แม่นักเรียนมองไปที่พ่อนักเรียนและแค่นเสียงใส่เขา “ฉันจะพูดอะไรก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย นายอาจจะอยากให้ลูกตัวเองเป็นเพื่อนกับผู้อพยพ แต่ฉันไม่อยาก”
พ่อนักเรียนคนนั้นสำลัก พูดอะไรไม่ออก ไม่อยากลดตัวไปคุยกับเธอแล้ว
เสี่ยวอวี้แค่นเสียง “ถ้าฉันปฏิเสธจะย้ายห้องล่ะ”
“ไม่ยอมย้ายห้อง?” แม่นักเรียนร่างเตี้ยยืนเท้าสะเอวและว่า “คิดว่าตัวเองตัดสินใจได้เหรอ ทำไมไม่ถามพ่อแม่นักเรียนในห้องก่อนละว่ายินดีด้วยไหม ทำไมพวกเราสามสิบคนต้องยอมแกด้วย”
เสี่ยวอวี้ “อยากคุยกับฉันก็ยืนขึ้นก่อน ฉันยืนแต่เธอนั่งเนี่ยนะ มารยาทไปไหน คนในป้อมปราการประพฤติตัวแบบนี้กันเหรอ”
เหยียนลิ่วหยวนหลุดหัวเราะยกใหญ่ หวังต้าหลงมองจากด้านข้าง ดูสนุกไม่เลว
แม่นักเรียนกระฟัดกระเฟียดขึ้นมาทันควัน ส่วนสูงเป็นปมด้อยของเธอ และก็เกลียดคนที่พูดถึงเรื่องนี้มาก แต่นี่เสี่ยวอวี้ยังจะมาล้อเลียนเธออีก
เธอขึ้นเสียง “ยัยคนไร้การศึกษา! กล้าพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง ระวัง…”
“ระวังอะไร” เสี่ยวอวี้ “ระวังว่าเธอจะกระโดดขึ้นมาตีเข่าฉันเหรอ”
เหยียนลิ่วหยวนหัวเราะอย่างหนักหน่วง เขานั่งมองเสี่ยวอวี้อยู่กับที่ เงาร่างบอบบางของเธอดูใหญ่ขึ้น
เพื่อเริ่นเสี่ยวซู่และเขาแล้ว หญิงสาวตัวเล็กผู้นี้ได้กลายมาเป็นแม่บ้านที่คอยซักผ้าและทำอาหารให้พวกเขา ในอดีตเธอยินดีจะต่อรองราคาของกับร้านอยู่นานเพื่อประหยัดให้พวกเขาไม่กี่เจี่ยว
และตอนนี้เธอก็พร้อมจะเป็นวีรสตรีพยายามปกป้องเหยียนลิ่วหยวนจากอันตรายอย่างถึงที่สุด
ปกติแล้วเหยียนลิ่วหยวนจะรำคาญเสี่ยวอวี้อยู่หน่อยๆ เธอชอบสั่งให้เขาล้างมือก่อนกินอาหาร พออากาศเริ่มหนาวก็บอกให้เขาใส่ชุดฤดูใบไม้ร่วง เสี่ยวอวี้สั่งให้เขากินผักเพื่อให้ได้สารอาหารครบหมู่ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบ
แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของการเป็นครอบครัว
ราวกับต้องมีเสี่ยวอวี้อยู่ครอบครัวถึงจะเป็นครอบครัว ถ้าพวกเขาไม่มีเธอแล้ว ครอบครัวนี้ก็จะขาดความอบอุ่นสายหนึ่งไป
ขณะมองเสี่ยวอวี้ แม่นักเรียนก็หงุดหงิดกว่าเดิมเพราะไม่อาจมีปากเสียงสู้ได้ เธอรุดตัวเข้ามาจะตบเธอเสี่ยวอวี้ แต่เสี่ยวอวี้หลบทันและตบกลับจนแว่นหลุด หลังจากนั้นเสี่ยวอวี้ก็ไม่ฉวยโอกาสตบเธออีกรอบ แต่ถอยตัวกลับไปแทน
พ่อแม่บางคนรีบเข้ามาห้าม แม่นักเรียนพยายามจะเข้าไปตบเธออีกครั้งแต่ก็หมดโอกาสแล้ว เสี่ยวอวี้ชิงความได้เปรียบมาก่อน ราวกับคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้
เมื่อต้องสู้กันผู้อพยพดุร้ายกว่าคนในป้อมปราการมาก ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
มีคนโพล่ง “ทำไมพวกเราไม่ฟังความคิดเห็นของพวกเด็กๆ หน่อยล่ะ ดูว่าพวกเขาจะพูดอะไร”
มีเด็กคนหนึ่งว่า “ตั้งแต่พวกเขามาถึง กล่องดินสอกับยางลบพวกเราก็หายตลอด…”
เสี่ยวอวี้ทนไม่ไหวแล้ว สบถออกมา “ผายลมหมาอะไร ต้องโตมาแบบไหนถึงโยนขี้ให้คนอื่น ใครไม่มีดินสอยางลบ ฉันซื้อให้ลิ่วหยวนตั้งเยอะแยะ ทำไมยังต้องขโมยอีก”
แต่แม่นักเรียนที่ถูกตบระเบิดโทสะ “กล้าพูดแบบนั้นกับลูกฉันได้ยังไง! ยัยคนสกปรก ดูก็รู้แล้วว่าทำงานอย่างว่าอยู่นอกป้อมปราการ เงินที่ได้มาก็เงินสกปรกทั้งนั้นล่ะสิ!”
เหยียนลิ่วหยวนตะลึง เขาหันขวับไปมองเสี่ยวอวี้ก่อนเห็นว่าเสี่ยวอวี้ที่ร่าเริงนิ่งงันไป นี่เป็นบาดแผลทางใจที่เจ็บปวดที่สุดของเธอ จู่ๆ ก็มีคนเปิดแผลออก เสี่ยวอวี้ดูสับสนทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา ดั่งสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ
ช่วงเวลาที่มืดมนและเศร้าหมองที่สุดในที่ชีวิตที่เสี่ยวอวี้ต้องแบกรับ เพราะเรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกเสมอว่าตนเองไม่อาจหลอมเข้ากับครอบครัวได้ ไม่ใช่ว่าเหยียนลิ่วหยวนและเริ่นเสี่ยวซู่ปฏิบัติต่อเธอไม่ดี แต่เป็นเพราะ…เธอรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควร
เช้าวันนี้ หลีเสี่ยวอวี้รู้สึกว่าโลกช่างกระจ่างสดใส ราวกับเธอได้ปีนออกจากนรกฝันร้ายยามค่ำคืนมากลางโลกอันมีทัศนียภาพสวยสดงดงาม ทว่าตอนนี้เธอกลับถูกลากกลับไปยังนรกขุมนั้นอีกครั้ง
แม่นักเรียนเห็นอัปกัปกิริยาของเสี่ยวอวี้ก็เชิดหน้า “ดูสิ! ดูสิ! ฉันพูดไม่ผิด พูดแทงใจล่ะสิ!”
เหยียนลิ่วหยวนมองเธอและว่า “ฉันขอเตือน อย่าพูดอะไรอีก”
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้” แม่นักเรียนโต้กลับอย่างดุเดือด “ทำไมผู้หญิงสำส่อนแบบเธอถึงเข้ามาร่วมประชุมผู้ปกครองได้”
เหยียนลิ่วหยวนคำราม “ฉันบอกแล้วว่าอย่าพูดอะไร!”
พูดจบเหยียนลิ่วหยวนก็ทะลุพรวดผ่านทุกคนไปตบหน้าเธอ มีหลายคนเห็นเหยียนลิ่วหยวนกระโจนตัวก็พยายามจะเข้าไปห้าม แต่พอเหยียนลิ่วหยวนชนพวกเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าหยุดไม่ได้แล้ว
เด็กหนุ่มผู้นี้แรงเยอะอย่างน่าเหลือเชื่อ! ห้องเรียนตกอยู่ในความโกลาหล โต๊ะหลายตัวพลิกคว่ำไป!
แต่ก่อนที่เขาจะได้ปลิดชีพเธอ เสี่ยวอวี้ก็เข้ามากอดเขาจากข้างหลังและพูดเสียงค่อย “ลิ่วหยวน กลับบ้านกัน”
เหยียนลิ่วหยวนยืนนิ่ง น้ำตาพลันไหลลงมาอาบแก้ม เสี่ยวอวี้พูดเสียงนุ่มนวลอีกครั้ง “ลิ่วหยวน กลับบ้านกันเถอะ”
“ต้าหลง ไป” เหยียนลิ่วหยวนจับมือเสี่ยวอวี้เดินออกจากประตูหน้า เขาไม่อยากเข้าเรียนอีกแล้ว
หวังต้าหลงรีบตามพวกเขาไปติดๆ แต่ก่อนออกก็มิวายถ่มน้ำลายใส่แม่นักเรียนคนนั้น เหยียนลิ่วหยวนตบเธออย่างแรกจนตอนนี้ยังมึนงงไปหมด
ระหว่างทางกลับ เสี่ยวอวี้จับมือเหยียนลิ่วหยวนแน่นเพราะกลัวว่าเขาจะหุนหันพลันแล่นไปฆ่าคนเข้า เธอรู้ดีว่าถ้าเหยียนลิ่วหยวนใช้นาโนแมชชีนเริ่มลงมือฆ่าคนล่ะก็ ห้องเรียนคงได้กลายเป็นแม่น้ำโลหิตสายหนึ่งแน่ และก็จะไม่มีใครห้ามปรามเขาได้แล้ว เธอจับมือเหยียนลิ่วหยวนแน่นเพราะกลัวว่าจะเสียเขาไป และก็ราวกับกลัวว่าเหยียนลิ่วหยวนจะทอดทิ้งเธอด้วย
แต่ก่อนที่เขาจะทันถึงบ้านนั้น ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งมาหาเขา คนขับรถเมาหนักจนไม่อาจเหยียบเบรกได้
คนเดินบนถนนกรีดร้อง แต่ว่าคนขับรถไม่สนใจ ยังเหยียบเร่งความเร็วไม่หยุด
รถเร่งตัวไปบนถนนดั่งยมทูตกำลังเกี่ยวเคียวมรณะใส่
แต่ก่อนที่รถจะมาถึงตัวเหยียนลิ่วหยวน เขาก็ดึงตัวเสี่ยวอวี้และหวังต้าหลงไปยังที่ปลอดภัยราวรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เสี่ยวอวี้มองเหยียนลิ่วหยวนด้วยความนิ่งงัน “เธอ…”
พลังบงการคำสาปเป็นโลกใหม่ที่เสี่ยวอวี้เป็นคนเปิดให้เหยียนลิ่วหยวน ดังนั้นเธอจึงรู้ดีว่าเหยียนลิ่วหยวนมีพลังเช่นนี้ แล้วก็รู้ด้วยว่าทุกครั้งที่ใช้งานก็จะมีผลสะท้อนกลับ
เสี่ยวอวี้กระซิบถาม “เธอตายแล้วหรือยัง”
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ด้านข้างพูดเสียงเรียงนิ่ง “เธอต้องตาย”
“กลับบ้านกันเถอะ” เสี่ยวอวี้ดึงตัวเหยียนลิ่วหยวน ร่างบอบบางของเธอลากเหยียนลิ่วหยวนไปอย่างดื้อรั้นแต่ก็อับจนหนทาง