หลัวหลานวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมคำสบถด่า เขาโมโหจริงๆ ที่ถูกกำลังศัตรูสะกดข่ม “แม่*เอ้ย มีคนคิดจะฆ่าฉัน ดีนะที่ระวังอยู่ตลอด”
แต่หลัวหลานก็แปลกใจอยู่บ้าง ถึงเขาพอเดาออกว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่ไม่คิดเลยว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้
คิดแล้วหลัวหลานก็กระซิบถามลูกน้องที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ก่อนหน้า “เห็นไหมว่าเขาฆ่าเจ้าพวกนี้ยังไง”
ทหารนายนั้นส่ายหัว “เห็นไม่ชัดครับ”
“เจ้าคนพวกนี้เป็นพวกไหนกัน” เริ่นเสี่ยวซู่มองหลัวหลานและว่า “อย่าบอกคนภายนอกล่ะว่าฉันเป็นคนช่วยนาย ฉันไม่อยากเจอปัญหาเพราะเรื่องพวกนี้นะ”
“ได้ๆ แน่นอนอยู่แล้ว” หลัวหลานมองศพบนพื้น “ค้นตัวพวกเขาเผื่อเจอร่องรอยอะไร แต่ว่าคงไม่เจออะไรหรอก ทหารเดนตายไม่มีทางพกของที่ทิ้งร่อยรอยไว้แน่”
และก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ หลังจากค้นไป นอกจากปืนกับซองกระสุนแล้วก็ไม่เจออะไรอีก
หลัวหลานย่อตัวลงและคิดอยู่พักหนึ่ง “ขอฉันคิดก่อน ถ้าฉันตาย ใครจะได้ประโยชน์นะ”
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่บนม้านั่งหินด้านข้างเขา และปล่อยให้หลัวหลานค่อยๆ คิดไป
“เป็นสมาคมตระกูลจงหรือเปล่านะ” หลัวหลานถามด้วยความสงสัย “ถ้าพวกเขาฆ่าฉันได้ สมาคมตระกูลหยางกับชิ่งก็จะเปิดสงครามกันทันที สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติในทางเหนือรอบๆ สมาคมตระกูลจงไม่ดีเท่ากับในทางตอนใต้ พวกเขาจับจ้องพื้นที่นี้มานานแล้วแต่ไม่อาจสู้พวกเราไหว ดังนั้นเลยพยายามแทรกซึมเข้าไปในป้อมปราการ 178 เพื่อเอามาใช้คานอำนาจ ถ้าสมาคมตระกูลหยางกับชิ่งเปิดศึกกัน พวกเขาก็จะนั่งเฉยๆ รอเก็บเกี่ยว”
แต่หลัวหลานก็เปลี่ยนใจและว่า “แต่คนของสมาคมตระกูลจงยังอยู่ในป้อมปราการอยู่เลย ถ้าพวกเขาฆ่าฉัน ชิ่งเจิ่นก็คิดไปในทางนั้นได้เหมือนกันและจะโถมความโกรธไปยังสมาคมตระกูลจงแทน หรือว่าเพื่อปิดบังความจริง สมาคมตระกูลหยางเลยพยายามฆ่าฉันขณะคนของสมาคมตระกูลจงยังอยู่ในป้อมปราการ 88 นะ แบบนี้พวกเขาก็จะบีบให้สมาคมตระกูลจงมารับมือชิ่งเจิ่นด้วยกัน เพราะยังไงสมาคมตระกูลจงก็พิสูจน์ไม่ได้แน่ว่าใครเป็นคนลงมือลอบสังหารฉัน”
เริ่นเสี่ยวซู่หงุดหงิด “วิเคราะห์งี้ไม่ต้องวิเคราะห์ก็ได้”
“แล้วให้ฉันทำไงเล่า” หลัวหลานจ้องเบิกตามอง “ฉันเองก็ไม่มีเบาะแสอะไรเหมือนกัน ก็ต้องเดาไปมั่วๆ เนี่ย”
“เอาเลย เชิญใช้เวลาเดาไปได้ตามใจ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “อย่าลืมล่ะว่าห้ามบอกใครว่าฉันเป็นคนช่วยนาย เดี๋ยววันมะรืนฉันต้องออกไปจากป้อมปราการแล้ว อย่ามาสร้างปัญหาไม่จำเป็นให้ฉัน”
สีหน้าหลัวหลานกลับกลายทันที “นายไปแล้วฉันจะอยู่ยังไง ถ้ามีคนพยายามมาฆ่าฉันอีกล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ลิ่วหยวนยังอยู่ข้างบ้าน” เริ่นเสี่ยซู่พูดอย่างไม่ยี่หระ “แถมเจ้าคนจากสมาคมตระกูลจงก็จะไปกับฉันด้วย พอเขาไปนายน่าจะปลอดภัยแล้ว”
“เอ๋ พวกนายกำลังไปไหนกัน” หลัวหลานสงสัย
“กำลังจะไปปราบโจร” เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดกลับไปบ้านตัวเอง
เขาได้ยินหลัวหลานตะโกนแกมกระซิบ “เดี๋ยวก่อนนะ นายบอกว่าลิ่วหยวนจะปกป้องฉันหรอก เขาสามารถ…”
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มองหลัวหลานเป็นเพื่อนคนหนึ่งจริงๆ แล้ว ซึ่งหลัวหลานเองก็มองเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต่างกัน เริ่นเสี่ยวซู่พร้อมช่วยหลัวหลานอยู่แล้ว
แต่เหตุการณ์คืนนี้ไม่ปกติเลย สมาคมตระกูลหยางกับชิ่งดูจะร่วมมือกันต่อสู้สมาคมตระกูลหลี่ที่แนวหน้าอย่างสันติดี ราวกับหลัวหลานไม่ได้ถูกคุมขังในบ้านอยู่ในป้อมปราการ 88 อย่างไรอย่างนั้น
แต่ใต้ทะเลสงบสุข มีคลื่นน้ำเชี่ยวหมุนวน
ตอนนี้สมาคมตระกูลหลี่ในแนวหน้าที่เขากว่างอิ๋งอยู่ในสภาพจนตรอก กำลังทหารของสมาคมตระกูลหลี่หลายกองถูกบีบให้ใช้สงครามกองโจรสู้รบกับสมาคมตระกูลหยางและชิ่งในภูเขาด้วยความตั้งใจทำลายสายส่งกำลังและเส้นทางเดินทัพของทั้งสองฝ่าย กองกำลังปืนใหญ่ของสมาคมตระกูลชิ่งดุร้ายมาก สมาคมตระกูลหลี่ได้แต่ใช้วิธีนี้ชะลอความย่อยยับของตน
เมื่อความพ่ายแพ้ของพวกเขามาถึง สมาคมตระกูลหยางและชิ่งก็จะเปิดศึกกันเองโดยทันที นี่เป็นสิ่งที่คนจำนวนมากคาดการณ์ไว้
หลัวหลานและเริ่นเสี่ยวซู่เองต่างรู้ว่าเดี๋ยวชิ่งเจิ่นต้องส่งคนมาช่วยเขาแน่ แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าชิ่งเจิ่นจะใช้วิธีไหนสำหรับปฏิบัติการช่วยเหลือ โจมตีซึ่งหน้า? แต่แบบนั้นหลัวหลานก็จบสิ้นแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าด้วยสมองของตัวเอง เดาไปเท่าไรก็เดาแผนของชิ่งเจิ่นไม่ออกหรอก
…
วันเดินทางไปปราบโจรใกล้เข้ามาแล้ว เสี่ยวอวี้ก็วิ่งวุ่นอีกครั้ง เธอวิ่งวุ่นหาซื้อเสบียงอุปกรณ์ให้เริ่นเสี่ยวซู่ไปทั่วเพราะกลัวว่าออกข้างนอกแล้วจะลำบาก
ตอนนี้ช่องเก็บของของเริ่นเสี่ยวซู่มีพื้นที่สุญญากาศแล้ว สามารถเก็บอาหารไว้ได้โดยไม่เสีย
“อันนี้เต็นท์หลังใหม่ เบาะกันน้ำ ผ้าห่ม ผ้านวม” เสี่ยวอวี้เอ่ย ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่พกของพวกนี้ไปได้อย่างไร แต่เธอรู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่พลังบางอย่างที่ทำให้ขนของกับตัวไว้ได้จำนวนมาก
อย่างไรเธอก็เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเริ่นเสี่ยวซู่ที่สุด อยู่ด้วยกันทุกวันเธอจะไม่ทันสังเกตไม่ได้หรอก
“ฉันเพิ่งซื้อถ้วยกับตะเกียบสแตนเลสมา เอาไปด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่พลันถาม “เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมถึงมีถ้วยกับตะเกียบสองชุดล่ะ”
“เธอไปกับคุณเสี่ยวจิ่นไม่ใช่เหรอไง” เสี่ยวอวี้ชะงัก “ไหนๆ เสี่ยวซู่ก็ขนของไปได้มากอยู่แล้ว เอาไปเผื่อเธออีกชุดไม่เสียหาย”
“แล้วทำไมมีเต็นท์แค่หลังเดียวล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ทำตัวไม่ถูก
เสี่ยวอวี้หัวเราะ “จะอายอะไร ที่จัดเต็นท์มาหลังเดี๋ยวก็เพื่อประโยชน์ของเธอเองนั่นแหละ ไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้ใช้ขึ้นมา ต้องมาขอบคุณฉันที่หลังด้วยล่ะ”
คำพูดนี้ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่ไขว้เขว้ไปวูบ ไม่รู้เลยจะตอบอย่างไรดี
ตอนนั้นเอง ก็มีรถคันหนึ่งมาจอดนอกบ้าน จากนั้นก็มีคนลงรถมาเคาะประตู “สวัสดี มีใครอยู่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่เลิกคิ้ว เสียงนี้ไม่คุ้นเลยสักนิด เขาไม่คิดว่าเคยได้ยินมาก่อน
เขาเดินไปเปิดประตูและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่เขาไม่เคยหน้ายืนอยู่
“สวัสดี ฉันชื่อจงเฉิง ยินดีที่ได้รู้จักนะ” จงเฉิงสูงเท่าเริ่นเสี่ยวซู่ เขายืนอยู่พร้อมกับของขวัญในมือ
ลูกน้องจงเฉิงที่อยู่ด้านหลังอยากจะเข้ามาช่วยถือของขวัญ แต่ว่าจงเฉิงก็ยิ้มและว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเอาให้เขาเอง ไปรอข้างนอกไป ไม่ต้องเข้าไปทำลานบ้านเขาสกปรก”
เริ่นเสี่ยวซู่ต้องยอมรับเลยว่าเวลาจงเฉิงยิ้มนั้นดูเป็นมิตรมาก เขามีกลิ่นอายสว่างสดใสราวลมวสันต์โชยลอย ซึ่งภาพนี้ต่างไปจากที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกเขานึกว่าจงเฉิงจะมาหาเรื่องตัวเองเสียอีก แต่สุดท้ายก็เหมือนจะมาให้ของขวัญเฉยๆ?
จากนั้นจงเฉิงก็ว่า “นายต้องเป็นเริ่นเสี่ยวซู่แน่เลย ฉันเอาของฝากจากทางเหนือมาให้ เป็นผลไม้ประจำถิ่นของบ้านเกิดพวกเราน่ะ โกจิเบอรรี่ อาจจะเป็นของราคาถูก หวังว่าจะไม่ว่ากันนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหวังฟู่กุ้ยน่าจะใช้ประโยชน์กับของพวกนี้นายเลยรับไว้
จงเฉิงพูดอย่างยินดี “ฉันไม่เข้าไปข้างในหรอก เดี๋ยวพวกเราต้องไปปราบโจรด้วยกัน ยังมีของที่ฉันต้องไปหาซื้อในตลาดอีก นายมีของอะไรต้องซื้อไหม เดี๋ยวฉันไปซื้อให้”
เริ่นเสี่ยวซู่จ้องเขา “ไม่อะ ไม่เป็นไร”
“การเดินทางไปปราบโจรครั้งนี้ ฝากดูแลฉันด้วยล่ะ” จงเฉิงพูดอย่างสุภาพ
“ได้ ฉันจะดูแลนายเอง” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่ยี่หระ
“ขอบคุณมากนะ” จงเฉิงเอ่ย
เริ่นเสี่ยวซู่รออยู่พักหนึ่ง แต่เขาไม่ได้รับเหรียญคำขอบคุณมาจากจงเฉิง