และทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็พบว่าตัวเองเข้าใจผิดไปแล้ว ก่อนสงครามเขาก็สงสัยอยู่ว่าทำไมผู้ก่อจลาจลไม่ออกมาหยุดสงครามหรือก่อจลาจลอะไร แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าเป้าหมายของผู้ก่อจลาจลเล็งไปที่สถานีทดลองนิวเคลียร์อย่างเดียว เรื่องราวอื่นๆ ไม่อยู่ในความสนใจ
น่าจะเป็นอย่างที่หยางเสียวจิ่นว่า เพราะเทคโนโลยีนิวเคลียร์ทำให้โลกตกอยู่ในภัยพิบัติ ดังนั้นมนุษย์ไม่ควรคิดจะควบคุมมันอีก
เริ่นเสี่ยวซู่ถามอย่างสงสัยว่า “แต่ฉันคิดว่าที่ชิ่งเจิ่นพูดก็ไม่ผิดนะ มนุษย์ต่างหากที่ผิด ไม่ใช่เทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ผิด”
หยางเสียวจิ่น “ตอนแรกฉันก็คิดงั้น แต่สถานีทดลองนิวเคลียร์สิบเจ็ดแห่งที่พวกเราทำลายทั้งหมดล้วนกำลังวิจัยในด้านการทหาร คนจะค่อยๆ หยุดตั้งคำถามถึงแรงจูงใจเบื้องหลังการวิจัยไปในที่สุด”
“แต่รอบนี้สมาคมตระกูลชิ่งเป็นคนเริ่มสงครามนะ ถ้าชิ่งเจิ่นมีอาวุธแบบนั้นในคลังแสงจริง สมาคมตระกูลหลี่คงเละไปแล้วไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
“ไม่รู้สิ” หยางเสียวจิ่นส่ายหัว
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้คิดจะเข้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งในเรื่องนี้ ปัญหา ‘สำคัญ’ นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา อย่างไรเขาก็เป็นแค่ผู้อพยพที่พยายามเอาตัวให้รอดคนหนึ่ง
ชิ่งเจิ่นมีเหตุผลของตัวเอง ผู้ก่อจลาจลก็มีการตัดสินใจจากข้อเท็จจริงส่วนตัว สุดท้ายแล้วใครกันจะเป็นคนบอกว่าอะไรผิดอะไรไม่ผิดล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “สถานีทดลองนิวเคลียร์สิบเจ็ดแห่ง? อยู่ที่ไหนบ้างเหรอ เป็นของสมาคมตระกูลชิ่งหมดเลย?”
“เปล่า” หยางเสียวจิ่งส่ายหน้า “ที่จริงหลายปีมานี้ที่เราสนใจหลักๆ เลื่อนไปอยู่ยังที่ราบตอนกลางแล้ว สถานีทดลองนิวเคลียร์ทั้งสิบเจ็ดแห่งที่ถูกทำลายอยู่ที่นั่นหมด ที่ตะวันตกเฉียงใต้มีสมาชิกผู้ก่อจลาจลอยู่หยิบมือเดียว ที่ราบตอนกลางเป็นโลกใบใหญ่กว่ามาก”
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ยินคำว่า ‘ที่ราบตอนกลาง’ หลังเกิดภัยพิบัติ มนุษย์อยู่แต่ในป้อมปราการ ข้อมูลข่าวสารและการเดินทางก็ชะงักไป
ดังนั้นตั้งแต่เริ่นเสี่ยวซู่ยังเด็ก เขามีความคิดตลอดว่าโลกมันกว้างใหญ่แค่นี้เอง ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีสมาคมตระกูลชิ่ง ทางเหนือมีสมาคมตระกูลหยาง ป้อมปราการ 178 อยู่ตะวันตกเฉียงเหนือ และสมาคมตระกูลหลี่อยู่ทางใต้
นี่คือแผนที่ทั้งโลกที่อยู่ในหัวของเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ให้หลังเขาก็พบว่ามันไม่ใช่เช่นนั้นเลย จางจิ่งหลินเคยพูดเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้เจาะลึกอะไรนัก เขาพูดเพียงว่าจะเดินทางจากตะวันตกเฉียงใต้ไปที่ราบตอนกลางนั้นไม่ง่ายเลย แผ่นโลกเคลื่อนตัวทำลายถนนและทางภูเขา รวมถึงยกพื้นที่ให้สูงขึ้น อุบัติการณ์นี้ได้กลายเป็นปราการธรรมชาติของตะวันตกเฉียงใต้ไป
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย “ที่ราบตอนกลางหน้าตาเป็นไงเหรอ”
หยางเสียวจิ่นส่ายหน้า “ฉันไม่เคยไปเหมือนกัน แต่ได้ยินจากน้าว่าที่นั่นรุ่งเรืองมั่งคั่งมาก ถึงกับมีถนนเชื่อมต่อระหว่างป้อมปราการด้วยนะ พลเมืองของป้อมปราการสามารถเดินทางไปไหนมาไหนอย่างเสรี บางคนก็ขับรถไปไกลๆ เพื่อพักผ่อน ประตูเปิดปราการเปิดตลอดยามกลางวัน และจะปิดตอนกลางคืน น้าบอกว่าป้อมปราการ 1 เป็นเหมือนปาฏิหาริย์ของอารยธรรมมนุษย์ พอตกดึกที่นั่นก็จะกลายเป็นหมู่ดาวอันลุกโชนไม่หลับใหล”
“อยากไปที่ราบตอนกลางไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
หยางเสียวจิ่นมองหน้าเขาแล้วว่า “ไม่อยาก”
เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจ จากที่หยางเสียวจิ่นพูดว่า งานของผู้ก่อจลาจลส่วนใหญ่อยู่ที่ที่ราบตอนกลาง พูดตามหลักแล้วหยางเสียวจิ่นก็น่าจะไปอยู่นั่นเช่นกัน แล้วทำไมเธอถึงไม่อยากไปล่ะ
“อ้อใช่” หยางเสียวจิ่นพูด “หลัวหลานน่าจะใกล้ออกจากป้อมปราการ 88 แล้ว ถ้าเดินทางได้ยาวๆ นายน่าจะไปทันเจอหน้าเขา”
“หลัวหลานกำลังออกจากป้อมปราการ 88 เหรอ” ได้ยินแบบนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ผงะไป เขารู้มาจากถังโจวว่าหลัวหลานถูกชิ่งเจิ่นส่งไปป้อมปราการ 88 เพื่อจัดการการร่วมมือกันของทั้งสองสมาคม หลัวหลานไปที่นั่นในฐานะตัวแทนของสมาคมตระกูลชิ่ง
แต่ตอนนี้หลัวหลานกำลังเดินทางออกจากที่นั่น หมายความว่าการร่วมมือกันของทั้งสองสมาคมสมาคมกำลังมาถึงจุดจบ
หลังจากทั้งสองสมาคมตระกูลทำลายกำลังสมาคมตระกูลหลี่ถึงระดับหนึ่งแล้ว การจับมือของทั้งสองก็กำลังไร้ซึ่งความหมายไป
…
ตอนนี้หลัวหลานในป้อมปราการ 88 กำลังสั่งให้ลูกน้องเก็บสัมภาระ “เบาหน่อยๆ ตอนขนขึ้นรถให้ระวังด้วย ฉันใช้เงินไปตั้งเยอะซื้อของฝาก ถ้าของแตกขึ้นมาพวกนายจ่ายไม่ไหวแน่!”
ลูกน้องหัวเราะ “เจ้านาย ท่านชิ่งเจิ่นชนะแล้วเหรอ”
“ดูพูดเข้าสิ!” หลัวหลานยิ้มพูด “มีสงครามไหนที่ชิ่งเจิ่นชนะไม่ได้ด้วยเหรอ พวกตาแก่ในสมาคมจบสิ้นแล้วล่ะ!”
ในสงครามนี้ นอกจากมาเจรจากับสมาคมตระกูลหยางแล้ว หลัวหลานก็ไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก ที่ทำก็แค่กินดื่มและก็กินดื่มอยู่ในสมาคมตระกูลหยาง
ตอนนี้เขากำลังกลับ อาจจะไปทันสงครามกับสมาคมตระกูลหลี่รอบสุดท้าย คิดแล้วหลัวหลานก็ตื่นเต้นขึ้นมา ไม่รู้ทำไมแต่เขานิยมชมชอบจะสู้ในสงครามมาก ถึงการสู้รบจะเป็นวันเวลาที่ลำบาก กินก็ไม่ดี หลับก็ไม่สบาย แต่เขาก็ยังชอบมาก
แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงรถขับดังมาจากถนนในป้อมปราการ ทหารข้างๆ หลัวหลานอยากจะควักปืนขึ้นมา แต่หลัวหลานโบกมือแล้วว่า “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ไม่มีใครในป้อมปราการ 88 กล้าแตะต้องพวกเราหรอก น่าจะมาส่งพวกเรามั้ง”
จากนั้นก็เห็นรถบรรทุกทหารสามคันขับมาหาพวกเขา พอขบวนรถหยุดลงก็มีทหารกลุ่มใหญ่กระโดดลงมา หลัวหลานพึมพำ “แม่*ไม่เห็นเหมือนกำลังมาส่งพวกเราเลย…”
พูดจบก็มีนายทหารคนหนึ่งเดินมาหาหลัวหลานและเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ห้ามให้ใครออกจากที่นี่”
“ทำไม” หลัวหลานผงะ “สมาคมตระกูลหยางเสียสติไปแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่พวกเราที่เสียสติ” นายทหารแค่นเสียง “เป็นสมาคมตระกูลชิ่งของนายต่างหากที่เสียสติไปแล้ว หรือพูดตรงๆ กว่านั้นก็คือชิ่งเจิ่นนั่นแหละที่เสียสติไปแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้น” หลัวหลานขมวดคิ้วมุ่น
“ตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อคืนพวกเรากับสมาคมตระกูลชิ่งจะโจมตีแนวหน้าที่เขากว่างอิ๋ง แต่พอสมาคมตระกูลหยางเราไปถึงสนามรบ จู่ๆ สมาคมตระกูลชิ่งก็ถอย ปล่อยให้เราเผชิญหน้ากับการถล่มยิงของสมาคมตระกูลหลี่เพียงลำพัง พวกเราเลยเสียหายหนักมาก” นายทหารแค่นเสียง “พวกนายเป็นคนเลิกพันธมิตรก่อน ดังนั้นพวกนายก็ไม่ต้องออกไปจากที่นี่แล้ว ทุกคน จับพวกเขาคุมขังไว้ในบ้าน คอยเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง!”
หลัวหลานผงะ “เป็นความจริงเหรอ”
นายทหารว่า “ดูเหมือนว่าน้องชายจะไม่สนชีวิตนายนะ”
พวกทหารยกปืนและกดดันให้หลัวหลานและพรรคพวกกลับเข้าไปบ้าน หลัวหลานยกมือขึ้นแล้วว่า “ไม่ต้องผลักๆ พวกเราเข้าไปเองได้ ค่อยๆ คุยกัน”
ระหว่างถอยกลับเข้าไปในบ้าน ร่างอ้วนท้วมถึงกับชนเข้าประตูรอบหนึ่งตอนก้าวถอยหลัง
ทหารคนหนึ่งกระซิบกับหลัวหลาน “เจ้านายครับ ท่านชิ่งเจิ่นสละพวกเขาทิ้งจริงๆ เหรอ”
“พูดไร้สาระ” หลัวหลานตัดบท “ชิ่งเจิ่นไม่มีทางทำแบบนั้น”
“งั้น…” ทหารผู้นั้นอึกอักพูด
หลัวหลานถอนหายใจ “ฉันกลัวว่าชิ่งเจิ่นจะไม่ได้เป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินคำสั่งสุดท้ายในกองทัพอีกแล้วน่ะสิ”
หลัวหลานเข้าใจชิ่งเจิ่นเป็นอย่างดี เขารู้ว่าชิ่งเจิ่นไม่มีทางทิ้งตนแน่ ถ้าอย่างนั้นก็เหลือความเป็นไปได้เดียวแล้ว คนที่สั่งถอยทัพไม่ใช่ชิ่งเจิ่น
ก่อนหน้านี้สมาคมตระกูลชิ่งไม่ได้ทำอะไรชิ่งเจิ่นเพราะไม่อยากเปลี่ยนผู้นำทัพในวินาทีสุดท้ายจนชวดโอกาสในสงครามนี้ไป
แต่ว่าสมาคมตระกูลหลี่พ่ายแพ้ไปแล้ว ชิ่งเจิ่นย่อมไม่เป็นที่ใช้งานอีก นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน[1]
[1] นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน (鸟尽弓藏) หมายถึงใช้งานเสร็จก็เฉดหัวทิ้ง