สมาคมตระกูลจงตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของทางเหนือ ดินแดนภาคเหนือแห้งแล้งและมีภัยพิบัติธรรมชาติมากมาย ดังนั้นกำลังโดยรวมของสมาคมตระกูลจงจึงด้อยกว่าสมาคมตระกูลหยางและชิ่งมาตลอด และทำให้พวกเขาก็ไม่กล้าก่อปัญหาอะไรกับเหล่าสมาคมทางใต้ด้วย
ถึงพวกเขาจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรใหญ่โต แต่กลเม็ดเล็กน้อยนั้นมีไม่ขาด อย่างเช่นว่าสมาคมตระกูลจงเป็นต้นตอปัญหาพวกโจร
หยางอวี้อันอนุมานว่าสมาคมตระกูลจงมีจิตทะเยอะทะยานแต่สภาพการณ์ไม่อำนวย นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสมาคมตระกูลจงถึงพยายามแทรกซึมเข้าไปในป้อมปราการ 178 ด้วย ถ้ากลุ่มเดนตายในป้อมปราการ 178 ยอมโจมตีทางใต้ สมาคมตระกูลหยางและชิ่งต้องปวดหัวมากแน่
เดิมทีสมาคมตระกูลชิ่งมีแผนขณะที่จางจิ่งหลินไม่อยู่ใช้กลยุทธ์ ‘การแปรเปลี่ยนอย่างสันติ’ กับป้อมปราการ 178 แต่ว่าพวกเขาดูหมิ่นขีดความศรัทธากลุ่มเดนตายพวกนั้นเกินไป
หลังจากจางจิ่งหลินกลับป้อมปราการ 178 แผนการสิบกว่าปีของสมาคมตระกูลจงก็เหลวเป๋ว ตอนนี้ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่าป้อมปราการ 178 ยังคงผูกกับสกุลจาง
ถ้าหยางอวี้อันรู้ถึงมิตรภาพระหว่างเริ่นเสี่ยวซู่กับจางจิ่งหลินล่ะก็ เขาคงรับรองเริ่นเสี่ยวซู่เป็นแขกกิตติมศักดิ์ทันที นั่นเป็นอำนาจที่น่าเกรงขามที่สุดในชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเลยนะ เป็นนักรบผู้กล้าผู้หล่อหลอมตนจากสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายซึ่งไม่กลัวต่อความตาย
ทว่าไม่ใช่แค่หยางอวี้อันที่ไม่รู้เรื่องนั้น ขนาดเริ่นเสี่ยวซู่เองยังไม่รู้เลยว่าจางจิ่งหลินคือใคร แต่เขาก็ไม่คิดจะพึ่งพาชื่อนั้นเหมือนกัน ถึงกับยื่นจดหมายแนะนำตัวให้สูเสี่ยนฉู่ไปแล้ว
ทันใดนั้นหยางอวี้อันก็ว่า “เด็กหนุ่มสมาคมตระกูลจงที่กำลังมาชื่อว่าจงเฉิง เป็นผู้รับผิดชอบกลยุทธ์การตั้งรับของสมาคมตระกูลจง ถึงจะยังเด็กมากแต่ก็เป็นผู้บังคับบัญชาในตำแหน่งสำคัญ พวกเราแก่แล้ว และโลกใบนี้เป็นของคนรุ่นเยาว์ ได้ยินว่านายทหารหนุ่มชื่อสูเสี่ยนฉู่ก็เพิ่งไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในระดับนายทหารในป้อมปราการ 178 ชื่อนี้คุ้นหูมากทีเดียว ใช่สูเสี่ยนฉู่ที่เธอเคยเจอใช่ไหม เธอรู้จักเขาดีหรือเปล่า”
หยางเสียวจิ่นชะงักไป เธอไม่ได้สนิทอะไรกับสูเสี่ยนฉู่หรอก แต่เป็นเริ่นเสี่ยวซู่ต่างหากที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเขา
ทำเอาจู่ๆ หยางเสียวจิ่นก็รู้สึกว่ามันตลกอยู่หน่อยๆ ทำไมบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในป้อมปราการ 178 อย่างจางจิ่งหลินและสูเสี่ยนฉู่ถึงสนิทกับเริ่นเสี่ยวซู่หมดเลยล่ะ คิดแล้วหยางเสียวจิ่นก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อกับป้อมปราการ 178 ขึ้นมาเล็กน้อย
หยางเสียวจิ่นว่า “ไม่รู้จักดีเท่าไร พวกเราเคยเดินทางด้วยกันมาก่อน แต่ว่าไม่ได้สนิทอะไร”
หยางอวี้อันว่า “หืม ก็น่าจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ตั้งแต่นี้ไปก็สร้างความสัมพันธ์กับป้อมปราการ 178 ไป ถ้าพวกเราได้การสนับสนุนจากพวกเขา ต่อให้เป็นชิ่งเจิ่นก็ต้องถอย”
หยางเสียวจิ่นไม่ได้พูดอะไร ป้อมปราการ 178 ไม่เคยสนใจจะยุ่งเกี่ยวกับสมาคมชั้นใน คนจากป้อมปราการ 178 ก็กระหายเลือดมาก ถ้าหยางเสียวจิ่นอยากเข้าหาป้อมปราการ 178 จริงๆ เธออาจจะต้องให้เริ่นเสี่ยวซู่ออกมารับมือ
จากนั้นหยางอวี้อันก็ว่าต่อ “จงเฉิงน่าจะอยู่วัยเดียวกันเธอ ได้ยินว่าเขายังเป็นผู้มีพลังพิเศษด้วย นี่จะเป็นโอกาสอันดี”
เขาพูดถึงอะไรอยู่นั้นเป็นอันเข้าใจดี หยางเสียวจิ่นขมวดคิ้วแน่น พอน้าสามเมิ่งหรงสังเกตเห็นก็พูดว่า “อย่าไปลอบยิงเขาระหว่างทางล่ะ ล่าสุดเธอ…”
คิ้วโก่งใต้เงาหมวกของหยางเสียวจิ่นเลิกขึ้นเล็กน้อย “ได้ค่ะ เข้าใจแล้ว”
…
หยางเสียวจิ่นมายังที่พักของพวกเริ่นเสี่ยวซู่อีกครั้งในเช้าวันต่อมา เหยียนลิ่วหยวนได้ยินเสียงเคาะประตูก็รู้ทันทีว่าเป็นหยางเสียวจิ่นแน่ๆ และแล้วก็เป็นเธอจริงๆ
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังนั่งยองๆ แปรงฟันอยู่กับพื้น เขาคายยาสีฟันและยิ้มพูด “มาทำไมแต่เช้าน่ะ”
หยางเสียวจิ่นพูดเข้าประเด็นทันที “ฉันเกรงว่าหวังอวี่ฉือกับเพื่อนๆ จะเข้าไปนั่งสอบไม่ได้”
เมื่อวานตอนบ่ายเธอเข้าไปติดต่อหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พออาสามเธอรู้ข่าวก็ห้ามเธอ
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “มีปัญหาอะไรเหรอ”
“เพราะพวกนายไม่ได้เป็นพลเมืองของป้อมปราการ” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงค่อย “แถมในมหาวิทยาลัยมีงานวิจัยลับอยู่ด้วย พวกนายเลยถูกห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยว”
พูดตรงๆ คือเพราะพวกเขาไม่ใช่คนของสมาคมตระกูลหยาง และทางสมาคมตระกูลหยางก็ไม่มีความคิดจะให้พวกเขาเข้าร่วมด้วย หยางอวี้อันไม่ชอบผู้อพยพและไม่คิดว่าพวกเขาจะมีประโยชน์อะไร
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาถามอีกรอบ “แล้วลิ่วหยวนกับต้าหลงล่ะ พวกเขาแค่เข้ามัธยมต้นเอง”
เหยียนลิ่วหยวนก้าวออกมา “แต่ผมไม่ใช่พลเมืองของป้อมปราการเหมือนกันนะ!”
หยางเสียวจิ่นยิ้ม “พวกเขาสองคนเข้าโรงเรียนมัธยมได้ จัดการลงทะเบียนอะไรไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
เหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลงได้ยินแบบนั้นก็แทบน้ำตาไหล “พวกเราไม่ใช่ชาวป้อมปราการเสียหน่อย เป็นแค่ผู้อพยพเอง! และผู้อพยพก็ไม่ควรได้เข้าโรงเรียน!”
“เอาล่ะๆ พวกนายสองคนพอได้แล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่มองพวกเขาด้วยความขบขัน “แค่ไปศึกษาหาความรู้และเรียนวิธีแก้ปัญหาเอง ทำอย่างกับต้องไปเข้าคุกงั้นแหละ เลิกร้องได้แล้ว”
“แต่ถึงพวกหวังอวี่ฉือจะเข้าไปสอบไม่ได้ แต่ฉันทำบัตรห้องสมุดมาให้แล้ว กลางป้อมปราการมีห้องสมุดอยู่ สามารถไปยืมหนังสือจากที่นั่นได้” หยางเสียวจิ่นว่า
หวังอวี่ฉือตะลึง “พวกเราทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ”
“ทำได้สิ” หยางเสียวจิ่นพยักหน้าตอบ
อารยธรรมคืบหน้า มีคนมากมายเลิกไขว่คว้าหาความรู้ แต่ก็ยังมีคนที่มุ่งมั่นอยากเติมเต็มช่องว่างที่หายไป
เทคโนโลยีของมนุษย์ไม่ได้หายไปหมดสิ้น เพียงแต่สภาพโดยองค์รวมถดถอยไป ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังไม่หายไปตามกาลเวลา เพราะอย่างนั้นทิศทางพัฒนาของปัจจุบันนี้จึงต่างไปจากก่อนยุคภัยพิบัติมาก
นี่ไม่ใช่อยู่ที่ว่ามนุษย์ต้องการอะไร แต่อยู่ที่ว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่เหลือรอด และมีทรัพยากรอะไรบ้างให้เหมาะกับการพัฒนา
มีคนเคยเจอแล็บวิจัยของอารยธรรมก่อนยุคภัยพิบัติ และข้อมูลในนั้นก็ถูกป้อมปราการแห่งหนึ่งในที่ราบตอนกลางซื้อไปในราคาสูงเสียดฟ้า
แล้วอารยธรรมมันสืบทอดส่งต่ออย่างไรล่ะ ก็อยู่ที่ถ้อยคำสัญลักษณ์ผ่านการขีดเขียน
ถึงสมาคมต่างๆ จะมีห้องสมุดเป็นของตัวเอง ก็ต้องมีสถานะระดับหนึ่งถึงจะใช้ได้ ตอนที่พวกหวังอวี่ฉือเรียนในป้อมปราการ พวกเขาก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปห้องสมุดเลย
คิดแล้วหยางเสียวจิ่นน่าจะลงแรงไปไม่น้อยถึงได้รับบัตรห้องสมุดมาได้
เริ่นเสี่ยวซู่ยินดีมากจริงๆ “อืม เข้าไปค้นคว้าด้วยตัวเองในห้องสมุดก็เป็นความคิดไม่เลว ขอบคุณมากเลยนะ”
หยางเสียวจิ่นมองเริ่นเสี่ยวซู่ “อยากได้อะไรอีกไหม”
“เอ่อ…” เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งใจพิจารณา ก่อนจะว่า “ในป้อมปราการมีอาจารย์สอนวิชาต่อสู้ไหม ฉันอยากเรียนให้มันเป็นระบบน่ะ”
เมื่อก่อนขณะอยู่ในแดนรกร้าง เริ่นเสี่ยวซู่ก็จะสู้อย่างดุร้ายและพึ่งพาสันชาตญาณที่ฝึกฝนมานานตลอด ไม่ว่าจะการส่งแรงหรือโจมตีจุดอ่อน ล้วนเป็นความรู้ที่ค่อยๆ สะสมผ่านประสบการณ์ ดังนั้นทักษะต่อสู้เขาจึงอยู่แค่ระดับกลางเพราะเขาพึ่งแต่ความดุร้ายของตัวเองอย่างเดียว
หยางเสียวจิ่นคิดพักหนึ่ง “เดี๋ยวฉันหาทาง”
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ข้างๆ สังเกตว่าถ้าที่เริ่นเสี่ยวซู่ร้องขอ หยางเสียวจิ่นก็ไม่มีทางปฏิเสธ เริ่นเสี่ยวซู่เคยช่วยชีวิตหยางเสียวจิ่นมาก่อน ดังนั้นจะทำแบบนั้นก็ไม่แปลก
ทันใดนั้นหยางเสียวจิ่นก็พูด “คือว่า…”
“ทำไมเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“อีกไม่นานอาจจะมีคนจากสมาคมตระกูลจงทางเหนือมาที่ป้อมปราการ 88 พอพวกเขามาถึง นายไปต้อนรับกับฉันหน่อยได้ไหม” หยางเสียวจิ่นถาม
“ได้สิ”