คุณหญิงมิร์เรอร์และสมาชิก 2 คนของสปริงเรนที่ชื่อเรดคลาวด์กับไนท์วินด์กำลังประชุมกัน แต่ทันใดนั้นจู่ๆก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากที่อยู่อาศัยของหานเซิ่น
“ข้าเป็นคนโง่!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมา
ทั้ง 3 คนหันมาสบสายตากัน เสียงนั้นเป็นของฟอลลิ่งลีฟอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าฟอลลิ่งลีฟนั้นจะตะโกนอะไรแบบนั้นออกมา
ฟอลลิ่งลีฟนั้นถูกรู้จักกันดีในฐานะหนึ่งในนักฆ่าที่ดีที่สุดของสปริงเรน เธอเป็นผู้หญิงที่โหดร้ายมาก เธอเป็นคนที่มีภาคภูมิ เหี้ยมโหดและพร้อมที่จะต่อสู้เสมอ คำพูดแบบนั้นจะออกมาจากปากคนอย่างเธอได้ยังไงกัน?
“นั่นเป็นเสียงของฟอลลิ่งลีฟไม่ใช่หรอ?” ไนท์วินด์หันไปมองเรนคลาวด์และคุณหญิงมิร์เรอร์ด้วยสีหน้าสับสน
“พวกเราพอกันก่อนเพียงแค่นี้ พวกเจ้า 2 คนไปพักได้”
คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้ว เธอลุกขึ้นและเดินไปทางที่พักของหานเซิ่น เธออยากจะเห็นว่าหานเซิ่นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ผู้หญิงอย่างฟอลลิ่งลีฟไม่ใช่คนที่จะถูกบังคับให้พูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ เธอเป็นคนที่เลือกตายดีกว่าที่จะต้องทำเรื่องที่น่าอับอายแบบนั้น
ถ้าหานเซิ่นใช้กลลวงบางอย่างเพื่อหลอกฟอลลิ่งลีฟ คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ไม่คิดจะเมินเฉยต่อเรื่องนั้น เธอส่งฟอลลิ่งลีฟให้ไปคอยดูแลหานเซิ่น แต่เธอจะไม่มองข้ามถ้าฟอลลิ่งลีฟถูกรังแก
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้มเมื่อเปิดประตูออกไปและเห็นคุณหญิงมิร์เรอร์
“เจ้าทำอะไรกับฟอลลิ่งลีฟ?” คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้ว
“ข้าจะไปทำอะไรได้? ข้าแทบจะไม่ได้พูดอะไรกับนางเลย นางกำลังเล่นเกมส์กับเป่าเอ๋ออยู่ ท่านจะมาดูก็ได้ถ้าท่านต้องการ” หานเซิ่นหลีกไปด้านข้างและเพื่อให้เธอเดินเข้ามาข้างใน
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่เชื่อหานเซิ่น เธอเดินผ่านประตูและตรงเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น ที่นั่นเธอพบฟอลลิ่งลีฟกำลังเล่นไพ่กับเป่าเอ๋ออยู่
“คุณหญิงมิร์เรอร์!” ฟอลลิ่งลีฟรีบลุกขึ้นมาและโค้งคำนับ
“เจ้าเป็นอะไรไหม?” ใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ ภาพที่เห็นนั้นเกือบจะทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์หัวเราะออกมา
“ข้าไม่เป็นอะไร” ฟอลลิ่งลีฟหน้าแดง แต่เธอไม่ได้แกะสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่บนใบหน้าของเธอออก เธอเป็นนักฆ่า และนักฆ่านั้นรักษาคำพูดของพวกเขาเสมอ เธออาจจะพ่ายแพ้ แต่เธอจะไม่ทำผิดกฎ
“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
คุณหญิงมิร์เรอร์มองมาที่หานเซิ่นและพูดกับเขา “ตามข้ามา”
หานเซิ่นยักไหล่และตามคุณหญิงมิร์เรอร์ไปที่สวน
“เจ้ารู้ว่าฟอลลิ่งลีฟเป็นคนของข้า เจ้าควรจะระมัดระวังวิธีที่เจ้าจะปฏิบัติกับนาง” คุณหญิงมิร์เรอร์นั่งลงบนเก้าอี้ในสวนและมองไปที่หานเซิ่น
หานเซิ่นหัวเราะ “ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย และข้าก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรที่เป็นการล่วงละเมิดนางเช่นกัน นางแค่เล่นเกมส์กับเป่าเอ๋อเท่านั้น ท่านจะไปถามนางก็ได้ ถ้าท่านไม่เชื่อข้า”
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรก็ดีแล้ว ข้าแค่จะเตือนเจ้าเฉยๆ อย่าได้ทำอะไรที่จะทำให้นางหรือข้าเป็นทุกข์เป็นอันขาด” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ข้าเข้าใจ” หานเซิ่นยักไหล่อีกครั้ง
“ยื่นมือของเจ้ามา” คุณหญิงมิร์เรอร์มองแหวนที่หานเซิ่นสวมอยู่ และคำพูดของเธอก็มีความลังเลอยู่
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ใช่นักสู้ที่แย่ แต่ระดับของเขายังต่ำเกินไป คุณหญิงไม่คิดว่าความแข็งแกร่งของหานเซิ่นในตอนนี้จะสามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้มาก แต่ไหนๆเธอก็มาถึงที่นี่แล้ว เธอก็คิดว่าควรจะทำความรู้จักเขาให้ดีกว่านี้
จิตใจและหัวใจนั้นเชื่อมต่อกันอย่างแยกไม่ได้ ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้ลักษณะนิสัยของคนๆหนึ่งคือการเรียนรู้ผ่านจิตใจของเขา มันเป็นวิธีการที่แม่นยำในการอ่านจะผู้คน
“ท่านกำลังจะทำอะไร?” หานเซิ่นถามขณะที่ยื่นมือขวาออกไปตรงหน้าคุณหญิงมิร์เรอร์
“นี่เจ้ากำลังแกล้งโง่อย่างนั้นหรอ?” คุณหญิงมิร์เรอร์จ้องไปที่หานเซิ่น
“แน่นอนว่าไม่ ท่านควรจะบอกข้าให้ชัดกว่านี้”
หานเซิ่นหัวเราะและดึงมือขวากลับไป หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือซ้ายออกมาแทน แหวนมิร์เรอร์สปิรินอายแวววาวบนนิ้วมือของเขา
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปที่แหวนมิร์เรอร์สปิริยอาย เมื่อได้เห็นแหวนจิตใจ เธอก็นึกย้อนไปถึงชายที่ครั้งหนึ่งเคยสวมใส่มัน ชายคนนั้นเป็นคนที่ชาญฉลาดและอ่อนโยน
แม้แต่ตอนนี้การคิดถึงชายคนนั้นก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัว
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่เคยเสียใจที่แต่งงานกับชายคนนั้น การเลือกเขาเป็นประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอ แต่พระเจ้านั้นไม่อนุญาตให้เธออยู่เคียงข้างเขาไปตลอดการ
แต่หลังจากที่ได้เห็นเจ้าของแหวนในตอนนี้ คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่เลว แต่เธอคิดว่าเขาไม่สามารถเทียบกับผู้ชายคนนั้นได้
คุณหญิงมิร์เรอร์ยื่นมือของเธอออกมาและนำแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายของเธอเอาไว้ข้างๆแหวนของหานเซิ่น
ใบหน้าของคุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้มีความงามของนางแบบ เธอไม่ได้งดงามเหมือนผู้หญิงอย่างกู่ชิงเฉิง เธอดูเป็นผู้หญิงแต่งตัวดีและดูเป็นผู้ใหญ่
แต่ถึงอย่างนั้นมือของคุณหญิงมิร์เรอร์ก็งดงามกว่าที่จะติชม ทุกนิ้วของเธอนั้นเรียวยาว ผิวของเธอขาวเหมือนกับหยกและเล็บของเธอก็แวววาวเหมือนกับคริสตัล
มือของเธอดูสวยและสง่างาม หานเซิ่นเคยเห็นผู้หญิงที่งดงามมากมายในชีวิตของเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมือที่สวยขนาดนี้
มือของคุณหญิงมิร์เรอร์ขยับเข้ามาใกล้หานเซิ่น และแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายก็เริ่มมีปฏิกิริยา มรกตบนแหวนเริ่มเรืองแสงขึ้นมา
เมื่ออัญมณีที่เหมือนกับดวงตาทั้ง 2 สัมผัสกันและกัน ทั้งหานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์ก็สั่นไหว พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในแหวนมิร์เรอร์สปิริตอาย หลังจากนั้นพวกมันก็ไหลเข้ามาสู่ร่างกายของพวกเขาทั้ง 2 พวกมันเดินทางผ่านแขนและตรงไปสู่สมองของพวกเขา
ร่างกายของหานเซิ่นสั่นไหว เขามองไปรอบๆและพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่กำลังมีฝนตกลงมา สายฝนฤดูใบไม้ผลิกำลังตกลงมาราวกับว่าพระเจ้านั้นกำลังร้องไห้
เมื่อเม็ดฝนตกลงมา พวกมันก็เปียกโชกทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวของเขา ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ หญ้าหรือแม้แต่เกาลัด และความเศร้าโศกที่อยู่ภายในฝนก็มอบแหล่งพลังชีวิตและความหวังที่ไม่จำกัด
หานเซิ่นเรียนรู้ 48 จิตแห่งน้ำในหอคอยแห่งโชคชะตา และจิตแห่งฝนฤดูใบไม้ผลิก็เป็นหนึ่งในนั้น จิตของคุณหญิงมิร์เรอร์คือฝนฤดูใบไม้ผลิ แต่มันไม่ได้โฟกัสที่ไปตัวฝน
หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาภายในจิตใจของเธอ และจู่ๆนั้นเขาก็รู้สึกนับถือผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา จิตใจนี้เป็นจิตใจที่มีแต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีได้
‘ไม่แปลกใจเลยที่องค์กรของเธอมีชื่อว่าสปริงเรน จิตใจนี้เป็นสิ่งที่รู้สึกได้เท่านั้น มันไม่ใช่บางสิ่งที่จะอธิบายได้ การจะได้จิตใจแบบนี้มาเป็นเรื่องที่ยากมากๆ คุณหญิงมิร์เรอร์เป็นผู้หญิงที่ซับซ้อน เราจะตัดสินเธอเหมือนอย่างที่ปกติเราจะทำกับคนอื่นไม่ได้’ ขณะที่หานเซิ่นสังเกตและสัมผัสจิตแห่งฝนฤดูใบไม้ผลิ เขาก็ได้เรียนรู้อะไรอย่างมาก
ร่างกายของคุณหญิงมิร์เรอร์นั้นสั่นไหวเช่นกัน เธอรู้สึกได้ถึงจิตใจหนึ่งเช่นเดียวกัน
แต่จิตใจนั้นไม่ได้น่าประหลาดใจหรือแข็งแกร่งจนเกินไป มันไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรกับเธอมากนัก
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้คิดกับจิตใจของหานเซิ่นอย่างจริงจังอะไรนัก เพราะเธอนำแหวนมาสัมผัสกันก็เพื่อที่เธอจะได้รู้เกี่ยวกับเขามากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อจิตใจของเขาเริ่มขยาย คุณหญิงมิร์เรอร์ก็อึ้งไป
จิตใจของหานเซิ่ทที่คุณหญิงมิร์เรอร์ได้เห็นเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับดอกไม้ที่กำลังจะบานออก ในตอนที่ดอกไม้ตูมอยู่นั้นมันอาจจะไม่ได้ดูน่าประทับใจอะไร แต่ขณะที่เธอพยายามทำความเข้าใจ เธอก็ลอกกลีบมันออก แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามสักแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถลอกกลีบออกได้หมด เธอไม่สามารถเข้าถึงศูนย์กลางของดอกไม้ได้ และนั่นเป็นอะไรที่รบกวนจิตใจของเธอ