*ขอปรับคำแทนตัวกับคำราชาศัพท์นะครับ
***
เนื่องจากออลฟรานส์ยังต้องหารือกับคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องก่อน คำขอของอานิสเฟียร์จึงยังไม่ได้รับการตอบรับในทันที
“คืนนี้คุณหนูยูฟีเรียจะค้างที่นี่ก่อนไหม?”
“ค-ค่ะ…ที่จริงแล้วก็ควรจะกลับบ้านแต่นี่ก็มืดมากแล้วด้วย”
“งั้นทำไมไม่มาที่ห้องของข้าล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ยูฟีเรียก็เอามือกอดตัวเองแน่นและก้าวถอยหลังไป
“ข่าวลือนั่นเป็นความจริงสินะคะ…?”
“ข่าวลือ?”
“องค์หญิงอานิสเฟียร์เป็น เอ่อ…เป็นพวกชอบเพศเดียวกัน…”
“อื้ม มันก็ใช่แหละ ไม่ใช่ว่าข้ารังเกียจพวกผู้ชายหรอกนะ แต่ถ้าจะให้แต่งงานกับใครสักคนก็ต้องกับสาวน้อยแสนสวยสุดน่ารักเท่านั้น!”
อานิสเฟียร์ที่ตอบพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ยูฟีเรียรู้แล้วว่าฉายาตัวปัญหาอันดับหนึ่งของอาณาจักรไม่ได้มีไว้โชว์เล่นๆ
ที่ผ่านมาแม้เธอจะเป็นคู่หมั้นของอัลการ์ด แต่เธอก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกับอานิสเฟียร์มากนัก นั่นก็เพราะทั้งคู่จงใจเว้นระยะห่างพยายามไม่ไปยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน
ถึงแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้จักเลยเสียทีเดียว ถึงส่วนมากจะเป็นเพราะข่าวลือต่างๆของอานิสเฟียร์มันโด่งดังจนลอยมาถึงหูยูฟีเรียเองก็เถอะ
“แล้วความรับผิดชอบในฐานะราชวงศ์ละคะ?”
“ของแบบนั้นข้าทิ้งมันไว้ในท้องท่านแม่ตั้งแต่เกิดแล้ว!”
“องค์ราชินีจะเสียใจเอานะคะ!?”
“..นั่นมันก็จริงแหละ…”
“ถ้ารู้แบบนั้นช่วยก็ทำอะไรสักอย่างสิคะ!”
ไม่เข้าใจความคิดของเจ้าหญิงคนนี้เลยจริงๆ
จู่ๆยูฟีเรียเริ่มรู้สึกปวดหัว เธอเอามือนวดขมับก่อนที่จะตระหนักได้ว่าตนเองหมดแรงเกินกว่าจะบ่นต่อ
ใจจริงเธออยากจะหันหลังเดินหนีไปให้ซะไกลๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับหันหลังให้กับอนาคตของตนเองเช่นกัน
เพราะสิ่งที่อานิสเฟียร์คาดการณ์นั้นถูกต้อง แม้แต่ตัวยูฟีเรียเองก็ยังเห็นด้วย และคำแนะนำที่จะแบ่งปันความสำเร็จเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงเองก็ไม่ได้แย่อะไร
ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่ตัวคนให้ความช่วยเหลืออย่างอานิสเฟียร์ต่างหาก
“เอาน่า แทนที่จะคิดเรื่องของข้า ตอนนี้มาคิดถึงอนาคตของคุณหนูยูฟีเรียกันดีกว่า เพราะครอบครัวราชวงศ์ของเราทำให้ชื่อเสียงคุณหนูยูฟีเรียต้องด่างพร้อยไป ถ้าเราไม่รีบทำอะไรซักอย่างดยุคแกรนท์ต้องจัดเทศกาลนองเลือดท่านพ่อแน่”
“…ฉันไม่คิดว่าท่านพ่อจะทำแบบนั้นหรอกค่ะ กลับกันเป็นฉันต่างหากที่ควรจะโดนตำหนิ…”
เพื่ออนาคตของอาณาจักร เธอจึงต้องทำตัวให้คู่ควรจะเป็นราชินีองค์ต่อไป และคนที่คอยบอกเธอเช่นนั้นมาตลอดก็คือดยุคมาเจนต้า พ่อของตัวยูฟีเรียเอง
แล้วตอนนี้เธอยังจะมีหน้าไปพบเขาได้อย่างไร?
เมื่อคิดเช่นนั้นยูฟิเรียก็ก้นหน้าลง
เธอไม่รู้ว่าการกระทำอันชั่วร้ายที่อัลการ์ดพูดถึงคืออะไร แต่เธอรู้ว่ามันต้องเป็นการใส่ร้ายจากใครสักคนเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เช่น การลดทอนอำนาจของตระกูลมาเจนต้าลง และเพราะสิ่งใดถึงทำให้อัลการ์ดขาดสติจนสูญเสียการมีเหตุผลไปขนาดนี้
ถึงจะปวดหัวอยู่แต่ยูฟีเรียก็พยายามคิดว่าตนเองจะทำอย่างไรต่อไปดี
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า!”
“มูววว!”
ขณะที่ยูฟีเรียครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆแก้มทั้งสองของเธอก็ถูกอานิสเฟียร์บีบดังหมับ
“ว่าแล้วเชียว ปล่อยให้อยู่ตามลำพังคงไม่ดีนัก เพราะงั้นก็ไปกันเถอะ! ไปที่ห้องของข้ากัน!”
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนท่านอานิสเฟียร์?!”
“ขอปฏิเสธ!”
อานิสเฟียร์ยกยูฟีเรียขึ้นพาดบ่าแล้ววิ่งลงไปยังห้องโถง
ขณะที่กำลังโดนลักพาตัวอีกครั้ง ยูฟีเรียอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา
“ใครก็ได้! ได้โปรดช่วยหยุดองค์หญิงที! ช่วยหยุดเธอที!”
ยูฟีเรียกรีดร้องไม่หยุดแถมยังดังขึ้นเรื่อยๆ แต่เหล่าอัศวินและคนรับใช้ที่อยู่ในห้องโถงกลับทำเพียงส่งยิ้มด้วยความสงสารต่อคำวิงวอนของเธอ ราวกับกำลังบอกว่าเปล่าประโยชน์ ก่อนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและกลับไปทำงานของตนต่อไป
***
ข้าแบกคุณหนูยูฟีเรียมาจนถึงห้องของตัวเอง ซึ่งตั้งอยู่ด้านนอกตัวปราสาทในเขตราชวัง เมื่อเปิดเข้าไปก็พบกับกองภูเขาเอกสารมากมาย
ข้าจึงวางคุณหนูยูฟีเรียลง ก่อนลงมือเก็บกองเอกสารต่างๆเพื่อหาเก้าอี้รับแขก
“อาจจะรกไปหน่อย แต่ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านได้เลยนะ เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมชาให้”
“….ถึงฉันจะพูดอะไรไปท่านก็คงจะไม่ฟังอยู่แล้วนิ”
ข้ายิ้มให้คุณหนูยูฟีเรียที่ห่อไหล่ลงราวกับยอมแพ้
ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยวัตถุดิบ หนังสือ และเอกสารสำหรับงานวิจัย
ข้ามักจะใช้ห้องนี้จัดระเบียบความคิดและสร้างทฤษฏีใหม่ๆ ส่วนห้องวิจัยจะแยกไปอีกส่วนหนึ่ง
โดยปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบริเวณริมเขตราชวัง
อันที่จริงข้าเคยมีห้องส่วนตัวอยู่ราชวังหลัง และปราสาทนี้พึ่งสร้างหลังจากที่ข้าสละสิทธิในราชบัลลังก์ ส่วนหนึ่งก็เพราะข้ามักจะก่อปัญหาบ่อยๆละนะ ท่านพ่อที่ดูเหมือนจะหมดความอดทนจึงสั่งให้สร้างปราสาทนี่ขึ้น
ทำอย่างกับข้าเป็นเด็กมีปัญหาไปได้
“องค์หญิง ขออนุญาตนะคะ”
“อิเรีย! เสิร์ฟชาที่ช่วยผ่อนคลายให้คุณหนูยูฟีเรียหน่อยสิ!”
หลังเสียงเคาะประตู อิเรียสาวใช้ประจำตัวข้าก็ก้าวเข้ามาในห้อง
อิเรียที่อยู่กับข้ามาเป็นสิบปีขานรับพอเป็นพิธีก่อนจะลงมือชงชาโดยใช้อุปกรณ์เวทมนต์ที่มีรูปร่างเหมือนกาน้ำ
เมื่อเธอตั้งหม้อต้มน้ำ ไม่นานน้ำในกาก็เดือดก่อนที่อิเรียจะเริ่มนำใบชาออกมา
ดูเหมือนคุณหนูยูฟีเรียจะสนใจเป็นพิเศษเธอจึงจ้องมองมันอย่างตั้งใจ
ไม่เพียงแค่ฝีมือชงชาของอิเรีย แต่รวมถึงกาต้มน้ำด้วย
“นี่มันคืออะไรเหรอคะ? ฉันเคยเห็นอุปกรณ์เวทมนต์มาตั้งเยอะ แต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลยค่ะ”
“อ่อ ก็เพราะมันเป็นตัวต้นแบบน่ะ มีอยู่แค่ไม่กี่ตัวแถมยังไม่ได้ประกาศสู่สาธารณะด้วย”
“ถึงจะช่วยให้ทำงานเร็วขึ้นแต่ทั้งหมดนี่มันคือกับดักค่ะ พอคิดว่าต้องไปทำงานที่อื่นโดยไม่มีพวกมันแล้วก็…”
อิเรียพึมพำเบาๆกับตัวเอง
น่ากลัวชะมัด อิเรียทำดวงตาที่เหมือนกับปลาตายและใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกนั่นได้ยังไงกันนะ
ถึงแม้ว่าจะมีข้าวของเครื่องใช้มากมายที่ข้าพยายามสร้างเลียนแบบกับของที่มีอยู่ในชาติก่อน
แต่รู้ดันสึกว่าคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดกับเป็นอิเรียซะงั้น
“แต่มันก็สะดวกดีใช่ไหมล่ะ”
“ปัญหาก็คือมันสะดวกเกินไปค่ะ ถ้าต้องออกไปทำงานที่อื่นต้องลำบากมากแน่ๆ หรือว่านี่จะเป็นแผนที่ท่านวางเอาไว้ ช่างเป็นองค์หญิงที่ชั่วร้ายจริงๆค่ะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ข้าชอบอิเรียนะ อยากอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยด้วย!”
“ฮะๆ ใครกันที่เป็นคนขุดคูรอบปราสาทเพื่อกันดิฉันหนีหนอ?”
“ใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นได้ลงคอ! ให้ข้าเดาก็ท่านพ่อสินะ ต้องเป็นท่านพ่อแน่ๆ”
“ผิดค่ะ คำตอบที่ถูกต้องก็คือปีศาจร้ายที่นั่งอยู่ตรงหน้าดิฉันค่ะ”
“มนุษย์ต่างหากล่ะ ไม่ใช่ว่าสายตามีปัญหาแล้วเรอะ?”
ข้ากับอิเรียตบมุกกันไปมา เธอเป็นคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมานาน อีกทั้งยังเป็นผู้ช่วยงานทดลองต่างๆมาตั้งแต่ที่ข้ายังเด็ก ท่านพ่อจึงสั่งให้อิเรียมาคอยดูแลข้า
อันที่จริงการที่มีเธออยู่เคียงข้างทำให้ชีวิตข้าสบายขึ้นเยอะเลย!
กลับกันคุณหนูยูฟีเรียดูตกใจ เพราะถึงแม้อิเรียจะรับใช้ราชวงศ์มานานแต่การพูดคุยโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของสถานะคงจะทำให้เธอประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“แล้วองค์หญิงคะ ทำไมถึงพาคุณหนูยูฟีเรียที่เป็นคู่หมั่นขององค์ชายอัลการ์ดมาที่นี่ล่ะคะ?”
“หือ? นั่นก็เพราะอัลยกเลิกงานหมั่นกลางงานปาตี้ ข้าก็เลยลักพาตัวเธอมาที่นี่ยังไงล่ะ”
“…ดิฉันไม่รู้เลยว่าควรเริ่มจากตรงไหนก่อนดี ก่อนอื่นเลย องค์หญิงไปทำอะไรที่นั่น? อย่างที่สอง ยกเลิกงานหมั่นกับคุณหนูยูฟีเรียกลางงานปาตี้? ถ้าเป็นมุกก็ถือว่าห่วยมากค่ะ”
“น่าเสียดายที่มันเป็นความจริง ดั่งคำพูดที่ว่าเรื่องจริงยิ่งกว่านิยายไง”
“อย่างนี้นี่เอง แต่พอคำๆนั้นหลุดออกจากปากคนเพี้ยนแล้วมันดูไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลยค่ะ”
“หมิ่นเบื้องสูง! หมิ่นเบื้องสูงชัดๆ!”
ถึงจะฟังดูหยาบคาย แต่ข้ากับอิเรียก็มักจะตบมุกกันไปมาแบบนี้เป็นประจำ จะเรียกว่าเป็นการแสดงความรักรูปแบบหนึ่งก็ไม่ผิด
ในขณะที่พวกเรากำลังคุยกัน คุณหนูยูฟีเรียนั่งมองดูอยู่อย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นแบบนั้นอิเรียจึงกระแอมไอเบาๆราวกับต้องการจะดึงบทสนทนากลับเข้าเรื่อง
“แล้วทำไมถึงพาเธอมาที่นี่ล่ะคะ?”
“เพื่อเป็นหนูทดลอง อะแฮ่ม!…. เพื่อมาเป็นผู้ช่วยวิจัยของข้าเอง ถ้าทำแบบนั้นเธอก็จะได้รับผลงานและช่วยกลบข่าวลือเสียๆจากการถอนหมั่นได้ด้วย!”
“…ที่พูดนั่นจริงจังไหมคะ?”
ข้าพยักหน้าตอบอิเรียที่จ้องสวนกลับด้วยสายตาปลาตาย
ไม่รู้ทำไมอิเรียถึงหันกลับไปมองยูฟีเรียด้วยสีหน้าสมเพชเวทนาอย่างสุดหัวใจ ราวกับกำลังมองดูลูกวัวในโรงเชือด
ส่วนยูฟีเรียก็ทำได้เพียงมองดูอิเรียด้วยท่าทางงงงวย
“เฮ้อ~”
จากนั้นอิเรียก็ถอนหายใจยาวแล้วหันกลับมาที่ข้า
“…ในที่สุดก็บ้าเต็มขั้นแล้วสินะคะ? ช่างน่าสงสารจริงๆ ที่ผ่านมาดิฉันคิดว่าองค์หญิงคงทำให้คนอื่นเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว ไม่คิดเลยว่าจะพัฒนาถึงขั้นล่อลวงมาเองแบบนี้”
“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อน! นั่นมันไม่ใจร้ายไปหน่อยเรอะ?!”
“สรุปแล้วท่านตั้งใจจะทำลายชีวิตของคุณหนูยูฟีเรียสินะคะ?”
“มันต้องตรงข้ามกันเซ่!?”
“อุหว่า~ ยังกล้าบอกว่าทำด้วยความหวังดีอีกเหรอ? พาลงรูสู่นรกนี่คือเจตนาดีสินะ? เจ้าปีศาจตนนี้น่ะ”
“เจ้าหญิง! เจ้าหญิงต่างหากย่ะ!”
“ทั้งๆที่กักขังดิฉันไม่ให้หนีไปไหนเนี่ยนะ? นี่ท่านบ้าไปแล้วสินะคะ? ไม่สิน่าจะบ้าตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า”
“อิเรียยยยย!”
อิเรียไม่สนใจอานิสเฟียร์ที่ร้องไห้งอแง่ตะกุยชุดของเธอราวกับเด็กๆ แล้วหันไปทางยูฟีเรียอีกครั้งด้วยดวงตาที่มีแต่ความเห็นใจ
“คุณหนูยูฟีเรียตอนนี้ยังไม่สาย จะไปหลงเสียงกระซิบล่อลวงของปีศาจตนนี้ไม่ได้นะคะ”
“ค…ค่ะ…”
“ถ้าเผลอไปทำสัญญาด้วย จะต้องโดนกลืนไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาณแน่เลยค่ะ”
“อ…องค์หญิงจะทำแบบนั้นกับฉันจริงๆเหรอคะ?”
“ไม่ค่ะ ถึงแม้ผลลัพธ์มันอาจจะเป็นแบบนั้น ตัวคุณอาจจะโกรธแต่สุดท้ายแล้วก็จะเข้าใจความหมายของมันเองคะ”
เมื่อพูดจบไหล่ของเธอก็สั่นราวกับกำลังนึกความทรงจำอันเลวร้าย
ยูฟีเรียที่ไม่เข้าใจสิ่งที่อิเรียจะสื่อได้แต่ทำหน้าสงสัย ใกล้กันนั้นอานิสเฟียร์ซึ่งยอมแพ้ในการห้ามปรามอิเรียกำลังเอาหน้าซุกลงกับโต๊ะ
“คุณหนูยูฟีเรีย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น องค์หญิงนั้นพยายามช่วยเหลือท่านด้วยความหวังดีจากใจจริง และดิฉันก็มั่นใจว่าในความหวังดีนั้นก็มีความปรารถนาส่วนตัวขององค์หญิงซ่อนอยู่เช่นกัน แต่สิ่งที่องค์หญิงทำทั้งหมดล้วนคิดถึงท่านก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ เรื่องนี้ดิฉันรับรองได้เลย”
“ค-ค่ะ เข้าใจแล้ว”
“ค่ะ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้ ถ้าจะให้พูดองค์หญิงก็เหมือนกับยาอันตรายนั่นแหละคะ”
“ยาอันตราย? อ่า จริงด้วยสินะ”
“…ดิฉันไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะเสียใจกับองค์หญิงที่คุณไม่ได้ปฏิเสธ หรือดีใจกับตัวเองที่คุณเห็นด้วยดี แต่อย่างน้อยเราก็เราก็เห็นตรงกันส่วนหนึ่งแล้ว”
“…หมายความว่ายังไงคะ?”
ยูฟีเรียขมวดคิ้วเพราะคำพูดของอิเรีย
คำเปรียบเทียบที่ว่าอานิสเฟียร์เท่ากับยาอันตรายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไม่ยาก สิ่งที่เธอสร้างขึ้นได้เปลี่ยนแปลงและเสริมความแข็งแกร่งให้อาณาจักรอย่างมาก ถึงจะได้รับฉายาว่าเป็นตัวปัญหาแต่ความสำเร็จอันน่าทึ่งที่เธอทำก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจว่าอิเรียหมายถึงอะไร
ขณะเดียวกันอิเรียก็คาดเดาได้ว่ายูฟีเรียคิดเช่นนั้น เธอจึงพูดต่อไป
“สิ่งประดิษฐ์ขององค์หญิงนั้นวิเศษมาก เมื่อมองดูรอบๆห้องแล้วท่านก็คงจะคิดเหมือนกันว่ามันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
“ค่ะ ฉันแน่ใจว่าถ้าสิ่งเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่วโลก คุณภาพชีวิตของทุกคนจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”
“นั่นแหละคือปัญหาค่ะ”
“เอ๊ะ?”
“เมื่อท่านได้ก้าวเข้าสู่โลกขององค์หญิงแล้วก็จะไม่มีวันหวนกลับได้อีก เพราะงั้นถึงต้องทำให้มันชัดเจนตั้งแต่แรกค่ะ”
“ไม่คิดว่านั่นเป็นการพูดเกินจริงไปหน่อยเหรอ?”
อิเลียเบนหางตาไปมองอานิสเฟียร์เผื่อว่าเธอจะคัดค้าน แต่เมื่อเห็นว่าเธอยังคงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ อิเรียจึงส่ายหน้าให้กับคำพูดของยูฟีเรีย
“ลองนึกภาพมนุษย์ยุคหินที่ถูกขโมยไฟไปสิคะ คิดว่าสภาพพวกเขาจะเป็นเช่นไร?”
“…อย่างนี้นี่เอง”
“ค่ะ นั่นเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้มัน‘สะดวกสบาย’เกินไป ถ้าเผลอได้ลองลิ้มรสผลไม้ต้องห้ามนี้เข้า คงโดนความสะดวกสบายอันแสนชั่วร้ายกลืนกินจนไม่อาจกลับมาได้อีก”
สิ่งประดิษฐ์ของอานิสเฟียร์นั้นสุดแสนน่ามหัศจรรย์ และเพราะความมหัศจรรย์นี้เองทำให้ผู้คนโหยหาเมื่อมันหลุดมือไป
เมื่อพวกเขาเริ่มชินกับมันแล้ว มนุษย์ก็จะไม่สามารถละทิ้งชีวิตที่สะดวกสบายนี้ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเปรียบอานิสเฟียร์ว่าเป็นยาอัตราย
“แน่นอนค่ะ ว่าในสถานการณ์เช่นนี้นั้น หากมองดูในฐานะคนนอก ราชวงศ์เป็นผู้ทำลายการหมั่นหมายของคุณหนูยูฟีเรียลง การสร้างผลงานให้กับตัวคุณหนูเองก็เป็นวิธีการแก้ไขสิ่งต่างๆได้อย่างลงตัว แถมตัวคุณหนูยูฟีเรียยังเปี่ยมล้นไปด้วยพรสวรรค์ ดิฉันแน่ใจว่าอีกไม่นานผลงานของคุณจะต้องแพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอนค่ะ”
“แต่ถ้าหากฉันจมไปกับความสะดวกสบายที่นี้แล้ว เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงคงจะถอนตัวออกไปลำบากแน่สินะ?”
“ค่ะ ถึงดิฉันไม่พูดออกมาคุณหนูก็คงจะเข้าใจดี ว่ากันตามตรงแล้ววิธีมองโลกของคุณจะผลิกกลับด้านเลยล่ะค่ะ เพราะแบบนี้ดิฉันถึงต้องถามคุณอีกครั้ง…..คุณหนูยูฟีเรียทั้งๆที่รู้ความเสี่ยงทั้งหมดแล้วคุณก็ยันยืนยันจะข้ามมาฝั่งนี้อยู่ไหมคะ? คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังจะทำอะไรลงไป?”
“ทำไมรู้สึกเหมือนเธอประเมินข้าแย่ลงเรื่อยๆเลยล่ะ? แถมยังเอาความคิดส่วนตัวปนเข้าไปอีก นี่ข้ากลายเป็นตัวอันตรายไปแล้วเรอะ?!”
“ตื่นแล้วหรือคะฝ่าบาท”
ระหว่างนั้น ยูฟีเรียก็จนดิ่งไปในห้วงความคิด
อานิสเฟียร์นั่นเป็นคนประหลาด เธอสามารถเปลี่ยนคนรอบๆตัวเธอได้อย่างง่ายดาย และมีวิธีการมองโลกที่แตกต่างไปจากทุกๆคนที่เธอเคยเจอมา
นี่คือเส้นทางที่ไม่อาจหวนหลับได้ เมื่อก้าวข้ามเส้นนี้ไปแล้วเธอจะไม่มีวันกลับไปมีชีวิตแบบเดิมได้อีก
“องค์หญิงอานิสเฟียร์”
“หืม?”
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงยอมทำขนาดนี้เพื่อฉัน แต่…”
“ก็เพราะว่าข้าชอบเธอไง”
“เอิ่ม….ฉันไม่รู้ว่าฉันจะเห็นด้วยกับเรื่องนั้นหรือไม่ แต่ทำไมท่านถึงได้ทุ่มเทศึกษาเวทมนต์ขนาดนี้ล่ะ ทั้งหมดที่ท่านทำมาเพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
แรกเริ่มเลยศาสตร์เวทนั้นคืออะไร
มันสามารถสร้างประโยชน์เปลี่ยนโลกทั้งใบได้อย่างง่ายดาย
กลับกันมันก็สามารถมอมเมาผู้คนเป็นสิ่งเสพติดที่ผู้คนไม่อาจขาดไปได้
ยูฟีเรียและอานิสเฟียร์เติบโตมาไม่เหมือนกัน ทั้งสองมองโลกผ่านเลนส์ที่แตกต่างกัน
แล้วจุดหมายปลายทางที่อานิสเฟียร์ตั้งมั่นไว้คือสิ่งใดกันแน่
ยูฟีเรียไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น เมื่อพยายามทำความเข้าใจมัน เธอรู้ก็สึกเหมือนกำลังจ้องมองเข้าไปยังความมืดมิด
หลังจากครุ่นคิด ความมืดมิดที่รู้จักในนามอานิสเฟียร์ก็จ้องมองกลับมาและตอบคำถามของยูฟีเรีย
“เธอรู้แล้วใช่ไหมว่าข้าไม่สามารถใช้เวทย์มนตร์แบบปกติได้”
“ค่ะ”
“ความทรงจำแรกสุดที่จำได้คือตอนที่ข้าถามกับตัวเองว่า‘ตนเองจะสามารถโบยบินบนท้องฟ้าโดยใช้เวทมนต์ได้ไหม’น่ะ
“….”
มนุษย์ไม่เคยคิดที่จะโบยบินไปบนฝากฟ้า เพราะธรรมชาติสร้างสรรค์พวกเขามาให้ก้าวเดินไปบนพื้นดิน พวกเขาจึงมีขาทั้งสองข้างแทนที่ปีก
ยูฟีเรียจึงไม่เข้าใจว่าจู่ๆทำไมอานิสเฟียร์จึงคิดเช่นนั้น
“แต่ถึงจะคิดแบบนั้นแต่การทำให้เป็นจริงนั้นยากมาก ก็แบบนั่นไงมีหลายอย่างที่บินได้ใช่ไหม เช่น พวกนก แมลงหรือแม้กระทั้งเมล็ดดอกไม้บางชนิด แต่ถ้าข้าคิดจะบินไปบนท้องฟ้าก็ต้องใช้อะไรที่มากกว่านั้น”
“…?”
“ต้องทำยังไงถึงจะบินได้…ข้าคิดจริงๆนะว่าผู้คนน่าจะใช้เวทมนต์ทำอะไรต่างๆมากกว่านี้ และข้าที่ไม่อาจใช้เวทมนต์ได้นี่มันขยะเปียกชัดๆ”
“ขะ-ขยะเปียก?”
“ช่าย ขยะเปียกดีๆนี่แหละ”
“..หรือว่านี่เป็นเหตุผล….?”
“ใช่แล้ว”
ยูฟีเรียเอามือขึ้นกุมหัว
ด้วยเหตุผลเพียงแค่นั้นเธอถึงกับเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ
“แบบว่าถ้าไม่ใช้สิ่งที่มีให้เป็นประโยชน์ก็เสียของแย่จริงไหมล่ะ? แม้ว่าในตัวข้าจะมีระดับพลังเวทสูงมากแต่กลับไม่สามารถใช้เวทมนต์แบบปกติที่คนอื่นๆใช้ได้ เป็นเรื่องปกติที่จะหาทางเลียนแบบและข้าก็ทำสำเร็จ”
ด้วยคำพูดนี้ทำให้ยูฟีเรียเข้าใจในที่สุด
อานิสเฟียร์มองการเปลี่ยนแปลงโลกเป็นของธรรมดาราวกลับล้างหน้าในตอนเช้าหลังตื่นนอน
ช่างเป็นการมองโลกที่น่ากลัว
แต่ยูฟีเรียก็รู้ดีว่าผลที่ได้กลับมานั้นเป็นประโยชน์แก่ทุกคน
“ก็นะทั้งหมดที่ข้าทำก็เพราะว่าข้าอยากทำ”
“ท่านช่างเป็นคนที่ทึ่งจริงๆองค์หญิงอานิสเฟียร์”
“ไม่หรอก เธอต่างหากล่ะคุณหนูยูฟีเรีย เกิดมาในครอบครัวตระกูลขุนนางซึ่งมีอำนาจมากที่สุดในประเทศ เป็นอัจฉริยะด้านวิชาการ เชี่ยวชาญเวทย์มนตร์ทุกธาตุอีกทั้งยังมีทักษะการต่อสู่ที่ยอดเยี่ยม นี่มันไอสไตน์เวอร์ชั่นขุนนางต่างโลกชัดๆ”
“ไอสไตน์?….ทำไมเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจกันนะ”
ยูฟีเรียยิ้มให้กับตนเอง
หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่อิเรียเตือนกันนะ
ทั้งวิธีการมองโลกและบทสนทนาที่เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจนี่ก็ด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้และนึกถึงเรื่องที่อัลการ์ดเคยบอกว่าตนเองเกลียดอานิสเฟียร์มากแค่ไหน เธอก็เริ่มเห็นใจอัลการ์ดขึ้นมานิดๆ
ยิ่งเมื่อคิดว่าหากอานิสเฟียร์เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วอัลการ์ดที่เติบโตมาเคียงข้างเธอจะรู้สึกเช่นไร
เรื่องนี้ยูฟีเรียมั่นใจว่าเขาต้องรู้สึกแบบเดียวกัน นั่นคือความหวาดกลัว กลัวที่จะถูกดูดเข้าไปในโลกของอานิสเฟียร์จนรู้สึกว่าควรหลีกหนีไปให้ไกลๆ
“บอกตามตรงเลย ข้าจะดีใจมากถ้าเธอยอมช่วย หากมีความสามารถในการใช้เวทมนต์ได้ทุกธาตุของเธอก็จะสามารถขยายขอบเขตการทดลองออกไปได้กว้างมากขึ้น ถ้าหากไม่มีเธอช่วยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้หรือไม่”
“ท่าน…ต้องการให้ฉันช่วยจริงๆเหรอคะ?”
“นี่เป็นการทำเพื่ออาณาจักร…มั้ง แน่นอนว่าข้าจะทำสิ่งที่ตนเองอยากทำ แต่พอนานๆไปมันอาจช่วยพัฒนาประเทศด้วยก็ได้”
อานิสเฟียร์พูดด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา
“ดังนั้นแล้วคุณหนูยูฟีเรีย ถ้าหากเธออยากร่วมมือด้วยข้าจะยินดีอย่างยิ่ง ทำไมพวกเราไม่มาเปลี่ยนโลกกันล่ะ? มาลองมุ่งไปยังอนาคตที่ไม่มีใครเคยไปถึงด้วยกันเถอะ!”
อานิสเฟียร์พูดด้วยน้ำเสียงไพเราะดุจนางฟ้า แต่ยูฟีเรียกลับรู้สึกเย็นยะเยือกทั่วแผ่นหลัง ราวกับกำลังมีปีศาจกระซิบที่ข้างหู
คนนอกรีต ตัวปัญหาแห่งอาณาจักร ผู้บุกเบิกศาสตร์เวท และบุคคลที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลก
ในวันนั้นแม้ว่า ยูฟีเรีย มาเจนต้า จะอยากหนีออกไปให้ไกลแค่ไหน แต่เธอก็ได้เข้าใจจริงๆแล้วว่า อานิสเฟียร์ วอน พาเลทเทีย เป็นคนเช่นไร