“เอาล่ะลืมตาได้” คุณมิลเลอร์พูดพร้อมกับปลดผ้าปิดตาของพวกเราออก เธอเป็นผู้สังเกตการณ์ของพวกเราในรอบนี้และเธอก็คือคนๆ เดียวกับที่เอาคทาเขากวางมาให้นาคาซดูเมื่อวาน
พอฉันลืมตาขึ้นก็พบว่าพวกเรากำลังถูกห้อมล้อมด้วยกำแพงไม้พุ่มสูงใหญ่มิดหัวของพวกเรา และที่กำแพงก็มีเส้นทางที่เหมือนกับทางออกล้อมรอบอยู่ทั้ง 4ทิศ
“เขาวงกตงั้นหรอ?” เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันพูดขึ้นมา
เธอเป็นเด็กสาวผิวแทน ที่มีผมสีดำสั้นและมีดวงตาสีแดงแต่ดูอ่อนกว่าของนาคาซ อาวุธที่เธอหยิบมาคือมีดสั้นจำนวนมาก ดูเธอจะช่ำชองในการใช้อาวุธชนิดนี้มากทีเดียว
ส่วนอาวุธที่ฉันเลือกก็คือหอก รับรองว่าถ้าหมอนั่นเห็นคงจะแปลกใจไม่น้อย
“ฉันจะทวนให้อีกครั้งนะ 1.ห้ามใช้เวทที่มากกว่าระดับ 1 และ2 แล้วก็รอบนี้ไม่อนุญาตให้ใช้เวทผสมนะจ๊ะ
อย่างที่ 2การถูกโจมตีบริเวณจุดตายถือว่าตกรอบในทันที และถ้าโดนโจมตีแบบไม่โดนจุดตาย 3ครั้งก็จะถือว่าตกรอบเหมือนกันนะ
แล้วก็อย่างสุดท้ายอย่าประมาทกันเชียวล่ะ” ผู้สังเกตการณ์สาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ให้อารมณ์คล้ายกับพี่สาวใจดีหรืออะไรทำนองนั้น
[การสอบคัดเลือกนักเวทฝึกหัดรอบสุดท้าย เริ่มได้!] เสียงประกาศดังขึ้นหลังจากที่ผู้สังเกตการณ์สาวทวนกิจการให้พวกเราเสร็จ
“เริ่มแล้วสินะ”
“อืม”
“งั้นฉันจะสังเกตการณ์พวกเธอจากที่นี่นะ สู้ๆ เข้าล่ะ”
“ค่ะ”
“ค่ะ”
พวกเราตัดสินใจเดินออกมาจากทางทิศเหนือของจุดปล่อยตัวและคลำทางกันอยู่สักพักกว่าจะเจอทางที่ไปต่อได้ และระหว่างที่พวกเราเดินกันอยู่วีช่าก็พูดขึ้นมา
“จะว่าไป เธอเป็นอะไรกับเด็กผู้ชายคนนั้นหรอ”
“เด็กผู้ชายคนนั้น? อ๋อหมายถึงนาคาซสินะคะ”
“อ่า ใช่ๆ เห็นเดินตัวติดกันตลอดเลย หรือว่าจะเป็นคู่หมั้นกันงั้นหรอ ดูเข้ากันดีนะ”
“ฉันเองก็พึ่งเคยเจอเขาเมื่อวานเองค่ะ”
“ห๊า! งั้นก็หมายความว่าเธอนอนห้องเดียวกับคนที่พึ่งรู้จักกันยังไม่ถึงวันเลยเนี่ยนะ ทั้งที่ภายนอกออกจะดูเป็นกุลสตรีแท้ๆ ”
“อืม…จะว่ารู้จักกันไม่ถึงวันก็คงไม่ถูกซะทีเดียวหรอกนะคะ เพราะจริงๆ แล้วฉันเองก็รู้จักเขาข้างเดียวมานานแล้วน่ะค่ะ”
“รู้จักข้างเดียว? คล้ายๆ กับรักค้างเดียวรึเปล่า?”
“ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ…. แต่คุณเคยได้ยินคำว่า”สายลมแห่งแวนด์”มั้ยคะ”
เด็กสาวทำท่าเหมือนกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพักหนึ่งพร้อมกับพึมพำเบาๆ
(อืม….สายลมแห่งแวนด์…สายลมแห่ง….แวนด์…งั้น…หรอ)
“อ๋อ ที่เป็นข่าวลือเมื่อช่วงต้นปีก่อนนั่นน่ะหรอ เห็นว่าตั้งแต่ปรากฏตัวมางานแถวชายแดนก็ปลอดภัยมากกว่าเดิมเยอะเลยนี่… แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเด็กคนนั้นงั้นหรอ”
“ก็คนๆ นั้นแหละค่ะคือสายลมแห่งแวนด์”
“พูดจริง?! แต่ว่าหมอนั่นอายุเท่าพวกเราเองนะ” วีช่าพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ก็เพราะเขาอายุเท่าพวกเรานั่นแหละค่ะถึงต้องรีบสร้างวีรกร-” อยู่ดีๆ วีช่าก็เอามือมาปิดปากฉันและส่งสัญญาณมือเหมือนบอกให้เงียบๆ
(มีเสียงคนกำลังเดินมาทางพวกเรา)
เอ๋? ถามจริง ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเนี่ยนะ
(ดูเหมือนว่าจะอยู่อีกฝั่งของกำแพง รอให้พวกนั้นเดินไปก่อนแล้วเราค่อยไปกัน)
ฉันส่งสัญญาณมือตอบรับกลับไปเป็นการบอกว่าตกลง
หลังจากผ่านไปสักพักวีช่าก็ปล่อยมือออกและกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไปกันแล้ว”
“หูดีจังเลยนะคะ”
“ไม่หรอก ฉันก็แค่ถูกที่บ้านฝึกมาตั้งแต่เด็กน่ะ”
“อย่างนั้นเองสินะคะ”
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินหลงในเขาวงกตแห่งนี้กันอีกสักพักใหญ่จนมาถึงเส้นทางตรงที่ทอดยาวจนมองไม่เห็นปลายทาง พอคิดว่ามันน่าจะเป็นทางออกแล้วพวกเราก็ออกวิ่งกันสุดตัวจนกระทั่งเห็นเงาของผู้เข้าสอบอีก 2คนที่วิ่งเข้ามาหาพวกเราเหมือนกัน
“โลล่า!”
“ฉันขอจัดการทางซ้ายเองค่ะ!”
“ได้เลย!”
หอกในมือของฉันมันกำลังกระหายเลือดพอดีเลย
“เข้ามา!!” แต่เพียงแค่ช่วงอึดใจเดียวก่อนที่พวกเราจะปะทะกันนั้นเอง
ฟิ้วว ฟิ้ว
อยู่ดีๆ ก็มีเสียงของวัตถุบางอย่างที่พุ่งตรงมาทางพวกเราด้วยความเร็วที่ฉันตามไม่ทัน
และพอฉันรู้ตัวอีกทีผู้เข้าสอบที่อยู่ตรงหน้าจองพวกเราก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เอ๋?”
คำถามมากมายประดังเข้ามาภายในหัวของฉัน ทุกๆ อย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ทำไมอยู่ดีๆ 2คนนั้นก็ล้มลงไปกันล่ะ?
[ตกรอบ 1คู่จากการโดนยิงด้วยธนู เหลือผู้เข้าสอบอีก 7คู่] เสียงประกาศดังออกมาเป็นการตอบคำถามว่าทำไมผู้เข้าสอบคู่นี้ถึงได้ล้มลงไปกองกับพื้นภายในพริบตา
ถูกยิงด้วยธนูงั้นหรอ? จากไหนกัน? ที่แถวนี้ไม่น่าจะมีจุดไหนให้ซุ่มยิงไ-
วีช่าฉุดตัวฉันเข้าไปแนบกับกำแพงพุ่มไม้ในทันที
“เธอโดนอะไรรึเปล่า” ดูเหมือนว่าวีช่าจะตั้งสติได้ดีกว่าฉันและฉุดฉันเข้ามาเพื่อสร้างมุมอับให้กับนักธนูคนนั้น
“อ่า…ฉัน…ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ แต่เด็ก 2คนนั้น…” ฉันหันไปดูร่างของผู้เข้าสอบที่ล้มลงอยู่อีกครั้งนึง
ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ลูกธนูหัวทู่ที่ดูไร้พิษสงแต่มันกลับสร้างรอยบุบให้กับเกราะหนังที่เด็กพวกนั้นสวมใส่อยู่ได้ไม่ยาก
นี่ถ้าไม่โดนวีช่าฉุดเข้ามาสภาพของฉันก็คงไม่ต่างจากเด็กพวกนั้นแน่
“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ฉุดตัวฉันเข้ามาสภาพฉันคงไม่ต่างจากเด็กพวก”
“เรื่องแค่นี้เองน่า ยังไงพวกเราก็เป็นคู่หูกันนะ”
“นั่นสินะคะ”
“แล้วเราจะเอายังไงต่อดีล่ะ”
“งั้น….”
พวกเรานั่งวางแผนกันอยู่สักพักนึงจนได้ข้อสรุปว่าจะเดินทางโดยเลี่ยงเส้นทางที่น่าจะมีคนเดินผ่าน และก็เพื่อหลีกเลี่ยงทิศที่นักธนูคนนั้นจะสามารถเล็งไปได้จนกระทั่งพวกเราเดินมาถึงอาคารกลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางเขาวงกตแห่งนี้ มันเป็นเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สูงล้ำกำแพงไม้พุ่มไปมากพอสมควร เป็นมุมเหมาะที่จะใช้ยิงธนู….
พอคิดแบบนั้นแล้วก็มีความเป็นไปได้ที่นักธนูคนนั้นจะซุ่มยิงมาจากทางด้านบนของอาคาร แต่เด็ก 6ขวบที่ไหนมันจะไปมีแรงปีนอาคารสูงขนาดนั้นกันล่ะ….
“ซวยแล้วไง”
“อะไรหร-”
ฉันปิดปากวีช่าและฉุดตัวเธอกลับเข้ามาในทางเดิน
(ฉันนึกออกแล้วค่ะว่าใครที่พอจะยิงธนูแบบนั้นได้)
(ใครหรอ)
(นาคาซ อายบลัด)
(เด็กคนนั้นน่ะหรอ ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ)
(แล้วคิดว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงได้ฉายาสายลมแห่งแวนด์ล่ะคะ)
(ไม่รู้หรอก ฉันก็รู้แค่ว่าคนๆ นั้นเก่งสุดๆ เลยก็เท่านั้นเอง)
(ก็เพราะเด็กคนนั้นเป็นสายเลือดโคคุจาไงล่ะคะ)
“เ-” ฉันเอามืออุดปากของวีช่าก่อนที่เสียงของเธอจะออกมาจากปาก
(ที่เธอพูดมาเมื่อกี้มันเรื่องจริงหรอ)
(จริงกว่านี้ก็คือไปเคาะประตูบ้านถามตรงๆ แล้วล่ะค่ะ)
(ถึงว่าล่ะทำไมสัมผัสถึงต่างจากเด็กคนอื่นๆ เธอก็ด้วยนะโลล่า)
(เอ๋? ฉันก็ด้วยหรอคะ?…)
(แต่ก็ไม่ได้เหมือนกับเด็กคนนั้นหรอกนะ สัมผัสของเธอมันให้ความอบอุ่นมากกว่าน่ากลัวน่ะ…. แล้วเราจะเอายังไงต่อล่ะ จะเข้าไปข้างในหรือจะหนีไปทางอื่นดี)
ในกรณีนี้ต่อให้พวกเราหนีหมอนั่นก็คงรู้ตัวแล้วหันมายิงโดยที่พวกเราสวนอะไรไม่ได้แน่ แต่ถ้าหมอนั่นเอาแค่ธนูมาก็น่าจะสู้ในระยะประชิดได้ด้วยไม่ยาก คู่หูของหมอนั่นเองก็ไม่น่าจะเก่งเหนือมนุษย์อะไรมากนัก
(เราจะบุกเข้าไปกันค่ะ)
(ถ้าเธอว่างั้นล่ะก็นะ แต่ขอฟังเหตุผลหน่อยว่าทำไมถึงคิดงั้น)
(เพราะว่าถ้านาคาซเอามาแค่ธนูพวกเราก็จะได้เปรียบมากกว่าในการต่อสู้ระยะประชิดใช่มั้ยล่ะคะ แถมเด็กอีกคนหนึ่งก็ไม่น่าจะเก่งเหนือมนุษย์อะไรมากด้วย ฉันคิดว่าถ้าเรารีบจัดการเด็กอีกคนก่อนแล้วรุมค่อยนาคาซน่าจะเป็นทางออกที่ดีค่ะ)
(ถ้าเธอว่างั้นล่ะก็นะ)
(งั้นพอฉันให้สัญญาณเมื่อไหร่ก็บุกเข้าตัวอาคารทันทีเลยนะคะ)
(ตกลง)
1…
2…
3…
ไป!
ฉันให้สัญญาณมือกับวีช่าและวิ่งนำเธอออกไปก่อนจนถึงหน้าประตูทางเข้า และพอฉันลองใช้เมจซีกเกอร์ส่องดูก็พบกับกลุ่มก้อนพลังเวท 3ก้อนภายในเรือนกระจก
เท่าที่ดูก็ไม่พบพลังเวทหน้าตาแปลกๆ แบบของหมอนั่น แถมคนที่มีพลังเวทมากสุดในนั้นยังมีโครงร่างของผู้ใหญ่ด้วย คงเป็นผู้สังเกตการณ์สินะ
“เราจะแอบอยู่ที่นี่ไปจนจบเลยหรอ” เสียงการสนทนาของผู้เข้าสอบคู่นั้นดังออกมา
“ไม่ดีรึไง แอบอยู่เงียบๆ ให้พวกนั้นเสียแรงกันฟรีๆ แล้วเราก็ค่อยจัดการพวกนั้นตอนที่อ่อนแอสุดๆ เลยไง เผลอๆ ถ้าพวกเราชนะรอบนี้อาจจะได้เข้าเมืองหลวงเลยก็ได้นะ”
“ก็จริง…”
(เด็กคนนั้นอยู่ในนั้นรึป่าว) วีช่ากล่าวขึ้นมาหลังจากที่เธอตามฉันมาทัน
จะว่าไปเธอตามมาตอนไหนเนี่ย ฉันแทบไม่ได้ยินเสียงเท้าของเธอเลยสักนิดเดียว
(ดูเหมือนจะไม่อยู่นะคะ แต่มีนักเวทฝึกหัดอยู่ในนั้น 2คน ทั้งคู่มีปริมาณพลังเวทไม่มากนัก ฉันคิดว่าถ้าเราเข้าปะทะตรงๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ)
วีช่าทำท่าเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพักนึงก่อนที่จะลุกขึ้นพร้อมกับหยิบอาวุธออกมา
(ฉันขอจัดการเอง)
(แต่ว่-)
(ไม่เป็นอะไรหรอก ขอแค่มีที่ให้ฉันปีนป่ายได้ก็พอแล้ว เธอเก็บแรงไว้เผื่อตอนที่ต้องสู้กับเด็กคนนั้นเถอะ)
ดูเหมือนว่าจะขัดอะไรไม่ได้สินะ แถมเจ้าตัวก็ดูจะมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากด้วยซิ
(ถ้าคุณยืนกรานขนาดนั้นแล้ว การที่ฉันปฏิเสธคงจะเป็นการเสียมารยาทสินะคะ เชิญเลยค่ะ)
(ไว้ใจฉันได้เลย) พอพูดจบวีช่าก็แง้มประตูและลอบเข้าไปข้างในทันที
พอเวลาผ่านไปสักพักนึงก็เริ่มมีเสียงโวยวายมาจากข้างใน และเมื่อฉันเบิกเมจซีกเกอร์ดูอีกครั้งก็พบกับร่างของเด็กสาวที่กำลังปีนป่ายไปตามต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว ในขณะเดียวกันทั่วทั้งเรือนกระจกก็เริ่มถูกปกคลุมด้วยหมอกควันที่หนาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งฉันไม่สามารถที่จะมองภาพจากภายนอกได้ด้วยตาเปล่าได้
และทันใดนั้นเองก็เริ่มมีเสียงเอะอะโวยวายออกมาจากข้างใน
“หมอกมาจากไหนเนี่ย”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ฉันก็นึกว่านายร่ายมันซะอีก”
“ฉันไม่มีปัญญาร่ายเวทแบบนี้ได้หรอกน่า นายพอจะรู้เวทที่จะช่วยจัดการหมอกพวกนี้มั้ย”
“…”
“รอน! อย่ามาเงียบใส่กันแบบนี้สิ”
“….”
“รอน! อย่ามาแกล้งกั-”
เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เสียงเอะอะโวยวายข้างในก็เงียบลงเหลือเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ข้างในพร้อมกับกลุ่มหมอกที่ยังหลงเหลืออยู่
แอ๊ดด
ประตูของเรือนกระจกถูกเปิดออกมาพร้อมกับกลุ่มหมอกควันที่ไหลออกมาเหมือนกับของเหลว และท่ามกลางกลุ่มควันเหล่านั้นก็ปรากฏร่างของเด็กสาวที่เดินออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เรียบร้อยๆ~” วีช่าเดินออกมาพร้อมกับทำปัดมือขึ้นลง
“ทำเอาฉันตกใจเลยนะคะ ไม่คิดเลยว่าจะมีเด็กที่มีความสามารถขนาดนี้อยู่อีก”
“ก็บอกแล้วไงว่าแค่นี้ฉันสบายมาก แถมนักเวทฝึกหัดคู่นั้นก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรด้วย”
“จะว่าไปดูเหมือนว่าเด็กที่ชื่อนาคาซนั่นจะเคยอยู่ที่นี่จริงๆ นั่นแหละนะ แต่ดูเหมือนว่าจะอยู่ไม่นานน่ะ”
“งั้นเองสินะคะ… ว่าแต่ไปรู้มาจากไหนคะ ต่อให้ถามพวกผู้สังเกตุการณ์ก็ไม่น่าจะตอบนี่คะ?”
“ความ~ลับ อะฮิ~☆” วีช่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงแจ่มใสพร้อมกับทำท่าประหลาดๆ
[ตกรอบ 1คู่จากการต่อสู้ระยะประชิด เหลือผู้เข้าสอบอีก 5คู่] เสียงประกาศดังขึ้นมาแทรกการสนทนาของพวกเรา
เหลือ 5คู่งั้นหรอ? แล้วคู่ที่ 6ล่ะ?
“แล้วเราจะเอายังไงต่อดีล่ะ” วีช่าหันมาถามฉันหลังจากที่ทำหน้างุนงงอยู่พักนึง
“ถ้าคนๆ นั้นไม่อยู่ที่นี่แล้วก็คงไม่มีอะไรให้กังวลมากแล้วล่ะค่ะ เราเองก็รีบหาทางออกจากทีนี่ดีกว่า”
“อื้ม”
พวกเราหาทางออกจากเขาวงกตอยู่อีกพักใหญ่ๆ ในระหว่างนั้นก็มีเสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเหลือผู้เข้าสอบอีกแค่ 4คู่เท่านั้น
“โลล่า ทางออกล่ะ!” วีช่าพูดพลางชี้ไปยังทางที่อยู่ข้างหน้าของพวกเรา
แต่พอพวกเราวิ่งเข้าใกล้ทางออกมากเท่าไหร่ก็เหมือนจะได้กลิ่นเหม็นไหม้ที่แรงขึ้นมากเท่านั้น
มีการต่อสู้กันที่หน้าทางออกงั้นหรอ ก็คงไม่แปลกที่จะมีการดักซุ่มกันตรงปากทางหรอกมั้ง….
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย” ทันทีที่วีช่าเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเด็กสาวก็ถึงกับสบถมันออกมา
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเราคือกำแพงไม้พุ่มที่ไหม้เกรียมทอดยาวตลอดทางทั้งสองฝั่งไปจนถึงปากทางออก
ซากใบไม้พวกนี้ยังคงอุ่นและส่งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมาอยู่ ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นไม่นานมากเท่าไหร่นะ
(ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนทำมันขึ้นมาต้องไม่ใช่พวกนักเวทฝึกหัดธรรมดาๆ แน่)
“โลล่า มาดูนี่สิ” เด็กสาวกวักมือเรียกฉันให้ไปยังต้นไม้ที่อยู่ติดกับกำแพงของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงปากทางออก
“ลูกธนูงั้นหรอ?” สิ่งที่ปักอยู่บนต้นไม้นั้นคือลูกธนูที่ไหม้เกรียมชนิดที่ว่ามันพร้อมจะสลายกลายเป็นผงเมื่อใดก็ได้
“ฉันจำลูกธนูแบบนี้ได้ มันเป็นแบบเดียวกับที่เด็กพวกนั้นโดนเป๊ะๆ เลย” วีช่าพูดพลางกับตรวจสอบลูกธนูดอกนั้นอย่างระมัดระวัง
“ไม่ใช่ว่าเป็นแบบมาตรฐานของสนามสอบอยู่แล้วหรอกหรอ”
“ไม่ใช่ลูกธนูสิ เรียกว่าตะกอนเวทที่ยังตกค้างอยู่ก็คงได้มั้งนะ ดูสิมันมีร่องรอยของเวทชนิดเดียวกันกับที่ยิงเด็ก 2คนนั้นอยู่” มองยังไงก็มองไม่ออกเลยแฮะ นี่ขนาดฉันใช้เมจซีกเกอร์ตรวจดูแล้วยังไม่เข้าใจเลยสักนิด
“งั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนเดียวกับตอนนั้นสินะคะ”
“ก็ประมาณนั้น”
“งั้นเราจะเอายังไงกันต่อล่ะคะ ถ้าเข้าไปตอนนี้คงจะอันตรายน่าดู”
“งั้น…”
วีช่าอธิบายแผนให้ฉันฟังและเธอก็อาสาที่จะเข้าไปสำรวจข้างในก่อนด้วยทักษะที่เธอถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก
พอมาคิดๆ ดูแล้วไม่ว่าจะเป็นรูปพรรณ ทักษะในการสังเกต อาวุธที่เลือกใช้ หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวที่ทั้งคล่องแคล่วและเงียบเชียบแบบนั้น ทุกๆ อย่างมันล้วนเป็นคุณสมบัติของฮัสซาซินทั้งสิ้นเลยไม่ใช่รึไง? เธอเป็นลูกหลานของอาณาจักรเงาที่เลือกมาเป็นนักเวทงั้นหรอ? หายากเหมือนกันนะ
“ข้างในปลอดภัยจนน่าตกใจเลย” วีช่าปีนออกมาจากหน้าต่างชั้น 1ของคฤหาสน์พร้อมกับบอกสถานการณ์ภายในตัวอาคารในฉันทราบ
“งั้นก็เข้าไปได้สินะคะ”
“อื้ม”
พอเข้ามาในตัวคฤหาสน์ฉันก็พบว่าที่นี่มันทั้งเงียบและสะอาดเกินกว่าที่คิดไว้มาก ที่บริเวณโถงทางเดินถูกปูด้วยพรมสีแดงตลอดทาง กำแพงสีขาวนวลสะอาดตาตัดกับโครงไม้และประตูสีน้ำตาลเข้ม ตามผนังกำแพงถูกประดับด้วยกรอบรูปสีทองและเชิงเทียนที่ตั้งห่างอยู่เป็นระยะๆ
“สวยใช่มั้ยล่า เห็นว่าที่นี่เป็นคฤหาสน์ของดยุคเก่าน่ะ” วีช่าหันมาคุยกับฉันที่กำลังตรวจสอบคฤหาสน์หลังนี้อยู่
“ดยุคเก่า? งั้นก็หมายความว่าที่นี่มีอายุมากกว่า 80ปีแล้ว งั้นหรอคะ ยังดูสมบูรณ์ได้ขนาดนี้อีกหรอเนี่ย”
“กองทัพก็น่าจะเจียดเงินส่วนนึงมาบำรุงรักษานั่นแหละ เห็นว่าที่นี่เอาไว้ใช้เป็นสนามฝึกยุทธวิธีภายในอาคารน่ะ แถมบางครั้งก็เอาไว้ให้พักผ่อนกันด้วย”
“แอบน่าเสียดายนะคะ”
“นั่นสินะ”
หลังจากเดินกันมาสักพักวีช่าก็หยุดเดินและจ้องมองไปยังประตูที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่จริงจัง มันน่าจะเป็นประตูบานที่ใหญ่ที่สุดและน่าจะอลังการที่สุดในคฤหาสน์หลังนี้เลยก็ว่าได้
[ตกรอบ 1คู่จากการต่อสู้ระยะประชิด เหลือผู้เข้าสอบอีก 3คู่ ]
“มีอะไรงั้นหร-”
(ชู่~) วีช่าส่งสัญญาณมือให้ฉันเงียบ
(ข้างในนี้มีคนอยู่)
(แล้วเราจะเอายังไง เข้าไปมั้ย?)
วีช่าไม่ได้ตอบอะไรนอกจากการเอามือไปนาบที่บานประตูทั้ง 2ฝั่ง และทันใดนั้นเอง
แอ๊ดดด
ประตูยักษ์ถูกเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในห้องผ่านกระจกบานใหญ่ที่เรียงรายยาวตลอดแถวเผยให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ภายในนั้น เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่กลางห้องอันกว้างขวางที่เต็มไปด้วยเก้าอี้และโต๊ะอาหารขนาดใหญ่อีก 1ตัว
ดวงตาอสรพิษโลหิตเปล่งประกายขึ้นพร้อมกับเสียงที่ฉันคุ้นเคย
“ปล่อยให้ฉันรอซะนานเลยนะ โลล่า”
————————————————————————–