กายหยกพัฒนา
พวกเฟเธอร์ต้องการจะใช้หานเซิ่นเพื่อเพิ่มชื่อเสียงของพวกเขา แต่หานเซิ่นเมินเฉยต่อพวกเขาและเลือกที่จะฝึกวิชาจีโนอยู่ที่เกาะแทน
เนื่องจากพรสวรรค์ของหานเซิ่นค่อนข้างดี เขาจึงฝึกฝนวิชาใต้นภาได้อย่างราบรื่น แต่ในตอนที่ฝึกร่วมกับยวิ๋นซู่อี เขาก็พยายามระงับมันเอาไว้
ที่เขายังคงฝึกฝนร่วมกับเธอ นั่นก็เพราะเธอสามารถเป็นพยานให้กับเขาได้ ถ้าเกิดมีใครสงสัยถึงความสามารถในการเรียนรู้และการแก้ไขวิชาใต้นภา เธอก็สามารถพูดสนับสนุนเขาได้
ตอนนี้หลังจากที่อยู่ในปราสาทนภาเป็นเวลา 3 เดือน ในที่สุดวิชากายหยกของหานเซิ่นก็เพิ่มระดับขึ้น พลังประหลาดไหลเวียนภายในกระดูกและเนื้อหนังของเขา การเพิ่มระดับขึ้นสู่ระดับเอิร์ลหมายถึงการสร้างจิตวิญญาณขึ้นมา
พลังของกายหยกเป็นธาตุแสง ขณะที่พลังของมันเพิ่มขึ้น แสงหยกก็ทอดเงามาที่ตัวของเขาตลอดเวลา มันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ
แต่ที่แปลกที่สุดก็คือแสงที่สวยงาม มันดูเหมือนกับแฟรี่ที่เยือกเย็น และผิวของเธอก็ส่องสว่างราวกับหยก วิชากายหยกของหานเซิ่นพัฒนาไปเป็นระดับเอิร์ลได้สำเร็จ และมันทำให้หานเซิ่นแข็งแกร่งขึ้นมาก
คนอื่นๆที่พัฒนาสู่ระดับเอิร์ลจะได้รับพละกำลังเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ทว่าหานเซิ่นวิวัฒนาการเป็นระดับเอิร์ลถึง 3 ครั้ง นั่นหมายความว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าคนอื่นถึง 3 เท่า ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้เทียบเท่ากับมาร์ควิสคนหนึ่ง
หลังจากที่กายหยกวิวัฒนาการไปยังระดับเอิร์ลได้สำเร็จ หานเซิ่นก็เริ่มทุ่มทุกอย่างไปกับการฝึกวิชาโลหิตชีพจร
เขาเคยใช้ลมปราณหยกเพื่อฝึกโลหิตชีพจร แต่ผลของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก มันไม่ได้เข้ากับลมปราณหยกได้เป็นอย่างดีเหมือนกับวิชากายหยก
เมื่อยวิ๋นซู่อีพัฒนาเป็นระดับเอิร์ล เธอก็เริ่มฝึกฟีโนมีนอน มันเป็นวิชาที่ต่ำกว่าตำราไร้อักษรเพียงแค่ระดับเดียว มันเป็นวิชาที่ทรงพลัง อีกอย่างยวิ๋นซู่อีก็ตัดสินใจเลิกใช้ดาบและหันมาฝึกฝนการใช้มีดแทน ด้วยวิชาใต้นภาที่เธอฝึก การใช้ดาบไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับเธออีกต่อไป
“ดูเหมือนว่าเราควรจะหามีดดีๆสักเล่ม” ตัวของยวิ๋นซู่อีเองยังไม่แน่ใจเต็มที่ว่าเธอควรจะทอดทิ้งดาบดีหรือเปล่า เพราะเธอไม่เคยเป็นเจ้าของมีดสักเล่มมาก่อน
ถ้าเธอตัดสินใจจะเอาดีทางด้านการใช้มีด เธอก็ต้องหามีดสักเล่มที่เหมาะสมกับตัวเธอ
“ซู่อี ทำไมจู่ๆเจ้าถึงได้หันมาใช้มีด?” ยวิ๋นซู่ซางถามขณะที่ติดตามเธอไปที่คลังแสง
“ข้าเรียนรู้วิชามีดใหม่มา ดังนั้นข้าคิดว่าควรจะลองหันมาใช้มีดดู” ยวิ๋นซู่อีพูดขณะที่มองดูมีดในคลังแสง
“เจ้าจะลองฝึกวิชามีดก็ได้ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าทำไม่ได้?” ยวิ๋นซู่ซางดูจริงจัง
“นี่พี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” ยวิ๋นซู่อีดูตื่นตระหนกเล็กน้อย
ยวิ๋นซู่ซางถอนหายใจและพูด “เจ้าก็รู้ว่าพี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร เจ้ารู้ว่าหานเซิ่นไม่ใช่ตัวเลือก ดังนั้นทำไมเจ้าถึงยังไปใกล้ชิดกับเขาอีก?”
“นี่พี่กำลังคิดอะไร? เขามีภรรยาและลูกแล้ว! ข้าจะไปทำอะไรได้? ข้าก็แค่ฝึกวิชามีดร่วมกับเขาเท่านั้น” ยวิ๋นซู่อีอธิบาย
“ถ้าแค่นั้นก็ไม่เป็นไร” ยวิ๋นซู่ซางไม่อยากจะก้าวก่ายเรื่องของยวิ๋นซู่อีไปมากกว่านี้
ยวิ๋นซู่ซางยิ้มและพูดต่อ “ถ้าเจ้าฝึกฝนวิชามีด เจ้าคงจะต้องการเข้าร่วมงานประลองมีดบนเกาะเมฆาสินะ”
“งานประลองมีดอะไร? พวกเรามีงานแบบนั้นด้วยอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีถามด้วยความประหลาดใจ
ยวิ๋นซู่ซางพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว พวกเฟเธอร์เป็นคนจัดมันขึ้นมา พวกเขาต้องการใช้หานเซิ่นในการเพิ่มชื่อเสียงของตัวเอง แต่หานเซิ่นยังคงไม่สนใจอะไรพวกเขา”
“พวกเขาประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว พวกเขาคิดจริงๆหรือว่าจะต่อสู้กับหานเซิ่นได้” ยวิ๋นซู่อีพูดเย้ยหยัน
เมื่อยวิ๋นซู่ซางเห็นความมั่นใจในตัวหานเซิ่นของยวิ๋นซู่อี เธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมัน
หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ ยวิ๋นซู่ซางก็พูด “คนที่ต้องการจะท้าสู้กับหานเซิ่นมีชื่อว่าแองเกีย เขาไม่ใช่คนโง่ เจ้าไม่ควรประมาทเขา”
“เฟเธอร์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำไป และพวกเขาก็ถูกลดระดับลงขั้นหนึ่งด้วยเหตุนั้น แองเกียนั้นเดิมเป็นเอิร์ล แต่ถูกลดระดับลงหนึ่งขั้นเลยกลายเป็นไวเคานต์ นั่นทำให้แองเกียโกรธอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงลงไปในสระแห่งการเกิดใหม่ ร่างกายของเขากลับกลายเป็นศูนย์และตอนนี้เขาก็วิวัฒนาการกลับมาเป็นเอิร์ลได้อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้แองเกียจึงแข็งแกร่งกว่าเอิร์ลทั่วๆไป นอกจากนั้นเขายังฝึกวิชาที่ยากที่สุดของเฟเธอร์ เฮฟเว่นเฟเธอร์ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเรียนรู้มันได้ ถึงมันไม่ได้ทรงพลังจนเกินไป แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่ง”
“แองเกียคนนี้ฟังดูจะแข็งแกร่ง สระแห่งการเกิดใหม่เป็นอะไรที่อันตราย เขาถือว่าโชคดีมากๆ” ยวิ๋นซู่อีพูด
ยวิ๋นซู่ซางพยักหน้าและพูด “เขาลบล้างวิชาทั้งหมดในสระแห่งการเกิดใหม่ แต่พรสวรรค์ของเขายังคงอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะเรียนรู้เฮฟเว่นเฟเธอร์ไม่ได้ เขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ และเขาก็เป็นคนที่ทะเยอทะยาน เขาเป็นบุคคลที่น่ากลัวคนหนึ่ง”
“ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอ่อนแอกว่าหานเซิ่นอยู่ดี” ยวิ๋นซู่อีพูดด้วยรอยยิ้ม
ยวิ๋นซู่ซางไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่มองน้องสาวด้วยบางสิ่งที่ดูคล้ายกับรอยยิ้ม
ยวิ๋นซู่อีหน้าแดงและพูดต่อ “นี่ข้าพูดไม่ถูกอย่างนั้นหรอ? หานเซิ่นต่อสู้กับไผ่เดียวดายได้ แองเกียคนนั้นก็ไม่เท่าไหร่ ข้าไม่คิดว่าเขาจะเอาชนะข้าได้ด้วยซ้ำ”
“ดังนั้นเจ้าจะเข้าร่วมงานประลองมีดในวันพรุ่งนี้สินะ?” ยวิ๋นซู่ซางยิ้ม
“แน่นอน! ทำไมข้าถึงจะไม่เข้าร่วม?” ยวิ๋นซู่อีพูด
ในคลังแสงมีอาวุธอยู่หลายชนิด แต่ส่วนใหญ่มันเต็มไปด้วยดาบ ยวิ๋นซู่อีเลือกมีดน้ำแข็งระดับมาร์ควิสมา มันยังมีมีดระดับดยุกบางเล่มให้เลือก แต่ถึงจะเป็นระดับที่สูงกว่า มันก็ไม่ได้ดีไปกว่ามีดน้ำแข็งเล่มนี้
หลังจากที่เดินทางกลับ เธอก็ใช้มีดน้ำแข็งฝึกฝนวิชาใต้นภา ซึ่งมันได้ผลดีกว่าตอนที่เธอฝึกโดยใช้มีดหยกสำหรับฝึกซ้อมธรรมดาๆ
“การจะฝึกวิชามีด มันจำเป็นต้องใช้มีดที่ดีจริงๆด้วย” ยวิ๋นซู่อีสัมผัสใบมีดของมีดน้ำแข็งด้วยท่าทางร่าเริง
วันต่อมา ยวิ๋นซู่ซางพายวิ๋นซู่อีไปเข้าร่วมการประลองมีดบนเกาะเมฆา ระหว่างทางยวิ๋นซู่ซางก็นึกเรื่องที่เธออยากจะถามขึ้นมาได้
“เกือบลืมไปเลย นี่พวกเจ้าฝึกวิชามีดแบบไหนอยู่อย่างนั้นหรอ?”
“พวกเราฝึกวิชามีดใต้นภาของตระกูลยวิ๋น หานเซิ่นเลือกวิชาใต้นภาเป็นรางวัลที่ได้รับอันดับที่หนึ่ง ดังนั้นข้าจึงเรียนรู้มันจากเขา” ยวิ๋นซู่อีพูด
ยวิ๋นซู่ซางไม่ได้พูดอะไร แต่เธอคิดกับตัวเอง ‘เขาจะทำอะไรกับวิชาใต้นภาได้? วิชานั้นมันไร้ประโยชน์และมีข้อบกพร่องอยู่’