EP.441 น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีป
กว่าหลินมู่อวี่จะได้รับพระราชโองการอภัยโทษจากฉินอินก็เป็นเวลาค่ำเสียแล้ว คืนนั้นเขานำเฝิงสี่ ฉือเจี้ยนเทาและคนอื่นๆ เดินทางไปยังชุมชนทางตะวันตกของเมืองหลันเยี่ยนเพื่อมอบพระราชโองการอภัยโทษจากองค์จักรพรรดินีแก่ซือตู่เซินและกลุ่มเทียนเจว๋
จินเสี่ยวถังใช้เวลาครึ่งวันในการระดมเหรียญทองจำนวนสามล้านเหรียญ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าหลินมู่อวี่ต้องหลอมโอสถฝันคืนสู่สูงสุดและอาวุธให้แก่ร้านค้าจื่อยิน
…
หกวันล่วงไป อาการบาดเจ็บของหลินมู่อวี่ทุเลาลงจนแทบหายเป็นปกติ ร่างกายและปราณยุทธ์ของเขาฟื้นฟูอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังรู้สึกถึงวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าที่แกร่งกล้าขึ้นทุกวัน
ยามเช้าตรู่ในฤดูหนาว วิหารศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความเงียบสงัด พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วจนผู้คนสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ ดูเหมือนหิมะแรกของปีจะมาถึงในไม่ช้า
ศิลาแวววาวประกายสีม่วงตั้งอยู่กลางโถงหลักล้อมรอบไปด้วยใต้เท้าทั้งสี่ เกอหยาง โจวเย่า ไป๋หลี่และเจิ้งซานเหอ แม้แต่ชวีฉู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย เขากำลังไล่สายตาอ่านตำราเล่มหนาด้วยสีหน้าฉงน
“ท่านอาวุโสชวีฉู่พบวิญญาณยุทธ์ของข้าแล้วหรือขอรับ?” หลินมู่อวี่ถามด้วยรอยยิ้ม
“ยัง” ชวีฉู่ส่ายศีรษะ
หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “เหตุใดท่านจึงไม่ตั้งชื่อวิญญาณยุทธ์ให้ข้าล่ะขอรับ?”
“เช่นนั้นคงไม่ดีนัก” เฒ่าเกอหยางรีบเอ่ยขัดทันที “อาอวี่ ขณะนี้เจ้าเป็นผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราจะสร้างตำราหมื่นวิญญาณยุทธ์เล่มใหม่สำหรับวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิ หากเจ้าไม่สามารถตั้งชื่อวิญญาณยุทธ์ของตน ข้าเกรงว่าตำราหมื่นวิญญาณยุทธ์เล่มนี้อาจไม่สามารถเป็นตำราวิญญาณยุทธ์ชั้นยอดของแผ่นดินนี้ได้”
“ถูกของท่าน” หลินมู่อวี่ยกชาขึ้นจิบ
ขณะนั้นชวีฉู่พลิกหน้าตำราไปมาอย่างร้อนรนก่อนกล่าวออก “ข้าเกรงว่า…ตำราโบราณของบรรพบุรุษในอดีตจะไม่เคยกล่าวถึงวิญญาณยุทธ์ของอาอวี่มาก่อน เขาคงต้องทดสอบวิญญาณยุทธ์และตั้งชื่อให้กับพลังแต่ละขั้นด้วยตนเอง”
เกอหยางยิ้ม “อืม ข้าก็หมายความเช่นนั้น”
ชวีฉู่พยักหน้าก่อนกล่าวออก “อาอวี่ จงแตะศิลาทดสอบและเรียกวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าขั้นสูงสุดออกมา”
“ขอรับท่านอาวุโสชวีฉู่”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืนก่อนตรงไปหาศิลาทดสอบซึ่งถูกเก็บมาจากภูเขาในป่าลึก ศิลาก้อนนี้มีพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติและไวต่อพลังวิญญาณยุทธ์ของมนุษย์ เขาวางฝ่ามือลงบนศิลาอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นน้ำเต้าสีทองพลันปรากฏ ขณะที่พยายามกระตุ้นวิญญาณยุทธ์ของตน แสงรอบกายพวยพุ่งอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “วิ้ง” เกิดแสงสว่างวาบไปทั่ววิหารศักดิ์สิทธิ์
ศิลาทดสอบยังคงส่องแสงอย่างต่อเนื่อง แสงสีเขียวแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้า จากนั้นกลายเป็นแสงสีดำก่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและกลับไปเป็นสีม่วงดังเดิม
“ศิลาเปล่งสีม่วง…” เกอหยางกล่าวออกด้วยความดีใจ “ผู้อาวุโสชวีฉู่ วิญญาณยุทธ์ของเขาบรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว! การฝึกฝนของอาอวี่ทำให้วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าของเขาก้าวเข้าสู่วิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่ง!”
“โอ้”
ชวีฉู่หัวเราะ “อาอวี่ช่างมีพรสวรรค์นัก ข้าสัมผัสได้ว่าวิญญาณยุทธ์น้ำเต้ามีความแข็งแกร่งของพลังเจ็ดประทีปแฝงอยู่ จึงทำให้วิญญาณยุทธ์ของเขาแกร่งกล้าและทรงพลังถึงเพียงนี้ หากวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งของอาอวี่จะชื่อน้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีป ท่านเกอหยางคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
เกอหยางหัวเราะแผ่วเบา “เป็นชื่อที่ดี ท่านอาวุโสชวีฉู่ช่างรอบรู้นัก น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปเหมาะสมแล้วที่จะเป็นวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่ง!”
เกอหยางหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกก่อนเขียนชื่อวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปลงบนหน้าที่สองของตำราหมื่นวิญญาณยุทธ์ ตามด้วยอีกหกวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยโซ่เทวะ ดาบโลหิตอสูร มังกรอินทนิล กระบี่วิญญาณแปดทิศ หนวดมังกรและพยัคฆ์เพลิงอัคนี
ชวีฉู่กล่าว “อาอวี่ เรียกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะของเจ้าออกมาและกระตุ้นให้ถึงขั้นสูงสุด”
“ขอรับท่านอาวุโสชวีฉู่”
หลินมู่อวี่ตอบรับเสียงต่ำ ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะพลันหมุนวนรอบกาย แสงสีทองส่องสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ฉับพลันดวงดาราปรากฏท่ามกลางแสงสีทอง เกิดเป็นพลังดวงดาราผสานโซ่เทวะ!
แสงสีม่วงของศิลาทดสอบยังคงส่องสว่างอย่างต่อเนื่องก่อนดาวสีฟ้าจะปรากฏขึ้นเหนือศิลาอย่างน่าทึ่ง
“โอ้” โจวเย่าตกตะลึง
ดวงตาของไป๋หลิงเบิกกว้าง “เช่นนี้…วิญญาณยุทธ์โซ่เทวะของท่านผู้นำก็เหนือกว่าวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งงั้นหรือ?”
ฝ่ามือของเกอหยางสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “ดูเหมือนว่า…วิญญาณยุทธ์โซ่เทวะของอาอวี่จะเปลี่ยนไปเล็กน้อย”
“ใช่…”
ชวีฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดพลังดวงดาราของอาอวี่ถึงผสานกับวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะได้ ซึ่งมันส่งผลให้พลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก วิญญาณยุทธ์ที่หลอมรวมกับโซ่เทวะได้คงเหนือกว่าวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งทั่วไปจริงๆ ท่านเกอหยางคิดว่าควรจำแนกอย่างไร?”
เกอหยางละล่ำละลักตอบ “นะ…นี่เป็นปาฏิหาริย์ เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์หลายพันปีของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิ สำหรับวิญญาณยุทธ์ที่เหนือชั้นกว่าอันดับหนึ่งทั่วไปควรนับเป็นวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งชั้นเลิศหรือไม่?”
ชวีฉู่ยิ้มพร้อมกล่าวตอบ “ท่านเกอหยางไม่ต้องตกใจไป วิญญาณยุทธ์โซ่เทวะขององค์จักรพรรดินีก็แข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากทรงฝึกฝนทักษะสยบมังกร ซึ่งถือว่าเหนือชั้นกว่าวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งทั่วไป หากจะจัดอันดับใหม่ขึ้น วิญญาณยุทธ์ของอาอวี่และองค์จักรพรรดินีก็สามารถนับเป็นวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งชั้นเลิศได้”
หลินมู่อวี่ด้านข้างกระแอมไอเล็กน้อยก่อนกล่าวคำออก “ท่านเกอหยาง เช่นนั้นก็จัดให้อยู่ในอันดับหนึ่งชั้นเลิศเถิดขอรับ…จะได้ฟังดูแข็งแกร่งกว่าวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งเล็กน้อย”
“อืม เช่นนั้นก็ตามนี้!”
เกอหยางลงมือเขียนหมวดหมู่วิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งชั้นเลิศลงไปในตำราหมื่นวิญญาณยุทธ์ทันที “ชื่อมันเหมือนกับวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะ ควรตั้งใหม่ว่าอย่างไรดี?”
ชวีฉู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวตอบ “เอ่อ…วิญญาณยุทธ์ของหลินมู่อวี่ชื่อว่าดาราโซ่เทวะ ส่วนวิญญาณยุทธ์ขององค์จักรพรรดินีชื่อว่ามังกรโซ่เทวะบริสุทธิ์ ซึ่งสอดคล้องกับสายเลือดมังกรบริสุทธิ์ของราชวงศ์ฉิน มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถฝึกฝนวิญญาณยุทธ์นี้ได้”
หลินมู่อวี่กลับไปนั่งที่ของตนอย่างมีความสุขก่อนกล่าวออก “เฮ้อ ช่างน่าภูมิใจเสียจริง ทั้งวิญญาณยุทธ์ดาราโซ่เทวะอันดับหนึ่งชั้นเลิศและวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าอมตะเจ็ดประทีปอันดับหนึ่ง ตำราวิญญาณยุทธ์แห่งจักรวรรดิคงต้องจารึกชื่อข้าไว้แล้วกระมัง”
ชวีฉู่หัวเราะ “ไม่ใช่แค่ในตำราวิญญาณยุทธ์ แม้แต่พงศาวดารของจักรวรรดิก็ต้องจารึกชื่อเจ้า นักประวัติศาสตร์ในอนาคตอาจบันทึกชีวประวัติของเจ้าไว้! เมื่อเวลาล่วงเลยไปหลายพันปี คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติเช่นนี้”
หลินมู่อวี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ในวันนั้นชื่อเสียงและลาภยศคงไม่มีค่าใด…”
ทว่ายังไม่ทันกล่าวจบ ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านนอกก็โพล่งขึ้น “องค์หญิงถังเสี่ยวซีต้องการพบท่านผู้นำขอรับ!”
“เสี่ยวซีมางั้นรึ?”
“ขอรับ พระองค์ทรงรออยู่ด้านนอก!”
“พาพระองค์เข้ามา โอ้ ไม่ต้อง…ข้าจะไปรับพระองค์เอง!”
หลินมู่อวี่รีบวิ่งออกจากประตูโถงหลักไปเสียจนไม่ได้หยิบกระบี่วิญญาณมังกรติดตัวไปด้วย ทั้งชวีฉู่ เกอหยาง โจวเย่าและคนอื่นๆ ต่างยิ้มอย่างรู้ทัน แม้ว่าหลินมู่อวี่จะเป็นผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์และผู้บัญชาการกองทัพมากมายของจักรวรรดิ ทว่าท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่ง
ภายนอกวิหารศักดิ์สิทธิ์ เสื้อคลุมหนังสีขาวพลิ้วไหวตามลมหนาวที่โชยมา ถังเสี่ยวซียืนอยู่บนถนนทงเทียน แพขนตายาวสั่นไหวตามแรงลมที่ปะทะใบหน้าจนกระทั่งหลินมู่อวี่สวมใส่เสื้อคลุมองครักษ์มังกรให้แก่นาง แววตาของหญิงสาวทอประกายวูบไหว ภายในใจหลอมละลายทันทีที่เห็นหน้าคนที่อยู่ในห้วงคำนึงทุกคืนวัน
“ด้านนอกอากาศเย็น เข้าไปข้างในกันเถิด”
หลินมู่อวี่จูงมืออีกฝ่ายเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างอ่อนโยน ใบหน้าของถังเสี่ยวซีขึ้นสีพร้อมความรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ
กลุ่มแม่ทัพและทหารรักษาการณ์หลายนายที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังพากันยิ้มออกมา ผู้คนในเมืองหลันเยี่ยนต่างรู้ดีว่าหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีสนิทสนมกันมากเพียงใด อีกทั้งราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิองค์แรกยังมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับองค์จักรพรรดินี แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีชายใดในเมืองหลันเยี่ยนไม่อิจฉาหลินมู่อวี่ที่ได้ครอบครองสาวงามทั้งสองของเมืองหลวงแห่งนี้เพียงผู้เดียว
“เสี่ยวอิน เจ้ามีธุระในเมืองหลันเยี่ยนงั้นหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“หากไม่มีเหตุอันใดข้าก็มาหาเจ้าไม่ได้หรือ…” ถังเสี่ยวซีเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเศร้าโศก
“ได้…ได้สิ!”
หลินมู่อวี่หัวเราะก่อนเอ่ยถาม “แล้วเรื่องเผ่าอสูรในป่านิรันดร์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ช่างมันเถิด” ถังเสี่ยวซีดึงแขนของเขา ฉับพลันดวงตาคู่สวยแดงก่ำ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปจักรวรรดิอี้เหอมา…”
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร” หลินมู่อวี่ลูบหลังมืออีกฝ่ายแผ่วเบาก่อนกล่าวต่อ “ข้าไปเพื่อนำหัวของฉินเหลยกลับมาฝังไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ หากไม่ทำเช่นนี้ข้าคงไม่สบายใจ เจ้าเข้าใจข้าใช่หรือไม่…”
“แต่…” ถังเสี่ยวซีเงียบไป
“พูดเรื่องเผ่าปีศาจกันดีกว่า” หลินมู่อวี่ยิ้ม “จอมพลเฉียนเฟิงจับช่างฝีมือมนุษย์ไปเป็นทาสเพื่อสร้างอุปกรณ์รบมากมายและวางแผนโจมตีอาณาเขตทางตะวันของจักรวรรดิ หากการบุกโจมตีสำเร็จ กองทัพมนุษย์อาจต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก เมื่อถึงเวลานั้นข้าเกรงว่าอาจจะต้องพึ่งพาพละกำลังของเผ่าพันธุ์อสูร”
“สถานการณ์ทางเผ่าพันธุ์อสูรไม่ค่อยสู้ดีนัก”
ถังเสี่ยวซีเม้มริมฝีปากแดงก่ำของตนก่อนกล่าวต่อ “ป่านิรันดร์ทั้งร้อนและหนาวเย็นจนเกินไป ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่ผ่านมาแสงแดดแผดเผาอย่างหนักและแทบไม่มีฝนจนเกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรง เราแทบไม่สามารถเก็บเกี่ยวพืชในป่าได้ อาหารของเผ่าอสูรจึงขาดแคลนขึ้นทุกที ส่วนในช่วงที่หิมะตกหนัก ทั้งเมืองหน้าด่านอสูรแทบจะกลายเป็นทะเลหิมะ อสูรนับพันต้องอดตายอย่างน่าเวทนา ข้าจึงมาที่เมืองหลันเยี่ยนเพื่อขอยืมเสบียงอาหารจากเสี่ยวอิน…”
“หืม?”
หลินมู่อวี่ผงะไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวออก “ให้ข้าพาเจ้าไปหาเสี่ยวอินหรือไม่?”
“อืม เยี่ยมยอด!”