ไป่หยีเจี้ยนคว้าตัวสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาและผลักไปข้างหน้าขณะที่พูด นั่นคือลูกชายของเขาและจางซื่อเหลียน
การที่จางซื่อเหลียนจะผ่านป่ารูปปั้นมาได้นั้นไม่มีใครคาดคิด เพราะนางมีแก้วพลังชีวิตเพียงแค่ดวงเดียว!
ดังนั้นพลังของนางจึงไม่ได้ใกล้เคียงแม้แต่กับเจิ่งซื่อชิงที่พยายามอย่างหนัก การที่นางจะเหนือกว่าผู้ท้าชิงคนอื่นเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ
ส่วนไป่ฉีกับโจวจิ้งก็เริ่มรับรู้ถึงตัวตนของจางซื่อเหลียนแล้ว พวกเขาขมวดคิ้วเบาๆ พวกเขาประหลาดใจอยู่บ้างที่นางผ่านป่ารูปปั้นมาได้อย่างปลอดภัย
“เจ้าสองคนก็ควรจะเตรียมพร้อมด้วยเหมือนกัน ใครที่ทนรับฎีกาสวรรค์ของผู้สร้างสรรพสิ่งได้นานที่สุดจะมีโอกาสสูงที่จะไปถึงกลางลำดับเวท ข้าว่าพวกเจ้ารู้ดีว่าตัวเองมีโอกาสเพียงใด เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว!”
ไป่หยีเจี้ยนปัดมือส่งไป่ฉีที่ยืนด้านหน้าไปยังลำดับทางช้างเผือก
ไป่ฉีกับโจวจิ้งต่างเป็นกึ่งภูติ แต่ทั้งสองกลับมีวิธีเข้าสู่ลำดับเวทต่างกัน
แม้ไป่ฉีจะช้าลงด้วยผลของฎีกาสวรรค์ เขาก็หลบดาวตกดวงแรกที่พุ่งตรงมาหาเขาได้ นั่นเป็นสิ่งที่โจวจิ้งทำไม่ได้ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าใด
โจวจิ้งที่เห็นว่าไป่ฉีหลบได้นั้นกำหมัดแน่น เขาอับอายกับความผิดพลาดของตัวเอง
จากนั้นดาวดวงที่สองก็พุ่งเข้าใส่ไป่ฉี เขาหลับตาโดยไม่คิดจะหลบดาวที่พุ่งเข้ามา เขาเพียงแค่หลับตาและปล่อยพลังที่เป็นจังหวะออกมา
การกระทำของเขาดูจะแปลกตาคนอื่น แต่มันเเป็นสิ่งที่ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูคุ้นเคยมาก
“ฎีกาสวรรค์! นี่เป็นระดับเทพ!”
ซือหยูอุทานอย่างแปลกใจ
เขาไม่คิดเลยว่านอกจากเซี่ยจิงหยูและเขาจะมีคนอื่นที่บ่มเพาะฎีกาสวรรค์ได้ถึงขั้นนี้ ตามที่หยุนย่าสีบอก คนส่วนมากนั้นไม่เข้าใจว่าฎีกาสวรรค์มีผลกับอนาคตของผู้บ่มเพาะพลัง และมันก็คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ผู้บ่มเพาะพลังเติบโตในระดับที่สูงกว่า
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ไป่ฉีจะไม่รู้เรื่องนี้เพราะไป่หยีเจี้ยนเองก็เป็นลูกหลานของศิษย์เทียนจี่จื้อ ไป่ฉีมีแต้มต่อในลำดับเวทนี้ เขาหลบดาวสองดวงที่พุ่งเข้ามาได้ นั่นทำให้ไป่หยีเจี้ยนพยักหน้ายอมรับ
ชางก่วนชิงเอ๋อดูใจเย็น นางเอนกายกับกำแพงศิลบา
“ลูกหลานคนเฝ้าสมบัติล้วนพยายามจะเรียนรู้ฎีกาสวรรค์จากผู้สร้างสรรพสิ่งเพื่อที่จะได้สมบัติที่ต้องการ แม้แต่หมูโง่เง่าก็น่าจะมีฎีกาสวรรค์ไม่ต่างกัน ผ่านดาวสองดวงได้แล้วมันจะยิ่งใหญ่อะไรนักหนาเล่า?”
ไป่หยีเจี้ยนไม่ได้ตอบอะไร เขามองไป่ฉีโดยไม่รู้ว่าดวงตานั้นสิ้นหวังหรือคาดหวัง
ไป่ฉีได้ยินคำถากถางของชางก่วนชิงเอ๋อ เขารู้สึกโกรธและใช้ฎีกาสวรรค์รอบๆเขาอย่างเต็มกำลัง
เขาเข้าไปยังวงโคจรดาวดวงที่สาม เขาพยายามยิ่งกว่าดาวสองดวงแรก ความใจเย็นจากครั้งแรกแทนที่ด้วยความระมัดระวังและความเครียด
ฎีกาสวรรค์ของผู้ล่วงลับเริ่มแข็งแกร่งขึ้น และการเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้เป็นธรรมชาติเหมือนแต่แรก
ตู้ม!
ดาวดวงที่สามเฉียดผ่านเขาไป! มันเกือบจะพลาดตัวเขาแล้ว! โชคยังเข้าข้างเขา
แต่ก่อนที่ไป่ฉีจะได้หยุดหายใจ ดาวดวงที่สี่ก็เข้าใกล้เขา ไป่ฉีชักสีหน้า เขาใช้ฎีกาสวรรค์ของตัวเองเพื่อป้องกันฎีกาสวรรค์ที่กำลังเข้ามา ความเร็วของเขาเร็วปานสายฟ้า
ปั้ง!
ในครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามด้วยทุกสิ่งที่มี ขาของเขาก็โดนดวงดาวซัดเข้า เขาเสียการควบคุมร่างกายไปแล้ว
จากนั้นดาวดวงที่ห้าก็ปะทะเข้ากับเขาอย่างจัง ไป่ฉีถูกกระแทกกลับมาทันที จากนั้นดาวดวงที่หนึ่ง สอง และสามก็พุ่งเข้าใส่เขาตามๆกัน เขาถูกแรงปะทะห้าครั้งทำให้กระเด็นออกมา
แม้ว่าลำดับทางช้างเผือกจะน่ากลัว การวางลำดับก็เพื่อทำให้คนเข้าไปไม่ได้มิใช่เพื่อทำร้าย ดังนั้นแม้จะถูกกระแทกใส่หลายครั้ง พวกเขาก็แค่กลับมายังที่เดิมและไม่ได้เจ็บตัวอะไรมาก
แต่สำหรับคนที่หยิ่งยโส ความอัปยศเช่นนี้คือยาแรงที่ยากจะกลืน ไป่ฉีไม่พอใจมาก เขายืนขึ้นด้วยความโกรธ
ซือหยูมองเซี่ยจิงหยู
“พวกเราก็ลองด้วยเถอะ”
เซี่ยจิงหยูดูเหมือนจะลอง นางลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น แต่ในดวงตาของนางก็ดูกังวล นั่นก็เพราะว่านางเองได้พบกับความล้มเหลวหลายครั้ง
เมื่อทั้งคู่เดินลงมาก็เป็นเวลาเดียวกับที่ไป่ฉียืนขึ้น ไป่ฉีรู้สึกได้ว่าทุกคนที่นี่กำลังแอบหัวเราะส่เขา เขายังได้ยินเสียงรอบๆที่แอบล้อเลียนเขาด้วย
โดยเฉพาะชางก่วนชิงเอ๋อที่แม้เก็บซ่อนแววตาเหยียดหยาม นั่นทำให้ไป่ฉีหัวเสียยิ่งกว่าความอัปยศ
ในตอนนั้น เขาชนไหล่ซือหยูที่มากับเซี่ยจิงหยู เขารู้สึกว่าซือหยูหัวเราะใส่เขา
นั่นทำให้ไป่ฉีโกรธแค้นจนลืมเหตุผล ถ้าเป็นชางก่วนชิงเอ๋อเขาก็คงไม่กล้าพูดอะไร แต่ซือหยูเป็นแค่ราชามนุษย์ เขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะหัวเราะไป่ฉี!
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”
ไป่ฉีตะโกน ใบหน้าเขาเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง เขายืนหน้าสองคนเพื่อขวางทางไม่ให้ไปไกลกว่านี้
ซือหยูขมวดคิ้วถาม
“มีอะไรกัน? เจ้ามีอะไรจะชี้แนะพวกข้างั้นหรือ?”
“ฮื่ม! กล้าดียังไงมาหัวเราะใส่ข้า?”
“ตลอดชีวิตของข้า ข้าไม่เคยคิดจะมองคนอย่างพวกเจ้า โดยเฉพาะคนที่หัวเราะให้กับความผิดพลาดของคนอื่นที่เหนือกว่า! พวกเจ้ามันต่ำตม!”
ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูงุนงง เขาทั้งคู่สงสัยว่าตัวเองหัวเราะใส่ไป่ฉีตั้งแต่เมื่อใดกัน…
พวกเขาแน่ใจว่าไม่ได้หัวเราะออกมา เป็นไป่ฉีเองที่อับอายและพยายามจะกอบกู้เกียรติของตนกลับมาโดยการโทษว่าซือหยู!
ถ้าหากจะพูดถึงเรื่องหัวเราะก็ควรจะพูดถึงชางก่วนชิงเอ๋อที่ถากถางเขาอย่างชัดเจน แต่ไป่ฉีเองก็แค่ขี้ขลาดกับนาง เขาจึงเลือกซือหยูแทน เขาคือเป้าหมายที่ง่ายที่สุด!
ถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติซือหยูก็คงจะไม่สนใจ แต่เมื่อพวกเขากำลังจะไปยังลำดับทางช้างเผือกเพื่อหาสมบัติ เขาก็มิอาจจะแสดงความอ่อนแอได้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งสอนไป่ฉีให้เขาหลาบจำ!
“เจ้าแข็งแกร่งนักรึไงกัน? เจ้าแข็งแกร่งจริงรึ? แข็งแกร่งกว่าภูติหรือไม่?”
ซือหยูถามกลับ
“เจ้าเติบโตมาในดินแดนปลอดภัยของกระโจมเทพสวรรค์ แต่เจ้าก็ยังไม่ได้เป็นภูติเสียที เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ไร้ค่าเลยรึ?”
ถ้าหากจะเทียบพลังวิญญาณในจักรวาลแห่งนี้ กระโจมเทพสวรรค์ก็มีพลังวิญญาณมากกว่าดินแดนอื่นไม่รู้กี่เท่า ถ้าหากซือหยูเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เขาก็ได้เป็นภูติไปนานแล้ว
“ฮื่ม! เจ้าจะไปรู้อะไร? พวกข้าเป็นลูกหลานของผู้เฝ้าสมบัติ ข้าต้องลงแรงมากกว่าคนธรรมดาอย่างเจ้า!”
ไป่ฉีตอบอย่างเย็นชา