ไม่นานภูเขาที่เหล่ายักษ์เพิ่งจะขุดไปก็เริ่มกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างช้าๆ ทุกรูที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหมัดของพวกยักษ์ถูกเติมเต็ม ภูเขาลูกนี้ฟื้นฟูตัวเองได้ หานเซิ่นอึ้งไปเมื่อเห็นแบบนั้น และเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มองผิดไป หานเซิ่นจึงอยู่ที่นั่นต่ออีกสักพัก ซึ่งรูที่พวกยักษ์สร้างขึ้นเล็กลงเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ตาฝาดไป ภูเขากำลังฟื้นฟูตัวเองอยู่จริงๆ
ขณะที่หานเซิ่นกำลังจ้องมองมันอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา ในตอนที่เสียงนั้นมาถึงหูของเขา หัวของหานเซิ่นก็เริ่มเบลอๆ และเขาก็ร่วงลงไปในทะเลที่อยู่ด้านล่าง
หานเซิ่นรีบใช้พลังต่อต้านพลังเสียงนั้น และเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่เขายังคงรู้สึกปวดหัวอยู่ เขาไม่สามารถปิดกั้นเสียงได้อย่างสมบูรณ์
การจะพาตัวเองกลับขึ้นมาจากน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในจังหวะที่หัวของเขาพ้นผิวน้ำขึ้นมา เขาก็ได้ยินเสียงนั่นอย่างชัดเจนอีกครั้ง และเขาก็รู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วเสียงนั่นดังมาจากเสาโลหะ เสาโลหะกำลังหมุนเหมือนกับสว่านและลวดลายบนเสาก็เรืองแสงออกมา แสงนั่นหมุนร่วมกับเสาโลหะและเจาะทะลวงเข้าไปในอกของยักษ์ที่ถูกตรึงเอาไว้ เลือดไหลออกมาจากบาดแผลและกระจายไปทั่วชุดเกราะ
หานเซิ่นเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วชุดเกราะของยักษ์ไม่ได้เป็นสีแดง แต่มันถูกย้อมด้วยเลือกที่ไหลออกมา
เลือดนั้นแปดเปื้อนเส้นผมของยักษ์มาอย่างยาวนานเช่นเดียวกัน มีเพียงแค่ส่วนบนของเส้นผมเท่านั้นที่ยังคงเป็นสีขาวเงิน
ในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าร่างของยักษ์ที่ถูกตรึงไว้กับภูเขาเป็นเพียงแค่ศพ แต่ทว่าในจังหวะที่เสาโลหะหมุน หานเซิ่นก็สัมผัสได้ถึงการสั่นของร่างกาย ดูเหมือนกับว่ายักษ์ตนนั้นกำลังประสบกับความเจ็บปวดเหนือจินตนาการ
‘หมอนั่นยังมีชีวิต!’ หานเซิ่นตกตะลึง
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
ขณะที่หานเซิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง เขาก็ได้ยินเสียงพูด เสาโลหะยังคงเจาะทะลวงอกของยักษ์อย่างโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้นเจ้ายักษ์ก็หันหน้ามาทางหานเซิ่นและพูดด้วยเสียงที่ดังกระหึ่ม ถึงแม้ยักษ์ตนนั้นจะแค่มองมาที่เขา แต่มันก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
เสียงของยักษ์ตนนั้นดูสั่นๆขณะที่พูดออกมา ดูเหมือนกับว่ามันกำลังประสบกับความเจ็บปวด
“และเจ้าล่ะเป็นใคร? ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” หานเซิ่นบินขึ้นจากน้ำและพยายามสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับยักษ์ตนนั้น เขาถอยออกไปในระยะที่ปลอดภัย ก่อนที่จะถามกลับ
ยักษ์ที่น่ากลัวยังคงจ้องมาที่หานเซิ่น เขาไม่ได้หันหน้าหนี หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นมา
“ถ้าเจ้ามาที่นี่ได้ เจ้าก็ควรจะรู้ว่าข้าเป็นใครไม่ใช่หรอ?”
“ทำไมข้าถึงต้องรู้ว่าเจ้าเป็นใคร?” หานเซิ่นถามอีกครั้งพร้อมกับถอยออกไปไกลยิ่งกว่าเดิม
ยักษ์ตนนั้นดูแปลกใจ หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา
“ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย นั่นหมายความว่าเจ้าไม่รู้จักว่าผู้นำเซเคร็ดเป็นใคร”
“เจ้าคือผู้นำเซเคร็ด?” หานเซิ่นตกใจ เขามองไปที่ยักษ์ตนนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ในตอนที่ยักษ์ตนนั้นได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นพูด เขาก็ดูแปลกใจเช่นเดียวกัน เขามองหานเซิ่นด้วยสีหน้าแปลกๆ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นยักษ์ตนนั้นเงียบไป หานเซิ่นก็ถามอีกครั้ง
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมเจ้าถึงถูกตรึงไว้กับภูเขานี่?”
ยักษ์ที่น่ากลัวตนนั้นมองมาที่หานเซิ่นและพูด “ข้าคืออัลฟ่าของเผ่าเบรกสกาย”
ถึงแม้เขาจะถูกตรึงอยู่กับภูเขาและกำลังถูกทรมาน แต่ยักษ์ตนนั้นก็พูดออกมาอย่างภาคภูมิ มันเหมือนกับว่าทั้งจักรวาลมีเหตุผลที่จะยำเกรงเขาเพราะความจริงในเรื่องนั้น
“เจ้าคืออัลฟ่าของเผ่าเบรกสกาย? ถ้าอย่างนั้นยักษ์เหล่านั้นก็คือเบรกสกายจริงๆสินะ?”
ถึงแม้หานเซิ่นจะคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว แต่การได้ยินคำยืนยันจากปากของยักษ์ตนนี้ก็ทำให้เขาตกใจอยู่ดี
“ใช่ คนอื่นๆเองเป็นคนเผ่าเบรกสกายเช่นเดียวกัน”
หลังจากนั้นอัลฟ่าของเผ่าเบรกสกายถามหานเซิ่น “เจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าชื่อหานเซิ่น ข้าเป็นแค่คริสตัลไลเซอร์ที่ไร้ชื่อเสียง” หานเซิ่นพูด
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คริสตัลไลเซอร์มีร่างกายที่แข็งแกร่งแบบนี้?”
อัลฟ่าของเผ่าเบรกสกายมองไปที่หานเซิ่น ใบหน้าของเขาสงบนิ่งและความคิดของเขาก็ถูกซ่อนเอาไว้
“เจ้าคงจะถูกตรึงอยู่ที่นี่มานานแล้ว เจ้าถึงไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก คริสตัลไลเซอร์ในยุคสมัยนี้แตกต่างไปจากสมัยก่อน” หานเซิ่นพูดและถามกลับไปว่า
“ทำไมเจ้าถึงถูกตรึงอยู่ที่นี่? และทำไมคนของเผ่าเบรกสกายไม่มาช่วยเจ้า”
“เจ้าพูดถูก ตอนนี้มันไม่ใช่ยุคสมัยของเบรกสกายอีกต่อไปแล้ว”
อัลฟ่าของเผ่าเบรกสกายถอนหายใจและพูดต่อ “ถ้าพวกเขาไม่ได้พยายามจะช่วยข้า พวกเขาก็คงจะไม่ถูกขังอยู่ที่นี่และถูกบังคับให้ขุดภูเขาลูกนี้ทุกวันๆ”
“ใครกันที่ขังพวกเจ้าเอาไว้? ผู้นำของเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
อัลฟ่าของเผ่าเบรกสกายพูดถึงผู้นำเซเคร็ดก่อนหน้านี้ ดังนั้นมันอาจจะมีความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเขาทั้งสอง
อัลฟ่าของเผ่าเบรกสกายส่ายหัว เขาอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบบอกกับหานเซิ่น
“เจ้ารีบเข้ามาซ่อนตัวในเส้นผมของข้าเร็วเข้า! ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตาย”
หานเซิ่นรู้สึกตัวแล้วว่ามีบางสิ่งผิดปกติ แม้แต่ชุดเกราะคริสตัลสีดำเองก็ปลดปล่อยสัมผัสที่บ่งบอกถึงอันตรายร้ายแรงออกมา อัลฟ่าของเผ่าเบรกสกายไม่ได้พูดโกหก
ร่างกายของหานเซิ่นแว็บหายไป เขาบินไปที่ไหล่ของอัลฟ่าของเผ่าเบรกสกายและปีนเข้าไปในเส้นผมของยักษ์ตนนั้น
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามปลดปล่อยพลังอะไรที่แสดงถึงการมีอยู่ของเจ้าออกมาเด็ดขาด” อัลฟ่าของเผ่าเบรกสกายพึมพำ หลังจากนั้นเขาก็หยุดพูดและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
หานเซิ่นซ่อนตัวในเส้นผมของยักษ์และพยายามปกปิดพลังของตัวเอง แต่ทันใดนั้นชุดเกราะคริสตัลสีดำก็ปลดปล่อยพลังประหลาดมาล็อคร่างกายของเขา ออร่าของหานเซิ่นหายไปจนกระทั่งเขาสัมผัสถึงการมีอยู่ของตัวเองไม่ได้
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกได้ถึงการกระเพื่อมของมิติอวกาศ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นบางสิ่งออกมาจากดวงอาทิตย์ที่เป็นนาฬิกา
ในตอนที่หานเซิ่นเห็นคนที่ปรากฏตัวออกมา เขาก็เกือบจะร้องตะโกนออกมา คนที่ปรากฏตัวออกมาคือราชาจุนที่เขาเคยพบที่ดาวอุปราคาเมื่อนานมาแล้ว หลังจากที่ราชาจุนได้รับบาดเจ็บ หานเซิ่นไม่เคยได้เห็นราชาจุนอีกเลย หานเซิ่นไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะได้มาเห็นราชาจุนอีกครั้งในที่แบบนี้
“ฮอไรซอนทอลอีวิล เจ้าคิดได้หรือยัง?” ราชาจุนสวมชุดเกราะและหมวกทองคำ เขาดูเหมือนกับเทพในท้องฟ้า ดวงตาของเขาเป็นเหมือนกับสายฟ้าขณะที่มองลงมาสู่ยักษ์ที่ถูกตรึงไว้กับภูเขา
“ดูเหมือนว่าบาดแผลของเจ้าเกือบจะหายดีแล้ว แต่เจ้าก็ยังมีเวลามาที่นี่ทุกวันๆ ถ้าเจ้ามีเวลามากนัก ทำไมเจ้าไม่ไปตามหาคนที่ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้?” ยักษ์ที่น่ากลัวพูดกลับไป
ราชาจุนตอบกลับด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“ฮอไรซอนทอลอีวิล เจ้าอยากจะถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดอย่างนั้นหรอ? เจ้าอยากจะเห็นคนของเจ้าพยายามช่วยเจ้าตลอดไปหรือยังไง?”