสุดท้ายไม่มีใครทำอะไรได้สินะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ถึงว่าทำไมทั้งสามฝ่ายถึงออกปฏิบัติภารกิจปราบโจรนี้ด้วยกัน ขนาดที่สูเสี่ยนฉู่ต้องเดินทางมาสมาคมตระกูลหยางเป็นการเฉพาะเลย”
“ใช่ ที่นั้นถึงกับมีโจรกลุ่มใหญ่ปักหลักและคอยชิงตัวผู้อพยพหญิงไปปรนเปรอ” หยางเสียวจิ่นว่า “ถ้าต้องส่งกองกำลังมาปราบโจรล่ะก็ ทั้งสามฝ่ายก็ต้องร่วมมือกัน ในเมื่อทุกคนอยากฆ่าพวกโจร ภารกิจนี่ยังไงก็ต้องดำเนินการ”
“ทุกคนก็น่าจะส่งกองทัพมากันหมดสิ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างพูดอะไรไม่ออก “จะส่งพวกเรามาทำเพื่อ?”
“เพราะภูมิประเทศซับซ้อนแปลกประหลาด พวกโจรเลยซ่อนตัวในหุบเขาได้ง่ายมาก” หยางเสียวจิ่นว่า “ดังนั้นต้องมีคนมาทำความเข้าใจต่อสภาพการณ์ของพวกโจรในทั่วทั้งหุบเขาก่อน สืบเสาะหาที่ตั้งโจร ดูว่ามีโอกาสที่จะกำจัดหมดทีรวดเดียวได้ไหม จะได้คิดแผนอะไรต่อไปได้ถูก”
ว่าแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าใจว่าพวกเขามาที่นี่เพราะทำการสืบหาเส้นทาง ไม่ได้จำเป็นต้องเข้าร่วมการสู้รบไหน เขากับหยางเสียวจิ่นไม่ได้อยู่ในแผนการตั้งแต่เริ่มแล้ว ภารกิจตั้งต้นควรจะมีแค่ทหารนาโนแมชชีนสามสิบนายมาพร้อมกับทหารของสมาคมตระกูลจง
ถ้าส่งกองทัพเข้ามาในหุบเขาตรงๆ เลย พวกโจรต้องหลบไปซ่อนหรือหนีไปแน่ อีกอย่างกองกำลังทั้งสามฝ่ายจะทะเลาะกันเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“ตอนที่พูดว่าจะสลัดพวกเขาออกนี่ หลักๆ คืออยากสลัดจงเฉิงใช่ไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ใช่” หยางเสียวจิ่นพยักหน้า “สมาคมตระกูลจงคุ้นชินกับในหุบเขามากกว่า พวกเขาเสนอว่าจะนำทางเองรอบนี้ แต่ว่าเดิมทีปัญหาโจรก็มีต้นตอมาจากพวกเขา โจรหลายกลุ่มก็มีสายสัมพันธ์กับพวกเขา ถ้าให้พวกเขานำก็มีแต่จะเห็นสิ่งที่พวกเขาอยากให้เห็น”
เช่นนั้นจึงต้องสลัดสมาคมตระกูลจงทิ้งไม่ให้พวกเขามาจูงจมูกเอาได้
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีปัญหากับเรื่องนั้น พูดตามตรงหยางเสียวจิ่นบ้าระห่ำ คนธรรมดาที่ไหนเขาจะบุกเข้ามาในรังโจรแบบนี้กัน เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ไม่กลัวเหรอว่าจะเกิดเรื่องระหว่างทาง”
หยางเสียวจิ่นเหลือบมองเขา “ฉันมีนายคอยคุ้มกันอยู่ไม่ใช่เหรอไง” จากนั้นก็เหยียบคันเร่งเมื่อถึงทางแยก
ตอนที่ออกมาจากป้อมปราการ หยางเสียวจิ่นตั้งใจขับอยู่ท้ายขบวน แต่ตอนนี้ขบวนรถข้างหน้ากำลังมุ่งไปถนนสายรอง ดังนั้นหยางเสียวจิ่นก็ฉวยโอกาสเปลี่ยนเส้นและขับไปทางตะวันตก ขบวนรถข้างหน้าย่อมไม่อาจตั้งตัวได้ทัน
กว่าพวกเขาจะทันสังเกตว่ารถออฟโรดของหยางเสียวจิ่นเปลี่ยนเส้นทางก็สายเกินกว่าจะกลับรถแล้ว พวกเขาได้แต่หยุดรถมองเริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นขับไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทิ้งฝุ่นดินโขมงไว้ข้างหลัง
แดนรกร้างของทางใต้เขียวชอุ่ม ทว่าแค่เส้นทางสั้นๆ ของสองป้อมปราการ ภูมิประเทศก็เปลี่ยนจะเขียวชอุ่มเป็นสีน้ำตาลกากีของเนินทราย ตั้งแต่ที่นี่จนถึงเหนือขึ้นไปยากจะเจอป่าทั้งผืนอีก ต้นไม้ที่พอให้เห็นคือพวกต้มไม้พุ่มต่ำ
ในยุคสมัยก่อนภัยพิบัติ ที่นี่เกิดการชะล้างพังทลายของดินอย่างรุนแรง การกลายเป็นทะเลทรายขยายตัวอย่างไม่หยุดหน่อย มนุษย์ได้แต่พยายามป้องกันด้วยการใช้พลังคน การขนส่ง และเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเข้าทำการพลิกฟื้น
แต่เมื่อภัยพิบัติมาถึง ดินแดนนี้ก็กลายเป็นทะเลทรายไปอย่างสมบูรณ์
จงเฉิงยืนอยู่บนถนน มองรถออฟโรดขับไปทางตะวันตกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทหารนาโนแมชชีนนายหนึ่งที่อยู่นอกรถกล่าว “หัวหน้าหน่วย พวกเราเอาไงดีครับ”
หัวหน้าหน่วยคิดพักหนึ่งและว่า “พวกเราปฏิบัติภารกิจตามแผนเดิม”
หยางเสียวจิ่นกับเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่ในแผนการเดิมที่จะมุ่งไปในหุบเขาลึกทางเหนืออยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้หยางเสียวจิ่นออกจากกลุ่มไปก็ไม่สร้างปัญหาอะไร
จงเฉิงมองทหารนาโนแมชชีนและยิ้มกล่าว “พวกเขาคงมีภารกิจสำคัญกว่าต้องทำ แต่ไม่เป็นไร หวังว่าต่อไปพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างดีล่ะ
…
จากแผนการที่วางไว้ หยางเสียวจิ่นกับเริ่นเสี่ยวซู่ควรจะตามขบวนรถไปตะวันออกที่จะผ่านแนวหน้าที่เขาช่างอิ๋ง เขาเหลียนต่า และเขาติ้งย่วน จากนั้นมุ่งไปใจกลางของหุบเขาต่อ
แต่เมื่อหยางเสียวจิ่นเปลี่ยนเส้นทางไป เธอก็น่าจะผ่านไปทางเขาต๋าป่าน เขาถังหวัง และเขากวนซานก่อนจะมารวมตัวกันกับขบวนรถอีกครั้ง เธอคิดแผนไว้แล้วว่าจะไปเห็นสภาพการณ์จริงของโจรป่าในหุบเขา
หลังจากขับรถมาหนึ่ง พวกเขาก็สละรถและเดินเท้าเอา ถึงนี่จะทำให้การเดินทางช้าลง แต่ก็จะยากถูกระบุตัวว่าเป็นคนของสมาคมใดสมาคมคมหนึ่ง
หยางเสียวจิ่นถึงกับเตรียมผ้าปุปะไว้ พวกเขาจะได้ดูเหมือนผู้อพยพที่หนีออกมาจากโรงงานของสมาคมตระกูลหยาง
หยางเสียวจิ่นว่า “ที่จริงในหุบเขายังมีนิคมมนุษย์ขนาดเล็กจำนวนมากด้วย พวกเขาเป็นผู้อพยพที่ทนการเอารัดเอาเปรียบของสมาคมไม่ไหวเลยหนีมาทำการเกษตรใกล้แหล่งน้ำที่นี่”
“พวกเขาไม่กลัวโจรเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“พวกโจรตั้งใจปล่อยผู้อพยพบางกลุ่มไว้ในหุบเขาและจะไม่ลงมือทำร้ายพวกเขา” หยางเสียวจิ่นว่า “ฉันสงสัยว่าใครเป็นคนวางแนวคิดนี้ให้พวกเขา ถ้าสมาคมออกปฏิบัติการปราบพวกเขาทีไร และเกิดว่าไม่มีเวลาหลบเข้าที่ซ่อนตัว พวกเขาก็แค่ซ่อนอาวุธ หนีไปยังนิคมของผู้อพยพ และก็แสดงเป็นผู้อพยพที่อาศัยอยู่ที่นั่น”
เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจ “ทำแบบนั้นไปแล้วได้อะไรน่ะ”
“สำหรับสมาคม มนุษย์ก็เป็นทรัพยากรประเภทหนึ่ง” หยางเสียวจิ่นว่า “ตอนที่สมาคมตระกูลหยางเริ่มปฏิบัติภารกิจปราบโจรแรกๆ ถ้าพวกเขาเจอผู้อพยพก็จะพาเข้าเมืองน้อยของป้อมปราการ และเอาไปทำงานสร้างมูลค่าในโรงงาน แต่ราวๆ ปีถัดไป พวกโจรที่แอบแสร้งเป็นผู้อพยพก็จะลักพาตัวผู้อพยพจริงๆ กลับเข้าไปในหุบเขา”
“พวกโจรเองก็มีชีวิตไม่ง่ายเหมือนกันนะเนี่ย” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ
“ฉันคิดว่ามีคนคอยให้คำปรึกษาพวกโจรอยู่เบื้องหลัง” หยางเสียวจิ่นว่า
“หรือพวกเขาอาจจะมีคนฉลาดๆ เองได้” เริ่นเสี่ยวซู่พูดขณะยืนอยู่บนเนินทรายแห่งหนึ่ง
“ฉันไม่ได้ต้องการบอกว่าพวกโจรโง่อะไรนะ แต่ว่าต้องมีผู้มีอำนาจบางคนคอยให้การสนับสนุนพวกเขาอยู่แน่” หยางเสียวจิ่นว่า “ไม่กี่ปีก่อน ซากอารยธรรมยุคภัยพิบัติถูกรื้อค้นจนหมดแล้ว ในเมื่อไม่มีอะไรให้ค้น พวกพ่อค้าก็กลัวเกินว่าจะเข้าไป แล้วหลายปีมานี้พวกเขาเอาตัวรอดได้ยังไง โจรพวกนี้จะมีอาวุธกับรถจักรยานยนต์ใหม่บ่อยๆ โจรบางกลุ่มถึงกับรับรู้ข่าวสารล่าสุดด้วย นายคิดว่าพวกเขาไม่มีองค์กรอะไรสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอีกเหรอ ฉันไม่เชื่อหรอก”
Next