Telesma 15

ตอนที่ 15

  ท่ามกลางความหนาวเหน็บของสายลมหนาวที่เข้าปกคลุมเมืองมหาปราการ พื้นหญ้าสีเขียวขจีย้อมให้กลายเป็นสีขาวโพลนของหิมะที่ร่วงหล่นลงมา ช่วงเวลาที่สีแห่งชีวิตถูกกลืนกินและแทนที่ด้วยสีบริสุทธิ์ราวกับเกลือแบบนี้มันช่างให้ความรู้สึกมืดหม่นและโดดเดี่ยว พูดตรงๆ เลยว่าฉันไม่เคยชอบมันเลยสักนิดเดียว

  “นาคาซข้างหลัง!”

  “รับทราบ!”

  ฉันหันไปใช้ปลายธนูด้านหนึ่งปักลงบนพื้นพร้อมกับร่ายเวทที่ลองปรับแต่งจากสิ่งที่ได้เห็นในความฝัน

  “ลองนี่หน่อย!”

  เพียงแค่ปลดปลายนิ้วออกจากสายธนูโดยไม่จำเป็นต้องมีลูกศรมันก็สร้างแรงผลักมหาศาลจนทำให้เด็กที่วิ่งเข้ามาโจมตีฉันกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังจนหิมะที่เกาะอยู่ถล่มลงมาทับขาของเขา

  “โอ๊ย! พี่ลิซาไม่น่าไปบอกหมอนี่เลย”

  “เขาเรียกการประสานงาน หัดจำมั้งสิ”

  ฉันยื่นมือไปจับแขนและดึงเด็กคนนั้นขึ้นมา

  เนื่องจากฉันไม่รับภารกิจสำรวจแถบชายแดนแล้วก็เลยเอาเวลาว่างส่วนหนึ่งมาฝึกทักษะการต่อสู้กับเหล่าว่าที่นักผจญภัยฝึกหัดที่มาเรียนกับพ่อ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นเด็กจากครอบครัวฐานะปานกลางไปจนถึงฐานะที่พอมีกินแบบวันเว้นวัน

  เพราะฉะนั้นการมาเรียนที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพื่ออาหารฟรีและอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อฝึกฝนตัวเองเพื่อไปเป็นนักผจญภัยอาชีพและหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ซึ่งปีนี้เองก็พึ่งมีเด็กจากสำนักของเราผ่านการสอบเป็นนักผจญภัยไปได้อีกสองคน แต่ถึงจะสอบผ่านแล้วปลายทางของเด็กพวกนี้ก็คือการเป็นฝ่ายสนับสนุนแหละนะ หลังจากที่ได้ตรานักผจญภัยแล้วพวกเขายังต้องใช้เวลาในการรู้จักสนามจริงอีกสักพักใหญ่ๆ ถึงจะได้เลือกว่าจะอยู่เป็นฝ่ายสนับสนุนต่อหรือจะไปเป็นแนวหน้ากล้าตายแทน ซึ่งปริมาณเงินที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของตำแหน่งและผลงานที่ทำได้ด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเด็กที่อายุยังไม่ถึงสิบสี่ปีก็จะได้ส่วนแบ่งขั้นต่ำที่ตายตัวซึ่งมันก็พอเลี้ยงชีพได้สบายๆ ถ้าไม่เอาไปใช้สุรุ่ยสุร่ายอ่ะนะ

  “แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ขี้โกงนี่ พวกฉันใช้เวทมนตร์ได้เหมือนพวกนายที่ไหนเล่า”

  “นักเวทก็ไม่ได้ไร้เทียมทานซักหน่อย แค่นายคิดวิธีจัดการไม่ได้แค่นั้นเอง”

  “ทำอย่างกับฉันหัวไวอย่างนั้นแหละ…”

  “ก็รู้ตัวนี่”

  เด็กที่ฉันกำลังคุยด้วยอยู่คือเพอร์ซ เขาเป็นเด็กผู้ชายมีอายุมากกว่าฉันหนึ่งปี มีผมสีน้ำตาลเข้มจนคล้ายสีดำ มีรูปร่างสูงกว่าฉันไม่มากนักและมีหน้าตาที่ดูซื่อตรงเหมือนนิสัย ไม่ได้มีทักษะด้านไหนที่โดดเด่นเป็นพิเศษและไม่ได้หัวไวเหมือนเด็กบางคนในนี้ด้วย และใช่เขาเป็นคนนิสัยดีและขี้โวยวาย

  “นาคาซและลิซาเป็นฝ่ายชนะ”

  พ่อที่ยืนเป็นผู้สังเกตุการณ์อยู่ประกาศผลของการแข่งรอบนี้

  “วิษาได้อีกหนึ่งแต้ม”

  ในขณะเดียวกันเสียงของวินซ์ก็ดังมาจากอีกฟากนึงของกำแพง

  หลังจากการสอบนักเวทจบลงได้ไม่นานเด็กสาวผู้เป็นฮัสซาซินฝึกหัดที่ทำเอาฉันแทบหืดขึ้นคอตอนสอบได้มาเรียนที่สำนักของพวกเราด้วยเช่นกัน เธอมีทักษะโดดเด่นรอบด้านจนเด็กหลายคนที่ทุ่มเทฝึกฝนมาอย่างเต็มที่รู้สึกท้อใจเพราะความต่างชั้นที่มากเกินไป ซึ่งมันก็เข้าใจได้แหละนะ เพราะงั้นฉันถึงไม่ค่อยทำอะไรหวือหวาให้มากเกินไปจนเด็กคนอื่นๆ หมดใจไปซะก่อน

  “เด็กใหม่นั่นเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย”

  พี่ลิซากล่าวชื่นชมเด็กคนนั้น 

  “เห็นว่ารีบทำรอบเพราะอยากแข่งกับนายโดยเฉพาะเลยนะ”

  “ถึงท้าฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก ครั้งก่อนแค่อาวุธไม้ฉันก็แทบตายแล้ว”

  คิดดูสิเด็กอายุหกขวบที่บีบคทาคุณภาพสูงแตกคามือแถมต่อยพื้นหินอ่อนยุบได้นี่มันใช่บุคคลที่ควรจะสู้ด้วยมากกว่าหนึ่งครั้งหรอ ถึงฉันจะฟื้นตัวได้เร็วก็ไม่ได้หมายความว่าเจ็บไม่เป็นนะ

  “งั้นหรอ ทำเอาฉันรู้สึกเสียดายเวลาแทนเด็กคนนั้นเลยแฮะ”

  “อึก!… ช่วยอย่าเอาเรื่องแบบนั้นมาอ้างได้มั้ย…”

  “ทั้งที่ตัวเองเป็นพวกไม่ชอบการกระทำที่ไร้ผลลัพธ์แท้ๆ แต่กลับทำแบบนี้กับคนอื่นซะได้ หน้าด้านจริงๆ เลยน้า~”

  “ก็ได้ๆ! ฉันยอมรับคำถาก็ได้! แล้วก็ไสหัวไปไกลๆ เลยนะ”

  “ฮาฮ่า! นายพูดแล้วนะ”

  เพอร์ซหัวเราะร่าแล้วก็รีบวิ่งไปรวมตัวกับพวกเด็กคนอื่นๆ และพี่ลิซาก็เดินเข้ามาประกบตัวฉันทันทีพร้อมกับพูดคุยแบบทุกที

  “ร่ายเวทเร็วกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ”

  “ก็นิดหน่อยน่ะครับ”

  หลังจากการฝันครั้งนั้นความเร็วในการร่ายเวทของฉันมันก็เร็วมากขึ้นจนปัจจุบันเวทระดับหนึ่งและสองบางคาถาสามารถร่ายได้เร็วจนเปรียบได้ว่าไม่เสียเวลาร่ายก็ยังได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แค่เวทในกลุ่มเวนตัสเท่านั้น ส่วนสายอื่นๆ ที่ใช้ได้ก็ร่ายเร็วขึ้นจากเดิมพอสมควรแต่ก็ไม่ได้เท่ากลุ่มเวนตัสอยู่ดี ฉันก็เลยกะว่าจะเอาดีด้านเวทสายนี้ให้สุดไปเลย

  “พี่เองก็เคลื่อนที่ได้เฉียบคมกว่าเมื่อก่อนเยอะเหมือนกันนะครับ”

  “งั้นอยากให้พี่สอนให้มั้ยล้า~”

  พี่ลิซาปรายตามามองฉันด้วยสายตาชวนพิศวงใจนิดๆ คู่กับรอยยิ้มเป็นมิตรชวนหลงไหล

  “แต่ว่ามันอาจจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อยนะ”

  “ไม่มีปัญหาครับ”

  “ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำนะ”

  “แน่นอนอยู่แล้วครับ”

  หลังจากออกกำลังกายยืดเส้นสายในช่วงครึ่งเช้าเสร็จแล้วก็ได้เวลาเตรียมอาหารให้กับเด็กๆ โดยปกติแล้วฉัน วินซ์และก็พ่อจะเวียนกันทำอาหารและวันนี้ฉันก็เป็นคนทำ แต่เอาเข้าจริงพ่อก็เป็นคนทำซะส่วนใหญ่แหละนะเพราะช่วงปีที่ผ่านมานี้ฉันกับวินซ์ไม่ค่อยว่างกัน หรือถึงว่างฉันก็สลบเหมือดเพราะงานลาดตระเวนอยู่ดี

  เนื่องจากวัตถุดิบจำพวกเนื้อและเครื่องเทศที่บ้านของเรามีเหลือกินเหลือใช้มากจากการทำไร่เพาะปลูกเครื่องเทศที่นอกอาณาจักรเวทมนตร์ เพราะฉะนั้นแม่ก็เลยมักจะระบายของที่ถูกส่งมามากเกินไปด้วยการให้เอาวัตถุดิบส่วนนึงที่ได้มาทำอาหารที่นี่ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพราะนี่ไม่ใช่การใช้ทรัพยากรโดยเสียเปล่าแต่มันคือการลงทุนระยะยาว ซึ่งเป็นธุรกิจถนัดของตระกูลเราเลย

  และเพราะอากาศวันนี้ค่อนข้างหนาวพอสมควร ฉะนั้นอาหารที่เหมาะกับรรยากาศแบบนี้ก็คืออาหารที่มีรสเผ็ดเปรี้ยวหวานจากภารตะอย่างราซัม โดยวัตถุดิบหลักๆ ก็ไม่ใช่วัตถุดิบที่หายากอะไรมาก แต่พวกมันก็มีราคาที่ค่อนข้างสูงสำหรับประเทศที่เพาะปลูกเครื่องเทศไม่ขึ้นอย่างอาณาจักรเวทมนตร์

  ก่อนอื่นก็ต้องตั้งกระทะให้ร้อนด้วยน้ำมันมัสตาร์ด จากนั้นก็ใส่เมล็ดมัสตาร์ดและพริกแห้งลงไปคั่ว พอคั่วไปได้สักพักก็เอามะเขือเทศที่ฝากพี่ลิซาลงไปผัดให้สุก ตามด้วยใส่ขมิ้นตากแห้งบดละเอียดและใบกระหรี่ลงไป ปิดท้ายช่วงแรกด้วยการใส่ถั่วต้มเปื่อย น้ำมะขามเปียก เกลือและน้ำเปล่าลงไปพร้อมปิดฝาเป็นอันเสร็จขั้นตอนที่หนึ่ง หลังจากที่ปล่อยไว้สักพักจนน้ำเดือดก็เปิดฝาพร้อมกับใส่เครื่องเทศอันประกอบด้วยเม็ดยี่หร่า พริกไทยดำ กระเทียมและพริกที่ผ่านการโขกสับแบบหยาบๆ ลงไปและปิดฝาไว้อีกสักระยะนึงก็เป็นอันเสร็จกระบวนการทำอาหารทั้งหมด และในขณะเดียวกันกับตอนที่ฉันทำราซัมเสร็จพี่ลิซาเองก็คั่วเครื่องสำหรับราดบนอาหารจานนี้เสร็จด้วยเช่นกัน

  “ฝีมือพัฒนาขึ้นมากเลยนะเนี่ย”

  พี่ลิซาก้มลงมาพูดที่ข้างใบหูของฉัน

  “พี่คิดแบบนั้นหรอครับ”

  “แหงสิ ปีที่แล้วเธอยังสบัดกระทะไม่คล่องเลยด้วยซ้ำนะ”

  “ปีที่แล้วเพราะผมยังตัวเล็กเฉยๆ หรอกครับ ดูสิตอนนี้ผมสูงเท่าเอวพี่แล้วนะ”

  พี่เอนตัวมากระทบไหล่กับฉันเบาๆ พร้อมกับพูดหยอกล้อ

  “จ้า~ พ่อคนสูงเร็ว”

  “เด็กๆ ทำอาหารกันเสร็จรึยัง”

  เสียงของพ่อตะโกนขึ้นมาแทรการสนทนาของพวกเราพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาในห้องครัว

  “พึ่งเสร็จเลยครับ”

  “โอ้ กลิ่นหอมใช้ได้เลยนี่ ให้พ่อหิ้วออกไปให้เลยมั้ย”

  “ก็ดีครับ”

  น่าเสียดายที่ไม่มีแผ่นแป้งนานเก็บไว้ในคลัง พวกเราก็เลยต้องกินแกงราซัมคู่กับขนมปังแทน แต่ก็ถือว่าไม่เลวร้ายเท่าไหร่(สำหรับคนอื่นอ่ะนะ)

________________________________

  หลังจากการรับประทานมื้อเที่ยงและการพักผ่อนรอย่อยอาหารจบลงก็ได้เวลาออกกำลังกายช่วงบ่ายต่อ แต่ฉันยืดเส้นได้ไม่นานก็มีเสียงปลายไม้เท้ากระทบกับพื้นหินดังขึ้นมาจากทางเข้าหลักอย่างเป็นจังหวะ

  “แม่หรอ?”

  บรรยากาศที่มีความกดดันอ่อนๆ แบบนี้มันช่างเป็นลางบอกที่ดีจริงๆ ว่ากำลังจะมีเรื่องเกิดขึ้นและมันก็คงเกิดกับฉันเนี่ยแหละ

  เสียงดังกระทบนั้นหยุดลงที่ปากทางออกและถูกแทนที่ด้วยเสียงของผู้หญิงที่ฉันคุ้นเคยที่สุด

  “นาคาซ”

  “ครับ”

  บรรยากาศที่แม่แผ่ออกมามันค่อนข้างเข้มงวดและน่าเกรงขามจนพวกเด็กๆ ไม่ค่อยอยากเข้าใกล้มากนัก ทำให้พวกเขาค่อยๆ ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มก้อนจนเหลือฉันและพี่ลิซายืนอยู่เพียงแค่สองคน และในขณะเดียวกันแม่ก็เดินเข้ามาใกล้พวกเราด้วยเช่นกัน

  “แม่ขอรบกวนเวลาของลูกสักหน่อยได้รึป่าว”

  “ไม่เห็นต้องพูดถึงเป็นทางการขนาดนี้ก็ได้นะครับ ดูสิเด็กคนอื่นเขากลัวหมดเลย”

  แม่ใช้ดวงตาสีเหลืองกวาดมองดูรอบๆ ผ่านเลนส์กระจกที่สวมใส่อยู่และเมื่อตระหนักได้แม่ก็วางท่าลง

  “ขอโทษทีน้าคงทำให้พวกเธอกลัวสินะ งั้นหลังจากทำอะไรเสร็จพวกเราค่อยคุยกันก็ได้”

  ฉันหันขึ้นไปสบตากับพี่ลิซา และพี่ก็แค่พยักหน้าตอบกลับเบาๆ

  “ถ้าแม่ลงทุนมาถึงที่นี่มันก็คงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะงั้นคุยเลยก็ได้ครับ”

  “ถ้าลูกว่างั้นล่ะก็”

  พ่อให้พวกเรามานั่งคุยกันในห้องที่สามารถมองเห็นลานฝึกซ้อมข้างล่างทั้งสองลานได้อย่างชัดเจน

  “แล้วมีเรื่องอะไรหรอครับ”

  แม่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามจิบชาที่พึ่งถูกชงมาด้้วยท่วงท่าที่สง่างามและน่าเกรงขามอันเป็นบรรยากาศที่ให้ตวามรู้สึกว่าตนอยู่เหนือกว่า ฉันเองก็อยากทำแบบนี้ได้เหมือนกันแฮะ

  “ดูเหมือนว่าอุปราคาโลหิตจะมาเร็วกว่ากำหนดสองสัปดาห์ แม่เลยคิดว่าคงถึงเวลาที่ลูกต้องทำอุปกรณ์เวทเองแล้ว”

  สำหรับตระกูลเราแล้วอุปราคาโลหิตเป็นดั่งการเฉลิมฉลองอย่างหนึ่ง ซึ่งมันสำคัญกว่าวันเกิดเป็นไหนๆ เพราะมันคือสิ่งที่จะช่วยทำให้ฉันสามารถใช้พลังแห่งอสรพิษได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยผ่านการทำพิธีกรรมที่เรียกว่า”พิธีเบิกเนตร” ซึ่งถ้าฉันคลาดทำพิธีรอบนี้ก็ต้องรอไปอีกไม่รู้กี่ปี เพราะฉะนั้นถ้าถึงเวลาก็ควรคว้าโอกาสนั้นไว้

  “ไอทำคทาเวทผมไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่แม่รู้ได้ไงว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่แม่เคยคาดการณ์ไว้น่ะครับ”

  แม่ไม่ได้ตอบอะไรฉันกับมานอกจากใช้นิ้วเคาะไปที่เลนส์กระจกของตนเบาๆ

  อ้อ~ มองเห็นความจริงแบบเดียวกับหลายๆ ครั้งรวมถึงตอนเจรจากับราชาภูตด้วยสินะ… ช่างเป็นดวงเนตรที่อเนกประสงค์ดีจริงๆ เลย

  “แล้วผมต้องเริ่มทำมันตั้งแต่เมื่อไหร่หรอครับ”

  “วันนี้ได้ยิ่งดีเลย แต่ตะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้นะ”

  ชักได้กลิ่นแปลกๆ แล้วแฮะ ไม่รู้สิบางทีแม่ก็เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำด้วยแหละ คาดเดาไปก็เท่านั้น

  “ต้องรีบขนาดนั้นเลยหรอครับ ต่อให้วันพิธีจะมาเร็วกว่ากำหนดแต่มันก็อีกเกือบเดือนอยู่ดีนะครับ”

  “วัตถุดิบที่ลูกต้องใช้ทำอุปกรณ์เวทมันพิเศษมาก และถ้าพลาดขึ้นมาลูกไม่มีโอกาสที่สองแน่”

  “บอกผมทีว่านี่ไม่ได้ขู่กัน”

  “แม่แค่พูดความจริงนาคาซ”

  หลังจากโต้เถียงกันอยู่พักใหญ่แม่ก็พาฉันกลับมาที่บ้านและตอนนี้ฉันก็กำลังยืนอยู่ในห้องทำงานของแม่

  “สามอาทิตย์ก่อนท่านตาของลูกส่งของขวัญมาให้ลูก”

  แม่ร่ายเวทและเคาะไม้เท้าลงไปกระทบกับพื้นทำให้กล่องที่วางอยู่ข้างชั้นหนังสือลอยขึ้นไปวางบนโต๊ะสำหรับแขก

  น่าแปลกที่ทางฝั่งนั้นไม่เคยติดต่ออะไรมาเลยตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ฉันเกิด แต่อยู่ๆ ก็ส่งของมาให้ซะงั้น

  “วัตถุดิบที่ใช้ทำอุปกรณ์เวทอยู่ในนั้นหรอครับ”

  แม่เปิดมันออกและหลบให้ฉันเกินเข้าไปดูของที่อยู่ข้างใน สิ่งแรกที่ฉันเห็นหลังจากก้มลงไปมองภายในกล่องคือกิ่งของต้นไม้สีดำแปลกตา ที่แม้จะเหลือแค่กิ่งก็ดูมีชิตชีวามากกว่าต้นไม้ดำต้นไหนในแวนด์และของอีกชิ้นนึงก็คือกล่องไม้ขนาดเล็กอีกกล่องที่ดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไรแต่ลางสังหรณ์บอกว่าฉันคงต้องเสียเวลากับมันไปอีกเป็นอาทิตย์แน่

  “นั่นเป็นกิ่งจากต้นซากุระที่พ่อกับแม่เคยปลูกสมัยอยู่ที่เกาะกัน ส่วนในกล่องนั้นไว้ลูกเปิดได้ก็จะรู้เองแม่บอกได้แค่ว่ามันคือสัญลักษณ์การมีอยู่ของพวกเรา”

  ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ฉันสังหรณ์ใจว่ามันน่าจะมีของอีกชิ้นซ่อนอยู่ในกล่องนี้ แถมแม่ก็น่าจะรู้และไม่ยอมบอกฉันด้วย

  “แล้วที่บอกว่าผมมีโอกาสครั้งเดียวนี่หมายความว่าไงหรอครับ”

  ฉันหันไปถามแม่ด้วยความสงสัยที่ยังคาใจอยู่

  “วัตถุดิบที่ใช้เลือกทำอุปกรณ์เวทของลูกมันถูกวางไว้แล้วว่าต้องใช้ของพวกนี้และแน่นอนว่าถ้าลูกพลาดขึ้นมาในกระบวนการทำ วัตถุดิบชุดใหม่ที่ใช้ก็จะไม่ใช่ของที่มีประสิทธิภาพเท่าของพวกนี้แน่”

  แม่อธิบายพลางกับลูบๆ คลำๆ ไม้เท้าเวทของตน ซึ่งฉันเองก็เห็นด้วยในจุดที่แม่ว่ามาเพราะเมื่อพิจารณาในด้านความผูกพันแล้วของพวกนี้เป็นอะไรที่มีความผูกพันทางด้านสายเลือดทำให้ความเข้ากันกับของอุปกรณ์เวทที่จะถูกสร้างขึ้นมาจะสูงมากเหมือนกับของที่แม่ใข้อยู่

  “และประเด็นหลักๆ คือลูกต้องแก้ปริศนาของเจ้ากล่องไม้นั่นด้วยแม่เลยต้องขอเข้มงวดกับเรื่องนี้สักหน่อย”

  “แล้วจะให้ผมเริ่มที่ตรงไหนหรอครับ”

  “ลูกคิดรึยังว่าอยากได้อุปกรณ์เวทเป็นอะไร”

  “ผมคิดว่าคทามั้งครับ รู้สึกว่ามันเก็บง่ายและสะดวกต่อการซ่อนและพกพาดี”

  “งั้นก็เริ่มจากการออกแบบคทาเวทแล้วก็ใช้ของที่มีในบ้านตอนนี้ทำพวกมันออกมาให้แม่ดูสักสิบอัน”

  “สิบอัน!?”

  “ยากเกินไปงั้นหรอ”

  อยู่ๆ น้ำเสียงของแม่ก็เย็นชาขึ้นและกดดันมากขึ้นเป็นการบ่งบอกว่าฉันไม่เหลือตัวเลือกแล้ว

  “ก็ไม่หรอกครับ… ว่าแต่ให้เวลาผมกี่วันหรอครับ”

  “สี่วันรวมออกแบบและทำคทาทั้งสิบอันนั่น”

  !?เมื่อกี้ฉันไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย นี่เท่ากับว่าฉันต้องออกแบบพร้อมทำคทาอันแรกให้เสร็จภายในวันแรกเลยนะ บ้าไปแล้ว

  “อ้อ แล้วแม่ก็ไม่อนุญาตให้ยัยภูตนั้นช่วยนะจ๊ะ”

  “อึก… ครับ…”

________________________________

Options

not work with dark mode
Reset