The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ 27 โยนภาระ

ตอนที่ 27 โยนภาระ

อ่านโดจิน doujinza.com

ตอนที่ 27 โยนภาระ

เหลินเสี่ยวซูเองก็งงนิดหน่อยเหมือนกัน ที่เขาพอพูดความจริงโต้งๆออกไปกลับได้รับคำขอบคุณกลับมาซะอย่างงั้น

ทั้งหยานหลิวหยวนและเขาต่างก็มีความคิดที่ว่า คนเรานั้นจะขอบคุณจากใจจริงต่อเมื่อพวกเขาได้บางอย่างมาฟรีๆ

เหลินเสี่ยวซูเองก็เคยเข้าเรียนหนึ่งในวิชาของอาจารย์ฉาง ที่ว่าด้วยเรื่องความรุ่งเรืองในวัฒนธรรมมนุษย์สมัยอดีตกาล นั้นทำให้เขาได้แต่สงสัย ว่าอารยธรรมอันรุ่งเรืองใช้เวลาก่อสร้างหลายพันปีแบบนั้นถึงพังลงในช่วงเวลาแค่พริบตา

และในวันนี้ คู่สามีภรรยาทำให้เสี่ยวซูพอจะเห็นขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจหรือสัมผัสมันไม่ได้อยู่ดี

ในวันเดียวกันนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูให้เสี่ยวหยูเอาป้ายคลินิกนอกชายคาลงแล้วปักคำว่า “รักษาบาดแผล” เพิ่มขึ้นต่อท้ายคำว่า คลินิก

เขาเคยโกหก เคยหลอกลวง เคยขโมยของ แต่ที่เขาทำนั้นก็เพราะเขาไม่มีทางเลือก

นับจากนี้เป็นต้นไป เหลินเสี่ยวซูตัดสินใจแล้ว ว่าเขาจะรักษาเท่าที่เขาสามารถรักษาได้ ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาก็จะบอกตรงๆ

ในวันนี้ ไม่มีใครเลยที่แวะเข้ามาในคลินิกด้วยบาดแผลบาดเจ็บ ทุกคนที่แวะเข้ามานั้น มีทั้งอาการบวด อาการ แสบนู้นนี้นั้นที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักษายังไง แต่ที่น่าแปลกใจคือ ทุกครั้งที่เขาบอกคนไข้ตามความจริงว่าเขารักษาไม่ได้ มันกลับทำให้เขาได้รับคำขอบคุณกลับมาอย่างล้นหลามจนตอนนี้ เขาได้เหรียญคำขอบคุณเพิ่มมาถึง 10 เหรียญตอนจบวัน โดยที่ยังไม่ได้ใช้ยาดำเลยซักหยดด้วยซ้ำ

ตอนเย็นวันนั้น เหลินเสี่ยวซูนั่ง งง แตกอยู่ในคลินิก สับสนว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่

เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าทุกคนเอือมละอากับหมอคนเก่าหยูตงมานานขนาดนี้ แต่จากการกระทำของเหลินเสี่ยวซูทำให้มีข่าวแพร่ระบาดไปทั่วเมืองประมาณว่า “อย่างน้อยเหลินเสี่ยวซูผู้ไร้ปราณีก็ยังดีกว่าไอ้หมอเวรหน้าเลือดหยูตงล่ะวะ! อย่างน้อยถ้าเขาไม่รู้ว่าจะรักษายังไง เขาก็จะไม่พยายามเรียกร้องเก็บเงินตื้อให้ซื้อยาปลอมๆที่กินแล้วรักษาไม่หายหรอก!”

ซึ่งพอคนที่เจ็บป่วยเดิมได้ยินแบบนั้นก็เริ่มคิดว่า “เห้ย จริงเหรอ เขาเป็นคนแบบนั้นเหรอเนี่ย” แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะลองแวะไปที่คลินิกเพื่อไปเห็นด้วยตาตัวเอง

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แต่เหลินเสี่ยวซูกลับคิดว่ามันกลายเป็นเรื่องลำบากสุดๆ เพราะจำนวนคนป่วยที่เข้ามาปรึกษาหมอนั้นมันเยอะเกินจำนวนเหรียญขอบคุณที่เขาได้รับอย่างน้อย 10 เท่า!

บางคนก็มาหาด้วยอาการปวดหัวเฉยๆ หรือบางคนแก้มบวมขึ้นนิดเดียวก็มาคลินิกแล้ว บางคนถึงขั้นมาแบบไม่มีอาการป่วยอะไรเลย แค่มาขอคำปรึกษาแล้วจากไปก็มี

แต่ในเมื่อเหลินเสี่ยวซูตัดสินใจที่จะทำแบบนี้แล้ว เขาก็จะทำต่อไป เขาแนะนำชาวเมืองทุกคนแล้วส่งพวกเขากลับไป แบบเดียวกับที่เขาแนะนำอธิบายให้กับคู่สามีภรรยานั้น

เพราะแบบนั้น ชาวเมืองทุกคนจึงได้รู้ว่า เหลินเสี่ยวซู ไม่คิดจะเก็บเงินค่าปรึกษาจริงๆ แต่จะเก็บเฉพาะค่ายากับค่ารักษาเท่านั้น

ภาพจำแรกที่ชาวเมืองเห็นเหลินเสี่ยวซู คือเขาเป็นคนที่โหดร้าย ทารุณ ไร้ความปราณีและระแวงเกินเหตุ แต่นั้นก็เพราะว่าเขาต้องดูแลหยานหลิวหยวนและต้องเอาตัวรอดมีที่ยืนในเมืองที่โหดร้ายคนตายได้ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องสร้างนิสัยความไร้ปราณีกับคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรอด

หลังจากนั้น ภาพจำของทุกคนที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนกลายไปเป็น คนขายยา

แต่ตอนนี้ ทุกคนเริ่มคิดแล้วถ้าเกิดพวกเขาบาดเจ็บมีบาดแผล พวกเขาจะรีบไปที่คลินิกทันทีเพื่อไปรักษากับเหลินเสี่ยวซู

คำพูดปากต่อปากนั้นแพร่กระจายไปรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ซะจนแม้แต่เหลินเสี่ยวซูเองก็ยังตกใจ

ตอนเที่ยงวันนั้นเสี่ยวหยูเข้าไปในเมืองพร้อมตระกร้าสานหวังจะไปซื้อของชำซักหน่อย ช่วงหลังๆมานี้พวกเขาสามารถซื้อของใช้ได้มากขึ้นแล้ว เพราะเงินเก็บพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็น 3400 หยวน เพราะงั้น พวกเขาเลยคิดจะซื้อวัตถุดิบที่ดีขึ้นจากตลาดภายในเมือง

เสี่ยวหยูนานๆทีก็จะซื้อดอกเกลือกับหนังหมูมาด้วย รสสัมผัสของดอกเกลือในปากมันต่างจากเกลือปรกติอย่างเห็นได้ชัด ส่วนน้ำมันที่สกัดออกมาจากหนังหมูเองก็เหมาะกับการนำไปใช้ทอดมาก

เมืองแห่งนี้มีฟาร์มหมูตั้งอยู่บริเวณนอกเมือง หมูปรกติหลังจากเหตุการณ์ภัยพิบัติพวกมันก็วิวัฒนาการไปอีกขั้นนึงด้วยเชช่นกัน แต่ตราบใดที่เลี้ยงพวกมันมาตั้งแต่เล็ก พวกมันก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นหมูที่เชื่องกับคน

มนุษย์เป็นสัตว์วายพันธ์ที่ขึ้นชื่อในด้านการปรับตัวที่สุด และใช้ประโยชน์จากสภาวะแวดล้อมได้ดีที่สุด ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนเทียบได้แล้ว

ปรกติ เนื้อหมูดีๆจะถูกส่งเข้าไปให้คนในป้อมปราการกินกันเกือบทั้งหมด จะเหลือเนื้อหมูไว้ขายในเมืองแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ หยานหลิวหยวนเองก็เคยฝันว่าตัวเองจะได้เข้าไปในป้อมปราการแล้วไปกินเนื้อดีๆซักมื้อให้ได้เหมือนกัน

เสี่ยวหยูกลับมายังคลินิกพร้อมด้วยตระกร้าผักต่างๆทันทีที่เธอเข้ามา เธอก็พูดขึ้นมากับเหลินเสี่ยวซูด้วยความอารมณ์ดี “นี่ๆ เสี่ยวซู รู้รึเปล่า ตอนนี้คนในเมืองเขาชื่นชมอวยเธอกันใหญ่แล้วนะ?”

เหลินเสี่ยวซูตกใจนิดหน่อย “จริงเหรอ?”

“ใช่น่ะซิ” เสี่ยวหยูยิ้มแล้วเริ่มหั่นผักที่ซื้อมา “เสี่ยวซูของเราได้กลายเป็นหมอแล้ว ทีนี้อนาคตภรรยาของนายก็จะต้องเป็น 1 ในสาวที่สวยที่สุดในเมืองแน่เลย แล้วถ้านายแต่งงานมีลูกเมื่อไรล่ะก็ ฉันก็จะช่วยนายเลี้ยงลูกเอง”

เหลินเสี่ยวซูเริ่มอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย “ไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลย

เสี่ยวหยูพูดเหมือนโดนขัดใจ “นี่นายอายุเท่าไรกันแล้วน่ะ หะ? ถึงเวลาที่นายควรจะคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้วนะ อ้อ อีกอย่าง วันนี้ฉันซื้อถั่วลิสงมาด้วย สงสัยเหมือนกันว่าพวกคนในเมืองเขาไปขุดเจอกันแถวไหน แต่เดี๋ยวฉันจะทำให้พวกนายกินนะ”

ในตอนนั้นหยานหลิวหยวนก็กลับมาจากที่โรงเรียนพอดี ทุกวันนี้เขาสามารถกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านได้เหมือนเด็กคนอื่นๆแล้ว ก่อนหน้านี้เขารันทดถึงขนาดต้องพกมันฝรั่งไปโรงเรียน 2 ลูกทุกเช้า เอาไว้กินตอนมื้อเที่ยง

หลังจากที่ผ่านเข้าประตูมา เขาก็สังเกตเห็นถั่วลิสงที่อยู่ในตะกร้า เขาจึงเด็ดถั่วขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะได้แกะเปลือก เสี่ยวหยูก็ตีมือของเขา “อย่าพึ่งกินซิ ยังเปื้อนดินอยู่เลยนะ”

หยานหลิวหยวนทุบโต๊ะด้วยความโกรธ “แล้วทำไมคนสวยๆอย่างพี่ต้องมาหยุดผมกินถั่วด้วย!”

เสี่ยวหยูพอได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูด “อะอะ ก็ได้ๆ จะกินก็ได้”

หยานหลิวหยวนพอได้ตามใจแล้วก็เริ่มแกะถั่วแล้วพูดกับเหลินเสี่ยวซู “เออ พี่ ฉันเห็นมีหลายคนมารวมตัวกันนอกโรงเรียนวันนี้ เห็นบอกจะมาหาอาจารย์ฉางด้วย แต่อาจารย์ไม่อนุญาติให้พวกเขาเข้ามา แต่พอเลิกเรียนปุ๊บ พวกเขาก็แห่กันเข้ามาทันที ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อยากจะไปดูสถานการณ์รึเปล่า?”

“หะ?” เหลินเสี่ยวซูอ้ำอึ้งไปซักพักก่อนที่ความรู้สึกแปลกๆจะแล่นเข้าในใจเขา

ในตอนนั้นเอง บุรุษหน้าคุ้นเคยก็พุ่งเปิดประตูเข้ามาในบ้านของเขาด้วยท่าทางโกรธจัด เขาคนนั้นคืออาจารย์ฉางจิงหลินนั่นเอง

เหลินเสี่ยวซูเบิกตากว้าง “อ้าว อาจารย์ฉาง มาได้ไงครับเนี่ย กินข้าวกันก่อนไหมครับ?”

“กินข้าวบ้านเตี่ยนายซิ!” อาจารย์ฉางพูดแบบโกรธจัด “ถ้านายรักษาคนป่วยไม่ได้ ก็ไม่ต้องรักษาซิ จะส่งทุกคนตรงมาถามฉันทำไมละ!”

เหลินเสี่ยวซูเคยพูดกับคู่สามีภรรยาว่า “ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ พวกคุณสามารถไปหาอาจารย์ฉางแล้วขอยืมหนังสือเกี่ยวกับเรื่องวิธีการป้องกันการแท้งลูกได้เลย”

ซึ่งเหลินเสี่ยวซูรู้สึกว่า วิธีนี้มันใช้ได้ผลทีเดียว เขาเลยใช้วิธีนี้กับทุกคนที่เข้ามาหาเขาเมื่อเช้าวันนี้ ใครเป็นอะไรไม่สนใจโยนหาอาจารย์ไว้ก่อน

อาจารย์ฉางพูดต่อด้วยความขมขื่น “ก็ถ้ามันเป็นอาการเจ็บป่วยทั่วไปมันก็ยังพอถูไถไปได้อยู่หรอก แต่นายกลับส่งแม้กระทั้งคนเป็นฮ่องกงฟุตมาด้วยเนี่ยนะ! รู้รึเปล่าว่ากลิ่นเท้าของหมอนั่นมันแย่แค่ไหนตอนที่ถอดรองเท้าออกมาน่ะ! โชคยังดีนะที่ฉันหนีออกมาทัน ไม่งั้นสลบตายคาเท้าแน่!”

เหลินเสี่ยวซูอายนิดหน่อยแล้วยิ้มอย่างสำนึกผิด “ก็… ผมคิดว่าอาจารย์เป็นคนที่มีความรู้ที่สุดแล้วนี่ครับ”

อาจารย์ฉางพูด “ฉันเป็นอาจารย์ ถ้าหมออย่างนายยังรักษาคนไม่ได้ แล้วคิดว่าฉันจะรักษาได้เหรอ? ถ้านายโยนภาระคนไข้มาหาฉันอีกล่ะก็ รับรองได้เลยว่าหยานหลิวหยวนได้เจอการบ้านแบบไม่จบไม่สิ้นแน่!”

หยานหลิวหยวนที่ยืนแกะถั่วอยู่ข้างหลังยืนงง “แล้วเราโดนลากไปเกี่ยวด้วยได้ไงวะเนี่ย!”

เหลินเสี่ยวซูหยิบถั่วลิสงแล้วยัดเข้ามือฉางจิงหลิน “ไม่ต้องเป็นห่วงครับอาจารย์ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมไม่ทำจริงๆ ผมสัญญา!”

อาจารย์ฉางคิดก่อนที่จะกลับไปที่โรงเรียนพลางแกะถั่วแล้วโยนเข้าปากเคี้ยวตุ้ย

อ่านโดจิน doujinza.com

ในช่วงเช้าตรู่ เหลินเสี่ยวซูเปิดประตูคลินิกแต่เช้าแล้วเริ่มสำรวจพื้นที่รอบข้าง นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาพบว่าอากาศยามเช้ามันสดชื่นเช่นนี้

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ ท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยหมอกควันประหลาดแทบจะตลอดเวลา อาจารย์ฉางเคยบอกไว้ว่า หมอกพวกนั้นคือชั้นฝุ่นควันที่กระจัดกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้าตอนที่เกิดเหตุการณืภัยพิบัติ ไม่เพียงแต่จะบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้ต้นไม้พืชผักเติบโตสังเคราะห์แสงได้แล้ว มันยังทำให้อากาศหนาวเย็นขึ้นมาก รวมไปถึงฝนกรดที่มักจะตกลงมาบ่อยๆด้วย

แต่สถานการณ์ตอนนี้มันถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ถ้าเทียบกับเมื่อหลาย 10 ปีก่อน ตอนนี้แสงอาทิตย์เริ่มกลับมาสาดส่องได้ตลอดทั้งปีแล้ว

คลินิกของเหลินเสี่ยวซูนั้นตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายของชำพอดี ทันทีที่เขาเปิดประตูออกมาเขาก็เห็นหวางฟู่กุยออกมาจากร้านพร้อมถือมันฝรั่งหวานอบ 2 ลูกออกมา “เสี่ยวซู มานี้ซิ เอามันหวานไปกินหน่อย!”

เหลินเสี่ยวซูอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้ ตาแก่หวางขี้งกถึงขนาดกว่าจะยอมให้ยืมเข็มมาใช้เย็บเสื้อของเขายังยากแทบจะต้องกราบลงกับพื้น แม้แต่ด้ายเย็บผ้ายังต้องเสียตังซื้อเลย

แต่ตอนนี้ตาแก่ขี้งกนั้นกลับหยิบยื่นมันหวานให้เขากับมือเนี่ยนะ…

เหลินเสี่ยวซูจ้องมองสีหน้าที่อารมณ์ดีขอองหวางฟู่กุย ในเมื่อมีคนมาให้ของเขา เขาก็ควรจะให้ของกลับเป็นการตอบแทนน้ำใจด้วย แต่เขาก็พูดออกมาแทน “ฉันไม่มีอะไรจะให้ของจะให้แลกหรอกนะ แต่ฉันมียาชาอยู่เยอะพอควรเลย ลุงสนใจจะเอาไปซักเข็มไหมละ?”

“แล้วฉันจะเอายาชาไปเพื่ออะไรกันวะ?”หวางฟู่กุย สวนกลับมาหน้าดำเข้ม เขาถามต่อ “จะว่าก็ว่าเถอะ นายเองก็ไม่ได้ออกไปเก็บสมุนไพรเลยนี่ช่วงนี้ แล้วแบบนี้นายยังมีตัวยาเหลือพอเหรอ?”

“ก็พอนะ ฉันมียาแก้อักเสบ ยาชา ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก” เหลินเสี่ยวซูพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ฉันหมายถึงว่า นายยังมียาดำเหลืออยู่บ้างรึเปล่า” หวางฟู่กุยอ้อมโลกกลับมาเข้าประเด็นที่ต้องการ

“ลุงก็พึ่งซื้อไปเองไม่ใช่เหรอ?” เหลินเสี่ยวซูถาม

“นั่นฉันซื้อไปให้ขาใหญ่ในป้อมปราการตั่งหากเล่า อย่ามาแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ถ้าฉันไม่ส่งยานั่นเข้าไปในป้อมปราการ คิดเหรอว่านายจะได้มีวันเข้ามาอยู่ในคลินิกประจำเมืองแบบนี้ได้ง่ายๆน่ะ?” หวางฟู่กุยบ่น “เอาจริงๆฉันก็แค่กะจะให้ยานี่กับเฉินไหตงเฉยๆแหล่ะ แต่ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันส่งต่อกันไปเรื่อยๆจนถึงมือของบอสลั่วได้ยังไง…”

หวางฟู่กุยเองก็ยังไม่เข้าใจว่ายาดำนั่นมันโด่งดังไปถึงระดับนั้นได้ยังไงกัน เขายังอยากรู้อีกด้วยว่ากว่าจะถึงมือบอสลั่ว ยาดำมันเหลืออยู่เท่าไร

“อะนี้” เหลินเสี่ยวซูหยิบขวดกระเบื้อง 2 อันขึ้นมา เมื่อวานเขาแลกยาดำออกมาเพื่อรักษาอาการไข้ของหยานหลิวหยวน แล้วมันเหลือใช้ได้อีก 2 ครั้ง เขาเลยแบ่งมันเก็บไว้ในขวดเล็กๆเผื่อใช้ทำอย่างอื่นต่อได้ “1200หยวน ไม่น้อยไปกว่านั้น”

“ฉันจะส่งขวดนึงเข้าป้อมปราการ” เถ้าแก่หวางจ้องมอง “ไม่รู้สึกอับอายบ้างเหรอที่ขายของแพงขนาดนี้น่ะ?”

“ซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไปแค่นั้นล่ะ” เหลินเสี่ยวซูเตรียมเก็บยาดำลงเข้ากระเป๋า

สุดท้ายหวางฟู่กุยก็ไม่งลังเล เขาจับมือของเหลินเสี่ยวซูแล้วยัดเงินลงไปแทนที่ก่อนที่หวางฟู่กุยจะขอบคุณเขาอีกครั้ง

“ได้รับคำขอบคุณจาก หวางฟู่กุย +1!”

เอ๋? เหลินเสี่ยวซูรู้สึกได้ว่าหวางฟู่กุยนั้นเป็นคนที่น่าสนใจมากทีเดียว เพราะคำขอบคุณทั้ง 2 ครั้งของเขานั้นทำให้เหลินเสี่ยวซูได้เหรียญขอบคุณเพิ่มขึ้นทุกครั้งเลย

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูกลับแอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ต้องยอมมอบยาดำไปให้ทั้งแบบนั้น แล้วแบบนี้จำนวนเหรียญขอบคุณของเขาจะเพิ่มขึ้นมาได้ยังไงกันล่ะ? ตอนนี้เหลือแค่ 4 เหรียญเท่านั้นเอง

แต่ถ้าเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียแล้ว ด้วยความที่ว่าเขาเองก็อยากให้หยานหลิวหยวนกับพี่เสี่ยวหยูมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะงั้นการที่จะต้องผูกมัดญาติดีกับคนใหญ่คนโตในป้อมปราการก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น

เพราะงั้น การที่เขามอบยาดำไปมันก็ไม่ถือว่าเป็นการมอบให้เปล่า แต่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมทีเดียว

พอคิดแบบนั้นแล้วเหลินเสี่ยวซูก็ถอนหายใจ ตอนนี้เขาอยากจะรู้มากกว่าว่าการที่เขาได้มาเป็นหมออย่างถูกต้องเป็นทางการของเมืองจะทำให้เขาได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจมากขึ้นไหม

แต่ยังไงสิ่งที่เหลินเสี่ยวซูต้องทำในตอนนี้เป็นอย่างแรกก็คือออกไปเก็บสมุนไพรป่า การรอบคอบเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเกิดเขายังขายยาดำต่อโดยที่ไม่ออกไปหาสมุนไพร คนอื่นจะพากันสงสัยเอาได้

ไม่งั้นพอคนพูดถึงในอนาคตมันอาจจะเป็นแบบว่า “คนนั้นมีพลังพิเศษเสกฝนน้ำแข็งขึ้นมาถล่มเมืองได้ ส่วนคนนั้นใช้มือตัดผ่านภูเขาได้” ในขณะที่พอพูดถึงเหลินเสี่ยวซู มันจะกลายเป็น “พลังพิเศษของเขาคือการเสกยาขึ้นมาได้” มันจะน่าอายไปหน่อย

หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูเข้าไปในป่าเขาก็แอบที่จะไปดูจุดที่ฝังปืนเอาไว้ไม่ได้ เขาต้องตรวจเช็กให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเจอปืนที่เขาฝังไว้ ตอนนี้ปืนพกถือว่าเป็นอาวุธที่ดีที่สุดที่เขามีมา มันจะหายไปไหนไม่ได้เด็ดขาด

ถึงแม้ว่าเขาจะมีค่าพลัง 4.5 และค่าความคล่องตัวอยู่ที่ 4.1 แล้วก็ตาม แต่ไม่ว่ายังไง มนุษย์ก็ยังสู้ปืนไม่ได้อยู่ดี

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูกลับมาที่คลินิกพร้อมด้วยตะกร้าไผ่สานแบกขึ้นหลังนั้นเอง เขาก็เห็นเสี่ยวหยูทำหน้าตาลำบากใจพยายามจะช่วยคู่ชายหญิงที่เข้ามาหาหมอที่คลินิก

ตอนที่เธอเห็นเหลินเสี่ยวซูกลับมา เธอก็หันหาเหลินเสี่ยวซูแล้วส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือทันที “เสี่ยวซู มาช่วยดูคนไข้ด่วนเลย”

เหลินเสี่ยวซูวางตระกร้าลงกับพื้นแล้วเข้าไปถาม “บาดเจ็บอะไรปวดตรงไหนมารึเปล่าครับ? ผมเป็นหมอของคลินิกนี้”

“ดีเลย คุณหมอมาแล้ว” ผู้ชายพูด “เราไม่ได้บาดเจ็บอะไรครับ แต่ภรรยาของผมที่พึ่งตั้งท้องได้ 4 เดือน จู่ๆก็เจ็บท้องขึ้นมาเช้าวันนี้ พวกเรากลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น เลยรีบพามาหาหมอก่อนนะครับ”

เหลินเสี่ยวซูหน้าชา ถึงแม้ว่าเขาจะบอกตัวเองเป็นหมอ แต่จะให้เขาก็รักษาอะไรแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน!

ในยุคสมัยแบบนี้ ความรู้เรื่องบุรุษเวช กับนรีเวช มันหายไปจากโลกเกือบหมดแล้ว ชุดความคิดของผู้ลี้ภัยในเมืองตอนนี้คือ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยบ้าบออะไรก็ตามแต่ ให้วิ่งเข้าคลินิกไว้ก่อน

นั้นทำให้เหลินเสี่ยวซูตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เขาดันพูดโม้บอกว่าตัวเองเป็นหมอไปแล้ว และตอนนี้เขาก็ต้องรับกับความคาดหวังของคู่สามีภรรยา แล้วแบบนี้เขาจะทำให้ตัวเองเสียหน้าได้ยังไงกันล่ะ

เหลินเสี่ยวซูพยายามนึกรื้อฟื้นความทรงจำในห้องเรียนกับอาจารย์ฉางออกมาทั้งหมดรวมไปถึงหนังสือที่เขาเคยอ่านมาเท่าที่ทำได้ พยายามคิดหาทางรอด ค้นหาวิธีการรับมือกับปัญหาที่เขากำลังเผชิญ ถ้าเป็นหมอปรกติจะพูดว่าอะไรกับพ่อแม่ที่รอคอยสมาชิกใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลกกัน

จนกระทั้งมันผุดออกมาเป็นประโยคแล้วเขาก็พูดออกมาทันที “คุณอยากจะช่วยคุณแม่หรือช่วยเด็กเอาไว้ดีละครับ?”

ทั้งคู่งงแตกทันที

ผู้ชายหัวร้อน “นี่เป็นหมอจริงรึเปล่าเนี่ย ภรรยาของผมพึ่งจะรู้สึกปวดท้องแค่นี้เอง แต่คุณถึงขั้นมาถามผมว่าจะให้ช่วยแม่หรือช่วยเด็กในท้องงั้นเหรอ? ปัญหาก็คือ เมียผมพึ่งท้องได้แค่ 4! เดือน 4 เดือนที่ว่านั้นเด็กยังไม่โตพอจะลืมตาดูโลกเลยนะ ถ้าผมเลือกเด็กแล้วผมจะเอาเด็กไปไว้ที่ไหน?!”

เหลินเสี่ยวซูลองคิดตามดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดมหันต์

เขาเลยถอนหายใจแล้วพูดออกมาแทน “ผมต้องขอโทษพวกคุณมากนะครับ ผมคิดผิดไปเอง เอาจริงๆ ผมไม่มีความรู้เรื่องนรีเวชศาสตร์หรอกครับ ถ้าผมจะพูดหลอกคุณต่อไป มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย หมอคนเก่าเองก็คงไม่รู้วิธีรักษาเธอเหมือนกันครับ เพราะเขาเองก็เป็นหมอเก๊เหมือนกัน”

เหลินเสี่ยวซู ชายผู้สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา ตราบใดที่คนๆนั้นมันเลวชั่วสมควรตาย แต่เขาก็ยังมีความเป็นมนุษย์มากพอที่จะไม่โกหกคุณแม่ที่ตั้งท้องหรอก”

เหลินเสี่ยวซูพูดต่อ “ถ้าจะให้ผมแนะนำ พวกคุณลองไปที่โรงเรียนแล้วยืมหนังสือของอาจารย์ฉางอ่านเกี่ยวกับเรื่องการตั้งครรภ์ แล้วก็ให้คุณแม่กินดีดื่มดีทุกวัน หลังจากนั้นคงต้องให้ชะตาฟ้าลิขิตแล้วล่ะครับว่าเด็กจะเกิดออกมาราบลื่นหรือเปล่า ผมจะไม่เก็บเงินอะไรพวกคุณหรอกครับ อีกอย่าง อย่าเที่ยวไปซื้อยามั่วซั่วจากคนอื่นนะครับ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ไม่ควรจะกินยาอะไรแปลกๆเข้าไปในร่างกาย มันอาจจะนำไปสู่การที่จะทำให้ลูกในท้องพิการได้นะครับ ถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณก็ลองไปถามกับอาจารย์ฉางแล้วยืมหนังสือของเขามาอ่านเรื่องวิธีการป้องกันไม่ให้แท้งลูกก็ได้นะครับ”

คู่สามีภรรยามองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่คิดว่าเหลินเสี่ยวซูจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา สามีคิดอยู่ซักพักแล้วพูด “ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยคุณดีกว่าหมอคนก่อนนะครับ ครั้งที่แล้วที่ผมป่วย เขาเอะอะก็จะเร่งให้ผมซื้อยาเขาอย่างเดียวเลย แต่ถึงผมจะกินยาของเขาเข้าไปเท่าไรสุขภาพผมก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยซักนิด สุดท้ายผมก็ต้องอดทนฟื้นตัวเอาเอง”

ภรรยาที่ตั้งครรภยืนขึ้นแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณนะคะ คุณหมอ”

“ได้รับคำขอบคุณจากฉินเจียเจีย +1!”

เหลินเสี่ยวซูผงะ เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยแต่จู่ๆเขากลับได้คำขอบคุณมาซะอย่างงั้นเลย

ตอนที่ 25 ป้าย

“ก็ถ้านายไม่อยากได้ก็ส่งคืนมาก็ได้นะ พูดซะอย่างกับมันเป็นของขยะแขยงงั้นแหล่ะ” หวางฟู่กุยพูดแล้วพยายามคว้ากล่องรังนกกลับมา

แต่เหลินเสี่ยวซูก็ปิดกล่องรังนกแล้วโยนมันเข้ากระท่อมทันทีแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี“ไม่เอาหน่าลุงหวาง แค่ล้อเล่นนิดหน่อยแค่นั้นเอง มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”

จากนั้นเขาก็มองไปที่เหล่าผู้คนด้านหลังตาแก่หวาง จริงๆ จะเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นผู้ดีก็ได้แหล่ะ แต่ถ้าเป็นงั้นมันก็จะเป็นการดูถูกคำว่า “ผู้ดี” ไปหน่อย

ทุกคนที่ยืนต่อหลังนั้นถือกล่องของขวัญน้อยใหญ่ในมือ พวกเขาทุกคนต่างรู้จักเหลินเสี่ยวซู และจุดมุ่งหมายทที่พวกเขามาหาเหลินเสี่ยวซูในวันนี้ก็เพื่อทำความรู้จักกับเหลินเสี่ยวซูโดยเฉพาะ นั้นหมายความว่าพวกเขายอมรับเหลินเสี่ยวซูเข้ามาอยู่ในวงคนรวยประจำเมืองแล้ว และนับจากนี้ไปพวกเขาก็จะถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน

ถึงแม้ว่าเหลินเสี่ยวซูจะไม่ค่อยถือธรรมเนียมพิธีอะไร แต่หยานหลิวหยวนตอนนี้ยังคงนอนซมพักฟื้นอยู่บนเตียงอยู่ ถ้าพวกเขาให้พวกยาบำรุงกำลังอะไรมา เหลินเสี่ยวซูก็จะรับน้ำใจไว้ด้วยความเต็มใจ

“เหลินเสี่ยวซู” ตาแก่หวางดึงเขาออกมาแล้วพูด “นายต้องรีบย้ายเข้าไปที่คลินิกให้ไว้ที่สุดที่ทำได้นะ เพราะว่าด้านหลังของคลินิกมีบ้านที่ติดกันอีก 2 หลัง และบ้านพวกนั้นก็มีลานกว้างที่กว้างประมาณหลาย 10 เมตรอยู่ด้วย มีหลายคนหมายตาที่ผืนนั้นอยู่นะ!”

“โอเค เข้าใจแล้ว” เหลินเสี่ยวซูพยักหน้า ตั้งแต่ตอนที่ตาแก่หวางช่วยเขาไว้ เขาก็เคารพและสุภาพกับตาแก่หวางมากขึ้น

“อีกอย่าง บอสลั่วเขาจัดให้คนมาส่งเสบียงยาทั้งหลายจากป้อมปราการมาให้นายด้วย ของพวกนั้นมันมีราคามากนะ ฉันจัดแจงให้คนไปส่งของพวกนั้นให้ที่คลินิกแล้ว ของที่แพงสุดก็น่าจะเป็นยาแก้อักเสบกับยาชาแหล่ะ คอยระวังอย่าให้ของพวกนั้นโดนขโมยด้วยล่ะ” หวางฟู่กุยกระซิบ “มีบางคนถึงขั้นขโมยยาชาเพื่อเอาไปเสพทดแทนตอนลงแดงบุหรี่ด้วยนะ ฉันเองโดนมาแล้วเหมือนกันเพราะงั้นก็ระวังตัวให้ดีล่ะ”

เหลินเสี่ยวซูผงะ เขาพึ่งรู้ว่ายามันให้ผลเสพติดได้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นการที่มีคนส่งยาราคาแพงพวกนี้มาให้เขาฟรีๆมันก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เขาเลยถามเพิ่ม “แล้วบอสส่งอะไรมาให้เพิ่มอีกไหม?”

“เขาส่งป้ายมาให้ด้วยน่ะ”

เช้าวันนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูกับเสี่ยวหยูรีบเก็บข้าวของใช้ของตัวเองแล้วออกเดินทางไปยังคลินิก ใครมันจะไปอยากอยู่กระท่อมโง่ ๆ กันต่อล่ะในเมื่อมีบ้านอิฐที่สวยงามสะอาดสะอ้านรออยู่

เขาวางแผนเอาไว้แล้วว่า ตัวเขากับหยานหลิวหยวนนั้นจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังคลินิกหลังนึง ส่วนอีกหลังก็ให้เสี่ยวหยูเป็นคนอยู่

เสี่ยวหยูแต่แรกเดิมทีก็เคยอาศัยอยู่ในบ้านอิฐ แต่หลังจากนั้น เธอก็ย้ายเข้ามาอยู่ในกระท่อมเพราะด้วยความเป็นห่วง “น้องชาย” ทั้ง 2 ของเธอ และตอนนี้เสี่ยวหยูก็ได้กลับมาอยู่ในบ้านอิฐอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องไปทำงานสกปรกอีก

แต่ตอนที่เหลินเสี่ยวซูเดินอุ้มหยานหลิวหยวนมาถึงหน้าคลินิกนั้นเอง เขาถึงกับงง

เพราะเขาเห็นป้ายขนาดใหญ่ แขวนตรงกลางกำแพงคลินิกเด่นหลา บนป้ายเขียนเอาไว้ว่า “หัตย์วิเศษรักษากาย – จากลั่วหลาน”

ตามที่หวางฟู่กุยบอก ตราบใดก็ตามที่ป้ายนี่ยังแขวนอยู่หน้าคลินิก ก็จะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องกับเหลินเสี่ยวซูทั้งนั้น แต่แน่นอนว่า เหลินเสี่ยวซูเองก็ต้องไม่ทำอะไรที่เป็นการขัดใจหรือหาเรื่องลั่วหลานเองด้วย

ป้ายนี่เลยกลายเป็นเหมือนกับยันต์กันภัยสำหรับพวกเขา ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เหลินเสี่ยวซูรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบอสลั่วจะสั่งให้คนทำป้ายนี้ขึ้นมาด้วยความหวังดี หรือบอสลั่วตั้งใจที่จะแซวเขากันแน่

ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบแรกมากกว่า เพราะยังไงในสายตาของลั่วหลาน เหลินเสี่ยวซูก็เป็นแค่ผู้ลี้ภัยที่ขายยาวิเศษอยู่นอกป้อมปราการเท่านั้น

เหลินเสี่ยวซูช่วยหยานหลิวหยวนจัดการข้าวของทั้งหลายเข้าบ้านใหม่ เหลินเสี่ยวซูไม่ได้บอกเรื่องอาการของหยานหลิวหยวนเมื่อคืนให้เสี่ยวหยูฟัง เพราะเขากลัวว่าเธอจะเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ ทำให้พอเธอพึ่งมารู้ตอนเช้าวันนี้ที่หลังสุดเธอเลยรู้สึกแย่ขึ้นมา

หยานหลิวหยวนนั้นได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเสี่ยวหยูเป็นอย่างดีมาตลอด เขาเลยรู้สึกผิดขึ้นมาว่าตลอดที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้เป็นเด็กดีกับเธอเท่าไร เขาจึงพูดอย่างอ่อนแรง “พี่เสี่ยวหยู ขอโทษนะที่ผมทำตัวไม่ค่อยดีกับพี่มาตลอดเลย”

เสี่ยวหยูมองเขาด้วยความเอ็นดู “พวกนายก็แสบจริงๆนั้นแหล่ะ แต่ไม่ต้องมาขอโทษอะไรฉันหรอก เพราะถ้านายไม่ร้ายไม่โตกว่าเด็กคนอื่นๆ พวกนายจะไปอยู่รอดถึงทุกวันนี้ได้ยังไงกัน”

“ที่อยู่รอดได้ถถึงทุกวันนี้หลักๆก็เพราะว่าพี่ชายของผมสุดยอดยังไงล่ะ” หยานหลิวหยวนหัวเราะ

“ฉันล่ะสงสัยจริงๆเลยว่าเขาเติบโตผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านความลำบากมามากขนาดไหนกันนะ” เสี่ยวหยูถอนหายใจ

“ลำบากสุดๆไปเลยละครับ” หยานหลิวหยวนตอบ

เหลินเสี่ยวซูตอนนี้กำลังไล่ค้นและเช็คดูยาทั้งหลายที่หลงเหลือค้างอยู่ในคลินิก รวมไปถึงเสบียงยาใหม่ๆที่ถูกส่งมาจากลั่วหลาน บางทีอาจจะมีคนคาบข่าวไปบอกบอสลั่วก็ได้ว่าเขาเชี่ยวชาญด้านการรักษาแผล เขาเลยส่งพวกยาชากับยาแก้อักเสบมาให้เยอะเป็นพิเศษ

เหลินเสี่ยวซูดีใจมาก เพราะภายในลังยานั้นมียาลดไข้กับยาถอนพิษอยู่ด้วย เขาเลยเอายาแก้อักเสบ ยาลดไข้แลล้วก็ยาถอนพิษมาให้กับหยานหลิวหยวน อาการส่วนใหญ่ของหยานหลิวหยวนนั้นเกิดมาจากการอักเสบของต่อมทอนซิล ทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้น เพราะงั้นถ้าหากแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ อาการป่วยก็จะดีขึ้นด้วย

ในคลินิกยังมียาสมุนไพรหลงเหลืออยู่ด้วย บางชั้นยาก็เขียนชื่อของตัวยาสมุนไพรและเขียนสรรพคุณของยาที่ใช้รักษาโรคต่างๆไว้ด้วย ทำให้เหลินเสี่ยวซูรู้สึกเสียดายแทนหยูตงที่ไม่คิดจะรักษามรดกที่พ่อของเขาทิ้งเอาไว้ให้เลย

ในคืนนั้นเอง ไข้ของหยานหลิวหยวนก็เริ่มลดลงในที่สุด ทำให้เหลินเสี่ยวซูถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาพูดกับเสี่ยวหยู “เธอจะต้มยาบำรุงที่คนพวกนั้นเอามาให้กินก็ได้นะ ต้มให้หลิวหยวนกินด้วยละกัน”

“ได้ซิ” เสี่ยวหยูพยักหน้าแล้วไปทำข้าวเย็น

หลังๆมานี้ ทั้ง3 คนดูคล้ายกับเป็นพี่น้องกันจริงๆมากๆ ต่างคนต่างก็สบายใจที่จะอยู่เคียงข้างกันและกัน บางครั้ง โชคชะตาก็เหวี่ยงอะไรดีๆมาหาเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่เหวี่ยงพวกเขาทั้ง 3 คนที่เข้ากันได้ดีมาอยู่ด้วยกันหรอก

ตอนที่เสี่ยวหยูทำกับข้าวเสร็จ เธอก็ตะโกนเรียกให้เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนมากินข้าว เหลินเสี่ยวซูนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วพูดกับเธอ “พี่เสี่ยวหยู ในเมื่อเธอย้ายมาอยู่บ้านหลังข้างๆแล้ว เธอจะใช้บ้านหลังนั้นเป็นเรือนหอตอนแต่งงานด้วยก็ได้นะ”

สีหน้าของเสี่ยวหยูเปลี่ยนขึ้นมาทันทีต่อที่เธอยื่นชามข้าวให้เหลินเสี่ยวซู “เบื่อฉันแล้วใช่ไหมละ? เพราะฉันกินเยอะเกินไปหรอ? หรือว่าฉันผลาญเงินมากเกินไปกัน?”

เหลินเสี่ยวซูผงะ “เออ คือ มันไม่ใช่อย่างงั้นซักหน่อย…”

“แล้วมันหมายความว่าไงกันล่ะ” เสี่ยวหยูดึงชามข้าวของเหลินเสี่ยวซูกลับแล้วพูดอย่างน้อยใจ “เหลินเสี่ยวซู นายนี่มันคนไม่มีหัวใจจริงๆ นายกินอาหารที่ฉันทำทุกวัน แต่ก็ยังคิดจะไล่ฉันอยู่อีกเหรอ? พอแล้ว ข้าวนี่เอาให้หมากินยังจะดีซะกว่า ฉันจะไม่ให้นายกินแล้ว”

เสี่ยวหยูยื่นชามนั้นให้หลิวหยวนแทนแล้วพูด “เอา กินซะซิ”

หยานหลิวหยวนงงแตก

ก่อนที่บรรยากาศจะตึงแล้วเหลินเสี่ยวซูจะได้พูดอะไร จู่ๆเสี่ยวหยูก็ทนไม่ไหวหัวเราะลั่นออกมาก่อน เรื่องเมื่อกี้ทั้งหมดเป็นการแสดงที่เธอแค่หยอกเล่นเฉยๆ พอรู้แบบนั้น เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนก็หัวเราะออกมาตาม

หยานหลิวหยวนรู้สึกได้เลยว่าเสี่ยวหยูนั้นเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและอ่อนหวานมากตอนที่เธอหัวเราะ แต่น่าเสียดายที่เธอเกิดขึ้นมาผิดยุคไปหน่อยเท่านั้นเอง

“เสี่ยวซู แล้วนายมีแผนว่าจะทำอะไรต่อกันเหรอ?” เสี่ยวหยูถามตอนที่ตักข้าวเข้าปาก

“ตอนนี้ฉันยังไม่มีแผนอะไรหรอก ฉันกะจะให้มันค่อยๆเป็น ค่อยๆไปทีละก้าวแบบนี้แหล่ะ” เหลินเสี่ยวซูตอบ ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำก็คือการจบภารกิจอาวุธใหม่ในวังจิตใจของเขามากกว่า

ตอนแรกเหลินเสี่ยวซูก็หวังแค่ว่าจะให้เขากับหยานหลิวหยวนมีชีวิตที่ดีขึ้นก็พอ แต่ตอนนี้พอเขารู้ตัวแล้วว่าตัวเองมีพลังพิเศษ เขาก็อดคิดเกินเลยไกลไปมากกว่านั้นไม่ได้ เขาสามารถเป็นได้มากกว่าที่หวังแล้ว

แต่ตอนนี้ ภารกิจรักษาคนยังทำไม่เสร็จ เขายังต้องรักษาเพิ่มให้ได้อีก 10 คน

แถมเขายังไม่รู้ด้วยว่าภารกิจนี้จะให้รางวัลเขาเป็นอะไร เขายังไม่แน่ใจด้วยว่าตู้ขายของในวังจิตใจของเขาจะมีของอย่างอื่นไว้ขายนอกเสียจากยาดำรึเปล่าด้วย?

มันมีสิ่งที่ยังไม่รู้รอคอยให้ไปค้นพบอยู่มากมายเลย

หยานหลิวหยวนมองหน้าเหลินเสี่ยวซูด้วยความกระตือรือร้น “พี่ งั้นพรุ่งนี้เราจะทำอะไรกันดีล่ะ? ให้ฉันช่วยพี่รักษาคนด้วยได้ไหม?”

เหลินเสี่ยวซูพูด “ทำไมละ? อาการป่วยหายดีแล้วเหรอ?”

“ใช่แล้ว” หยานหลิวหยวนตอบ พอกินข้าวเสร็จอิ่มท้องแล้ว เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาก “ตอนนี้ฉันหายดีแล้วล่ะ”

“อือหือ” เหลินเสี่ยวซูพยักหน้า “ถ้าหายดีแล้วถ้างั้นก็ไปโรงเรียนได้แล้วซินะ”

“…ก็ได้….”

ตอนแรก เหลินเสี่ยวซูไม่แน่ใจว่าเจ้าของคลินิก (ที่ไม่ใช่หมอ) อย่างหยูตง นั้นเห็นเหลินเสี่ยวซูแอบออกไปจากเมืองจริง หรือเขาตั้งใจจะใส่ร้ายเหลินเสี่ยวซูทั้งๆที่เขาไม่เห็นอะไรซักอย่าง

หลังจากนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็ไม่เห็นหยูตงอยู่แถวจุดที่เขาอยู่เหมือนกัน เหลินเสี่ยวซูรู้ตัวเอองดีว่าเขาต้องระวังตัวเองเรื่อองหยูตงมากขึ้น หลังจากที่เขาแย่งงานแย่งลูกค้าของหยูตงไป ในกรณีที่หยูตงคิดจะพยายามล้างแค้น ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน บางทีการระมัดระวังคนที่คิดจะจ้องทำร้ายก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น แต่เจตจำนงของหยูตงมันชัดเจนมาก เพราะเหลินเสี่ยวซูนั้นเป็นเหมืออนกับ “เป้าหมายอันตราย” ของเขา นั้นทำให้เหลินเสี่ยวซูมั่นใจมากเลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นเขาออกจากเมืองจริงๆหรอก หยูตงตั้งใจโกหกเพื่อใส่ความเหลินเสี่ยวซูต่างหาก

หยูตงเองตอนนี้ก็คงเริ่มวางแผนรองรับผลกรรมที่ตามมาหลังจากที่ใส่ความไม่สำเร็จไปแล้ว แต่เหลินเสี่ยวซูกลับรู้สึกว่า คนอย่างหยูตงไม่น่าฉลาดพอที่จะคิดแผนซ้อนแผนเตรียมไว้ขนาดนั้นหรอก

ก่อนหน้านี้ เหลินเสี่ยวซูอดทนอดกลั้นไม่เข้าไปลั่นใส่หน้าหยูตงตั้งแต่แรกที่รู้ว่าเป็นหมอปลอม ก็เพราะว่าเขาตั้งใจจะแย่งลูกค้าที่เดิมทีหยูตงผูกขาดอยู่ เหลินเสี่ยวซูเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้น เขาถึงขั้นเตือนให้หยูตงเริ่มกลับไปศึกษาตำราแพทย์ดีๆแล้วกลับมาทำอาชีพอย่างสุจริตด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้ว หยูตงกับไม่ฟังคำแนะนำของเขาไม่พอ ยังแว้งกัดมาใส่ความเขาอีก

เหลินเสี่ยวซูยิ้มแสยะตอนที่มองหยูตง ที่ตอนนี้หันหนีหางจุกตูดเข้าไปในเมืองแล้ว บนพื้นตรงจุดที่หยูตงเคยยืนอยู่ก็เหมือนจะมีเหมือนแอ่งของเหลวบางอย่างที่เล็ดออกมาจากกางเกงอยู่ด้วย

ข้างๆกับเหลินเสี่ยวซูนั้นเอง หวางฟู่กุยหัวเราะแล้วเข้ามาหา “ดูเหมือนว่าการช่วยเหลือของฉันจะไม่จำเป็นแล้วซินะ เพราะถึงไม่มีฉันยังไงนายก็ไปรอดได้อยู่แล้ว”

เหลินเสี่ยวซูหันหาเถ้าแก่หวางแล้วก้มหัวขอบคุณเขาอย่างใจจริง เขายังคงจดจำบุญคุณ คนแรกและคนเดียวที่กล้าก้าวเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือเขาในยามสถานการณ์ขับขันแบบนี้

“เห้ย ๆ ไม่เอาหน่า ไม่ต้องสุภาพอะไรหรอก” เถ้าแก่หวางยิ้ม “นี่ถ้าไม่ใช่เพราะบอสลั่วเขาถูกใจในตัวนาย ฉันเองก็คงไม่กล้ามาเอ่ยปากรับหน้าแทนให้เหมือนกัน บอสลั่วเขาถึงขั้นส่งมาแจ้งข่าวกับผู้ดูแลเมืองให้คอยจับตาดูนายเชียวนะ”

เหลินเสี่ยวซูผงะ “แล้วบอสลั่วเขาเป็นใครกันเหรอ? แล้วเขารู้จักฉันได้ไงกัน?”

หวางฟู่กุยกระพริบตาวิ้งเป็นนัยก่อนจะกระซิบ “ก็ยาของนายน่ะซิ… บอสเขาถูกใจสุดๆไปเลยนะ!”

เหลินเสี่ยวซูพูดไม่ออก ตอนนั้นเองที่เขาพึ่งรู้ตัว ว่ายาดำที่เขาเคยขายให้หวางฟู่กุยไปนั้น แท้จริงแล้วมันถูกส่งต่อเข้าไปยังป้อมปราการชั้นในเชียว

“บอสเขาส่งสารมาว่า ตราบใดก็ตามที่นายส่งยาดำจำนวนหนึ่งมาให้ตรงเวลาทุกเดือน เขาก็รับรองได้เลยว่านายจะปลอดภัยจากทุกปัญหาใดๆนอกป้อมปราการนี้อย่างแน่นอน” หวางฟู่กุยพูดพร้อมรอยยิ้ม ในความเป็นจริงแล้ว เขาเองก็มีแรงจูงใจของตัวเองแฝงอยู่เช่นกัน เพราะเขาจะกลายเป็นเหมือนคนกลางที่ได้รับความคุ้มครองบอสลั่วไปด้วย

และทันใดนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูก็เกิดไอเดียขึ้นมา “บอสลั่วนี้ เป็นคนใหญ่คนโตมีอิทธิพลในป้อมปราการมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“นายคงยังไม่รู้ซินะ” หวางฟู่กุยตอบกลับ “เขาเป็นตัวแทนกลุ่มสมาคมฉิงประจำป้อมปราการที่ 113 เชียวนะ”

“ถ้าเขาเป็นตัวแทนกลุ่มสมาคมฉิง แลล้วทำไมนามสกุลของเขาไม่ใช่สกุลฉิงละ”เหลินเสี่ยวซูสงสัย

“ถ้าฉันบอกไปก็อย่าไปปากมากกับคนอื่นเชียวล่ะ” หวางฟู่กุยลดเสียงลงแล้วกระซิบ “ว่ากันว่าเขาเป็นพี่ชายไม่แท้ของคนนใหญ่คนโตในกลุ่มสมาคมฉิงอีกที หรือพูดง่ายๆ เขาเป็นลูกนอกสมรสของตระกูลยังไงล่ะ”

“ถ้างั้นลุงช่วยไปขอให้บอสลั่วช่วยพาเราเข้าไปในป้อมปราการหน่อยได้ไหม?” เหลินเสี่ยวซูคิดว่าถ้าเป็นคนใหญ่คนโตระดับบอสลั่ว คนที่มีอำนาจมากพอที่จะแทรกแซงการทำงานของทหารได้แล้วละก็ การจะให้พาพวกเขาเข้าไปอยู่ในป้อมปราการก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

“พวกเรามันปนเปื้อนเชื้อไปหมดแล้ว พวกนั้นไม่ยอมให้เราเข้าไปอยู่ในป้อมปราการหรอก” หวางฟู่กุยพูดแล้วขมวดคิ้ว “ อีกอย่าง ถ้านายเข้าไปในป้อมปราการ แล้วใครจะไปเก็บสมุนไพรป่ามาทำยาให้บอสล่ะ”

เหลินเสี่ยวซูเองก็พึ่งนึกขึ้นมาได้ ครึ่งหลังของประโยคที่เถ้าแก่พูดน่าจะเป็นเหตุผลจริงๆที่ว่าทำไมเขาถึงไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในป้อมปราการ สำหรับบอสลั่วแล้ว มันไม่มีเหตุผลจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องให้เหลินเสี่ยวซูกับพวกเข้ามา เพราะเหลินเสี่ยวซูเองก็ต้องอยู่ในเมืองนอกป้อมปราการเพื่อทำยาดำสั่งกลับมาให้บอสอยู๋ดี

ในค่ำคืนนั้นเอง หยานหลิวหยวนจู๋ๆก็เป็นไข้หนักมาก เหลินเสี่ยวซูเลยลองแลกยาดำมาจากวังจิตใจแล้วทาลงไปที่หน้าผากของหยานหลิวหยวนเล็กน้อยแต่ไข้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย

เหลินเสี่ยวซูนั่งอยู่ข้างเตียงพลางมองหยานหลิวหยวนที่นอนซมอยู่ เขาพูดพร้อมถอนหายใจ “จริงๆนายไม่จำเป็นต้องใช้พลังขอพรก็ได้นะ อย่าพยายามขอพรทั้งๆที่ฉันไม่ได้ขออีกลล่ะ เข้าใจใช่ไหม ไม่งั้นไข้นี่มันอาจจะฆ่านายเข้าซักวันก็ได้นะ”

หยานหลิวหยวนพยายามลืมตาขึ้นมาแล้วพูดอย่างอ่อนแรง “แต่ถ้าพี่เป็นอะไรไปแล้วฉันจะอยู่ยังไงล่ะ?”

เหลินเสี่ยวซูก้มหน้าลงแล้วคิดพักใหญ่ “อย่าดื้อหน่อยเลย ฉันสัญญาเลยว่าซักวัน เราจะต้องมีชีวิตให้ดีกว่านี้ให้ได้ ไม่ต้องห่วงนะ”

“อื้อ”

เช้าวันต่อมาตอนที่เหลินเสี่ยวซูไปตักน้ำในเมือง เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินข่าวว่า หยูตง หมอคนเดียวในเมืองหอบข้าวหอบของและเงินทั้งหมดหนีไปในคืนนั้นแล้ว เขายอมเสี่ยงไปเผชิญหน้ากับอันตรายในป่าตอนกลางคืนดีกว่าต้องมาทนเผชิญหน้ากับเหลินเสี่ยวซู

ข่าวลือว่ากันว่า หยูตงหนีไปอยู่ที่ป้อมปราการ 114 เพราะว่ามันอยู่ใกล้กับป้อมปราการ 113 มากที่สุด และมันก็เป็นป้อมปราการที่อยู่เส้นทางตรงกันข้ามกับจุดที่พวกหมาป่าบบุกเข้าโจมตี เพราะงั้นขอแค่เขาใช้เส้นทางถนนหลัก เขาก็น่าจะปลอดภัย

เหลินเสี่ยวซูเองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่หยูตงหนีหางจุกตูดไปแบบนี้

แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น เฉินไหตง ผู้ดูแลที่ทางป้อมปราการส่งมา ตรงมาเคาะถึงหน้าประตูบ้านของเขา แล้วถาม “เหลินเสี่ยวซู ผมได้ยินมาว่าคุณรู้วิธีการรักษาช่วยชีวิตผู้คนใช่ไหม?”

เหลินเสี่ยวซูผงะ “ก็พอจะได้ แต่รักษาได้แค่พวกบาดแผลภายนอกเท่านั้นนะครับ”

“ไม่เป็นไร แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ” เฉินไหตงยิ้มอย่างอารมณ์ดี “แค่นั้นมันก็ทำให้คุณกลายเป็นหมอได้แล้ว ตอนนี้ในเมืองของเราไม่มีหมออีกต่อไปแล้ว คุณสนใจจะมาเป็นหมอประจำเมืองไหม?”

หยานหลิวหยวนที่ยังนอนซมกับไข้อยู่ในกระท่อม พอได้ยินแบบนั้นก็เบิกตาโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ ตอนแรกพี่ชายของเขาก็แค่อยากได้คำขอบคุณกับเงินนิดหน่อย ใครมันจะไปคิดว่าจู่ๆเขาจะได้กลายมาเป็นหมอจริงๆ ยิ่งกว่านั้นเขายังจะได้กลายเป็นหมอเพียงคนเดียวของเมืองอีกตั่งหาก

หรือว่าที่เขาขอพรเมื่อคืนไปมันไม่สำเร็จผล มันเลยไปเปลี่ยนดวงช่วงอื่นให้กับเหลินเสี่ยวซูแทนงั้นเหรอ?

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูเองก็เข้าใจดี ว่าเรื่องนี้แท้จริงเป็นเพราะว่าผู้ดูแลเมืองเฉินไหตงเองก็อยากที่จะทำดีในสายตาของบอสลั่วเท่านั้น

การเป็นคนสนิทของคนมีอำนาจ บางครั้งก็จะทำให้คนรอบตัวอยากจะเข้ามาเลียแข้งเลียขาเกาะส่วนบุญไปด้วย

เหลินเสี่ยวซูไม่ได้โง่ เขาเลยตอบตกลงทันทีพร้อมถถาม “ส่วนเรื่องบ้านกับคลินิก ก็…”

“ได้เลยครับ คุณสามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้เลย” เฉินไหตงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ยังไงที่นั่นก็ไม่มีคนอยู่แล้วด้วย”

จากนั้นเฉินไหตงก็เดินจากไปพร้อมมือไขว้หลังแล้วฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี หลังจากนั้นตาแก่หวางก็เดินเข้าหาเหลินเสี่ยวซูเหมือนกับรอคิวอยู่นานแล้ว พร้อมกับกล่องไม้ที่เหน็บไว้อยู่ที่รักแร้ นอกจากตาแก่หวางแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่ว่ากันว่าเป็นกลุ่มสมาชิกคนที่รวยที่สุดในเมืองอาศัยอยู่ในบ้านอิฐต่างก็พากันมาหาเหลินเสี่ยวซู

บ้างก็ดูแลกิจการโรงพนัน บ้างก็เปิดร้านเสื้อ ร้านขายอาหาร

ตาแก่หวางพูด “ยินดีด้วยนะเหลินเสี่ยวซู! ในที่สุดนายก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านอิฐแล้ว” พอพูดจบตาแก่หวางก็ยื่นกล่องไม้นั้นให้กับเหลินเสี่ยวซู “ฉันมีของขวัญแสดงความยินดีมาให้นายกับหลิวหยวนด้วย พวกนายอยู่ในวัยกำลังโต กินนี่จะได้เติบโตแข็งแรงกันนะ”

เหลินเสี่ยวซูเปิดกล่องออกมาด้วยความสงสัย แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นก้อนสีขาวในกล่อง “อะไรกันเนี่ย?”

“นายไม่รู้จักมันซินะ มันคือรังนกยังไงล่ะ ฉันเก็บรังนกนี่ไว้มาหลายปีแล้วนะ” หวางฟู่กุยอธิบาย “มันเป็นยาบำรุงชั้นยอดเลยล่ะ!”

เหลินเสี่ยวซูเคยได้ยินเรื่องรังนกมาก่อน แต่เขาไม่เคยเห็นของจริงต่อหน้า เขาเลยถามสิ่งที่สงสัยมาตลอด “อาจารย์ฉางเคยบอกไว้ว่า รังนกมันทำมาจากน้ำลายของนกนางแอ่น แต่ฉันไม่คิดมาก่อนเลยนะเนี่ยว่าน้ำลายมันจะเหนียวข้นได้ขนาดนี้ หรือว่า…มันอาจจะทำมาจากสเลดกันนะ?”

หวางฟู่กุยที่โดนขัดอารมณ์ก็คิด ‘อย่าทำให้ของขวัญฉันมันดูน่าขยะแขยงงั้นซิวะ!’ ก่อนจะพูดต่อร้องต่อเถียง “ถ้างั้นรังนกเลือดล่ะ คิดว่ามันทำจากอะไร”

เหลินเสี่ยวซูคิดแล้วตอบ “ก็สเลดเปื้อนเลือดมั้ง?”

นิยาย อ่านนิยาย

ตอนที่ 23 บอสลั่ว

ผู้จัดการโรงงาน หวางตงหยางรู้สึกได้ถถึงความสิ้นหวังที่เข้ากัดกินหัวใจของเขาเหมือนเถาวัลย์ที่พันเลื้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าของเขานั่นจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเซฟตี้ปืนด้วยทั้งๆที่เหลินเสี่ยวซูเองก็แทบจะไม่เคยได้เห็นหรือจับปืนมาก่อนด้วยซ้ำ เขาจึงได้แต่สงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงรู้เรื่องปืนได้

วินาทีให้หลังเขาพุ่งตัวถอยหลังพยายามที่จะใช้นิ้วปัดเซฟตี้ปืนพก แต่เหลินเสี่ยวซูเข้ามาอยู่ในระยะประชิดเกินกว่าจะยอมให้เขาทำแบบนั้นได้ เหลินเสี่ยวซูพุ่งเข้าใส่หวางตงหยางเหมือนลูกปืนใหญ่ก่อนจะชนเข้าที่ซี่โครงของหวางตงหยาง แรงกระแทกนั้นทำให้ปืนหลุดออกจากมือของเขาทันที

หวางตงหยางตอนนี้ไม่มีอะไรให้พึ่งอีกแล้ว เขานอนกับพื้นกระอักน้ำลายและเลือดจากแรงกระแทก แล้วพยายามพูด “ปล่อยฉันไปเถอะ แล้วฉันจะบอกว่าของฉันอยู่ที่ไหน”

“บอกมาก่อนซิแล้วฉันจะปล่อยแกไป” เหลินเสี่ยวซูพูดอย่างใจเย็น

“คิดว่าฉันโง่รึไงวะ” หวางตงหยางรู้ดีว่าถ้าเกิดเขาพูดออกไปละกัน หมอนี่ก็คงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ และถึงแม้เหลินเสี่ยวซูจะปล่อยให้เขาหนีไปได้ แล้วคิดเหรอว่าเขาจะได้อยู่อย่างเป็นสุขน่ะ? ตอนที่หวางตงหยางรู้จักเหลินเสี่ยวซูครั้งแรก เขาก็รู้จักในนามของเหลินเสี่ยวซูผู้ไร้ปราณีแล้ว

“ปอดของแกตอนนี้โดนซี่โครงที่หักแทงอยู่ ถึงแกหนีกลับไปที่เมืองได้ แต่ก็คงไปไม่รอดหรอก” เหลินเสี่ยวซูพูด ถึงแม้ว่าเขาจะอยากได้ของของหวางตงหยาง แต่ดูเหมือนว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางบอกที่เก็บของพวกนั้นกับเขาแน่

เหลินเสี่ยวซูจึงเลิกเสียเวลามาอยู่กับหวางตงหยาง เขาไม่รู้ว่าข้างนอกนั้นพวกทหารจะต่อสู้กับหมาป่าจบลงเมื่อไร ถ้าเขามัวแต่อืดอาดยืดยาดละก็มันคงจะจบไม่สวยแน่ถ้ามีฝั่งใดฝั่งหนึ่งเข้าปิดล้อมโรงงานได้

เสียงของมีคมแทงทะลุเนื้อหนังดังขึ้นมาพร้อมเสียงร้องทรมาณของหวางตงหยาง เหลินเสี่ยวซูใช้มีดกระดูกแทงเฉือนกรีดหน้าอกของหวางตงหยางเลียนแบบกรงเล็บของหมาป่า เขาตั้งใจจะสร้างบาดแผลปลอมขึ้นมา ก่อนที่เขาจะรอให้หวางตงหยางตายสนิท แล้วเขาก็หยิบปืนพกขึ้นมาพร้อมแม็กกาซีนอีก 2 อัน จากนั้นเขาก็เดินจากไป

ตอนนี้เขามีกระสุนอยู่ทั้งหมด 36 นัด

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูออกมาจากโรงงานนั้น ไม่มีใครเหลือรอดชีวิตอยู่อีกแล้ว เหลินเสี่ยวซูหันหลังกลับไปมองตึกอาคารโรงงานที่เกิดการนองเลือดขึ้น ก่อนที่เขาจะหันกลับเข้าสู่ความมืดในยามค่ำคืน กลับเข้าสู่โลกอันโหดร้ายที่เขาอาศัยอยู่

 

“พี่เป็นอะไรรึเปล่า” หยานหลิวหยวนพูดถามขึ้นมาทันทีที่เห็นเหลินเสี่ยวซูเปิดประตูกระท่อมแล้วเดินเข้ามา เขาเดินวนรอบเหลินเสี่ยวซูเพื่อดูว่ามีบาดแผลหรือรอยเลือดอะไรตรงไหนไหม ก่อนที่เขาจะเริ่มเบาใจลง

“ฉันสบายดี” ในขณะที่เขากำลังพยายามมัดมีดกระดูกกลับเข้าไปที่บริเวณน่อง เหลินเสี่ยวซูก็ถาม “มีอะไรเกิดขึ้นนะเมืองรึเปล่าระหว่างที่ฉันไม่อยู่ แล้วพวกทหารกลับมากันรึยัง?”

“บางคนก็กลับมาแล้ว แถมยังแบกทหารที่บาดเจ็บหนักกลับมาด้วย มีศพของพวกทหารรวมไปถึงซากหมาป่าที่ตายด้วย ฉันได้ยินมาว่าพวกทหารที่เหลือรอดบุกเข้าไปในโรงงานกันต่อหน่ะ” หยานหลิวหยวนพูด

เหลินเสี่ยวซูไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องผิดปรกติอะไร เพราะยังไงไม่ว่าพวกหมาป่าจะแข็งแกร่งขึ้นมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะกองทัพทหารที่มีอาวุธปืนครบมือแถมยังมีจำนวนที่มากกว่าหลายเท่าตัวด้วย

“พวกนั้นเอาซากหมาป่ากลับมาเท่าไรล่ะ” เหลินเสี่ยวซูถาม

“30 กว่าตัวละมั้ง” หยานหลิวหยวนพูด “พี่ หมาป่าพวกนั้นมันตัวใหญ่ชะมัดเลย”

ก่อนหน้านี้ตอนที่หยานหลิวหยวนถามเหลินเสี่ยวซูว่าพวกหมาป่าตัวใหญ่ประมาณไหน เหลินเสี่ยวซูกลับตอบกลับอธิบายแค่เพียงคำว่า ใหญ่มาก ซึ่งไอ้คำว่าใหญ่มากที่ว่าหยานหลิวหยวนก็พึ่งจะได้เห็นด้วยตาตัวเองก็วันนี้แหล่ะ

เหลินเสี่ยวซูขมวดคิ้ว เขาดีใจที่ตัวเองไม่ได้ใช้เวลาอยู่ในโรงงานนานเกินไป ไม่งั้นเขาคงจะหนีออกมาเจอเข้ากับพวกทหารที่มาถึงโรงงานพอดี ดูเหมือนว่าพวกหมาป่าจะล่าถอยกันกลับไปเองพอเห็นว่าซุ่มโจมตีไม่สำเร็จ ทำให้การปะทะกับทหารไม่ยืดเยื้อจนเกินไป

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ยินเสียงปืนดังในป่าเลยตอนที่เขาเดินทางกลับมาทางลัด

แต่ถึงอย่างนั้น ทุกวันนี้พวกหมาป่าแกร่งขึ้นไม่พอ มันยังฉลาดขึ้นมากด้วย ถ้าปล่อยพวกมันรอดไปได้รอบนี้ คนในเมืองอาจจะต้องเจอกับการบุกที่หนักกว่าที่เคยเป็นมาก็ได้

ทันใดนั้นเอง เสียงเอะอะก็ดังขึ้นนอกกระท่อม เหลินเสี่ยวซูเปิดประตูออกแล้วออกไปดูว่าข้างนอกนั่นมันเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นกลุ่มทหารจากกว่า 10 นาย ขับรถวิบากล่วงหน้ากลับมายังเมืองก่อนคนอื่น

เจ้าหน้าที่ในรถนั้นตะโกน “ใครก็ตามที่อาสาแจ้งข้อมูลเบาะแสของคนที่แอบออกนอกเมืองไปในคืนนี้จะได้รับรางวัลอย่างงาม!”

เหลินเสี่ยวซูผงะทันที เพราะเขารู้ดีว่านี่มันคือประกาศจับตัวเขา!

พวกทหารคงบุกเข้าไปยังโรงงานแล้วสำรวจรอบพื้นที่จนพบศพของหวางตงหยางแล้วแน่ๆ ตอนแรกเหลินเสี่ยววูก็คิดว่า คงไม่มีทางที่จะมีคนสังเกตุเห็นถึงความผิดปรกติของบาดแผลบนร่างของหวางตงหยาง เพราะมันเหมือนกับรอยหมาป่ามาก แต่ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่แผล ปัญหาใหญ่เลยคือ ปืนของหวางตงหยางหายไปตั่งหาก!

ถ้าลองสืบสาวราวเรื่องปัญหานี้ดูดีๆละก็ มันก็สามารถสันนิฐานออกมาได้อย่างง่ายดายเลยว่าเรื่องมันเกิดอะไรขึ้น นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่เหลินเสี่ยวซูเองก็ไม่อาจยับยั้งได้เหมือนกัน

“พี่” หยานหลิวหยวนเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาเลยมองหน้าเหลินเสี่ยวซู

“ไม่เป็นไรหรอก” เหลินเสี่ยวซูดันหัวของหยานหลิวหยวนที่ยื่นออกมากลับเข้าไปในกระท่อม

เหลินเสี่ยวซูค่อยๆนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้ใช้เส้นทางหลักที่คนปรกติใช้เข้าอออกเมือง และ ถ้าเขาจำไม่ผิด ไม่มีใครรู้เห็นด้วยซ้ำว่าเขาย่องออกจากเมืองไปในยามวิกาล นอกเสียจากหยานหลิวหยวนคนเดียว

ทหารกลุ่มนึงเดินเข้าไปเฝ้าระวังทางเข้าของเมือง จากนั้นหลังจากที่ทหารทุกคนกลับมาจากโรงงานกันแล้ว พวกทหารพวกนั้นก็เริ่มบุกเข้าไปเปิดประตูบ้าน กระท่อมทุกหลังแล้วรื้อค้นทุกอย่างในกล่องของทุกบ้านทีละหลัง

พวกเขากำลังรื้อหาปืนกันอยู่

ทันใดนั้นเอง เสียงพูดที่คุ้นเคยก็ตะโกนขึ้นมา “ผมรู้ว่าใครแอบออกไปข้างนอกกลางดึก”

เหลินเสี่ยววูหันหลังกลับไปยังต้นเสียง ชายคนนั้นคือหมอ(เก๊) ประจำคลินิก หยูตง เขาจ้องหน้าเหลินเสี่ยวซูด้วยรอยยิ้มในขณะที่ยืนอยู่ในระยะไกล เอื้อมไม่ถึง เขากลัวว่าเหลินเสี่ยวซูจะพยายามฆ่าปิดปากเขา

เจ้าหน้าที่ทหารปลี่เข้าหาแล้วถาม “ใครกัน?”

“เขานั่นล่ะ เหลินเสี่ยวซู ผมเห็นเขาออกไปจากเมืองด้วยตาของตัวเองเลย” หยูตงพูดด้วยน้ำเสียงน่าถีบที่สุดที่ทำได้พร้อมรอยยิ้ม

เหลินเสี่ยวซูเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขารู้ดีว่าต่อหน้าพยาน ปฏิเสธไปก็เท่านั้น “ในตอนนั้นห้องน้ำสาธารณะในเมืองถูกเหอจงใช้อยู่ ผมเลยต้องออกไปปลดทุกข์ข้างน่ะครับ”

“ใครคือเหอจง เขาพูดจริงรึเปล่า?” เจ้าหน้าที่ตะโกน

เหอจงที่ยืนอยู่ข้างๆไม่รู้อีโหน่ออีเหน่โดนกล่าวอ้างเลยทำได้แค่ทำหน้ายืนงงท่ามกลางสายตาประชาชีก่อนที่เขาจะพูดความจริงออกมาอย่างตะกุกตะกัก “เออ คือ ผมอาเจียนหนักมากเลยคืนนั้น หลายคนเป็นพยานได้…”

เจ้าหน้าที่หันหลังกลับแล้วมองไปที่เหลินเสี่ยวซู “ไปค้นบ้านเขาซะ!”

หลังจากที่เขาพูดจบ หวางฟู่กุยก็พุ่งตัวออกมาขวางหน้าทหารก่อนที่พวกเขาจะไปถึงกระท่อม “รอเดี๋ยวก่อน เขาเป็นคนที่ถูกหมายตาเอาไว้โดย 1 ในขุนนางของป้อมปราการ ว่าให้ดูแลเป็นพิเศษน่ะครับ พวกคุณจะทำกับเขาแบบนี้ไม่ได้”

พวกทหารผงะ “หมายความว่าไงกัน?”

ตอนบ่ายวันนี้ บอสลั่วหลานจากป้อมปราการออกคำสั่งพิเศษมาว่าให้ปกป้องดูแลเขา แต่แม้แต่เหลินเสี่ยวซูเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้! ส่วนเรื่องเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงสั่งแบบนั้น พวกคุณทหารก็คงต้องไปถามเขาด้วยตัวเองแล้วล่ะ” หวางฟู่กุยอธิบายทันที

“บอสลั่วเหรอ?”เจ้าหน้าที่ทหารคนนั้นตกใจเล็กน้อย ทุกคนต่างมีท่าทางที่แปลกออกไปทันทีเมื่อมีคนพูดถึงบอสนามว่าลั่วหลาน เพราะเขาถือเป็นคนใหญ่คนโตคนนึงในป้อมปราการเลย

เจ้าหน้าที่คิดอยู่ซักพักก่อนจะพูด “ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนของบอสลั่ว แต่เราก็ยังต้องค้นตัวเขาอยู่ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ผมจะไปรายงานอธิบายให้บอสลั่วฟังคืนนี้เอง”

หลังจากพูดจบทหารทั้งหลายก็พุ่งเข้าใส่กระท่อมของเหลินเสี่ยวซูแล้วรื้อค้นของทุกอย่างในกระท่อม มีทหาร 2 คนเดินตรงเข้ามาค้นตัวของเหลินเสี่ยวซูด้วย

2 นาทีให้หลัง ทหารทั้งหลายก็เดินกลับมาพร้อมส่ายหัว พวกเขาไม่เจอสิ่งที่พวกเขาตั้งการเลย

เจ้าหน้าที่มองหน้าเหลินเสี่ยวซูแล้วถาม “ถ้างั้นช่วยพาไปตรงจุดที่ปลดทุกข์หน่อยจะได้ไหม”

เหลินเสี่ยวซูขมวดคิ้วแล้วเดินออกไปจากเมือง เขาไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่จะตรวจค้นแบบเอาจริงเอาจังได้ขนาดนี้ หยานหลิวหยวนที่มองดูทุกเหตุการณ์มาตลอด จู่ๆก็วิ่งตรงเข้าไปหาเหลินเสี่ยวซู แต่เหลินเสี่ยวซูกลับหันหลังกลับแล้วตะคอกใส่ “กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้!”

หยานหลิวหยวนตาแดงก่ำ

เหลินเสี่ยวซูนำเจ้าหน้าที่ทหารออกมานอกเมืองก่อนจะชี้ไปที่กองขี้เหม็นที่ฝังอยู่ในดินแล้วพูด “ตรงนี้แหล่ะ ยังสดๆร้อนๆอยู่เลย”

เจ้าหน้าที่พอเห็นแบบนั้นแล้วจึงสั่งทหารออกค้นบ้านอื่นต่อโดยไม่ยุ่งกับเหลินเสี่ยวซูอีก

เหลินเสี่ยวซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีทที่เขาวางแผนเตรียมตัวมาดี ก่อนที่เขาจะออกจากเมือง เขาได้สังเกตการณ์รอบข้างออย่างดีและเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ไม่คาดฝันไว้ด้วย ไม่เพียงแต่เขาจะฝังปืนไว้นอกเมืองอย่างเดียว แต่เขายังกลบหลักฐานทุกอย่าง… ด้วยการเบ่งขี้ฝังซ้ำลงไปในหลุมด้วย

นิยาย อ่านนิยาย

ท่ามกลางป่าไม้ที่เงียบสงบ ตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยเสียงปืนดังลั่น เสียงร้องของเหล่าทหาร พวกเขาไม่ทันคาดคิดเลยว่าพวกหมาป่าจะลอบโจมตีพวกเขาแบบนี้ พวกมันมีทั้งความเจ้าเล่ห์และสติปัญญาที่เฉียบแหลม เหมือนกับว่าพวกมันเฝ้ารอซุ่มโจมตีอยู่นานแล้ว

ตอนแรกพวกทหารก็คิดว่าพวกเขาจะสามารถไล่พวกมันไปได้ด้วยเสียงปืน แต่พวกเขาคิดผิดมหันต์ หมาป่าพวกนี้ไม่แตกตื่นกับเสียงปืนเลยแม้แต่น้อย

ในจังหวะที่พวกหมาป่าบุกเข้าถึงตรงหน้าพวกเขา ตอนนั้นเองที่พวกเขาก็ต้องตกใจในขนาดที่ใหญ่มหึมาของพวกหมาป่า พวกมันใหญ่โตกว่าที่พวกเขาเคยจินตนาการฝันถึง ตัวของพวกมันใหญ่ซะยิ่งกว่าควายไบซันซะอีก

รอเดี๋ยวก่อนซิ! ทำไมพวกหมาป่าพวกนี้ หลังจากที่เข้าโจมตีโรงงานที่เป็นแหล่งที่ตั้งของมนุษย์แล้ว ถึงได้แบ่งกำลังมาดักรอซุ้มโจมตีทางเข้าเดียวที่พวกกองทหารจะผ่านมาได้ล่ะ ทำไมมันดูเหมือนกับว่าพวกมันตั้งใจจะโจมตีกองทหารมาตั้งแต่แรกกัน?

แต่ถึงจะโดนลอบโจมตียังไง แต่กองทหารพวกนี้ก็คือทหารที่ถูกฝึกมาดีพอสมควร ก่อนที่จะมีคนตายเพิ่มขึ้นมากว่านี้ พวกเขาก็เริ่มตั้งสติและตอบโต้ป้องกันตัวเอง เมื่อเทียบปืนกลของมนุษย์กับคมเขี้ยวของหมาป่าแล้ว ยังไงปืนก็ยังเหนือกว่าอยู่ดี

กองทหารพวกนี้เองก็เคยรับมือกับพวกหมาป่ามาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกทหารเริ่มวางแผนอย่างลับๆที่จะกวาดล้อมต้อนพวกหมาป่าให้มันรู้สำนึกซะบ้างว่าใครเหนือกว่าใครในเขตพื้นที่นี่ เพื่อให้พวกมันไม่กล้าเข้ามาแหยมกับมนุษย์อีก

แต่ด้วยสาเหตุบางประการ ตอนที่เหลินเสี่ยวซูได้ยินเสียงปืนนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ทันทีเลยว่า กล้ามเนื้อร่างกาย และทุกอณูรูขุมขนกำลังพุ่งพล่าน อดรีนาลีนสูบฉีดแรงมาก เสียงปืนทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

เขาไม่ได้เข้าใกล้เสียงปืนที่ยิงโป้งปังเพื่อแอบดูการปะทะกันแต่อย่างใด เขารู้เพียงแค่พวกหมาป่ากับกองทัพกำลังปะทะกันอยู่ นั่นหมายความว่าทางไปที่โรงงานของเขานั้นตออนนี้ปลอดภัยขึ้นมากแล้ว

เหลินเสี่ยวซูวิ่งราวกับเสือชีตาร์ในป่าใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกทที่เขานำพลังกับความคล่องแคล้วที่ตัวเองได้รับมา มาลองใช้ในสถานการณ์จริง

เส้นใยกล้ามเนื้อของเขาแน่นตึง และผ่อนคลายราวกับเครื่องจักรที่ทำงานแบบมีน้ำมันหล่อลื่น มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้แค่คำว่ากระชุ่มกระชวยอย่างแท้จริง

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูเข้าใกล้โรงงาน เขาก็ลดความเร็วลง ก่อนจะซ่อนตัวในความมืดอย่างเงียบเชียบ เหลินเสี่ยวซูตกใจเมื่อเห็นศพของคนงานในโรงงานนอนตายเป็นซากศพเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด เหมือนกับว่าพวกเขาจะพยายามหนีกลับไปที่เมือง แต่โดนหมาป่าจับได้ระหว่างทางซะก่อน

มีน้อยคนมากที่โชคดีหนีรอดออกมาได้ แต่ก็ต้องแลกมากับชีวิตของเพื่อนร่วมงานเหล่านี้

เหลินเสี่ยวซูตรวจสอบศพของพวกเขา แล้วพบว่าศพของพวกเขานั้น โดนหมาป่างับเข้าที่เส้นเลือดใหญ่บริเวณคอ และตายคาที่ทันที แต่ถึงอย่างนั้น พวกหมาป่าก็ยังไม่คิดจะกินศพแต่อย่างใดแล้วดูเหมือนจะทิ้งศพไปอย่างเร่งรีบ

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพัก เขาไม่ได้เข้าทางเข้าหลัก แต่เขาปีนท่อที่อยู่นอกโรงงานขึ้นไปบนตัวตึกแทน แต่ละครั้งที่เขาปีนผ่านหน้าต่าง เขาก็จะเช็กแบบลวกๆว่าภายในตัวอาคารนั้นยังมีผู้รอดชีวิตอยู่ข้างในบ้างไหม

และเมื่อเขาปีนขึ้นมาถึงยอดตึก ใจของเขาก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในอาคารไม่มีผู้รอดชีวิตอยู่เลยซักคนเดียว พวกหมาป่ากวาดต้อนคนทั้งโรงงาน และฆ่าทิ้งเหี้ยนไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

“แล้วปืนมันไปอยู่ที่ไหนละเนี่ย?” เหลินเสี่ยวซูสงสัย ผู้จัดการโรงงานนั้นคงไม่เก็บปืนไว้ในที่ๆคนอื่นสามารถเขาถึงได้ง่ายแน่ๆ

เหลินเสี่ยวซูพังกระจกชั้นบนสุดก่อนจะโดดเข้ามาในอาคาร เขามองไปรอบๆ แล้วเห็นแต่ทางเดินที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและซากศพ โรงงานขนาดใหญ่แห่งนี้ดูกลายเป็นเหมือนโรงเชือดขึ้นมาเลย

และทันใดนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูก็เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ ศพที่นอนเกลื่อนกลาดกันอยู่บนพื้นนั้นเหมือนกับกำลังวิ่งไปทางเดียวกันตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่  เหมือนกับว่ามีอะไรซักอย่าง นำทางให้พวกเขาไปทางนั้น

แล้วอะไรกันล่ะที่ล่อให้ผู้คนวิ่งไปในทิศทางเดียวกันได้ในช่วงเวลาเสียดเป็นเสียดตาย

เหลินเสี่ยวซูสรุปได้ทันที ว่าที่นั่นน่าจะเป็นทิศทางไปหาคลังเก็บอาวุธ ไม่ก็ที่หลบซ่อนตัวแน่นอน

เขาเดินย่องไปตามทิศทางที่พวกศพเคยจะมุ่งหน้าไป มันพาเขาลงไปยังชั้นใต้ดิน เหมือนกับเป็นหลุมหลบภัยฉุกเฉินซะมากกว่า

ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้มากเทท่าไร ซากศพที่เขาเห็นก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เหลินเสี่ยวซูทำได้แค่จินตนาการถถึงภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าทุกคนจะพยายามหนีจากหมาป่ากันจ้าละหวั่น พวกเขาพยายามจะหนีไปยังที่ปลอดภัย แต่ติดตรงที่ว่าพวกเขาไม่เร็วพอที่จะหนีหมาป่าเท่านั้นเอง

เหลินเสี่ยวซูเดินตรงมาจนถึงประตูเหล็ก แน่นอนว่าซากศพที่จุดนี่เยอะกว่าที่อื่นเป็นพิเศษ เพราะดูเหมือนว่าทุกคนจะพยายามหนีมายังที่นี่ พวกเขาอยากที่จะเข้าไปข้างในนั้น เพราะไม่ว่าหมาป่าจะพัฒนาการไปมากน้อยแค่ไหน แต่พวกมันก็ยังเป็นร่างเลือดร่างเนื้อ ยากที่พวกมันจะเจาะเข้ามาในประตูโลหะที่หนาหลายนิ้วได้

เหลินเสี่ยวซูสงสัยว่าจะมีใครอยู่หลังประตูเหล็กนี่ไหม เขาลังเลอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปเคาะประตูเหล็กนิรภัย 3 ครั้ง

ใครบางคนด้านหลังประตูตะโกนออกมาอย่างดีใจทันที “นั่นพวกทหารใช่ไหม? พวกคุณมาช่วยฉันแล้วซินะ เดี๋ยวฉันจะเปิดประตูเดี๋ยวนี้แหล่ะ!”

จังหวะการเคาะประตู 3 ครั้งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ป่าดุร้ายอย่างหมาป่าจะทำได้แน่นอน เพราะแบบนั้น คนในประตูเหล็กเลยเข้าใจผิดคิดว่าเหลินเสี่ยวซูเป็นทหารจากกองทัพส่วนตัวที่ถูกส่งเข้ามาเพื่อช่วยเขาออกไป

เสียงกรุกกรักดังออกมา ประตูเหล็กหนาขนาดใหญ่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านใน ขาของเขาบาดเจ็บเป็นแผล กางเกงของเขาเปื้อนไปด้วยรอยเลือดสีแดง ตอนที่เขาเดินมาเปิดประตู เห็นได้ชัดเลยว่าเขายืนอยู่ด้วยขาข้างเดียว

แต่ทันใดนั้นเอง ณ จังหวะที่ประตูเปิดออก ทั้ง 2 ฝ่ายก็ตอบสนองต่อกันทันที เหลินเสี่ยวซูก้มตัวลงเตรียมพุ่งเข้าใส่เขา ส่วนชายวัยกลางคนพอเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ทหารที่มาช่วยเขา เขาก็รีบยกปืนพกขึ้นจ่อทันที!

บรรยากาศรอบข้างดูตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เหลินเสี่ยวซูหยุดตรงหน้าชายวัยกลางคน เพราะปากกระบอกปืนสีดำทมิฬ ตอนนี้มันจ่อในระยะประชิดอยู่ตรงหัวเขาแล้ว

“หึหึ”ชายวัยกลางคนหัวเราะ “นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็ไอ้โจรกระจอกที่คิดจะฉวยโอกาสหากินนี่เอง หืม ฉันจำแกได้นะ แกคือเหลินเสี่ยวซูจากในเมืองใช่ไหมละ”

เหลินเสี่ยวซูเองก็จำเขาได้เหมือนกัน ชายวัยกลางคนคนนี้ คือหวางตงหยาง ผู้จัดการโรงงานคนเดียวของโรงงานนี้

“ฉันก็จำนายได้เหมือนกัน” เหลินเสี่ยวซูพูดแล้วยืนตัวตรงขึ้นทำเหมือนกับว่าไม่มีปืนมาจ่อที่หัวเขาอยู่ “ทำไมนายถึงเป็นคนเดียวที่อยู่ในนั้นล่ะ? ไม่ซิ…. แกเป็นคนแรกที่หนีเข้ามาในนี้ จากนั้นแกก็ปิดประตูขังทุกคนเอาไว้ข้างนอกนั่น!”

เหลินเสี่ยวซูรู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง มันคือความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกัน ไม่แปลกใจเลยที่ว่าทำไมนอกประตูนั้นถึงมีรอยฝ่ามือเปื้อนเลือดติดอยู่เต็มไปหมด รอยฝ่ามือพวกนั้นคือรอยมือของเหล่าผู้ลี้ภัยที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดแต่ประตูเหล็กนิรภัยนั่นกลับปิดจากด้านใน และไม่มีทางเปิดจากด้านนอกได้

หวางตงหยางหัวเราะแล้วพูด “แกไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องงแบบนั้นหรอก รีบแบกฉันกลับไปที่เมืองเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก”

“แล้วถ้าฉันปฏิเสธล่ะ?” เหลินเสี่ยวซูหัวเราะออกมา

“ก็ถ้าปฏิเสธ ฉันก็จะยิงหัวแกทิ้งซะ จากนั้นฉันก็จะปิดประตูนี่รอให้พวกทหารมาช่วยฉันแทน ยังไงฉันก็เป็นคนของป้อมปราการ ยังไงพวกเขาก็ต้องมาช่วยฉันแน่นอน” หวางตงหยางพูดอย่างหยิ่งยะโส

“แกคงจะกลัวว่าฉันจะบอกทุกคนว่า แกมันเป็นไอ้คนเห็นแก่ตัวที่ทิ้งพวกเขาไว้ให้ตายข้างนอกส่วนตัวเองนั่งสบายอยู่ในห้องนี่ใช่ไหมล่ะ?” เหลินเสี่ยวซูหัวเราะแล้วพูด

หวางตงหยางยิ้มสวน ปืนในมือของเขาทำให้เขากล้าหาญ ไร้ซึ่งความกลัวแม้แต่น้อย “เหรอ รู้ได้ไงล่ะ?”

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพัก “ผีมันเห็นผีด้วยกันยังไงล่ะ”

หวางตงหยางงงนิดหน่อย ก่อนที่จะเริ่มขู่ขึ้นมา “คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าแกรึไงวะ?”

“อ้อ แล้วฉันก็เห็นอีกอย่างนึงด้วย” เหลินเสี่ยวซูพูดอย่างใจเย็น

“อะไร?” หวางตงหยางเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมา

“ฉันเห็นว่าแกไม่ได้ปลดล๊อกเซฟปืนยังไงละ แล้วถ้าจะปลดตอนนี้มันก็สายไปแล้วโว้ย!”

หวางตงฉางหลี่ตาลงในทันทที ตอนแรกเขาคิดว่าคนที่มานั่นเป็นพวกทหาร เขาเลยไม่ได้ระแวดระวังตัวมากนัก แต่พอเขาเห็นว่าเป็นเหลินเสี่ยวซู แถมเหลินเสี่ยวซูยังพุ่งเข้าใส่เขาทันทีที่ประตูเปิดด้วย เขาจึงไม่มีเวลามากพอจะปลดเซฟปืนตั้งแต่แรก

ตอนแรกเขาคิดว่าจะใช้ปืนที่ยิงไม่ออกนั่นขู่เหลินเสี่ยวซูได้ เพราะเขารู้สึกว่า พวกผู้ลี้ภัยไร้ปัญญาอย่างเขาไม่มีทางเคยเห็นหรือรู้วิธีการใช้ปืนมาก่อนแน่นอน เขาเลยคิดว่าแค่จ่อปืนแล้วขู่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูกลับเป็นคนที่รู้เรื่องปืนซะยิ่งกว่าคนส่วนมากในป้อมปราการ 113 ซะอีก!

ข่าวของวันนี้มีแต่เรื่องที่ไม่คาดคิดเต็มไปหมด ทำให้ทุกคนในเมืองนั้นตื่นตูมกันไปใหญ่ ถึงจะเป็นในยามคำคืน แต่ไม่มีใครเลยที่อยู่ในบ้านของตัวเอง ทุกคนต่างออกมาเตรียมความพร้อมหารือกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เอาเข้าจริงแล้วเหตุการณ์เตาหลอมโรงงานระเบิดมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะยังไงเตาหลอมของโรงงานเองก็ไม่ได้ระเบิดครั้งนี้ครั้งแรก เหตุเพราะมันถูกใช้งานอย่างหนักโดยขาดการดูแลรักษามาเป็นปี

แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคราวนี้ คือพวกฝูงหมาป่าต่างหาก เดิมทีแล้วพวกฝูหมาป่านั้นไม่กล้าที่จะเข้ามาโจมตีโรงงานที่มีมนุษย์อยู่เต็มไปหมดหรอก เกือบทุกโรงงานนั้นมีคนงานอยู่มากกว่า 1000 คน และจะเดินกันเป็นหนอนเต็มถนนนอกเมืองกลับเข้ามาในเมืองเมื่อเลิกงานแล้ว

โรงงานที่ว่านั้นตั้งอยู่นอกตัวเมือง ในขณะที่คนงานหลายคนเลือกที่จะกลับเข้ามานอนในเมืองยามค่ำคืน บางคนก็เอาสะดวกนอนในหอพักที่โรงงานจัดเตรียมไว้ให้คนงาน คนงานพวกนี้จะทำงานเป็นกะ โดยแบ่งออกเป็น 3 กะด้วยกัน

แต่ฝูงหมาป่ากลับกล้าถึงขนาดบุกเข้าโจมตีแหล่งที่มั่นของมนุษย์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับป้อมปราการขนาดนี้ มันถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกมากทีเดียว

ตามคำกล่าวของทหารที่ออกเดินทางไปพร้อมกับคณะวงดนตรี ป้อมปราการ 113 นั้นตั้งอยู่ใจกลางของวงล้อมของป้อมปราการอื่นๆ และการที่อยู่ในวงล้อมนั้นทำให้ที่นี่กลายเป็นป้อมปราการที่ปลอดภัยจากอันตรายในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับที่อื่น ตอนแรกทางป้อมปราการก็ส่งกองทหารไปประจำการที่โรงงานอยู่ แต่พอทุกคนเริ่มรู้สึกว่าไม่มีสัตว์ป่าบุกเข้าโจมตีโรงงาน พวกเขาเลยถอนกำลังทหารออกจากโรงงาน แล้วทิ้งปืนไว้ให้ผู้จัดการโรงงานเพียงไม่กี่กระบอกเผื่อฉุกเฉินเท่านั้น

ค่ำคืนนั้นเองที่ประตูป้อมปราการได้ถูกเปิดออก เสียงกรุกกรักดังขึ้นมาจากด้านในประตูทันทีที่เปิด เสียงนั้นเป็นเสียงของทหารนับหลายร้อยนาย เคลื่อนทัพพร้อมอาวุธปืนครบมือเตรียมออกจากเมืง

พวกเขาคือกองทหารส่วนตัวของป้อมปราการที่ 113 หรือถ้าจะให้พูดให้ถูกพวกเขาคือกองทหารส่วนตัวที่ควบคุมโดยสมาคมฉิง กลุ่มสมาคมที่อยู่เบื้องหลังป้อมปราการที่ 113

อาจารย์ฉางจิงหลินเคยหลุดปากพูดออกมาอยู่ว่าสมาคมฉิงนี่หล่ะคือผู้ควบคุมบงการอยู่เบื้องหลังป้อมปราการที่แท้จริง อำนาจของพวกเขาอยู่เหนือชีวิตของประชาชนรากหญ้า พวกเขาครอบครองอาวุธที่สามารถนำไปใช้ต่อสู้ เผชิญหน้ากับภยันตรายจากโลกภายนอกได้ ด้วยเงินและอำนาจคลังแสงอาวุธที่พวกเขามีทำให้พวกเขาสามารถควบคุมได้ทั้งป้อมปราการจนถึงทุกวันนี้

นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนเห็นกองทหารจำนวนมากมายขนาดนี้ออกมาจากป้อมปราการ หยานหลิวหยวนซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมแอบเฝ้ามองกองทหารพวกนั้นเคลื่อนทัพออกจากเมือง ก่อนที่เขาจะพึมพัม “พี่ ที่พวกเขาแบกไว้ที่หลังพวกนั้นใช่ปืนรึเปล่า”

ปืนสีดำพวกนั้นดูน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัว แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูกลับไม่รู้สึกตกใจเลยที่ได้เห็นปืนพวกนั้น

ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกอีกด้วย ว่าถ้าเกิดปืนพวกนั้นมาอยู่ในมือของเขาละก็ เขาก็สามารถใช้มันยิงได้เข้าเป้าทันที

กองทหารที่เดินทัพไปนั้นไม่ได้เคลื่อนทัพด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยเลยซักนิด กองทัพนั้นนำโดยยานยนต์วิบากก็จริงแต่ขบวนทัพของทหารราบที่เดินตามมานั้นเละเทะมาก จะเรียกว่าไร้ระเบียบสุดๆเลยก็ได้ ใครบางคนในกองทัพบ่นขึ้นมา “ก็แค่มีคนตายที่โรงงานเองไม่ใช่เหรอ ทำไมเราไม่ออกเดินทางกันไปตอนพรุ่งนี้เช้าล่ะ ทำไมเราต้องไปฆ่าพวกหมาป่ากันคืนนี้ด้วย?”

“หุบปากไปเหอะหน่า นี่เป็นคำสั่งจากเบื้องบนลงมานะ” ใครบางคนพูดแล้วมองหน้าเขา

“แกจะไปกลัวบ้าอะไรวะ ไอ้พวกเบื้องบนที่เอาแต่นั่งอยู่ในออฟฟิศไม่มาได้ยินเราหรอก ป่านนี้พวกมันคงไปนอนกกผู้หญิงอยู่ละมั้ง” ชายคนนั้นบ่นอุบอิบจากนั้นก็จุดบุหรี่ม้วนของตัวเองขึ้นมา

เหลินเสี่ยวซูได้กลิ่นเหม็นของบุหรี่แปลกๆจากพวกทหารแล้วก็รู้สึกแปลกๆ เขาขมวดคิ้วแล้วเริ่มไม่ไว้ใจกองทหารของป้อมปราการมากขึ้นทุกที

ในตอนนั้นเอง ทหารคนที่จุดบุหรี่อยู่ในกองทหารก็หันมาเห็นเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนที่กำลังแอบมองพวกเขาอยู่พอดี เขาเลยตะคอกด่า “เห้ย ไอ้เด็กเวร มองอะไรของพวกแกวะ รู้เหรอว่าไอ้เนี่ยคืออะไร? ไสหัวไปซะ ถึงฉันจะเอาให้พวกแกก็ใช้มันไม่เป็นหรอก”

เหลินเสี่ยวซูเปิดม่านออก เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดส่วนหลังของประโยคอย่างแรง

ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขารู้สึกได้ว่าทหารพวกนี้อาจจะไม่ได้ยิงปืนเก่งซะด้วยซ้ำ เพราะร่องไหล่ด้านขวาของพวกทหารที่ควรจะเป็นจุดรับแรงดีดของปืนยาวนั้นไม่มีท่าทีรูปร่างลักษณะที่เป็นหลักฐานของการฝึกซ้อมการใช้ปืนมาเลยแม้แต่น้อย

ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เหลินเสี่ยวซูยังไม่รู้ก็คือ อาวุธปืนในสมัยนี้กลายมาเป็นทรัพยากรล้ำค่าภายในป้อมปราการ ปรกติแล้ว เจ้าหน้าที่ในกองทัพจะไม่ปล่อยให้พวกทหารเสียกระสุนไปฝึกซ้อมโดยสูญเปล่าหรอก ถ้ามีทุนไปลงกับอะไรแบบนั้น พวกทหารคงเลือกที่จะไปสังสรรค์กินเหล้าเคล้านารียังจะดีกว่า

เหล้าแอลกอฮอลทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามนอกป้อมปราการ แต่ในป้อมปราการยังคงหากินได้อยู่

หยานหลิวหยวนสงสัย “พี่ ทำไมเหมือนกับว่าพี่รู้เรื่องเกี่ยวกับปืนของพวกเขาจัง?”

เหลินเสี่ยวซูหันกลับมามองหน้าแล้วพูด “อย่าถามมากเลยน่ะ”

หยานหลิวหยวนเริ่มบ่น “นี่ฉันมีจุดยืนอยู่ในครอบครัวนี้บ้างไหมเนี่ย”

เหลินเสี่ยวซูสะอึกนิดหน่อยก่อนจะตอบแบบไม่ใยดี “อย่าคิดเรื่องนี้เยอะเลย หน้าที่ของนายคือการอยู่ให้รอดเท่านั้นล่ะ”

หยานหลิวหยวนพูดไม่ออก

เมื่อพวกเขาเห็นว่ากองทัพเคลื่อนพลไปได้ห่างออกไปเรื่อยๆ เหลินเสี่ยวซูก็เริ่มออกเดินจากกระท่อมแล้วพูดกับหยานหลิวยวน “คืนนี้ไปอยู่ในกระท่อมกับพี่เสี่ยวหยูซะ แล้วค่อยกลับมาตอนที่ฉันกลับมาแล้ว เข้าใจไหม”

“พี่จะไปทำอะไรน่ะ?”หยานหลิวหยวนถามด้วยความตกใจ

แต่คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบ เหลินเสี่ยวซูเปิดประตูกระท่อมแล้วเดินจากไป หายเข้าไปในฝูงชนมากมายบนถนน ไม่มีใครสังเกตุเห็นเหลินเสี่ยวซูเลยซักคน

ปรกติแล้วไม่มีใครกล้าออกมาจากบ้านในยามค่ำคืนหรอก แต่วันนี้ทุกคนกลับออกมาจากบ้านอยู่ข้างนอกราวกับกำลังเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ยังไงอย่างงั้น

เหลินเสี่ยวซูค่อยๆเดินไปตามทางท่ามกลางความมืดมิด หลังจากที่ออกจากเขตใจกลางเมืองได้แล้ว เขาก็รีบมุ่งหน้าต่อไป แสงจันทร์ในยามค่ำคืนนี้ไม่ได้ส่องสว่างมากนัก แต่เหลินเสี่ยวซูที่เดินเข้าออกเมืองเป็นประจำเกือบทุกวันตลอดหลายปีมานี้ทำให้เขาสามารถหลับตาเดินเข้าออกเมืองยังได้เลย

กองทหารจากป้อมปราการใช้เส้นทางหลักในการเดินออกจากเมืองในขณะที่เหลินเสี่ยวซูเลือกใช้เส้นทางลัดคู่ขนาดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้บังเอิญไปเจอกัน

ที่เขาออกตามพวกทหารพวกนี้มานั้น เขามาเพื่อที่จะหาโอกาส แต่โอกาสที่ว่ามันคืออะไรนั้นเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ

แต่ที่แน่ๆคือมันมีปืนมาเกี่ยวข้องแน่ๆ

เอาเข้าจริงแล้ว สิ่งที่ดึงดูดเหลินเสี่ยวซูให้เดินมาถึงนี้ส่วนนึงก็เพราะปืนนี้ล่ะ

เหลินเสี่ยวซูได้เรียนรู้ทักษะการใช้อาวุธปืนขั้นสูงมากแล้ว นั้นทำให้เขารู้ดีว่าอาวุธปืนมันสำคัญแค่ไหนในยุคนี้ กองทหารที่ไปกับพวกวงดนตรีเองเคยพูดไว้เองด้วย แค่ยิงปืนขึ้นฟ้า พวกหมาป่าก็ตกใจกลัวจนหนีเตลิดไปหมดแล้ว

เหลินเสี่ยวซูเคยเผชิญหน้ากับพวกหมาป่ามาก่อน และเขารู้ดีว่าพวกมันอันตรายมากแค่ไหน แต่สัตว์อันตรายสุดโหดแบบนั้นก็ยังกลัวเสียงปืนงั้นเหรอ?

เหลินเสี่ยวซูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าพวกทหารพวกนี้ถ้าไปเผชิญหน้ากับหมาป่าจริงๆจะเกิดอะไรขึ้น แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเหลินเสี่ยวซูนั้น ไม่ใช่ทหารหรือหมาป่า แต่เป็นโรงงานตั่งหาก คนในเมืองต่างรู้ดีว่าผู้จัดการโรงงานเองก็มีปืนประจำการฉุกเฉินอยู่เหมือนกัน

ถ้าอิงตามคำบอกเล่าของคนที่วิ่งหนีออกมาจากโรงงานได้ เขาบอกว่าคนที่หลงเหลืออยู่ในนั้นตายไปหมดแล้ว เหลินเสี่ยวซูเองก็สงสัยมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกทหารบอกเองว่าหมาป่ากลัวเสียงปืนหรอกเหรอ? ถ้างั้น ผู้จัดการโรงงานก็น่าจะไล่พวกหมาป่าไปได้ซิ

บางทีพวกเขาอาจจะไม่คิดว่าพวกหมาป่าจะบุกเข้ามากว่าจะรู้ตัวก็ไปหยิบปืนช้าไปแล้ว หรือไม่บางทีพวกหมาป่าก็อาจจะลอบโจมตีคนยิงก่อน เหตุผลมีอีกเป็นหมื่นล้าน แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว และความจริงนั้นก็ยังรวมถึงเรื่องที่ว่ายังมีปืนอยู่ในโรงงานด้วย

เหลินเสี่ยวซูเลยรีบวิ่งไวที่สุดที่ทำได้ตรงไปยังโรงงาน เขาคุ้นชินกับทางเดินระหว่างเมืองไปโรงงานดีกว่าทหารพวกนั้นแน่นอน อีกอย่าง พวกทหารกำลัง “เดินเคลื่อนทัพ” ส่วนเหลินเสี่ยวซูนั้นกำลังวิ่งเต็มฝีเท้า

ทันใดนั้นเอง เสียงปืนก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ตามมาด้วยเสียงรัวลั่นไกกระสุนปืนดังขึ้นตามมาอีกเป็นชุด แทรกด้วยเสียงร้องโหยหวนของคน

เหลินเสี่ยวซูหันหลังกลับ แล้วมองไปยังต้นทางของเสียง ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน เสียงปืนพวกนั้นดังมาจากกองทหาร ที่น่าจะดันไปเจอเข้ากับฝูงหมาป่า พวกทหารยังโดนโถมเข้าโจมตีอยู่ดีทั้งๆที่ยิงปืนไปแล้วก็ถาม พวกเขาเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพวกหมาป่ากลัวเสียงปืน? ไม่ใช่พวกเขาเหรอที่เป็นคนบอกว่าพวกสัตว์ป่ามีสัญชาติญาณหลีกหนีจากอันตรายน่ะ?

วันนี้ เหลินเสี่ยวซูได้ความรู้ใหม่กลับไป: ถึงแม้ว่าสัตว์ป่าจะวิวัฒนาการไปมากน้อยแค่ไหน แข็งแกร่งตัวใหญ่มากขึ้นเพียงใด พวกมันก็ยังไม่อาจสามารถเอาชนะสัญชาติญาณดั้งเดิมของพวกมันได้ กระต่ายยังต้องกินหญ้า หมาป่าหวาดกลัวเสียงกระสุนปืน

ยกเว้นแต่ว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

ตอนที่พวกคนป่วยได้ยินว่าเหลินเสี่ยวซูบอกว่าทำไมเขาไม่วิ่งเร็วกว่านี้ เขาก็สวนกลับทันที “ฉันน่ะวิ่งเร็วที่สุดที่ทำได้แล้วเถอะ นายนั่นล่ะที่วิ่งเร็วเกินไปแล้ว”

เหลินเสี่ยวซูทำหน้าตึงแล้วพูด “คนอื่นเขาจ่ายเงินแล้วกลับกันหมดแล้วเนี่ย อ้าว บอกมา จะเอายังไงดี เราเป็นคลินิกรักษาคนนะไม่ใช่องค์กรการกุศล!”

“ถ้างั้นก็บอกมาซิว่าจะให้ฉันทำยังไง” ชายคนนั้นเหมือนจะร้องไห้ พอเห็นว่าตัวเองไม่มีทางสู้กับเหลินเสี่ยวซูได้เลย แถมยังไม่มีตังพอจะไปจ่ายเขาอีก บางทีเขาอาจจะได้ตายที่นี่เลยก็ได้

“นี่ฟังนะ” เหลินเสี่ยวซูพูดดีๆ “ถ้างั้นทำไมนายไม่ลองพยายามนึกดูละ ว่านายเคยไปเก็บเงินไว้ที่ส่วนไหนของบ้านบ้างรึเปล่า”

“ไม่นะ สมัยนี้ใครมันจะไปกล้าเก็บเงินที่บ้านกันลละ? แม้แต่เมียยังไม่อยากจะเชื่อให้ฝากเงินเลย” ชายคนนั้นแทบจะสิ้นหวัง

เหลินเสี่ยวซูเองก็เริ่มหมดความอดทน “นายเป็นผู้ชายทั้งแท่งนะ อย่าทำตัวเป็นลูกแหง่โดนเพื่อนแกล้งบีบน้ำตาดิ เอา ไหนบอกมาดิว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีตังอยู่เท่าไร”

“นี่มันก็เกือบจะสิ้นเดือนแล้วนะ เหลืออีกตั้ง 5 วันกว่าฉันจะได้ค่าจ้างน่ะ เหลือตังอยู่ไม่มากหรอก…”

“ถามว่ามีตังเหลืออยู่เท่าไร!”

“432 หยวน” ชายคนนั้นสะอื้น

เหลินเสี่ยวซูไม่คิดว่าจะให้ชายคนนี้ติดเงินเขาแน่ ในยุคสมัยนี้ หากมีคนติดหนี้วันนี้ ใครจะไปรู้ว่าวันต่อมาเขายังจะมีชีวิตอยู่รอดรึเปล่า

เหลินเสี่ยวซูเองก็สงสัยเหมือนกันว่าชายคนนี้มีของมีค่าอย่างอื่นติดตัวมาด้วยไหม

ทันใดนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูก็คิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เขาพูดแล้วเบิกตากว้าง “เอางี้เป็นไง ฉันว่าถ้าฉันเอาไปหมดตัวนายเองก็คงจะลำบากใจน่าดูถูกไหมละ เพราะงั้นฉันจะไม่ทวงอะไรเพิ่มแล้ว เอามาแค่เงินหลักร้อยที่มีอยู่มาให้ฉันแล้วกัน ที่เหลืออีก 32 หยวนนายก็เก็บเอา… ไม่เอาดีกว่า นายเก็บเงินเศษ 2 หยวนเอาไว้กินข้าวแล้วกัน ที่เหลือฉันเอาหมด แล้วเราถือว่าหายกันโอเคไหม”

พอชายคนนั้นได้ยิน เขาก็น้ำตาแตกออกมาทันที “ขอบคุณ ขอบคุณมากๆเลย โฮ!!!”

“ได้รับคำขอบคุณจาก ตงหมิงฉวย +1!”

เหลินเสี่ยวซูยิ้มอย่างพอใจ ในที่สุดเขาก็หาวิธีล่าเอาคำขอบคุณมาจากคนไข้ซักที

ตอนแรกเขาก็ตั้งราคาไว้อย่างมีเหตุผล ถ้าคลินิกในเมืองคิด 600 หยวน เขาก็จะคิด 600 หยวนเหมือนกัน ถ้าตั้งราคาแบบนี้ไม่ว่าใครก็มาว่าเขาขูดเลือดขูดเนื้อไม่ได้ แต่พอต่อมาเขาก็สามารถทำเป็นใจดีลดราคาลง ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงเงินที่น้อยลงตาม แต่สิ่งที่เขาได้กลับมานั้นคือคำขอบคุณจากคนป่วยนั่นเอง

เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักสำหรับเขา คำขอบคุณต่างหาก นั่นคือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินอีก!  ในเวลาอันสั้น เหลินเสี่ยวซูทำเงินไปได้แล้ว 1630 หยวน เขาสามารถทำเงินได้เร็วกว่าตอนที่จับนกกระจอกส่งตาแก่หวางซะอีก แถมยังไม่จำเป็นต้องเสี่ยงตายด้วย

ตอนนี้เหรียญคำขอบบคุณของเหลินเสี่ยวซูก็กลับมาเปป็น 4 เหรียญแล้ว มันอาจจะดูเหมือนยังไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่สิ่งที่เขาได้กลับมานั้นคือการเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้องผ่านการทดลองและความผิดพลาดตั่งหาก

ตอนนี้เหลินเสี่ยวซูเริ่มคิดอย่างอารมณ์ดีว่าจะซื้อเสื้อผ้ากันหนาวให้หยานหลิวหยวนใหม่ เขาหันกลัยไปมองเสี่ยวหยู แล้วคิดว่าจะซื้อเสื้อนอกบุใยฝ้ายให้กับเสี่ยวหยูใส่ในหน้าหนาวด้วย

นับจากนี้เป็นต้นไป เสี่ยวหยูจะมาเป็นนางพยาบาลในคลินิกของเขา จะให้นางทำงานให้ฟรีๆก็คงไม่ได้ถูกไหมล่ะ?

แต่เขาเองก็ยังไม่รีบร้อนแต่อย่างใด เขาตั้งใจที่จะรอดูตอนสิ้นเดือนว่า ทั้งเดือนเขาทำเงินได้ประมาณเท่าไร ก่อนจะตัดสินใจว่าจะจ่ายค่าจ้างให้เสี่ยวหยูประมาณเท่าไรดี

ตอนที่ข่าวเรื่องเตาหลอมในโรงงานระเบิดแพร่กระจายออกไป ทำให้เหล่าสาวเล็กสาวใหญ่ในเมืองต่างเป็นกังวลกันมาก พวกเขาต่างกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสามีของตนเองกัน

ตอนช่วงบ่ายของวันนั้น เหลินเสี่ยวซูนั่งรออยู่ในกระท่อม รอพนักงานโรงงานเลิกงานเดินกลับบ้าน เขาตั้งใจจะมาดักหาคนเจ็บหิ้วกลับเข้ากระท่อมมาบังคับรักษาแต่สุดท้ายเขาก็กลับไม่เห็นใครเดินกลับมาเลย

นอกจากเขาแล้ว คนที่อดทนรอจนแทบทนไม่ไหวอีกคนนึงก็คือไอ้หมอเก๊ที่อยู่ที่คลินิกใจกลางเมือง หลังจากที่เขารู้ข่าวเรื่องเตาหลอมโรงงานระเบิด เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอคนเจ็บวิ่งมาหาเขาทั้งวัน แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครคิดจะมาหามารักษากับเขาเลยจนกระทั้งถึงมืดค่ำ

จนหมอหนุ่มคนนั้นทนไม่ไหวเดินออกไปถามหาข้อมูล เขาได้ยินชัดเจนเลยว่ามีคนเจ็บ 3 คนวิ่งออกมาจากโรงงานเมื่อตอนเที่ยงๆบ่ายๆ แต่ทำไมถึงไม่มีใครมาที่คลินิกเลยซักคนเดียว?

หลังจากที่เขาลองถามไปเรื่อยๆแล้ว เขาก็รู้สึหน้าชาขึ้นมาทันทีตอนที่เขารู้ว่าธุรกิจของเขาโดนใครบางคนแย่งลูกค้าไปต่อหน้าต่อตา

เขาสงสัยมากว่าใครกันที่กล้าอาจหาญมาแย่งธุรกิจที่ผูกขาดอยู่ในเมืองนี้มาหลายปีไปจากเขา จนเขาถามไปเรื่อยๆ แล้วก็พบว่า คนที่แย่งไปนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเหลินเสี่ยวซูนั่นเอง

หมอหนุ่มคนนั้นพยายามคิดให้รอบดูแล้วก็กัดฟันกำหมัดขึ้นมาด้วยความโกรธ เป็นเหลินเสี่ยวซูแล้วมันทำไมกันวะ? คิดว่าเป็นเหลินเสี่ยวซูแล้วจะมาแย่งอาชีพการงานใครก็ได้งั้นเหรอ?

แต่ถึงอย่างนั้น หมอคนนั้นก็รู้สึกเอะใจขึ้นมา จะว่าไปแล้ว จู่ๆเหลินเสี่ยวซูมันไปรู้วิธีรักษาแล้วช่วยผู้คนได้ยังไงกัน? ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับยาดำ ตอนแรกเขาก็คิดว่ามันเป็นแค่ยาสมุนไพรโง่ๆที่เหลินเสี่ยวซูปรุงขึ้นมามั่วๆเพื่อหลอกคน แต่พอฟังจากปากคนนู้นคนนี้ไปทั่วๆแล้ว เขาก็เริ่มเชื่อขึ้นมาว่ายานั่นอาจจะเป็นของจริง

เขาโกรธจัดจนมุ่งหน้าตรงไปหาเหลินเสี่ยวซูเพื่อไปถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้เขาไปถึงหน้าประตูกระท่อมของเหลินเสี่ยวซู เหลินเสี่ยวซูกำลังนั่งปลอกมันฝรั่งด้วยมีดกระดูกอยู่ พอเขาสังเกตุเห็นว่ามีคนมาหา เหลินเสี่ยวซูก็ปักมีดกระดูกนั่นลงไปในมันฝรั่งซะจนทะลุไปอีกด้านนึง

ก่อนที่เขาจะถามขึ้นมาด้วยรัศมีความอมหิต “มีเรื่องอะไรกับฉันเหรอ?”

“อ้อ เปล่า แค่จะมาถามเฉยๆว่านายกินข้าวรึยังน่ะ แหะ แหะ” หมอหนุ่มทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ

เหลินเสี่ยวซู มองหน้าหมอแล้วพูด “หยูตง นายเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ นายอาศัยใช้ชื่อเสียงพ่อของนายหากินมานานมากแล้วด้วย แต่ตอนนี้บารมีพ่อนายมันหมดแล้ว ฉันแนะนำให้นายรีบวิ่งกลับบ้านไปเปิดหนังสือตำราการแพทย์ของพ่อนายอ่านซะ แล้วก็อย่าไปหลอกใครอีกจะดีกว่านะ”

“นี่นายพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?” หมอ(?)หยูตงพูดขึ้นมา “ฉันอ่านหนังสือการแพทย์ทุกวันเถอะ”

“ถ้างั้นก็ดี” เหลินเสี่ยวซูก้มหน้าลงแล้วปอกมันฝรั่งต่อ

ถ้าให้พูดตรงๆ ปรกติแล้วเหลินเสี่ยวซูกับพวกเองก็ยังไม่ชินกับการปอกเปลือกมันฝรั่งหรอก ด้วยความยากจน ก่อนหน้านี้พวกเขาเลยกินมันฝรั่งเข้าไปทั้งเปลือกเลย เพราะถ้าปอกเปลือก บางทีมันจะมีเนื้อบางส่วนถูกหั่นทิ้งไปด้วย แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เหลินเสี่ยวซูหาช่องทางทำเงินได้แล้ว เขาเลยอยากจะทำตัวเรื่องมากเลือกกินซะบ้าง

ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีคนจำนวนมากวิ่งเข้ามาในเมืองแล้วตะโกน “แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

เหลินเสี่ยวซูขมวดคิ้วแล้วออกไปถาม “เกิดอะไรขึ้นกัน”

“กลิ่นเลือดจากศพคนตอนที่เตาหลอมระเบิดมันล่อพวกฝูงหมาป่าบุกเข้ามาในเมืองน่ะซิ!” ชายคนนั้นพูดแบบตะกุกตะกักเร่งรีบ “ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหนกัน แต่พวกมันมีเยอะแยะเต็มไปหมดเลย!”

“ไอ้เยอะที่ว่าเนี่ยกี่ตัว”เหลินเสี่ยวซูย้ำถาม

“ฉันว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะเกินร้อยตัวล่ะ!”

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของจริง ดูเหมือนว่าชะตากรรมของคนงานในโรงงานจะชิบหายกันหมดแล้ว

พวกหมาป่าไม่ได้บุกเข้าเมืองมาหลายปีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ ทุกคนเกือบจะลืมไปแล้วว่าพวกมันเป็นอันตรายแค่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันหายไปอยู่ที่ไหนตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แต่ที่แน่ๆคือพวกมันกลับมาแล้ว และจำนวนของพวกมันก็เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น พวกหมาป่าก็ยังไม่กล้าบุกเข้ามาในทำลายเมืองเพราะด้วยกำแพงป้อมปราการที่สูงใหญ่ และด้านบนป้อมปราการพวกนั้น มีปืนและระเบิดจำนวนมาก

นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าผู้ลี้ภัยถึงมารวมตัวกันอยู่นอกกำแพงแล้วสร้างเมืองขึ้นมารอบกำแพงได้

“จะยืนมองทำไมกันล่ะ กินอาหารที่มีไปซิ”เหลินเสี่ยวซูพูดกับหยานหลิวหยวน

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็นั่งลงแล้วกินอาหารของตัวเองต่อ ในขณะเดียวกันหยานหลิวหยวนก็มองออกไปด้านนอกกระท่อมด้วยความสงสัยพลางกินไปด้วยแล้วพูด “พี่ จะว่าไปแล้ว พี่รอดมาจากหมาป่าได้ยังไงกันนะ พี่ยังไม่เคยบอกฉันมาก่อนเลย”

เหลินเสี่ยวซูมองหน้าของเขาแต่กลับไม่ตอบคำถถาม เสี่ยวหยูที่อยู่ข้างๆพวกเขาเองก็มองหน้าเหลินเสี่ยวซูเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรต่อ

หลังจากที่หยานหลิวหยวนกินมันฝรั่งลูกของตตัวเองเสร็จ เหลินเสี่ยวซูก็ยื่นให้เขาอีกลูก “นายควรจะกินเยอะๆนะจะได้โตไวๆ ถ้านายเติบโตแข็งแรง นายก็จะมีโอกาสรอดมากกว่าคนอื่นเขา”

“พี่ไม่กังวลเรื่องหมาป่าจะบุกเข้ามาในเมืองหรอ?” หยานหลิวหยวนขมวดคิ้วแล้วถามเหลินเสี่ยวซู

“ไม่เลย” เหลินเสี่ยวซูส่ายหัวแล้วพูด “พวกมันฉลาดกว่าที่พวกนายคิดมาก เพราะงั้นพวกมันเลยไม่คิดจะเสี่ยงแห่กันเข้ามาในเมืองหรอก ถ้าเตาของโรงงานไม่ระเบิดทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายกัน พวกมันก็คงไม่แห่กันมาด้วยซ้ำ พวกมันไม่ได้ตามกลิ่นของเลือดมาหรอก มันตามกลิ่นของคนตายมาตั่งหาก”

“แล้วพี่คิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ” หยานหลิวหยวนสงสัย

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพักก่อนจะตอบ “ถ้าเกิดวันนึงกำแพงป้อมปราการเกิดพังทลายขึ้นมาล่ะ”

เสี่ยวหยูผงะ “กำแพง พังทลายเหรอ?”

“ไม่รู้ซิ” เหลินเสี่ยวซูส่ายหัวอีกครั้ง “บนโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่ยั้งยืนจีรังอยู่แล้ว เอาเข้าจริง ฉันเองก็เคยเผชิญหน้าฝูงหมาป่ามาแล้ว 2 ครั้งด้วย ครั้งแรกฉันหนีออกมาได้หลังจากที่สังเกตุเห็นมันได้จากระยะไกล แต่รอบที่ 2 ฉันไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งแรกก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับให้ความรู้สึกว่า พวกมันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่ายังไงอย่างงั้นเลย!”

ที่เหลินเสี่ยวซูสงสัยนั้นก็คือ ถ้าหากวันใดซักวันที่กำแพงป้อมปราการพังทลายขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมมวลมนุษย์กันนะ?

“แค่ผิดพลาดนิดหน่อยเอง” เหลินเสี่ยวซูอธิบายด้วยรอยยิ้ม “วันนี้นางพยาบาลของเรามาทำงานวันแรกน่ะ เธอเลยอาจจะยังไม่รู้ขั้นตอนวิธีการซักเท่าไร มาเถอะ เย็บแผลกันต่อ พี่เสี่ยวหยู เย็บเหมือนตอนเย็บผ้าเลยนะ”

เสี่ยวหยูไม่ได้กลัวเลือดแต่อย่างใด เอาเข้าจริง ทุกคนในเมืองเคยชินกับการเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา เห็นเลือดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพราะงั้น บาดแผลเล็กๆน้อยๆที่เกิดจากอุบัติเหตุพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่าง เธอเองก็ดูมีความสุขกับอาชีพนี้ของเธอด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะเธอชอบเห็นเลือด แต่เป็นเพราะเธอได้กลายเป็นคน “มีประโยชน์” ขึ้นมาตั่งหาก

มันเป็นเรื่องพื้นฐานของคนในเมืองที่จะพยายามทำตัวมีประโยชน์ให้ได้มากที่สุดในสภาวะแวดล้อมที่โหดร้ายแบบนี้ คนไร้ประโยชน์จะโดนทอดทิ้งไว้เบื้องหลังไม่เร็วก็ช้า มันเป็นตรรกะพื้นฐานที่จะตัดสินง่ายๆว่าใครจะอยู่ใครจะไป

เสี่ยวหยูก่อนหน้านี้ไม่มีความมั่นใจเลยว่าเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนจะทิ้งเธอเข้าซักวันรึเปล่าหากเธอทำตัวไม่มีประโยชน์ แต่ที่แน่ๆ คือเธอจะไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่เฉยๆแล้วเป็นภาระกับพวกเขาแน่ๆ

ตอนที่เธอได้ยินเหลินเสี่ยวซูพูดว่าให้เธอเย็บแผลเหมือนเย็บเสื้อผ้า ความมั่นใจของเธอก็เพิ่มมากขึ้นและฝีเข็มของเธอก็นิ่งขึ้นมาก

ยิ่งกว่านั้น เหลินเสี่ยวซูยังคงจับแขนของชายคนนั้นให้อยู่นิ่งๆ ทำให้เธอสามารถเย็บแผลได้อย่างดีขึ้นด้วย

ตอนที่เย็บแผลใกล้จะเสร็จ เสี่ยวหยูก็พูดกับเหลินเสี่ยวซูขึ้นมา “เย็บแผลคนกับเย็บเสื้อผ้ามันจะต่างออกไปหน่อยนะ ตอนที่เย็บเสื้อผ้า ด้ายต้องซ้อนอยู่ในเสื้อให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้มองเห็น แต่ตอนเย็บแผล เราต้องห้ามเหลือด้ายในแผล เลยต้องเย็บแบบย้อนเข็ม เพราะงั้นมันอาจจะดูไม่ค่อยสวยหน่อยนะ”

คนเจ็บทั้ง 3 คนที่ฟังแบบนั้นก็กระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันที ยิ่งเสี่ยวหยูพูดมากเท่าไร ทั้ง 3 คนก็เหมือนเห็นอนาคตแผลตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

ตอนที่เสี่ยวหยูเย็บแผลคนแรกเสร็จ เหลินเสี่ยวซูก็นำขวดยาดำออกมา ก่อนจะทายานั่นให้กับคนเจ็บคนแรก “ยาของฉันมันล้ำค่ามากนะ แต่ฉันจะไม่เก็บนายแพงหรอก ฉันจะคิดราคานายเท่าๆกับราคาที่คลินิกเรียกละกัน 600 หยวน ฉันเชื่อว่าพวกนายคงจะจ่ายกันได้นะ”

เสื้อนอกบุใยฝ้ายนั้นก็ราคาประมาณ 600 หยวนเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น เงินเดือนของพวกคนงานส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ 2200 – 2800 หยวน นั่นทำให้ของที่ขายในราคานี้แอบจะแพงไปหน่อยเมื่อเทียบกับค่าจ้างรายเดือนแล้ว แต่เพราะด้วยเหตุของปัญหาอุปสงค์อุปทานที่ไม่เคยตรงกัน พวกขุนนางที่อยู่ในป้อมปราการ จึงพยายามกดค่าแรงรายได้ของคนในเมืองให้ต่ำที่สุดที่ทำได้โดยที่ยังพอจะใช้ชีวิตอยู่รอดกัน เพราะยังไงพวกขุนนางก็ยังต้องหาประโยชน์จากชาวบ้านในเมือง

ในความคิดของพวกขุนนาง แค่พวกเขาไม่เรียกเก็บค่าคุ้มครองจากพวกชาวบ้านผู้ลี้ภัยมันก็ดีแค่ไหนแล้ว ในเมื่อพวกเขาอยู่ใต้อำนาจการปกครองของป้อมปราการ แต่ประเด็นก็คือ ชาวเมืองไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองได้รับการคุ้มครองแต่อย่างใด แต่อย่างน้อยพวกขุนนางก็ออกกฏหมายควบคุมราคาของสิ่งของไม่ให้เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้

นั้นเป็นสาเหตุที่เหลินเสี่ยวซูสามารถเอาตัวรอดมาได้ตั้งแต่อดีต โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปทำงานในโรงงานเหมืองเหมือนคนอื่น เพราะว่าที่เขาต้องทำก็แค่ ล่านกกระนอกมาให้ได้ เดือนละ 3 ตัวเป็นอย่างต่ำ แค่นี้เขาก็จะมีรายได้มากกว่าคนงานเหมืองส่วนมากแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะล่าไม่ครบ 3 ตัวต่อเดือน แต่เขาก็ยังมีตังเพียงพอที่จะอดมื้อกินมื้อประหยัดจนอยู่รอดได้ทั้งเดือน

ในยุคสมัยวิปราศแบบนี้ ทุกคนต่างก็พยายามจะฝืนทนพยายามดิ้นรน แต่สุดท้าย ชีวิตก็จะหวนกลับมาเล่นงานเราอยู่ดี

เหลินเสี่ยวซูนั้นคิดถูกเรื่องราคาของยาที่ทั้ง 3 คนต้องจ่าย หลังจาที่ทายาดำลงไปบนบาดแผลของคนเจ็บแล้ว ความเจ็บปวดของเขาก็หายวับไปทันที เขาจ่ายเงินค่ารักษาอย่างเต็มใจมากเพราะยังไงราคามันก็เท่าๆกับที่คลินิก ที่เขาคิดจะไปรักษาตอนแรก

พอพวกเขารักษา จ่ายตังเสร็จแล้ว พวกเขาก็เตรียมจะจากไปทันที จนเหลินเสี่ยวซูต้องพูดทวงขึ้นมา “ไม่คิดจะขอบคุณที่รักษาให้กันหน่อยเลยเหรอ?”

คนไข้หันคนนั้นกลับมามอง ก่อนจะยักไหล่แล้วหันกลับไปพูด “ขอบคุณครับ!”

เหลินเสี่ยวซูพยักหน้าอย่างพอใจ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนที่เขามองกลับไปในวังจิตใจ เขากลับพบว่า นั่นไม่ใช่คำขอบคุณที่จริงใจเลยแม้แต่น้อย

เหลินเสี่ยวซูคิด “ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้สมัยนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดวะเนี่ย นี่ฉันรักษาแผลให้เลยนะ ไม่คิดจะขอบคุณกันซักนิดเลยรึไงเนี่ย?!”

ทันใดนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูก็ได้ยินเสียงมาจากภายใน วังจิตใจ แจ้งกับเขาว่า “ภารกิจสำเร็จ รางวัลความแข็งแกร่ง(จะเรียกค่านี้ว่าพลังแทน)เพิ่มขึ้น 1.0”

ภารกิจรักษาคนเจ็บ 1 รายสำเร็จไปได้ด้วยดี และเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวังภายในจะให้รางวัลเป็นค่าพลังกับเขาอีกรอบ เอาเข้าจริง ค่าพลังนี่เป็นสิ่งที่เหลินเสี่ยวซูต้องการที่สุดตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะในเมืองนี้ ยิ่งคนที่มีกำลังมาก โอกาสรอดก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย

เสียงจากวังภายในจิตใจดังขึ้นอีกครั้ง “ภารกิจ รักษาผู้ป่วย 2 ราย”

เอ๊ะ มันเป็นภารกิจที่ทำซ้ำได้หรอกเหรอ พอภารกิจแรกสำเร็จไปแล้ว ภารกิจที่ยากกว่าก็ปรากฏขึ้นมาแทน

หรือว่ามันจะนับคนเจ็บ 2 คนนี้ไปด้วยเลยเหรอ

เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเกิดได้ค่าพลังมาเพิ่มอีก 1 ตอนจบภารกิจ แบบนี้เขาไม่กลายไปเป็นไอ้บ้ากล้ามปูหรอกเหรอ

ถ้าเขาได้ค่าพลังมาเพิ่มอีกมันก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะเขาต้องเสียความเร็วไปเพราะมวลกล้ามเนื้อด้วยที่มากขึ้นทำให้เขาขยับตัวได้ช้าลงไปด้วย

นักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลกส่วนมากเองก็เป็นคนที่มีมวลกล้ามเนื้อโดยรวมสมดุล ไม่ใช่พวกเพาะกายกล้ามปูแขนเป็นท่อนซุงแต่อย่างใด

ณ ตอนนี้ พลังกล้ามเนื้อของเหลินเสี่ยวซูนั้นมากกว่าผู้ใหญ่ธรรมดาทั่วไปแล้ว เขาลองสังเกตุร่างกายตนเองดูแล้วพบว่ากล้ามเนื้อของเขามันใหญ่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเลย แต่โชคยังดีที่ไม่มีใครสังเกตุเห็นกล้ามเนื้อของเขาที่มันพองขึ้นมา เพราะเสื้อผ้าของเขามันปิดร่างกายของเขาไว้มิดทีเดียว

ในตอนที่เหลินเสี่ยวซูกำลังเหม่ออยู่นั้นเอง คนไข้คนนึงก็ฉวยโอกาสชักดาบเผ่นแน่บออกจากกระท่อมของเขาโดยที่ไม่จ่ายตัง เสี่ยวหยูเลยตะโกนเรียกเขา “คนไข้หนีไปแล้ว”

เหลินเสี่ยวซูยิ้มแล้วพูด “ไม่เป็นไรหรอก เขายังบาดเจ็บอยู่คงไปได้ไม่ไกล เดี๋ยวฉันไปตามเขากลับมาเอง”

เสี่ยวหยูกับคนอื่นๆยืนอ้ำอึ้งพูดไม่ออกกัน

ในขณะที่เหลินเสี่ยวซูออกไปตามจับคนไข้ที่หนีชิ้งไม่จ่ายเงินนั้นเอง เสี่ยวหยูก็มองหน้าคนไข้ที่เหลือเหมือนผู้คุมกับนักโทษแล้วพูดด้วยความอ่อนโยนแฝงรังสีอมหิต “พวกนายจะหนีกันไปด้วยรึเปล่า? ถ้าไม่คิดจะหนีฉันจะได้เย็บแผลให้ต่อ”

“ไม่ไป ไม่หนี ไม่แน่นอน” คนไข้ที่เหลือหลับตาปี๋พลางคิดว่านี่มันคลินิกแบบไหนกันเนี่ย “เย็บแผลต่อได้เลย”

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูแบกคนไข้กลับมา เขาก็พบว่าเขาสามารถหิ้วคนไข้กลับมาได้ไม่ลำบากเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาสามารถหิ้วคนไข้ได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยซ้ำ

การไล่ตามจับคนเจ็บง่ายกว่าไล่ตามจับโจรมาก เหลินเสี่ยวซูลากตัวของคนหนีกลับมาแล้วใช้มือข้างเดียวกดเขาลงกับพื้นเพื่อไม่ให้เขาหนีได้อีก

คนไข้อีก 2 คนที่เหลือที่ไม่ได้คิดจะหนีอยู่แล้วไม่ตอบโต้หรือขันขืนอะไรเหลินเสี่ยวซู แต่พวกเขาแค่ตกใจในแรงกดที่เหลินเสี่ยวซูกดไหล่ของพวกเขาลง ทำไมเด็กอายุแค่ 17 ถึงได้มีเรี่ยวแรงมากถถึงขนาดนี้

ถึงพวกเขาจะยังบาดเจ็บอยู่แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่มีแรงเลย แต่ตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกว่าไม่ว่าจะออกแรงดิ้นแค่ไหน ก็ยังไม่อาจสู้แรงของเหลินเสี่ยวซูได้อยู่ดี

ที่สำคัญกว่านั้นคือ แล้วแบบนี้ถ้าเกิดมีใครเกิดบาดเจ็บขึ้นมาอีก จะหนีจากเหลินเสี่ยวซูยังไงดีล่ะ

“ภารกิจสำเร็จ รางวัล ความคล่องแคล่ว 1.0”

“ภารกิจ รักษาคนเจ็บ 10 ราย”

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ากล้ามเนื้อที่เคยบวมขึ้นของเขามันแฟบลงไปนิดนึง

จะเรียกว่าแฟบก็คงไม่ถูก เพราะค่าความคล่องแคล่วนั้นมันคือการเพิ่มความแข็งแกร่งของใยกล้ามเนื้อ ซึ่งถ้ามันเพิ่มขึ้นจนถึงระดับเดียวกันกับค่าพลัง มันก็จะช่วยลดปริมาณมวลกล้ามเนื้อลงได้ทำให้เหลินเสี่ยวซูไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นมนุษย์กล้ามปูไปซะก่ออน

ถ้าเส้นใยกล้ามเนื้อของเหลินเสี่ยวซูเมื่อก่อนเปรียบได้เหมือนกับคฑาไม้ ใยกล้ามเนื้อของเขาในตอนนี้ก็เปรียบได้เหมือนกับกระบองเหล็กเลย

ด้วยความที่กล้ามเนื้อของเขามันกระชับมัดตัวกันแน่นขึ้น ทำให้พูดได้ว่ามันเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งเชิงคุณภาพ ไม่ใช่เอาแต่กล้ามเนื้อปริมาณเข้าว่าเหมือนค่าพลัง

ยิ่งกว่านั้น ค่าความคล่องแคล่วมันยังทำให้เขาทนรับแรงปะทะได้มากขึ้นด้วย

เหลินเสี่ยวซูมองคนป่วยที่พยายามจะหนีเมื่อกี้แล้วถาม “ไม่เข้าใจผลของยาดำที่ฉันทาให้หรือไง? มันจะช่วยหยุดอาการเจ็บของนายทันทีเลยนะ แผลก็ไม่ติดเชื้อ สมานไวอีก ของดีราคาถูกแบบนี้จะหนีทำไมกันอีกล่ะ”

คนเจ็บคนนั้นพึมพัมอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาเต็มปาก “ก็ฉันมีเงินไม่พอจ่ายนี่…”

“แล้วทำไมเอ็งไม่วิ่งให้ไวกว่านี้ล่ะวะ!” เหลินเสี่ยวซูเศร้าจิตเศร้าใจ

ตอนที่ 18 ง่ายจะตาย

“ก็ไม่เลวเหมือนกันนะพี่” หยานหลิวหยวนยิ้มแล้วพูด “ไม่ว่าผลของยามันจะออกมาเป็นแบบไหน เราก็ยังขายมันออกได้อยู่ดี”

เหลินเสี่ยวซูไม่ค่อยจะดีใจซักเท่าไร เขากระซิบ “ก็ถ้ามันเป็นเรื่องหาเงินมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ถ้าขายยาปลุกเซ็กส์เนี่ยมันจะมีคนขอบคุณฉันอย่างจริงใจซักกี่คนกันวะ”

เหลินเสี่ยวซูรู้ดี ว่าถ้าหากเขาขายสรรพคุณเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ถึงแม้ว่ามันจะได้เงินมาเยอะก็จริง แต่โอกาสที่เขาจะได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจนั้นมันจะน้อยกว่าการที่เขาไปช่วยชีวิตคนเจ็บมาก ต้องเป็นคนแบบตาแก่หว่างที่เตะปี๊บไม่ดังอยากหวนคืนสู่วงการความรักหวานชื่นเท่านั้นแหล่ะ ที่จะขอบคุณเขาออย่างจริงใจ

อีกอย่าง จุดมุ่งหมายของเขาจริงๆมันไม่ใช่การหาเงินซักหน่อย เขาต้องการคำขอบคุณจากคนอื่นมากกว่านี้ตั่งหาก เพราะถ้าไม่มีคำขอบคุณ ยาดำก็จะไม่มีตามไปด้วย

เหลินเสี่ยวซูพูด “ถ้าฉันรักษาผู้คนช่วยชีวิตพวกเขา ทุกคนในเมืองก็จะเริ่มเคารพยำเกรงฉันบ้าง ดูอย่าไอ้หมอที่อยู่ในคลินิกนั่นซิ เขาทำคนตายมากี่คนแล้วล่ะ แต่ก็ยังไม่เห็นมีใครไปด่าไปเอาเรื่อง ไปฆ่าแกงเขาเลย ทำไมกันล่ะ เพราะว่าเขาเป็นหมอคนเดียวในเมือองไง!”

“พี่ก็พูดถูก” หยานหลิวหยวนเห็นด้วย ในความเป็นจริงแล้ว บางครั้งก็มีหลายอย่างที่สำคัญมากกว่าเงิน และเขารู้อยู่แล้วด้วยว่ายังไงซักวันเขาก็ต้องรวยแน่ๆ

“และที่สำคัญที่สุดเลยนะ” เหลินเสี่ยวซูพูด “ถ้าฉันรักษาผู้คน ช่วยชีวิตพวกเขา ทุกคนในเมืองจะเรียกฉันว่า คุณหมอเหลิน แต่ถ้าฉันไม่รักษาพวกเขาเลย นายรู้ไหมว่าพวกเขาจะเรียกฉันลับหลังว่าอะไร เห้ย ไอ้คนขายยา ไง”

เห็นได้ชัดเลยว่าภาพลักษณ์ทางสังคมของทั้ง 2 แบบมันต่างกันลิบลับ!

หยานหลิวหยวนอดไม่ได้ เขาออกมาลั่นกระท่อม “พี่ จินตนาการพี่มันจะล้ำเลิศไปแล้วนะ”

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตาแก่วางนั้นยังไม่ได้ใช้ยาที่เขาซื้อไปจากเหลินเสี่ยวซูเลย เพราะยังไงตาแก่หวางเองก็ยังหาเมียใหม่ไม่ได้

ขวดที่บรรจุยาดำตอนนี้นั้นไม่ได้แปลกพิศดารอะไรมาก มันเป็นเพียงแค่ขวดเซรามิกขนาดเล็กที่หน้าตาเหมือน เครื่องลายครามที่เห็นได้ทั่วไปในเมือง ขวดแก้วเดิมที่บรรจุยาดำนั้นทำมาจากแก้วที่วิจิตรงดงาม เหลินเสี่ยวซูกังวลว่าคนจะสงสัยเรื่องที่ขวดยามันดูหรูเกินไป เขาเลยไปเที่ยวหาขวดใหม่มาแบ่งใส่ เพราะขวดเดิมที่ใส่นั้นมันหาไม่ได้ในเมืองแน่นออน

หวางฟู่กุยส่งขวดเซรามิกขนาดเล็กให้กับหนึ่งในผู้ตรวจการของเมือง เขาเป็นคนที่ถูกส่งออกมาโดยป้อมปราการโดยตรง

ตาแก่หวางรู้สึกเหมือนกับว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นไม่เห็นค่าของยาที่เขาให้มาเลย แต่ตาแก่หวางนั้นรู้ค่าของมันดี

ที่ใดกันเป็นที่ๆต้องการยาดำมากที่สุดหล่ะ? ใช่เหล่าชายฉกรรจ์ในเมืองรึเปล่า เปล่าเลย

ถึงแม้ว่าผู้ชายในเมืองจะพอมีอันจะกินอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่พวกเขามีกินมีใช้กันพอสมควร แถมงานที่ทำส่วนมากก็เป็นประเภทใช้แรงงาน ทำให้สุขภาพร่างกายของพวกเขาแข็งแรงมีกำลังวังชาดีเยี่ยมถึงแม้ว่าจะเป็นคนผอมแห้งแรงน้อยก็ตาม

หากร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายก็จะฟิตปั๋งเหมือนวัยรุ่นตลอดเวลาไม่จำเป็นต้องใช้ยาดำเลยแม้แต่น้อย

คนที่ต้องการยาดำมากที่สุด ก็คือพวก “ขุนนาง” ที่อาศัยอยู่ชั้นในของป้อมปราการตั่งหาก

หวางฟู่กุยตั้งใจซื้อยาจากเหลินเสี่ยวซูเพื่อนำมามอบบรรณาการให้กับผู้ตรวจการของเมือง ที่เป็นคนที่ป้อมปราการส่งมา ผู้ตรวจการของเมืองนั้นเป็นผู้ที่รู้เหตุการณ์ความเป็นไปทุกอย่างของเมือง งานหลักของพวกเขาคือการคอยจับตามองว่ามีเหตุการณ์อะไรไม่ผิดปรกติเกิดขึ้นในเมืองบ้างไหม เพราะงั้น เขาเลยรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าหัวเหล็กเลียยาดำเมื่อคืน

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ตรวจการเมืองเองก็ไม่ได้ใช้มันอยู่ดี หลังจากที่เขากลับมาที่ป้อมปราการในคืนนั้นแล้ว เขาก็ส่งมันไปให้หัวหน้าของเขาอีกที

ไม่มีใครรู้ว่าขวดยาเซรามิกนั้นจะไปตกอยู่ในมือของใคร

และเหลินเสี่ยวซูก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เขาใช้เหรียญขอบคุณแลกยาดำมาเพิ่มอีกขวดนึง จากนั้น เขาก็ให้เสี่ยวหยูซื้อผ้าดิบสีขาวจากในเมืองมา เพื่อที่จะปักคำว่า “คลินิก” ลงไปบนผ้านั้นด้วยด้ายสีดำ รวมไปถึงคำว่า “หมอใจดีผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแผล” เล็กๆอยู่ข้างใต้ด้วย

พอป้ายสำเร็จแล้วกิจการคลินิกของเขาก็เริ่มเปิดทำการ

ตอนที่เสี่ยวหยูกำลังปักคำลงไปนั้นเอง เธอก็ถามเหลินเสี่ยวซูว่าอยากจะให้เธอปักคำว่า “หัตย์วิเศษรักษากาย” ไปด้วยไหม และเหลินเสี่ยวซูก็รีบปฏิเสธไปทันทีเพราะเขาค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่า”กาย”มากไปหน่อยช่วงนี้ (เพราะมันอาจจะไปซ้อนกับคำว่ากามได้)

ชีวิตของเหลินเสี่ยวซูเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง ตอนเช้าตรู่เขาตื่นขึ้นมาเข้าป่าไปเก็บสมุนไพร พอตอนสายๆเขาก็กลับมาที่กระท่อมรักษาผู้คน พอตอนเที่ยงเขาก็ไปสอนวิชาเอาตัวรอดที่โรงเรียน หลังจากนั้นเขาจะมาทบทวนบทเรียนในภาคเช้าโดยใช้ให้หยานหลิวหยวนคอยจดสิ่งที่เรียนมาด้วย

ถึงแม้ว่าตอนนี้กิจการคลินิกของเขาจะยังคงไร้ผู้คนแต่เขาก็ยังไม่อาจจะทิ้งงานของเขาไปได้ เพราะถ้าหากมีคนเจ็บมาหาหมอ เสี่ยวหยูคนเดียวก็คงรับมือไม่ได้แน่

ถ้าเลือกได้เขาอยากจะไปนั่งในห้องเรียนกว้างๆสว่างๆแบบหยานหลิวหยวนแล้วเรียนอยู่ในโรงเรียนซะมากกว่า แต่ถ้าเขาไปเรียน หยานหลิวหยวนกับเสี่ยวหยูจะทำยังไงต่อไปล่ะ?

ในครอบครัวยังไงก็ต้องมีซักคนที่ต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม

วันต่อมาเหลินเสี่ยวซูนั่งอยู่ในกระท่อม ประตูม่านของกระท่อมเปิดกว้าง มีเสี่ยวหยูนั่งเย็บผ้าอยู่ด้านหลังของเขา บางครั้ง เสี่ยวหยูก็จะบ่นอุบอิบออกมาถึงเรื่องที่ 2 พี่น้องคู่นี่ไม่เคยคิดจะเย็บปักซ่อมผ้าเองบ้างเลย ทำไมถึงปล่อยให้มีรูขาดยิบย่อยเยอะขนาดนี้กัน?

ในตอนนั้นจู่ๆก็มีใครบางคนวิ่งตรงเข้ามาจากอีกฝั่งนึงของถนนลูกรัง พร้อมแขนที่เลือดซึมทะลักออกมา

เหลินเสี่ยวซูตาลุกวาว “ถ้าไม่รีบรักษาแผลนั้น อาจจะถึงตายได้เลยนะ”

แต่ถึงอย่างนั้น ชายคนนั้นกลับไม่แล ไม่เหลียว ไม่แยแสเหลินเสี่ยวซูเลยซักนิด ณ ตอนนี้หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกคนก็มักจะคิดถึงคลินิกเพียงแห่งเดียวขอองเมืองซะก่อน เพราะอย่างน้อย ที่นั่นก็”น่าจะรักษาคนได้จริง” ต่างจากคลินิกกระท่อมโทรมๆทำจากไม้ของ “พ่อค้าขายยา”เหลินเสี่ยวซู ในหัวของพวกเขา เหลินเสี่ยวซูยังดูเป็น”พ่อค้าขายยา”มากกว่า “หมอที่รักษาบาดแผลให้คน”อยู่ดี

ทันใดนั้นเอง เสียงพูดที่คุ้นเคยก็ดังก้องขึ้นมาในหู มันเป็นเสียงจากปราสาทจิตใจของเขา “ภารกิจ รักษาผู้ป่วย 1 คน”

เหลินเสี่ยวซูยืนขึ้นแล้ว พูดแบบกลัดกลุ้มใจปลอมๆ “ขอโทษทีนะไอ้หนุ่ม”

จากนั้นเสี่ยวหยูก็เห็นเหลินเสี่ยวซูวิ่งออกไปจากกระท่อมด้วยความเร็วสูงพุ่งตัวเข้าหาชายคนที่มีบาดแผลที่แขน หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีต่อมา เธอก็เห็นเหลินเสี่ยวซูหิ้วชายคนนั้นกลับมาด้วย

เหลินเสี่ยวซูพูดกับชายคนเจ็บ “ไอ้หมอที่คลินิกนั่นมันเป็นหมอเก๊ นี่ฉันหิ้วนายมานี่ ฉันกำลังพยายามช่วยนายอยู่นะเนี่ย?”

ชายคนนั้นเสียเลือดมาเป็นเวลานานแล้วทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนอะไร เขาแทบจะเป็นลมล้มพับไปแล้วด้วยซ้ำถ้าเหลินเสี่ยวซูไม่หิ้วปีกเขามานี่ซะก่อน

ในตอนนั้นเองที่มีชายอีก 2 คน วิ่งตามกันมาจากอีกด้านของถนนลูกรัง พอเห็นว่าร่างของพวกเขาเปื้อนเลือดอยู่เหมือนกัน เหลินเสี่ยวซูเลยตกใจ “นี่พวกนายไปมีเรื่องกันมารึไงเนี่ย?”

ตอนที่ชายคนที่โดนหิ้วมาได้ยินเขาก็อธิบาย “เปล่า ไม่ใช่ มันเป็นเพราะเตาหลอมที่โรงงาน มันระเบิด! พวกเรายังถือว่าบาดเจ็บน้อย ยังพอจะวิ่งมานี่เองได้ แต่ฉันว่าอาจจะมีบางคนตายคาโรงงานไปแล้วด้วยซ้ำ”

เหลินเสี่ยวซูพยักหน้าเงียบๆ ในปัจจุบัน ไม่มีใครใจดีจะหิ้วร่างที่ปางตายของคนเจ็บในโรงงานมาส่งให้ถึงที่หมอหรอก บางคนถึงขั้นซ้ำเติมภาวนาให้คนเจ็บตายๆไปซะจะได้ปล้นของมาได้ด้วยซ้ำ

“เร็วเข้าพี่เสี่ยวหยู ฆ่าเชื้อเข็มเร็ว” เหลินเสี่ยวซูพูด ถึงแม้ว่าเขาจะยังกังวลเรื่องการติดเชื้ออยู่ แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องทำ ในเมื่อมีคนเจ็บอยู่ตรงหน้าแล้วเขาก็ต้องรักษาให้ได้ หลังจากที่พูดจบ เขาก็วิ่งออกไปข้างนอกออีกรอบ แล้วรอบนี้เขาก็พาผู้ชายอีก 2 คนนั้นมาด้วย

เหลินเสี่ยวซูใช้มือทั้ง 2 ข้างคอยพยุงร่างของพวกเขาเอาไว้ ทั้ง 3 คนนั้นบาดเจ็บจนไร้แรงต้าน ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บลล่ะก็ เหลินเสี่ยวซูคงไม่มีทางลากผู้ชายวัยผู้ใหญ่ถึง 3 คนกลับมาที่กระท่อมได้แน่ๆ

เอาเข้าจริง พวกเขาก็รู้กันอยู่แล้วล่ะว่าจะมารักษาที่กระท่อมของเหลินเสี่ยวซูก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยสัญชาติญาณ ขาของพวกเขาวิ่งตรงไปที่คลินิกประจำเมืองก่อนเป็นที่แรก แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาโดนพยุงมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ขัดขืนอะไรแล้ว

จากนั้นพวกเขาก็เห็นเสี่ยวหยูวางผ้าในมือลง เธอหยิบเข็มที่เธอใช้เย็บผ้ามาแล้วนำไปลนกับไฟ เข็มนั้นมีความยาวพอประมาณทำให้เธอไม่กลัวที่จะโดนลวกมือแต่อย่างใด

“ให้ฉันเย็บเลยเหรอ?” เสี่ยวหยูถามแบบหวั่นๆ

“ใช่ เย็บแผลพวกนั้นเข้าด้วยกันเหมือนกับตอนเย็บผ้าเลย” เหลินเสี่ยวซูยิ้มแล้วพูด “ง่ายจะตาย”

เสี่ยวหยูพยายามรวบรวมความกล้าที่มีก่อนจะเริ่มจับดูแผลของผู้ป่วยคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ทันทีที่เข็มแตะโดนหนัง เสียงจี่ของเหล็กร้อนไหม้ผิวหนังคนก็ดังขึ้นมาพร้อมเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทันที

ชายคนนั้นร้องออกมาแล้วถาม “โอ้ย เดี๋ยว เข้าใจนะว่าใช้ไฟฆ่าเชื้อเข็มน่ะ แต่ช่วยรอให้เข็มมันเย็นก่อนค่อยเย็บได้ไหมเนี่ย?”

 

“พี่…” หยานหลิวหยวนถามขึ้นมา “ได้ข่าวว่าเมื่อเที่ยงพี่รักษาให้คนฟรีมาเหรอ? ดูไม่เป็นพี่เลยนะช่วยคนอื่นฟรีๆเนี่ย!”

“อย่าพูดเรื่องนี้อีกเป็นอันขาดเลยนะ” เหลินเสี่ยวซูตอบกลับแต่ไม่ตอบคำถาม

ถ้าให้พูดตรงๆ เขาแค่อยากที่จะโปรโมทสรรพคุณของยาดำของเขาให้ทุกคนเห็น เขาจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้คำขอบคุณอย่างจริงใจมาจากคนอื่น ยิ่งกว่านั้น ยานี่ยังเป็นแกนหลักของแผนการทำเงินในระยะสั้นของเขาด้วย

เพราะงั้นเหลินเสี่ยวซูเลยบอกกับตัวเองว่าช่วงเริ่มต้นนั้นเป็นช่วงที่ยากที่สุด เขาต้องท้าทายกับความเชื่อของผู้คนเพื่อให้นำไปสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเขา เพราะงั้น เขาจึงต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ใจดีมีเมตตาบ้างเช่นกัน!

ซึ่งเหลินเสี่ยวซูก็ไม่ได้ขี้เหนียวเพื่อเป้าหมายของเขา เขารู้ดีว่าถึงเวลาเขาก็ต้องมีซักวันที่ต้องแจกยาฟรีอยู่ดี แต่ถึงจะบอกตัวเองอย่างงั้น ตอนทำจริงๆ เขาก็ยังเจ็บใจอยู่ดี

เสี่ยวหยูปลอบใจด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกนะ นายต้องทำสำเร็จแน่ๆ”

หลังจากที่พูดจบ เสี่ยวหยูก็เดินกลับกระท่อมของเธอไปนอน ก่อนหน้านี้ที่บ้านเก่าของเธอ เธอไม่เคยนอนหลับเลยซักคืน แต่พอย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอกลับรู้สึกนอนเต็มอิ่มในทุกๆวัน

เช้าวันต่อมา นาฬิกาของป้อมปราการส่งสัญญาณดังลั่นเพื่อเตือนทุกคนว่าถึงเวลาเข้างานในโรงงาน

เหลินเสี่ยวซูกลับมาพร้อมกับน้ำดื่มจำนวนหนึ่งที่ถูกจัดสรรให้เขาได้รับใน1 วัน เขากะไว้แล้วว่ากว่าแผลจะตกสะเก็ดต้องใข้เวลาประมาณ 12 ชัวโมงหลังจากที่ทายาดำไปแล้ว เพราะงั้นเขาเลยไม่รีบร้อนดูผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้นกับชาวเมืองอะไร

เพราะเมื่อไรก็ตามที่ชาวเมืองรู้ถึงสรรพคุณของยาดำ ทุกคนก็จะแห่กันเข้าหาเขาเอง

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดว่าทันทีที่เขาถือถังน้ำกลับมา เขาจะพบเข้ากับเถ้าแก่หวาง หวางฟู่กุย มายืนอยู่หน้าทางเข้ากระท่อมพร้อมรอยยิ้ม

“อ้าว ตาแก่หวาง มาทำอะไรที่นี่แต่เช้าเนี่ย? ช่วงนี้ฉันยังไม่ได้ออกไปจับนกกระจอกเลยนะ” เหลินเสี่ยวซูพูดเอื่อยๆ ตอนที่เขาเอาถังน้ำไปวางที่พื้น เขามองเข้าไปในกระท่อม แล้วเห็นหยานหลิวหยวนที่ทำตามสัญชาติญาณกำมีดกระดูกแน่นชูขึ้นสูงพร้อมจู่โจมป้องกันไม่ให้ตาแก่หวางเข้ามา แต่พอเขาเห็นว่าเป็นพี่เหลินเสี่ยวซูมาด้วย เขาก็ลดมีดตัวเองลง

พอหวางฟู่กุยเห็นเหลินเสี่ยวซู ตาเขาก็ลุกวาวขึ้นมา “เสี่ยวซู กลับมาแล้วเหรอ! ฉันมาที่นี่แต่เช้าก็เพื่อมาตามหานายเนี่ยแหล่ะ”

“ทำไมล่ะ” เหลินเสี่ยวซูรู้สึกแปลกๆ อะไรทำให้ตาแก่หวางยิ้มอารมณ์ดีแก้มปริมาหาเขาได้แต่เช้าขนาดนี้กัน เขาสังเกตุตาแก่หวางดีๆแล้วถาม “นี่ดื่มมารึเปล่าเนี่ย?”

ตาแก่หวางส่ายหัว “ดื่มบ้าดื่มบออะไรล่ะ ไม่รู้เหรอว่าสมัยนี้แอลกอฮอลเป็นสิ่งต้องห้ามน่ะ ใครมันจะไปกล้าดื่มเหล้าทั้งๆที่คนอื่นยังไม่มีอะไรกินเลยด้วยซ้ำน่ะ?”

“แต่ฉันได้กลิ่นคุ้นๆบนตัวลุงก่อนหน้านี้อยู่นะ…”

สีหน้าของหวางฟู่กุยเปลี่ยนตอบรับกับคำพูดของเหลินเสี่ยวซู เขารีบขัดคอเหลินเสี่ยวซูแล้วพูด “อย่ามาพูดไร้สาระน่ะ!”

“ก็ได้ ก็ได้ ไม่พูดแล้ว สรุปมาหาฉันทำไมกันล่ะ?” เหลินเสี่ยวซูถาม

“เมื่อวานนายเป็นคนที่รักษาเจ้าหัวเหล็กใช่ไหม? เจ้าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองทางฝั่งตะวันออกน่ะ?” หวางฟู่กุยพูดกับเหลินเสี่ยวซูพร้อมตาที่ขยิบ

“อ้อ เขาชื่อหัวเหล็กเหรอ… หัวเขาก็ดูไม่ได้แข็งอะไรนี่? ทำไมถึงได้ชื่อว่าหัวเหล็กล่ะ?” เหลินเสี่ยวซูสงัย

“อย่าพึ่งกวนได้ไหม” ตาแก่หวางพูด “ตอบมาซิว่าใช่หรือไม่ใช่”

“ใช่ ฉันเองแหล่ะ!” เหลินเสี่ยวซูดีอกดีใจยกใหญ่ในใจ คนอย่างเถ้าแก่หวางไม่ใช่พวกที่ทำอะไรหรือออกตามหาใครโดยไม่มีเหตุผล มันต้องเป็นเพราะผลของยาดำมันไปเตะตาเตะหูเขาแน่เลย เขาคงมองเห็นช่องทางทำเงินของมันแน่ๆ ไม่งั้นเขาถ่อมาหาเหลินเสี่ยวซูถึงนี่ทำไมกันล่ะ?

นี่เป็นหลักฐานชิ้นโตที่พิสูจน์ว่าตลาดการค้ายาดำของเขาเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว!

เถ้าแก่หวางพอได้ยินเหลินเสี่ยวซูยอมรับก็ดีใจมาก “นาย…ยังพอมียาเหลืออยู่อีกไหม? เอามาให้ฉันได้นะ เดี๋ยวฉันขายให้นายเอง!”

“อยากจะเอาของฉันไปขายเหรอ? ไม่มีทางซะล่ะ!” เหลินเสี่ยวซูส่ายหัว “ฉันไม่อยากได้พ่อค้าคนกลางมาตัดกำไรของฉันไปหรอกนะ เมืองนี้มันก็เล็กมากพออยู่แล้ว ฉันขายเองไม่ดีกว่าเหรอ อีกอย่าง ฉันไม่ได้วางแผนเอายาของฉันไปขายที่ป้อมปราการอื่นๆด้วยซักหน่อย อีกอย่าง ถึงฉันจะเริ่มมีธุรกิจใหญ่โตแต่ลุงเองก็เห็นจำเป็นที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลยนี่”

เถ้าแก่หวางอึ้งกับคำพูดของเหลินเสี่ยวซู ก็จริงอยู่ที่เมืองนี้มันเล็ก ทำไมเหลินเสี่ยวซูต้องให้เขาเป็นคนขายยาให้แทนด้วยล่ะ?

แต่เถ้าแก่หวางก็ยังตื้อพูดต่อ “ถ้างั้นไม่เป็นไร แต่ช่วยขายยาพวกนั้นให้ฉันซักนิดนึงจะได้ไหม”

“เอ๋?” เหลินเสี่ยวซูงง “ลุงก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรตรงไหนนี้ แล้วจะเอายาไปทำไมกันล่ะ”

หวางฟู่กุยยิ้มอย่างมีเล่ห์นัยแล้วพูด  “นายยังไม่รู้อะไรใช่ไหมล่ะ? เมื่อวานนี้น่ะ เจ้าหัวเหล็กดันเกิดสงสัยขึ้นมาตอนที่กลับถึงบ้าน เขาอยากจะรู้ว่านายทาอะไรให้ที่แผลของเขา เขาเลยดมกลิ่นฟุดฟิด แต่กลับไม่ได้กลิ่นอะไร แต่พอเขาเลยมันเข้าไปนิดเดียวเท่านั้นล่ะ ลองเดาดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น”

ก่อนที่เหลินเสี่ยวซูจะได้เดาอะไร เขาก็นึกสงสัยขึ้นมาก่อนว่าไอ้หมอนั่นมันต้องเป็นคนยังไงถึงต้องเลียยาทาแผลว่ะ

สรรพคุณของยาดำยังไงก็ไม่เป็นที่กังขาแน่นอน เพราะตอนที่เจ้าหัวเหล็กดูแผลของตัวเองคืนนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเหลินเสี่ยวซูไม่ได้โกหกเขาเลย มันเป็นยาดีจริงๆ แต่ด้วยความสงสัยส่วนตัวทำให้เขาอยากรู้ขึ้นมาว่ายานี่มันทำจากอะไร

เถ้าแก่หวางพูดต่อ “หมอนั่น เอากับเมียทั้งคืนไม่หยุดจนกระทั้งถึงเช้าเลยนะ! ยาของนายน่ะมันจะได้ผลดีเกินไปแล้ว!”

เหลินเสี่ยวซูตกใจ!

หยานหลิวหยวนที่อยู่ในกระท่อมก็ตกใจตามไปด้วย

เหลินเสี่ยวซูเองก็เคยสงสัยเหมือนกันว่ายาดำนี่จะสามารถกินได้รึเปล่า แล้วมันจะมีผลข้างเคียงอะไรไหม เขาเดาว่ามันอาจจะกินได้ แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าลองกินของเหลวสีดำที่อยู่ในขวดนั้นเองอยู่ดี

แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ายานั่นมันออกผลยังไงถ้ากินเข้าไป แถมยังออกผลดีจัดตั้งแต่ค่ำยันเช้าอีกด้วย สรุปแล้วมันเป็นยาอะไรกันแน่วะเนี่ย?

เหลินเสี่ยวซูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือน้ำตาไหลก่อนดี แล้วทำไมถึงอยากได้ยานี่ล่ะ

หวางฟู่กุยพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร “ทำไมล่ะ ตาแก่อย่างฉันจะมีความรักบ้างไม่ได้เลยรึไง? ก็ร่างกายของฉันตอนนี้มันก็ไม่ได้แข็งแรงฟิตปึงปังเหมือนเมื่อก่อนแล้วน่ะซิ”

“เอ๊ะ ลุงหาเมียใหม่ได้แล้วเหรอ?” เหลินเสี่ยวซูหัวเราะคิกคัก

“ไม่ใช่โว้ย” ตาแก่หวางพูด “แต่ฉันมาลองคิดๆดูแล้ว ไม่มีสาวคนไหนอยากจะมาแต่งงานกับชายที่นกเขาไม่ขันหรอก จริงไหมละ? นั้นล่ะคือสาเหตุที่ฉันมาเอายากับนายนี่ไง”

เหลินเสี่ยวซู “5555 ลุงนี่ก็ตลกดีเหมือนกันนะ ตาแก่หวาง แก่แต่ใจยังหนุ่มแน่น ว่าแต่ลุงอยากได้เมียแบบไหนกันล่ะ?”

หวางฟู่กุยพูดอย่างถ่อมตัว “ขอแค่นางชอบฉันก็พอแล้วล่ะ”

เหลินเสี่ยวซูแซะ “เงื่อนไขไม่ใช่ง่ายๆเลยนะเนี่ย”

หวางฟู่กุยเริ่มรำคาญ “นี่เราสนิทกันขนาดนั้นแล้วเหรอ หื้ม?” หวางฟู่กุยหน้าตึงแล้วพูด “ฉันเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในเมืองนะ ทำไมผู้หญิงจะไม่ชอบฉันกันเล่า?”

เหลินเสี่ยวซูถอนหายใจและแอบเศร้านิดหน่อย “เห้อ 1 ในคนที่รวยที่สุดในเมือง ดันเป็นเจ้าของร้านขายของชำเนี่ย มันก็แอบเศร้าอยู่เหมือนกันนะ…”

“ช่วยหยุดวิจารย์แล้วเข้าเรื่องทีเถอะ สรุปจะขายหรือไม่ขาย?!”

“ขายซิ!” เหลินเสี่ยวซูคิดอยู่ซักพักแล้วพูด “ฉันให้ราคาพิเศษในฐานะ ‘คนรู้จักกัน’ ขวดละ 600 หยวนเลย!”

“ปล้นกันชัดๆ!” หวางฟู่กุยพูดด้วยความโกรธ

ตอนนี้จำนวนของยาดำที่เหลินเสี่ยวซูมีเหลืออยู่นั้น เพียงพอสำหรับใช้รักษาบาดแผลได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเอาตามที่ตาแก่หวางพูด ฤทธิ์ของยานี่มันแรงมากขนาดแค่เลียแผลบเดียวยังเอาได้ทั้งคืน เพราะงั้นยาที่เหลืออยู่ก็น่าจะเพียงพอให้เลียได้อีกหลายครั้งเลย

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ผลข้างเคียงของยาเวลาที่กินเข้าไป มันไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์จริงๆของมัน เพราะงั้นเขาเลยขายแพงมากไม่ได้

“สรุปจะซื้อหรือไม่ซื้อล่ะ” เหลินเสี่ยวซูตอกกลับหวางฟู่กุย

“เออ ซื้อก็ซื้อวะ! หวางฟู่กุยนับเงิน 600 หยวนแล้วยื่นจ่ายให้เหลินเสี่ยวซู เขาไม่คิดจะต่อรองราคาลงเลยแม้แต่น้อย

เหลินเสี่ยวซูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตลาดการค้ายาดำของเขาจะเปิดตัวแบบนี้ซะได้

แผนตอนแรกของเขาคือตั้งใจที่จะสวมรอยเป็นหมอ เพื่อที่เขาจะได้“รักษาช่วยเหลือผู้คน” แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมากลายเป็นพ่อค้าขายยาปลุกเซ็กส์แทนแบบนี้

หวางฟู่กุยรับของแล้วหันหลังกลับก่อนจะพูดกับเหลินเสี่ยวซู “ขอบใจมากนะ!”

“ได้รับคำขอบคุณจาก หวางฟู่กุย +1!”

เหลินเสี่ยวซูพูดไม่ออก

เขาได้เหรียญขอบคุณเหรียญที่ 4 มาแบบงงๆ แถมการได้มาในครั้งนี้ยังมาในรูปแบบที่เหลินเสี่ยวซูไม่ได้คาดคิดอีกด้วย

 

ในค่ำคืนที่เงียบสงัดนั้น เหลินเสี่ยวซูไล่ดูสิ่งที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้ ตลอด 2 วันที่ผ่านมา มี เสี่ยวหยู หยานหลิวหยวน และนักเรียนอีก 2 คน ที่ขอบคุณเขาจนได้เหรียญคำขอบคุณมา นั้นทำให้ตอนนี้เขาได้รับเหรียญขอบคุณมาทั้งหมด 4 เหรียญแล้ว

ถึงอย่างนั้น เขาก็ใช้เหรียญไปแล้ว 1 เหรียญ ทำให้ตอนนี้เขาเหลือเหรียญอีกแค่ 3 เหรียญ และขวดน้ำยารักษาแผลที่ยังใช้ได้อีกประมาณ 2 ครั้ง เหลินเสี่ยวซูตัดสินใจตั้งชื่อยานี้ว่าเป็น “ยาดำ” จากสีของตัวยาและตัวขวดเพื่อให้ง่ายต่อการเรียกและการจำ

ในความคิดของเหลินเสี่ยวซู เขาสามารถใช้เหรียญคำขอบคุณ 1 เหรียญแลกยาดำมาได้ 1 ขวด แต่ละขวดสามารถใช้รักษาคนได้ 3 คน เพราะงั้นถ้าคิดในแบบการค้า ขวดนึงก็จะได้เหรียญขอบคุณกลับมา 3 เหรียญ ซึ่งก็ถือว่าเป็นกำไรเห็นๆ

ถึงแม้ว่าการแลกเหรียญคำขอบคุณมาเป็นยาดำนั้นจะดูเหมือนเป็นการทำให้ความเร็วในการได้อาวุธใหม่ของเขาช้าลง แต่ถ้าเกิดเขายิ่งขายยาดำได้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งได้เหรียญคำขอบคุณกลับมามากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้นแล้วมันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่ามาก เรียกว่าเป็นการลงทุนเพื่อให้ได้อาวุธเร็วขึ้นก็ยังได้เลย!

ยิ่งกว่านั้น เขาเองก็ยังสามารถใช้มีดกระดูกของหยานหลิวหยวนได้ด้วย ในช่วงเวลานี้เขาไม่จำเป็นต้องออกไปล่าอะไรด้วย ถึงแม้ว่างานหลักของเขาจะเป็นการหาอาหารเข้าบ้านก็จริง แต่ตอนนี้ เขาต้องหาเงินเข้ามาให้ได้ก่อน

ในคืนนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูฝันขึ้นมา เขาฝันว่าตัวเองยืนอยู่กลางป่าพร้อมด้วยมีดหรือดาบสีดำทมิฬในมือ มีดนั้นดูอันตรายและเต็มไปด้วยปริศนาดำมืดในยามราตรี

เช้าวันต่อมา เหลินเสี่ยวซูออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้ามืด วันนี้เขาไม่ได้เอากะละมังโลหะออกไปด้วย แต่เขาพกมีดกระดูกของหยานหลิวหยวนไปด้วยแทน

ตอนนี้พวกเขามีเสี่ยวหยูคอยเฝ้าอยู่บ้านแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ก็ตัดปัญหาเรื่องการโดนโจรบุกเข้ามาหัววันแสกๆไปได้เปราะนึง อีกอย่าง คนในเมืองถึงแม้ว่าจะมีความคิดเลวทรามชั่วร้ายยังไง พวกเขาก็กล้าลงมือกับคนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น ทำไมพวกเขาต้องไปเสี่ยงหาเรื่องเหลินเสี่ยวซูที่สามารถฆ่าคนตายได้โดยไร้ความปราณีกันล่ะ?

การที่ไม่ต้องแบกกะละมังเหล็กหนักๆไปมามันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก

ด้วยความที่เขายังหนุ่มยังแน่น เหลินเสี่ยวซูเองก็คงจะดูไม่ดีเท่าไรที่ต้องแบกกะละมังใบใหญ่เดินไปไหนมาไหนทุกวัน

วันนี้เขาเข้าไปป่าไปไม่ใช่เพราะเขามาล่าสัตว์ แต่เขาตั้งใจจะเข้าป่าทำเป็นเดินเก็บสมุนไพรตั่งหาก

เหลินเสี่ยวซูนั้นเป็นคนขี้ระแวงและระวังตัวมาก ในเมื่อเขาบอกว่าตัวเองมีสูตรยาสมุนไพรลับ เขาเองก็ต้องแกล้งทำเป็นเดินตามเก็บสมุนไพรด้วย เพื่อไม่ให้มีใครสงสัยเขาได้ในอนาคต

ถึงแม้ว่าเหลินเสี่ยวซูจะยังไม่เคยได้ยินเรื่อง”การล่าแม่มด” หรือการต่อต้านคนที่มีพลังพิเศษในเมือง แต่เหลินเสี่ยวซูก็เข้าใจหลักการข้อนึงดี นั่นก็คือ ถ้าหากอยากจะรอดในเมืองคนตาหลิ่ว สิ่งที่ควรจะทำก็คือต้องหลิ่วตาตาม กลมกลืนไปกับคนหมู่มากให้ได้มากที่สุด

ดอกฝิ่นสูงถูกตัดก่อน, ต้นไม้สูงถูกโค่นลงก่อน, อย่าทำตัวอวดรวย คำโบราณพวกนี้มีความหมายเพื่อเตือนไม่ให้คนเราระวังตัวอย่าให้ทำตัวเด่นมากเกินไป

ตอนที่เขากลับเข้าเมืองนั้นเอง มันยังเป็นช่วงกลางวัน เหลินเสี่ยวซูเดินกลับเข้าเมืองมาพร้อมกับสมุนไพรนานาชนิด จนมีใครคนนึงที่เขารู้จักถามขึ้นมา “เหลินเสี่ยวซู ทำไมนายต้องเดินแบกหญ้าพวกนั้นไปไหนมาไหนด้วยล่ะ?”

“หญ้าเหรอ?”เหลินเสี่ยวซูมองหน้าเขาแล้วพูด “พวกนี้คือสมุนไพรตั่งหากล่ะ!”

สมุนไพรงั้นเหรอ? คนๆนั้นถามขึ้นมาด้วยความงงงวย ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะเกิดและโตในเมืองนี้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าต้นไม้ที่ขึ้นในป่านั้นเป็นต้นอะไรบ้าง ไม่เคยมีใครคิดมมาก่อนว่าพวกมันจะเป็นพืชสมุนไพรที่เป็นตัวยาได้

เหลินเสี่ยวซูพูดแบบแอบมีเล่ห์นัย “ถ้าใช้ส่วนผสมสมุนไพรพวกนี้ในสัดส่วนที่ถูกต้องล่ะก็ เราก็จะสามารถปรุงยาที่ใช้รักษาบาดแผลได้ คิดว่าก่อนหน้านี้ฉันรอดมาจากบาดแผลมากมายพวกนั้นมาได้ยังไงกันล่ะ?”

ชายคนนั้นคิดอยู่พักใหญ่ “ไม่ใช่ว่านายรอดมาด้วยพลังใจที่เต็มเปี่ยมหรอกเหรอ?”

“ไม่ใช่โว้ย” เหลินเสี่ยวซูตอบไปดินต่อไป เขารีบมุ่งหน้าตรงกลับไปยังกระท่อมของเขา

เสี่ยวหยูที่ตอนนี้กำลังเย็บเสื้อผ้าของเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนอยู่ พอเธอเห็นว่าเหลินเสี่ยวซูเดินกลับมาพร้อมด้วยสมุนไพรจำนวนมาก เธอจึงรีบวางผ้าที่อยู่ในมือลงแล้วถาม “นี่มันอะไรกันเนี่ย”

“พวกนี้คือสมุนไพรที่เอาไว้ใช้ปรุงยาสูตรลับขอองฉันยังไงล่ะ” เหลินเสี่ยวซูอธิบาย

เหลินเสี่ยวซูตั้งหม้อแล้วจุดไฟ เขาเติมน้ำลงไปแล้วทำเป็นเริ่มกวนยาใส่สมุนไพรนู้นนิดนี่หน่อย ซึ่งในการปรุงยาครั้งนี้ สิ่งที่มีราคาแพงที่สุดดันกลายเป็นน้ำสะอาด เพราะน้ำในยุคสมัยนี้มีค่ามากกว่าทรัพยากรทุกอย่างที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นฟืนหรือต้นหญ้าที่ใส่ลงไป

แถมเขายังตั้งใจเปิดประตูกระท่อมทิ้งเอาไว้เพื่อให้คนภายนอกเห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

หลายๆคนที่เดินผ่านไปมาเห็นว่าเหลินเสี่ยวซูเหมือนกับกำลังปรุงยาสมุนไพรอยู่แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปถามหาว่ามันคืออะไรกันแน่

ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เหลินเสี่ยวซูคิดเท่าไร เหตุผลที่เขาตั้งใจเปิดประตูทิ้งไว้นั้นก็เพื่อให้คนเข้ามาถามเขาว่าเขาทำอะไรอยู่เนี่ยแหล่ะ เพราะถ้าเป็นอย่างงั้นเขาจะได้หาเรื่องโปรโมทตัวยาสูตรของเขาได้

หลังจากที่เฝ้ารอมานานพอควรแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครเข้ามาถามเขาซักที เหลินเสี่ยวซูก็หมดความอดทนแล้วดึงหน้าตึงหันไปมองชายรูปร่างผอมแห้งที่ทำตัวด่อมๆมองๆอยู่บริเวณทางเข้ากระท่อม “นายน่ะ!”

ชายผอมชี้ไปที่ตัวเอง “ฉันเหรอ?”

“ใช่ มานี่หน่อย” เหลินเสี่ยวซูรอให้ชายผอมคนนั้นค่อยๆเดินเข้ามาใกล้อย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะพูด “ถามฉันซิว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่!”

ชายผอมอึ้งจนพูดไม่ออก

เสี่ยวหยูที่เห็นเหตุการณ์เองก็เช่นกัน

“เอ้า ถามซิ!” เหลินเสี่ยวซูเร่ง

“น..นายทำอะไรอยู่เหรอ?” ชายผอมแห้งถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ

พอได้ตามที่ต้องการเหลินเสี่ยวซูก็ยิ้มออกมา เขาพูดด้วยท่าทางดีใจ “ฉันกำลังทำยาสมุนไพรอยู่ยังไงล่ะ ปรกติแล้วฉันจะต้มยาทำใช้เองเวลาบาดเจ็บ มันไม่เพียงแต่จะใช้แก้ปวดแก้ออักเสบได้แล้ว มันยังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นด้วย! ก่อนหน้านี้ ฉันใช้ยานี้อย่างลับๆ แต่ตอนนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะทำยาเพื่อให้ทุกคน นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะเปิดกิจการคลินิกรักษาบาดแผลโดยเฉพาะ มีใครบาดเจ็บแล้วอยากหายไวๆบ้างไหม?”

คนที่ยืนอยู่ข้างนอกพอได้ยินแบบนั้นก็ตกใจที่เหลินเสี่ยวซูคนนั้นเป็นคนพูดออกมาเอง แต่หลังจากนั้น ทุกคนก็มองหน้ากันไปมาจากนั้นก็แยกย้ายกันออกไป ไม่มีใครเชื่อคำของเหมิงเหล่ยเลย

ล้อกันเล่นรึเปล่า เหลินเสี่ยวซู นายอาจจะเก่งนะ แต่จู่ๆจะมาบอกว่าตัวเองมีสูตรยาวิเศษที่รักษาบาดแผลคนได้จริงเนี่ยมันขี้โม้เกินไปหน่อยแล้ว ทุกคนที่อยู่แถวนี้เขารู้กันทั้งนั้นแหล่ะว่านายอดทนรับความเจ็บปวดเองไม่มียาอะไรช่วยทั้งนั้น

คิดว่าจะหลอกพวกเราได้เหรอ เหอะ!

เหลินเสี่ยวซูพอเห้นแบบนั้นก็หงุดหงิด เขาต้องทำให้ทุกคนรู้ว่ายาของเขานั้นเป็นของดีจริงๆ ซึ่งก็ง่ายมากเพราะเขาเองก็เคยลองมาก่อนหน้านี้แล้ว ในตอนที่เขาทายาลงไปที่แผล ความเจ็บปวดและแสบร้อนค่อยๆหายไปแบบสังเกตุได้ จากนั้นวันต่อมาแผลก็จะเริ่มตกสะเก็ด

ถ้าเกิดเขาสามารถทำให้ทุกคนรู้ถึงสรรพคุณของยาเขาได้ละก็ ธุรกิจของเขาก็จะดังขึ้นมา!

เหลินเสี่ยวซูหยิบขวดยาก่อนจะออกจากกระท่อม เดินไปรอบเมืองเพื่อตามหาคนเจ็บ เขาไปยังสถานที่ ที่คนบาดเจ็บทุกคนมักจะไปกัน นั่นคือที่คลินิกนั้นเอง!

แต่พอเขาไปถึงที่คลินิก เขาก็พบว่าวันนี้ไม่มีคนเจ็บอยู่เลย เพราะค่ารักษาพยาบาลของหมอเก๊มันแพงมากเกินไปซะจนไม่มีใครมีปัญญาจ่าย

เหลินเสี่ยวซูจ้องเขม็งไปที่หมอเก๊ก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วจากไป หมอที่นั่งจิบชาอยู่หน้าคลินิกรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตบางอย่างจนขนลุกหนาวสั่นขึ้นมา

เหลินเสี่ยวซูไม่มีทางเลือกอื่น เขาเลยต้องออกเดินทางตามหาโอกาสอื่นในเมืองด้วยตัวเอง เขาเดินหาไปทั่ว ไปทุกโรงงานที่ไปได้ จนกระทั้งโรงงานพักเบรกช่วงเที่ยง ตอนนั้นเองที่เหลินเสี่ยวซูสังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่มีบาดแผลมีดบาดที่มือ

เหลินเสี่ยวซูปรี่เข้าไปหาด้วยความดีใจ “นี่พี่ชาย ที่มือนั้นบาดเจ็บมาระหว่างงานเหรอ? ฉันมียาวิเศษติดมาด้วยนะ อยากจะลองทาดูไหม?”

ชายผอมคนนั้นมองหน้าเหลินเสี่ยวซู เขาระแวงในน้ำเสียงท่าทางของเหลินเสี่ยวซูอย่างมาก ไม่ไว้วางใจสุดๆ “ไม่จำเป็นหรอก”

“เอาหน่า มาลองเถอะ” เหลินเสี่ยวซูรุกหน้าเข้าไปหาชายผอมคนนั้น เขาอยากที่จะโปรโมทยาดำของเขามากๆซะจนเขาต้องยอมหักหลักการดั้งเดิมที่จะหาเงินของเขา “ฉันจะลดราคาให้พิเศษเลยนะ!”

แต่ชายคนนั้นก็ยังขัดขืนไม่ยอม เพราะดูยังไง ของเหลวสีดำในขวดนั้นก็ดูไม่ใช่ยาชัดๆ

เหลินเสี่ยวซูกัดฟันแน่นแล้วพูด “ถือซะว่าเอาบุญ เดี๋ยวฉันจะรักษาแผลนั้นให้ฟรีๆเลยก็ได้!”

“ก็ได้ ก็ได้ ใจเย็นๆแล้ววางมีดลงก่อน”

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูกำลังพยายามขอร้องแกมบังคับคนเจ็บให้มารักษากับเขานั่นเอง เขาก็ถือมีดเพื่อเป็น “อุปกรณ์โน้มนาวใจ”ด้วย

ตอนที่ 15 โปรโมทกิจการตัวเอง

เหลินเสี่ยวซูหน้าบึ้งตึงเดินจากไป ตอนแรกเขาอยากจะซัดหน้าหมอซักทีนึง แต่พอลองคิดไปคิดมา เขาก็ไม่ได้มีเหตุผลมากพอขนาดนั้น เพราะยังไงเขาก็มาที่นี่เพื่อตั้งใจแย่งอาชีพหมออยู่แล้ว

เขาต้องไปเป็นหมอให้ได้ เหลินเสี่ยวซูเห็นด้วยกับมุมมองของหยานหลิวหยวนสุดใจมากในครั้งนี้ เพราะอาชีพหมอนั้นเป็นอาชีพที่ได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจได้ง่ายที่สุด

แต่เขาจะไปเป็นหมอได้ยังไง ในเมื่อเขาไม่มีทักษะทางการแพทย์ด้วยซ้ำ?

หลังจากที่เขาถึงโรงเรียน เขาก็เริ่มใช้สมองอย่างหนัก นึกถึงเรื่องราวเหตุการณ์ตอนที่เขาเดินออกมาจากโรงรับจำนำเมื่อคืนก่อน

ผู้หญิงที่ร้องไห้หนักมากคร่ำครวญอยู่หน้าคลินิก กับชายผู้ได้รับบาดเจ็บเลือดไหลไม่หยุด และสุดท้าย หัวใจของเขาก็หยุดเต้นลง

เหลินเสี่ยวซู หันลองไปมองที่มือตัวเอง ตรงผิวหนังบริเวณระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ หื้ม แผลติดเชื้อตอนนี้มันตกสะเก็ดแล้วงั้นเหรอ?

ดูเหมือนว่าตัวยาสีดำที่เขาใช้ ไม่เพียงแต่จะช่วยฆ่าเชื้อแก้อักเสบแล้ว ยังช่วยรักษาบาดแผลให้หายไวขึ้นด้วยงั้นเหรอ?

เหลินเสี่ยวซู เคยได้รับบาดแผลฉกรรจ์มาก่อน เพราะงั้น เขารู้ดีว่าร่างกายมนุษย์นั้นมีกระบวนการรักษาบาดแผลยังไง ยกตัวอย่างเช่น ปรกติแล้ว แผลที่โดนนกกระจอกจิกนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 วันกว่าจะเริ่มตกสะเก็ด

…. เดี๋ยวก่อนนะ! จู่ๆเหลินเสี่ยวซูก็คิดวิธีการที่ตัวเขาจะกลายเป็นหมอขึ้นมาได้ ถ้าเกิดไอ้หมอเก๊ที่อยู่ในคลินิกนั้นสามารถอุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็นหมอได้ด้วยการโม้โอ้อวดสรรพคุณ กับ ทักษะการหลอกลวง แล้วทำไมเขาจะกลายเป็นหมอด้วยไม่ได้ล่ะ ในเมื่อมียาวิเศษที่ใช้ได้จริงอยู่กับเขาแล้วตอนนี้

เอาจริงๆ ถ้าเขาจะเปิดคลินิกที่รับรักษาบาดแผลมีดแทงโดยเฉพาะก็ยังได้เลยมั้งเนี่ย? ที่เขาต้องทำก็แค่เย็บแผลให้จากนั้นทายาวิเศษให้นิดหน่อย แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว!

เมื่อก่อนตอนที่คุณหมอคนเก่ายังอยู่ เขาเคยพูดถึงว่า เขาไม่สามารถทำการเย็บแผลได้เพราะว่าเขาไม่มีอุปกรณ์ฆ่าเชื้อที่ดีพอ ถ้าเกิดแบคทีเรียที่อยู่ข้างนอกเข้าไปติดอยู่ร่างกายละก็ คนไข้อาจจะถึงตายได้เลยถึงแม้ว่าจะเย็บแผลอย่างถูกต้องแล้วก็ตาม

หมอคนเก่าเข้าใจเรื่องนี้ดี

แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับเหลินเสี่ยวซูมันต่างกันออกไปเขาไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องติดเชื้อเลยแม้แต่นิดเดียว

พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เหลินเสี่ยวซูก็เกิดปิ้งไอเดียขึ้นมา แล้วเขาก็คิดหาทางจัดแจงการงานให้กับเสี่ยวหยูทำในอนาคตแล้วด้วย

เสี่ยวหยูวางแผนไว้ว่าในอนาคตนางอยากที่จะรับจ้างเย็บปักเสื้อผ้าเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ แต่เหลินเสี่ยวซูรู้สึกว่างานเย็บปักเสื้อผ้านั้นมันออกจะหาเงินยากไปหน่อย ถ้าเกิดนางไปรับจ้างเย็บปักเสื้อผ้าในป้อมปราการ มันก็อาจจะมีลูกค้าเร่เข้ามาหาแล้วได้เงินดีก็จริง

แต่ทุกคนในเมืองตอนนี้ยากจนหมด แต่ละครัวเรือนก็เย็บปักซ่อมแซมเสื้อผ้ากันเองในบ้าน ไม่มีใครอยากจะเอาตังมาเสียให้กับเรื่องแค่นี้หรอก

เพราะงั้น เหลินเสี่ยวซูเลยคิดว่า ในเมื่อนางเย็บปักผ้าไม่ได้ ก็ให้นางเย็บแผลแทนซะเลย แต่เขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสี่ยวหยูกลัวเลือดหรือเปล่า

เหลินเสี่ยวซูจึงตั้งใจไปปรึกษาเรื่องนี้กับอาจารย์ ฉางจิงหลิน เพราะยังไง ด้วยความเป็นอาจารย์ เขามีความรู้มากกว่าคนปรกติอยู่แล้ว

อาจารย์ฉางพอได้ยินที่เหลินเสี่ยวซูอธิบายก็ตกใจมาก “เธออยากจะเปิดคลินิกที่เฉพาะทางด้านการรักษาบาดแผลมีดแทงเนี่ยนะ? แล้วเธอมีด้ายเย็บแผลเหรอ?”

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพักก่อนจะถาม “อะไรคือด้ายเย็บแผลอะครับ?”

อาจารย์ฉางถามต่อด้วยความสับสน “แล้วยาชาล่ะมีไหม?”

“ยาชาต้องมีด้วยเหรอครับ”

อาจารย์ฉางหมดคำจะพูด

ในตอนนั้นเอง ที่ฉางจิงหลินรู้ตัว ว่าเหลินเสี่ยวซูไม่ได้เตรียมการอะไรมาทั้งนั้น

อาจารย์ฉางอธิบายอย่างใจเย็น “รู้รึเปล่าว่าทำไมคลินิกทั้งหลายถึงไม่เคยคิดว่าจะทำเรื่องเย็บแผลเลยซักครั้ง ทั้งๆที่มีคนเจ็บจากการโดนมีดแทงมีอยู่มากมายเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องการติดเชื้อแบคทีเรียที่บาดแผลอย่างเดียวแต่มันรวมไปถึงการขาดแคลนด้ายเย็บแผลกับยาชาด้วย ฉันได้ยินมาว่าของพวกนี้แม้แต่ภายในป้อมปราการก็ยังขาดแคลนเลยนะ”

อาจารย์ฉางพูดต่อ “มันยังมีเรื่องของความอ่อนไหวในการใช้ยาชาอีก ใช้ยาชาน้อยไปคนไข้ก็จะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนเอาเข็มทิ้มลงไปตรงๆ แต่ถ้าใช้ยาชาเยอะไปก็อาจจะทำให้ร่างกายของคนเจ็บอ่อนแอต่อภาวะแทรกซ้อนอีก แล้วยังจะเรื่องการเย็บแผลอีก นี่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลย นอกจากที่นายจะต้องคิดเรื่องของแรงที่ใช้ในการลงเข็มแล้ว นายยังจะต้องคำนึงถึงเรื่องแรงต้านทานของผิวหนังมนุษย์เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเยื้อฉีกขาดอีก”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”เหลินเสี่ยวซูพูดขึ้นมา “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ คนโดนแทงใกล้ตายไม่มีใครมาสนใจเรื่องความเจ็บปวดหรอกครับ ส่วนเรื่องด้ายเย็บแผลเราก็แค่ใช้ด้ายเย็บผ้ามาใช้แทนแค่นั้นเอง”

“แล้วเรื่องการฆ่าเชื้อล่ะ?” อาจารย์ฉางถามกลับ

“ผมมีสูตรลับอยู่ครับ!”เหลินเสี่ยวซูพูด

ซึ่งก็เป็นไปตามที่เหลินเสี่ยวซูคาดการณ์ไว้ อาจารย์ฉางจิงหลินนั้นไม่ได้รอบรู้ไปทุกเรื่อง เขาเชี่ยวชาญในวิชาเฉพาะทางแค่บางอย่าง แต่ความรู้ที่เหลือนั้นอยู่ในระดับที่รู้ผิวเผินเท่านั้น

ตอนนั้นเองที่อาจารย์ฉางเริ่มไม่รู้ว่าจะหาทางปฏิเสธเหลินเสี่ยวซูยังไงดี จนกระทั้งเขาต้องจัดจบบทสนทนาด้วยการพูดพร้อมโบกมือ “เอา ไปเตรียมตัวสอนได้แล้ว คาบต่อไปจะเป็นวิชาการเอาชีวิตรอดแล้วนะ”

และเพราะว่าเหลินเสี่ยวซูเคยได้ประสบการณ์อันหอมหวานตอนที่สอนครั้งแรกไปแล้ว ทำให้เขาตัดสินใจที่จะสอนเกินเวลาอีกครั้งในวันนี้ ลากยาวไปจนกระทั้งมืดค่ำ ก่อนที่จะเลิกเรียน

นักเรียนบางคนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังจะได้เผชิญกับความซวยอะไรในชีวิตบ้าง หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูเข้ามาสอน

หลังจากเลิกเรียน นักเรียนทุกคนก็ลุกแล้วแยกย้ายออกจากห้องกันทันที ในขณะที่เหลินเสี่ยวซูพบว่าวันนี้ไม่มีใครขอบคุณเขาเลยซักคน เขาเลยถามเหมือนจะทวงขึ้นมา “พวกนายไม่คิดจะขอบคุณอาจารย์บ้างเลยเหรอ?”

นักเรียนสั่นกลัวก่อนจะค่อยๆหันกลับไปแล้วขอบคุณอาจารย์แบบกึ่งโดนบังคับ

แต่แล้วเหลินเสี่ยวซูก็ต้องผิดหวัง เพราะในวังจิตใจของเขาไม่มีแจ้งเตือนขึ้นว่าได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว

อาจารย์ฉางเองก็เข้ามาบอกเขาว่าเป็นเรื่องปรกติที่นักเรียนมักจะไม่เข้าใจมุมมองของอาจารย์ ทำให้เหลินเสี่ยวซูรู้สึกว่าเขายังคงห่างไกลจากความเคารพยำเกรงมากนัก

ระหว่างทางกลับบ้านคืนนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูกลับมาแล้วเห็นแสงไฟในกระท่อมของเขาส่องสว่างขึ้นมา พอเห็นแบบนั้นเขาก็รีบตรงไปที่กระท่อมของเขาแล้วเปิดประตูออก ตอนที่เขาเข้ามาในกระท่อมนั้นเอง เขาก็ตกใจที่เห็นเสี่ยวหยูนั่งลงบนเก้าอี้ผุๆ กำลังเย็บปักซ่อมแซมเสื้อผ้าของพวกเขา บนกองไฟมีหม้อที่อุ่นข้าวต้มข้าวโพดกับผักป่าย่างอยู่ข้างกาย ซึ่งเธอเป็นคนทำเตรียมไว้ให้พวกเขาเอง

โดยปรกติพวกเขามักจะทิ้งเสื้อผ้าไว้ในกระท่อม เพราะยังไงก็คงไม่มีใครขโมยมันไปอยู่แล้ว

เพราะถึงจะมีคนขโมยไป โจรที่ขโมยก็ต้องใส่เสื้อผ้าของพวกเขาเข้าซักวัน แล้วพอวันนั้นมาถึง พวกเขาก็จะจำได้ทันที ถึงตอนนั้นโจรคนนั้นคงจะโดนเหลินเสี่ยวซูกระทืบเละเป็นโจ๊กอย่างแน่นอน

ตอนที่เห็นเสี่ยวหยูเห็นพวกเขากลับมา เธอก็ยิ้มแล้วพูด “โทษทีนะที่ฉันเข้ามาโดยไม่ได้บอกก่อนน่ะ ฉันเห็นว่าเสื้อของนายมันขาดอยู่ ฉันก็เลยตัดสินใจช่วยเย็บมันให้ อะ มาเร็ว มากินข้าวเย็นซิ”

 

หยานหลิวหยวนพอได้ยินแบบนั้นก็ยื่นมือออกไปเตรียมจะตักข้าวต้มมาใส่ชาม อาหารมื้อแบบนี้ถือว่าเป็นมื้อหรูสำหรับเมืองโทรมๆแห่งนี้ ปรกติแล้วพวกเขาจะมีกินแค่ขนมปังดำกระจอกๆ กับ มันฝรั่งเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูก็ตีมือของหยานหลิวหยวน แล้วพูด “ได้ขอบคุณพี่เสี่ยวหยูเขารึยัง?”

หยานหลิวหยวนยังคงทำตัวเป็นเด็กดีต่อหน้า เหลินเสี่ยวซู “ขอบคุณครับพี่เสี่ยวหยู”

เสี่ยวหยูรีบพูดขึ้นมา “อย่าตีหลิวหยวนเขาซิ”

“ตามใจเขาตอนนี้มันได้ แต่ไม่มีใครมาตามเอาใจเขาตอนที่เขาต้องใช้ชีวิตข้างนอกนั้นหรอก”เหลินเสี่ยวซูอธิบาย จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ขอบคุณครับ พี่เสี่ยวหยู”

“ไม่เป็นไรจ้ะ” เสี่ยวหยูยิ้มแล้วตอบ “ปรกติพวกนาย2คนกินอะไรมื้อเย็นล่ะ?”

หยานหลิวหยวนพูด “ปรกติเราไม่กินข้าวเย็นกัน”

“ทำไมเป็นงั้นล่ะ พวกนายยังต้องโตกันอีกนะ” เสี่ยวหยูพูด

ด้วยเหตุผลบางอย่างเหลินเสี่ยวซูรู้สึกขึ้นมาว่าเสี่ยวหยูน่าจะมาเป็นพี่สาวของพวกเขาตั้งนานแล้ว ไม่เคยมีใครพูดกับพวกเขาแบบนี้มาก่อนเลย

“พี่เสี่ยวหยู”เหลินเสี่ยวซูถามขึ้นมา “พี่เย็บปักถักร้อยเก่งใช้ได้เลยนะ ทำไมพี่ไม่มาช่วยพวกเราต้อนที่เปิดคลินิกรักษาบาดแผลมีดแทงล่ะ?”

“คลินิกรักษาบาดแผลมีดแทงเหรอ?” เสี่ยวหยูอึ้ง “ทำไมจู่ๆนายถึงอยากเปิดคลินิกรักษาบาดแผลมีดแทงโดยเฉพาะล่ะ?”

“เพราะว่าฉันมีสูตรตัวยาสมุนไพรพิเศษที่ไว้สำหรับรักษาบาดแผลโดยเฉพาะ มันช่วยฆ่าเชื้อลดอาการอักเสบแถมยังช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้นด้วย” หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูพูดจบ เขาก็ยกนำบาดแผลที่มือของเขามาให้เธอดู เสี่ยวหยูพอมองเห็นแล้วก็พบว่าบาดแผลที่มือของเหลินเสี่ยวซูนั้น ตอนนี้ขึ้นเป็นสะเก็ดแล้ว

เสี่ยวหยูคิดอยู่ซักพักก่อนจะพูด “แต่ว่าช่วงนี้มีคนก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันน้อยลงมากแล้วนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ละวันจะมีคนบาดเจ็บมากกว่า 10 คนก็จริง แต่สมัยนี้นาน ๆ ทีจะมีคนเจ็บซักคนนะ”

ซึ่งนี่เป็นเรื่องจริง ยกเว้นคนที่โดนเหลินเสี่ยวซูฆ่า กับคนที่ตายตรงหน้าคลินิกเมื่อวาน ช่วงนี้ก็แทบจะไม่มีเหตุทะเลาะวิวาทให้มีคนเจ็บเลย

ส่วนเหตุการณ์บุกปล้นยามค่ำคืนนั้นไม่นับ เพราะส่วนมากจะมีคนตายเลยไม่มีคนเจ็บ

เหลินเสี่ยวซูคิดอยู่ซักพัก “แล้วถ้าฉันบุกไปแทงคนเองเลยล่ะ” เขาคิดมาได้แต่ก็ส่ายหัวกับไอเดียเฮงซวยของตัวเอง

ในตอนนั้นเองที่หยานหลิวหยวนตกใจขึ้นมา “พี่ จะมุทะลุเกินไปแล้วนะ? อะไรของพี่เนี่ย คิดจะโปรโมทกิจการคลินิกตัวเองด้วยการบุกไปแทงคนหาลูกค้าเข้าคลินิกเองเลยเหรอ?”

“ไม่ เปล่าซักหน่อย เราต้องไม่เอาความเป็นตัวเองมาทำให้เราไขว้เขวแบบนี้ซิ”

เมฆดำมืดปกคลุมทั่วท้องฟ้าในยามตะวันใกล้ตกดิน

“ฝนกรดกำลังจะมาแล้ว รีบกลับบ้านกันเถอะ” เหลินเสี่ยวซูพูดด้วยสีหน้าไม่เต็มใจเท่าไร ผู้หญิงคนนั้นยังคงร้องไห้และตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่มีใครสนใจเลย

ชายคนที่นอนอยู่ข้างกายเธอนั้นดูไม่เหมือนกับว่าประสบอุบัติเหตุมาเลยแม้แต่นิดเดียว เหลินเสี่ยวซูมั่นใจได้เลยว่ามันเป็นแผลจากการโดนมีดแทง ชายคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่โรงงาน แต่เขาโดนคนแทงตายตั่งหาก

ตอนที่พวกเขากลับมาถึงกระท่อมกันนั้นเอง สายฝนกรดก็สาดลงมาแทบจะทันที

หยานหลิวหยวนนั่งบนถุงนอนของตัวเองแล้วพูด “พี่ ถ้าพี่อยากจะได้คำขอบคุณจากคนอื่นอย่างจริงใจจริงๆละก็ การเป็นหมอก็ดูเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนะ ได้รับคำขอบคุณง่ายมากด้วย เมื่อก่อน ตอนที่หมอคนก่อนยังอยู่ ทุกคนต่างก็เคารพเชิดชูเขากันทั้งนั้น แต่ฉันก็ไม่แนะนำให้พี่ไปปเป็นหมอหรอก อย่างแรกเลย เพราะว่าหมอเป็นอาชีพต้องต่อสู้กับศีลธรรมหนักมาก อย่างที่ 2 คือพี่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์อะไรทั้งนั้นด้วย”

เหลินเสี่ยวซูหันหลังกลับแล้วมองหยานหลิวหยวนด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “แล้วนายจะพูดทำไมละวะ!”

เดี๋ยวก่อนนะ…!

เหลินเสี่ยวซูรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองพลาดอะไรไปซักอย่าง เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องทางการแพทย์อะไรเลย แต่เขาก็สามารถเรียนรู้มันได้เหมือนกัน!

ตำราลอกเลียนทักษะ 2 ม้วนที่เขาได้มาเป็นของรางวัลครั้งล่าสุดยังไม่ได้ใช้เลย ถ้าใช้ตำรานั้นแล้ว เขาก็น่าจะสามารถลอกเลียนทักษะทางการแพทย์ของคนอื่นได้ใช่ไหมนะ?

ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็จะสามารถตรวจดูรักษาคนไข้ได้ รักษาหยานหลิวหยวนหรือตัวเขาเองก็ได้ด้วยถ้าเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดป่วยขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณหมอคนเก่ายังอยู่ เขามักจะออกไปเก็บสมุนไพรในป่าอยู่เป็นประจำ ตอนนั้น คุณหมอเคยบอกผู้คนด้วยรอยยิ้มว่า ถึงแม้ว่าสัตว์ร้ายจะแกร่งขึ้นมากสมัยนี้ แต่ตัวยาสมุนไพรก็ได้ผลดีขึ้นด้วยเช่นกัน

เพราะงั้น คุณหมอคนเก่าจึงมีชื่อเสียงมากจากการรักษาผู้คนมากมายให้หายจากโรค ด้วยทักษะในการจำแนกชนิดของตัวยาสมุนไพรต่างๆและทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยิ่งกว่านั้น เขายังขายยาสมุนไพรที่เขาเก็บมาได้ในราคาที่โคตรถูกอีกด้วย

แต่แน่นอน เหลินเสี่ยวซูไม่ใช่คนใจดีออย่างหมอคนเก่า เขารู้สึกว่าถ้าเขาได้ทักษะทางการแพทย์มาแล้วละก็ เขาก็จะสามารถรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ในอนาคต รวมไปถึงอาจจะใช้หาเงินได้อีกด้วย

ปรกติแล้ว หยานหลิวหยวนนั้นจะมีอาการปวดหัว หนาวสั่นเป็นไข้จากการขอพรใช้ทักษะดวงมากเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากให้หยานหลิวหยวนต้องได้รับผลข้างเคียง แต่ถ้ามันเป็นสถานการณ์บังคับจริงๆล่ะ จะทำยังไง?

“ฉันจะไปเป็นหมอเอง!” เหลินเสี่ยวซูดวงตาลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่หวั่นไหว

“พี่ หัวกระแทกอะไรมาปะเนี่ย?” หยานหลิวหยวนงง “อย่างกับว่าพี่จะรู้เรื่องทางการแพทย์อะไรน่ะ ขอร้องเหอะ อย่าไปทำใครตายเลยนะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้วิธีการช่วยคน แต่อย่างน้อยๆก็อย่าไปซ้ำเติมให้คนพวกนั้นเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเลย”

เหลินเสี่ยวซูใช้มือยันหัวของหยานหลิวหยวนออก “พูดมากจังเลยเว้ย ฉันเคยตั้งใจไปทำร้ายใครก่อนซะที่ไหนล่ะ”

เหลินเสี่ยวซูลองคำนวณในใจแล้ว ถ้าเกิดเขาเป็นหมอ เขาจะต้องหาเงินได้อย่างมหาศาล แล้วก็จะกลายเป็นรายได้ที่มั่นคงให้กับเขา

เพราะคนในเมืองนี้มักจะป่วยหรือบาดเจ็บกันตลอด การไปหาหมอเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บนั้นยังไงก็จำเป็นมาก

เขาดำเนินการแผนของเขาทันที วันรุ่งขึ้น เหลินเสี่ยวซูตัดสินใจไม่ไปโรงเรียนตอนเช้า ก่อนจะเขมือบขนมปังไป 2 คำใหญ่ๆแล้วออกเดินทางไปเคาะประตูคลินิกตั้งแต่เช้าทันที

แต่คลินิกนั้นกลับเปิดช้า ทำให้เหลินเสี่ยวซูต้องยืนรอตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคลินิกก็ยังไม่เปิดอยู่ดี

จนกระทั้งนาฬิกาของป้อมปราการส่งสัญญาณเวลา บ่าย2โมง หมอหนุ่มก็เปิดประตูคลินิกออกมาจากด้านในก่อนจะบิดขี้เกียจตัวเองรับแสงแดดยามบ่าย จากนั้นเขาก็ต้องผงะกับเหลินเสี่ยวซู ที่มานั่งรออยู่หน้าประตูตั้งนานแล้ว

“มาหาหมอเหรอ เอาเงินมาด้วยรึเปล่า?” หมอถาม

หมอไม่คิดจะถามถึงอาการป่วยของเหลินเสี่ยวซูแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาเรียกร้องเป็นอย่างแรกคือเงิน

เหลินเสี่ยวซูยิ้มแล้วพูด “ผมไม่ได้มาหาหมอหรอก จะทำอะไรก็ไปทำต่อเถอะหมอ”

หมอพอได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับงงแล้วคิด “ก็ถ้าไม่ได้มาหาหมอ เอ็งจะมานั่งรออยู่ที่หน้าประตูทำบ้าอะไรวะ?”

เหลินเสี่ยวซูแอบใช้ตำราลอกเลียนทักษะอย่างลับๆภายในวังจิตใจ

จากนั้นเขาก็เห็นม้วนตำราลอกเลียนทักษะที่ทำมาจากระดาษหนังเริ่มลุกเป็นไฟแล้วสลายหายไป

“ทำการคัดลอกทักษะของเป้าหมายแบบสุ่ม”

“คัดลอกทักษะการขี้โม้ของเป้าหมาย ต้องการจะเรียนรู้หรือไม่?”

เหลินเสี่ยวซูหน้าเปลี่ยนสีคาที่ ทำไมฉันต้องไปเรียนรู้ทักษะการขี้โม้ด้วยวะ

เขาเกือบจะลืมไปเลยว่าตำราลอกเลียนทักษะนั้นจะคัดลอกทักษะของเป้าหมายแบบสุ่มล้วนๆ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจควบคุมได้

แต่ปัญหาก็คือ “ทำไมคนเราถึงต้องมีทักษะการขี้โม้ด้วยวะ? ของแบบนี้มันเรียกเป็นทักษะได้ด้วยเหรอ?! ไอ้สวะเฮงซวยไร้ประโยชน์เอ้ย!”

เหลินเสี่ยวซูด่าสบถอย่างหนักในใจ เขามองด้วยสายตาขยะแขยงราวกับมองมนุษย์สวะที่น่ารังเกียจ แต่ถึงอย่างนั้น ในเมื่อเขาตั้งใจจะมาที่นี่เพื่อแย่งงานหมอ เขาก็ต้องทำตัวใจเย็นยั้งมือยั้งเท้าไม่ให้ไปหวดหน้าหมอไว้ก่อน ขืนทำแบบนั้นไปหมอคงได้ปิดประตูเก็บตัวอยู่แต่ในคลินิกแหง

ตอนนั้นหมอเองก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารบางอย่างที่จ้องมาทางเขา ตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรซักอย่างออกมานั้นเอง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าชายที่มานั่งอยู่หน้าคลินิกของเขานั้นคือใคร

เหลินเสี่ยวซูไม่เคยมาหาหมอที่คลินิกของเขามาก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ต่างก็เคยได้ยินเกียรติศัพท์ทั้ง 2 ฝ่ายกันมานาน คนนึงเป็นหมอเพียงคนเดียวในเมือง ส่วนอีกคน เป็นที่รู้จักกันดีในแง่ของความโหดร้ายไร้ความปรานี เพราะงั้นถึงจะไม่เคยคุยไม่เคยเห็นหน้ากัน พวกเขาก็รู้จักกันอยู่ดี

เพราะงั้น หมอเลยเริ่มกลัวขึ้นมา

“นายต้องการอะไรน่ะ?”หมอถามขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ

“ปรกติตอนไม่มีอะไรทำ นายชอบขี้โม้ไปเรื่อยเหรอ?” เหลินเสี่ยวซูกลับตอบกลับด้วยคำถาม

หมอหนุ่มงงแตก “อะไรวะเนี่ย?”

เหลินเสี่ยวซูไม่เสียเวลามาเสวนากับหมออีก เขาตัดสินใจไม่เรียนรู้ทักษะการขี้โม้เพราะเขารู้ดีว่าถึงเรียนรู้ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะงั้นเขาเลยคิดไปซะว่า เป็นการใช้ตำราลอกเลียนทักษะไปฟรีๆ ยังจะดีกว่า

จากนั้นเขาก็ใช้ตำราลอกเลียนทักษะ ม้วนที่ 2

“ทำการคัดลอกทักษะของเป้าหมายแบบสุ่ม”

“คัดลอกทักษะการหลอกลวงของเป้าหมาย ต้องการจะเรียนรู้หรือไม่?”

เรียนรู้ บ้านเตี่ย เอ็งซิวะ!! นี่มันอะไรวะเนี่ย!

เหลินเสี่ยวซูจ้องหน้า หมอหนุ่มเขม็งก่อนจะพูด “แกนี่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ แต่ก็มีทักษะเฮงซวยเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”

ชายหนุ่มเริ่มวิตกจนพูดออกมา “นี่แกพูดถึงเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?”

“อย่าหาว่าฉันเสือกเลยนะ แต่แกเคยหลอกคนมามากน้อยแค่ไหนกันเนี่ย?” เหลินเสี่ยวซูถาม “ทำไมแกไม่ลองมองตาแล้วบอกฉันมาซะล่ะ ว่าแกเคยหลอกใครมาบ้างน่ะ?”

“นี่แกพูดเรื่องบ้าอะไรวะ ฉันเคยไปหลอกใครซะที่ไหนล่ะ?”

เหลินเสี่ยวซูเป็นคนที่มีเหตุผล หลังจากที่ขาดทุนย่อยยับไปแล้ว 2 รอบ เขาก็เริ่มประเมินวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้ใหม่อีกครั้ง เขาคิดไว้แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์มาให้ได้ เขามั่นใจว่ายังไงวังจิตใจของเขาก็ต้องให้ตำราลอกเลียนทักษะมาเพิ่มอีกในอนาคตแน่ๆ แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภารกิจต่อไปจะมาเมื่อไร

เพราะงั้น สิ่งที่เหลินเสี่ยวซูอยากรู้มากที่สุดก็คือ ทักษะทางการแพทย์ของเป้าหมายนั้นอยู่ในระดับไหนกัน และมันคุ้มค่าไหมกับการพยายามหาทางเรียนรู้ของเขา

เขาเลยถามในใจ “ทักษะทางการแพทย์ของหมอคนนี้อยู่ในระดับไหนกัน?”

“ข้อมูลจะถูกเปิดเผยต่อเมื่อคนนั้นเป็นเป้าหมายในการลอกเลียนทักษะ

“เป้าหมายไม่มีทักษะทางการแพทย์เลย”

หะ… เชี่ยไรวะเนี่ย

ไอ้แม่ย้อยเอ้ย!!

เหลินเสี่ยวซูแทบอยากจะเอากะละมังขนาดใหญ่ที่เขาแบกมาอยู่ข้างหลังเขาฟาดหนาไอ้หมอนี่จริงๆ

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแกถึงได้มีทักษะการหลอกลวงได้ ไอ้เวรเอ้ย กลายเป็นว่ามันดันเสือกเป็นหมอเก๊ที่ไม่มีแม้แต่ทักษะทางการแพทย์เลยซักนิด คอยหลอกหากินกับชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือไปเรื่อย งี้เหรอ?

ทำไมคุณหมอคนเก่าถึงได้มีลูกชายเฮงซวยแบบนี้วะเนี่ย!

ไอ้หมอนี่มันอาศัยบุญเก่าชื่อเสียงที่คุณหมอคนเก่าสร้างเอาไว้อย่างมากมายมาหากินทั้งๆที่มันเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย และด้วยความที่ในเมืองไม่มีหมอคนอื่นอีกทำให้ มันสามารถหลอกลวงคนไปทั่วได้อย่างง่ายดาย ถ้าคนไข้หายป่วยแล้วรอด ความดีความชอบก็เข้าหมอเก๊ แต่ถ้าคนไข้ไม่รอด ก็ถือว่าให้โทษธรรมชาติที่ลงโทษ เพราะการตายเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมยุคนี้อยู่แล้ว แม้แต่คุณหมอคนเก่าเองก็ยังเคยช่วยคนไข้บางคนไว้ไม่ได้เหมือนกัน

ยิ่งกว่านั้น ก่อนที่คุณหมอคนเก่าจะเสียไป เขาได้ทิ้งคลังยาสมุนไพรไว้ให้ลูกชายมหาศาล แล้วเขียนตำราเกี่ยวกับชนิดและโรคที่สมุนไพรแต่ละตัวสามารถรักษาได้ไว้ด้วย เพราะงั้น สิ่งที่ไอ้หมอเวรนี่ต้องทำก็แค่บอกชาวบ้านว่าต้องกินยายังไงแค่นั้น

เหลินเสี่ยวซูวันนี้ได้รับบทเรียนใหญ่หลวง ว่าถ้าเกิดเขาพบเจอเหตุการณ์ที่คัดลอกทักษะครั้งแรกไม่สำเร็จอีกละก็ เขาต้องตรวจสอบให้มั่นใจก่อนทุกครั้งว่าเป้าหมายมีทักษะที่เขาต้องการจริงๆ

บทที่ 13 นี่ล่ะความเป็นจริง

หลังจากที่คิดอย่างหนักแล้วเหลินเสี่ยวซูก็ยังคงรู้สึกอยู่เช่นเดิมว่าการเป็นอาจารย์นั้นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับคำขอบคุณ

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พลาดปัญหาไปอย่างนึง ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ เขาก็กระหายในความรู้อยากที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา นั้นเป็นเพราะว่าเขาเกิดมาในยุคสมัยที่ขาดองค์ความรู้ไปโดยสิ้นเชิง นั้นทำให้เขากระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ยิ่งคนเราขาดอะไรมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการสิ่งนั้นมากขึ้นเท่านั้น

แต่ถึงออย่างนั้น สิ่งที่เขาขาดและต้องการนั้นไม่ได้ตรงกับสิ่งที่นักเรียนทั้งหลายขาดด้วย เพราะนักเรียนที่มาเรียนในยุคสมัยนี้ ส่วนมากต่างก็มาจากตระกูลที่มีพื้นฐานที่ดี ชีวิตของเด็กนักเรียนทุกคนนั้นอยู่กินดีด้วยร่มเงาของพ่อแม่

เด็กพวกนี้เข้ามาเรียนเป็นเวลาหลายปีแล้ว และคนที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คงหนีไม่พ้นอาจารย์ เพียงเพราะเขาเป็นคนเดียวที่บังคับให้พวกเด็ก ๆ อ่านหนังสือกับทำการบ้าน ในช่วงเวลาวัยรุ่นของเด็กนักเรียนทั้งหลาย อาจารย์ก็เหมือนเป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับพวกเขาเลย

ถึงแม้ว่าเหลินเสี่ยวซูจะสอนในวิชาที่พวกเขาชอบมากที่สุดอย่างวิชาการเอาชีวิตรอดก็ตาม แต่เด็กเรียนทั้งหลายก็ยังห่างไกลจากความรู้สึกขอบคุณเขามาก

เหลินเสี่ยวซูคิดเองเออเองไปว่า บางทีเขาอาจจะต้องสอนมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อย แล้วนักเรียนก็จะรู้สึกขอบคุณเขาเอง

ปรกติแล้วโรงเรียนในเมืองจะเลิกเรียนกันตอน 4 โมงเย็น เริ่มเรียนตอน 6 โมงเช้า นาฬิกาในป้อมปราการจะดังให้สัญญาณทุก 2 ชั่วโมง ซึ่งตามปรกติแล้ว ฉางจิงหลินไม่เคยสอนเกินเวลาเลย

แต่ถึงอย่างนั้น วันนี้ด้วยความที่อยากจะให้นักเรียนทุกคนประทับใจ เหลินเสี่ยวซูเลยจัดเต็มความรู้และประสบการณ์การเอาตัวรอดในป่าของเขา สอนทุกอย่างที่เขารู้ เขาพูดตลอดเวลาที่เขาสอน ตั้งแต่เริ่ม จนเลยมาถึง 5 โมงเย็น

5 โมงเย็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงนั้นก็เริ่มมืดแล้ว นักเรียนทุกคนต่างมองไปที่เขาอย่างว่างเปล่า แล้วคิดกับตัวเองว่า “ไอ้จารย์เวรนี้ยังไม่ปล่อยอยู่อีกเหรอวะ”

แม้แต่ฉางจิงหลินเองก็ทนไม่ได้ เขาเดินออกไปนอกสนามและเด็ดเอาผักกาดมาทำอาหารเย็น

นักเรียนทั้งหลายเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไปแล้วพูดขึ้นมา “ไอ้จ… อาจารย์ครับ ถ้ายังไม่เลิกเรียนมันจะมืดแล้วนะครับ ในเมืองตอนกลางคืนมันไม่ปลอดภัยนะครับ”

นักเรียนพูดขึ้นทั้งความกลัวเล็กน้อย เขารู้ดีว่าชายคนที่เป็นอาจารย์อยู่ตอนนี้มีชื่อเสียงในด้านความโหดเหี้ยมขนาดไหน นั้นทำให้เขาไม่กล้าหาเรื่องเหลินเสี่ยวซูตรงๆ

เหลินเสี่ยวซูผงะก่อนที่จะคิด “แทนที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่กลับบอกให้อาจารย์เลิกสอนไวๆงั้นรึ” แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เข้าใจดีว่าความปลอดภัยของนักเรียนมาก่อน ดังนั้นพอเขาเห็นว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมา “เอาละ เลิกเรียนได้”

“ขอบคุณครับอาจารย์!”

“ขอบคุณค่ะอาจารย์!”

นักเรียนทุกคนต่างรีบออกจากห้องในทันทีโดยมีนักเรียนแค่ 2 คนเท่านั้นที่ขอบคุณเหลินเสี่ยวซูที่บอกว่า “เลิกเรียนได้”อีกด้วย พวกเขาขอบคุณออกมาอย่างใจจริง เพราะถ้ายังไม่เลิกเรียนอีกล่ะก็ พวกเขาเองก็คงทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน!

เหลินเสี่ยวซูสังเกตว่ามีเหรียญคำขอบคุณปรากฏเพิ่มขึ้นมาในใจของเขาขึ้น 2 เหรียญ และเขาก็ดีใจมาก

เหมือนกับว่าเขาคิดอยู่แล้ว ว่านักเรียนจะต้องขอบคุณเขาแน่ๆ เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาทำหน้าที่สอนเด็กนักเรียนได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว

เหลินเสี่ยวซูคิดกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าความพยายามสอนของฉันจะไม่สูญเปล่าซินะ หลังจากการสอนอย่างเนิ่นนานในที่สุดนักเรียนก็รู้ซึ้งในรสชาติความรู้ของฉันซักที”

หยานหลิวหยวนพูดดึงหน้าตึงแล้วพูดกับเขา “คราวหน้าพี่อย่าสอนเกินเวลาจะได้ปะ?”

ก่อนทที่เหลินเสี่ยวซูจะได้พูดอะไร อาจารย์ฉางก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชามข้าวที่กินเสร็จแล้ว เขาคุมน้ำเสียงตัวเองก่อนจะพูด “เสี่ยวซู ฉันรู้นะว่าเธอไฟแรงในการสอนมาก แต่การสอนจนเกินเวลามากขนาดนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ดีนะ อีกอย่าง เธอไม่รู้สึกว่าตตัวเองทำงานเกินเวลาจนหนักเกินไปบ้างเหรอ?”

เหลินเสี่ยวซูไม่มีความคิดนั้นเลยซักนิด ถามว่าเขาตั้งใจสอนให้ยืดจนเกินเวลาเหรอ? เปล่าเลย เขาแค่สอนจนกระทั้งมั่นใจว่าเขาจะได้คำขอบคุณที่จริงใจออกมาจากนักเรียนแค่นั้นเอง ซึ่งคำขอบคุณนั้นมันมีค่าเท่ากับเงินค่าจ้างที่เขาจะได้รับเลย!

“ไม่เลยครับ” เหลินเสี่ยวซูพูดขึ้นมาเหมือนกับคิดว่าตัวเองถูก “ผมตั้งใจอุทิศชีวิตทั้งชีวิตของผมเพื่อการศึกษา เพราะงั้น การที่ผมจะสอนเกินเวลานิดหน่อยถือว่าสบายมากครับ!”

อาจารย์ฉางถึงขั้นสำลักออกมาตอนที่ได้ยินเหลินเสี่ยวซูพูดแบบนั้น แต่พอเห็นว่าเหลินเสี่ยวซูตั้งใจจริงขนาดนั้น อาจารย์ฉางเองก็ไม่มีอะไรให้เถียงต่อเหมือนกัน “ถ้างั้นก็โอเค”

นักเรียน 2 คนที่ขอบคุณอาจารย์เหลินเสี่ยวซูตอนนั้นไม่รู้เลยว่าแค่คำว่า “ขอบคุณอาจารย์” ที่ตัวเองพูดออกไปนั้น มันกำลังจะนำพาหายนะใหญ่หลวงมาสู่นักเรียนทั้งชั้น

ดั่งเช่นวลีที่เคยมีไว้แต่โบราณ ที่ว่า “ปลาหมอตายเพราะปาก” นั่นเอง

ระหว่างทางกลับ หยานหลิวหยวนเคืองเหลินเสี่ยวซูตลอดทาง ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นกับเหลินเสี่ยวซูในเมืองตอนเลิกเรียน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะอะไรก็คงจะรู้กันดี

ตอนที่พวกเขากำลังเดินผ่านโรงรับจำนับบริเวณหน้าประตูป้อมปราการ หยานหลิวหยวนก็ดึงแขนเสื้อของเหลินเสี่ยวซูไว้ แล้วชี้ไปที่นั่น เหลินเสี่ยวซูมองไปตามที่ชี้ แล้วก็พบเข้ากับเสี่ยวหยู ที่กำลังยืนคุยอยู่กับเจ้าของโรงรับจำนำอยู่

เหลินเสี่ยวซูพาหยานหลิวหยวนเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นจนพวกเขาสามารถได้ยินเธอพูดกับเจ้าของโรงรับจำนำได้ “ต่างหูคู่นี้มีค่ามากเลยนะคะ ช่วยให้มากกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้เหรอ?”

เจ้าของโรงรับจำนำนั้นยิ้มอย่างหื่นกามกับเสี่ยวหยูก่อนจะพูด “เอาจริง เธอไม่ต้องเอาอะไรมาจำนำก็ได้นะ ทำไมเธอไม่เข้ามาในร้า…”

ทันใดนั้นเองเขาก็หุบปากก่อนที่จะพูดจบลง เพราะหางตาเขาดันไปเห็นเหลินเสี่ยวซูเดินตรงมาทางโรงรับจำนำพอดี เรื่องราวเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนตอนนี้มันแพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว และทุกคนก็รู้ดีว่าหลี่เสี่ยวหยูนั้น มีความสัมพันธ์ดีกับเหลินเสี่ยวซู

ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้หมายความว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงให้โหดร้ายตามไปด้วย มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ มีอ่อนแอ มีแข็งแกร่ง เพียงแค่ว่าคนที่แข็งแกร่งนั้นจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าในโลกแบบนี้เท่านั้นเอง

เจ้าของโรงรับจำนำนั้น ถือว่าเป็นคนอ่อนแอ คนอ่อนแอย่อมหวาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่ง และจะกล้ารังแกพวกที่อ่อนแอกว่าตนเท่านั้น ชายคนที่เหลินเสี่ยวซูฆ่าไปเมื่อคืนก่อนนั้นรู้จักกันดีในด้านของความโหดเหี้ยม ชอบใช้ความรุนแรง เพราะงั้นตอนนี้ภาพลักษณ์ของเหลินเสี่ยวซูเลยกลายเป็นที่สุดของที่สุดแห่งความโหดเหี้ยมแล้ว

สายตาของเจ้าของโรงรับจำนำเริ่มเลิ่กลักก่อนจะแสร้งทำเป็นดื่มน้ำ เขาไม่มั่นใจว่าเหลินเสี่ยวซูได้ยินที่เขาพูดเมื่อกี้รึเปล่า

เหลินเสี่ยวซูควักเงินในกระเป๋าของเขาออกมานับได้ 620 หยวนก่อนที่เขาจะยัดเงินนั้นลงในมือของเสี่ยวหยู “เธอไม่จำเป็นต้องเอาของตัวเองไปขายหรอก นี่เป็นเงินสำหรับค่ายาแก้อักเสบสามเม็ดที่เธอให้ฉันเมื่อคืนก่อน”

ด้วยความที่ตอนนี้หลี่เสี่ยวหยูไม่มีรายได้แล้ว ทำให้เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขายของที่ตัวเองมี แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นเธออยู่ในสภาพแบบนั้น

หลี่เสี่ยวหยูเตรียมจะคืนเงินให้เหลินเสี่ยวซู แต่เขาก็พูดขัดขึ้นมา “ยังไงฉันก็คิดจะเอาเงินนี่ไปซื้อยาอยู่แล้ว เพราะงั้น เธอเก็บเอาไว้เธอ มันไม่ใช่ว่าฉันอยากจะปฏิเสธน้ำใจของเธอหรอก แต่ถ้าทำแบบนี้ เราจะได้ไม่ต้องมีอะไรเกรงใจกันอีกในอนาคต”

หลี่เสี่ยวหยูสับสนเล็กน้อย “นี่นายพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?”

หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูบังเอิญเอาตัวรอดมาจากหมาป่าได้เมื่อปีก่อน เขาเองก็ไม่เคยบอกกับใครอื่นเลยว่าเขารอดมาได้ไง แต่ถึงอย่างนั้น ความเป็นจริงที่ว่าเขารอดมาได้เพราะยาที่หลี่เสี่ยวหยูนำมาให้เขาก็ยังคงอยู่ ถ้าไม่ได้ยาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบในตอนนั้นล่ะก็ เขาเองก็คงจะตายไปนานแล้ว

เพราะงั้น สิ่งที่เขาติดค้างหลี่เสี่ยวหยู ไม่ใช่แค่เรื่องยา แต่มันรวมไปถึงชีวิตของเขาด้วย

เหลินเสี่ยวซูพูดกับเสี่ยวหยูด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ต้องเป็นห่วง นับจากนี้ไป เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีเนื้อกิน มั่นใจได้เลยว่าเธอเองก็จะมีน้ำซุปกินด้วย!”

หยานหลิวหยวนกระซิบ “นี่ พี่ พูดผิดไปกันใหญ่แล้วนะ ไม่ใช่ว่าเราควรจะได้มานั่งกินด้วยกันเหรอ ทำไมมันกลายเป็นว่าพี่ได้กินเนื้อคนเดียว ส่วนพวกเราได้กินแค่ซุปล่ะ? อีกอย่าง ที่บ้านเราก็แทบไม่มีเนื้ออยู่เลยนะ..”

“เออะ” เหลินเสี่ยวซูพยักหน้าก่อนจะพูดใหม่อีกครั้ง “นับจากนี้ไป เมื่อไรก็ตามที่เรามีซุปกิน เราจะเหลือจานให้เธอล้างละกัน!”

หยานหลิวหยวนงงแตกกับคำพูดของพี่ตัวเอง

“พรู๊ดดด!!” เจ้าของโรงรับจำนำที่ดื่มน้ำอยู่พ่นน้ำออกมาข้างๆ

แต่ถึงอย่างนั้น หลี่เสี่ยวหยูก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ซิ ถ้างั้นฉันจะล้างจานกับซักผ้าให้พวกนายเองนะ”

ตอนที่เธอพูดนั้น เธอไม่ได้คิดเลยซักนิดว่าทั้ง 3 คน จะมี “น้ำ”เพียงพอให้ทำแบบนั้นได้ แต่เธอเองก็ตอบรับไปก่อนอยู่ดี

เจ้าของโรงรับจำนำมุ่ยปากตอนที่มองทั้ง 3 คนนั้นเดินจากไปก่อนที่เขาจะหันหลังกลับแล้วพูดกับพนักงาน “อย่าหาเรื่องกับเขาเด็ดขาดเลยนะ เข้าใจไหม?”

ทันทีที่ทั้ง 3 คนเดินออกมาจากโรงรับจำนำ พวกเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนลั่น “คุณหมอ!!! ได้โปรดช่วยสามีของฉันด้วยเถิด ขืนเขาตายไป ครอบครัวของเราคงไปไม่รอดแน่!!!”

จากนั้นพวกเขาก็เห็นหญิงสาววัยกลางคนคุกเข่าลงกับพื้นกราบกราน หมอคนเดียวในเมือง ตรงหน้าคลินิก แต่ถึงอย่างนั้น หมอกลับพูดออกมา “เงินก็ไม่มี แล้วยังจะมาขอให้หมอช่วยอีกเหรอ หะ?”

“ถ้าคุณหมอช่วยเขาละก็ ทั้งตระกูลของเราจะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างสาสม” ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม “คุณหมอคนเก่าเป็นผู้มีเมตตา คุณหมอเป็นลูกของเขา เมตตาพวกเราด้วยเถอะคุณหมอ!!”

“ความเมตตาของพ่อฉัน มันคือธุรกิจของฉันแล้ว!”

จากนั้นหมอหันหลังกลับแล้วปิดประตูคลินิกใส่หน้าอย่างแรง ทิ้งให้ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ข้างสามีของเธอที่เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่ท้องไม่หยุด

เหลินเสี่ยวซูไม่ได้คิดจะไปช่วยหรือจะไปเป็นพลเมืองดีอะไรตอนนี้ เพราะยังไง แค่เขามอง ก็รู้แล้วว่าชายคนนั้นยังไงก็ตายแน่ๆ

เขาพูดอย่างใจเย็นขณะที่มองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้า “หลิวหยุน จงจดจำทุกอย่างที่เห็นไว้นะ นี่ล่ะ คือความเป็นจริง”

ตอนที่ 12 ขอบคุณอย่างจริงใจ

เหลินเสี่ยวซูคุยจริงจังกับหยานหลิวหยวนเรื่องทำยังไงถึงจะได้ขอบคุณอย่างจริงใจมาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เขาเป็นคนที่”เอาจริงเอาจัง”สุด ๆ ดังนั้น ทันทีที่เขารู้ว่าคำขอบคุณอย่างจริงใจนั้นมันมีค่ามากเท่าไร เขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงต้องการมัน

แต่หยานหลิวหยวนกลับรู้สึกว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นใช้คำว่า “เอาจริงเอาจัง” แบบผิดที่ผิดทางไปหน่อยเท่านั้นเอง

“พี่ ฉันว่า พี่ลองออกไปทำความดีดูไหมล่ะ” หยานหลิวหยวนพูด “มันเป็นวิธีการที่จะได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจได้ง่ายที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ? เช่นแบบ เอาอาหารมาผู้คนที่หิวโซ หรือไม่ก็แบ่งน้ำให้กับผู้คนที่ป่วย ไรเงี่ย”

เหลินเสี่ยวซูมองหน้าหยานหลิวหยวน “นี่ฉันดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ? ถ้าฉันแบ่งอาหารแบ่งน้ำให้คนอื่น แล้วฉันจะเหลืออะไรกินอะไรดื่มล่ะ? นายเองจะกินจะดื่มอะไรด้วยเหมือนกัน!”

หยานหลิวหยวนพูดแบบไม่ค่อยพอใจ “ถ้างั้น พี่ อย่าไปคาดหวังเลยว่าจะได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจจากใครน่ะ!”

“ไม่ซิ” เหลินเสี่ยวซูปฏิเสธคำพูดของหยานหลิวหยวน “มันต้องมีทางอื่นซิ!”

เวลามันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เหลินเสี่ยวซูรู้ดีว่ายุคสมัยนี้มันไม่เป็นใจกับมนุษย์เอาซะเลย ทุกคนต้องปากกัดตีนถีบทำให้ยากมากที่มนุษย์จะแสดงน้ำใจให้กับมนุษย์คนอื่นอย่างจริงใจ

เมื่อก่อนในเมืองเคยมีขอทานผู้นึง กับ เด็กสาวผู้มีน้ำใจงดงาม เธอนำอาหารมาให้เขากินทุกวัน

แต่หลังจากที่เธอแต่งงานไป เธอก็ไม่ได้นำอาหารมาให้เขาอีกเลย

ขอทานคนนั้นตามหญิงสาวไปจนถึงบ้านของเธอแล้วถามว่าทำไมเธอถึงไม่มอบอาหารให้เขาอีกกัน แต่สุดท้าย เขาก็กลับโดนขับไล่ไสส่งโดยครอบครัวของเธอ เพราะสามีของเธอไม่ได้ใจดีกับเขาเหมือนอย่างเธอ

ทุกคนในเมืองนั้นคิดว่าเรื่องนี้คงจบไปแล้ว บางคนในเมืองถึงขั้นถ่อไปหาขอทานเพื่อเยาะเย้ยอยากที่จะเห็นขอทานอดตาย แต่แล้วในคืนนั้นเอง ขอทานกลับตรงไปยังบ้านของหญิงสาวคนนั้นแล้วลงมือฆ่าทั้งสามีภรรยาทิ้งทันที

เหลินเสี่ยวซูรู้สึกว่าเรื่องราวของเหตุการณ์นี้มีปรัชญาแห่งชีวิตซ่อนอยู่ แต่ตอนที่เรื่องเกิดขึ้นนั้นเขายังเด็กมากนัก เขาเลยเข้าใจได้เพียงแค่ให้ระวังตัวเองให้ดีตอนหลับไหลในยามค่ำคืนเท่านั้น

เช้าวันต่อมา เสียงเอะอะดังขึ้นมาจากกลางถนน เหลินเสี่ยวซูตื่นขึ้นมาแล้วเปิดประตูออกไปมองดูข้างนอก เขาก็ต้องตกใจที่เห็นคนในกลุ่มวงดนตรีเตรียมออกเดินทางไปจากเมืองพร้อมกับคนรู้จักคุ้นเคยขอเขาอยู่ข้างๆ

ชายคนนั้นเองก็เป็นนักล่ามากประสบการณ์ที่มีฝีมืออยู่พอสมควร หน้าตาของดูจะดีอกดีใจเอามากๆตอนที่เขาเดินเคียงคู่กับวงดนตรี เหมือนกับเขาคิดว่าในที่สุดเขาก็มีโอกาสรู้จักคนสำคัญจากในป้อมปราการซักที

ซึ่งเอาจริงๆ ผู้คนที่ประสบความสำเร็จในเมืองต่างก็เริ่มจากเส้นทางนี้กันทั้งนั้น ใครก็ตามที่คนจากป้อมปราการเลือกให้ทำงานต่างๆ มันจะนำไปสู่ความร่ำรวยในชีวิตของคนๆนั้นด้วย

ความร่ำรวยในชีวิตที่ว่านั้นอาจจะหมายถึงการได้เปิดร้านขายของชำแบบเถ้าแก่อย่างหวางฟู่กุยด้วย

เหลินเสี่ยวซูเคยถามหวางฟู่กุยว่าทำไมเขาถึงได้ไปรู้จักคนที่มาจากป้อมปราการพวกนั้นได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนในป้อมปราการที่จะเป็นคนสำคัญอะไรขนาดนั้น

ในตอนนั้นหวางฟู่กุยยิ้มอย่างมีเล่ห์นัยแล้วพูด “ในป้อมปราการเองก็มีคนรวยคนจนอยู่เหมือนกัน แต่มีเพียงบุคคลสำคัญเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาติให้เข้าออกป้อมปราการได้ตามสะดวกน่ะ”

ถ้าฟังจากที่ตาแก่หวางพูดแล้ว นั้นอาจจะหมายความได้ว่า การที่คนจนจะออกมาจากป้อมปราการนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากเหมือนกัน

กำแพงสูงใหญ่ของป้อมปราการนั้นไม่เพียงแต่จะหยุดคนข้างนอกไม่ให้เข้าไปแล้ว ยังขังคนภายในไม่ให้ออกมาข้างนอกได้อีกอด้วย

ตาแก่หวางเดินตามเคียงข้างวงดนตรีทั้งหลาย และตอนที่เขาเดินผ่านเหลินเสี่ยวซูนั้นเอง เขาก็หันไปจ้องหน้าเหลินเสี่ยวซูแล้วกระซิบ “ไอ้เด็กเนรคุณเอ้ย ฉันอุส่าห์แนะนำหางานดีๆมาให้นาย แต่นายกลับแกล้งทำเป็นบ้าปฏิเสธความหวังดีของฉันเนี่ยนะ? รู้รึเปล่า? ฉันได้ยินมาว่าวงดนตรีพวกนั้นตั้งใจจะหาคนนำทางเก่งๆพากลับเข้าไปทำงานในป้อมปราการด้วยนะ พวกเขาจะได้มีคนนำทางคอยใช้งานประจำยังไงล่ะ!”

เหลินเสี่ยวซูตะลึง เขาไม่คิดเลยว่างานนี้จะมีค่าจ้างที่ดีขนาดนี้ มันถือว่าเป็นโอกาสชิ้นงามทีเดียว

ถ้าสมมุติว่าเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เขาจะยังปฏิเสธงานอยู่ไหม?

คำตอบคือก็ยังปฏิเสธอยู่ดี เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาจะเข้าไปในป้อมปราการได้ แต่หยานหลิวหยวนไม่ได้ตามเขาไปด้วย แล้วจะให้เขาทิ้งหยานหลิวหยวนไว้ข้างนอกนี่ตามลำพังได้ยังไงกัน

หยานหลิวหยวนกระซิบ “พี่ ทำไมพี่ไม่ไปลองคุยกับคนพวกนั้นอีกรอบดูละ พี่เก่งกว่าตาแก่หลิวนั้นตั้งเยอะนะ เขาไปล่ากี่ทีต่อกี่ทีก็กลับมามือเปล่า อีกอย่าง เขาไม่เคยออกไปนอกเมืองไกลแม้แต่ครั้งเดียวเลยนะ”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” เหลินเสี่ยวซูขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียดายโอกาส แต่เขาตัดสินใจไปแล้ว เขาจะไม่หันหลังกลับอีก “ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่งที่โรงเรียนเอง”

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนมาถึงที่โรงเรียน อาจารย์ฉางจิงหลินก็อยู่ในห้องกำลังลบกระดานดำอยู่ อาจารย์แทบจะสะดุ้งตอนที่เห็นสภาพของเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนที่ยืนอยู่ตรงประตู พวกเขามีขอบตาที่ดำเมี่ยมใต้ตาเอาซะดูเหมือนผี

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกนายกันเนี่ย” อาจารย์ฉางถามขึ้นมา

หยานหลิวหยวนพยายามจะอธิบาย “ก็พี่ชายผมน่ะซิพย—“

ก่อนที่หยานหลิวหยวนจะได้พูดจบ เหลินเสี่ยวซูก็ตบหัวของเขาขัดจังหวะซะก่อนที่ตัวเองจะพูดแทน “ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกเราแค่นอนไม่หลับกันเฉยๆ”

“อ้อ ..เหรอ?” อาจารย์ฉางไม่พยายามขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวอะไร เขาถามต่อ “แล้วได้เตรียมเรื่องที่จะมาสอนวันนี้รึยัง? วันนี้นายต้องเริ่มสอนในฐานะอาจารย์สำรองวันแรกแล้วนะ”

“ครับผม เตรียมมาแล้ว”

และเกือบทั้งวันนั้นเอง เขานั่งเรียนอยู่ในห้องเหมือนกับนักเรียนทั่วไป จนกระทั้งในคาบสุดท้ายของภาคบ่าย มันก็ถึงเวลาที่เขาต้องขึ้นไปสอนในวิชาการเอาตัวรอดในฐานะอาจารย์สำรอง

พอถึงคาบสุดท้ายนั้นเอง อาจารย์ฉางจิงหลินยังคงเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องที่เหลินเสี่ยวซูไม่มีประสบการณ์การสอนมาก่อน เขาเลยไปนั่งที่แถวหลังสุดของห้องเพื่อคอยช่วยเหลือ

ส่วนเหลินเสี่ยวซูก็เดินตรงเข้ามายังแท่นโพเดี่ยมหน้าห้อง หัวหน้าห้องตะโกนขึ้นมา “ทุกคนยืนขึ้น!”

จากนั้นทุกคนก็พูดเสียงดังฟังชัด “สวัสดีครับ/ค่ะ อาจารย์!”

สำหรับนักเรียนทั้งหลาย เหลินเสี่ยวซูนั้นเป็นอาจารย์ที่ไม่เหมือนใครมาก่อน เพราะเขาเองก็นับว่าเป็น “เพื่อนร่วมชั้นเรียน” คนนึง แถมยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่แก่ที่สุดด้วย อีกทั้งยังเป็นคนดังเป็นที่รู้จักกันในเมือง การที่ได้เหลินเสี่ยวซูมาสอนในห้องจึงเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับพวกเขา

ทันทีที่เหลินเสี่ยวซูเข้าประจำที่ เขาก็พูดขึ้นมา “พวกนายไม่คิดบ้างเหรอว่าอาจารย์ฉางเขาเหนื่อยยากแค่ไหนกัน? พวกเรานั่งเรียนตลอด ในขณะที่อาจารย์นอกจากจะยืนสอนแล้วยังต้องสั่งสอนเราทั้งวันด้วย”

ในสถานการณ์หน้าห้องแบบนี้ นักเรียนจะบอกว่าอาจารย์ไม่ลำบากได้ยังไงกัน แถมอาจารย์ฉางเองก็ยังนั่งอยู่ข้างหลังด้วย พวกเขามีแต่จะต้องเห็นด้วยเท่านั้น

จากนั้นเหลินเสี่ยวซูก็พูดต่อ “ถ้างั้นเราก็ควรที่จะแสดงความขอบคุณให้กับอาจารย์ฉางกันหน่อยไหม?”

“ครับ/ค่ะ!” นักเรียนตอบกลับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว

หยานหลิวหยวนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตะโกนขึ้นมาดังกว่าใครเพราะเขารู้ดีว่าแผนที่วางไว้กำลังจะเริ่มต้นแล้ว!

เหลินเสี่ยวซูพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้างั้นนับตั้งแต่ตอนนี้ เราจะไม่พูดคำว่า สวัสดีอาจารย์ แล้ว เราจะพูดว่า ขอบคุณอาจารย์ แทน!”

อาจารย์ฉาง งงตาแตกยิ่งกว่าเดิม เขาไม่เข้าใจว่าเหลินเสี่ยวซูตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!

“เอาละ ทุกคน นั่งลงได้ มาลองดูกันดีกว่า!” เหลินเสี่ยวซูพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ทุกคนยืนขึ้น!”

“ขอบคุณครับ/ค่ะ อาจารย์!” นักเรียนทุกคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียวกัน

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูหันกลับเข้าไปในวังจิตใจ แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะเด็กนักเรียนแต่ละคนไม่มีใครเลยที่จะขอบคุณอาจารย์อย่างจริงใจ

การจะขอบคุณในซักคนที่ให้การศึกษากับเราอย่างจริงใจมันยากนักรึไงวะ?!

วิธีนี้ก็ใช่ไม่ได้อีก! เขาต้องมานั่งหาวิธีใหม่อีกเพราะวิธีการนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า

แต่ถึงอย่างนั้น ความล้มเหลวเองก็เป็นสิ่งที่เหลินเสี่ยวซูคุ้นชินดีอยู่แล้ว การยอมรับความล้มเหลวและปรับแก้ไขจากตรงนั้นถือว่าเป็น 1 ในจุดแข็งของเขาเลย

ดั่งคำที่เขาเคยได้ยินมาว่า ชีวิตไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ

ความหมายของมัน คือ ชีวิตของเรานั้นส่วนมากก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการหรอก

แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป

แค่การได้ตำราลอกเลียนทักษะมา 2 เล่มมันมีประโยชน์กับเหลินเสี่ยวซูอย่างมาก เขามักจะเป็นคนที่กระหายในความรู้ตลอดเวลา ตำราลอกเลียนทักษะ 1 เล่มนั้นสามารถทำให้เขาเรียนรู้ทักษะที่คนอื่นมีอยู่แล้วได้ เหลินเสี่ยวซูจึงคิดว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างนึงเลย

ถึงแม้ว่าทักษะที่เขาจะได้รับมานั้นจะเป็นแบบสุ่ม และเขาอาจจะมีโอกาสได้สกิลไร้สาระที่ใช้งานอะไรไม่ได้เลย แต่ทักษะความเชียวชาญอาวุธปืนขั้นสูงที่เขาพึ่งได้เรียนรู้มามันทำให้เขารับรู้ถึงความหอมหวานของความรู้ที่เขาได้รับมา

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ดึงดูดให้เหลินเสี่ยวซูมาสำรวจวังในจิตใจของเขาในครั้งนี้ ไม่ใช่ตำราลอกเลียนทักษะแต่อย่างใด หากแต่เป็นสิ่งที่วังได้บอกในตออนท้าย ที่พูดถึง ภารกิจเสริมต่างหาก!

ด้วยความที่ว่ามันเป็นภารกิจเสริม ทำให้มันดูไม่ได้สำคัญอะไร มันอาจจะเป็นงานที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเสร็จได้

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูก็ได้ยินชัดเจนจากในวังเลยว่า “เหตุเพราะสูญเสียอาวุธ ภารกิจเสริมพิเศษเริ่มทำงาน”

เพราะงั้นหมายความว่าภารกิจนี้ต้องเกี่ยวข้องกับอาวุธแน่เลย

ตลอดเวลาที่เหลินเสี่ยวซูต้องใช้ชีวิตเอาตัวรอดในป่าใหญ่ เขาเข้าใจดีถึงความสำคัญของการมีอาวุธที่ดีไว้ข้างกาย ครั้งนึงตาแก่หวางเคยซื้อมีดเหล็กมาได้ แล้วอยากจะขายต่อให้กับเหลินเสี่ยวซู แต่เหลินเสี่ยวซูก็ไม่มีตังพอซื้อมันถึงจะใช้ตังเก็บที่ดองมา ครึ่งปีเต็มก็ตาม

สุดท้ายตาแก่หวางก็ขายมีดนั้นให้กับผู้จัดการของโรงงานเคมี ผู้จัดการโรงงานนั้นเป็นตำแหน่งที่ทางป้อมปราการเลือกสรรค์จากหมู่ผู้ลี้ภัยให้มารับหน้าที่ในตำแหน่งผู้นำ เพราะงั้น พวกเขาเลยถือได้ว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการเป็นผู้ติดตามที่จงรักษ์ภักดีขึ้นตรงกับป้อมปราการ

ในตอนนั้น เหลินเสี่ยวซูได้แต่คิดว่า มันคงจะยอดเยี่ยมน่าดูเลยถ้ามีอาวุธดีๆอยู่ในมือของเขา เพราะว่าเขาจะได้ไม่ต้องเข้าไปนอนแอ่งแม้งในป่าทั้งวันเฝ้าคอยจับนกกระจอก ทุกวันนี้นกกระจอกจับยากขึ้นมาก มันทำให้การรอคอยของเขาเป็นไปอย่างทรมาณ

ถ้าเขามีมีดดีๆอยู่ในมือละก็ เขาก็จะสามารถออกไปล่าสัตว์ป่าอย่างอื่นได้เช่น กระต่าย หนูนา หนูไผ่ และอื่นๆ

ใช่แล้ว ยุคสมัยนี้แม้แต่กระต่ายก็ถือเป็นสัตว์ป่าเหมือนกัน

กระต่ายในป่านั้นจะไม่โจมตีมนุษย์ก่อน แต่พวกมันก็มีความแข็งแรงมากและสามารถกระโดดได้สูงถึงประมาณคางของผู้ใหญ่ ครั้งนึง เหลินเสี่ยวซูเคยขุดหลุมกับดักลึกประมาณ 2 เมตรแล้วมีกระต่ายมาติดกับตกลงไปในนั้น แต่ถึงอย่างนั้นตอนที่เหลินเสี่ยวซูเข้าไปจับมัน จู่ๆกระต่ายนั้นก็กระโดดออกมาจากหลุมหน้าตาเฉยแถมยังถีบเขาเข้าเต็มหัวกลางอากาศ ทำให้เหลินเสี่ยวซูหัวโนไปหลายวัน

เหลินเสี่ยวซูมองดูแผ่นหนังในเครื่องพิมพ์ดีด “เหตุเพราะสูญเสียอาวุธ ภารกิจเสริมพิเศษเริ่มทำงาน : สะสมคำขอบคุณจากใจจริงให้ครบ 100 เพื่อปลดล๊อกอาวุธใหม่ สามารถนำคำขอบคุณไปแลกสิ่งของอื่นได้ด้วย”

เหลินเสี่ยวซูงงแตก ทำไมภารกิจเสริมถึงแปลกได้ขนาดนี้

สะสมคำขอบคุณเนี่ยนะ? แถมยังต้องเป็นคำขอบคุณจากใจจริงอีกเหรอ?

การได้รับคำขอบคุณน่ะ มันง่าย แต่การได้รับคำขอบคุณจากใจจริงที่จริงใจนั้น มันยากมาก

แถมยังใช้คำขอบคุณเป็นค่าเงินแลกเปลี่ยนได้อีก จะว่าไปแล้ว คำขอบคุณมันจะเอาไปแลกสิ่งของแบบไหนได้กันนะ

เขาอ่านข้อความในแผ่นหนังต่อ แล้วเขาก็พบคำต่อจากนั้นอีก

“ได้รับคำขอบคุณจากหลี่เสี่ยวหยู +1”

เหลินเสี่ยวซูดีใจที่อย่างน้อยการทำความดีของเขาก็ไม่สูญเปล่า แถมวังในใจของเขายังตรวจจับไม่พลาดไปอีกด้วย

แล้วเขาก็เห็นคำต่อลงมาอีกบรรทัดนึง เขียนไว้ว่า – ปลดล๊อคอาวุธ 1/100

เหลินเสี่ยวซูรู้สึกว่าตัวเองโชคไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นเขาต้องเก็บอารมณ์ในแง่ลบแทนละก็ มันคงจะดีกว่านี้ เพราะว่าทั้งเมืองมันเต็มไปด้วยอารมณ์แง่ลบเต็มไปหมด เขาสามารถทำให้ 1-100 เต็มได้อย่างง่ายดาย

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่วังในจิตใจของเขาต้องการให้ทำ ตอนนี้เหลินเสี่ยวซูเองก็เริ่มคิดแล้วว่าอาวุธใหม่ของเขาจะเป็นยังไงกัน

อาวุธที่ได้มาจากวังในจิตใจ มันต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆแน่นอน

เหลินเสี่ยวซูลืมตาขึ้นมาก่อนจะหันไปมองหยานหลิวหยวน “หลิวหยวน ขอบคุณฉันทีซิ”

หยานหลิวหยวนงงแตก “พี่ เป็นอะไรของพี่เนี่ย พี่ทำให้ฉันกลัวนะ”

“กลัวบ้ากลัวบออะไรล่ะ” เหลินเสี่ยวซูพูด “เร็วเข้า พูดมาเร็ว”

หยานหลิวหยวนคิดซักพักก่อนจะพูดออกมา “ขอบคุณนะพี่ ที่ดูแลฉันมาตลอดเลย”

“ได้รับคำขอบคุณจากหยานหลิวหยวน +1”

เหลินเสี่ยวซูอารมณ์ดี ก็ง่ายๆนี่หว่า

“เยี่ยมเลย เอาล่ะ ทีนี้ ลองขอบคุณฉันอีกหลายๆรอบซิ” เหลินเสี่ยวซูพูด

หยานหลิวงงแตกมากกว่าเดิม “เออ … ขอบคุณครับ?…”

เหลินเสี่ยวซูรอบนี้กลับต้องผิดหวัง มันดูเหมือนว่าการขอบคุณจะได้รับต่อเนื่องได้ แต่ประเด็นสำคัญของการขอบคุณก็คือความรู้สึกที่มาจากใจจริง เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูด “ไม่ นายไม่จริงใจมากพอ!

“ไม่ ไม่ซิ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ นายยังใส่อารมณ์ไม่ถูก เอาใหม่อีกทีซิ

“ไม่ ยังไม่ถูก นายต้องใส่อารมณ์มากกว่านี้อีก เรียกมัน เรียกมันออกมา ใช่ ใช่ ใช่แล้ว แบบนั้นแหละ งัดมันออกมา

“เอาอีกรอบซิ เอาความจริงใจออกมาเลย

“เอาอีกที ใส่อารมณ์ในทุกคำที่พูดด้วย…”

หยานหลิวหยวนแทบจะกองลงกับพื้น ตอนนี้เขาพูดเยอะจนปากแห้งหมดแล้ว “พี่ นี่มันทักษะของพี่เหรอ? ทำไมทักษะขอองพี่มันดูไร้สาระแบบนี้อะ”

ทั้งคืนนั้นเหลินเสี่ยวซูดื้อด้านทำการทดลองกับระบบคำขอบคุณกับหยานหลิวหยวนทั้งคืน แต่สุดท้าย เขาได้รับค่าคำขอบคุณแค่ 1 เดียวเท่านั้น

แต่ด้วยคำขอบคุณที่ว่าทำให้ตอนนี้เขามีเหรียญไว้แลกถึง 2 เหรียญแล้ว เหรียญที่ว่าเป็นตัวแทนของคำขอบคุณสลักไว้ด้วยรูปหัวใจพร้อมคำที่สลักไว้ว่า “ด้วยจิตใจที่ยินดี ขอขอบคุณที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขในชีวิต มอบความกล้าให้ และด้วยหัวใจที่ปลื้มปิติ ขอขอบคุณดวงชะตา แม้บุพผาจะเบิกบานหรือร่วงเลย คำขอบคุณจะอยู่ตลอดไป”

เหลินเสี่ยวซูเดาะลิ้นแล้วคิดว่าที่สลักในเหรียญมันคือคำกลอนบางอย่าง

ในตอนนี้ ตู้โชว์ทั้งหลายในวังที่ถูกบดบังไปด้วยหมอกทมิฬนั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทางด้านซ้ายของเครื่องพิมพ์ดีด หมอกททใฬที่ปกปิดตู้โชว์อันหนึ่ง สลายจางออกไปเผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่ด้านใน มันคือตู้ขายของอัตโนมัติ

เหลินเสี่ยวซูตะลึงไปอยู่ซักพัก เขาสงสัยในวิธีการทำงานของเครื่องนี้เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมัน เขาไม่เคยเห็นตู้ขายของแบบนี้มาก่อนเลยตอนที่เขาอยู่ในโลกภายนอก เครื่องแบบนี้มันไม่มีอยู่ในโลกปัจจุบันอีกแล้ส

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังพออ่านตัวหนังสือบนตู้ขายของออก มันเขียนไว้ว่า “ช่องใส่เหรียญ”

รอบข้างนั้นมันไม่อะไรอย่างอื่นเลยนอกจากช่องใส่เหรียญ เขาเลยเลิกคิดมากแล้วหยอดเหรียญลงไปในเครื่อง

แกร๊ง เหรียญที่สลักรูปหัวใจถูกหยอดลงไปในเครื่อง จากนั้นเครื่องก็เริ่มสั่นทำงานเสียงดังกรุ๊กกรัก หลังจากนั้นไม่นาน ขวดแก้วเล็กมาก ๆ ก็กลิ้งออกมาจากเครื่องนั่น

เหลินเสี่ยวซูหยิบมันขึ้นมาดู ขวดนั้นมีคำเขียนแปะไว้แค่ว่า “ยา” คำเดียว

 

 

“ไม่เอาหน่า อย่างน้อยก็บอกหน่อยไม่ได้เหรอว่ามันเป็นยารักษาอะไรน่ะ” เหลินเสี่ยวซูลังเลอยู่ซักพัก หลังจากที่เขาคิดซักพักแล้ว เขาก็กำขวดยาแน่นก่อนจะหลับตา พอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกความจริง ขวดยานั้นก็ตามเขามาด้วย

หยานหลิวหยวนพอเห็นขวดยาก็ตะลึงเล็กน้อย “พี่ เล่นมายากลเหรอ?”

เหลินเสี่ยวซูไม่สนใจเขา เขาตัดสินใจดึงผ้าพันแผลที่มือของเขาออก เผยให้เห็นแผลที่เริ่มจะติดเชื้อบวมเป่งแล้ว

เลือดคั่งอยู่บริเวณแผลทำให้แผลบวมขึ้นมาได้พักใหญ่ ในขณะที่น้ำหนองน้ำเหลืองเริ่มไหลออกมาจากบาดแผล เหลินเสี่ยวซูรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ได้ยามาล่ะก็ แผลนี้ก็คงจะเริ่มติดเชื้อหนักแล้วไข้ก็จะเริ่มเข้าจู่โจมเขาต่อ

ตอนที่หยานหลิวหยวนเห็นแบบนั้น เขาก็รีบยืนขึ้นแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปข้างนอกทันที เหลินเสี่ยวซูดึงเขาเอาไว้แล้วพูด “จะทำอะไรของนายเนี่ย”

“ไปซื้อยาให้พี่ไง” หยานหลิวหยวนพูดแบบดื้อรั้น

“ไม่ต้องหรอก” เหลินเสี่ยวซูหยิบขวดยาในมือออกมาเปิดฝาออกแล้วเทน้ำมันตัวยาลงบนนิ้วชี้เล็กน้อย ก่อนที่เขาจะค่อยๆทาลงบนแผล ขวดยานั้นมันไม่ได้ใหญ่อะไรมากแถมยังตื้นมากด้วย ถ้าหากจะใช้จริงๆ คงสามารถใช้ได้เพียงแค่ 3 หยดเท่านั้น

หลังจากทาลงไปแล้ว เหลินเสี่ยวซูก็เริ่มรู้สึกคิดผิดขึ้นมา หลอดยานั้นเขียนไว้แค่คำว่า “ยา” เท่านั้น ถ้ามันดันเป็นยาพิษขึ้นมาล่ะจะทำยังไง?

แต่แล้วความกังวลของเขาก็หายไป เพราะหลังจากที่เขาทาน้ำมันยาไปที่แผลแล้ว อาการปวดแสบร้อนที่แผลของเขาก็เริ่มหายไป

ยาแก้อักเสบทที่เสี่ยวหยูให้มาเขาก็ยังเก็บเอาไว้เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว ยาแก้อักเสบแบบกินนั้นต้องกินติดต่อกัน 3 วัน ในขณะที่น้ำยาที่เขาได้มานั้น มันได้ผลทันทีดั่งมนตร์วิเศษ ยาแก้อักเสบสมัยนี้ราคาอยู่ที่ เม็ดละ 200 หยวน เหลินเสี่ยวซูลองคิดเล่นๆว่า ถ้าเกิดเขาสามารถเอาหลอดยานี่มาขายแทนยาแก้อักเสบได้ละก็ มูลค่าของมัน…ก็อาจถึงล้านได้ง่ายๆเลย!

เหลินเสี่ยวซูหันควับกลับมาแล้วจ้องหน้าหยานหลิวหยวน แล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “ช่วยฉันคิดหน่อย ทำยังไงฉันถึงจะได้คำขอบคุณของคนอื่นมาเร็วๆได้บ้าง?”

ในตอนนั้นเอง เสียงหยาบกระด้างก็ดังขึ้นมาจากนอกกระท่อม มันเป็นเสียงที่ดังขึ้นมาจากหน้ากระท่อมของเพื่อนบ้านใหม่ของพวกเขา เสี่ยวหยู “นี่เสี่ยวหยู ฉันพึ่งรู้นะเนี่ยว่าเธอย้ายมาแถวนี้แล้วตอนที่ฉันแวะไปหาที่บ้านเก่าเธอ ฉันซื้อบุหรี่มาฝากด้วยนะ”

เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนมองหน้ากันไปมาก่อนจะขมวดคิ้ว จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสี่ยวหยูพูด “พอได้แล้ว ฉันไม่ได้ทำงานแบบนั้นอีกต่อไปแล้วนะ”

“555!” ชายคนนั้นหัวเราะออกมาเหมือนกับว่าได้ยินเรื่องตลก “ถ้าเธอไม่ทำ’งานแบบนั้น’แล้ว เธอจะไปอยู่รอดได้ยังไงกันล่ะ? แล้วใครจะเป็นคนเอาบุหรี่มาให้เธอในอนาคตน่ะ ห่ะ?”

“นี่ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เสี่ยวหยูพูดด้วยน้ำเสียงโกรธ ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะได้ยินเสียงเหมือนกับอะไรซักอย่างฉีกขาด มันเป็นเสียงของเสื้อที่กำลังจะถูกฉีก เสียงของคนกำลังขัดขืน

ตอนที่หยานหลิวหยวนหันไปมองหน้าเหลินเสี่ยวซู ตอนนั้นเหลินเสี่ยวซูเองก็กำลังขมวดคิ้วแน่นอยู่ ก่อนที่เขาจะกระซิบ “พี่ ไปช่วยเธอเถอะ”

เหลินเสี่ยวซูยืนขึ้นก่อนจะดึงมีดที่มัดอยู่อยู่กับน่องขาของตัวเองออกมา ค่อยๆเปิดประตูเบาๆแล้วย่องออกจากกระท่อม

ในตอนนั้นเอง แป้นพิมพ์ทองเหลืองของเครื่องพิมพ์ดีดภายในวังจิตใจของเหลินเสี่ยวซูก็ดีดขึ้นบนกระดาษหนังอีกครั้ง พร้อมด้วยเสียงที่ไร้อารมณ์ดังตามขึ้นมา “ภารกิจ – ช่วย—“

เขาคำรามขึ้นมาในใจขัดเสียงของวัง “ถึงจะไม่มีภารกิจฉันก็จะไปช่วยเธออยู่ดีละวะ”

ทันทีที่เขาออกมาจากกระท่อม เหลินเสี่ยวซูก็กำมีดแน่นก่อนจะพุ่งไปถึงตัวชายคนนั้นภายใน 2 วินาที

เหลินเสี่ยวซูไม่พูดคำขู่อย่างเช่นพวก “ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะ” หรือ “แน่จริงก็ลองแตะต้องเธออีกซิ” เพราะว่าเขารู้ดีว่าการกระทำไม่จำเป็นพวกนั้นจะเป็นตัวแปรที่อาจจะทำให้เขาพลาดได้

สิ่งที่เขาต้องทำ คือใช้วิธีการแก้ปปัญหาที่ง่ายที่สุด เพื่อแก้ปัญหาที่ไม่ซับซ้อนที่สุด

ถึงแม้ว่าร่างกายของเหลินเสี่ยวซูจะดูผอม แต่ด้วยมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงทำให้เขาสามารถวิ่งได้ไวเหมือนเสือชีตาร์ แต่ชายคนนั้นก็ไหวตัวทัน ชักมีดจากเอวออกมาแล้วฟันตรงเข้าหาเหลินเสี่ยวซู ทุกคนในเมืองนั้นตต่างก็พกอาวุธไว้ป้องกันตตัวกันทั้งนั้น

ชายคนนั้นหัวเราะเยาะเย้ยออกมาในใจ เพราะเขาหันไปเห็นแล้วว่า ขนาดตัวของเขานั้นสูงใหญ่กว่าเหลินเสี่ยวซูมาก อีกทั้งมีดที่เขาถือนั้น เป็นมีดเหล็ก ไม่ใช่มีดกระดูก

เป็นที่รู้กันดีว่า อาวุธโลหะนั้นยังไงก็ต้องดีกว่ามีดกระดูกโง่ๆอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ากระดูกของสัตว์ป่าตัวนั้นจะแข็งเหมือนเหล็กกล้ายังไงก็ตาม

แต่เหมือนเหล็กกล้า ไม่ได้แปลว่ามันเป็นเหล็กจริงๆซักหน่อย

ในเมืองนี้ไม่ได้มีกฏหมายห้ามพกอาวุธระยะประชิด แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถหาอาวุธโลหะดีๆมาไว้ในครอบครอง ถึงแม้ว่าอุสาหกรรมเหมืองแร่และการตีเหล็กในยุคสมัยนี้จะใกล้เคียงกับมาตรฐานในยุคสมัยก่อนภัยพิบัติแล้ว แต่ด้วยแร่โลหะที่มีอย่างจำกัดทำให้ไม่ว่ายังไงก็ทำออกมาได้น้อย

เหลินเสี่ยวซูพุ่งเข้าตรงหน้าชายคนนั้นด้วยความเร็วสูง การพุ่งตัวของเขานั่นเริ่มส่งแรงตั้งแต่ขาซ้ายที่กระแทกเหยียบพื้นดิน ส่งกำลังให้กล้ามเนื้อขาขวาตึงแน่นเพื่อรับน้ำหนักตัว จากนั้นทั้ง 2 เท้าก็เหยียบแน่นไปบนพื้น ส่งกำลังทั้งหมดที่มีเหมือนกระแสไฟฟ้าแล่นเข้ามาที่เอว แล้วออกแรงบิดจากเอวขึ้นไปสู่แขน

เหลินเสี่ยวซูเหวี่ยงมีดของเขาเป็นแนวเฉียงด้วยแรงทั้งหมดที่มีพุ่งเป้าตรงไปที่มีดโลหะที่ฟันตรงเข้ามาหาเขาจนเกิดเป็นประกายไฟวาบขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน

แกร๊ง!! ทั้งมีดกระดูกและมีดโลหะนั้นปะทะกันอย่างแรง เหล่าคนดูที่แอบดูอยู่นั้น ทุกคนต่างก็คิดว่ามีดกระดูกจะหักแค่ฝ่ายเดียว แต่เปล่าเลย พวกเขาต้องตกใจที่มีดทั้งคู่หักแตกลงพร้อมกัน!

แล้วในพริบตานั้นเอง เหลินเสี่ยวซูทิ้งมีดกระดูกของตัวเองลงข้างทางโดยไร้ความลังเล ในขณะที่ชายคนนั้นยังคงตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ท่วงท่าการเขวี้ยงมีดทิ้งจากมือนั้นมันรวดเร็วมากจนกลายเป็นจังหวะเดียวกับตอนฟัน ราวกับว่าเหลินเสี่ยวซูจะรู้อยู่แล้วว่ามีดต้องแตกแน่นอน เห็นได้ชัดเลยว่าเขามีแผนอย่างอื่นมาตั้งแต่ต้นแล้ว

เขาใช้มือข้างนึงจับคว้าข้อมือของชายคนนั้นไว้ก่อนจะใช้มืออีกข้างกำหมัดแน่นแล้วต่อยเข้าไปบริเวณเส้นประสาทรักแร้

ชายคนนั้นพยายามสลัดข้อมือให้หลุด แต่เขาก็พบว่า เด็กหนุ่มตรงหน้านั้นบีบข้อมือของเขาไว้ด้วยแรงที่มากกว่าที่เขามี

เป็นไปได้ยังไงกัน? อีกฝ่ายยังเป็นเด็กอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? เด็กคนนั้นสูงแค่ประมาณคอของเขาเองมั้ง

แต่ถึงอย่างนั้น ตอนที่ชายคนนั้นสังเกตุเห็นกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอของเหลินเสี่ยวซู เขาก็เข้าใจทันทีว่านี่คือพลังจากกล้ามเนื้อล้วนๆ

เส้นประสาทรักแร้ หรือเส้นประสาทอซิลลารี้ นั้นอยู่บริเวณ 3 เซนติเมตรนับจากรักแร้ถึงต้นแขน การจะต่อยเข้าไปยังเส้นประสาทนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องต่อยแม่นยำอะไรมาก เพราะขนาดของหมัดมันเพียงพอที่ยังไงก็ต้องโดนอยู่แล้ว

เส้นประสาทรักแร้นั้นเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งในร่างกายมนุษย์ หากเส้นประสาทรักแร้ได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง มันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบประสาทโดยรวม เส้นประสาทมันก็เหมือนกับสายไฟ หากสายไฟได้รับแรงกระแทกจนเสียหายมันจะส่งผลทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลย้อนวงจรปลดปล่อยสัญญาณไฟฟ้าขึ้นมารบกวนคำสั่งสัญญาณต่างๆ และเมื่อสมองได้รับสัญญาณไฟฟ้าพวกนี้มากเกินไป สมองจะส่งสัญญาณความเจ็บปวดออกมา นอกจากนี้กระแสไฟฟ้าที่ผิดพลาดทำให้แขนที่โดนโจมตีได้รับสัญญาณผิดเพี้ยนไปด้วย ทำให้ร่างกายเริ่มหลั่งแคลเซี่ยมและโปแตสเซี่ยมไออ่อนออกมา และมันเพียงพอจะทำให้ทั้งร่างกายด้านชาและเป็นอมพาติไปหลายวินาที!

ชายคนนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก็จะทิ้งตัวลงกับพื้น แขนขากระตุกหนักไม่อาจควบคุมได้ และพอเขาเรียกสติรู้สึกตัวกลับมาได้ เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะสู้กับเหลินเสี่ยวซูอีกต่ออไปแล้ว

เหลินเสี่ยวซูยืนเหยียบอยู่ข้างๆเขาเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ชายคนนั้นหอบหายใจอย่างหนักก่อนจะร้องขอความเมตตา “ขอละ ฉันจะไม่แค้น ไม่เคืองไม่โกรธ แต่ปล่อยฉันไปเถอะนะ แล้วฉันจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้เอง”

คนฉลาดๆ รู้ดีว่าหากชีวิตอยู่ในกำมือของเหลินเสี่ยวซูแล้ว เขาก็ไม่ควรจะคิดสู้หรือทำอะไรกระโตกกระตาก สิ่งที่ควรทำคือการกราบขอร้องขอชีวิตแล้วค่อยกลับมาเอาคืนทีหลัง

เหลินเสี่ยวซูหันไปมองเสี่ยวหยู “เขาเป็นใครน่ะ?”

“คนงานในเหมืองถ่านหินน่ะ เขาเป็นคนที่นำกลุ่มไปบุกแทงคนตายแล้วปล้นของไปเมื่อคืนก่อนด้วย ทันทีที่เขาได้ยินว่าชายคนนั้นมีเงินเก็บ เขาก็คิดแผนการปล้นขึ้นมาทันที เพราะเขาเองก็ติดหนี้พนันอยู่เหมือนกัน” เสี่ยวหยูบอกเรื่องราวทั้งหมดออกมา เรื่องพวกนี้เธอรู้มาเมื่อคืนก่อนตอนที่เขามาโม้เรื่องนี้กับเธอเอง

เหลินเสี่ยวซูเดินไปที่ถนนก่อนจะหยิบมีดโลหะของชายคนนั้นขึ้นมา จากนั้นก็เดินกลับมาหาชายคนนั้น จ้องมองด้วยความไร้อารมณ์ เขาประมาณไว้แล้วว่ากว่าชายคนนี้จะกลับมาเคลื่อนไหวได้ก็ต้องใช้เวลามากสุด 4-5 วินาที

ทันใดนั้นเองเสียงจากในวังจิตใจของเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ภารกิจ: ปล่อยศัตรูเป็นอิสระ”

แต่ทันทีที่เสียงของวังจิตใจดับลง เหลินเสี่ยวซูก็นั่งยองๆแล้วแทงมีดโลหะนั้นเข้าไปในท้องของชายคนนั้นอย่างแรง มีดโลหะแหลมคมแทงทะลุเสื้อผ้าและผิวหนังปักเข้าไปในท้องของชายคนนั้น ทำเอาเหล่าคนที่แอบมองดูเสียวสันหลังวาบกันไปตามๆกัน

“นายมีเวลาประมาณ 3 นาที ถ้านายไปถึงที่คลินิกประจำเมืองได้ทันเวลาแล้วเย็บแผลได้ทัน นายก็อาจจะมีโอกาศรอดนะ” เหลินเสี่ยวซูพูดอย่างใจเย็น

พอชายคนนั้นได้ยินแบบนั้น เขาไม่คิดจะร้องหรือสนใจความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น เขารีบวิ่งกระเผกตรงไปทางคลินิกประจำเมืองทันทีโดยไม่พูดอะไรซักคำ

“ภารกิจสำเร็จ ได้รับตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐาน”

“ภารกิจสำเร็จ ได้รับตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐาน”

 

“เหตุเพราะสูญเสียอาวุธ ภารกิจเสริมพิเศษเริ่มทำงาน…”

เหลินเสี่ยวซู ตกใจตั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้ยินประโยคสุดท้ายซะอีก ภารกิจแรกเขาเข้าใจว่ามันน่าจะเกี่ยวกับการช่วยเหลือเสี่ยวหยู เขาเลยพอจะเข้าใจว่ามันสำเร็จได้ด้วยดี แต่เขาไม่ได้คิดว่าภารกิจที่ 2 จะสำเร็จไปด้วย

วังในจิตใจของเขามันตัดสินใจยังไงของมันวะเนี่ย?!

หยานหลิวหยวนถามขึ้นมาข้างๆ “พี่ จะปล่อยเขาไปแบบนั้นมันจะดีเหรอ แล้วถ้าเกิดเขาไปเย็บแผลทันขึ้นมา พักฟื้นตัวให้หายดีแล้วกลับมาแก้แค้นพี่จะทำยังไงอะ? เขาไม่ใช่คนดีเลยนะ”

เหลินเสี่ยวซูมองไปทางทิศที่ชายคนนั้นวิ่งไป “อย่างกับคลีนิกเฮงซวยใจเมืองนี้จะเย็บแผลคนเป็นงั้นแหล่ะ”

“อ้อ โอเค เห็นพี่โหดขนาดนี้ ฉันก็สบายใจ”

เพราะแบบนั้น เหลินเสี่ยวซูเลยโล่งใจที่อย่างน้อยภารกิจก็ถือว่าสำเร็จ ถึงแม้ว่าชายคนนั้นยังไงก็ต้องตายแน่นอน ยิ่งกว่านั้น ถึงเขาจะไม่ตาย แต่โดนมีดโลหะขึ้นสนิมเต็มไปหมดขนาดนั้นแทงมันก็เพียงพอจะทำให้เป็นบาดทะยักได้อย่างง่ายดาย เพราะงั้น ถึงเขาจะไม่ตายจากบาดแผล เขาก็จะเป็นบาดทะยักติดเชื้อตายอยู่ดี

ชายคนนั้นถึงจะมีมีดโลหะ แต่เขาก็มีตังซื้อได้แค่มีดโลหะคุณภาพต่ำที่สุดเท่านั้น ไม่งั้นเหลินเสี่ยวซูคงจะหักมีดนั่นไม่ได้แน่ๆ

คนอย่างเหลินเสี่ยวซูนั้นมีหลักการในการใช้ชีวิตของตัวเองเสมอ และจะไม่ออกนอกลู่นอกทางไปจากนั้นไกล ถึงแม้ว่าเขาจะได้พลังพิเศษอะไรมาก แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาไปเท่าไรอยู่ดี

ถ้าเขาจะเปลี่ยน เขาก็จะเปลี่ยนไปด้วยตัวของเขาเอง ไม่มีใครมาสั่งให้เขาทำ หรือเป็นอะไรได้

เพราะงั้นดูเหมือนกับว่าเกณฑ์การให้ผ่านของภารกิจพวกนี้มันไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นงั้นเหรอ? แล้ววังในจิตใจต้องการอะไรจากเขากันล่ะ… ภาพลักษณ์ที่เหลินเสี่ยวซูแสดงออกมาแค่นี้เหรอ?

ตอนนั้นเหล่าผู้คนในกระท่อมข้างถนนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน ตลอดเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความโหดเหี้ยมไร้ปราณีของเหลินเสี่ยวซูดี แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้อยู่ดี

นั่นเป็นเพราะรูปกายของทั้ง 2 คนนั้นมันต่างกันมาก ตัวของผู้ชายคนนั้นใหญ่กว่าเหลินเสี่ยวซูอย่างเห็นได้ชัด แต่พละกำลังของเหลินเสี่ยวซูกลับเทียบเท่าได้กับชายคนนั้น แถมอาจจะมากกว่าซะอีก

ถือว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อทีเดียว

ใครบางคนพึมพัมขึ้นมาจากกระท่อมนึง “เห็นไหมละ บอกแล้วว่าอย่าไปยั่วโมโหเขา”

เหลินเสี่ยวซูเดินไปหยิบมีดกระดูกคู่ใจที่รับใช้เขามานานหลายปี วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องปลดระวางมันแล้ว

เขาหันหลังกลับไปแล้วมองเสี่ยวหยู ในยามค่ำคืน ผิวพรรณของเสี่ยวหยูกลับดูละเอียดละออขึ้นมา ถึงแม้ว่านางจะอายุมากกว่าเหลินเสี่ยวซูถึง 8 ปี แต่ในตอนนี้ เธอกลับดูเด็กกว่าเขา 8 ปีซะมากกว่า

เหลินเสี่ยวซูถามไปทื่อๆ “เลิกสูบบุหรี่จะได้ไหม?”

เสี่ยวหยูพยักหน้าอย่างขมักเขม้น

“ของพวกนั้นมันไม่ได้เสพติดขนาดนั้นหรอก เพราะว่ามันผสมฝิ่นเข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ตาแก่หวางเคยบอกฉันมาว่าอัตราส่วนการผสมฝิ่นมันน้อยมากๆ เพราะงั้นมันเลยเลิกง่าย อยากเลิกเมื่อไรก็เลิกได้ไม่มีผลข้างเคียง” เหลินเสี่ยวซูพูดก่อนจะเดินไปตรงประตูกระท่อมของเสี่ยวหยู แล้วแทงมีดกระดูกสีขาวที่หักครึ่งลงไปในดินหน้าประตูอย่างแรง ก่อนจะปล่อยให้มันปักคาไว้แบบนั้นอยู่เหนือผิวดิน

เหล่าคนนอกที่เฝ้ามองหาโอกาสคิดไม่ดีไม่ร้ายกับเสี่ยวหยูสลัดความคิดนั้นทิ้งทันที

มีดกระดูกที่ปักออยู่เล่มนี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของเหลินเสี่ยวซู ไม่ว่าใครที่กล้าทำอะไรกับผลีผลามก็เท่ากับว่ามีเรื่องกับเหลินเสี่ยวซูคนนั้นเช่นกัน

เหลินเสี่ยวซูหันหลังกลับแล้วพูดขึ้นมา “ฉันมีเรื่องที่อยากจะพูดให้ชัดเจนน่ะ ถึงแม้ว่าหน้าฉันจะดีแค่ไหน แต่…ระหว่างเรา…คงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ…”

เสี่ยวหยูมองดูอย่างงงๆ ก่อนจะพูด “ฉันเห็นนายเป็นแค่น้องชายของฉันจริงๆนะ”

“555555 แปลกจังเลยนะ55555” เหลินเสี่ยวซูพยายามหัวเราะปกปิดเสียงหน้าแตกของตัวเอง

แล้วเขาก็รีบพาหยานหลิวหยวนกลับเข้าไปในกระท่อมทันที เขาจ้องหน้าหยานหลิวหยวนเขม็งตอนที่เขาเดินกลับกัน เหมือนกับจะบอกว่า ความผิดของนายนั่นล่ะที่พล่ามเรื่องไร้สาระพวกนั้นให้ฉันฟังตลอดน่ะ!

หยานหลิวหยวนไม่สนใจแต่เขากลับหันหลังกลับไปแล้วกระพริบตาส่งสัญญาณให้กับเสี่ยวหยู พอเสี่ยวหยูเห็นหน้าตาท่าทางของหยานหลิวหยวนแล้ว เธอก็หัวเราะออกมา ความกดดัน ความโศกเศร้าเมื่อกี้หายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

เธอก้มลงกับพื้นจ้องมองมีดกระดูกหักครึ่งที่ปักอยู่อย่างเนิ่นนานก่อนจะยิ้มออกมาแล้วเดินกลัวเข้ากระท่อมไปนอนหลับอย่างสบายใจ

อีกด้านนึง เหลินเสี่ยวซูก็หลับตาลงแล้วตรวจเช็คดูวังภายในจิตใจของเขา จากนั้นเขาก็เช็คดูว่าสิ่งที่แป้นพิมพ์ พิมพ์ล่าสุดคืออะไร

ภารกิจเสริมเหรอ? น่าสนใจดีนี่!

เหลินเสี่ยวซูยืนอยู่หน้าทางเข้ากระท่อม เฝ้ามองกลุ่มคนเดินจากไป ตาแก่หวางเดินไล่ตามหลังไปขอโทษพวกเขา “ถึงหมอนั่นจะชอบทำอะไรแปลกๆ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นบ้านะ เดี๋ยว ให้ฉันได้อธิบายก่อน..”

สมาชิกวงไม่สนใจที่จะฟังคำอธิบายใดๆทั้งนั้น “เถ้าแก่หวาง ผมให้เวลาคุณ 6 ชั่วโมงในการหาคนมานำทางพวกเราซะ ถึงเจ้าเด็กนั้นมันจะไม่มีพิษมีภัยอะไรแต่เราก็จะไม่ใช้เขาเด็ดขาด เราจะรอจนถึงรุ่งเช้า อย่าทำให้เสียแผนซะล่ะ!”

เหลินเสี่ยวซูยืนอารมณ์ดีอยู่หน้าทางเข้ากระท่อม มองดูกลุ่มคนเดินมาหาเขาเสียเที่ยว ถึงจะเศร้าใจแทนตาแก่หวางแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาเหมือนกัน แต่ทันใดนั้นเอง หญิงสาวที่สวมหมวกคนเดิมก็หันหลังกลับมามองเขา แล้วจ้องเขาตอนที่เดินจากไปทำให้เหลินเสี่ยวซูรู้สึกเหมือนกับว่าแผนเขาแตก

เขามองไม่เห็นสีหน้าเบื้องหลังหมวกนั่นด้วยซ้ำ แต่หัวใจของเขากลับเต้นรัวๆด้วยเหตุผลบางอย่าง

ทันใดนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูก็ถือโอกาสนี้แอบใช้งานตำราลอกเลียนทักษะ ทำให้เสียงไร้อารมณ์ดังออกมาจากด้านในวัง “ทักษะของเป้าหมายจะถูกคัดลอกมาแบบสุ่ม”

“แบบสุ่มเหรอ?”

สุ่มทักษะได้ ทักษะอาวุธปืนของเป้าหมาย จะเรียนรู้รึไม่?”

“เอาเลย!” พอเห็นว่าตำราลอกเลียนทักษะหายไปแล้ว เหลินเสี่ยวซูก็คิดในใจว่าถ้าเขาไม่ได้เรียนรู้ทักษะดีๆมาละก็ คงจะเสียดายแย่

“เรียนรู้สำเร็จ ท่านสำเร็จวิชาความชำนาญอาวุธปืนขั้นสูง”

“เดี๋ยวก่อนนะ ที่ฉันได้มามันเป็นตำราขั้นพื้นฐานไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมฉันถึงเรียนรู้วิชาความชำนาญอาวุธปืนขั้นสูงได้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าฉันควรจะเรียนรู้ได้สูงสุดขั้นพื้นฐานไม่ใช่เหรอ” เหลินเสี่ยวซูคิดในใจ

“ตำราลอกเลียนทักษะนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรกคือตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐาน จะส่งผลทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะขั้นใดก็ได้ ขั้นสูงลงมา ส่วนแบบที่ 2 คือตำราลอกเลี้ยนสุดยอดทักษะ สามารถทำให้เรียนรู้ทักษะขั้นสุดยอดได้ ทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะในระดับที่สูงกว่า และยังมีโอกาสคัดลอกพลังพิเศษของอีกฝ่ายได้อีกด้วย” เสียงจากในวังตอบออกมา

เหลินเสี่ยวซูตะลึงกับสิ่งที่เขาพึ่งได้เรียนรู้ ว่าเขาสามารถคัดลอกพลังพิเศษของคนอื่นได้ด้วย! จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ยางอย่างแล้วพูดขึ้นมา “พอจะบอกระดับทักษะการใช้อาวุธปืนของผู้หญิงคนนั้นได้ไหม?”

“ได้ ข้อมูลจะถูกเปิดเผยหากเป็นเป้าหมายที่เลือกคัดลอก”

“ถ้างั้นเธอมีทักษะการใช้ปืนระดับไหนกันละ สุดยอดเหรอ?”

“สมบูรณ์แบบ”

ตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐาน จะส่งผลทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะขั้นใดก็ได้ ขั้นสูงลงมา ส่วนแบบที่ 2 คือตำราลอกเลี้ยนสุดยอดทักษะ สามารถทำให้เรียนรู้ทักษะขั้นสุดยอดได้ ทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะในระดับที่สูงกว่า และยังมีโอกาสคัดลอกพลังพิเศษของอีกฝ่ายได้

ระดับของทักษะพลังนั้นจะถูกตัดสินโดยตัวของ “วัง” เอง ถึงแม้ว่าวังจะเคยบอกถึงเรื่องโอกาสความสำเร็จที่ต่ำ แต่เหลินเสี่ยวซูก็อดจะตื่นเต้นเรื่องที่เขามีโอกาสที่จะคัดลองพลังพิเศษของคนอื่นมาได้

เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนนั้นเคยคุยกันเรื่องเกี่ยวกับทักษะพลังพิเศษที่แฝงอยู่ในร่างของคนเรานั้นมันแตกต่างกัน บางคนเกิดมาเพื่อที่จะเป็นนักสู้ ในขณะที่บางคนเกิดมาอ่อนแอ

คนอย่างเหลินเสี่ยวซูที่ต้องใช้ชีวิตเอาตัวรอดในป่า รู้สึกว่าพลังพิเศษเชิงรุกนั้นเป็นอะไรที่แข็งแกร่งกว่า แต่พอมาเจอทักษะพิเศษของหยานหลิวหยวนที่สามารถควบคุมดวงได้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาไม่สามารถใช้ในการต่อสู้จริงได้ก็จริง แต่เหลินเสี่ยวซูก็เริ่มเชื่อว่าพลังพิเศษของแต่ละคนนั้นถึงแม้ว่ามันจะต่างกัน แต่ก็ไม่มีพลังของใครเหนือไปกว่าใคร

แต่ตอนนี้ เขากลับได้เจอทักษะที่สามารถคัดลอกทักษะของคนอื่นได้? แบบนี้มันจะไปเรียกไม่เหนือกว่าได้ยังไงกัน!

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูงงเรื่องเด็กสาวที่สวมหมวกซะมากกว่า

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูได้เรียนรู้ทักษะความชำนาญอาวุธปืนขั้นสูง ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอาวุธปืนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา มันเหมือนกับความรู้พวกนั้นมันสมานเป็นหนึ่งเดียวกับเขา ทำให้เขาสามารถเข้าใจมันได้ในระดับสัญชาตญาณ

ที่เขาเรียนรู้มานั้น ไม่ใช่แค่ความรู้เกี่ยวกับประเภทและชนิดของปืนแต่ละรุ่น การถอดประกอบ การดูแลรักษาและใช้งาน แต่มันรวมไปถึงความเชี่ยวชาญในการเล็ง และความนิ่งของการใช้อาวุธปืนด้วย

เหลินเสี่ยวซูรู้แม้กระทั้งแรงถีบของปืนแต่ละชนิดที่มี ถ้าหากเขาถือปืนอยู่ตอนนี้ ตราบใดที่เขามีทักษะการใช้อาวุธปืนขั้นสูง เขาก็ไม่ต่างอะไรจากทหารฝีมือดีที่ฝึกการใช้ปืนมาเป็นปีๆ

ในด้านความแม่นยำ เขาสามารถยิงให้เข้าเป้าคะแนน 9.5 หรือมากกว่า ในระยะ 100 เมตร เป็นมาตรฐานของทักษะความเชียวชาญอาวุธปืนขั้นสูง

ความรู้ที่เขาพึ่งได้รับมาทำให้เหลินเสี่ยวซูตกใจเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้เกินไปจากสิ่งที่เขาคาดหมาย เพราะยังไงเขาก็ยังไม่มีปืนอยู่ในครอบครอง แต่ที่เขาตกใจมากกว่าคือระดับความเชี่ยวชาญของเด็กสาวคนนั้นตั่งหาก

แค่ระดับสุดยอด เหลินเสี่ยวซูก็จินตนาการไม่ออกแล้วว่ามันต้องเก่งขนาดไหน แต่นี่มันระดับสมบูรณ์แบบ

คนแบบเธอเนี่ยนะอยู่ในวงดนตรี?

แถมดูเหมือนว่าพวกทหารและสมาชิกในวงเองก็ไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่ามียอดฝีมือพลแม่นปืนระดับพระกาฬแฝงตัวอยู่ในกลุ่มพวกเขาด้วย เหลินเสี่ยวซูเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าทุกคนนั้นปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นสมาชิกของกลุ่มคนนึงเท่านั้น

เด็กสาวคนนั้นเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเหลินเสี่ยวซูจะใช้วิธีพิเศษในการล้วงความลับของเธอแบบนี้

เขาตัดสินใจได้ยอดเยี่ยมแล้วที่แกล้งทำเป็นบ้าแล้วไม่ออกเดินทางไปกับกลุ่มพวกนั้น ในขณะเดียวกัน เหลินเสี่ยวซูก็รู้สึกดีมากด้วยที่ไปรู้ความลับของใครเข้า

“พี่ ทำไมเอาแต่จ้องที่หลังเธอแบบนั้นล่ะ?” หยานหลิวหยวนถามตอนที่เขาโผล่หัวออกมาจากกระท่อม

เหลินเสี่ยวซูยิ้มแบบปากฉีกถึงรูหู เขาหันหลังกลับก่อนจะมองหน้าหยานหลิวหยวน เตรียมจะใช้อำนาจของพี่ชายในการกำราบ แต่ทันใดนั้นเอง ที่ประตูกระท่อมข้างๆกลับเปิดขึ้นมา พร้อมเสียงผู้หญิง “หลังใครกัน ไหน?”

หยานหลิวหยวนกับเหลินเสี่ยวซูตะลึงมาก เพราะคนที่ออกมาจากกระท่อมหลังข้างๆของเขานั้น คือเสี่ยวหยูนั่นเอง

หยานหลิวหยวนถามขึ้นมา “พี่เสี่ยวหยู ทำไมไปอยู่ในกระท่อมหลังนั้นได้ล่ะ?”

เสี่ยวหยูสางผมตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันพึ่งจะย้ายมาน่ะ ฉันจะมาเป็นเพื่อนบ้านนายนับแต่นี้ไปนะ”

“แล้วครอบครัว 3 คนที่เคยอยู่ที่นี่ล่ะ” หยานหลิวหยวนถาม “พวกเขาไปไหนแล้ว?”

“ฉันสลับบ้านกับพวกเขาเองแหล่ะ” เสี่ยวหยูอธิบาย

หยานหลิวหยวนดึงตัวของเหลินเสี่ยวซูมาข้างๆแล้วกระซิบ “นี่ พี่ พี่เสียวหยูเขาลงทุนขนาดนี้เลยนะ เมื่อก่อนเธอเคยอยู่ในบ้านอิฐไม่ใช่เหรอ!”

เหลินเสี่ยวซูไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก้มหัวลงแล้วกลับเข้าไปในกระท่อม ขณะที่หยานหลิวหยวนยิ้มให้เสี่ยวหยูก่อนที่จะถอนหัวของตัวเองกลับเข้าไปในกระท่อมเช่นกัน

“พี่เองก็ยังซิงอยู่ไม่ใช่เหรอ?” หยานหลิวหยวนจู่ๆก็ถามขึ้นมา

เหลินเสี่ยวซูมองหน้าหยานหลิวหยวนแล้วพูด “หลิวหยวน ตอนนี้นายก็ไม่เด็กละนะ แต่เพราะงั้นฉันจะสอนอะไรนายซักอย่างให้ก็แล้วกัน”

หยานหลิวหยวนนั่งลงก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาละพี่ชาย ถ้าอยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องเซ—-“

ก่อนที่หยานหลิวหยวนจะได้พูดจบ ฝ่าเท้าก็ยันเข้าที่หน้าอกเขาอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น แต่หยานหลิวหยวนก็ไม่ได้โกรธอะไร เขากลับหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ

“นายที่แก่แดดขึ้นมากเลยนะ?” เหลินเสี่ยวซูกลับลงไปนอนบนเตียงแล้วพูด “อย่าพยายามไปหาเรื่องพี่เสี่ยวหยูเขาล่ะ แล้วก็อย่าพยายามจับคู่ฉันกับเธอด้วย แค่พวกเราเองก็เอาตัวเองกันแทบจะไม่รอดแล้ว เราไม่มีเวลาไปห่วงใยคนอื่นหรอกนะ”

“เข้าใจแล้ว” หยานหลิวหยวนตอบอย่างว่าง่าย “แต่เธอเป็นคนที่ให้มันฝรั่งกับยาเรามานะ แถมเธอยังดูเป็นห่วงพี่มากด้วย พี่จะเมินเธอต่อไปแบบนี้จริงๆเหรอ?”

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพักก่อนจะพูด “สิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงอยู่เป็นมนุษย์คือการจริงใจกับความรู้สึกตัวเอง หากเมื่อใดที่มันมีความรู้สึกแปลกปลอมขึ้นมาทั้งๆที่มันไม่ใช่ เราก็ต้องกล่อมจิตใจตัวเองว่ามันไม่เป็นความจริง”

หยานหลิวหยวนงงกับที่เหลินเสี่ยวซูพูด

ตอนเหลินเสี่ยวซูเริ่มพูด หยานหลิวหยวนตั้งใจฟังคำสอนของเขาจริงๆ แต่พอเขาพูดจบ สิ่งที่หยานหลิวหยวนได้รับกลับเป็นความงงมากกว่าเดิม

บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะเหลินเสี่ยวซูเป็นคนแบบนี้ก็ได้

ในยุคสมัยแบบนี้ คนอย่างเหลินเสี่ยวซูนั้นอาจจะมีโอกาสรอดมากกว่าคนปรกติ แตต่ถถึงอย่างนั้น หยานหลิวหยวนก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นเคยเป็นคนแบบไหนมาก่อน ความขี้ระแวงกับการระมัดระวังตัวเกิดเหตุของเหลินเสี่ยวซูมันเกิดมาจากบทเรียนและประสบการณ์ทั้งหลายที่เขาได้รับผ่านบาดแผลเป็นที่เขาได้รับมาในอดีต

แต่ถึงอย่างนั้น หยานหลิวหยวนรู้ดีกว่าใครว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นมักจะปล่อยให้สิ่งที่ตนเองอยากจะพูดหรือสื่อจริงๆหลุดลอยหายไปในอากาศ

เมื่อตกกลางคืน ผู้คนในเมืองก็เริ่มกลับบ้านกลับช่องกัน คนที่อาศัยอยู่ในบ้านก็พากันปิดประตูแน่น ส่วนพวกที่อาศัยอยู่ในกระท่อมก็ซ่อนตัวอยู่หลังประตูม่านบางๆ

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูกลับมาตอนเย็น เขาบังเอิญไปได้ยินมาว่า คนในโรงงานผลิตยางนั้นโดนแทงตายหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน ตามข่าวลือว่ากันว่า ผู้ตายนั้นมีนิสัยชอบเก็บออม ทำให้คนเข้ามาฆ่าและชิงทรัพย์ไป

ผู้คนในเมืองนั้นชอบที่จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน เพื่อน พี่น้อง คู่รัก ต่างอาศัยอยู่ด้วยกันแล้วผลัดกันดูแลความเรียนร้อยในยามค่ำยืน ถ้าทำแบบนั้น ความปลอดภัยในชีวิตจะมีมมากกว่า นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนถึงมาร่วมมือกันตั้งแต่แรก

แต่บางคนก็ดวงซวยดันตกเป็นเหยื่อของคู่หูที่พวกเขาไว้ใจเหมือนกัน

ความเชื่อใจมักจะทำให้คนเราตาบอดมองข้ามคนใกล้ตัวที่อาจจะมาทำร้ายเราได้ แต่คนที่ทำแบบนั้น ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่ว่าจะไม่มีใครเชื่อใจอีกเลย

และคนผู้นั้นสุดท้ายก็อยู่คนเดียวไม่รอดแล้วก็จบไม่สวยตามไปเช่นกัน

เหลินเสี่ยวซูนั่งอยู่ในกระท่อม และแกะผ้าพันแผลออกจากมือของเขา เขาขมวดคิ้วตอนที่เห็นสภาพแผล เนื้อรอบบริเวณแผลนั้นบวมแดงอย่างเห็นได้ชัดเป็นสัญญาณของอาการอักเสบ แต่พอเขาเห็นหยานหลิวหยวนเดินตรงเข้ามาใกล้ เขาก็รีบพันผ้ากลับเข้าไปรอบแผลตามเดิม

“พี่ แผลเป็นไงบ้าง?” หยานหลิวหยวนถาม

“ก็โอเคดีนี่” เหลินเสี่ยวซูพูดอย่างใจเย็น

“ฉันไม่เชื่อพี่หรอก ไหนเอามาดูหน่อย” หยานหลิวหยวนพูดพร้อมพยายามจะดึงผ้าพันแผลออกจากมือของเหลินเสี่ยวซู

“ก็บอกว่าโอเคดีไง” เหลินเสี่ยวซูผลักหยานหลิวหยวนออกไป “ถ้ามันแย่ลงเดี๋ยวฉันก็ไปซื้อยามากินเองแหล่ะน่ะ”

“อย่ามาโกหกฉันนะพี่ คราวที่แล้วพี่ก็ฝืนตัวเองแบบนี้อะ” หยานหลิวหยวนพูด

เหลินเสี่ยวซูถอนหายใจ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ฉันไม่ทำเหมือนชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆหรอก”

ในธรรมชาติ สัตว์นักล่าปรกติมักจะไม่ออกล่าอย่างสุดตัว เพราะพวกนั้นเข้าใจหลักการข้อนึงเป็นอย่างดี นั้นก็คือหากพวกมันฝืนจนบาดเจ็บล่ะก็ ความตายจะคืบคลานมาใกล้มากขึ้นเท่านั้น

แม้แต่สัตว์ป่ายังรู้เลย เหลินเสี่ยววูจะไม่รู้ได้ยังไง?”

 

“เออ พี่ ทำไมที่ใต้เก้าอี้มันมีมันฝรั่งซ่อนอยู่ 2 หัวอยู่ด้วยล่ะ โอ๊ะ แถมยังมีเม็ดยาอีก 3 เม็ดตรงนี้ด้วย ยาพวกนี่มันยาแก้อักเสบที่พี่อยากจะซื้อวันนี้ไม่ใช่เหรอ หน้าตามันเหมือนกับที่อยู่ในร้านเลย” หยานหลิวหยวนตกใจมาก “พี่วางมันไว้ตรงนั้นรึเปล่า?”

“เปล่านี่” เหลินเสี่ยวซูส่ายหน้าแล้วมองยาพวกนั้น “นี่มันยาแก้อักเสบจริงด้วย”

“งี้หมายความว่าพี่เสี่ยวหยูต้องเป็นคนที่แอบเอายากับมันฝรั่งมาวางไว้แน่เลย เพราะนางเป็นคนเดียวที่ฉันบอกเรื่องที่พี่บาดเจ็บน่ะ” หยานหลิวหยวนยิ้มแล้วยื่นมันฝรั่งให้กับเหลินเสี่ยวซู “พี่เสี่ยวหยูนี่ก็ดีกับพี่จริงๆนะ ทำไมพี่ไม่แต่งงานกับนางซะล่ะ?”

เหลินเสี่ยวซูสวนกลับ “นายนี่ก็เปลี่ยนสีเร็วเหมือนกันนะ พอเธอทำดีเข้านิดให้ของกินหน่อย นายก็ชมเธอซะแล้ว เมื่อวานก่อนนายยังปากเสียใส่เธออยู่เลย”

“แหะแหะ” หยานหลิวหยวนกัดมันฝรั่งที่เอาไปย่างแล้วเสียงดัง ปรกติแล้วพวกเขาจะไม่กินมื้อเย็นกัน เหลินเสี่ยวซูนั้นจะกินแค่ข้าวเช้านิดหน่อย กับข้าวเที่ยงเยอะๆ แต่การกินตอนกลางคืนมันไม่ค่อยจะดีกับร่างกาย

มันเป็นปรัชญาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคก่อนเกิดภัยพิบัติแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูก็รู้เหตุผลดียิ่งกว่าใคร ว่าที่เขาไม่กินข้าวเย็นนั้นเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาไม่มีจะกินซะมากกว่า

“นี่ พี่”

เหลินเสี่ยวซูหันมามอง จากนั้นเขาก็สังเกตุเห็นหยานหลิวหยวนที่ก้มหัวน้ำเสียงแอบเศร้าเล็กน้อย เขาถามกลับ “มีอะไรล่ะ?”

“พี่ยังจำตอนที่พี่กลับมาจากป่าหลังจากที่โดนฝูงหมาป่าเข้าโจมตีเมื่อปีที่แล้วได้รึเปล่า? ตอนนั้นก็มีใครบางคนแอบเอายามาให้พี่เหมือนกันนะแล้วยานั้นก็ช่วยชีวิตพี่ไว้ด้วย” หยานหลิวหยวนพูด

“จำได้ซิ แน่นอน ฉันยังพยายามตามหาอยู่เลยว่าเขาคนนั้นเป็นใครกัน” เหลินเสี่ยวซูพูด

“บางที่พี่เสี่ยวหยูอาจจะเป็นคนที่มอบยานั่นให้กับเราก็ได้นะ” หยานหลิวหยวนพูด “เพราะตำแหน่งที่ซ่อนยาเองก็เป็นจุดเดียวกันเลยด้วย”

เหลินเสี่ยวซูตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ทันใดนั้นเอง ที่จู่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาจากด้านนอก

ไม่ใช่แค่ 1 แต่มาเป็นกลุ่ม

การที่ผู้คนจะออกเดินบนถนนยามค่ำคืนเป็นกลุ่มแบบนี้ถือว่าหาได้ยากมาก ทำให้เหลินเสี่ยวซูเดาได้ทันทีว่าใครกันที่กำลังตรงมาทางนี้และพวกเขามีจุดประสงค์อะไรกัน

เหตุผลที่ว่าทำไมคณะวงดนตรีถึงอยากจะออกเดินทางผ่านภูเขาจิงกันนักหนาเวลาแบบนี้นั้น เป็นไปตามที่เหลินเสี่ยวซูเคยคาดการไว้เป๊ะ หน่วยทหารที่ติดตามไปด้วยนั้นมีภารกิจอื่นอยู่ด้วยจริงๆ ทางกองบัญชาการของป้อมปราการที่ 113 นั้นพบข้อมูลบางอย่างที่พิสูจน์ได้ว่าภูเขาจิงนั้นแท้จริงแล้วพึ่งจะเกิดขึ้นมาหลังจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกครั้งใหญ่ ซึ่งนั้นหมายความว่ามันอาจจะมีสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากยุคก่อนเกิดภัยพิบัติอยู่ตรงจุดนั้นก็ได้

ทั้งกลุ่มนั้นรู้เรื่องเหลินเสี่ยวซูมาจากตาแก่หวางที่ร้านขายของชำ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังมีความลังเลเกี่ยวกับเรื่อง “อาการป่วย” ของเขา แต่หลังจากที่พวกเขาลองหาข้อมูลจากหลายแหล่ง เกือบทุกคนก็รู้สึกเหมือนกันว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นน่าจะเป็นคนที่เหมาะกับการมาเป็นผู้นำทางให้พวกเขามากที่สุด

บางคนถึงขั้นสงสัย ว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นมีดีอะไรนักหนาเขาถึงได้เป็นที่รู้จักกว้างขวางในเมืองแบบนั้น

และด้วยความสงสัย ทำให้พวกเขาไม่อาจรอช้าได้ และในที่สุด พวกเขาก็ได้คำตอบกลับมา นั่นก็เพราะเหลินเสี่ยวซู เป็นคนเดียวในเมืองนี้ที่รอดจากการถูกโจมตีโดยหมาป่าทั้งฝูง แล้วยังรอดกลับมาถึงเมืองได้

เมื่อปีก่อน ตอนที่เหลินเสี่ยวซูกลับเมืองมาหลังจากที่ล่าสัตว์ สภาพของเขาไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายแล้ว เลือดไหลนองออกจากร่างเขาเต็มไปหมด บาดแผลจากคมเขี้ยวของหมาป่าฝังลึกลงไปในผิวหนังและกล้ามเนื้อของเขา

ไม่ว่าคนในเมืองจะโหดเหี้ยมขนาดไหน พวกเขาก็ไม่คิดจะทำอะไรไม่ดีกับเด็กที่ปางตายหรอก แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะช่วยเหมือนกัน ทุกคนต่างมองอยู่รอบข้างอย่างเฉยชา

ทุกคนที่รู้เรื่องต่างก็คิดว่าเหลินเสี่ยวซูคงได้ตายในคืนนั้นแน่ แต่เขากลับฟื้นตัวขึ้นมาแล้วรอดตายมาได้จนถึงทุกวันนี้

สมาชิกวงดนตรีต่างสนใจเรื่องราวนี้มาก เมื่อพวกเขารู้ว่าเหลินเสี่ยวซูรอดตายมาได้ยังไง ตาแก่หวางเล่าให้ฟังหมดเปลือกพร้อมรอยยิ้ม และบอกได้เต็มปากว่าเป็นเพราะว่า หยานหลิวหยวน ผู้เป็นเหมือนน้องชาย ไปไล่ขอเคาะประตูคุกเข่ากราบขอร้องขออาหารด้วยตัวเอง จนในที่สุดเหลินเสี่ยวซูก็รอดมาได้ และดูเหมือนกับว่ามีใครบางคนแอบให้ยาเขาแบบลับๆด้วย แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครกันแน่

ทุกคนในเมืองนั้นต่างก็รู้ดีว่า ถึงเหลินเสี่ยวซูจะรอดมาได้ แต่ก็แลกมาด้วยอาการป่วยที่ฝังอยู่ในหัวของเขามานับตั้งแต่วันนั้น

“จะว่าไปแล้วเถ้าแก่หวาง” คนในกลุ่มนั้นพูดกับตาแก่หวางที่เดินนำทางมา “ที่เถ้าแก่บอกว่า เขาทำอะไรแปลกๆเนี่ย หมายความว่าไงกัน?”

“อ้อ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร แค่พูดเฉยๆน่ะ” ตาแก่หวางพูดด้วยรอยยิ้มกว้างจนตีนกาขึ้น “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ดูนั้นซิ บ้านของเขาอยู่ตรงนั้นล่ะ”

ตาแก่หวางกล้าออกมาเดินข้างนอกตอนกลางคืนแบบนี้เป็นเพราะว่าเขาพาคนจากป้อมปราการมาด้วย แถมเขายังตั้งใจพูดเสียงดังเหมือนกับเป็นการประกาศให้คนรอบข้างรู้ว่า เขารู้จักมักจี่กับคนในป้อมปราการดี

“เสี่ยวซู ออกมาหน่อยซิ มีแขกพิเศษมาหาหน่ะ” ตาแก่หวางตะโกนแล้วหัวเราะ

ทันใดนั้นเอง ประตูกระท่อมก็ได้ถูกแหวกออก

จากนั้นเหลินเสี่ยวซูก็พุ่งออกมาจับมือของตาแก่หวางแล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มแปลกๆ “ยินดีด้วยนะครับ! คุณพ่อกับเด็กปลอดภัยดี น้ำหนักแรกเกิดอยู่ที่ 3.24 กิโลกรัมเลยนะครับ!”

ตาแก่หวางงงแตก คณะเดินทางวงดนตรี ทหาร งงกันหมด

สมาชิกวงดนตรีคนหนึ่งชี้ไปที่เหลินเสี่ยวซูแล้วพูดกับตาแก่หวาง “แบบนี้บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้ยังไงกัน หมอนี่สติไม่ดีไปแล้วชัดๆ?!”

อีกอย่าง อะไรคือ คุณพ่อกับเด็กปลอดภัยดีแล้วกันวะ ปรกติแล้ว มันต้องเป็นแม่และเด็กปลอดภัยดีไม่ใช่เหรอ?!

คณะเดินทางพูดด้วยความโกรธ “เถ้าแก่หวางรู้ดีใช่ไหมว่าโกหกพวกเราจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ? นี่จงใจหลอกพวกเรามางั้นเหรอ?” ทันทีที่เขาพูดจบ วงดนตรีทั้งหลายก็หันหลังกลับแล้วจากไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า เหลินเสี่ยวซู นักล่าคงกระพันในตำนานคนนั้น แท้จริงแล้วจะเป็นคนบ้าแบบนี้

ไม่แปลกใจเลยที่คนในเมืองบอกมาว่า เหลินเสี่ยวซูชอบทำอะไรแปลกๆ ดูเหมือนว่าที่พวกเขาพูดจะเป็นความจริงซะแล้ว

 

อาจารย์ฉางจิงหลินพอได้ยินคำตอบของเหลินเสี่ยวซูก็อึ้งซะจนพูดไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เหลินเสี่ยวซูเองก็กำลังงงแตกอยู่เหมือนกัน เมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าเขาสอนความรู้ที่เขามีให้คนอื่นแล้วเหรอ แล้วทำไมภารกิจถึงยังไม่สำเร็จอีกล่ะ?

หรือว่ามันอาจจะเป็นเพราะความรู้ที่เขาสอนไปมันยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์กันนะ

“อาจารย์” เหลินเสี่ยวซูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาจารย์อาจจะยังไม่เคยเห็นว่าหมาป่าจริงๆ ในป่าใหญ่มันตัวใหญ่ขนาดไหน แม้แต่คนส่วนมากในเมืองเองก็ยังไม่เคยเห็นหรือรับมือกับมันมาก่อน แต่ผมเคย อย่าว่าแต่ฝูงหมาป่าเลย แค่ผมต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าตัวเดียวลำพังในป่า ผลที่ออกมาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นั่นคือเตรียมเลือกจุดฝังศพตัวเองได้เลย”

ตอนแรกเหลินเสี่ยวซูคิดว่าอาจารย์ฉางจะต่อว่าเขา เพราะคำตอบของเขานั้น มันเป็นความจริงนอกเหนือจากในหนังสือและมันกระทบต่อศักดิ์ศรีและอำนาจของตำแหน่งอาจารย์

แต่ถึงอย่างนั้น อาจารย์ฉางกลับคิดอยู่นานก่อนจะพูด “นับจากวันนี้เธอมานั่งในห้องเรียนได้แล้วนะ แต่ต้องแลกกับเธอต้องเป็นคนสอนวิชาเอาตัวรอดนับจากนี้ไป”

นี่เป็นครั้งแรกที่โรงเรียนในเมืองนอกป้อมปราการ 113 รับอาจารย์สำรองเข้ามา

แต่ถึงอย่าง เหลินเสี่ยวซูก็ยังไม่อธิบายในห้องอยู่ดีว่าเขาเอาตัวรอดมาจากการปะทะกับฝูงหมาป่าได้ยังไง

“ภารกิจสำเร็จ รางวัล ได้รับความแข็งแกร่ง 1.0”

….

จนจบวันเหลินเสี่ยวซูก็ยังหาโอกาสใช้ตำราลอกเลียนทักษะไม่ได้เลย เขาไปที่โรงเรียนเพราะหวังจะเติมเต็มความรู้เพิ่ม แต่ความรู้ที่อาจารย์มอบให้มานั้นมันไม่ค่อยเป็นประโยชน์กับการเอาตัวรอดของเขาในช่วงเวลาแบบนี้เท่าไร

สิ่งแรกที่เหลินเสี่ยวซูให้ความสำคัญมากที่สุดตอนนี้ คือการเอาตัวรอด

เพราะงั้น ถ้าเขายังไม่ได้ใช้ตำราลอกเลียนทักษะ เขาก็ไม่มีทางพิสูจน์ได้เลยว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นในหัวในจิตในใจของเขา มันเป็นเรื่องจริง หรือเป็นแค่จินตนาการที่หลอกตาเท่านั้น

ถึงอย่างนั้นเหลินเสี่ยวซูก็ยังคงเฝ้ารอคอยต่อไป เพราะเขารู้สึกได้ว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาก็จะได้รับภารกิจต่อไปอยู่ดี

และเวลานั้นก็มาถึง ในที่สุดเขาทำอีกภารกิจนึงสำเร็จแล้วได้รางวัลมาเป็นความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 1.0 รางวัลรอบนี้เป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมามาก และเหลินเสี่ยวซูเองก็รู้สึกได้ด้วยร่างกายของเขาเอง เขารู้สึกเหมือนกับว่ากล้ามเนื้อของเขามันขยายใหญ่ขึ้นใต้เสื้อผ้าของเขา ปรกติไม่มีใครที่ไหนเขาสามารถทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้นได้ภายในเวลาแค่ 10 วินาทีหรอก

เพราะแบบนั้น เหลินเสี่ยวซูจึงมั่นใจได้แล้วว่า วังในจิตใจของเขานั้นเป็นพลังพิเศษเฉพาะตัวของเขาเอง

ซึ่งมันก็ทำให้เขาดีใจสุดๆ เอาเข้าจริง เขาควรจะดีใจได้ตั้งนานแล้ว แต่เขายังกลัวๆอยู่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นแค่ภาพหลอน

นักล่านั้นต้องทำความคุ้นชินกับร่างกายของตนเองอยู่เสมอ พวกเขาจะรู้ดีว่าตัวเองสามารถยกของได้หนักเท่าไร ต่อยได้หนักและเร็วแค่ไหน จ้วงมีดสวนกลับได้ทันไหม

เพราะงั้น เหลินเสี่ยวซูจึงสามารถรู้ได้ทันทีว่าร่างกายกล้ามเนื้อของตนเองแข็งแกร่งขึ้น ถ้าค่าความแข็งแกร่งของเพศชายที่โตเต็มที่แล้ว อยู่ที่ 3.0 ค่าความแข็งแกร่งของเหลินเสี่ยวซูก่อนหน้านี้ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5

ด้วยความที่อายุเขาแค่ 17 ทำให้ถือว่าเป็นเรื่องปรกติที่เขาจะอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป ที่เขาสามารถเอาตัวรอดอยู่ในเมืองนี้ได้ตลอดมานี้ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่เป็นเพราะสติ ความใจเย็น และความเหี้ยมหินของจิตใจเขาตั่งหาก

แต่ตอนนี้ค่าความแข็งแกร่งของเขานั้นมันเกินกว่าระดับของผู้ชายปรกติไปแล้ว นั้นหมายความว่าโอกาสที่เขาจะเอาตัวรอดได้ในโลกที่เละตุ้มเป๊ะแบบนี้มันเพิ่มขึ้นอย่างมากเลย

หลังจากที่เลิกเรียน หยานหลิวหยวนพูดอย่างตื่นเต้น “โห พี่ ตอนนี้พี่กลายมาเป็นอาจารย์สำรองแล้วนะ บางทีพี่อาจจะได้มาแทนที่อาจารย์ฉาง กลายมาเป็นอาจารย์ของเมืองนี้คนต่อไปก็ได้

เหลินเสี่ยวซูหยุดแล้วพูด “น่าจะมั้งนะ เพราะดูเหมือนอาจารย์ฉางก็เริ่มต้นจากการเป็นอาจารย์สำรองมาก่อน จนกระทั้งอาจารย์คนเก่าตายแล้วเขาก็ได้ขึ้นมาเป็นอาจารย์แทน”

“ใช่เลยพี่ ทุกคนในเมืองต่างก็รู้ดีว่าใครก็ตามที่ได้มาเป็นอาจารย์สำรอง จะมีโอกาสได้ขึ้นไปคุมโรงเรียนต่อไป พี่ลองคิดดูซิ อาจารย์ฉางอนุญาติให้พี่มานั่งเรียนในห้องได้ไม่พอ ยังให้พี่มาเป็นอาจารย์สำรองอีก เขาต้องกำลังคิดว่าจะให้พี่มาแทนที่เขาในอนาคตแน่ๆเลย” หยานหลิวหยวนพูด “นี่ถ้าคนในเมืองรู้เรื่องนี้นะ พวกเขาจะต้องเคารพยำเกรงพวกเรามากขึ้นแหง ๆ “

“อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้นะ” เหลินเสี่ยวซูพูดแล้วคิด “บางทีอาจารย์ฉางอาจจะอยากได้บุหรี่มาสูบเพิ่มก็ได้”

หยานหลิวหยวนหันควับไปมองหน้าพี่ตัวเอง “พี่ เอาจริงดิ?”

“เอาจริงๆมันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เลยนะ ถ้าฉันจะกลายมาเป็นอาจารย์น่ะ” เหลินเสี่ยวซูพูด “ถ้าฉันได้ตำแหน่งมา ฉันก็แค่ยกให้นาย ถ้าเป็นแบบนั้นสุดท้ายนายก็จะได้กลายเป็นอาจารย์แทนไงล่ะ”

เหลินเสี่ยวซูไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะกลายมาเป็นอาจารย์ได้ แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ชอบอาชีพนี้หรอก เพราะถ้าเขาไม่ชอบอาชีพนี้จริง เขาก็คงไม่ยกตำแหน่งนี้ให้หยานหลิวหยวนเหมือนกัน

แต่กลับกัน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับอาชีพนี้เลยซักนิด ถ้าเขาไม่มีโอกาสได้เข้าไปมีชีวิตอยู่ในป้อมปราการจริงๆในอนาคต ถ้างั้น ในป่าก็คือสถานที่เดียวที่เขาจะไปพึ่งพาอาศัย

เหลินเสี่ยวซูจินตนาการไปไกลแล้วว่าในอนาคตเขาจะมอบตำแหน่งอาจารย์ให้หยานหลิวหยวนระหว่างที่เดินไป แต่เขาไม่ทันสังเกตุเลยว่าหยานหลิวหยวนนั้นเดินช้าลง แล้วเฝ้ามองแผ่นหลังของเหลินเสี่ยวซู เขาไม่อาจอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้เลย

ชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้านั้น มือยังคงพันไปด้วยผ้าพันแผล ถึงแม้ว่าเขาจะมีปากคอเราะร้าย แต่เขาก็มักจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับหยานหลิวหยวนเสมอ

ตอนนั้นเองที่เหลินเสี่ยวซูหันกลับไปมองแล้วพบว่าหยานหลิวหยวนเดินตามมาไม่ทัน เขาเลยพูดเสียงดัง “ทำอะไรของงนายน่ะ? เร็วเข้าซิ!”

“ไปแล้วพี่!”

ภายนอกป้อมปราการ 113 ที่ๆเต็มไปด้วยก้อนควันสีขาวออกจากปล่องโรงงานแล้วลอยสูงขึ้นฟ้า ในยามที่ตะวันลาลับขอบฟ้าส่องประกายอยู่เบื้องหลัง ราวกับว่าชีวิตของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดให้กังวลอีกต่อไป

ระหว่างทางกลับบ้าน เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนบังเอิญไปเห็นกลุ่มคนที่เดินออกมาจากป้อมปราการพอดี พวกเขาเป็นกลุ่มมีกันประมาณ 14 คน ครึ่งนึงในนั้นใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสแปลกตา ในขณะที่อีกครึ่งนึงนั้นสวมชุดเครื่องแบบพร้อมรบของกองกำลังส่วนตัวที่ถูกส่งออกมาโดยผู้คุมป้อมปราการ 113 ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะถูกคุ้มกันไปด้วยทหาร ก็ไม่แปลกใจที่ว่าทำไมพวกเขาถึงกล้าเข้าไปยังสถานที่อันตรายอย่างภูเขาจิงขนาดนั้น

ปรกติแล้วคณะเดินทางนั้นไม่จำเป็นต้องหน่วยคุ้มกันอะไรมากขนาดนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องการก็แค่ใครซักคนที่รู้ทาง

แต่ถึงอย่างนั้นเหลินเสี่ยวซูก็ไมได้ยอมรับว่าหน่วยรบส่วนตัวนี่จะเก่งกาจอะไร เพียวเพราะแค่ว่าพวกเขาถูกเกณฑ์จ้างมาโดยผู้คุมป้อมปราการ 113 เอาเข้าจริง เขาแทบไม่เคยเห็นหน่วยรบนี่ออกมาจากป้อมปราการมาก่อนเลย เพราะงั้นมันอาจจะนำไปสู่ปัญหาตรงที่ว่า บางทีพวกเขาอาจจะไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้จริงๆเลยก็ได้ หรือบางคนอาจจะไม่เคยเห็นเลือดมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

เหลินเสี่ยวซูเห็นหน่วยทหารบางคนกำลังยืนสูบบุหรี่กรองที่ไม่ค่อยได้เห็นในเมืองเท่าไร

ควันสีขาวจางๆจากบุหรี่ลอยออกมา เหลินเสี่ยวซูได้กลิ่นเหม็นแปลกๆ เขาจำได้ว่าตาแก่หวางเคยบอกมาว่าบุหรี่ที่ทางโรงงานแจกจ่ายมาให้นั้นผสมสารเสพติดบางอย่างงที่ทำให้คนเมามาย

เหลินเสี่ยวซูเองก็สงสัยอยู่ว่าทำไมกองทหารพวกนั้นถึงสูบของแบบนั้น ทั้งๆที่อาชีพของพวกเขาต้องคงไว้ซึ่งสติที่ปลอดโปร่ง

เขาเคยเห็นคนเป็นบ้าเพราะบุหรี่มานักต่อนักแล้ว แต่บุหรี่ที่กองทหารดูดกันนั้นดูเหมือนจะเป็นของที่มีคุณภาพดีขึ้นมาหน่อย

ไม่นานหลังจากนั้นฝูงชนก็เริ่มที่จะรวมตัวกันอีกครั้ง เพราะว่าคนจากในป้อมปราการที่หน้าใสไร้ฝุ่นโคลนนั้น มันเตะตาคนในเมืองมากทีเดียว

“พี่ ในป้อมปราการมีน้ำเพียงพอให้เราล้างหน้าทุกวันเลยเหรอ” หยานหลิวหยวนกระพริบตาปริบๆ

“อย่าไปอิจฉาพวกเขาเลยน่ะ โคลนบนหน้าเราทำหน้าที่เหมือนชั้นป้องกันผิวหน้าดีๆนั่นล่ะ”เหลินเสี่ยวซูปลอบใจตัวเองไปพร้อมๆกับหยานหลิวหยวน

แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นคนๆหนึ่งที่แตกต่างท่ามกลางกลุ่ม 14 คนนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่สวมหมวกต่ำลงมาจนปิดใบหน้าทำให้มองไม่ออกว่านางอายุเท่าไรกันแน่ เธอแต่งตัวในชุดที่ค่อนข้างธรรมดา ดูออกจะหลวมแต่ก็พอดีตัวอย่างน่าประหลาด

ที่เขาจดจ่ออยู่กับเธอคนนั้นเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับการได้เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายในป่า ตอนที่เขาได้เห็นเธอครั้งแรก

คนพวกนี้มีอะไรแปลกๆ ไม่ชอบมาพากลเอาซะเลย เหลินเสี่ยวซูเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองเรื่องนี้มาก

เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนหยุดเดินแล้วมองดูกลุ่มคนพวกนั้นอยู่ไกลๆ กลุ่มคนพวกนั้นเหมือนจะกำลังถามข้อมูลอะไรบางอย่างกับตาแก่หวางในร้านขายของชำของเขา

จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงตาแก่หวางพูดเสียงดัง “ถ้าพวกนายอยากจะไปที่ภูเขาจิงกันละก็ จงตามหาเหลินเสี่ยวซูซะ ถ้าไม่มีเขา พวกนายไม่มีทางผ่านภูเขาไปได้แน่ อีกอย่าง ในป่าน่ะมีฝูงหมาป่าอยู่ด้วยนะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่แนะนำให้ไปเส้นทางนั้นหรอก”

กลุ่มทหารยิ้มขึ้นมา “เหอะ พวกหมาป่าโง่นั้นพอได้ยินเสียงปืนก็เพ่นหนีกันไปหมดแล้ว จะไปกลัวพวกมันทำไมกัน?”

เหลินเสี่ยวซูผงะ พวกหมาป่ากลัวปืนงั้นเหรอ? บางทีมันอาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณดิบของพวกมันที่ไม่เคยเห็นปืนมาก่อน แต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่ากลุ่มทหารนั้นพูดเรื่องจริงรึเปล่า เพราะงั้น เขายังคงระแวงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่

ทหารอีกคนพูดถามขึ้นมา “เหลินเสี่ยวซูนี่ใครกันล่ะ? เราไม่สนใจหรอกนะว่าเขาจะสู้เก่งแค่ไหน แต่ขอแค่เขารู้ทางก็พอแล้ว”

“อ้อ เหลินเสี่ยวซือน่ะเรียกได้ว่าเป็นนักล่าที่เก่งที่สุดในเมืองนี้เลย เขารู้เส้นทางในป่าแถบนี้เกือบหมดเลยล่ะ พวกนายจะไม่มีทางหลงเลยถ้าเขานำทางให้น่ะ” ตาแก่หวางพูด “เชื่อฉันเถอะ… เขาเนี่ยแหล่ะคือคำตอบของพวกนาย เพียงแค่ว่าเจ้าเด็กนั่นบางทีอาจจะทำอะไรแปลกๆหน่อยนะ…”

ทันทีที่เหลินเสี่ยวซูได้ยินแบบนั้น เขาก็หันไปมองรอบๆ แล้วพาตัวหยานหลิวหยุนออกมาทันที “ลูกตาแก่หวางอยู่ในห้องเรียนของนายด้วยเหรอ? ไอ้เด็กอ้วนนั่นน่ะ?”

หยานหลิวหยวนถอนหายใจ “พี่ไม่ควรจะไปว่าครอบครัวคนอื่นเขาแบบนั้นนะ…”

เหลินเสี่ยวซูขมวดคิ้วพยายามเรียบเรียงความคิดตัวเองให้เข้าที่ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตาแก่หวางจะแนะนำเขาให้กับไอ้พวกวงดนตรีประหลาดนั้นด้วยตัวเองแบบนั้น

ในโรงเรียนนี้มีอาจารย์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และชื่อของเขาคือฉางจิงหลิน

คนส่วนมากรู้สึกไปเองว่าอาจารย์นั้นเป็นผู้รอบรู้ และคิดว่าเขาจะรู้ไปหมดทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูก็รู้ดีว่าขนาดคนเรายังมีความถนัดไม่เหมือนกันเลย แล้วอาจารย์ฉางจะไปรอบรู้ทุกเรื่องได้ยังไงกัน?

เหลินเสี่ยวซูนั้นไม่เหมือนกับคนอื่นๆตรงที่เขาชอบคิดและตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เขาเห็น หลังจากนั้น เขาก็ได้รู้จากการนั่งฟังอาจารย์ฉางสอน ว่าการที่เขาตั้งคำถามกับทุกสิ่งนั้น เป็นวิธีการคิดที่เรียกว่า ตรรกะวิภาษ

หยานหลิงหยวนบางครั้งก็งงเหมือนกัน เพราะเหลินเสี่ยวซูนั้นหลายๆครั้งชอบมีความคิดขัดแย้งกับมุมมองของอาจารย์ฉาง แต่เขากลับชอบย้อนกลับมาเข้าฟังอาจารย์สอนทุกครั้งที่เขามีเวลาว่าง

ในช่วงระหว่างพักเที่ยง เหลินเสี่ยวซูพาหยานหลิวหยวนออกมาฉลองข้างนอก เหตุผลที่ออกมาฉลองนั้น ไม่ใช่เพราะอะไรอื่นเลย แต่เป็นเพราะว่านับจากนี้เขาสามารถมานั่งฟังการสอนได้จากสนามหญ้านอกห้องเรียนได้แล้ว

ปรกติแล้วตอนที่เขานั่งอยู่บนกำแพง ระยะห่างระหว่างเขากับห้องมันไกลมากไปหน่อย ทำให้เขาได้ยินอะไรไม่ค่อยชัด อาจารย์ฉางเองส่วนมากก็มักจะปิดหน้าต่างห้องเรียนเอาไว้ เพราะเขากลัวว่าปัจจัยภายนอกจะส่งผลกระทบกับนักเรียน แต่หลังจากที่เขารู้ว่าเหลินเสี่ยวซูมาแอบฟังอยู่ข้างนอกห้อง เขาเลยเปิดหน้าต่างแง้มทิ้งไว้เพื่อให้เสียงมันลอดออกมาได้

แถมตอนนี้ เขายังอนุญาติให้เหลินเสี่ยวซูมานั่งฟังในสนามได้อีก

การอยู่บนโลกที่ยุ่งเหยิงแบบนี้ ครอบครัวของนักเรียนหลายๆคนตั้งใจส่งลูกของตัวเองมาที่โรงเรียน ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องความรู้ แต่เพื่อให้พวกเขาสามารถแต่งงานได้ง่ายในอนาคตต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสาวที่เข้าเรียนในโรงเรียนจะมีโอกาสแต่งงานเข้าตระกูลดีๆได้ง่ายขึ้นมา

ในยุคสมัยนี้ การที่อ่านหนังสือออกกับคำนวนตัวเลขสามหลักได้ก็ถือว่าเก่งมากๆแล้ว

ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการพยายามเอาตัวให้รอด ใครจะมาสนใจเรื่องวัฒนธรรมประวัติศาสตร์อยู่อีกล่ะในเมื่อปัจจุบันอาหารยังงไม่ตกถึงท้องเลย?

ดังนั้น ครอบครัวส่วนใหญ่ที่ส่งลูกมาเข้าโรงเรียนนั้น ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีแผนการระยะยาวให้ชีวิตลูกอะไรหรอก เพราะแม้แต่ในเมืองเล็กๆแบบนี้ ยังมีคนจนกับคนรวยอยู่รวมกันเลย ที่ไหนมีคน ที่นั่นก็ต้องมีการเปรียบเทียบเป็นเรื่องธรรมดา

หยานหลิวหยวนเห็นเหลินเสี่ยวซูเดินไปที่ร้านขายของชำ แล้วซื้อบุหรี่กรองมาตัวนึง ตาแก่หวางยังบอกอย่างขี้โม้อีกด้วยว่าบุหรี่ที่เขาขายให้นั้น เป็นบุหรี่กรองอย่างดีที่ไม่มีสารเจือปนใดๆ สูบได้อย่างปลอดภัยมากๆ

ราคาบุหรี่ต่อมวนอยู่ที่ 20 หยวน ซึ่งแพงหูฉีกเลย

หยานหลิวหยวนเลยถามด้วยคววามสงสัย “พี่ จะซื้อบุหรี่ไปทำไมกันน่ะ?”

“ก็อาจารย์อุส่าห์อนุญาติให้ฉันเข้าไปนั่งฟังการสอนได้ถึงในสนามเชียวนะ ทั้งๆที่ฉันไม่ได้จ่ายค่าเล่าเรียนด้วยซ้ำ อย่างนี้ฉันก็ต้องตอบแทนน้ำใจกันหน่อยซิ” เหลินเสี่ยวซูยิ้มแล้วพูด “ฉันรู้นะว่าอาจารย์ฉางเองก็ชอบสูบด้วย”

เมื่อไรก็ตามที่มีคนทำดีกับเหลินเสี่ยวซู เขาก็จะตอบแทนบุญคุณกลับอย่างแน่นอน

ในขณะที่ทุกคนออกมากินข้าวเที่ยงในสนามหลังโรงเรียน ทั้งคู่เลยใช้โอกาสนี้เข้าหาอาจารย์ฉาง ที่กำลังกินผัดกระหล่ำอยู่ จากนั้นเหลินเสี่ยวซูก็ยื่นบุหรี่ให้อาจารย์แล้วยิ้ม

อาจารย์ฉางเองก็ไม่ปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้น เขาให้หยานหลิวหยวนออกไปยืนไกลๆเขาหน่อย “เป็นเด็กมายืนสูดดมควันบุหรี่แบบนี้มันไม่ดีเท่าไรน่ะ”

เหลินเสี่ยวซูพูด “ขอบคุณนะครับ ที่ให้ผมเข้ามาฟังการเรียนการสอนของอาจารย์”

“ฟู่” อาจารย์ฉางจุดบุหรี่ด้วยไม้ขีดที่เขาใช้ในการทำกับข้าวที่บ้าน จากนั้นเขาก็พ่นควันออกมาอย่างสบายอารมณ์ “นักเรียนที่สนุกกับการตั้งใจฟังอาจารย์สอนอย่างเธอน่ะถือว่าหายากมาก เธออยากจะมานั่งฟังการสอนทุกครั้งเลยก็ได้ ตามสะดวก จะมายืนอยู่ตรงประตูได้ แต่เธอห้ามเข้าห้องเรียนเด็ดขาดนะ”

“เข้าใจแล้วครับ” เหลินเสี่ยวซูพูด “อาจารย์ครับ ผมมีคำถาม”

“ว่ามาซิ” บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าฉางจิงหลินไม่ได้สูบบุหรี่นานเลยทำให้เขาไม่ว่าอะไรที่เหลินเสี่ยวซูตั้งคำถามกับเขานอกห้องเรียน

“อาจารย์เคยบอกมาก่อนหน้านี้ใช่ไหมครับ ว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ มนุษย์เราเต็มไปด้วยเทคโนโลยีมากมาย แล้วในเมื่อมนุษย์ยังไม่สูญพันธ์ ทำไมเทคโนโลยีถึงไม่กลับมาด้วยล่ะครับ?”

อาจารย์ฉางมองเหลินเสี่ยวซู “กาลเวลามันผ่านมาเนิ่นนานมากแล้วนับตั้งแต่ภัยพิบัติครั้งใหญ่ มนุษย์เรายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายมานานเท่าไรแล้ว เอาจริงๆ แค่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆก็ดีมากแล้ว ไม่มีใครอยากจะแสวงหาความรู้กลายเป็นผู้เจริญนักหรอกถ้าแม้แต่ข้าวยังไม่มีกินด้วยซ้ำน่ะ”

“แต่เราเองก็ยังมีข้อมูลอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเราเรียนรู้จากข้อมูลที่เคยมี เราจะไม่หวนคืนสู่ความรุ่งเรืองเร็วกว่าเหรอครับ” เหลินเสี่ยวซูสงสัย

“ความรู้ที่ว่านั้นมันเรือนหายไปเป็นชาติแล้ว” ฉางจิงหลินพูดด้วยความเสียใจนิดหน่อย “ถ้างั้นฉันขอถามอะไรเธอหน่อย ถ้าฉันบอกวิธีการสร้างเครื่องบินกับเธอ เธอจะสร้างเครื่องบินให้ฉันได้ไหมละ”

“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนเลย ถึงแม้ว่าการที่มีวิธีการให้มันจะช่วยทำให้ประหยัดเวลาได้มากแต่ผมก็ยังต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นอยู่ดี” เหลินเสี่ยวซูพูด

“ใช่แล้ว ทุกคนต่างก็ต้องเริ่มใหม่แต่ต้นกันทั้งนั้น” อาจารย์ฉางมองบุหรี่ที่เหลืออีกครึ่งมวนแล้วรู้สึกเจ็บเบาๆ เหมือนกับว่าเขากำลังตัดสินใจว่าจะทิ้งหรือสูบต่อดี

ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะเก็บบุหรี่ที่เหลืออีกครึ่งนึงไว้ดูดต่อทีหลัง แต่ถ้าเขาดับบุหรี่ต่อหน้าเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวน พวกเขาจะรู้สึกเสียหน้ารึเปล่านะ

เหลินเสี่ยวซูยังคงสงสัยอยู่ “แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมานานหลายมีไม่มีใครคิดขยันก้าวข้ามความลำบากตั้งใจศึกษาวิจัยกู้คืนความรู้กลับมาบ้างเลยเหรอครับ?”

“ก็คนที่พยายามทำแบบนั้นส่วนมากก็ตายเพราะความอดอยากกันหมดแล้วน่ะซิ”อาจารย์ฉางพูด

“ความรู้ที่เคยมีทั้งหมดมันสูญหายไปหมดแล้วจริงๆเหรอครับ?” เหลินเสี่ยวซูยังยอมรับไม่ได้

อาจารย์ฉางมองเหลินเสี่ยวซูอย่างจริงจังก่อนจะพูด “พวกมันถูกสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่นโดยกลุ่มคนบางกลุ่มตั่งหากล่ะ”

“พอแค่นั้นล่ะ” อาจารย์ฉางลุกขึ้นแล้วพูด “อย่าสืบสาวราวเรื่องนี้ต่ออีกเลย ..ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว” แต่แล้วเหลินเสี่ยวซูก็หยุดอาจารย์ฉางไว้ด้วยคำถามสุดท้าย “อาจารย์ แล้วกำแพงป้อมปราการมันสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนกันล่ะครับ แล้วทำไมมนุษย์ถึงต้องสร้างมันขึ้นมาด้วย?”

“หลังเกิดเหตุภัยพิบัติ สัตว์ป่าทั่วโลกก็บ้าคลั่งกันไปหมด แถมสมัยก่อนยังมีช่วงแมลงพิษแพร่ระบาดด้วย เพราะแบบนั้นมนุษย์เลยถูกบีบบังคับให้สร้างกำแพงขึ้นสูงใหญ่เพื่อป้องกันอันตรายทั้งปวง” อาจารย์ฉางอธิบาย

“แต่ถึงแม้ว่าพวกสัตว์ป่าจะกลายพันธ์กันไป พวกมันก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาโจมตีมนุษย์กันนี่ครับ” เหลินเสี่ยวซูสงสัยเรื่องนี้มาก เพราะถึงจะกลายพันธ์ แต่ลิงก็ยังกินกล้วย นกกระจอกก็ยังกินเมล็ดพืช การที่มันกลายพันธ์ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะต้องจ้องแต่จะกินเนื้อคนซักหน่อย

ภายใน”วงเขต” ที่มนุษย์อาศัยอยู่ในระแวกรอบป้อมปราการที่ 113 สัตว์ที่ดุร้ายส่วนมากก็จะถูกแยกออกไปอยู่วงรอบนอกด้วยซ้ำ

ยิ่งตัวเลขป้อมปราการสูงมากเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นสถานที่อันตรายมากแค่นั้น ยกตัวอย่างเช่นป้อมปราการ 178 ในตำนาน นั้นมีรายงานข่าวว่าแต่ละปีจะมีคนตายมากมายหลายศพ เหตุเกิดเพราะพวกเขาพยายามจะขับไล่สัตว์ร้ายออกจากบริเวณนั้น

ในขณะที่ป้อมปราการ 113 ที่พวกเขาอยู่ก็ยังถือได้ว่าเป็นเขต “เมืองชั้นใน” อยู่

แต่ถึงอย่างนั้นภายในป่าใหญ่เองก็ยังคงมีอันตรายซ่อนอยู่ในมุมมืดเสมอ ตัวอย่างเช่นฝูงหมาป่าที่เหลินเสี่ยวซูเคยเผชิญหน้ามาก่อน แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะไม่ได้เลย แล้วทำไมมนุษย์ถึงก่อสร้างกำแพงสูงใหญ่ขึ้นมากั้นกลางถิ่นที่อยู่ของมนุษย์แบบนี้กัน?

อาจารย์ฉางยิ้มแล้วตอบ “ก็เพราะตราบใดที่ยังมีอันตรายอยู่ข้างนอกนั้น ผู้อพยพทั้งหลายก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาป้อมปราการในการดำรงชีวิตอยู่ เพราะแบบนั้น ทางป้อมปราการเลยได้มีแรงงานราคาถูกจำนวนมากไว้ใช้งานยังไงล่ะ เธอคิดเหรอว่าทางองค์กรที่ควบคุมป้อมปราการทั้งหลายไม่มีพลังมากเพียงพอที่จะปราบเหล่าสัตว์ร้ายนอกกำแพงน่ะ? อาวุธปืนและยุทโธปกรณ์ระเบิดของมนุษย์น่ะ ทรงพลังมากกว่าที่เธอคิดไว้เยอะเลยนะ… แต่พวกเขาจะกำจัดอันตรายพวกนั้นไปทำไมกันล่ะ? ในเมื่อพวกมันทำอันตรายใดๆกับทางองค์กรไม่ได้เลยซักนิด”

เหลินเสี่ยวซูตกอยู่ในภวังค์ความคิด ถึงแม้ว่าเขาจะโตกว่าวัยอยู่หลายปีก็จริง แต่มันก็ยังมีเรื่องบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจ และยังขาดปประสบการณ์ เพราะงั้นมันเลยเป็นเหตุผลที่เขากระตือรือร้นกระหายในความรู้

อาจารย์ฉางพูดต่อ “พวกเขาไม่โค่นล้มกำแพงลงหรอก ทำไมกลุ่มคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่หลังกำแพงต้องยอมละทิ้งป้อมปราการที่เป็นเหมือนปราสาท ที่คอยมอบสิทธิพิเศษความสะดวกสบายเหนือกว่าคนอื่นไปด้วยล่ะ?”

อาจารย์ฉางลุกขึ้นก่อนจะเปิดกระเป๋าเปลี่ยนเสื้อนอกออก จนเหลินเสี่ยวซูถามขึ้นมา “อาจารย์จะเปลี่ยนเสื้อทำไมกันครับ เสื้อตัวเก่ายังไม่สกปรกซักหน่อย”

อาจารย์ฉางปรับคอเสื้อของตัวเองแล้วตอบ “ชุดนั้นมันติดกลิ่นบุหรี่ไปแล้ว ถ้านักเรียนได้กลิ่นมันจะไม่ดีเอา”

หยานหลิวหยวนพอได้ยินแบบนั้นก็เคารพเขามากขึ้นทันที ในขณะที่เหลินเสี่ยวซูกลับไม่พอใจเล็กน้อย “อ้าวงี้หมายความว่าผมจะดมได้กลิ่นยังไงก็ได้เหรอครับ ไม่เห็นอาจารย์บอกให้ผมถอยห่างออกไปเลยเมื่อกี้”

ฉางจิงหลินตอบกลับแล้วเริ่มคิด “ไปเถอะ ไป”

ทันใดนั้นเอง เสียงในหัวของเหลินเสี่ยวซูก็ดังขึ้นอีกครั้งนึง “ภารกิจ : กระหายในความรู้ไม่ใช่เรื่องที่แย่ แต่จงไปสอนผู้อื่นถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มา”

เหลินเสี่ยวซูตกใจทันที เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าภารกิจนี้ให้เขาทำอะไรกันแน่

ระหว่างคาบเรียนยามบ่าย นักเรียนทั้งหลายดูเหมือนจะตื่นตาตื่นใจมากขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นเหลินเสี่ยวซู ที่แก่กว่าพวกเขา มายืนอยู่นอกประตูทำให้นักเรียนหลายๆคนมักจะหันไปมองเขาอยู่บ่อยๆ

อาจารย์ฉางถึงกับต้องใช้ช๊อกเคาะกระดานดำอยู่หลายครั้งเพื่อเรียกความสนใจของนักเรียน ก่อนที่เขาจะพูด “คาบบ่ายนี้เดี๋ยวฉันจะสอนเกี่ยวกับวิชาการเอาตัวรอดนะ”

ในยุคสมัยนี้การเรียนการสอนในโรงเรียนไม่เพียงแต่จะได้เรียนวิทยาศาสตร์กับศิลปะ นักเรียนยังจะต้องเรียนวิชาเอาตัวรอดด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น อาจารย์ฉางเองก็รู้สึกประหม่าตลอดที่สอนวิชานี้ เพราะเขาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เอาชีวิตรอดในป่าของจริงเหมือนกัน

ดังนั้นสิ่งที่เขาสอนส่วนมากในวิชานี้ จึงนำมาจากในหนังสือตำราที่เป็นข้อมูลเก่าตั้งแต่ยุคโบราณเท่านั้น

อาจารย์ฉางมองเด็กนักเรียนทุกคนในห้อง “ขอให้ทุกคนตั้งใจเรียนในวิชานี้ อย่าคิดว่าอันตรายมันอยู่ไกลตัวของพวกเธอ ตอนนี้พวกเธอยังมีครอบครัวคอยปกป้อง แต่เมื่อพวกเธอโตขึ้น พวกเธอก็ต้องเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเอง ในบทเรียนวันนี้เราจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องจะทำยังไงเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่า”

นักเรียนในห้องเอาจริงๆชอบเรียนวิชาเอาตัวรอดกันมากที่สุด วิชาอื่นๆนั้นมันออกจะน่าเบื่อไปนิดสำหรับวัยพวกเขา ทำให้วิชาเอาชีวิตรอดกลายเป็นวิชาที่น่าสนใจที่สุดในโรงเรียน

ทั้งห้องเงียบลง อาจารย์ฉางจิงหลินส่งสายตามองเหลินเสี่ยวซูที่ยืนอยู่ตรงประตูกำลังฟังการสอนอยู่ แล้วพูด “เธอคนนั้นน่ะ ช่วยบอกพวกเราหน่อยว่า เธอจะทำยังไงถ้าต้องเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าในป่าลึก

เหลินเสี่ยวซูคิดก่อนจะตอบ “ผมจะพยายามหาเนินดินที่ห้อมล้อมไปด้วยพุ่มไม้สูง เพราะที่นั้นจะเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการทำหลุมศพมงคลที่ดีครับ”

“นี่… เหมือนกับว่าฉันเองก็มีสกิลบางอย่างแฝงไว้อยู่ด้วยเหมือนกันน่ะ” เหลินเสี่ยวซูพูดกับตัวเอง

หยานหลิงหยวนนั่งอยู่ตรงทางเข้ากระท่อม กำลังจ้องมองท้องฟ้าหลังฝนยามค่ำคืนพอได้ยินแบบนั้นก็ตกใจกับคำพูดของเหลินเสี่ยวซู “พี่หมายถึง…”

“ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เลยอยากจะออกไปลองดูซักหน่อยน่ะ” เหลินเสี่ยวซูนั่งลงข้างหยานหลิวหยวน “ตามตำนานเมือง ว่ากันว่ามีคนที่สามารถใช้อากาศฉุดกระชากรถไฟก็ยังได้ ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่เคยเชื่อมาก่อนหรอก แต่หลังจากที่ฉันได้เจอนาย พวกตำนานพวกนั้น มันก็ดูเป็นไปได้ขึ้นมาเลย ช่วงหลังๆมานี้ฉันเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าตัวเองมีสกิลหรือพลังพิเศษประหลาดที่คนอื่นไม่มีกัน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกเอามากๆเลย”

ทักษะ(บางครั้งจะใช้คำว่าพลังพิเศษกับทักษะสลับกันเพื่อความหลากหลาย) ของหยานหลิวหยุนที่ว่าก็คือดวง

มันเป็นทักษะพลังพิเศษที่ค่อนข้างเข้าใจยาก สมมุติว่าหยานหลิวหยวนขอพรว่าให้เหลินเสี่ยวซูล่าสัตว์ได้สำเร็จ ในวันนั้นจู่ๆก็อาจจะมีนกกระจอกบินชนต้นไม้หัวแตกตายตกลงมาตรงหน้าของเหลินเสี่ยวซูในขณะที่เขาเดินเล่นอยู่กลางป่าก็ได้

แต่ถึงอย่างนั้นการใช้ทักษะก็มีผลข้างเคียงที่ตามมาด้วย เพราะมันจะทำให้หยานหลิวหยวนนั้นตัวร้อนเป็นไข้ไม่ยอมลด หรือไม่ก็ป่วยออดแอดอย่างอื่นตามมาทันทีหลังจากที่ขอพรเสร็จ

นี่เป็นเหตุผลวื่ทำไมเหลินเสี่ยวซูเลยอยากที่จะปกป้องหยานหลิวหยวนตั้งแต่แรก ตอนแรกเขาเองก็ยังไม่เชื่อหรอก แต่หลังๆมา เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมรับความจริง

ทันใดนั้นเอง ดาวตกก็พุ่งวาบลงมาจากฟ้า หยานหลิวหยวนกุมมือขึ้นมาโดยสัญชาติญาณแล้วเริ่มขอพรกับดาวตกแต่ถึงอย่างนั้น เขากลับโดนเหลินเสี่ยวซูห้ามเอาไว้ “อย่าขอพรเด็ดขาดเชียวนะ เดี๋ยวพรมันก็เป็นจริงขึ้นมาหรอก”

ทุกวันนี้เหลินเสี่ยวซูเองก็แทบไม่ได้พึ่งดวงของหยานหลิวหยวนออยู่แล้ว เพราะแค่ความสามารถในการล่าสัตว์ของเขาเพียงอย่างเดียวมันก็เพียงพอแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องใช้ดวงของหยานหลิวหยวนอีก และหยานหลิวหยวนเองก็ทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี

หยานหลิวหยวนร่างบางเฝ้ามองดาวตกลาลับหายไปบนท้องฟ้าแล้วคิดขึ้นมาเสียงดัง “ทำไมดาวตกถึงมาและจากไปเร็วจัง? ถ้าคนขอพรไม่ทันขึ้นมาละทำไง?”

เหลินเสี่ยวซูตตอบกลับมา “บางทีดาวตกนั่นอาจจะไปไวมาไวเพราะว่าไม่อยากได้ยินเสียงขอพรอยู่แล้วก็ได้นะ”

หยานหลิวหยวนหันกลับไปมองหน้าเหลินเสี่ยวซูด้วยสายตาว่างเปล่า

หยานหลิวหยวนนั้นเป็นเหมือนเป็นคนเฝ้าระวังยามค่ำคืนประจำตัวของเหลินเสี่ยวซู แต่มันก็ไม่ได้หมายความเขาจะต้องอยู่เฝ้าเขาตลอดทั้งคืน เหลินเสี่ยวซูจะตื่นมาเปลี่นเวรกับเขาตอนช่วงกลางดึกเพราะว่ายังไง หยานหลิวหยวนเองก็ยังต้องไปโรงเรียนตอนเช้า

เอาจริงๆ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอมันคือปัญหาใหญ่ในการดำรงชีวิตของพวกเขาเลยด้วย แต่เพื่อที่จะเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทั้งเหลินเสี่ยวซูและหยานหลิวหยวน ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตต้องทำแบบนี้เท่านั้น

รุ่งเช้าวันต่อมา เหลินเสี่ยวซูพาหยานหลิวหยวนออกมาข้างนอก พวกเขาเอาของมีค่าทั้งหมด รวมไปถึงกะละมังโลหะใบใหญ่ของเหลินเสี่ยวซูติดมาด้วย

เพราะพวกเขากลัวว่าจะมีคนมารื้อค้นปล้นกระท่อมของพวกเขาตอนที่พววกเขาไม่อยู่กัน

“ฉันได้ยินมาว่าคนที่อยู่ในป้อมปราการไม่จำเป็นต้องปิดประตูตอนกลางคืนด้วยซ้ำ เพราะว่ามันมีโจรหรือขโมยในนั้นเลย” หยานหลิวหยวนแบกถุงนอนบนหลังขณะมองดูเหลินเสี่ยวซูถือกะละมังใบใหญ่ไปด้วย ของพวกนี้คือของใช้ส่วนตัวของพวกเขา

หยานหลิวหยวนมักจะแบกถุงนอนและของใช้ทั้งหมดในกระท่อมไปโรงเรียนกับเขาด้วย และนักเรียนคนอื่นๆก็ทำแบบเดียวกับเขาเช่นกัน ทุกคนดูเหมือนจะเคยชินกับเรื่องแบบนี้ไปแล้ว

“บ้าน่ะ ไม่มีทางหรอก” เหลินเสี่ยวซูคิดถึงการใช้ชีวิตอยู่ในป้อมปราการ เขาไม่เชื่อว่ามันจะมีสถานที่ ที่คนเราจะสามารถเปิดประตูทิ้งไว้ตอนกลางคืนได้โดยไม่มีโจรเข้าเลย “บางคนก็ยังมีความคิดด้วยนะ ว่าคนในป้อมปราการขนาดตดยังหอมเลย แล้วนายยังจะไปเชื่ออะไรกับคำพูดพวกนั้นได้อีกล่ะ”

“แต่พี่ก็ไม่น่าแบกกะละมังนั้นไปไหนต่อไหนนะ มันหนักจะตาย” หยานหลิวหยวนพูด

“นายจะไปรู้อะไรล่ะ?” เหลินเสี่ยวซูพูดอธิบาย “กะละมังนี่เหมือนเป็นเครื่องมือทำมาหากินของฉันเลยนะ กว่าฉันจะได้มาก็ไม่ใช่ง่ายๆด้วย ใช้มันทำกับข้าวก็ได้ จับนกกระจอกก็ยังได้ ถ้าฉันทำมันหายหรือมีใครขโมยขึ้นมาแล้วเราจะอยู่กันยังไงล่ะ”

เหลินเสี่ยวซูตอนนี้แบกกะละมังใบใหญ่พาดบ่าไว้ด้วยมือข้างนึง มืออีกข้างนึงเขากำขาของนกกระจอกห้อยหัวไว้แน่น ตลอดทางที่เดินไป มีหลายๆคนเฝ้ามองเหลินเสี่ยวซูด้วยสายตาอิจฉามากมาย

ตอนนี้มนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดยอดสุดบนห่วงโซ่อาหารอีกต่อไปแล้ว

เคยมีข่าวลือว่าสมัยก่อนนั้น นกกระจอกเป็นนกตัวเล็กน่ารักขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ แต่ทุกวันนี้ แม้แต่นกกระจอกก็สามารถจิกฆ่าคนตายได้

ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถจับนกกระจอก หรือเฝ้ารออยู่ในป่าเป็นวันๆเพื่อจับมันได้ ชาวบ้านชาวช่องในเมืองไม่ได้เห็นอาหารจานเนื้อหรือจานปลามานานมากแล้ว หากจะบอกว่าพวกเขาไม่อิจฉาเลยก็คงจะเป็นได้แค่เรื่องโกหก

เหลินเสี่ยวซูพาหยานหลิวหยวนไปที่ประตูเมืองของป้อมปราการ กำแพงขนาดใหญ่ยักษ์ของป้อมปราการทำให้พวกเขารู้สึกตัวเล็กจ้อยไร้กำลัง

เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาก็สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมอย่างเห็นได้ชัด จากบ้านไม้บ้านดินในเมือง สู่บ้านอิฐบ้านหินบ้านปูน

ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ป้อมปราการมากเท่าไร พื้นที่รอบข้างก็ยิ่งดูสะอาด ดูเป็นระเบียบ ดูมีฐานะร่ำรวยมากขึ้น ผู้คนที่อยู่ในละแวกแถบนี้นั้นเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหรือมีสัมพันธ์อันดีกับคนในป้อมปราการ หรือบางทีก็อาจจะเป็นพวกคนที่อวยเก่งเลียจนได้เข้ามาอยู่ในเมืองชั้นในติดกับป้อมปราการแบบนี้

เหลินเสี่ยวซูเดินเข้าไปในร้านค้าที่เขียนป้ายเด่นหลาไว้บนทางเข้าว่า “ร้านขายของชำ” ที่นี่มีของขายมากมาย ตั้งแต่บุหรี่ ไม้ขีดไฟ ช้อนส้อมโลหะ อาหาร เสื้อผ้า ก็มีขายทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าราคามันออกจะค่อนข้างสูงมากเท่านั้นเอง

ชายแก่ภายในร้านพพอเห็นเหลินเสี่ยวซูก็ตื่นตาตื่นใจจนเนื้อเต้น “นกกระจอกนั่นมันตัวใหญ่มากเลยนะเนี่ย!”

เหลินเสี่ยวซูโยนนกกระจอกลงบนหน้าเคาเตอร์กระจกของร้าน “เจ้าตัวนี่ขายได้ราคาเท่าไร?”

“โถ่ๆ อย่ารุนแรงนักซิ กระจกที่นายโยนใส่เนี่ยมันราคาแพงมากเลยนะ” ตาแก่หวางพูดด้วยความลนลาน ก่อนที่เขาจะหยิบเอาซากนกกระจอกขึ้นมาแล้ววางบนตาชั่งโลหะข้างๆเขา “1.74 กิโลเหรอ ไม่เลวเลยนี่เสี่ยวซู”

ตอนนั้นเองที่นิ้วมือเรียวยาวราวกับกรงเล็บที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของตาแก่หวางก็เริ่มคำนวณราคาในลูกคิด เสียงต๊อกแต๊กของลูกคิดที่ถูกดันไปมานั้นดังไปทั่วร้าน “ราคาตลาดวันนี้อยู่ที่ 500 กรัมละ 200 หยวน เพราะงั้นตัวนี้ฉันจะจ่ายให้นาย 700 หยวนละกัน!”

“เอา 900 หยวน” เหลินเสี่ยวซูพูดกำชับ “นี่ก็ใกล้หน้าหนาวแล้ว นกกระจอกที่จับได้จะมีน้อยลงไปกว่าเดิมอีก เพราะงั้น 900 หยวน คือราคาต่ำสุดที่ฉันจะขายให้แล้ว”

ตาแก่หวังดูขัดอารมณ์ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็ดีดลูกคิดต่อหน้าเหลินเสี่ยวซูแล้วพูด “นี่ ฉันต้องส่งเนื้อนกกระจอกพวกนี้ให้ทางป้อมปราการนะ พวกขุนนางน่ะเขี้ยวลากดินจะตาย ถึงในป้อมปราการจะขาดแคลนเนื้อดีๆก็เถอะ แต่พวกนั้นก็กำหนดราคาของทุกอย่างมาแล้ว ฉันเองก็ต้องทำตามราคาที่ให้มานี่ เข้าใจฉันหน่อยนะ”

ทันทีที่ตาแก่หวางพูดจบ เขาก็เห็นเหลินเสี่ยวซูจู่ๆก็คว้าเอานกกระจอกมาแล้วเตรียมจะออกไปจากร้าน เขาเลยรีบคว้าแขนเสื้อนอกโทรมๆของเหลินเสี่ยวซูทันที “เดี๋ยวก่อนซิ จะไปไหนน่ะ?”

“ฉันจะไปเช็คราคากับร้านตาแก่หลี่ซักหน่อย” เหลินเสี่ยวซูพูด

ตาแก่หวางจับแขนเสื้อของเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม เพราะทางป้อมปราการแจ้งกำหนดการเข้ารับเนื้อสัตว์หายากมาแล้ว และกำชับมาว่าจะมาเข้ารับวันนี้ด้วย แถมข่าวที่ว่าไม่ได้ส่งมาถึงเขาแค่คนเดียวอีก

ตาแก่หวางยิ้มซะจนตีนกาขึ้นหน้า “แล้วนายจะเอาเท่าไรล่ะ?”

เหลินเสี่ยวซูเตรียมเดินต่อ “ไว้เราค่อยคุยกันหลังจากที่ฉันไปถามร้านอื่นละกันนะ”

ตาแก่หวางยิ้มจนตาแทบปิด “โถ่ ทำแบบนั้นหลิวหยวนก็ไปโรงเรียนสายกันพอดีไม่ใช่เหรอ ก็ได้ก็ได้ 900 หยวนใช่ไหม!”

“เมื่อกี้พูดว่าไงนะ?” เหลินเสี่ยวซูถามขึ้นมาอย่างใจเย็น

“ก็ ถ้าไปถามร้านอื่นหลิวหยวนจะไปโรงเร—“

“หมายถึงก่อนหน้านั้นน่ะ”

“นายจะขายเท่าไรล่ะ?”

“1200”

ตาแก่หวางตาแตก

แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจหยิบเงินมานับ เขาใช้นิ้วแตะน้ำลายตัวเองแล้วนับแล้วนับอีกเพื่อให้แน่ใจว่าจำนวนมันไม่ได้เกินกว่าที่เรียก

สุดท้าย เหลินเสี่ยวซูก็ขายได้ในราคา 1198 หยวน อีก 2 หยวนขาดไปเพราะเหรียญหมด แถมเหลินเสี่ยวซูยังได้สัมปทานเรื่องนี้อีกด้วย

นกกระจอกขายได้ตัวละ 1198 หยวนนั้นไม่ใช่ราคาที่ขูดเลือดขูดเนื้อเกินไป และไม่ใช่เพราะมันเป็นนกกระจอกขนาดใหญ่อะไรด้วย แต่เหตุผลจริงๆก็เพราะผู้คนในป้อม 113 นั้นปรกติไม่ค่อยจะได้มีโอกาสได้กินสัตว์แปลกๆเท่าไร

ของบางสิ่งมันมีค่าเพราะว่ามันหายาก ตาแก่หวางนั้นรู้ดีและเป็นพ่อค้าที่เก่งกาจ เขาสามารถขายนกกระจอกนี่ให้ขุนนางใหญ่โตได้ แถมเขายังจะได้กำไรกลับมาพร้อมกับความดีความชอบด้วย

ตาแก่หวางส่งเงินก้อนนึงพร้อมเหรียญให้กับเหลินเสี่ยวซูอย่างไม่เต็มใจเท่าไร ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะจู่ๆเขาก็ลดเสียงลงแล้วกระซิบ “นี่เสี่ยวซู คราวหน้าที่นายจับนกกระจอกน่ะ อย่าพึ่งฆ่ามันนะ มีขุนนางบางคนอยากจะได้มันตัวเป็นๆ แถมพวกเขายังให้ราคาที่สูงกว่าแบบตายแล้วมากๆด้วย!”

เหลินเสี่ยวซูผงะ “ทำไมพวกเขาต้องเอานกกระจอกเป็นๆไปด้วยล่ะ เพราะพวกเขาอยากจะฆ่ามันด้วยตัวเองเหรอ?”

“เปล่าหรอก” ตาแก่หวางส่ายหัวแล้วพูด “นายคงไม่รู้ซินะ ว่ามีคนบางกลุ่มเองก็อยากจะเลี้ยงมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกันน่ะ!”

เหลินเสี่ยวซูนอนหลับสนิท หลังจากที่เฝ้ารออยู่ในป่าใหญ่เป็นระยะเวลานาน แต่สิ่งที่เขาจับได้มีเพียงแค่นกกระจอกตัวเดียว ถึงแม้ว่าส่วนมากแล้วเขาจะใช้เวลาไปกับการนอนราบไปกับพื้นแล้วรอคอย แต่ถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์ก็จะรู้ดี ว่าการเฝ้ารอด้วยสติเต็มร้อยอยู่กับที่นิ่งสนิทเป็นเวลานานๆนั้นเป็นสิ่งที่เหนื่อยมากๆ

ก่อนที่เขาจะผลอยหลับไป เขาก็ย้ำเตือนเตือนกับหยานหลิวหยวนอีกครั้ง “ออกห่างพวกนักดนตรีพวกนั้นไว้นะ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ถึงความอันตรายของภูเขาจิงหรอก คนส่วนมากถ้าเป็นไปได้ก็เลือกที่จะเลี่ยงเส้นทางนั้นกันทั้งนั้นแหล่ะ แต่พวกเขากลับกำชับมาว่าให้ไปเส้นทางนั้น สัญชาติญาณของฉันมันบอกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่”

“ได้เลยพี่” หยานหลิวหยวนพยักหน้าอย่างว่าง่าย “เข้าใจแล้ว”

ความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนจะดูเข้าขากันเป็นทีมมากแค่ไหน แต่พวกเขาเองก็พึ่งจะรู้จักกันเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง ตั้งแต่ตอนนั้น เหลินเสี่ยวซูก็ตัดสินใจปกป้องหยานหลิวหยวนตัวน้อย เพราะเขาดันไปพบเข้ากับความลับของหยานหลิวหยวนอย่างไม่ตั้งใจเขา อีกอย่าง อาการปวดหัวของเขานั้นสร้างปัญหาให้เขามานานมากแล้ว เขาต้องการใครซักคนมาคอยคุ้มกันให้เขาตอนกลางคืน

ตอนนั้น เหลินเสี่ยวซูบอกเหตุผลกับหยานหลิวหยวนว่าที่พวกเขาช่วยเหลือรวมกลุ่มกันนั้น เพียงเพราะว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เหตุผลที่ว่านั้นมันก็เริ่มจางลงซะจนไม่ชัดเจนว่าที่พวกเขาสนิทสนมเป็นเพื่อนพี่น้องกันนั้น ยังเป็นเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ หรือเป็นเพราะมีความรู้สึกผูกพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันแน่

หยานหลิวหยวนเองแท้จริงแล้วก็เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ คนหนึ่งเมื่ออยู่ข้างนอก เขาจะเชื่องเป็นแกะหลงทางต่อหน้าของเหลินเสี่ยวซูเท่านั้น

บางครั้ง หยานหลิวหยวนสามารถพูดได้เต็มปากเลยด้วยซ้ำว่าที่เขามีชีวิตรอดอยู่ได้ เป็นเพราะว่าเหลินเสี่ยวซูเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเขาไว้ แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเหลินเสี่ยวซูก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ตอนนี้ สิ่งที่เหลินเสี่ยวซูอยากจะรู้มากที่สุด คือเกิดอะไรขึ้นภายในจิตใจของเขากันแน่ เขาเฝ้ารออยู่นานแสนนานคืนนั้น เพราะเขาอยากที่จะให้ “อาการป่วย” ของเขามันกำเริบขึ้นมา แต่สุดท้ายความสับสนก็ไม่เกิดกับเขาซักที

ดูเหมือนว่า วังที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา ก่อนหน้านี้จะหลบซ่อนตัวเองตลอดเวลาตอนที่เขาเกิดอาการสับสนขึ้น แต่ตอนนี้ เหมือนกับว่าหมอกทมิฬแห่งความสับสนจะจางลงไปแล้ว

เหลินเสี่ยวซูจึงอยากจะเห็นจริงๆว่าภายในวังนั้นมันมีอะไรอยู่กันแน่

ทางด้านหยานหลิวหยวนเองพอเห็นเหลินเสี่ยวซูนอนลงบนเตียงข้างๆกับเขาแล้ว เขาก็หยิบมีดกระดูกของเขาออกมาเงียบๆก่อนจะเดินลงไปนั่งตรงทางเข้าของกระท่อม ตรงจุดที่มีประตูอยู่ ตอนนี้ก็ใกล้เข้าช่วยฤดูใบไม้ร่วงแล้วทำให้อากาศข้างนอกหนาวเย็นเล็กน้อย

ตอนนี้สายฝนได้หยุดลงแล้ว

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากนอกประตูกระท่อม มันเป็นเสียงรองเท้าเหยียบย้ำไปบนถนนเปื้อนโคลนหลังฝนตกทำให้เกิดเสียงลื่นๆอันเป็นเอกลักษณ์

ใครคนนั้นตรงเข้ามาทางประตูกระท่อมก่อนที่จะแง่มประตูออก แต่ถึงอย่างก่อนที่ผู้มาเยือนคนนั้นจะได้เปิดประตูออกได้ มีดกระดูกคมกริบของหยานหลิวหยวนก็พุ่งจ่อเข้าที่คอหอยของคนๆนั้นทันที

ผู้ที่เปิดประตูเข้ามานั้นเป็นผู้หญิงสวยที่มีใบหน้าเข้ารูป ยืนอยู่ข้างนอกกระท่อม

หยานหลิวหยวนขมวดคิ้วตอนที่เห็นหน้าของผู้ที่เปิดประตูเข้ามา นางไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่อย่างใด เธอพักอาศัยอยู่ข้างเคียงนี่เอง

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มทั้งๆที่มีดจ่อคอ “หลิวหยวน ยังไม่หลับอีกเหรอ? เสี่ยวซูอยู่ไหนละ? ฉันได้ยินมาว่าเขากลับมาแล้วนะ”

“เขาหลับไปแล้วน่ะพี่เสี่ยวหยู” หยานหลิวหยวนยิ้มตอบกลับ “ถ้ามีอะไรอะไรก็บอกผมไว้ได้เลยนะครับ”

สีหน้าของเสี่ยวหยูดูผิดธรรมชาติไปเล็กน้อย “กลับมารอบนี้เขาบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

“มือเขาโดนนกกระจอกจิกนิดหน่อย แต่พี่เสี่ยวหยูเองก็ไม่เห็นจะต้องมาเป็นห่วงเป็นไยอะไรพี่ชายของผมขนาดนั้นเลยนี่ครับ เพราะพี่เองก็แก่กว่าพี่เสี่ยวซูแค่ 8 ปีเท่านั้นเอง” หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูนอนหลับไปแล้ว การปฏิบัติตัวของหยานหลิวหยุนโตขึ้นกว่าอายุอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับคนนอก ไม่ว่าเขาจะรู้จักคน ๆ นั้นดีแค่ไหน หรือไม่ว่าคนนอกจะหว่านล้อมยังไง เขาก็ยังคงไม่ลดมีดลงจากคอของเธออยู่ดี

เสี่ยวหยูหยิบเอาบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจากกระเป๋าที่เธอพอไปไหนมาไหนด้วยเสมอ มันเป็นบุหรี่ม้วนที่มักจะมีจำหน่ายแค่ในเหมืองถ่านหิน โรงไฟฟ้า หรือสถานที่อื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของป้อมปราการ

แรงงานร่างกายดีๆหลายคนไปทำงานไม่ใช่แค่เพื่อเงินหรืออาหาร แต่ก็เพื่อบุหรี่ด้วยส่วนนึง เพราะพวกเขาจะได้บุหรี่กลับมา 1 ตัวต่อการไปทำงาน 1 วัน

เพราะงั้นในค่ำคืนหลังเลิกงาน  เราจึงมักจะเห็นกลุ่มคนจำนวนมากมารวมตัวกันสูบบุหรี่ เหลินเสี่ยวซูเคยอธิบายให้หยานหลิวหยวนฟังอยู่ว่าบุหรี่พวกนี้เหมือนจะผสมไปด้วยสารเสพติดบางอย่างด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เห็นชัดๆเลยว่า เสี่ยวหยูนั้นไม่ได้เอาบุหรี่นั้นมาจากที่การทำงานพวกนั้นเลย

เสี่ยวหยูจุดบุหรี่ขึ้นมาก่อนจะดูดเข้าไป 2 ฟอด เธอเหมือนกับจะคิดอะไรบางอย่าง “โถ่เอ้ย ฉันก็เห็นพวกนาย 2 คนเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆของฉันทั้งนั้นล่ะ”

“เหรอครับ” หยานหลิวหยวนถามสวนทันที “จะว่าไปแล้ว พี่เสี่ยวหยูเป็นหวัดเหรอครับ?”

เสี่ยวหยูตะลึงกับคำถามเล็กน้อย “ก็นิดหน่อยนะ ทำไมล่ะ เสียงฉันดูแปลกไปเหรอ?”

“เปล่าหรอกครับ” หยานหลิวหยวนส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ “พอดีผมเห็นควันบุหรี่มันพ่นออกมาจากรูจมูกแค่ข้างเดียวน่ะครับ” (ปล.การที่จมูกตันข้างเดียวอาจหมายถึงการใช้ยาเสพติดชนิดโคเคนด้วย)

เสี่ยวหยูพูดไม่ออก

ด้วยเหตุผลบางอย่างเสี่ยวหยูรู้สึกได้ทันทีว่าหยานหลิวหยวนนั้นดูจะไม่เป็นมิตรกับเธอเอามากๆเลย

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนแล้วกัน” เสี่ยวหยูพูด “ถ้าพี่ชายของนายตื่นแล้วช่วยบอกเขาทีละกันนะว่าฉันมาหาหน่ะ”

“ได้เลยครับ” หยานหลิวหยวนยิ้ม “เดี๋ยวผมจะบอกให้นะครับ”

หลังจากที่เสี่ยวหยูจากไปแล้ว เหลินเสี่ยวซูก็พูดขึ้นมาจากบนเตียงด้านหลังของหยานหลิวหยวน “อย่าไปแกล้งพี่เสี่ยวซูแบบนั้นอีกล่ะ นางเองก็คงจะเสียหน้าแย่เลย”

“นางไม่ใช่คนดีหรอกนะพี่” หยานหลิวหยวนพูด “อีกอย่าง ที่นางเข้ามาตอแยกับพี่แบบนี้ก็เพราะว่านางรู้ว่าพี่พึ่งจับนกมาได้ตั่งหากล่ะ”

“แล้วแถวนี้มันมีคนดีซักที่ไหนกันล่ะ” เหลินเสี่ยวซูพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “ยุคสมัยนี้คนดีล้วน 100% เอาตัวรอดบนโลกนี้ไม่ได้หรอก ทุกคนต่างถูกชีวิตกฏขี่บังคับให้เอาตัวรอดกันทั้งนั้นล่ะ ที่เราต้องทำก็แค่รักษาระยะห่างจากเธอไว้เท่านั้นเอง ไม่ต้องไปตอกย้ำอะไรนางมากนักหรอก”

สาวบริสุทธิ์ที่เป็นคนดีไม่มีทางอยู่รอดในเมืองนี้แน่ๆ

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพักก่อนจะพูด “แถมนางก็ไม่ได้บอกว่าชอบฉันด้วย อีกอย่าง นายแน่ใจเหรอว่านางมาตามตื้อฉันเพราะว่าฉันพึ่งได้นกกระจอกมาน่ะ? แน่ใจเหรอไม่ใช่ว่าเพราะความหล่อของฉันน่ะ”

“พี่ ทุกคนไม่ได้ล้างหน้ามาเป็นเดือนแล้วนะ หน้าตาแต่ละคนมันก็เหมือนกันหมดนั้นล่ะ” หยานหลิวหยวนกรอกตามองเหลินเสี่ยวซู “แล้วพี่ไม่นอนรึไง ทำไมยังตื่นอยู่อีกล่ะ?”

“แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่น่ะ” เหลินเสี่ยวซูพูดแถอธิบาย

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่เหลินเสี่ยวซูยังไม่นอนนั้นเพราะว่าเขาตั้งใจจะออกไปสำรวจความลับของวังภายในจิตใจของเขาตั่งหาก

วังในจิตของเขานั้นเป็นเหมือนปราสาททรงกลมที่มีกำแพงสูงเรียงรายไปด้วยชั้นไม้เก่าๆ ทำให้ดูคล้ายกับพวกโชว์รูมสินค้า แต่ถึงอย่างนั้น ภายในตู้โชว์พวกนั้นกลับถูกบดบังไปด้วยหมอกทมิฬสีดำสนิท

ใจกลางของห้องนั้นมีโต๊ะเพียงตัวเดียว พร้อมด้วยเครื่องพิมพ์ดีดทองเหลืองวางอยู่ด้านบน มันเป็นเครื่องพิมพ์ดีดเก่าแก่ที่จะทำเสียงแกร๊กๆเสียงดังลั่นทุกครั้งที่กดพิมพ์ลงไป และมันเป็นสิ่งที่สูญหายไปในกาลเวลานานมากแล้วตั้งแต่เกิดเหตุการณ์หายนะเข้า

บนแต้นพิมพ์นั้น มีปุ่มพิมพ์ดีดเพียงแค่ 24 ตัวอักษรเท่านั้น แต่ละปุ่มก็จะสลักตัวอักษรเอาไว้ เช่น 允กง , 正เฉิ้ง, 诚เฉิง, 实ฉี และอื่นๆอีกมากมาย

หากจะพูดกันตามธรรมเนียมแล้วคำแต่ละคำนั้นต่างเต็มไปด้วยพลังงานด้านบวก

แต่ดูเหมือนกับว่าเครื่องพิมพ์ดีดนี้จะถูกป้อนไปด้วยกระดาษที่ทำจากแผ่นหนังจำนวนไม่จำกัด และดูเหมือนมันจะสามารถขยับได้เองโดยที่ไม่ต้องมีคนไปกดแป้นพิมพ์เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้บนกระดาษแผ่นหนังนั้น มีคำ 2บรรทัดที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อเที่ยงที่ผ่านมา “ภารกิจ: จงมอบสิ่งที่จับมาได้ให้คนอื่น ภารกิจสำเร็จ รางวัล ได้รับตำราลอกเรียนทักษะพื้นฐาน สามารถใช้ตำรานี้เพื่อเรียนรู้ทักษะของคนอื่นได้”

เขาตอบไม่ได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังฝันเฟื้องจินตนาการหรือมันเป็นเรื่องจริงกันแน่ ตามเรื่องเล่าตำนานจากโลกก่อน คนบางคนสามารถสร้าง วังวนความทรงจำขึ้นมาแล้วสร้างโลกแฟนตาซีของตนเองขึ้นมาในนั้น

แต่เหลินเสี่ยวซูกลับรู้สึกว่า วังของเขาแห่งนี้มันดูต่างออกไปจากคำอธิบายวังวนความทรงจำที่เขาเคยรู้จัก

ทำไมเขาถึงต้องมอบสัตว์ที่เขาจับมาได้ให้คนอื่นด้วยล่ะ? หรือว่าเจ้าแป้นพิมพ์ดีดนี่อยากจะให้เขาเป็นคนดีงั้นเหรอ?

จะให้เป็นคนดีในโลกที่ศีลธรรมกลายเป็นเรื่องหลอกเด็กเนี่ยนะ?

ไม่มีทางซะหรอก

ในตอนนั้นเองที่จิตของเขายืนอยู่ตรงใจกลางของวังที่แสนกว้างใหญ่ เขามองขึ้นยัง “ตู้โชว์” ทั้งหลายรอบตัวของเขา ราวกับว่ามีสิ่งของบางอย่างล่องลอยอยู่ภายในตู้โชว์นั้น เพียงแต่มันถูกหมอกทมิฬขวางกั้นไม่ยอมให้เหลินเสี่ยวซูเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้

แต่ละตู้โชว์นั้นเชื่อมต่อกับส่วนโดมของวัง ทำให้มันดูเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ขนาดยักษ์ เหลินเสี่ยวซูเดินตรงเข้าหาชั้นวางหนึ่งก่อนจะพยายามเอื้อมไปหยิบของที่อยู่ภายในหมอกทมิฬ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถใช้มือเจาะทะลุหมอกทมิฬไปได้เลย

ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพลังที่เขาไม่อาจใช้ได้ในตอนนี้

ถ้าเขาอยากจะรู้ว่าที่นี่ วังแห่งนี้มีตัวตนจริงไหม ทางเดียวที่จะรู้ได้คือใช้พลังของวังเพื่อพิสูจน์ว่ามันมีจริง

เหลินเสี่ยวซูกลับมาช้ากว่าปรกติเพราะว่าดันเจอคนดักปล้นและอาการที่ดันกำเริบจนทำให้เขาหมดสติไป ทำให้ท้องฟ้าตอนนี้เริ่มมืดครึ้มตกยามเย็นแล้ว และเขาก็รู้ดีว่าการจะเดินผ่านเมืองพร้อมนกกระจอกตัวใหญ่ที่เขาพึ่งจับมาได้ใยเวลาแบบนี้นั้น เป็นเรื่องที่อันตรายมาก

ในช่วงกลางวัน จะมีพวกทหารจากภายในป้อมปราการออกมาดูแลความสงบเรียบร้อยในเมืองก็จริง แต่พอตกเย็น ๆ ค่ำ ๆ พวกเขาก็จะกลับเข้าไปในป้อมปราการกันหมด

แน่นอนว่า พวกทหารนั้นไม่ได้มาดูแลความสงบเรียบร้อยเพราะหวังดีแต่อย่างใด พวกเขาก็แค่กังวลว่าถ้าไม่มีใครมาคอยควบคุมดูแล ทั้งเมืองจะวุ่นวายเละเทะไปหมดจนส่งผลกระทบต่อแรงงานที่พวกผู้ลี้ภัยต้องทำเท่านั้นเอง

“โอ้ ดูซิ วันนี้พ่อหนุ่มเหลินเสี่ยวซูได้ของดีมาด้วยล่ะ!”

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูวิ่งกลับเข้ามาในเมืองพร้อมกับกะละมังใบใหญ่ จู่ๆก็มีใครบางคนที่หน้าตาเปื้อนเปรอะสกปรกออกมาทักทายเขา หน้าของพวกเขานั้นเลอะเทอะเหมือนกับว่าไม่เคยล้างหน้ามาก่อนเลยตั้งแต่เกิด

ซึ่งเอาจริง ๆ คนส่วนมากในเมืองเองก็เป็นแบบนี้ เพราะส่วนมากพวกเขาก็จะออกไปทำงานในเหมืองถ่านหินใกล้ ๆ หาเช้ากินค่ำเพื่อแลกกับอาหารเพียงน้อยนิด ถ่านหินที่ขุดได้ทั้งหมดจะถูกส่งเข้าไปในป้อมปราการ ส่วนผู้ลี้ภัยในเมืองทั้งหลายก็จะได้ขนมปังไม่ก็มันฝรั่งเพียงพอที่จะอยู่รอดไปวัน ๆ เท่านั้น

งานในเมืองนั้นไม่ได้มีแค่เหมืองถ่านหินเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงงานสกปรกทั้งหลายที่ทางป้อมปราการสั่งมาก็ทำโดยกลุ่มผู้ลี้ภัยในเมืองด้วย

แถมบ่อน้ำสะอาดเพียงหนึ่งเดียวในเมืองนั้นคือน้ำกินที่จะมีไว้ให้แต่ละคนอย่างจำกัดในแต่ละวันเท่านั้น ไม่มีใครกล้าขอเพิ่มแม้แต่น้อดเดียว อีกอย่าง แหล่งน้ำสะอาดที่อยู่ในพื้นที่รกร้างเองก็แทบไม่มีแล้วด้วย หรือถ้ามี แหล่งน้ำสะอาดนั้นก็อันตรายเกินไปเพราะมันจะเป็นแหล่งรวมตัวของสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาดื่มกินน้ำกัน นั้นทำให้ทุกคนในเมืองนั้นต่างก็มีหน้าตาเปรอะเปื้อนสกปรกจนแทบไม่เห็นผิวหน้าจริงๆ เหลินเสี่ยวซูเองก็ไม่เว้นเหมือนกัน

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูเองก็ไม่เคยทำงานในเหมืองมาก่อน เพราะเขาเองก็มีวิธีการเอาตัวรอดในแบบของตัวเองเช่นกัน

เหลินเสี่ยวซูไม่ตอบใครทางนั้นระหว่างทางกลับกระท่อมของตัวเอง เขาอยากที่จะเดินทางกลับกระท่อมให้เร็วที่สุดที่ทำได้

ระหว่างทางที่เหลินเสี่ยวซูใช้เส้นทางลัดเลาะไปตามเมือง เขาก็ได้เห็นกำแพงหินของป้อมปราการที่สูงใหญ่อยู่ใกล้ ๆ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมาก เขาไม่เห็นแม้แต่ยอดของกำแพงด้วยซ้ำตอนที่เขาหันมองขึ้นไป

ในเมืองที่เขาอยู่นั้น แทบไม่มีตึกราบ้านช่องที่เป็นหินอยู่เลย คนส่วนมากในเมืองต่างก็อยู่อาศัยกันในกระท่อมไม้เท่านั้น

เหลินเสี่ยวซูตอนแรกที่วิ่งเข้ามาก็ผ่อนคลายอยู่หรอก แต่พอเขาเข้าเมืองมาแล้ว เขาก็หยิบมีดกระดูกที่คาดเอวของเขาออกมาและระมัดระวังตัวอยู่เสมอ บรรยากาศรอบข้างนั้นตึงเครียดจัดมากๆ ภัยอันตรายอาจจะอยู่ได้ทุกซอกหลืบของกระท่อม การที่เขาเอามีดออกมาป้องกันตัวนั้นเป็นเหมือนการขู่ไม่ให้พวกคนทีคิดร้ายถอยร้นออกไป

อย่างแรกที่เหลินเสี่ยวซูได้เรียนรู้ตั้งแต่ที่เขาอยู่ที่นี่ นั่นก็คือ นอกจากหยานหลิวหยวนแล้ว… ห้ามเชื่อใครเด็ดขาด

เสียงกระซิบดังขึ้นจากกระท่อมที่อยู่ข้างถนน “ไอ้เจ้าเหลินเสี่ยวซูนั่นมันล่าสัตว์มาได้อีกแล้ว”

“เรียกว่าล่าสัตว์ได้ด้วยเหรอ ก็แค่นกกระจอกเอง”

“แต่มันดูต่างจากนกกระจอกปรกติที่เราเห็นในตำราโบราณนะ ฉันยังจำได้ด้วยว่าอินทรีย์สมัยตั้งแต่ก่อนเกิดหายนะเองก็ขนาดประมาณนี้ไม่ใช่เหรอ?”

“เห้ย เงียบหน่อย อย่าไปยั่วโมโหเขาซิ” เสียงกระซิบเงียบลงไป ใครบางคนเหมือนจะรู้อดีตของเหลินเสี่ยวซู

เหลินเสี่ยวซูเปิดประตูกระท่อมของตัวเอง ความอบอุ่นในกระท่อมนั้นทำให้เขาเริ่มผ่อนคลายลง

ตอนที่หยานหลิวหยวน ที่นั่งอยู่ในกระท่อมกำลังทำการบ้านเห็นว่าเหลินเสี่ยวซูกลับมาแล้ว เขาก็ทำหน้าตาประหลาดใจ “นี่พี่จับนกกระจอกมาได้ด้วยเหรอ?”

“ทำไมนายไม่จุดตะเกียงน้ำมัดก๊าดล่ะ?” เหลินเสี่ยวซูถามแล้วขมวดคิ้ว

หยานหลิวหยวนปรกติจะเป็นเด็กดื้อรั้น แต่ต่อหน้าเหลินเสี่ยวซูที่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆของเขา เขากลับเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายอย่างน่าประหลาด “ฉันอยากจะเก็บน้ำมันก๊าดเอาไว้ใช้ยามจำเป็นน่ะ”

“แล้วถ้านายเกิดสายตาสั้นขึ้นมาล่ะ?” เหลินเสี่ยวซูวางนกกระจอกลง

หยานหลิวหยวนเบิกกตากว้างแล้วพูด “อาจารย์ที่โรงเรียนบอกไว้ว่า มันมีสิ่งที่เรียกว่า ‘แว่นตา’ อยู่บนโลกก่อนที่จะเกิดหายนะด้วย แต่ตอนนี้มีแต่คนข้างในปราการเท่านั้นที่จะมีมัน ถ้าเรามีของสิ่งนั้นแล้วล่ะก็ เราก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องสายตาสั้นแล้วจริงไหมละ”

เหลินเสี่ยวซูตอบกลับมา “ฉันเองก็เคยเห็นคนใส่ของแบบนั้นมาก่อนนะ แต่การที่สายตาของนายต้องไปพึ่งสิ่งของที่สามารถตกได้ตลอดเวลาตอนอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้มันจะดีแน่เหรอ อย่าไปฟังที่อาจารย์พูดมากนักเลย ไม่ใช่ทุกอย่างที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริงนะ”

“อื้อ…” หยานหลิวหยวนพยักหน้าแล้วพูด “ถ้างั้นพี่จะดื้อดึงส่งให้ฉันไปโรงเรียนอีกทำไมกันล่ะ?”

เหลินเสี่ยวซูสะอึกพอโดนสวนกลับมา “แล้วนายจะบ่นทำไมกันล่ะ หื้ม?”

“เมื่อไรฉันจะได้ไปออกล่าสัตว์กับพี่บ้างอ่ะ” หยานหลิวหยวนถามต่อ

“นายพึ่งจะอายุ 14 เองนะ ทำไมถึงอยากจะไปออกล่าสัตว์จังเลย เล่าเรียนอยู่ที่โรงเรียนก็ดีอยู่แล้ว นายไม่ต้องไปออกล่าสัตว์หรอก” เหลินเสี่ยวซูพูด “เรียนพวกฟิสิกข์ เคมี บัญชี ยังดีซะกว่าไปล่าสัตว์ตั้งเยอะ”

“พี่เองก็อายุแค่ 17 เองไม่ใช่เหรอ?” หยานหลิวหยวนตอบกลับมา

ในยุคสมัยนี้ แม้แต่คนเถื่อนยังเห็นค่าความสำคัญของความรู้

นั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมอาจารย์ถึงยังอยู่รอดในเมืองนี้ได้ และไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในเมือง อาจารย์เองก็จะเป็นคนที่ปลอดภัยที่สุดด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นค่าเล่าเรียนการศึกษานั้นแพงมาก ไม่งั้นเหลินเสี่ยวซูเองก็คงจะไปเข้าเรียนด้วยแล้วเช่นกัน

เหลินเสี่ยวซู หงายกะละมังวางกับพพื้นก่อนจะเริ่มชำแหล่ะนกกระจอกอย่างเชี่ยวชาญ “แล้วอาจารย์ถูกถึงเรื่องอะไรอีกล่ะวันนี้? ฉันคงให้นายกินได้แค่เครื่องในนกนะ เดี๋ยวฉันจะเอาที่เหลือไปขายในตลาดพรุ่งนี้”

“พี่เป็นแผลด้วยเหรอ?” หยานหลิวหยวนขมวดคิ้วตอนที่เห็นแผลที่มือของเหลินเสี่ยวซู มันเป็นแผลที่เกิดจากที่โดนนกกระจอกจิก และเลือดก็ยังคงไหลออกมาจากแผลด้วย

กะละมังขนาดใหญ่ใส่น้ำและเครื่องในนกถูกแขวนบนกองไฟของกระท่อม ประกายไฟส่องแสงเข้าห้นาของเหลินเสี่ยวซูเป็นพักๆ “แค่ถลอกนิดหน่อยน่ะ”

กระท่อมเงียบสงัดลงอีกครั้ง หลังจากนั้นซักพัก เหลินเสี่ยวซูตักแกงเครื่องในนกออกมาจากหม้อแล้วยื่นให้หยานหลิวหยวน “กินซะซิ”

หยานหลิวหยวนดวงตาแดงก่ำขึ้นมา “ฉันไม่กินล่ะ พี่ควรจะได้กินมากกว่าฉันอีก พี่ต้องรักษาแผลนะ”

“ฉันมีซุปของฉันอยู่แล้ว” เหลินเสี่ยวซูพูด “อีกอย่าง ฉันยังมีขนมปังดำไว้กินด้วย”

“ไม่เอาล่ะ ยังไงฉันก็ไม่กิน แผลของพี่นั่นมันไม่ใช่แผลถลอกแล้วนะ ฉันเห็นคนในเมืองตายเพราะบาดแผลติดเชื้อมาเมื่อหลายวันก่อน เพราะว่าพวกเราไม่มีทางได้ยารักษาแผลพวกนี้นะ เพราะงั้นพี่ต้องกิน พี่ต้องหาย พี่ต้องรักษาแผล!” หยานหลิวหยวนพูดอย่างดื้อดึงซะจนน้ำตาไหลนองบนหน้า

ป้าบ!!

เหลินเสี่ยวซูตบหน้าของหยานหลิวหยวนเรียกสติ ก่อนจะพูด “จำฟังฉันไว้นะ ไม่ว่าจะฉันหรือนายตราบใดก็ตามที่เรายังมีชีวิตอยู่ พวกเราห้ามร้องไห้ออกมาอีกเป็นอันขาด โลกนี้ไม่ได้สงสารคนที่น้ำตาอีกต่อไปแล้ว”

เหลินเสี่ยวซูพูดต่อ “นายลองมองผู้คนรอบๆตัวดูซิ จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันถ้านายไม่ได้กินน่ะ ถ้านายไม่มีแรงแล้วมีคนบุกเข้ามาแทงฉันตายกลางดึกล่ะ จะทำยังไง? ที่ฉันส่งเสียให้นายได้เล่าเรียน ก็เพราะว่าฉันไม่อยากให้นายกลายมาเป็นคนแบบฉันไง คนอย่างฉันมีดีแค่ล่าสัตว์ไปวันๆเท่านั้นล่ะ แต่นาย.. นายมีพรสวรรค์ มีทักษะ ขอแค่นายตั้งใจเรียน นายก็จะไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้ทั้งวันเหมือนกับฉัน เหตุผลที่ฉันส่งนายไปเรียน ก็เพราะฉันไม่อยากให้นาย… กลายมาเป็นคนเถื่อนเหมือนพวกนั้นยังไงล่ะ!”

หยานหลิวหยวน รับชามซุปเครื่องในนกกระจอกมาจากเหลินเสี่ยวซู แล้วกลั้นใจกินมันทันที เขากลั้นน้ำตาของตัวเองได้แล้ว เขาอยากที่จะเรียนรู้การเป็นคนที่แข็งแกร่งแบบเดียวกับที่เหลินเสี่ยวซูเป็น

“อะแฮ่ม ถ้างั้นกินเสร็จแล้วมาช่วยฉันทำแผลด้วยผ้าสะอาดหน่อยก็แล้วกัน” เหลินเสี่ยวซูใจเย็นลงก่อนพยายามพูดให้บรรยากาศมันดีขึ้น

“ได้เลย” หยานหลิวหยวนตอบกลับ

“จะว่าไปแล้ว ปรกติเวลานายอยู่ข้างนอก นายจะดื้อจะตาย แล้วทำไมวันนี้จู่ๆถึงได้อารมณ์ดีทำตัวเหมือนหมากระดิกหางตอนฉันกลับมาถึงบ้านล่ะ?” เหลินเสี่ยวซูถอนหายใจ “วันนี้เกิดอะไรขึ้นในเมืองรึเปล่า”

“อ้อใช่!” หยานหลิวหยวนพูดตอนที่เขากำลังควานหาผ้าสะอาดมาทำแผล “มีกลุ่มคนจากในป้อมปราการมาบอกว่า พวกเขาอยากจะหาคนนำทางพอไปที่ป้อมปราการ 112 พวกเขาอยากจะไปที่นั้นผ่านเส้นทางภูเขาจิงน่ะ”

“อยากจะไปที่ป้อมปราการ 112เหรอ?” เหลินเสี่ยวซูตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้ว  “แถมยังบอกอีกด้วยเหรอว่าจะเดินทางผ่านเส้นทางภูเขาจิงน่ะ?”

“พี่คิดว่าพวกเขากำลังตามหาตัวพี่อยู่รึเปล่า? ทุกคนในเมืองต่างก็รู้ดีว่าพี่น่ะเชี่ยวชาญพื้นที่ข้างนอกนั้นมากเลยนะ” หยานหลิวหยวนพูด “แถมฉันยังได้ยินมาว่า พวกเขาเป็นกลุ่มนักดนตรีกับนักร้องของวงในป้อมปราการ 113 ด้วย เห็นบอกว่าพวกเขาได้รับเชิญไปแสดงในงานอะไรซักอย่างในป้อมปราการ 112 น่ะ ถึงฉันจะไม่เคยเห็นนักดนตรีมาก่อนก็เถอะ”

“ฉันไม่ไปหรอก” เหลินเสี่ยวซูส่ายหัวตอบกลับมา “ให้พวกนั้นเดินทางไปเส้นภูเขาจิงกันเองเถอะ ฉันไม่อยากไปยุ่งกับคนพวกนั้นเท่าไร รู้สึกเหมือนกับว่าพวกนั้นมีอะไรแปลกๆซ่อนอยู่เลย”

เหลินเสี่ยวซูตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายปนเปไปมา บนโลกยับเยินแบบนี้ มันยังมีสิ่งที่เรียกว่า วงดนตรีอยู่อีกเหรอ? โลกที่อยู่ในกำแพงป้อมปราการมันเป็นแบบไหนกันนะ?

เหลินเสี่ยวซูเริ่มสงสัยและเริ่มอยากจะหาความจริง

ท่ามกลางความมืดมิด ชายหนุ่มนาม เหลินเสี่ยวซูตื่นขึ้นมากลางดึกก่อนจะปาดเหงื่อต่างน้ำที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก จากนั้นเขาก็หันไปมองทางชายหนุ่มอายุประมาณ 14 ปีที่ยืนอยู่ที่ประตูหน้า

“หลิวหยวน เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า” เหลินเสี่ยวซูถามขึ้นมา

ชายหนุ่มที่ชื่อหลิวหยวน หรือชื่อเต็มๆคือ หยานหลิวหยวน ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก เขาดูเป็นเด็กดีไม่มีพิษมีภัย แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับถือมีดกระดูกเอาไว้ในมือ แล้วยืนเฝ้าระวังอยู่ที่ประตูหน้าในยามค่ำคืน ถึงแม้ว่าเขาจะง่วงแค่ไหนแต่ดวงตาของเขาก็ยังคงเบิกโพลงราวกับเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา

หยานหลิวหยวนส่ายหน้าแล้วพูด “เปล่านี่ ทุกอย่างยังปรกติดี ..ว่าก็ว่าเถอะ ไอ้ที่พี่ปวดหัวอยู่เนี่ย พี่ป่วยเป็นอะไรกันแน่น่ะ? แม้แต่หมอในเมืองยังตรวจไม่เจอเลยนะว่าผิดปรกติตรงไหน?”

“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกน่ะ มันไม่ใช่อาการป่วยหรอก” เหลินเสี่ยวซูพูดกำชับ “อีกเดี๋ยวก็เช้าแล้ว ฉันจะไปออกล่าสัตว์นะ นายไปนอนซักหน่อยเถอะ จะได้ตื่นไปโรงเรียนไหว”

“ก็ได้” หยานหลิวหยวนพยักหน้าก่อนจะบ่น “แต่ว่า… สภาพบ้านเมืองเละเทะแบบนี้แล้ว… จะเรียนกันไปเพื่ออะไรล่ะ”

“เดี๋ยวต่อไปมันจะเป็นประโยชน์กับนายเองแหล่ะ” เหลินเสี่ยวซูพูดแบบไม่มีช่องให้เถียง

“ฉันเองก็อยากจะออกไปล่าเหมือนกันนี่หน่า” หยานหลิวหยวนพูด

“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาย ใครจะคอยเฝ้ายามตอนกลางคืนล่ะ? จะให้ฉันที่ไม่มีสติเฝ้ายามไปด้วยรึไง?” เหลินเสี่ยวซูยืนขึ้นเตรียมออกไปตักน้ำที่ใจกลางเมืองเพราะการออกไปข้างนอกหลังจากตะวันขึ้นมันอันตรายน้อยกว่า

ตอนกลางคืน ข้างนอกนั้นจะกลายเป็นดินแดนป่าเถื่อนที่ไร้ซึ่งกฏหมาย

ก้อนเมฆสีดำทมิฬก่อตัวขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่ไร้แสงแดด หยดฝนกรดตกลงมาจากท้องฟ้าถูกพัดพาไปมาด้วยสายลมแรง ก่อนจะตกลงมาต่อหน้าเหลินเสี่ยวซู

เหลินเสี่ยวซูก้มลงกับพื้นท่ามกลางป่า เขาขมวดคิ้วแล้วคิดกับตัวเองว่าวันนี้ดวงไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะฝนกรดดันเทลงมาก่อนที่เขาจะได้เจอเหยื่อที่จะล่าซะอีก

เคยมีบางคนกล่าวกับเขาว่า เวลาเดินทางกลางป่าเขาดินแดนรกร้างต้องระวังสัตว์ร้ายให้ดี

แต่เหลินเสี่ยวซูนั้นไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของคนๆนั้นเท่าไร เพราะว่านอกจากสัตว์ร้ายแล้ว ในที่แห่งนี้ยังมีอีกหลายอย่างมากๆที่สามารถฆ่าเขาตายได้ และ 1 ในนั้น คือฝนกรดที่กำลังจะตกลงมา

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูเองก็ยังคงไม่ถอยกลับไปไหน เพราะถ้าวันนี้เกิดเขาล่าสัตว์กลับไปไม่ได้ละก็ ทั้งเขาและหยานหลิวหยวนอาจจะได้อดตายก่อนที่พวกเขาจะตายด้วยโรคภัยที่เกิดจากฝนกรดซะอีก

เหลินเสี่ยวซูหางตากระตุกขึ้นมาตอนที่เขาได้ยินเสียงนกกระพือปีกบิน แต่ถึงอย่างนั้น จังหวะในการหายใจของเขา ยังคงนิ่งสงบ

เหลินเสี่ยวซูใช้กิ่งใบไม้เป็นฐานค้ำกะละมัง ก่อนที่เขาจะฉีกเอาเศษขนมปังโปรยไว้บริเวณใต้กะละมังนั้น

หลังจากนั้นไม่นานก็มีนกกระจอกตัวใหญ่บินลงมาใกล้ ๆ กับกะละมังที่เขาวางเป็นกับดักไว้ มันหันมองซ้ายขวาไปมาด้วยความหวาดระแวง ขนาดของนกถือจะใหญ่แต่ก็ยังเล็กกว่ากะละมังมาก

ตอนที่มันกำลังสบัดปีกของตัวเองอยู่นั้น เหลินเสี่ยวซูก็ยังคงไม่ขยับ เขายังคงเฝ้ารอต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ

ในที่สุดเจ้านกนั้นก็เริ่มลดการ์ดลง มันเริ่มค่อยๆกระโดด เข้าหาเศษขนมปังที่อยู่ใต้กับดักของเขาเหมือนกับโจรย่องเบา

ตอนที่มันกระโดดเข้ามาอยู่ในระยะของกับดักกะละมัง แล้วกำลังจะก้มหัวลงไปจิกเศษขนมปังนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูก็กระชากเชือกในมืออย่างแรง ก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่กะละมังนั้นเหมือนลาป่าที่พึ่งถอดบังเหียน ก่อนที่เจ้านกนั่นจะใช้หัวดันกะละมังให้พลิกกลับได้ เขาเองก็ออกแรงทุ่มสุดตัวกดกะละมังลงกับพื้น!

“เห้อ!”

เหลินเสี่ยวซูถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเฝ้ารอมาทั้งคืนเพื่อที่จับนกกระจอกตัวนี้ และโชคยังดีที่ความพยายามของเขามันไม่สูญเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ดวงไม่ค่อยจะเป็นใจกับเขาเท่าไร

เสียงกรุกกรักดังขึ้นมาจากภายในกะละมัง เจ้านกกระจอกพยายามตีปีกบินดันตัวเองให้เป็นอิสระ ในตอนนั้นเองที่เสียงนาฬิกาบอกเวลาดังลั่นขึ้นมาจากภายในป้อมปราการของผู้ลี้ภัย

เหลินเสี่ยวซูหันกลับไปมองในเมือง แล้วเขาก็นึกสงสัย ว่าเมื่อไรกันที่เขาจะสามารถพาหยานหลิวหยวนเข้าไปอาศัยอยู่ในป้อมปราการได้

สำหรับเหลินเสี่ยวซูแล้ว ผู้คนที่อาศัยอยู่ในป้อมปราการนั้นถือได้ว่าโชคดีมาเพราะ พวกเขาไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับอันตรายของดินแดนรกร้างข้างนอก

แต่ถึงอย่างนั้น… ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เข้าไปอาศัยอยู่ในป้อมปราการได้ตามใจชอบ

ทันทีที่เสียงตีปีกภายในกะละมังเริ่มหยุดเงียบลง เหลินเสี่ยวซูถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะตรวจเช็คดูผ้าขี้ริวในมือว่ามันพันแน่นหนาดีไหม จากนั้นเหลินเสี่ยวซูก็ค่อยๆยกกะละมังขึ้นจนเกิดเป็นช่องเล็กๆที่กว้างเพียงพอที่จะสอดมือของเขาเข้าไปได้ เขาตั้งใจจะใช้มือคว้าขาของนกกระจอกนั่น!

แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตก็ไม่ได้ราบลื่นโปรยไปด้วยกลีบกุหลาบ เหลินเสี่ยวซูสะดุ้งตัวโหยงทันทีที่เขาสอดมือเข้าไปในกะละมัง

เขากระชากมือออกมาแล้วมองดูที่ฝ่ามือ พังผืดบริเวณระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ฉีกขาดจนเป็นแผลเลือดออก แม้แต่ผ้าขี้ริ้วที่พันมือเขาจนแน่นหนาก็ไม่อาจปกป้องมือของเขาจากจงอยปากที่แหลมคมของนกกระจอกได้

เหลินเสี่ยวซูเริ่มโมโห เขาถอดเสื้อคลุมโทรมๆของเขาออกมาใช้พันมือ ก่อนจะจ้วงมือของเขาเข้าไปใต้กะละมังอีกครั้ง รอบนี้เขาคว้าเข้าไปที่คอของนกกระจอกโดยตรง

เขาเอาตัวของนกกระจอกออกมาจากใต้กะละมัง ก่อนจะใช้มืออีกข้างคว้าหัวของมันแล้วออกแรงบิดจนคอของนกกระจอกหักแล้วแน่นิ่งไป

แต่มันก็ต้องแลกมากับความเจ็บปวดเพราะกรงเล็บของนกกระจอกนั้นจิกทะลุเสื้อคลุมของเขาจนเป็นรูไปด้วย

ทันใดนั้นเอง จู่ๆสติของเขาก็ดับลง เหลินเสี่ยวซูทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นเขารู้สึกเหมือนกับมีคนตีระฆังทองแดงอย่างแรงอยู่ข้างในหัวของเขา ก่อนที่เขาจะร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิด

บ้าเอ้ย! ก่อนหน้านี้อาการนี่มันจะเป็นแค่ตอนเที่ยงคืนนี่หว่า ทำไมจู่ๆมันถึงเป็นได้วะ?

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาการป่วยของเขามัน “กำเริบ” ขึ้นมา เกือบทุกคนในเมืองนั้นรู้ดีว่าตัวของเขานั้นมีอาการประหลาดที่จะทำให้เขาปวดหัวแล้วหมดสติไป หรือไม่จู่ๆก็จะปวดหัวจี๊ดขึ้นมา

มีเพียงเหลินเสี่ยวซูเท่านั้นที่รู้ดีว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่มันคือ ”ความสับสน” ที่เขาต้องพบเจอตั่งหาก

รอเดี๋ยวก่อนนะ รอบนี้มันต่างออกมาจากที่ผ่านมา หมอกสีดำภายในจิตใจของเขามันจางลงแล้วเผยให้เห็น “วัง” ที่อยู่ด้านใน!

เหลินเสี่ยวซูลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะฝืนยืนขึ้น  เขาคิดกับตัวเองด้วยความไม่เชื่อว่า “ได้สติกลับมาเร็วแบบนี้เลยเหรอ?”

ตอนแรกเขาเองก็ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สำรวจรูปร่างหน้าตาของวังที่ปรากฏขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของเขา แต่เขาเองก็รู้ดีว่าถ้าทำแบบนั้นละก็เขาคงได้หมดสติแล้วนอนตายแช่ฝนกรดอยู่กลางป่าแน่ๆ เพราะงั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ คือรีบกลับเข้าไปในเมืองที่ตั้งอยู่นอกป้อมปราการที่ 113 ก่อนที่ฟ้าฝนกรดจะกระหน่ำตกลงมา!

เหลินเสี่ยวซูมัดขาของนกกระจอกที่สิ้นใจเข้าด้วยกันก่อนจะแบกขึ้นไหล่ จากนั้นเขาก็หยิบเอากะละมังที่เดิมทีเป็นกับดักนกขึ้นมาคลุมหัวแล้วออกวิ่ง ท่ามกลางฝนกรดที่เริ่มจะตกเปาะแปะลงมาบนกะละมังพอดี

เขาใช้กะละมังดักนกมาเป็นเหมือนร่ม

แต่ก่อนที่เขาจะได้วิ่งไปถึงไหน จู่ๆเขาก็เห็นเงาของใครคนนึงถือมีดกระดูกแหลมคมยืนขวางทางของเขา “ส่งสัตว์ที่แกจับได้มาเดี๋ยวนี้ไม่ง—“

ก่อนที่คน ๆ นั้นจะได้พูดจบ จู่ๆกะละมังขนาดใหญ่ก็ถูกเหวี่ยงฟาดเข้ากระแทกหน้าของเขาอย่างแรง!

เปรี้ยง!

“ไอ้เวรเอ้ย!” ขโมยคนนั้นล้มลงกับพื้น เขาไม่คิดว่าจู่ๆเหลินเสี่ยวซูจะซัดกะละมังเข้าหน้าเขาเร็วขนาดนั้น แถมกะละมังนั้นยังฟาดมาหนักมากด้วย!

จากนั้นเขาก็เห็นเหลินเสี่ยวซูใช้แรงเหวี่ยงเอากะละมังกลับขึ้นมาไว้ที่หัวบังฝนตามเดิม ท่วงท่าการเหวี่ยงกะละมังนั้นลื่นไหลเป็นจังหวะเดียว …ทำให้หัวขโมยก้นจ้ำเบ้านั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้น ส่วนเหลินเสี่ยวซูวิ่งหนีออกห่างไปไกล

หัวขโมยทิ้งตัวลงกับพื้นเงยหน้าขึ้นฟ้าในขณะที่ฝนกรดสาดลงมาบนใบหน้าของเขา กรดอ่อนๆกัดใบหน้าของเขาจนทำให้รู้สึกแสบเบาๆ ราวกับไม่เข้าใจโลกว่าทำไมต้องส่งเขามาเจออะไรแย่ๆแบบนี้ด้วย

ในสถานการณ์ปรกติ ถ้าเกิดคนจะโดนปล้นมันก็ต้องมีหยุดมีกลัวกันบ้างไม่ใช่รึไงกัน? หรือไอ้เด็กนั้นมันเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยซะจนสามารถตอบสนองได้โดยสัญชาติญาณแล้วเหรอ!?

ในขณะที่เขากำลังคิดว่าเรื่องนี้มันแปลกๆอยู่นั้นเอง จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินตรงมาหาเขา

หัวขโมยรีบลุกขึ้นนั่งแล้วหันกลับไปมอง เขาพบว่าคนที่เดินเข้ามานั้นคือชายหนุ่มคนเดียวกับที่ฟาดกะละมังใส่เขาเดินกลับมา!

เอาเข้าจริงเหลินเสี่ยวซูเองก็ไม่ได้อยากจะกลับมาหรอก แต่เขาได้ยินเสี่ยงสะท้อนดังก้องขึ้นมาจาก “วัง” ภายในจิตใจของเขา ว่า “ภารกิจ: จงมอบสิ่งที่จับมาได้ให้คนอื่น”

เสียงนั้นเป็นเสียงใคร เหลินเสี่ยวซูเองก็ไม่รู้ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเขาจึงหันหลังกลับ แล้วเดินย้อนกลับมาทางหัวขโมย

หัวขโมยพอเห็นแบบนั้นก็เริ่มลนลานแล้วพูด “เห้ยๆ คุยกันก่อนซิ … นี่ฉันเป็นผู้ถูกกระทำนะเนี่ย…”

เหลินเสี่ยวซูไม่สนใจ เขาเดินตรงเข้าหาหัวขโมยแล้วหันซ้ายขวาเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้อีก

“อยากได้นกกระจอกนี่ใช่ไหม?” เหลินเสี่ยวซูถาม

ตาของหัวขโมยลุกวาว “อยากซิ!”

“อ่ะ เอาไปซิ” เหลิ่นเสี่ยวซูยัดเยียดซากนกกระจอกลงบนมือของชายคนนั้นโดยที่ไม่อธิบายอะไรต่อ

จากนั้นเสียงในใจของเขาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง “ภารกิจสำเร็จ รางวัล ได้รับตำราลอกเรียนทักษะพื้นฐาน สามารถใช้ตำรานี้เพื่อเรียนรู้ทักษะของคนอื่นได้”

เหลินเสี่ยวซูสับสน เพราะจู่ๆเขาก็รู้สึกได้ว่ามีม้วนแผ่นหนังปรากฏขึ้นมาในจิตใจของเขา!

ตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐานที่สามารถใช้เพื่อลอกเลียนทักษะของคนอื่นได้งั้นเหรอ? ทักษะเนี่ย พวกทักษะการล่าสัตว์ ทักษะการเอาชีวิตรอด หรืออะไรพวกนั้นงั้นเหรอ?

หัวขโมยคนนั้นรับนกกระจอกตัวใหญ่มาแล้วกอดมันด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วเขาก็พูดขึ้น “นายเนี่ยเป็นคนดีจริ—“

ก่อนที่หัวขโมยจะได้พูดจบ เหลินเสี่ยวซูก็คว้าตัวของนกกระจอกกลับมาแล้ววิ่งหนีไปอีกรอบ

ปล่อยให้หัวขโมยยืนงงแตกอยู่ตรงนั้น

เขามองแผ่นหลังของเหลินเสี่ยวซูที่กำลังวิ่งหนีหน้าตั้ง… “เชี่ยอะไรของหมอนั่นวะ!”

The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์

The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์

Score 10
Status: Completed

หลังจากเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ อารยธรรมของโลกล้มสลายและเสื่อมถอยลงไปนับหลายร้อยปี และมวลมนุษย์ก็เริ่มต้นอารยธรรมใหม่ด้วยความยากลำบาก

ในตอนนั้นเองที่สังคมเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ผู้คนตอนนี้อาศัยอยู่ภายในกำแพงของป้อมปราการ เเละตามเมืองชายแดนทั้งหลาย

มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมแห่งการหักหลัง โหดร้าย ไร้กฏเกณฑ์ มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด

เหลินเสี่ยวซูผู้เติบโตในยุคสมัยเช่นนี้จึงจำเป็นจะต้องป้องกันตัวเอง

แต่แล้วหลังเกิดอุบัติเหตุทำให้เขาได้รับพลังพิเศษมาในครอบครอง…

นี่คือเรื่องราวของการเริ่มต้นใหม่

ยุคสมัยแห่งการเอาตัวรอดท่ามกลางความมืดเพื่อไปพานพบแสงสว่าง

เรื่องราวของมนุษย์ ที่ไม่มีถูก ไม่มีผิด ขึ้นอยู่กับฝั่งและมุมมองที่จะเลือก

จะเป็นเทพ หรือเป็นมนุษย์

จะเป็นคนดี หรือ ทิ้งดิ่งลงสู่ความชั่วร้าย

แล้วสิ่งใดกัน…. คืออาวุธที่ทรงคุณค่าที่สุด ที่มวลมนุษยชาติมี

————————————————————————————————————————

Options

not work with dark mode
Reset