ตอนเช้า เริ่นเสี่ยวซู่อ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด ส่วนอันอวี้เฉียนนอนกรนเสียงดังบนเก้าอี้ตรงทางเข้าห้องสมุด
เมื่อแสงอาทิตย์จากข้างนอกส่องเข้าหน้าก็ยกหนังสือขึ้นมาปิดหน้าบังแสง
พอเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงทุกเช้าก็จะให้เงินอันอวี้เฉียนสิบหยวนโดยอัตโนมัติ อีกอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต้องโทรไปหาอันอวี้เฉียนแล้วด้วย ทุกแปดโมงครึ่งเขาจะมายืนหาวรออยู่หน้าประตู
อันอวี้เฉียนค่อยๆ รู้สึกว่านอนแบบนี้มันไม่สบายเลย ปกติเขาจะเล่นไพ่นกกระจอกตลอดทั้งคืนแล้วค่อยกลับบ้านไปนอนตลอดเช้า ทว่าตั้งแต่เริ่นเสี่ยวซู่มาที่ห้องสมุด เขาได้แต่นอนอยู่บนเก้าอี้ตรงทางเข้าห้องสมุด
นอนบนเก้าอี้จะสบายสู้นอนบนเตียงได้อย่างไร
นอกจากเริ่นเสี่ยวซู่แล้วก็ไม่มีใครใช้ห้องสมุดอีก อันอวี้เฉียนตั้งใจดูว่าเริ่นเสี่ยวซู่อ่านอะไรอยู่ แต่พอเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่อ่านวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีของชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่อยู่ก็ขำแทบตาย!
แต่ความตั้งมั่นตั้งใจมาห้องสมุดทุกวี่วันของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ทำให้อันอวี้เฉียนเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาในที่สุด เขาคิดว่าในที่สุดก็มีเด็กตั้งใจเรียนมาใช้ห้องสมุดเสียที แต่ที่เขาแปลกใจคือเด็กเรียนผู้นี้กลับเอาแต่อ่านหนังสือเรียนของมัธยมศึกษาปีที่สี่
ดูจากอายุของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว เขาน่าจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกไม่ใช่เหรอ กลายเป็นว่าเขาคือเด็กหลังห้องที่ตั้งใจจะเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่ต้น?
อันอวี้เฉียนลองนับนิ้วดูก็พบว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นอยู่ห่างออกไปแค่สามเดือนเท่านั้น ถ้ายังอ่านแค่วิชาของมัธยมศึกษาปีที่สี่แบบนี้มันจะไม่ทันเอานะ
ต่อให้มีอันอวี้เฉียนเดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ เริ่นเสี่ยวซู่ก็คร้านจะเหลือบมองเขา
อันอวี้เฉียนอดพูดไม่ได้ว่า “เริ่มเรียนตอนนี้มันไม่ช้าไม่หน่อยเหรอ อีกสามเดือนก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้ามองเขา “ฉันไม่ได้สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียหน่อย”
“ไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัย? แล้วเรียนคณิต ฟิสิกส์ เคมี ของมัธยมศึกษาปีที่ 4ไปทำไม” อันอวี้เฉียนแปลกใจ “เรียนจบมัธยมปลายแล้วก็น่าจะไปทำงานในโรงงานทันทีเลยไม่ใช่เหรอ จะเรียนเรื่องพวกนี้ไปทำไมล่ะ”
“ความรู้มีค่าเสมอ เรียนอะไรไปก็อยู่กับเราไปตลอด” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง
อันอวี้เฉียนยักไหล่และกลับหลังหัน “อย่าลืมจ่ายค่าข้าวเช้าฉันทุกเช้าล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะนายฉันคงไม่ต้องกินข้าวเช้าหรอก อยู่ๆ ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเพราะนายเลยเนี่ย”
“ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
แต่ทันใดนั้นอันอวี้เฉียนก็เห็นว่านอกจากเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ในตอนบ่ายยังมีนักเรียนเข้ามาอ่านหนังสืออีกกลุ่มหนึ่ง ประกอบไปด้วยนักเรียนหญิงชายยี่สิบกว่าคน ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่ในห้องสมุดตลอดบ่ายมาหลายวันติดแล้ว
ต่อให้มีคนอื่นๆ มาอ่านหนังสือในตอนบ่ายด้วย แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยและเป็นกิจวัตรเช่นนี้ แถมจำนวนคนยังเท่าเดิมตลอด อีกทั้งนักเรียนกลุ่มนี้…ยังมานั่งข้างเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย
หลังจากตื่นขึ้นมาตอนบ่าย อันอวี้เฉียนก็เข้าไปดูและเห็นว่าพวกหวังอวี่ฉือกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิศวกรรมเครื่องกลอยู่ เป็นหัวข้อที่อยู่สูงกว่ามัธยมปลายไปแล้ว
ตอนที่ห้องสมุดใกล้ปิด หวังอวี่ฉือก็โพล่งกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “หัวหน้าห้อง กลับบ้านเลยไหม ห้องสมุดใกล้ปิดแล้ว”
อันอวี้เฉียนนิ่งไป เด็กหนุ่มที่จ่ายค่าข้าวเช้าเขาทุกวันที่จริงแล้วเป็นหัวหน้าห้องของกลุ่มเด็กนักเรียนพวกนี้เหรอเนี่ย นักเรียนธรรมดากำลังเรียนความรู้ที่สูงกว่าระดับตัวเองขึ้นไป แต่หัวหน้าห้องกำลังเรียนหนังสือของชั้นมัธยมปีที่สี่อยู่เนี่ยนะ ตรรกะบ้าบออะไรกันเนี่ย!
เริ่นเสี่ยวซู่มองฟ้าแล้วว่า “กลับกันก่อนเลย ฉันยังอยากอ่านอีกหน่อย”
“เฮ้ย!” อันอวี้เฉียนนั่งเฉยไม่ได้แล้ว “มันถึงเวลาที่ฉันต้องเลิกงานแล้วนะเฟ้ย”
“ให้ห้าสิบหยวน” เริ่นเสี่ยวซู่พูดโดยไม่เงยหน้า
อันอวี้เฉียนไม่สบอารมณ์ “ไม่ได้ ฉันจะออกไปเล่นไพ่นกกระจอก คืนนี้จะไปถอนทุนสักหน่อย!”
เริ่นเสี่ยวซู่เก็บหนังสือเข้าชั้นอย่างเงียบๆ ก่อนจะออกห้องสมุดไป
สิ่งแรกที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดหลังเจอหน้าอันอวี้เฉียนตอนเช้าคือ “เมื่อคืนถอนทุนได้ไหม”
“เจ้าหนู ทำไมเซ้าซี้จังฟะ” อันอวี้เฉียนไม่พอใจ “เรื่องแบบนี้เขาไม่ถามกัน”
“งั้นคงเสียล่ะสิ” เริ่นเสี่ยวซู่เอาธนบัตรสิบหยวนใส่มืออันอวี้เฉียน “อะ เอาไปหาข้าวเช้ากิน”
พออันอวี้เฉียนเห็นธนบัตรสิบหยวนในมือก็รู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น
ตอนบ่าย พอหวังอวี่ฉือและนักเรียนคนอื่นๆ มาห้องสมุดอีกครั้ง อันอวี้เฉียนก็เข้ามานั่งแหมะอยู่ตรงข้ามเริ่นเสี่ยวซู่ เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ “ว่า?”
อันอวี้เฉียนว่า “พวกเธอคงพยายามเรียนวิศวกรรมเครื่องกลอยู่ใช่ไหม บอกเลยว่ากำลังอ่านหนังสือผิดเล่มอยู่!”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว เขาหันไปมองหนังสือที่พวกหวังอวี่ฉือถืออยู่ “งั้นพวกเขาต้องอ่านหนังสือเล่มไหนเหรอ”
เพราะไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ พวกเขาต้องเรียนทุกอย่างด้วยตัวเอง ดั่งอุ้มหินข้ามแม่น้ำ ทุกอย่างเป็นไปอย่างล้าช้ายิ่ง
แม้เจียงอู๋จะเป็นครู แต่เธอเป็นครูสอนภาษา
อันอวี้เฉียนตอบ “เอามาห้าร้อยหยวน แล้วฉันจะบอกว่าต้องอ่านหนังสือเล่มไหน!”
เริ่นเสี่ยวซู่โยนห้าร้อยหยวนให้ทันที หวังอวี่ฉือกระซิบอยู่ด้านข้าง “หัวหน้าห้อง ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเขาเป็นนักต้มตุ๋นเลยล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “นักต้มตุ๋นจริงไม่มีทางไม่มีแม้แต่เงินกินข้าวเช้าหรอก”
อันอวี้เฉียนอยากจะสบถออกมาจริงๆ เริ่นเสี่ยวซู่กำลังดูถูกว่าแม้แต่นักต้มตุ๋นเขาก็เป็นไม่ได้!
อันอวี้เฉียนร้องเหอะ “ถ้าอยากเรียนวิศกรรมเครื่องกลอย่างถูกต้องก็อย่าพยายามจะวิ่งก่อนที่จะเรียนรู้วิธีการเดิน อันดับแรกต้องเรียนคณิตกับฟิสิกส์ก่อน!”
เริ่นเสี่ยวซู่เอนพิงเก้าอี้รอฟังเงียบๆ ขณะเดียวกันพวกหวังอวี่ฉือก็เปิดสมุดเตรียมจด
“ฉันแนะนำให้อ่านคณิตวิเคราะห์ของเฉินจี่ซิว[1]เป็นการปูพื้นก่อน จากนั้นก็เรียนพีชคณิตเชิงเส้น เนื้อหาในโรงเรียนมัธยมปลายไม่เข้มพอ”
“ไม่ต้องไปอ่านฟิสิกส์ทั่วไป” อันอวี้เฉียนโยนหนังสือลงบนโต๊ะ “อ่านคำบรรยายฟิสิกส์ของไฟน์แมน[2]พอ”
“การวิเคราะห์เชิงจริง[3]…ข้ามไปเลย พวกเธอยังไม่ต้องอ่าน”
“หลักการฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์ ลองดูหนังสือของหวังเตอซิน[4]ก่อน หนังสือพวกนี้จะครอบคลุมเรื่องวิเคราะห์เชิงจริง ฟังก์ชันเฉพาะ สมการ และอื่นๆ หลักการไม่ได้ต่างอะไรมากนัก”
“ควรอ่านพวกเรื่องเทอร์โมไดนามิกส์[5]ด้วย”
อันอวี้เฉียนพูดไม่หยุดครึ่งชั่วโมง เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มคิดแล้วว่าจะเรียนพวกนี้หมดต้องใช้เวลาหลายปีแน่ แต่ตอนนั้นเอง อันอวี้เฉียนก็เลียปากแล้วว่า “นี่แค่เริ่มนะ ถ้าอยากจะทำความเข้าใจวิศวกรรมเครื่องกลเจาะลึกกว่านี้ ตอนนี้ถือว่าความรู้ขาดมากๆ ”
เริ่นเสี่ยวซู่บรรลุ เจ้าคนผู้นี้กราดพูดระบายความโมโหนี่เอง…
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้รู้แล้วว่าอันอวี้เฉียนไม่ใช่คนธรรมดา ขนาดนักต้มตุ๋นยังไม่พูดขนาดนี้เพื่อเงินห้าร้อยหยวน ที่สำคัญคือไม่น่ามีใครสอนบทพูดในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปได้ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่มองอันอวี้เฉียนแล้วว่า “ถ้ายอมสอนพวกเขา ฉันจะจ่ายห้าร้อยหยวนต่อคาบ”
ตาอันอวี้เฉียนเป็นประกาย แต่เขารีบเรียกสติตัวเอง “แต่เวลาฉันมีค่า”
“สี่ร้อย”
“เฮ้ย ทำไมเงินมันลดลงล่ะ!”
“สามร้อย”
“ก็ได้ ฉันจะสอนก็ได้! ห้าร้อย! ห้ามขาดแม้แต่เฟินเดียว!”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยิ้ม “ถ้าลุงไม่สอนให้ดีฉันไม่จ่าย”
“มีเหรอฉันจะสอนไม่ดี” อันอวี้เฉียนตาเบิกโพลง “ฉัน…เอาเหอะ พูดไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก!”
แต่อันอวี้เฉียนพลันคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีอะไรมากกว่าที่เขาคิด นักเรียนธรรมดาที่ไหนจะยอมจ่ายห้าร้อยหยวนเพื่อคาบเรียนคาบเดียว?
[1] เฉินจี่ซิว (陈纪修) บุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง เป็นศาสตราจารย์ใน The School of Mathematical Science (SMS) ของมหาวิทยาฟู่ตั้น
[2] คำบรรยายฟิสิกส์ของไฟน์แมน (The Feynman Lectures on Physics) หนังสือว่าด้วยการอธิบายหลักธรรมชาติด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เป็นการรวบรวมการบรรยายหลักสูตรฟิสิกส์พื้นฐานที่ไฟน์แมนสอนแก่นิสิตนักศึกษาปีหนึ่งและปีสองของสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย หรือ แคลเทค ว่ากันว่า ตำราเรียนชุด The Feynman Lectures on Physics นี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับอาจารย์ผู้สอนวิชาฟิสิกส์ทั่วโลก
[3] การวิเคราะห์เชิงจริง (Real analysis) เป็นสาขาหนึ่งของคณิตวิเคราะห์ ที่ศึกษาสมบัติของจำนวนจริง ลำดับและอนุกรมที่มีพจน์เป็นจำนวนจริง ตลอดจน ฟังก์ชันค่าจริง แนวคิดพื้นฐานที่เกี่ยวข้องได้แก่ การลู่เข้า ลิมิต ความต่อเนื่อง การหาอนุพันธ์ได้ และ การหาปริพันธ์ได้
[4] หวังเตอซิน (汪德新) ศาสตราจารย์ในภาควิชาฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัย Central China Normalเคยตีพิมพ์หนังสือหลักการฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์
[5] อุณหพลศาสตร์ หรือ เทอร์โมไดนามิกส์ (Thermodynamics) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของพลังงาน (Energy) โดยมีเนื้อหาครอบคลุมถึงเรื่องของพลังงานในรูปแบบต่างๆ การเปลี่ยนรูปของพลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน รวมทั้งสมบัติต่างๆ ของสสารที่ใช้เป็นตัวกลางในการเปลี่ยนแปลง