พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นคำว่า ‘ตระกูลลู่’ ก็คิดว่าอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ที่หยางเสียวจิ่นหามาให้อาจจะเป็นลู่หย่วน
ตอนที่ยังอยู่ในป้อมปราการ 109 ลู่หย่วนสามารถเดินผ่านความวุ่นวายอย่างสบายใจโดยมีหยางเสียวจิ่นคอยปกป้องจากไกลๆ อยู่บนตึกสูง ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่รู้ว่าลู่หย่วนมาจากสมาคมตระกูลหยาง
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่เข้าใจแน่ชัดว่าลู่หย่วนกับหยางเสียวจิ่นมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน
ตอนนี้แนวหน้าของสมาคมตระกูลหยางกำลังเผชิญศึกหนัก ถึงดูหมือนว่าพวกเขาจะชนะอย่างแน่นอนแล้ว ทว่าคำถามคือทำไมลู่หย่วนที่เป็นผู้มีพลังพิเศษของสมาคมถึงไม่ถูกส่งไปแนวหน้าด้วย
ต่อให้ผู้มีพลังพิเศษจะทำอะไรไม่ได้มากนักในสงครามหลัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ถูกส่งไปทำงานเลย ให้ผู้มีพลังพิเศษไปเป็นคอยคุ้มกันเหล่านายพลก็เป็นความคิดไม่เลว
ดังนั้นพอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นลู่หย่วนในป้อมปราการแล้ว ก็คิดว่าเขาน่าจะสนิทกับหยางเสียวจิ่นมากกว่าที่จะใกล้ชิดกับสมาคมตระกูลหยาง
ลู่หย่วนพาเริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปในลานหลังบ้าน ระหว่างที่เดินอยู่ก็หัวเราะ “ไม่ต้องมากพิธี ฉันเคยเป็นพ่อบ้านให้ครอบครัวของเสียวจิ่นนะ ฉันเป็นคนเลี้ยงดูเธอมา เรียนฉันว่าคุณอาลู่ก็ได้ เมื่อก่อนฉันรับใช้สมาคมตระกูลหยาง แต่เพราะฮาร์ดไดร์ฟนั่นฉันถึงได้รับอิสรภาพและสามารถใช้ชีวิตเกษียณอย่างมีความสุขได้เสียที”
ลู่หย่วนเป็นคนใจเปิดกว้าง ในเมื่อหยางเสียวจิ่นเชื่อมั่นในตัวเริ่นเสี่ยวซู่ เขาก็ย่อมเปิดเผยตัวตนและแนะนำตัวเอง
“สวัสดีครับคุณอาลู่” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “หลัวหลานก็อยู่ในป้อมปราการด้วยนี่ครับ ไม่ไปหาแล้วอัดเขาสักป๊าบล่ะ พวกเขากำลังดื่มฟรีกินฟรีจากของครอบครัวเราอยู่นะครับ”
“ฮ่าๆ” ลู่หย่วนหัวเราะ “ตอนที่สวมบทบาททำภารกิจฉันก็จะสวมมันอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นฉันต้องออกจากบทบาทให้ได้ ไม่อย่างงั้นคงเจอปัญหาเยอะแยะแน่ ในเมื่อฉันไม่ใช่ผู้ปกครองป้อมปราการ 109 อีกต่อไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นก็ไม่ใช่เรื่องของฉันอีก”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเขาเป็นคนที่ให้อภัยคนง่ายจริงๆ ถึงว่าทำไมสามารถเกษียณได้อย่างสบายใจจนถึงขนาดเปิดสำนักสอนศิลปะการต่อสู้ได้เช่นนี้ “เสียวจิ่นแนะนำให้ผมมาเรียนวิชาต่อสู้กับคุณอา ผมสามารถมาได้ตอนไหนครับ”
“เสียวจิ่นบอกแล้วว่าเธอจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดตั้งแต่เช้าถึงเย็นเป็นประจำ งั้นก็มาตอนฟ้ามืดเถอะ” ลู่หย่วนว่า “เคยฝึกอะไรมาก่อนไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วว่า “ผมไม่เคยเรียนอย่างเป็นระบบน่ะครับ แต่ตอนที่อาศัยอยู่ในแดนรกร้างก็คิดอยากจะเรียนอยู่”
“งั้นฉันจะสอนอย่างเป็นระบบแล้วกัน เริ่มด้วยการส่งแรงจนไปถึงเทคนิคต่อสู้ในการต่อสู้จริง หลังจากนั้นฉันจะฝึกปฏิกิริยาตอบโต้กับความเข้าใจคู่ต่อสู้ให้เธอ” ลู่หย่วนว่า
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก “ไม่ใช่ว่าผมต้องเรียนกระบวนท่าหมัดมวยอะไรเหรอครับ อย่างที่คนข้างนอกกำลังฝึกอยู่”
ตอนที่เขามาถึงสำนัก ก็เห็นว่ามีเด็กหลายคนเลยที่รำมวยอยู่ วิธีการฝึกนี้เปิดหูเปิดตาเขาไม่น้อย
แต่ลู่หย่วนกลับยิ้ม “นั่นมันเป็นของที่เด็กจะเรียนกัน ฉันไว้ใช้หลอกเงินจากพวกพ่อแม่นักเรียนน่ะ พ่อแม่สมัยนี้เห็นลูกเจ็บนิดเจ็บหน่อยก็เป็นโมโหแล้ว แบบนั้นจะเรียนวิชาหมัดมวยได้ยังไง”
ต้องเป็นคนตรงขนาดไหนถึงพูดออกมาอย่างโต้งๆ ว่ากำลังหลอกเงินจากคนอื่นเนี่ย เริ่นเสี่ยวซู่คิดกับตัวเอง
ลู่หย่วนว่า “ต้องเรียนเรื่องการส่งแรงก่อน ต้องเรียนรู้จากการฝึกอย่างหนักหน่วงถึงจะควบคุมร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญ”
วิชาการส่งแรง เช่นระหว่างที่ต่อยออกไปต้องบิดสะโพกด้วย ไม่อย่างนั้นหมัดจะแรงน้อยมาก
ลู่หย่วนพูดต่อ “วิชาที่ใช้ในการต่อสู้จริงก็คือเทคนิคที่ใช้ฆ่าคน อธิบายยากอยู่ แต่มันจะทำให้เธอรู้ว่าจะโจมตีคนต้องคิดถึงเรื่องอะไรบ้าง และรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังมองหาอะไรอยู่ด้วย อะไรแบบนั้นน่ะ”
“แล้วความเร็วปฏิกิริยาตอบโต้กับการเข้าใจคู่ต่อสู้ล่ะครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ความเร็วปฏิกิริยาตอบโต้แต่ละคนไม่เท่ากัน” ลู่หย่วนว่า “ความเร็วปฏิกิริยาตอบโต้สามารถเพิ่มพูนได้จากการฝึกฝน แต่แน่ล่ะ ทุกคนล้วนมีเพดานอยู่”
“พูดอีกอย่างก็คือศักยภาพของแต่ละคนไม่เท่ากันเหรอครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ใช่ เอาเสียวจิ่นเป็นตัวอย่างนะ สมมุติถ้าเธอต้องยิงเป้าหมายที่เคลื่อนที่ด้วยความไวสูงโดยเธอมีโอกาสเพียงชั่วพริบตา และชั่วพริบตาที่ว่าของเสียวจิ่นคือ 0.06 วินาที เป็นของที่เกิดมามีก็คือมี ถ้าเกิดมาไม่มี ฝึกแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้ ต่อให้เป็นผู้มีพลังพิเศษก็ตาม”
“0.06 วินาที?” เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง เขาไม่เคยใช้ทศนิยมสองตำแหน่งมาคำนวณเวลาเลย ปฏิกิริยาตอบโต้ของหยางเสียวจิ่นน่ากลัวขนาดนี้เลย?
ทว่าที่ลู่หย่วนกำลังพูดอยู่คือเรื่องทฤษฎีว่าด้วยพรสวรรค์ ถ้าทุกคนทุ่มเทเท่ากัน ก็จะต่างถึงมาตรฐานระดับหนึ่ง อย่างเช่นทักษะระดับปรมาจารย์เป็นต้น
แต่ถ้าคนผู้หนึ่งอยากทะลุเพดานและคืบหน้าไปสู่ระดับไร้ที่ติ พวกเขาจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ที่แท้จริง เป็นของที่มีพร้อมกับการเกิดมา
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่เกิดความกระอึกกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย เขาจำได้ว่าตนเองมีทักษะระดับไร้ที่ติเพียงหนึ่งเดียวอยู่ ‘กวนโอ๊ยคน’
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ผมขอทดสอบความเร็วปฏิกิริยาตอบโต้ได้ไหมครับ”
ลู่หย่วนยิ้ม “ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า อย่าเพิ่งโลภมากแต่เริ่มเลย ในเมื่อเธอไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อน อันดับแรกคือส่งแรงออกอย่างเชี่ยวชาญให้เป็น”
“ครับ” เริ่นเสี่ยวซู่รับฟัง ในเมื่อเขามาด้วยการอยากขอความรู้ เขาย่อมต้องเรียนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่อาจเย่อหยิ่งเพียงเพราะคิดว่าตนเองแกร่งกล้าสามารถได้
ทั้งสองคนมาถึงสวนหลังบ้านที่ลู่หย่วนแขวนกระสอบทรายอยู่ตรงกลาง เขาว่า “ต่อยให้สุดแรง ให้ฉันดูหน่อยว่าเธอแข็งแกร่งแค่ไหน”
“อืม” พอเริ่นเสี่ยวซู่เดินไปยังกระสอบทราย ลู่หย่วนมองเริ่นเสี่ยวซู่งอเข่าเล็กน้อย ส่งพลังทั้งร่างไปถึงหมัดและต่อยตรงทะลุกระสอบทราย!
ลู่หย่วนตะลึงพรึงเพริด กระสอบทรายนี้เตรียมไว้เพื่อผู้มีพลังพิเศษโดยเฉพาะนะ!
แต่ที่ทำให้เขาตะลึงไม่ใช่พละกำลังของเริ่นเสี่ยวซู่ พลังกำลังของผู้มีพลังพิเศษมีสูงต่ำอยู่แล้ว พลังที่เริ่นเสี่ยวซู่แสดงออกมาก็ไม่ใช่ของหายากอะไรนัก อย่างมากคือทรงพลังมากแต่ก็ไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้น แน่นอนนี่เป็นพละกำลังก่อนเริ่นเสี่ยวซู่จะเปิดใช้งานทลายนคร
ที่ทำให้ลู่หย่วนตะลึงคือทันทีที่เริ่นเสี่ยวซู่ส่งแรง กล้ามเนื้อทั้งร่างก็ราวหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างไร้ความบกพร่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาบิดขาหลังเล็กน้อยด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก คนส่วนใหญ่ไม่อาจแสดงพละกำลังได้ดีเพราะไม่ได้ใช้พลังจากขาเลย
เขาไม่เคยฝึกมาก่อนจริงๆ งั้นเหรอ
แถมเขายังรู้ด้วยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่ได้ใช้แรงเต็มที่ มือกับแขนซ้ายอยู่ในสภาวะกึ่งผ่อนคลายตั้งแต่เริ่มจนจบ สามารถถอนหมัดกลับได้ในทุกวินาที
ควบคุมพลังยากกว่าใช้พลังเต็มที่นัก
ลู่หย่วนถาม “ทำไมไม่ใช้แรงสุดตัวล่ะ”
“อ้อ” เริ่นเสี่ยวซู่อธิบาย “น่าจะเป็นนิสัยน่ะครับ ในแดนรกร้างผมเจอพวกสัตว์ป่าตลอด บางทีก็ไม่รู้ว่าพวกมันโจมตียังไง เลยต้องระวังไว้ก่อน”
ลู่หย่วนว่า “ขอดูลูกเตะหน่อย เตะข้าง”
แต่ลู่หย่วนก็ยังไม่พบข้อบกพร่องในการออกท่าของเริ่นเสี่ยวซู่เลย นี่น่าจะเป็นพรสวรรค์ประการหนึ่ง ลู่หย่วนถอนหายใจ “ดูแล้วชีวิตเธอคงลำบากมากเลยสินะ”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขามีชีวิตอย่างอิสระเสรีและเรียบง่าย คงไม่สามารถเค้นพลังออกมาได้ดีเพียงนี้
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ส่วนใหญ่เป็นเพราะผมกลัวตายน่ะครับ”
ลู่หย่วนยิ้ม “ไม่ต้องเรียนวิชาการส่งแรงแล้วเพราะเธอรู้เรียบร้อย งั้นเรามาเริ่มเรียนที่วิชาต่อสู้จริงกันเลยดีกว่า”
“ครับ” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า
หลังจากรออยู่พักหนึ่ง ลู่หย่วนนึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะถามว่าเขาจะทดสอบความเร็วปฏิกิริยาตอบโต้ได้ไหมเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเพิ่งชมเริ่นเสี่ยวซู่ไปหมาดๆ ด้วย แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับไม่พูดอะไร เพียงค่อยๆ เรียนสิ่งที่เขาสอนไปอย่างอย่างอดทน
นี่ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นคุณสมบัติล้ำค่าในตัวของคนผู้หนึ่ง