พอหยางเสียวจิ่นได้ยินว่าเริ่นเสี่ยวซู่อยากจัดให้หวังอวี่ฉือและนักเรียนคนอื่นๆ เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย เธอก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า “ต่อให้เป็นฉันเองก็ไม่สามารถส่งพวกเขาเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ฉันจะจัดให้พวกเขาเข้าสอบในอีกสามเดือน”
“แบบนั้นก็ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
หวังอวี่ฉือถาม “หัวหน้าห้องไม่เข้ามหาวิทยาลัยพร้อมพวกเราเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไปวูบหนึ่งก่อนจะว่า “พวกนายเข้าไปเรียนกันก่อนเลย”
ถึงเขาอยากจะเรียนมาก แต่ก็รู้ความสามารถตัวเองดี ต่อให้สามเดือนก่อนถึงช่วงสอบนี้เขาจะตั้งใจเรียนแบบสุดตัว ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสอบผ่าน!
นอกจากว่าพอเข้าป้อมปราการไปปุ๊บเขาจะได้ภารกิจทุกวัน และได้รับคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานจำนวนมาก จากนั้นก็คัดลอกทักษะคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีมาจากหยางเสียวจิ่น
แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่นึกไปถึงทักษะอันมั่วซั่วที่เธอมีแล้ว ก็คิดว่ากว่าจะคัดลอกได้คงนานโขแน่นอน
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นร้านทองข้างถนนแห่งหนึ่งและสงสัยว่าเงินสกุลหลี่กับชิ่งของที่นี่จะเสื่อมค่าไปเหมือนกันไหมนะ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็จะทำเหมือนเดิม
ต่อให้เขาเอาไปใช้ภายนอกไม่ได้ แต่ในอนาคตก็ยังสามารถใช้กับพระราชวังได้เรื่อยๆ
ระหว่างทางนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยืนเสียงไพ่นกกระจอกกระทบกันจากในอาคารแห่งหนึ่งข้างถนน เขานิ่งงันไป “เสียงอะไรน่ะ”
หยางเสียวจิ่น “อ๋อ พวกเขากำลังเล่นไพ่นกกระจอก”
“มีคนเล่นกันเยอะขนาดนั้นเลย” เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจ
พอพวกเขาไปถึงสถานที่ที่หยางเสียวจิ่นเตรียมไว้ให้พวกเขา เธอก็ปลีกตัวไปด้วยมีเรื่องให้จัดการอีกมากเพราะออกจากป้อมปราการไปนาน
ก่อนเธอจะจากไปนั้น หยางเสียวจิ่นพูดด้วยว่า “ทนกับที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวจะหาที่พักแห่งใหม่ให้ได้เร็วที่สุด”
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นบ้านที่มีลานก็พอใจไม่น้อย “ไม่เป็นไร ที่นี่ก็ไม่เลวเลย”
พอเริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปในลานบ้าน ก็เห็นหัวท้วมๆ ของหลัวหลานพลุบมาเหนือกำแพงลอบมองพวกเขา เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ทำอะไรน่ะ”
หลัวหลานที่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็อุทาน “นายก็ถูกจับเหมือนกันเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “เข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่ได้อยู่สถานการณ์เดียวกับนาย”
มีเสียงกระซิบจากหลังกำแพง “เจ้านายเห็นอะไรนะ พวกเราดูด้วยได้ไหม”
หลัวหลานไม่พอใจ “จะมีอะไรให้ดู ดันฉันขึ้นไป!”
“เจ้านายตัวหนักเกิน…”
เริ่นเสี่ยวซู่ตากระตุกเล็กน้อย คือที่หลัวหลานปีนกำแพงขึ้นมาได้เพราะมีคนคอยช่วยดันสินะ
แต่ดูแล้วหลัวหลานกับพรรคพวกอยู่ในสภาพจิตใจไม่เลวเลย เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ถูกคุมตัวอยู่ไม่ใช่เหรอไง ทำไมดูไม่เศร้าเลยล่ะ”
หลัวหลานพูดอย่างไม่ใส่ใจ “สมาคมตระกูลหยางไม่ทำอะไรฉันหรอก เจ้าอ้วนที่มีชีวิตอยู่มีค่ากว่าเจ้าอ้วนที่ตายแล้ว แถมฉันโดนคุมตัวอยู่ในป้อม 111 จนชินแล้ว”
“คำพูดคำจามองโลกในแง่ดีจริงเชียว” เริ่นเสี่ยวซู่เบ้ปาก “ได้ยินเรื่องนี้ยัง ชิ่งเจิ่นยึดครองสมาคมตระกูลชิ่งสำเร็จแล้วนะ ยินดีด้วย”
หลัวหลานได้ยินเช่นนั้นก็แทบบ่อน้ำตาแตก “ฉิบหายแล้ว ฉันฉิบหายของจริงแล้วไง สมาคมตระกูลหยางไม่มีทางปล่อยฉันไปแน่”
และหลัวหลานก็เข้าใจคุณค่าของตัวเองในชั่วพริบตา ในฐานะพี่ชายของผู้นำสมาคมตระกูลชิ่ง เขามีค่ากว่าป้อมปราการทั้งหลังอีก แต่คิดแล้วหลัวหลานก็ตื่นเต้นขึ้นมา เขามีค่าขนาดนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย
“มาๆ ยกฉันสูงกว่านี้หน่อย” หลัวหลานบอกกับคนข้างล่างตนเอง “ยกฉันข้ามไปฟังนู้นให้ได้พูดคุยสารทุกข์สุขดิบพี่น้องเสี่ยวซู่”
เริ่นเสี่ยวซู่กดหัวหลัวหลานลงไปไม่ยอมให้เขาข้ามมา “เป็นนักโทษ อยู่ๆ จะวิ่งมาหาฉันได้ไง ถ้าสร้างเรื่องให้ฉันล่ะ”
หลัวหลานพูดอย่างไม่พอใจ “ดูสิ ฉันเรียกนายเป็นพี่น้องเลยนะ ดั่งคำพูดมือที่ยืดออกไม่ตบคนหน้ายิ้มไง นายทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้!”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาตาขวาง “แต่ฉันตบคนที่ยิ้มแบบปลอมๆ ได้นะ”
“ฉันมีเงิน!” หลัวหลานตะโกน
เริ่นเสี่ยวซู่ถึงปล่อยมือจากหัวหลัวหลาน “ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ฉันแค่อยากจะเชิญนายข้ามมาเฉยๆ”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็มองหลัวหลานกระต้วมกระเตี้ยมปีนกำแพงมา ถ้าไม่ใช่มีเขาคอยรับหลัวหลานจากอีกฝั่ง หลัวหลานได้หล่นโครมลงพื้นแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ปีนกำแพงข้ามลานบ้านข้างๆ ได้ง่ายๆ แบบนี้ ทำไมไม่หนีจากที่นี่ไปเลยล่ะ”
“เดิมทีพวกที่อยู่นี่เป็นเป็นทหารนอกเครื่องแบบที่คอยจับตามองฉัน” หลัวหลานปัดฝุ่นข้างหลังตัวเองแล้วว่า “ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเช้าก็ย้ายออกกันไปหมดฉันเลยชะเง้อมาดูนี่ไง แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่จับตาดูฉันแล้วเสียหน่อย ถนนทั้งเส้นมีทหารนอกเครื่องแบบเต็มไปหมด แค่ฉันก้าวออกไปก้าวเดียวก็เละเป็นโจ๊กแล้ว!”
“เอ๋?” เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง เป็นแบบนี้นี่เอง
“ตอนเช้ามีคนมาทำสะอาดเป็นพิเศษด้วย” หลัวหลานพูดขณะเดินไปมาในลานบ้าน พอเห็นพวกนักเรียนหญิงอยู่ข้างหลังเจียงอู๋ก็ไม่อาจละสายตาไปจากพวกเธอ “สาวสวยทั้งหลายครับ ขอผมแนะนำตัวเอง ผมชื่อหลัวหลาน เป็นพี่ชายของผู้นำสมาคมตระกูลชิ่งคนปัจจุบัน!”
แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยากจะคุยกับเขา เริ่นเสี่ยวซู่เองก็กำลังคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง ถ้าถนนทั้งเส้นอยู่ภายใต้การสอดส่องของสมาคมตระกูลหยาง แล้วทำไมหยางเสียวจิ่นถึงพาเขามาที่นี่ล่ะ เป็นเพราะเธอไม่มีทางเลือก หรือว่าเธอเองก็อยากจับตาดูพวกเขาเหมือนกัน แล้วหยางเสียวจิ่นรู้เรื่องหรือเปล่า
เดี๋ยวนะ ถึงว่าทำไมก่อนเธอไป หยางเสียวจิ่นถึงบอกว่าให้ทนกับที่นี่ไปก่อน เธอคงรู้เรื่องนี้แล้วแน่แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
ดูเหมือนว่าความขัดแย้งของผู้ก่อจลาจลและสมาคมตระกูลหยางจะส่งผลกระทบต่อสถานะของหยางเสียวจิ่นในสมาคมตระกูลหยางด้วย
เหยียนลิ่วหยวนกระซิบอยู่ด้านข้าง “ท่าทีของทั้งสมาคมไม่เปลี่ยนไปเพราะมีพี่เสียวจิ่นคนเดียวหรอก พี่คิดว่าเราจะเจออะไรต่อ”
เริ่นเสี่ยวซู่ลูบหัวเขาและว่า “ไม่เป็นไร ถ้าฉันหายดีแล้วสมาคมตระกูลหยางก็หยุดเราไม่ได้หรอก พอถึงเวลานั้นพวกเราก็ขึ้นเหนือไปเป็นโจรกัน ได้ยินว่าพื้นที่ระหว่างสมาคมตระกูลหยาง ตระกูลจง และป้อมปราการ 178 เป็นแดนเถื่อน”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดถูกแล้ว ขนาดสูเสี่ยนฉู่เองก็เจอโจรระหว่างทางไปป้อมปราการ 178
หลายปีก่อนนู้นขณะสมาคมตระกูลจงยังสามารถซื้อขายได้อย่างอิสระเสรี เหล่าโจรป่าล้วนมีสายสัมพันธ์กับสมาคมตระกูลจง โจรบางรายเป็นทหารประจำการณ์ของสมาคมตระกูลจงปลอมตัวมาปล้นชิงสินค้าด้วยซ้ำ
แต่วันเวลาผ่านไป สมาคมตระกูลจงเลี้ยงเสือมากัดตัวเอง โจรมากมายหลุดบังเหียนและใช้ชีวิตตามใจในแดนเถื่อน
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าพื้นที่ไร้กฎเกณฑ์เช่นนั้นน่าจะไม่เลว และด้วยทักษะของเขาน่าจะตั้งตัวไม่ยาก
แต่เขาต้องอยู่ในป้อมปราการอีกหลายปีเพื่อฟื้นตัวและสำรวจสถานการณ์ก่อน ถ้าพวกเขาคิดว่าป้อมปราการ 88 ไม่น่าอยู่จริงๆ ก็สามารถขึ้นเหนือไปเป็นจ้าวภูเขาได้
ทว่าตอนนี้เอง ก็มีคนมาเคาะประตู หวังฟู่กุ้ยเดินไปเปิด และก็แปลกใจที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างนอกพร้อมถืออาหารมา
ชายวัยกลางคนตรงประตูยิ้ม “สวัสดีครับทุกท่าน ทางเบื้องบนสั่งให้ผมมาส่งอาหาร”
หลัวหลานอ้าปากค้าง ไหงการรับรองระหว่างเขากับเริ่นเสี่ยวซู่มันต่างกันลิบลับเลยล่ะ