EP.457 กระบวนทัพครอบจักรวาล
“พวกมันกำลังมา”
ผืนแผ่นดินสั่นไหว เฟิงจี้สิงหันไปมองยังทิศต้นเสียงซึ่งมีเมฆหมอกบดบังทิวทัศน์จนหมดสิ้นก่อนกล่าวคำออก “ตีกลองส่งสัญญาณจัดกระบวนทัพ!”
“ตึง ตึง ตึง”
กลองศึกหนังวัวของจักรวรรดิดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ทหารแห่งจักรวรรดิแปรกระบวนทัพอย่างรวดเร็วในป่ากว้าง เหล่าทหารต่างยกโล่และหอกเพื่อสร้างแนวตั้งรับด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้อันแรงกล้า
…
ฉินอินเอื้อมมือไปกระชับด้ามกระบี่โดยสัญชาตญาณ ดวงตาคู่สวยทอดมองออกไปไกล ทันใดนั้นมังกรโซ่เทวะบริสุทธิ์ส่องประกายรอบแขน ดูเหมือนนางจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเหล่าอสูรเกราะ
ชวีฉู่กัดฟัน “การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว”
ไกลออกไป เสียงคำรามดังกึกก้องท่ามกลางหมอกหนาก่อนเหล่าอสูรเกราะพร้อมขวานศึก หอกและดาบยักษ์จะพุ่งตัวออกจากเมฆหมอกเข้าโจมตี ทว่ากลับพบกับแนวตั้งรับของกองทหารที่มีรูปร่างราวกับกระดองเต่า เมื่อใดที่อสูรเกราะพุ่งตัวเข้ามาหวังโจมตี พวกมันก็ถูกโล่และหอกผลักออกไปทุกครา
“ปั้ง ปั้ง ปั้ง”
เสียงเกราะกระทบโล่ดังกังวานไม่รู้จบ เหล่าอสูรเกราะต่างพุ่งชนแนวตั้งรับของทหารจักรวรรดิราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก
เฟิงจี้สิงเลิกคิ้วพร้อมกล่าว “ส่งสัญญาณหมุนเวียนทัพ!”
“ตึง ตึง ตึง”
กลองศึกดังเป็นจังหวะเพื่อส่งสัญญาณ ฉับพลันกองทหารเริ่มหมุนสลับกันมารับแรงกระแทกจากอสูรเกราะ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถคงรูปกระบวนทัพและตั้งรับการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันอสูรเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนถูกหอกแทงทะลุเกราะจนตายตกในชั่วพริบตา
ทว่ากลองศึกของเผ่าปีศาจกลับดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ จากระยะไกล ทันใดนั้นอสูรเกราะจำนวนมากพากันบินเข้าไปในกระบวนทัพของทหารจักรวรรดิ ชั่วพริบตากองทหารเริ่มต้านทานไม่ไหวและใกล้เสียการควบคุมเต็มทน
เฟิงจี้สิงมองไปยังความโกลาหลเบื้องหน้าก่อนสั่งการอย่างเด็ดขาด “ส่งสัญญาณบุกเต็มกำลัง !”
เสียงกลองศึกดังก้องกังวานอีกครา
เหล่าทหารหยุดหมุนเวียนกระบวนทัพก่อนเคลื่อนทัพไปด้านหน้าอย่างเต็มกำลังพร้อมยกโล่ขึ้นป้องกัน พละกำลังของทหารนับหมื่นร่วมกันดันเหล่าอสูรเกราะถอยหลังไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“โครม!”
หญ้าเขียวขจีที่ถูกใช้อำพรางกับดักตกลงไปในหลุมลึกพร้อมกับพวกอสูรเกราะในทันที ก่อนคบเพลิงจะถูกโยนลงไปในหลุมอย่างไม่รอช้า เปลวเพลิงจากน้ำมันบีชสีดำลุกโชนเผาไหม้ขณะที่พวกอสูรเกราะถูกกองทหารจักรวรรดิดันลงไปในหลุมลึกทีละตนราวกับเกี๊ยวถูกโยนลงในกระทะก็มิปาน
เสียงกรีดร้องดังโหยหวน เฉียนเฟิงคิดไม่ถึงว่าจะมีหลุมกับดักมากมายท่ามกลางสนามรบของพวกทหารจักรวรรดิเช่นนี้
เปลวเพลิงในหลุมลึกกว่าสามสิบหลุมลุกโชติช่วงส่องสะท้อนโล่ของเหล่าทหารจักรวรรดิ เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของอสูรเกราะบ่งบอกว่าพวกมันกำลังทุกข์ทรมาน
ทันใดนั้น อสูรเกราะกลุ่มหนึ่งบุกทะลวงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“พวกมันบุกเข้ามาในค่ายแล้ว” จางเหว่ยกัดฟัน
“ไม่เป็นไร”
เฟิงจี้สิงเลิกคิ้วพร้อมกล่าว “ทันทีที่พวกมันเข้ามาในระยะยิง ให้หน่วยกล่องลูกศรเริ่มโจมตีได้”
“ขอรับท่านผู้บัญชาการ”
เมื่อเหล่าอสูรเกราะบุกเข้ามาในค่ายในระยะสองร้อยเมตร กล่องลูกศรแปดร้อยกล่องถูกยิงโจมตีอย่างพร้อมเพรียง ลูกศรนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปราวกับเม็ดฝนโปรยปราย ชั่วพริบตาอสูรเกราะนับพันถูกแทงทะลุกลายเป็นเม่นกองพะเนินอยู่หน้าค่ายกองทัพจักรวรรดิ
ไกลออกไป เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้ ขณะเดียวกันกองทัพจักรวรรดิก็แปรกระบวนทัพต้านทานการโจมตีของอสูรเกราะอย่างต่อเนื่อง
เหล่าทหารต้านกองทัพอสูรเกราะได้อย่างน่าทึ่งจนทุกคนต่างตกตะลึง ถังเทียนพึมพำออกมา “ท่านผู้บัญชาการเฟิง…ช่างเก่งกาจนัก”
ฉินอินกล่าวออกอย่างพอใจ “นับตั้งแต่เผ่าปีศาจบุกโจมตีเรา วันนี้กองทัพจักรวรรดิสามารถต้านทานพวกมันได้ดียิ่ง ผู้บัญชาการคงจะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในครานี้ ช่างโชคดีนักที่จักรวรรดิมีผู้บัญชาการอย่างท่าน”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “ฝ่าบาท อย่าเพิ่งรีบตัดสินพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่ากระบวนทัพครอบจักรวาลจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าก็มีจุดอ่อนที่ร้ายแรงเช่นกัน”
“จุดอ่อนอะไรรึ?” ฉินอินถาม
“พละกำลังพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยงอวี้ด้านข้างกล่าวตอบทันที “การแปรรูปกระบวนทัพครอบจักรวาลต้องใช้พละกำลังมหาศาล เหล่าทหารอาจหมดแรงภายในหนึ่งชั่วโมง ทว่าพละกำลังของเผ่าปีศาจน่ารังเกียจนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราคงไม่สามารถต้านพวกมันไว้ในป่าฉีหลินได้ตลอดพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ผิงหนานโหวกล่าวถูกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมฝึกฝนทหารหกหมื่นนายเพื่อจัดกระบวนทัพครอบจักรวาล ทว่าหากทหารเหล่านี้อ่อนแรงลง กระบวนทัพนี้จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นอย่างไรเราก็ต้องส่งทหารม้าไปยิงศรเศวตรมณีจากระยะไกล ผนวกกับการยิงกล่องลูกศรและเครื่องยิงเพื่อต้านพวกปีศาจให้ได้นานที่สุดและรอจนกว่าค่ายมังกรผงาดจะมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้าแผ่วเบา “เช่นนั้น…วานผู้บัญชาการเฟิงด้วย”
เสียงกลองศึกดังกังวานอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเวลาล่วงไป การต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้น
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป อสูรเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเผาอยู่ในทะเลเพลิง ทว่าดูเหมือนกองทัพปีศาจจะไม่อ่อนแรงลงแม้แต่น้อยและโจมตีกระบวนทัพครอบจักรวาลอย่างบ้าคลั่ง พวกมันกระโดดเข้าไปกลางกองทหารและกวัดแกว่งดาบไปทั่วสารทิศ เหล่าทหารที่อ่อนล้าเริ่มถูกฆ่าตายตกเนื่องจากไม่สามารถต้านทานกำลังพวกปีศาจได้อีกต่อไป
กระบวนทัพของเหล่าทหารจักรวรรดิเริ่มสั่นคลอน เม็ดเหงื่อผุดตามใบหน้าของเฟิงจี้สิงขณะที่เขากล่าวออกด้วยแววตาลุกโชน “ส่งสัญญาณถอยทัพ ทหารม้าเตรียมบุกโจมตี!”
“ตึง ตึง ตึง”
เสียงกลองศึกดังขึ้น ฉับพลันกระบวนทัพทหารจักรวรรดิกระจายออกเป็นกองทัพขนาดย่อยนับสิบ แต่ละกองยกโล่ขึ้นป้องกันศัตรูและค่อยๆ เคลื่อนถอยออกจากสนามรบทีละกอง ซึ่งถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสียหายขณะถอยทัพ กลยุทธ์การต่อสู้ของบรรพบุรุษเซี่ยงเหวินเทียนช่างเยี่ยมยอดนัก
“เปิดฉากโจมตี!”
ฉินเหยียนขึ้นควบม้าพร้อมกระชับทวนมือ เขาประสานหมัดก่อนกล่าวออก “ฝ่าบาท กระหม่อมจะนำกองทหารม้าไปสังหารพวกปีศาจให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงก้าวไปข้างหน้าก่อนดึงม้าจากคนรับใช้และกล่าวออก “ข้าไปด้วย ฝ่าบาทโปรดระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินจ้องมองพวกเขาก่อนกล่าว “พวกเจ้าทั้งสองต้องระวังให้มากและรอดชีวิตกลับมาให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงกลองศึกดังกึกก้อง กองทหารม้าของจักรวรรดิซึ่งเหลือไม่มากนักออกสู่สนามรบ
ศรเศวตรมณีถูกยิงออกไปจากระยะไกล ขณะที่เหล่าอสูรเกราะพุ่งเข้ามาโจมตีด้วยฟันและกรงเล็บของพวกมัน เฟิงจี้สิงใช้ประโยชน์จากระยะทางโดยขี่ม้าถอยออกมาเพื่อยิงศรธนูตอบโต้ และเมื่ออสูรเกราะเข้ามาในระยะยิงของกล่องลูกศร พวกมันจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสังหารจมกองเลือดในทันที
กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วผืนป่า ซากศพกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ร่างของเหล่าอสูรเกราะที่ถูกเผาในหลุมลึกกลับกลายเป็นเศษเถ้าถ่านสีดำปลิวล่องลอยไปตามสายลม
…
ณ ค่ายประจำการชั่วคราวของกองทัพปีศาจ อีกฝั่งหนึ่งของสนามรบ
เฉียนเฟิงนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของทัพ เขากระชับดาบในมือแน่นขณะมองการต่อสู้จากระยะไกลด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ท่านจอมพล ใกล้ถึงจุดจบของพวกมนุษย์แล้วขอรับ” อสูรระดับสูงตำแหน่งผู้บัญชาการกองหมื่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จุดจบงั้นรึ?”
เฉียนเฟิงมองไปที่อสูรตนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “พวกมนุษย์มีพรสวรรค์มิน้อย เฟิงจี้สิง…เก่งกาจเรื่องการจัดกระบวนทัพถึงเพียงนี้ เราจะปล่อยให้มันมีชีวิตรอดได้อย่างไร มันต้องถูกสังหาร! หลังจากที่หลงเซียนหลินสังหารอสูรเกราะกว่าสองหมื่นของกองทัพจอมพลเหล่ยฉงในมณฑลหลินหนาน วันนี้เฟิงจี้สิงทำให้ข้าต้องอับอายอีกครา ความอัปยศนี้ชำระล้างได้ด้วยเลือดของมันเท่านั้น จงให้อสูรปีกบินไปเผาเสบียงของพวกมนุษย์ให้สิ้นซาก มาดูกันว่าเฟิงจี้สิงผู้เก่งกาจจะทำอย่างไร”
“ขอรับ”
ผู้บัญชาการกองหมื่นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านจอมพล ดูเหมือนว่าจักรวรรดิฉินจะงัดแผนต่อสู้ทุกอย่างมาใช้ในป่าฉีหลินหมดแล้ว อย่างไรเราก็ชนะเป็นแน่ขอรับ ท่านต้องการไปรับองค์คนโตและคนเล็กมารับชมชัยชนะอันรุ่งโรจน์ของท่านหรือไม่? องค์หญิงทั้งสองต้องไปชื่นชมท่านมากแน่ ท่านอาจจะมีโอกาสได้แต่งงานกับเจ้าหญิงองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้นะขอรับ”
“ไม่จำเป็น”
เฉียนเฟิงขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “เรือรบของจักรวรรดิฉินมีการเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ หน่วยสอดแนมอสูรปีกยังไม่มีการรายงานใดกลับมา”
เฉียนเฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนกล่าวออก “ไอ้โง่ รีบส่งกองทัพอสูรระดับสูงไปยังชายฝั่งแม่น้ำเพื่อปกป้ององค์หญิงทั้งสองเดี๋ยวนี้! พระเจ้าช่วย…ข้าเหลืออดกับเข้าจริงๆ”
“เอ่อ…ท่านจอมพลหมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
“เฟิงจี้สิงอาจลักลอบส่งเรือรบมาบุกโจมตีเสบียงอาหารและหญ้าของเราได้ทุกเมื่อ อีกทั้งพวกมันอาจลักพาตัวองค์หญิงทั้งสองไปแล้ว พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรืออย่างไร!”
“ข้า…”
เหล่าอสูรระดับสูงต่างอ้ำอึ้ง
…
ยามค่ำคืน เหล่าทหารม้าเคลื่อนผ่านชายฝั่งแม่น้ำอย่างเงียบเชียบ คบเพลิงในมือของพวกเขาถูกจุดอย่างต่อเนื่องก่อนโยนลงไปในเมล็ดพืชและกองฟาง เสบียงของพวกปีศาจติดไฟอย่างรวดเร็ว พวกอสูรเกราะนั้นกลัวน้ำยิ่งกว่าสิ่งใดและปีกของพวกมันยังติดไฟง่าย อีกทั้งน้ำมันในร่างกายของมันก็เป็นชนวนจุดไฟชั้นเยี่ยม พวกมันหวาดกลัวเปลวเพลิงถึงเพียงนั้นคงไม่สามารถดับไฟได้โดยง่าย
“ท่านรองผู้บัญชาการ ด้านหน้า…มีพวกอสูรระดับสูงขวางทางอยู่ขอรับ ทว่าไม่มากนัก”
“ฆ่ามัน” หลัวอวี่ชักดาบออกจากฝักด้วยสีหน้าพยาบาท
ทหารม้านับพันบุกโจมตีทันที ทันใดนั้นหลัวอวี่เหลือบไปเห็นเด็กสาวสองคนถือดาบอยู่ท่ามกลางกองไฟที่กำลังลุกโชน เขาออกคำสั่งเสียงดังลั่น “อย่าฆ่าเด็กสาวปีศาจสองตนนั้นเด็ดขาด ข้าต้องการจับเป็น แล้วจงกวาดล้างอสูรที่เหลือทั้งหมด!”
อสูรระดับสูงเพียงไม่กี่สิบตนจะต้านทานการบุกโจมตีของทหารม้านับพันได้อย่างไร
…
เด็กสาวเจ้าของดวงตาสีม่วงทั้งสองต่างสั่นเทาขณะพยายามกระชับดาบในมือ น้องสาวกล่าวออกอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา “ท่านพี่ ระ…เรากำลังจะตายที่นี่”
“ถือเป็นการตายอย่างสมเกียรติเพื่อเผ่าเทพ ไม่ต้องกลัว ข้าจะอยู่กับเจ้า”
“อืม”