บนเกาะหยกน้อย หานเซิ่น หานเหยียนและเป่าเอ๋อกำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะที่มีน้ำเต้าสี่ลูกวางอยู่ ซึ่งพวกมันคือน้ำเต้าที่หานเหยียนเก็บมาจากเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์
ทั้ง 3 คนตรวจเช็คน้ำเต้าอยู่ชั่วครู่ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่รู้วิธีที่จะเอาลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“เป่าเอ๋อ หนูทำให้เจ้าพวกนี้ปลดปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมาไม่ได้หรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่เป่าเอ๋อ
เป่าเอ๋อส่ายหัว “หนูจะทำได้ถ้าหนูอยู่บนเถาวัลย์นั่น แต่ตอนนี้หนูทำไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นการได้รับพวกมันมาก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ” หานเซิ่นรู้สึกหดหู่
“เมื่อน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์แยกจากเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในพวกมันจะแข็งตัว พวกมันจะไม่ปลดปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีก”
ยวิ๋นฉางคงยิ้มขณะที่เดินเข้ามาหาพวกเขา ยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางก็เดินตามมาจากด้านหลังของเขา
“คารวะศิษย์พี่” หานเหยียนพูด เธอลุกขึ้นและโค้งคำนับยวิ๋นฉางคง
“คารวะอาจารย์อา” ยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางโค้งคำนับให้กับหานเหยียน
‘ทำไมมันถึงได้ยุ่งยากนัก?’ หานเซิ่นคิด เขาโค้งคำนับให้กับยวิ๋นฉางคงเช่นกัน แต่หานเซิ่นเรียกเขาว่าผู้อาวุโสยวิ๋น
พี่น้องยวิ๋นกล่าวทักทายเขา พวกเขาใกล้ชิดกันมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสดงความเคารพอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่หานเซิ่นเชิญพวกเขาทั้ง 3 มานั่งด้วยกัน เขาก็ให้ซีโร่นำชามาเสิร์ฟ ยวิ๋นฉางคงยกชาขึ้นจิบก่อนที่จะพูดขึ้นมา
“หลังจากที่น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ถูกเด็ดออกมาแล้ว พวกมันก็จะไม่ปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่เจ้านำพวกมันไปหลอมเป็นสมบัติระดับเทพเจ้าได้ พวกเราควรจะทำการทดสอบและเรียนรู้ว่าธาตุของพวกมันแต่ละลูกคือธาตุอะไร หลังจากนั้นพวกเราก็จะให้แผนกของสกายแชนซ์ช่วยทำสมบัติให้กับพวกเจ้า แต่การจะทำสมบัติระดับเทพเจ้าขึ้นมาจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบอย่างอื่นอีก และพวกมันก็อาจจะเป็นอะไรที่มีราคาสูง แถมโอกาสสำเร็จก็ไม่ถูกรับประกันเช่นกัน ข้าเดิมพันว่ามันมีโอกาสห้าสิบห้าสิบ”
“วัตถุดิบแบบไหนกันที่จำเป็นต้องมี?” หานเหยียนถาม
“พวกเราจะไม่รู้จนกระทั่งพวกเราทำการทดสอบพวกมัน หลังจากที่พวกเราตัดสินใจได้แล้วว่าสมบัติแบบไหนที่พวกเจ้าต้องการ พวกเราถึงจะระบุรายการของวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ได้”
ยวิ๋นฉางคงยิ้มและพูดต่อ “แต่ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเป็นคนจ่ายค่าวัตถุดิบเพื่อตอบแทนที่ศิษย์น้องยินดีเข้าร่วมกับพวกเรา ได้โปรดอย่าปฏิเสธความหวังดีของข้า”
เมื่อเห็นถึงความแน่วแน่ของยวิ๋นฉางคง หานเหยียนก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา
หลังจากที่พูดคุยกันต่ออีกสักพัก ยวิ๋นฉางคงก็หันความสนใจมาที่หานเซิ่น
“หานเซิ่น เจ้าเคยไปเมืองที่ห้าของสถานหยกขาวแล้วหรือยัง?
“ยังไม่เคย” หานเซิ่นส่ายหัว “ข้าอยากจะไป แต่ยามรักษาการณ์บอกว่าข้าจำเป็นต้องมีบัตรผ่านพิเศษ”
ยวิ๋นฉางคงนำแผ่นกระดาษที่มีสัญลักษณ์สีดำเขียนเอาไว้ออกมา
“ทั้งห้าเมืองของสถานหยกขาวนั้นแตกต่างไปจากทั้งสิบสองหอคอย มันเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆ และแต่ละเมืองก็จะแตกต่างกันออกไป แต่จนกว่าเจ้าจะหายดี เจ้าไม่ควรไปที่อีกสี่เมือง นี่คือบัตรผ่านสู่เมืองราชาดำ ถ้าเจ้ามีสิ่งนี้อยู่ เจ้าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่เมืองราชาดำได้ บางทีมันอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้ แต่จำไว้ให้ดีว่า เจ้าจะสูญเสียบัตรผ่านนี้ไปไม่ได้ถ้าเจ้าเข้าไปที่นั่น และเจ้าอย่าได้ฆ่าอะไรภายในนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตกลงไปในน้ำร้อน”
“มีอะไรอยู่ในเมืองราชาดำ?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้ เจ้าจะได้รู้เมื่อเจ้าไปที่นั่น” ยวิ๋นฉางคงพูด
“บัตรผ่านนี้ให้คนเข้าได้แค่คนเดียวอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
ยวิ๋นฉางคงพยักหน้าและพูด “ในอนาคตบัตรผ่านของศิษย์น้องจะถูกมอบให้โดยผู้นำปราสาทนภา ตอนนี้ระดับของนางยังคงต่ำเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่นางจะเข้าไปในนั้น นางต้องไปถึงระดับราชันซะก่อน หลังจากนั้นนางก็จะได้รับบัตรผ่านเช่นกัน”
ถึงแม้ตอนนี้หานเหยียนจะเป็นศิษย์น้องของยวิ๋นฉางคง แต่เธอก็ยังคงเป็นเหมือนกับศิษย์คนหนึ่งของเขา ยวิ๋นฉางคงอธิบายสิ่งต่างๆให้หานเหยียนฟังเหมือนกับที่อาจารย์ทั่วไปทำ
ด้วยการที่ยวิ๋นฉางคงเป็นเพียงแค่ศิษย์พี่ของหานเหยียน บรรยากาศจึงไม่ปกติ นั่นทำให้พี่น้องยวิ๋นดูเงียบๆไม่ค่อยพูดอะไร
ยวิ๋นฉางคงเข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงไม่ค่อยพูดอะไร ดังนั้นเมื่อเขาอธิบายทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็จากไปและปล่อยให้คนอื่นคุยกันต่อ
เมื่อมีแค่คนหนุ่มสาวที่เหลืออยู่ บรรยากาศก็ดูเป็นกันเองมากขึ้น หานเซิ่นถามพี่น้องยวิ๋นเกี่ยวกับเมืองราชาดำเพิ่มเติม
“ท่านพ่อบอกว่าพลังของพวกเรายังอ่อนแอเกินไป ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากนัก ข้าแค่เคยได้ยินมาว่าเมืองราชาดำนั้นปลอดภัยที่สุดในบรรดาทั้งห้าเมือง ตราบใดที่เจ้ามีบัตรผ่านติดตัว เจ้าก็จะไม่เป็นอันตรายอะไร” ยวิ๋นซู่อีหยุดคิดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเธอก็พูดต่อ
“ตำนานบอกว่าเมืองราชาดำมีสมบัติที่หายากอยู่มากมาย หลายคนที่เข้าไปในนั้นจะกลับออกมาพร้อมกับสมบัติล้ำค่า แต่พวกเขาไม่เคยอธิบายว่าได้พวกมันมายังไง”
พี่น้องยวิ๋นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองราชาดำมากนัก ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น
วันต่อมา หานเซิ่นขี่นกกระเรียนไร้ขาไปที่สถานหยกขาว เขาต้องการที่จะไปเมืองราชาดำเพื่อดูว่ามันพิเศษยังไง
แน่นอนว่าเมื่อหานเซิ่นไปถึงที่นั่น เขาก็ถูกหยุดโดยศิษย์ของปราสาทนภาที่รักษาการณ์อยู่
“ต้องขออภัยอาจารย์หานด้วย แต่ถ้าไม่มีบัตรผ่านจากท่านผู้นำ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองราชาดำ” ยามรักษาการณ์เคยฟังบทเรียนจากหานเซิ่นนั้น ดังนั้นเขาจึงมีมารยาทมากๆ
หานเซิ่นนำบัตรผ่านออกมาและส่งให้ยามรักษาการณ์ดู
ศิษย์ของปราสาทนภาคนตรวจเช็คมันและปล่อยให้หานเซิ่นผ่านเข้าไปข้างใน แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะเข้าไป ยามรักษาการณ์ก็เตือนเขาอีกครั้งว่าต้องพกมันติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา
หานเซิ่นกล่าวขอบคุณยามรักษาการณ์และเข้าไปในเมืองราชาดำ
จากภายนอกเมืองดูเหมือนโบราณสถานที่สร้างขึ้นจากหยกดำ มันดูเก่าแก่และลึกลับ
หลังจากที่เข้าไปภายในเมืองราชาดำ หานเซิ่นก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น
เขาคิดว่าเมืองราชาดำจะเป็นสถานที่ที่ลึกลับและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตราย แต่ขณะที่หานเซิ่นเดินไปบนถนนหลักของเมือง เขาก็พบว่าเมืองมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก มันมีพ่อค้าและชาวนาอยู่ทั้งสองข้างถนน แม้แต่ร้านอาหารที่ให้ผู้คนเข้าไปทานอาหารกันก็ยังมี
ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ตรวจเช็คอย่างดีก่อนที่จะเข้ามา เขาก็คงจะสันนิษฐานไปว่ามาผิดที่ ที่นี่ไม่ควรถูกเรียกว่าเมืองราชาดำ มันเป็นเหมือนกับเมืองเล็กๆของดาวที่กำลังพัฒนามากกว่า
“พีนัท! วอลนัท! สาลี่! อินทผลัม!” พ่อค้าคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง
หานเซิ่นเห็นชาวนาจูงวัวตัวหนึ่งอยู่ มันมีไก่ส่งเสียงร้องในกรงและสุนัขส่งเสียงใส่กันบนถนน หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆขณะที่เดินไปบนถนนเส้นนั้น ในตอนที่เขายังเด็ก แม้แต่เมืองที่เขาอาศัยอยู่ก็ไม่ได้ล้าหลังขนาดนี้ นี่เป็นเมืองที่เขาอาจจะเห็นในภาพยนตร์ย้อนยุค
หานเซิ่นมองผู้คนรอบๆและสังเกตเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์มากๆ
“นี่เป็นไปได้ยังไง? ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความแปลกใจ
พวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์ พวกเขาแตกต่างไปจากเผ่าเวรี่ไฮ เผ่านภาหรือเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง พวกเขาไม่ได้มีรูปลักษณ์พิเศษที่เผ่าพันธุ์อื่นๆมี พวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์ไม่มีผิด
‘นี่เรากำลังเห็นภาพหลอนอย่างนั้นหรอ? พวกเขาไม่มีทางเป็นมนุษย์ไปได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
แต่หลังจากนั้นไม่นานหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นภาพลวงตา สิ่งมีชีวิตรอบๆตัวเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต
หานเซิ่นต้องการจะใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อตรวจเช็ค แต่เขาพบว่าพลังทั้งหมดของเขาหายไป