EP.478 หากไม่บ้าคงไม่ได้เป็นเทพเจ้า
ณ ตำหนักฝึกตนเวลากลางคืน
ฉินอินเริ่มหลอมศิลาวิญญาณอรุณอายุหนึ่งหมื่นสองพันปี ขณะหลินมู่อวี่เรียกติ่งหลอมยักษ์ออกมาช่วย เมื่อเห็นพลังงานของติ่งหลอมที่ลอยอยู่รอบๆ ฉินฮั่นอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “พลังของอาอวี่ลึกลับยิ่ง จนข้าไม่สามารถตรวจสอบมันได้”
หลินมู่อวี่เพียงยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้อธิบายสิ่งใด เนื่องจากเขาไม่สามารถบอกฉินฮั่นได้ว่ามันคือทักษะที่นำมาจากโลกเดิม
ฉินอินหลับตาลง แสงสีทองของมังกรโซ่เทวะบริสุทธิ์ลอยอยู่เหนือพื้นพร้อมดูดซับพลังศิลาวิญญาณด้วยความโลภ ขณะที่หลินมู่อวี่ด้านข้างใช้ติ่งหลอมกลั่นส่วนที่สำคัญที่สุดของศิลาวิญญาณและช่วยหลอมมันกว่าครึ่งชั่วโมง ฉินอินส่งเสียงร้องเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาคู่งามขึ้น ใบหน้าของนางสดใสและเปล่งปลั่งไปด้วยรัศมีไร้ลักษณ์ที่กระจายอยู่ทั่ว เห็นได้ชัดเจนว่านางได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว!
“ไม่เลว”
ฉินฮั่นพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวอินได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์แล้ว นานเท่าใดแล้วที่ไม่มีจักรพรรดิขอบเขตปราชญ์?”
ฉินอินครุ่นคิดครู่หนึ่งและตอบว่า “ราวสามร้อยปีเจ้าค่ะ”
“ดี”
ฉินฮั่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ครานี้ตระกูลฉินของข้าจะได้มีผู้สืบทอดต่อไป เจ้าสามารถทะลวงขอบเขตปราชญ์ได้ตั้งแต่เยาว์วัย และคงสามารถเข้าสู่ขอบเขตเทวะภายในไม่กี่ทศวรรษ เมื่อนั้นเจ้าจะมีพลังยุทธ์ที่ไม่มีผู้ใดเปรียบเทียบได้”
เห็นได้ชัดเจนว่าเขาหมายถึงผู้มีวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งอย่างโซ่เทวะจะแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น
ฉินฮั่นมองฉินอินอย่างรักใคร่ “เสี่ยวอิน เจ้าและอาอวี่ต่างก็มีโซ่เทวะ หลังจากสมรสและให้กำเนิดทายาท เขามีโอกาสสูงมากที่จะเกิดมาพร้อมโซ่เทวะ ข้าแทบทนรอไม่ไหวที่จะได้เห็นความแข็งแกร่งในตัวลูกของพวกเจ้า”
ฉินอินหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “ท่านบรรพบุรุษกำลังพูดถึงสิ่งใดกัน…”
ฉินฮั่นหัวเราะเสียงดัง “ผู้ชายก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงไม่ใช่หรือ? เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้สิ่งใดเลย? เจ้าชอบอาอวี่ และเขาก็ชอบเสี่ยวอิน เช่นนั้นจะสนใจสายตาผู้อื่นไปทำไม? โอ้…คงต้องรอจนกว่าจะทำลายเผ่าปีศาจและรวมจักรวรรดิเป็นหนึ่งเดียว แล้วข้าจะจัดพิธีสมรสให้เจ้าทั้งสอง หลังจากนั้นข้าอาจสามารถทะลวงขอบเขตเทวะชั้นที่สองและขึ้นสู่ดินแดนสวรรค์”
“หือ?”
หลินมู่อวี่ประหลาดใจพร้อมเอ่ยถาม “เหตุใดท่านบรรพบุรุษจึงต้องรอให้ก้าวสู่ขอบเขตเทวะชั้นที่สองจึงจะขึ้นไปสู่ดินแดนสวรรค์?”
ฉินฮั่นคร่ำครวญ “ดินแดนสวรรค์ไม่ได้สว่างไสวและมีความยุติธรรมอย่างที่ชาวโลกจินตนาการ ในทางกลับกันมันกลับเป็นโลกที่เต็มไปด้วยการรังแกข่มเหงดั่งคำกล่าว ‘ผู้อ่อนแอมักตกเป็นเหยื่อผู้ที่แข็งแกร่ง’ บ่อยครั้งที่เทพเจ้าผู้อ่อนแอจะถูกฆ่าและขโมยพลังเพื่อนำไปขัดเกลาเป็นของตนเอง แม้จะมีกฎถูกตั้งขึ้นหลายหมื่นปีที่แล้ว แต่เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้าผู้เดินทางสายกลางจึงต้องการฝึกฝนอยู่ในโลกมนุษย์จนกว่าจะสามารถทะลวงชั้นที่สอง ก่อนจะเดินทางไปยังดินแดนสวรรค์ในภายหลัง”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าท่านบรรพบุรุษคงสามารถมองทะลุเข้าไปในร่างกายข้า”
“ใช่”
ฉินฮั่นกล่าว “ข้าไม่เคยเอ่ยถาม แต่อาอวี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เหตุใดจึงมีเศษเสี้ยวของพลังลึกลับเช่นนี้ได้? มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
“เป็นเพราะข้ามีโอกาสได้พบกับราชาปีศาจเจ็ดประทีป และเขาได้มอบพลังศักดิ์สิทธิ์รวมถึงพลังเจ็ดประทีปอันทรงพลัง”
“ราชาปีศาจเจ็ดประทีป…เป็นเขาจริงๆ สินะ” ฉินฮั่นขมวดคิ้วแน่น “ราชาปีศาจเจ็ดประทีปเป็นเทพจักรพรรดิสมัยโบราณกาล เขาป่าเถื่อนและหยิ่งยโสจึงทำให้มีชื่อเสียงที่ค่อนข้างแย่ กระนั้นเขากลับแข็งแกร่งมากท่ามกลางเหล่าขอบเขตเทวะ แม้แต่ท่านบรรพบุรุษเทพจักรพรรดิฉินอี้ก็ไม่อาจจัดการเขาได้ แต่ข้าไม่ทราบว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่านบรรพบุรุษฉินอี้อยู่แห่งหนใด”
หลินมู่อวี่รีบคุกเข่าลงพื้นพร้อมกล่าวว่า “ท่านบรรพบุรุษโปรดยกโทษแก่บาปที่ข้าก่อไว้”
“เกิดสิ่งใดขึ้น? เหตุใดเจ้าต้องลงไปคุกเข่าเช่นนั้น” ฉินฮั่นประหลาดใจ
หลินมู่อวี่เงยหน้ามอง “ข้าจะไม่ปิดบังท่าน ข้าได้เดินทางผ่านรอยแยกมิติไปยังนรกโลกันตร์โดยบังเอิญและย้อนกลับไปเมื่อสองร้อยปีก่อนจนเห็นท่านบรรพบุรุษฉินอี้นำจอมยุทธ์ขอบเขตเทวะและขอบเขตปราชญ์นับร้อยไล่ล่าราชาปีศาจเจ็ดประทีป แต่โชคร้ายที่ล้มเหลวและถูกสังหารทั้งหมด จากนั้นราชาปีศาจเจ็ดประทีปได้พาข้าเดินทางข้ามเวลาสองร้อยสี่ปีให้หลังกระทั่งมาอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้โซ่เทวะที่ท่านบรรพบุรุษฉินอี้ทิ้งไว้ จึงถูกข้านำมาหลอมและได้รับมันมาในที่สุด”
“อะไรนะ?!”
ฉินฮั่นถอยหลังไปหลายก้าวขณะใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “อาอวี่จริงหรือ ทะ…ท่านบรรพบุรุษเทพจักรพรรดิฉินอี้สิ้นพระชนม์แล้ว?”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความเคารพ “ข้าไม่ต้องการซ่อนมันจากท่านจึงได้สารภาพออกไป หวังว่าท่านบรรพบุรุษจะยกโทษให้ข้าและโปรดอย่างโทษราชาปีศาจเจ็ดประทีป ขะ…เขาไม่ได้เลวร้ายดังเล่าขาน แต่เพียงแข็งแกร่งดั่งเทพสงครามเท่านั้น”
ฉินฮั่นถอนหายใจและทรุดลงบนเก้าอี้ “ท่านฉินอี้เป็นวีรบุรุษคนแรกของตระกูลฉินที่ขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิ และเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลไม่กี่คนบนโลก เขาเป็นชายผู้มีพรสวรรค์และเลื่องลือกันว่าเป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกตนบนโลกมนุษย์นับหมื่นปี ไม่คาดคิดเลยว่า…เขาจะพ่ายแพ้ การต่อสู้ของเหล่าทวยเทพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์ นับตั้งแต่ท่านฉินอี้ขึ้นไปยังดินแดนสวรรค์ เขาก็ถูกตัดขาดจากตระกูลฉินและทางโลก แน่นอนว่าข้าจะไม่โทษราชาปีศาจเจ็ดประทีป…”
หลินมู่อวี่กล่าว “หากในภายภาคหน้าท่านบรรพบุรุษได้เผชิญหน้ากับราชาเจ็ดประทีปโดยบังเอิญแล้วเขาทำให้ท่านขุ่นเคือง โปรดเอ่ยถึงนามหลินมู่อวี่ ข้าเชื่อเขาจะยอมฟัง”
ฉินฮั่นยิ้มเล็กน้อย “อืม แล้วข้าจะจำไว้ แต่อาอวี่ การฝึกผสานวิญญาณยุทธ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าฝึกฝนจนถึงขั้นที่สองแล้วขอรับ”
“โอ้ เช่นนั้นเรามาฝึกกันเถิด ข้าอยากจะเห็นยิ่งนัก”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่นั่งลงขณะที่ฉินอินด้านข้างเรียกมังกรโซ่เทวะบริสุทธิ์ออกมาอย่างมีความสุข นางสามารถทะลวงขอบเขตปราชญ์ทำให้วิญญาณยุทธ์ได้รับพลังเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับดาราโซ่เทวะของหลินมู่อวี่ที่แข็งแกร่งขึ้นจากพลังขอบเขตปราชญ์ ซึ่งเป็นความสามารถที่โซ่เทวะต้องการมากที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉินอินรู้สึกปีติอย่างยิ่ง นางเอียงศีรษะมองดูหลินมู่อวี่ที่กำลังฝึกฝนด้วยใบหน้าอิ่มเอมใจ
…
“ฟิ้ว!”
ร่างจิตของหลินมู่อวี่ดำดิ่งเข้าสู่ทะเลจิตอย่างรวดเร็วและเข้าไปยังส่วนลึกที่มีดวงดาวนับพันบนฟากฟ้าส่องสว่างลงมายังพื้นเบื้องล่าง เขามองหาโซ่เทวะและเถาวัลย์น้ำเต้า ก่อนจะลอยลงมายังพื้น เขาส่งเสียงร้องเล็กน้อย ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์ทั้งสองก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ภายใต้คำสั่งของผู้เป็นนาย
เถาวัลย์น้ำเต้าแปรเปลี่ยนเป็นเถาอ่อน ขณะที่พลังเจ็ดประทีปหดเล็กลงเหลือเพียงกำปั้นลอยแกว่งไหวตามสายลม
ส่วนโซ่เทวะกลายเป็นหินสีทองที่เปล่งประกาย ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของวิญญาณยุทธ์ที่หลินมู่อวี่พยายามฝึกฝนอยู่ขณะนี้
เสียงหัวเราะฉินฮั่นดั่งจากทะเลจิต “ใช่แล้ว ไม่เลวเลย อาอวี่เป็นผู้มีพรสวรรค์โดยแท้จริง ข้าต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปีกว่าจะฝึกฝนจนสำเร็จขั้นแรก แต่เจ้าใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็สามารถบรรลุการฝึกขั้นที่สองและทำให้วิญญาณยุทธ์ทั้งสองกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม จากนั้นเจ้าจะสามารถบรรลุการผสานวิญญาณยุทธ์ในระดับที่สูงยิ่งขึ้น”
“ระดับการผสาน?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ
ฉินฮั่นพยักหน้า “ถูกต้อง มีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่มีสองวิญญาณยุทธ์ และครึ่งหนึ่งในนั้นสามารถสำเร็จวิชาผสานวิญญาณยุทธ์ ยิ่งความเข้ากันของวิญญาณยุทธ์มีมากเท่าใด จะสามารถใช้พลังมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ความเข้ากันของกระบี่วิญญาณแปดทิศและโซ่เทวะของข้าคือสามส่วนสี่ ซึ่งถือเป็นระดับผู้นำของขอบเขตเทวะ แต่สำหรับอาอวี่…วิญญาณยุทธ์ทั้งสองพึ่งพาจิตวิญญาณของเจ้าทำให้แข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังมีโอกาสทะลวงการผสานในระดับที่สูงยิ่งกว่า เช่นนั้นจงฝึกหนักและอย่าเกียจคร้าน”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำขอรับท่านบรรพบุรุษ”
…
หลินมู่อวี่ฝึกฝนต่อกระทั่งเช้า แม้ว่ารูปลักษณ์ของวิญญาณยุทธ์ทั้งสองจะดูไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากระหว่างการฝึก อีกทั้งเป็นเรื่องดีที่พวกมันพึ่งพาจิตวิญญาณของเขา
เมื่อฝึกฝนจนถึงเวลาเที่ยง เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก
ฉินอินยิ้มพร้อมกล่าวว่า “คงจะเป็นอาหารกลางวัน”
“ไม่ใช่” หลินมู่อวี่ยังคงหลับตาขณะที่กล่าวว่า “ปราณนี้ทรงพลังและดูคุ้นเคย ไม่เหมือนองครักษ์อวี้หลินที่มาส่งอาหาร”
“โอ้”
เมื่อประตูถูกเปิดออกก็พบว่านั่นคือชวีฉู่
หลินมู่อวี่ยังคงฝึกฝนและไม่ได้ลืมตามอง แต่เขาสัมผัสได้ว่าชวีฉู่กำลังถือพืชบางชนิดพร้อมนำเข้ามาจ่อตรงจมูกเขาและเอ่ยถาม “อาอวี่ เจ้าได้กลิ่นอะไรไหม?”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่ตะลึงพร้อมตอบกลับ “ดอกบัวเจ็ดสี”
“โอ้ เจ้ารู้กลิ่นของมันด้วย”
ชวีฉู่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ตอนนี้ปู่สามารถสกัดแก่นโอสถจากดอกบัวเจ็ดสีได้แล้ว หากเจ้าฝึกฝนเสร็จแล้ว จงลืมตาขึ้นมาดูข้าซะ”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อได้ยิน เขาพลันลืมตาขึ้นพร้อมกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านเริ่มได้เลย”
“อื้ม”
ชวีฉู่โค้งคำนับฉินฮั่นด้านหลัง ฉินฮั่นจึงยกมือขึ้นพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสฉู่ทำตัวตามสบาย อาอวี่เป็นลูกศิษย์ของท่านและเป็นลูกหลานของข้า เช่นนั้นไม่ต้องมากพิธี”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ชวีฉู่วางกระดาษห่อดอกบัวเจ็ดสีลง ก่อนจะผายฝ่ามือออกไป แสงปราณควบแน่นบนมือดึงแก่นโอสถของดอกบัวออกมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเขาผายมืออีกข้างเพื่อดึงแก่นโอสถของต้นกะโหลกที่อยู่ห่างออกไปสามเมตร ตามที่ชวีฉู่เคยกล่าว เขาไม่มีพรสวรรค์ในการปรุงโอสถมากนัก แต่เขาขยันหมั่นเพียรฝึกฝนและหมกมุ่นอยู่กับมัน เมื่อประกอบกับพลังขอบเขตปราชญ์ที่มี ทำให้เขากลายเป็นนักปรุงโอสถที่โดดเด่นได้ไม่ยาก
“ตอนนี้ข้าสามารถปรุงโอสถฝันคืนสู่สูงสุดระดับสามได้แล้ว” ชวีฉู่ยิ้ม “ข้าเข้าใกล้ความฝันที่จะเป็นเทพโอสถมากขึ้นเรื่อยๆ”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ชวีฉู่ฝึกฝนอย่างหนักจนถึงขั้น ‘หากไม่บ้าคงไม่ได้เป็นเทพเจ้า’
……….……….……….……….