EP.438 กลุ่มเทียนเจว๋
“ข้าเกรงว่าคงมีเพียงผู้เดียวที่จะกล้าขโมยสินค้าจากร้านค้าจื่อยิน” เว่ยโฉวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ใคร?” หลินมู่อวี่ถาม
“ซือตู่เซินขอรับ”
เว่ยโฉวกล่าวต่อด้วยแววตาเฉียบคม “ทั้งชุมชนทางตะวันตกและตะวันออกของเมืองหลันเยี่ยนต่างถูกควบคุมโดยกลุ่มเทียนเจว๋ซึ่งถูกก่อตั้งโดยซือตู่เซิน พวกเขาทำตั้งแต่การค้ามนุษย์ไปจนถึงเป็นทหารรับจ้างเถื่อน ครานี้กองทัพจักรวรรดิอาจถูกพวกเขาเล่นงานเข้าแล้ว”
“มีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ?”
หลินมู่อวี่มองเฟิงจี้สิงพร้อมกล่าวคำออก “ผู้บัญชาการเฟิง เมืองหลันเยี่ยนอยู่ในความดูแลของกองทัพองครักษ์ ท่านปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิด” เฟิงจี้สิงเกาจมูกพลางกล่าวต่อ “จากการฟื้นฟูเมืองหลันเยี่ยนสามปีมานี้ ประชากรของเราเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึงห้าล้านคน กองทัพองครักษ์เพียงสองหมื่นไม่สามารถควบคุมพื้นที่ทอดยาวหลายร้อยไมล์ได้ทั้งหมด พลเรือนกว่าแสนคนต้องใช้ชีวิตตามมีตามเกิด แม้ว่ากลุ่มเทียนเจว๋อาจทำเรื่องไม่ดี หากแต่พวกเขาสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ อาหารและเสื้อผ้าในชุมชนห่างไกลได้อย่างดี”
ฉินอินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่อาอวี่ ขณะนี้กองทหารและกำลังทรัพย์ของเรามีค่อนข้างจำกัด ดังนั้นการปล่อยให้กลุ่มเทียนเจว๋ของซือตู่เซินควบคุมเมืองทางตะวันตกและออกถือเป็นเพียงกลวิธีเลี้ยงหมูของผู้บัญชาการเฟิงเท่านั้น ท่านพี่วางใจเถิด เมื่อถึงเวลากลุ่มเทียนเจว๋จะทำให้เรามีกองกำลังและทรัพยากรมากขึ้นแน่นอน”
“กลายเป็นว่าจักรวรรดิไม่มีอำนาจในการปกครองเสียอย่างนั้นรึ…”
หลินมู่อวี่โอดครวญก่อนหัวเราะ “ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะไปพบซือตู่เซินสักหน่อย เขากล้าดีอย่างไรมาขโมยสินค้าของข้า”
“อาอวี่ เจ้าต้องระวังตัวให้ดี” เฟิงจี้สิงกล่าวเตือน “กลุ่มเทียนเจว๋ไม่ธรรมดาเสียเลย อีกทั้งซือตู่เซินยังมีน้องสาวนามว่าซือตู่เฉว่ซึ่งเป็นผู้นำของทหารรับจ้างหลิงเป่ย ทหารรับจ้างกลุ่มแรกในเมืองหลันเยี่ยน เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องมาบ้าง”
หลินมู่อวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ซือตู่เฉว่รึ…คุ้นหูนัก”
“หากจะไปฐานทัพของกลุ่มเทียนเจว๋ เจ้าควรนำทหารไปคุ้มกันด้วยเผื่อเกิดเหตุใดขึ้น”
“อืม พี่เฟิงไม่ต้องห่วง”
หลินมู่อวี่คำนับลาฉินอินก่อนออกจากตำหนักเจ๋อเทียนไปพร้อมกับเว่ยโฉว จินเสี่ยวถังและคนอื่นๆ
“ท่านผู้บัญชาการ เราจะนำกองทหารมังกรผงาดไปกี่คนขอรับ?” เว่ยโฉวเอ่ยถาม
“ไม่ต้องมาก เพียงหนึ่งพันนายก็เหลือเฟือ ให้เฝิงสี่และจินเสี่ยวถังนำทัพไป”
“ขอรับ”
…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลินมู่อวี่และเว่ยโฉวนำกองทหารม้าในชุดเกราะเต็มยศเคลื่อนทัพออกจากค่ายมุ่งหน้าสู่ฐานทัพของกลุ่มเทียนเจว๋ทางตะวันออกของเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชากรแออัดและยากจนที่สุดในเมืองหลันเยี่ยน กลับกันถนนทงเทียนที่หลินมู่อวี่อาศัยอยู่นั้นเป็นละแวกของเหล่าขุนนางและเศรษฐี
หลังจากเดินทางมาร่วมชั่วโมง สิ่งก่อสร้างตระการตารอบข้างค่อยๆ หายไปกลายเป็นบ้านขนาดเล็กที่เบียดเสียดกันอย่างแออัด บางหลังแลดูซอมซ่อเสียจนอาจพังลงเพราะพายุฝน ผู้คนในชุมชนต่างมองกองทหารมังกรผงาดซึ่งสวมใส่สัญลักษณ์จักรวรรดิควบม้าผ่านไปด้วยท่าทีเฉยเมย
ไม่นานนักพวกเขาเดินทางผ่านตลาดทาส น่าเศร้านักที่แม้จักรวรรดิฉินจะเจริญรุ่งเรืองเพียงใด หากแต่ก็ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างสังคมทาสสู่สังคมศักดินา กลุ่มทาสยืนเรียงแถวให้ผู้คนเลือกเยี่ยงสินค้าโดยใช้ความสูงต่ำดำขาวเป็นเครื่องต่อรอง
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วขณะขี่ม้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า จินเสี่ยวถังเหมือนจะรู้ว่าเขาคิดเช่นไรจึงยิ้มและกล่าวคำออก “พี่อาอวี่ ท่านทนดูการค้าทาสไม่ได้งั้นหรือ?”
“อืม” หลินมู่อวี่พยักหน้า “มนุษย์ทุกคนควรมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน”
จินเสี่ยวถังประหลาดใจเล็กน้อยกับคำพูดเหล่านั้น เขาหัวเราะก่อนกล่าวตอบ “แต่ไม่ใช่ในเรื่องนี้ขอรับ บางคนเกิดเป็นราชวงศ์เช่นเดียวกับท่าน ขณะที่บางคนเกิดมาเป็นทาสเช่นเดียวกับพวกเขาเหล่านี้”
หลินมู่อวี่กล่าว “หากเราปล่อยตัวทาสเหล่านี้และให้ที่ดินรกร้างแก่พวกเขาเพื่อเพาะปลูกเลี้ยงชีพ พวกเขาคงสร้างประโยชน์ได้มากกว่านี้ไม่ใช่หรือ?”
จินเสี่ยวถังชะงักไปอีกหน “บางทีพี่อาอวี่คงพูดถูก ข้าไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน...”
เว่ยโฉวด้านข้างกระซิบกับเขา “ผู้บัญชาการขอรับ ท่านต้องการใช้เงินทุนของร้านค้าจื่อยินเพื่อซื้อทาสเหล่านี้ในราคาถูกหรือไม่ขอรับ? เราสามารถมอบอิสระแก่เหล่าชายฉกรรจ์ในตลาดทาสและให้พวกเขาจับดาบสู้อย่างจงรักภักดีต่อจักรวรรดิ”
“ไม่”
หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะก่อนกล่าวต่อ “เช่นนั้นจะทำให้พวกพ่อค้าทาสแข็งแกร่งขึ้นไปอีก สักวันข้าจะถอนรากถอนโคนระบบนี้ให้สิ้นซาก”
เว่ยโฉวตกตะลึงและนิ่งเงียบไป
อย่างที่หลินมู่อวี่กล่าว บางอย่างอาจถึงคราต้องเปลี่ยนแปลงแล้วจริงๆ
แล้วจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้บ้าง?
คงต้องให้องค์จักรพรรดินีร่างพระราชโองการเพื่อปลดปล่อยทาสรับใช้เหล่านี้และให้ค่าชดเชยแก่พวกเจ้านายทาสทั้งหลาย เพื่อเปลี่ยนแปลงรากฐานของระบบนี้และสร้างความเท่าเทียมอย่างแท้จริงในสังคม หากแต่คงต้องใช้เวลาไม่น้อยเช่นกัน
…
เสียงเกือกม้ากระทบพื้นผ่านเมืองแล้วเมืองเล่า ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงใจกลางชุมชนแออัดแห่งนี้ ทหารลาดตระเวนควบม้ามาแต่ไกล ใบหน้าอ้วนท้วนโค้งคำนับหลินมู่อวี่ทันทีที่พบกัน “ไม่ทราบว่าพวกท่านอยู่กองทัพใดหรือขอรับ?”
เว่ยโฉวชี้สัญลักษณ์กองทัพมังกรผงาดบนอกของตนก่อนกล่าวคำเบา “พวกเราคือกองทัพมังกรผงาด”
นายทหารรู้ทันทีว่าผู้บัญชาการรูปงามตรงหน้าเขาคือใคร “คารวะท่านผู้บัญชาการหลินขอรับ”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “เจ้ามีนามว่าอย่างไร แล้วรับผิดชอบสิ่งใดที่นี่?”
นายทหารกล่าว “ข้าน้อยเป็นทหารของกระทรวงกลาโหมนามว่าจางเล่ย รับผิดชอบภารกิจลาดตระเวนในถนนสายนี้ขอรับ”
“เจ้าดูแลถนนสายนี้เพียงลำพังหรือ?” หลินมู่อวี่ถามอย่างประหลาดใจ
“ขอรับ กระทรวงกลาโหมมีกองทหารในสังกัดไม่มากนัก อีกทั้ง…เขตตะวันออกยังมีถนนนับพันสาย การจัดทหารลาดตระเวนให้ทั่วถึงจึงเป็นเรื่องยากมิน้อย”
“เช่นนั้น การมาลาดตระเวนที่นี่คงไม่ปลอดภัยนักใช่หรือไม่” หลินมู่อวี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
จางเล่ยผงะไปครู่หนึ่งก่อนประสานหมัดพร้อมกล่าวคำออก “อาจมีคนก่อปัญหาแก่ท่านได้ ข้าน้อยจะนำท่านผู้บัญชาการไปเองขอรับ”
“อืมไปกันเลยเถิด พาข้าไปที่ฐานทัพของกลุ่มเทียนเจว๋ ข้าต้องการพบซือตู่เซิน”
“เอ่อ…”
จางเล่ยเผยสีหน้าตกตะลึงทันที
“เจ้าไม่กล้าไปอย่างนั้นรึ?” เว่ยโฉวเอ่ยถาม
จางเล่ยกัดฟันก่อนกล่าวตอบ “เช่นนั้น…ข้าน้อยจะพาพวกท่านไปส่งหน้าประตูฐานทัพของกลุ่มเทียนเจว๋แล้วกันขอรับ”
“อืม ไปกันเถิด”
“ขอรับ”
จางเล่ยขึ้นควบม้าของเขาก่อนนำหลินมู่อวี่และคนอื่นๆ ตรงไปสุดถนน
ปลายสุดถนนไม่มีคนจนอาศัยอยู่อีกต่อไป มีเพียงแต่กลุ่มคนในชุดผ้าไหมเดินเพ่นพ่าน ฐานทัพของกลุ่มเทียนเจว๋สูงตระหง่านท่ามกลางซากบ้านเรือนผุพังจนเว่ยโฉว เฝิงสี่และคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะชื่มชมอยู่ในใจ ขนาดของฐานทัพแห่งนี้ราวกับตำหนักของเจ้าชายก็มิปาน
ทันทีที่มาถึงหน้าฐานทัพ ชายหลายคนในชุดเกราะสีฟ้าก็หัวเราะลั่นเมื่อเห็นหน้าจางเล่ย “อ้าวจ่างเล่ย เหตุใดจึงมาเหยียบที่นี่ิีอีก ซุปที่เจ้ากินคราก่อนยังไม่หนำใจรึ?”
จางเล่ยบังคับม้าของให้ถอยไปหลายก้าวด้วยใบหน้าหวั่นเกรง
สมาชิกกลุ่มเทียนเจว๋สองสามคนในบริเวณนั้นรีบวิ่งออกไปคว้าบังเหียนก่อนดึงจางเล่ยออกจากหลังม้า หนึ่งในนั้นหัวเราะพร้อมกล่าว “เจ้ายังกล้ามาเหยียบที่นี่อีกงั้นรึ! ข้าชักจะหมดความอดทนแล้ว มานี่สิ มาตัดผมสักหน่อยแล้วค่อยกลับไปทำงานที่เจ้ารักนักรักหนา!”
ใบหน้าอันซีดเซียวของจางเล่ยมองไปยังหลินมู่อวี่และคนอื่นๆ เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา
ขณะนั้น ใบหน้าของสมาชิกกลุ่มเทียนเจว๋ต่างซีดเผือดเมื่อหันไปเห็นกองทหารมังกรผงาดนับพันอยู่ด้านหลังพวกเขา
หลินมู่อวี่กระโดดลงจากม้า เขายกยิ้มก่อนกล่าวคำออก “ข้าผู้บัญชาการกองทัพมังกรผงาด หลินมู่อวี่ต้องการพบซือตู่เซิน”
“ทะ…ท่าน...”
ชายหัวขาวคนหนึ่งกล่าวออก “ไม่เคยมีกองทัพจากจักรวรรดิมาที่ถนนอันเสื่อมโทรมแห่งนี้มาก่อน พวกท่านคิดจะทำสิ่งใด?”
เว่ยโฉวชักดาบออกจากฝักครึ่งหนึ่งก่อนกล่าวออกด้วยใบหน้าเย็นชา “ยังไม่เข้าไปแจ้งอีกรึ อยากตายหรืออย่างไร?”
“ขะ…ขอรับ โปรดรอสักครู่…” สมาชิกกลุ่มเทียนเจว๋ปล่อยจางเล่ยก่อนวิ่งหน้าตาเข้าไปในฐานทัพด้วยความตื่นตระหนก
จางเล่ยกล่าวออกอย่างอับอาย “ท่านผู้บัญชาการหลิน ข้าน้อยช่างเป็นทหารจักรวรรดิที่น่าอับอายนัก…”
“ไม่เป็นไร” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานเพราะทหารถูกส่งมาที่นี่น้อยเกินไป อีกทั้งพวกกลุ่มเทียนเจว๋ก็รุนแรงเกินเหตุ ไม่ใช่ความผิดของเจ้าแม้แต่น้อย”
“ข้าน้อยมิได้ทุกข์ขอรับ…” จางเล่ยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เจ้ากลับไปเถิด เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“ขอรับ”
…
กองทัพมังกรผงาดรอด้านนอกฐานทัพกลุ่มเทียนเจว๋อย่างใจจดใจจ่อ แม้สมาชิกกลุ่มเทียนเจว๋หลายคนจะมีท่าทีหยิ่งทะนง ทว่าการปรากฏตัวของกองทัพชั้นยอดของจักรวรรดิก็ทำให้พวกเขาหน้าตาซีดเผือดและเงียบเป็นเป่าสาก ท้ายที่สุดแล้วคนเหล่านี้ก็เก่งแค่กับพลเรือนผู้ด้อยกว่าตนเท่านั้น
ขณะนั้น นักรบในชุดเกราะสีแดงเพลิงเดินออกมาพลางยิ้มให้หลินมู่อวี่อย่างนอบน้อม “คาดไม่ถึงเลยว่าท่านผู้บัญชาการหลินจะมาถึงที่นี่ ข้ามีนามว่าโจวเหนียน หนึ่งในห้าของผู้นำกลุ่มเทียนเจว๋ ขณะนี้ท่านซือตู่เซินกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยง ขอเชิญท่านผู้บัญชาการหลินเป็นเกียรติร่วมงานกับเราด้วยขอรับ”
“ขอบใจ” หลินมู่อวี่ยิ้มพลางกระชับด้ามกระบี่ที่เอว บริเวณทางเข้าเว่ยโฉว เฝิงสี่ และคนอื่นๆ ลงจากม้าและรีบเข้าไปด้านในพร้อมด้วยกองทัพมังกรผงาด
โจวเหนียนหันมองด้วยท่าทีเขินอายก่อนกล่าวออก “อภัยให้ข้าเถิดท่านผู้บัญชาการหลิน หากแต่พวกท่านคงสามารถเข้ามาด้านในได้เพียงห้าคนเท่านั้น เนื่องจากฐานทัพของเทียนเจว๋เล็กเกินกว่าจะรองรับคนทั้งกองทัพได้”
“อย่างนั้นหรือ”
หลินมู่อวี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เว่ยโฉว พาคนเข้าไปพร้อมข้าสามคน ส่วนเฝิงสี่และฉือเจี้ยนเทา พวกเจ้าพาคนอื่นๆ ไปรอด้านนอกก่อนเถิด”
“ขอรับ” เฝิงสี่และฉือเจี้ยนเทาตอบโดยพร้อมเพรียงกัน
เว่ยโฉวยิ้มพร้อมกล่าว “ภายในหนึ่งชั่วโมงหากข้าและผู้บัญชาการไม่กลับออกมา พวกเจ้าจงกลับไปที่ค่ายและรวบรวมกองกำลังมังกรผงาดสองหมื่นนายเข้าจู่โจมที่นี่เสีย”
“รับทราบขอรับ”
“ปกป้องเสี่ยวถังด้วย” หลินมู่อวี่กล่าวกำชับก่อนย่างเท้าเข้าไปในฐานทัพเทียนเจว๋โดยไม่หันกลับมามอง