หานเซิ่นรู้สึกว่าลมปราณหยกรอบๆตัวบริสุทธิ์ขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งมันทำให้วิชากายหยกของเขาพัฒนาไปสู่ขั้นต่อไปได้รวดเร็วมากขึ้น แต่ระยะเวลาที่ลมปราณหยกปะทุขึ้นมานั้นสั้นเกินกว่าที่จะตอบสนองความต้องการของหานเซิ่นได้ เมื่อลมปราณหยกหายไปแล้ว หานเซิ่นก็ยังต้องการเพิ่มอีก
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” เมื่อหานเซิ่นลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นชายที่ดูหยิ่งยโสมองมาที่เขา เสียงของชายคนนั้นฟังดูเย็นชา
“หานเซิ่น ชื่อของเจ้าล่ะคืออะไร? และเจ้าต้องการอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“เจ้าจะเข้าร่วมการสอบของปีนี้ไหม?” ชายคนนั้นไม่ตอบคำถามของหานเซิ่น แต่กลับถามอีกคำถามของตัวเอง
หานเซิ่นคิดว่าชายคนนี้มีนิสัยประหลาด แต่เขาก็ยินดีจะตอบคำถาม
“ข้าไม่รู้ บางทีข้าอาจจะเข้าร่วม หรือบางทีอาจจะไม่”
“โอ้” ชายคนนั้นมองหานเซิ่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินลงบันไดไป
“นี่เขาเป็นบ้าหรือยังไง?” หานเซิ่นยักไหล่และเดินลงบันไดไปเช่นกัน
เมื่อหานเซิ่นลงไปที่ชั้น 6 ชายคนนั้นก็ได้หายตัวไปแล้ว แต่เมื่ออวี้จิงมองเห็นหานเซิ่น เขาก็เดินเข้ามาหาหานเซิ่นในทันที
“ศิษย์น้องหาน เจ้าว่างหรือเปล่า? ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกันเจ้า?” อวี้จิงพูด
“ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องไปทำ ถ้าเจ้ามีเรื่องอยากจะคุย คืนนี้ไปที่บ้านของข้า” หานเซิ่นพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องไปพบกับยวิ๋นซู่อี
“ตกลง” อวี้จิงตอบตกลง หลังจากนั้นเขาก็เดินลงบันไดไปพร้อมกับหานเซิ่น
เมื่อพวกเขาลงไปถึงชั้นที่ 4 ยวิ๋นซู่อีก็กำลังรอหานเซิ่นอยู่ที่นั่น เธอยิ้มให้กับเขา
“ศิษย์น้องหานนัดเจอกับผู้หญิงอย่างนั้นหรอ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอตัวก่อน!” เมื่ออวี้จิงเห็นยวิ๋นซู่อี เขาก็ยิ้มให้กับหานเซิ่นก่อนที่จะเดินจากไป
“ทำไมเจ้าถึงลงมาพร้อมกับเขา?” ยวิ๋นซู่อีถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ทำไม? มันมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นดูสับสน
“หมอนั่นเป็นคนที่โลภมาก เขามักจะเล่นขี้โกงและใช้กลลวงทุกอย่าง ชื่อเสียงของเขาในปราสาทนภาจึงไม่ดีเท่าไหร่นัก ข้าขอแนะนำให้เจ้าอยู่ห่างๆเขาเอาไว้จะดีกว่า” ยวิ๋นซู่อีบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับเรื่องที่อวี้จิงเคยทำเอาไว้
หลังจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็พาหานเซิ่นไปที่เกาะของเธอ เกาะของเธอใหญ่กว่าเกาะของหานเซิ่นมาก บนเกราะมีศาลาที่อยู่ติดกับน้ำพุในสวน มันดูเป็นสถานที่ที่สะดวกสบายกว่าของหานเซิ่นมาก
“ตรงนี้ล่ะกัน ช่วยข้าตรวจเช็ควิชานี้หน่อยว่ามีส่วนไหนที่ไม่ถูกต้องบ้าง? ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ”
ยวิ๋นซู่อีพาหานเซิ่นเข้าไปในศาลาที่อยู่ในสวน
หานเซิ่นพูด “แสดงมันให้ข้าดูหน่อย ข้าจะได้ลองดูว่าจะระบุปัญหาของมันได้ไหม”
ยวิ๋นซู่อีพยักหน้าและเดินออกไปในสวน หลังจากนั้นเธอก็ชักมีดเล่มหนึ่งออกมาและเริ่มแสดงวิชามีดให้หานเซิ่นดู
หานเซิ่นมองดูเธอและขมวดคิ้ว ยวิ๋นซู่อีเพิ่งจะฝึกวิชานี้ได้ไม่นาน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เชี่ยวชาญมันเลยสักนิดเดียว ถ้ามันมีปัญหาล่ะก็ มันก็เป็นเพราะเธอยังฝึกฝนไม่พอ เธอไม่สามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกวิชานั้นระดับมือใหม่ด้วยซ้ำ
หานเซิ่นรู้ตัวว่าเธอไม่เคยใช้มีดมาก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับวิชามีดมากนัก มันเห็นได้ชัดว่าเธอเริ่มฝึกมันเพื่อเป็นหนทางที่จะได้พูดคุยกับหานเซิ่น
แต่ยวิ๋นซู่อีไม่ได้เลือกวิชามามั่วๆเพียงเพื่อจะหลอกหานเซิ่น วิชามีดที่เธอเลือกนั้นมีชื่อว่า ‘ใต้นภา’ มันถูกคิดค้นขึ้นมาโดยนักดาบของปราสาทนภา เขาต้องการจะคิดค้นวิชามีดสำหรับปราสาทนภาขึ้นมา แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันมีปัญหา 7 อย่างที่เขาไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเรียกวิชามีดนี้ว่าใต้นภา เพราะมันยังไม่ถึงระดับที่ถูกคาดหวังเอาไว้
หลายคนพยายามจะปรับแต่งวิชาใต้นภา และปัญหาของมันก็ถูกแก้ไขโดยอัจฉริยะหลายรุ่นของปราสาทนภา แต่มันยังมีปัญหาอยู่อีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขได้ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำให้มันกลายเป็นวิชาของปราสาทนภาอย่างเป็นทางการได้
ยวิ๋นซู่อีเลือกวิชานี้โดยหวังว่าหานเซิ่นจะสามารถระบุปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไขได้จนถึงทุกวันนี้ ถ้าเธอทำอย่างนั้นมันก็จะเป็นข้ออ้างที่ช่วยให้เธอใกล้ชิดกับเขามากขึ้น
หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่ายวิ๋นซู่อีเพิ่งจะเริ่มฝึกฝนการใช้มีด แต่เขาก็ยังคงหลงใหลกับวิชามีดนั้น มันแตกต่างจากวิชามีดเขี้ยวดาบอย่างมาก
หานเซิ่นคิดว่ามันมีศักยภาพไม่ต่างไปจากวิชาเขี้ยวมีดเขี้ยวดาบ แต่เมื่อยวิ๋นซู่อีแสดงมันออกมา มันก็เห็นได้ชัดว่าวิชานี้มีปัญหาบางอย่างอยู่
ถึงแม้มันจะเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ แต่มันก็ลดศักยภาพของวิชาลงอย่างมาก ในการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือนั้นจะถูกตัดสินกันที่รายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด ดังนั้นปัญหาเพียงเล็กน้อยก็สามารถตัดสินระหว่างความเป็นความตายได้
“หานเซิ่น เจ้าบอกได้ไหมว่าวิชานี้มีปัญหาอะไรกันแน่? ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติ” หลังจากที่ยวิ๋นซู่อีแสดงให้ดูเสร็จแล้ว เธอก็เดินกลับเข้ามาในศาลา
เนื่องจากวิชาใต้นภายังไม่สมบูรณ์ ทางปราสาทนภาจึงไม่ได้อนุญาตให้ศิษย์ของพวกเขาฝึกมัน มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ของวิชานี้ เธอรู้ว่าหานเซิ่นต้องไม่เคยเห็นมันมาก่อนอย่างแน่นอน และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอเลือกมัน
แต่ถึงแม้วิชาจะสมบูรณ์ มันก็จะไม่ถูกเปิดให้ศิษย์ทุกคนในปราสาทนภาอยู่ดี คนส่วนใหญ่จะได้ยินแค่ชื่อของมันเท่านั้น
หานเซิ่นไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันมาก เขาเชื่อว่ายวิ๋นซู่อียังไม่ได้ฝึกมันอย่างจริงจัง และนั่นเป็นเหตุผลที่มันมีปัญหา เขาไม่ได้คิดว่ามันมีปัญหาอะไรกับตัววิชา
“เทคนิคของมันซับซ้อนอย่างมาก ดังนั้นข้าคงจะบอกอะไรไม่ได้ เจ้าช่วยแสดงมันให้ข้าดูอีกครั้งได้ไหม?” หานเซิ่นไม่ได้ขอดูตำราของวิชา
วิชานี้ทัดเทียมกับวิชามีดเขี้ยวดาบ ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการฝึกฝนมัน แถมเขาเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง ดังนั้นการขออ่านวิชาจีโนอาจจะเป็นอะไรที่เสียมารยาทอย่างมาก
ยวิ๋นซู่อีตกลงที่จะแสดงวิชาใต้นภาอีกครั้งด้วยความยินดี
“มันมีปัญหาบางอย่างอยู่จริงๆ แต่ข้ายังไม่เข้าใจมัน ข้าจะพยายามคิดเกี่ยวกับมันดูเมื่อข้ากลับไปแล้ว” หานเซิ่นไม่ได้มุ่งเน้นที่การใช้มีดเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ในเรื่องการใช้มีด เขาไม่สามารถให้สัญญาได้ว่าจะแก้ไขปัญหาของมันได้
แต่มันมีลักษณะสามัญบางอย่างที่เชื่อมโยงทุกวิชาเอาไว้ และหานเซิ่นก็มีความรู้และประสบการณ์มากมาย ดังนั้นเขามีแผนจะพยายามแก้ไขปัญหาของมัน เพราะการพยายามแก้ปัญหาของมันจะส่งผลดีต่อวิชามีดของเขา ไม่ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
เพราะยังไงซะในช่วงนี้หานเซิ่นก็ใช้มีดมากกว่าอาวุธอื่นๆ และเขาก็ยังมีมีดเขี้ยวผีสิงที่เป็นอาวุธระดับราชัน ดังนั้นเขาจึงอยากเรียนรู้เกี่ยวกับวิชามีดมากขึ้น
“รบกวนด้วย” ยวิ๋นซู่อียิ้มและพาหานเซิ่นกลับไปส่ง เธอมีแผนที่จะใช้วิชานี้เป็นข้ออ้างในการพูดคุยกับหานเซิ่น เธอต้องการจะใกล้ชิดกับเขามากกว่านี้
เมื่อยวิ๋นซู่อีไปส่งหานเซิ่นเสร็จแล้วและกลับมาที่บ้านของตัวเอง ยวิ๋นซู่ซางก็มาปรากฏตัวในสวนของเธอ
“ซู่อี นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”
“เปล่าหนิ ข้าแค่ขอให้หานเซิ่นช่วยดูวิชาของข้าเท่านั้นเอง หลังจากนั้นข้าก็พาเขากลับไปส่งที่บ้าน” ยวิ๋นซู่อีพูด
ยวิ๋นซู่ซางมองไปที่ยวิ๋นซู่อีและพูด “ปัญหาของวิชาใต้นภาไม่มีทางแก้ไขได้เพียงแค่การมองแบบผิวเผิน ถ้าเขาทำแบบนั้นได้จริง ผู้อาวุโสหลายคนก็คงใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่าในการพยายามแก้ไขวิชาใต้นภา”
ยวิ๋นซู่อีหน้าแดง เธอพูดขึ้นว่า “ทำไมพี่ถึงต้องมาแอบดูพวกเราด้วย?”
“ซู่อี อย่าหลงลืมฐานะของตัวเอง เจ้าควรจะรู้ว่าอะไรที่เจ้าทำได้และอะไรที่เจ้าทำไม่ได้ หานเซิ่นไม่ใช่คนของปราสาทนภา เจ้าต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้นมีแต่จะทำให้เจ็บปวดเปล่าๆ” ยวิ๋นซู่ซางถอนหายใจ