98 – สัญญาณแห่งความโกลาหล
เมื่อพวกเขากลับมาถึงเมืองดีพสโตนอีกครั้ง คุดลาและพวกของเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกตัดออกจากโลกภายนอกมาเป็นเวลานาน เมื่อครั้งที่พวกเขายังติดอยู่ในถ้ำของสันเขาแห่งความเงียบ ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะออกมาเห็นภาพที่คุ้นเคยตรงหน้าอีกครั้ง ทหารรับจ้างบางคนที่รอดชีวิตมาได้ถึงกับร้องไห้ออกมาและคุกเข่าลงไปที่พื้น
คุดลาชะงักไปชั่วขณะ เขาทั้งโกรธแค้นและเสียใจ ระหว่างทางกลับ มีลูกน้องของเขา 2-3 คนบอกกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า พวกเขาจะออกจากกลุ่มทหารรับจ้างและลาออกจากการเป็นทหารรับจ้าง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยในกลุ่ม ทหารรับจ้างก็เป็นมนุษย์ ถ้าพวกเขาเฉียดใกล้ความตายบ่อยครั้ง เป็นปกติที่พวกเขาจะกลัวเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตของพวกเขา ในครั้งนี้พวกเขาโชคดีเพราะว่ามีกำลังเสริมมาจากสมาคมทหารรับจ้างมาช่วยพวกเขาได้ทัน แต่ครั้งต่อไปล่ะ? แล้วถ้ามีครั้งต่อไป มันจะเกิดอะไรขึ้น?
มันไม่ใช่เพราะแปลกที่พวกเขาบางส่วนจะยอมแพ้ต่อความกลัว แม้ว่าคุดลาเองจะพยายามหาวิธีมารั้งพวกเขาไว้มากแค่ไหน มันดูเหมือนจะไม่ได้ผลแล้ว สิ่งที่ทำให้เขากังวลคือจำนวนสมาชิกทหารรับจ้างในกลุ่ม มันลดลงในอัตราที่รวดเร็วมาก หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ บางคนเลือกที่จะออกไป นั่นหมายความว่ามีเพียง 3-4 คนเท่านั้นที่เหลืออยู่ ไม่ต้องพูดถึงคุดลาพบว่าแม้แต่ในบรรดาพวกเขาเอง ก็มีบางคนที่มีความคิดอยากจะออกเช่นกัน….
ปัญหาก่อนหน้านี้ของคุดลาไม่ใช่แค่ขาดกำลังคนในกลุ่มทหารรับจ้าง แต่เป็นเรื่องการคงของกลุ่มที่จะคงอยู่ต่อไปหรือไม่….
น่าเสียดายที่ตอนนี้ เขาไม่มีหนทางในการหยุดเรื่องพวกนี้ได้
“เฮ้อออ….”
คุดลาถอนหายใจและเงยหน้าขึ้น เขามองไปยังโรดส์และมาร์ลีนที่กำลังคุยกับอยู่อย่างลับๆ ครั้งนี้เขาได้เห็นความสามารถของโรดส์และกลุ่มทหารรับจ้างของเขาได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจำนวนของสมาชิกจะมีน้อยมาก ตามประสบการณ์ของคุดลา ภายใต้การสั่งการของโรดส์ ความสามารถที่คนเหล่านี้แสดงออกมานั้นเทียบเท่ากับกลุ่มทหารรับจ้าง 2 กลุ่มใหญ่ๆ คุดลาที่ไม่พอใจในตอนแรกก็เริ่มอดชื่นชมเขาไม่ได้ แม้ว่าเขายังสงสัยว่าทำไมโรดส์ถึงมีประสบการณ์มากมาย รวมถึงทักษะการสั่งการ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ทรงพลังมาก
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เขาหวังว่าเขาจะสามารถคุยกับโรดส์เรื่องที่ให้สมาชิกของเขาเข้าร่วมกับกลุ่มของโรดส์ แต่ตอนนี้ ความหวังสุดท้ายได้มลายหายไป เพราะเรื่องของแอน บรรยากาศระหว่างพวกเขาลดลงจนไปถึงจุดที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
ตลอดการเดินทางกลับ เห็นได้ชัดว่าโรดส์เมินเฉยราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน ยิ่งจอมเวทย์สาวนั้นยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ เธอมองมายังเขาและลูกน้องของเขา ใครก็ตามที่เห็นสายตานี้จะรู้ว่าเธอนั้นโกรธเคืองมาก แม้แต่เหล่านักบวชเองก็เย็นชาใส่พวกเขา คุดลาได้พยายามเข้าพูดคุยหลายครั้ง แต่ทุกครั้งจะถูกตอบกลับมาด้วยคำเหน็บแนม
สิ่งที่เขากังวลที่สุดไม่ใช่โรดส์และกลุ่มของเขา แต่เป็นเซเร็คและคนของทางสมาคมที่มาจากสมาคมทหารรับจ้างซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจต่อพวกเขามาก พวกเขาต้องรู้ว่าสมาคมทหารรับจ้างเป็นองค์กรที่สำคัญสำหรับพวกเขา เมื่อถูกขึ้นบัญชีดำ อนาคตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก
เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว อีกเหตุผลที่พวกเขาพยายามจะออกจากกลุ่มเพราะเรื่องนี้แหละ
“หัวหน้าคุดลา”
เมื่อคุดลาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เซเร็คเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“โรดส์และข้าจะกลับไปยังสมาคมทหารรับจ้าง เรื่องจากภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้วและพวกเจ้าทั้งหมดได้กลับมาอย่างปลอดภัย ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดกลับไปพักได้ แต่ข้าหวังว่าจะได้รับรายงานรายละเอียดในพรุ่งนี้เช้านะ ข้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณ”
“ครับ คุณเซเร็ค!”
คุดลาตอบกลับอย่างกังวล หลังจากได้รับการตอบของเขา สีหน้าของนักดาบก็ผ่อนคลายลง จากนั้นเขามองไปยังผู้คนด้านหลังคุดลาและยิ้มออกมาพลางส่ายหัว
“พวกเจ้าทั้งหมดเสียเวลามามากพอแล้ว ลืมเรื่องพวกนั้นไปซะ ข้าจะไม่พูดอะไรอีก แต่คุณคุดลา ข้าหวังว่าเจ้าจะควบคุมกลุ่มทหารรับจ้างของเจ้าให้ได้ด้วยตัวเองนะ เพราะว่าทางสมาคทได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการหาคนมาเพื่อช่วยพวกคุณ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณกับผู้ช่วยเหลือ…กลับทำให้ทางสมาคมรู้สึกอับอายอย่างมาก บอกตรงๆ คุดลา ข้าอยากเห็นความบริสุทธิ์ใจของเจ้า ข้าคิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกลุ่มทหารรับจ้าง”
“ครับ ท่าน ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านหมายถึงครับ ข้าจะจัดการปัญหานี้!”
คุดลาเข้าใจที่เซเร็คไม่พอใจและตอบกลับไปในทันที หลังจากที่ได้รับคำตอบ เซเร็คพยักหน้าอย่างพึงพอใจและหันกลับออกไป
ในขณะนั้นอีกด้านหนึ่ง โรดส์พูดกับมาร์ลีนเสร็จ พวกเขาทุกคนควรกลับไปที่สมาคมทหารรับจ้างเพื่อรับรางวัลจากประธาน แต่เนื่องจากแอนกำลังหลับอยู่ ไลซ์เองก็อยากอยู่ข้างเธอ ยิ่งไปกว่านั้น มาร์ลีนไม่ได้สนใจเกียรติของทหารรับจ้างแม้แต่น้อย นั่นทำให้เธอไม่สนใจในรางวัล ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าชายชราวอร์คเกอร์ไม่อยากจะไปที่สมาคมเพื่อรับรางวัล สำหรับเขา มันจะดีกว่าถ้าให้เขาได้พัก
นั่นเป็นเหตุผลที่โรดส์ปล่อยให้พวกเขากลับไปพักที่บ้านและตามเซเร็คไปตัวคนเดียว
สำหรับซีเลีย หลังจากที่พวกเขาออกมาจากสันเขาแห่งความเงียบ โรดส์เรียกเธอกลับและบอกคนอื่นว่าเธอกลับไปแล้ว หลังจากที่จบภารกิจ มันไม่ใช่เพราะวิญญาณอัญเชิญมีระยะเวลาจำกัด แต่เป็นเพราะพลังวิญญาณของโรดส์ไม่เพียงพอที่จะไปหล่อเลี้ยงพลังชีวิตของเธอ…
แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไป มาร์ลีนดึงเขาไว้และถามเขาเกี่ยวกับแอน สำหรับจอมเวทย์ เธอรู้โชคชะตาของแอนหลังจากที่ถูกเปิดเผยตัวตนดี ตอนนี้เธอกังวลว่าเมื่อคนพวกนั้นกระจายข่าวเรื่องตัวตนของเธอออกไป ผู้คนในเมืองดีพสโตนจะขอให้พวกเขาขับไล่เธอออกจากกลุ่มทหารรับจ้าง มาร์ลีนเองค่อนข้างกังวลว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
แต่โรดส์ไม่คิดแบบมาร์ลีน เขาปลอบมาร์ลีนและบอกเธอว่าความคิดของคนในเมืองอื่นๆเกี่ยวกับลูกครึ่งสัตว์นั้นไม่ได้แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองดีพสโตน ตราบเท่าที่แอนไม่สร้างปัญหา จะไม่มีใครทำอะไรเธอได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเธอ เขาสามารถขอให้ทางสมาคมทหารรับจ้างเข้ามาแทรกแทรงได้ ตราบเท่าที่แอนไม่ใช่ฝ่ายผิด
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของโรดส์ มาร์ลีนสงบจิตใจลง จากนั้นเธอเข้าไปในรถม้าและทิ้งคนอื่นๆไว้ ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะทำตัวคล้ายกับรองหัวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่ต้องสงสัย….
“คุณโรดส์?”
เมื่อโรดส์มองไปยังรถม้าที่เดินทางออกไปไกล เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกายเขา โรดส์หันกลับไป เขาเห็นเด็กสาวที่งดงามกำลังยืนอยู่ตรงหน้า มือของเธออยู่ไม่สุข ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา หลังจากที่สบการตากับโรดส์ เธอก้มหน้าลงอีกครั้ง
“มีปัญหาอะไรเหรอครับ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของโรดส์ เด็กสาวลังเลไปครู่หนึ่ง เธอสั่นและเดินถอยหลัง จากนั้นโรดส์พบเหล่านักบวชหลายคนไม่ไกลและกำลังยิ้มให้กับเด็กสาวตรงหน้าเขา เด็กสาวคนนั้นหันกลับไปชั่วครู่ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าและมองไปยังเพื่อนๆของเธอ จากนั้นเธอหันกลับมาหาโรดส์และเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเธอมีสีแดงระเรื่อ
“คือ-คือว่า…ก่อนหน้านี้…ที่สันเขาแห่งความเงียบ คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้จากอันเดดพวกนั้น ฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลยค่ะ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่หยาบคายมาก….ดังนั้นฉันรู้สึกขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะคะ…”
เมื่อพูดจบ เด็กสาวคนนั้นก้มหัวลงอีกครั้ง
เมื่อมองไปยังเด็กสาวที่กำลังเอียงอาย โรดส์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ดูเหมือนว่าด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างพวกเขา แม้ว่านักบวชเหล่านี้และไลซ์จะอ่อนแอ แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ขี้อาย แต่เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนกับดอกไม้ในเรือนกระจก…..พวกเธอทั้งสองนั้นไม่สามารถเทียบกันได้
“คุณไม่ต้องมาขอบคุณผมหรอก”
โรดส์โบกมือ
“ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมควรทำ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณอยากขอบคุณจริงๆ แอนเป็นอีกหนึ่งคนที่ควรได้รับมัน”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่กังวลอีกต่อไป
“ฉันได้คุยกับคนอื่นๆแล้ว ถ้าแอนตื่นขึ้นมา พวกเราจะไปพบเธอค่ะ ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ทำเพื่อพวกเราไว้มาก และพวกเราทั้งหมดต้องขอบคุณเธอเช่นกันค่ะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เด็กสาวหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อด้วยความเอียงอายเล็กน้อย
“แล้ว…คุณโรดส์ เรื่องเกี่ยวกับคุณแอน พวกเราทั้งหมดตกใจมากเลยค่ะ แต่พวกเรารับประกันได้ว่าพวกเราไม่กลัวคุณแอนเพราะเรื่องนี้หรอกค่ะ! พวกเราเป็นบวช ดังนั้นพวกเราต้องรักษาผู้คนมากมาย นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราเห็นได้ชัดว่าลูกครึ่งสัตว์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอย่างที่ตำนานได้กล่าวไว้และ…ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือของพวกเราในอนาคต ได้โปรดเรียกพวกเราได้ตลอดค่ะ ตราบเท่าที่พวกเราสามารถช่วยได้ พวกเราจะไปปฏิเสธอย่างแน่นอนค่ะ”
เด็กสาวพูดและโค้งไปยังโรดส์ จากนั้นเธอหมุนเดินกลับไปยังเพื่อนของเธอ ในครั้งนี้ เซเร็คอมยิ้มเล็กน้อยและปรากฎตัวต่อหน้าโรดส์
“การมีหน้าตาดีก็เป็นเรื่องดีแบบนี้ล่ะนะ แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะว่านักบวชพวกนี้มาจากสมาคมทหารรับจ้าง เจ้าจะมาเอาไปง่ายๆไม่ได้หรอกนะ ไม่งั้นเพื่อนข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ”
เมื่อได้ยินเรื่องตลกของเซเร็ค โรดส์กรอกตาไปมาและยักไหล่ ก่อนที่จะส่ายหัว
“ถ้ามันเป็นของของผม ผมจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมาเอาไปหรอก แต่ถ้ามันไม่ใช่ของของผม ต่อให้ผมอยากได้แค่ไหน ผมก็ไม่รับหรอกครับ ผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก คุณเซเร็ค”
“ถ้าเด็กพวกนั้นได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด พวกเธอคงจะเข้าใจผิดเป็นแน่ เอาล่ะ ปล่อยเรื่องไร้สาระไปเถอะ พวกเรามีสิ่งสำคัญต้องทำอีกไม่ใช่รึไง?”
จากด้านนอก สมาคมทหารรับจ้างดูเหมือนจะไม่แตกต่างไปจากเดิมเลย
แต่เมื่อโรดส์และเซเร็คเดินเข้ามาในห้องโถง พวกเขาพบบรรยากาศด้านในของสมาคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน
ในตอนนี้ ห้องโถงที่มีชีวิตชีวาไม่มีผู้คนคับคลั่งอีกต่อไป มีเพียงทหารรับจ้างบางกลุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะดูไม่มีชีวิตชีวา พวกเขาทั้งหมดต่างตัดพ้อไม่ก็ดื่มเหล้า เมื่อพวกเขารับรู้ได้ถึงตัวตนของโรดส์และเซเร็ค พวกเขาต่างเงยหน้าขึ้นมองและก้มหัวลงอย่างไม่มีชีวิตชีวา
โรดส์และเซเร็คมองไปยังพวกเขาทีละคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งสองเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่
เรื่องนี้เริ่มรุนแรงมากขึ้น
พวกเขาอยากได้รับการยืนยันจากประธานชรา
“พวกเราได้ตรวจสอบมาแล้ว แต่มันสายเกินไป”
ประธานชราที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ เขาดูแก่ลงกว่าเดิมกว่าปกติ ความกระชุ่มกระชวยที่เคยมีก็จางหายไป
“เนื่องจากข้าได้ส่งคำเตือนฉุกเฉินไปยังกลุ่มทหารรับจ้างทั้งหมด บอกพวกเขาถึงปัญหาและบอกให้พวกเขาหยุดภารกิจทั้งหมด แน่นอนโดยไม่มีบทลงโทษใดๆ แต่พวกเรายังคงช้าเกินไป มีกลุ่มทหารรับจ้าง 32 กลุ่ม รวมถึง ‘วิคตอเรียส ไวน์’
21 กลุ่มมีสมาชิกลดลงอย่างน่าเป็นห่วงอีก 3 กลุ่มถูกยุบ และ 5 กลุ่มสุดท้าย….ยังไม่มีข่าวจากสถานการณ์ของพวกเขา แต่ข้าคิดว่าพวกเขาคงหมดหวังแล้ว ตอนนี้ทั้งเขตพื้นที่ภาฟิวด์ รวมกลุ่มทหารรับจ้างสตาร์ไลท์ มีเพียง 4 กลุ่มเท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหาย”
ประธานชราขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาจริงจังอย่างมาก ขณะที่บอกข่าวร้าย
“ตามรายงานใหม่ ครั้งนี้….เป็นหายนะครั้งใหญ่หลวง ตั้งแต่ที่สมาคมทหารรับจ้างในเมืองดีพสโตนได้ก่อตั้งขึ้น จนถึงตอนนี้ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน! มันช่าง…เฮ้อ…!!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของชายชราเริ่มดำมืด เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเลวร้ายมากสำหรับเขา
“แล้วพวกมันได้รับประโยชน์อะไรจากการพยายามทำลายพวกเรา?”
เซเร็คลูบเคราและพึมพำออกมา
โรดส์ไม่ได้ตอบคำถามนี้ เขารู้เหตุผลที่เมืองดีพสโตนต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของประเทศแห่งความมืด แต่ตอนนี้เขาไม่มีเหตุผลต้องพูดเรื่องนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เซเร็คและประธานชราจะเชื่อเขา เขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ผู้คนมากมายนั้นคิดว่าพวกเขาสามารถหยุดศัตรูได้ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถหาสาเหตุพบ….อีกด้านหนึ่ง โรดส์รู้ว่าการหยุดยั้งศัตรูและหาสาเหตุไปด้วยไม่ใช่เรื่องที่สายเกินไป….เหมือนกับเรื่องราวในนิยายมากมาย ซึ่งนักโทษจะไม่สามารถถูกจับได้ ถ้าไม่สามารถหาสาเหตุจากสิ่งที่เขาทำได้ แน่นอนว่าโรดส์ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มทหารรับจ้างทั้ง 21 กลุ่มนั่น?”
โรดส์ถามเงียบๆ
“ครึ่งหนึ่งของพวกเขาก่อตั้งกลุ่มใหม่ บางส่วนไม่ยอมแพ้และวางแผนจะรับคนเพิ่ม ไม่ว่ายังไง จะเกิดตำแหน่งว่างใน 32 กลุ่มทหารรับจ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตำแหน่งว่างพวกนั้น?”
“ตามกฎแล้ว พวกเราจะพบชื่อของกลุ่มทหารรับจ้างบางกลุ่มที่เหลืออยู่ใส่ลงไปในตำแหน่งว่างพวกนั้น และกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆเองก็จะลำบากมากขึ้น บอกตรงๆ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ขัดจังหวะประธานชรา ใบหน้าของเขาดำคล้ำกว่าเดิม แต่มันยังต้องรักษาอารมณ์และพูดขึ้น
“เข้ามา”
ชายหนุ่มอายุราว 27 ปีเดินเข้ามาด้านใน
เขาสวมชุดเกราะสีแดงที่ปลดปล่อยแสงเวทมนตร์อ่อนๆออกมา มันเป็นหลักฐานว่าชุดเกราะชิ้นนี้ราคาสูงมาก ดาบสีเขียวและมีดสั้นสีดำที่แขวนอยู่ที่ข้างเอวของเขา ใบหน้าที่หล่อเหลาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาหรี่ตาลงและมองออกมาอย่างสงบนิ่ง
ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหาทั้งสามในห้อง เขาประหลาดใจเล็กน้อบ แต่ยังคงยิ้มออกมาและเดินตรงไปยังประธานชรา ก่อนจะโค้งเคารพและส่งม้วนกระดาษในมือของเขาไปให้
“เรียนท่านประธาน ผมเป็นตัวแทนของกลุ่มทหารรับจ้าง ‘เจดเทียร์’ ผมมายื่นเรื่องตั้งกลุ่มครับ และนี่คือแบบร่างของพวกเรา”
“โอ้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ประธานชรารับม้วนกระดาษมาจากมือของเขาและมองไปที่มัน เขาพยักหน้า ก่อนที่จะหยิบปากกาด้านข้างออกมาเซ็นชื่อของเขาลงไป
“ได้ ไม่มีปัญหา สมาคมทหารรับจ้างได้รับรู้ว่า ‘เจด เทียร์’ ได้ทำการตั้งกลุ่มใหม่อีกรอบอย่างเป็นทางการ นับแต่นี้ไป เจ้าสามารถแสดงตัวในฐานะกลุ่มทหารรับจ้างได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตามกฎและไม่ทำสิ่งที่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเรานะ”
“ได้โปรดมั่นใจครับ ท่านประธาน พวกเราจะทำหน้าที่ของพวกเราให้ดีที่สุด”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มโค้งคำนับ จากนั้นเขามองไปยังเซเร็คด้วยสีหน้าจริงจัง
“เป็นเกียรติของผมมากที่ได้พบคุณเซเร็ค ผมไม่คิดว่าผมจะได้พบคุณที่นี่ ถ้าคุณมีเวลา รบกวนคุณมาที่กลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์ของพวกเราหน่อยนะครับ ตอนนี้กลุ่มของพวกเราตกต่ำมาก ถ้าคุณไปปรากฎตัวที่นั่น ผมคิดว่าจิตวิญญาณของพวกเขาจะตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งแน่ๆครับ”
“ข้าจะพิจารณาคำเชิญของเจ้า”
เมื่อพูดจบ เซเร็คพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรต่อ ชายหนุ่มดูเหมือนไม่ตอบอะไร เขามองไปรอบๆและไปหยุดที่โรดส์ เมื่อคิดได้ เขายื่นมือออกไปที่เด็กหนุ่มอย่างอบอุ่น
“คุณคงเป็นคุณโรดส์สินะครับ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างในข่างลือที่ถูกส่งไปที่สันเขาแห่งความตายไปทำปฏิบัติการช่วยเหลือ ยินดีที่ได้พบคุณอย่างมากครับ ชื่อของผมคือ….”
“คุณแฟรงค์ เชลิส”
โรดส์ยืนขึ้นและจับมือของเขา แต่เขานั้นไร้อารมณ์มาก ขัดกับใบหน้าของคนตรงข้ามที่ดูอบอุ่นมาก
“แปลกใจเหมือนกันนะครับที่ได้พบทายาทคนที่ 3 ของตระกูลทรงเกียรติอย่างเชลิสที่นี่ ไม่ใช่ว่าคุณควรอยู่ที่เมืองบาร์ซเหรอ คุณมาทำอะไรที่เมืองดีพสโตนเหรอครับ? ผมจำได้ว่าตระกูลของคุณมีชื่อเสียงเรื่องการทำธุรกิจมาก แล้วพวกเขาสนใจในตัวทหารรับจ้างตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที