64 – เข้าสู่เทือกเขา
ประกายแสงแดดส่องผ่านช่องว่างระหว่างก้อนเมฆ
โรดส์หยุดเดิน เขาจ้องมองไปยังเส้นทางขึ้นนินเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาหันกลับและมองไปยังเด็กสาวที่กำลังสูดลมหายใจอยู่ด้านหลังเขา
“คุณมาร์ลีน เดินให้เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
“เดี๋-เดี๋ยวก่อน…ให้ฉัน…หายใจหน่อย…”
สภาพของมาร์ลีนในตอนนี้ เสื้อคลุมของเธอเปื้อนไปด้วยคราบโคลน กิ่งไม้และใบไม้มากมาย เช่นเดียวกับใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอสูญเสียภาพลักษณ์ที่สง่างามของเธอไปจนหมดสิ้น ถ้ามีใครมาเห็นสภาพที่น่าสงสารของเธอตอนนี้ พวกเขาคงคิดว่าเธอเพิ่งกลับมาจากสงคราม แต่ในความเป็นจริง เธอแค่ปีนเขาเท่านั้น
“ฉัน…ไม่เคยคิด…ว่ามันจะ…เหนื่อยขนาดนี้….”
เธอพูดและหายใจ ขณะที่เธอกำลังปีนขึ้นมาอย่างช้าๆ ความกระตือรือร้นที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เมื่อโรดส์เห็นเธอในสภาพนี้ เขาเริ่มเสียใจที่พาเธอมา ความแข็งแรงเป็นจุดอ่อนของจอมเวทย์ เขาลืมเรื่องนี้ไปอย่างชัดเจน
ระหว่างทำภารกิจก่อนหน้านี้ มาร์ลีนไม่ได้ตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้เพราะเธอใช้เวทมนตร์ของเธอลอยขึ้นไปตามทางลาดชัน อย่างไรก็ตาม เส้นทางขึ้นเขาบริเวณนี้ชันมาก เธอจึงปฏิเสธที่จะใช้เวทมนตร์และเลือกเดินแทน และนั่นทำให้เธอหมดแรง
ในตอนแรกที่เริ่มปีน เธอมีความกระตือรือร้นมาก เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกสำรวจป่าโดยไม่มีทหารคุ้มกัน อิสรภาพที่ได้รับมานืทำให้เธอมีชีวิตชีวากว่าโรดส์มาก
น่าเสียดายที่ความกระตือรือร้นไม่สามารถกินและเปลี่ยนเป็นพลังงานได้
ดังนั้นความกระตือรือร้นของเธอค่อยๆจางหายไปและกลายเป็นความทุกข์ทรมาน
ถนนที่ขรุขระ พุ่มไม้หนา หนามของต้นไม้….การมองดูธรรมชาติจากระยะไกลเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่การเดินผ่านพวกมันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และแย่ลงไปอีก เมื่ออยากจะนั่งพัก ตามคำแนะนำของโรดส์ เธอต้องตรวจสอบพื้นที่รอบๆอย่างระมัดระวังว่ามีงูพิษอยู่ใกล้ๆรึเปล่า
ขอบคุณดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยฉันก็มีเวลามากพอที่จะเขียนหลุมฝังศพของตัวเอง
มาร์ลีนเหนื่อยและเวียนหัวอย่างมาก เธอรู้สึกแย่ยิ่งกว่าการเรียนหนังสือกฎเวทมนตร์ 1,000 เล่มในหอคอยเวทมนตร์
“ฉันไม่รู้จริงๆว่าไลซ์ปรับตัวเข้ากับชีวิตแบบนี้ได้ยังไงกัน”
สุดท้ายมาร์ลีนเลือกที่จะไม่นั่งบนพื้น แต่เลือกที่จะยืนพิงต้นไม้แทน
“เธอต้องทรมานมากแน่ๆ…เมื่อก่อนเธอเป็นเด็กขี้แยอยู่เลย”
“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้”
โรดส์พูดอย่างห้วนๆ เขากำลังเปรียบเทียบภูเขาลูกนี้กับ ‘ความจำในเกม’ ของเขา จากนั้นเขาวางมือบนฝักดาบที่อยู่บนเอวของเขา ดาบเล่มนี้เป็นของขวัญจากเคลย์เตอร์ เห็นได้ชัดว่าตระกูลเคลเลอร์รู้สึกขอบคุณโรดส์มาก และตอบแทนโดยการมอบอาวุธเวทมนตร์ให้
เมื่อเทียบกับเครื่องหมายแห่งดวงดาว การปรากฏตัวของ ‘น้ำตาเลือด’ ซึ่งเป็นดาบจากยุคกลาง ตัวดาบมีสีแดงเข้มและมีเวทมนตร์หายากที่ใกล้เคียงกับชื่อของมัน เมื่อดาบเล่มนี้ได้สัมผัสกับเลือด มันจะแหลมคมมากขึ้นและทนทานขึ้น อาวุธที่เพิ่มความแข็งแกร่งได้นั้นหายากและเป็นที่ต้องการอย่างมาก
โรดส์ยอมรับของขวัญชิ้นนี้อย่างเปิดเผย ในขณะที่เครื่องหมายแห่งดวงดาวยังคงเป็นที่ชื่นชอบของเขา แต่มันกินช่องอัญเชิญของเขา เขารู้สึกว่ามันเสียเปล่ามาก วงเวทย์ของนักดาบอัญเชิญที่โรดส์ครอบครองอยู่นั้นคือ ‘สิบเด็ควิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด’ เขาสามารถตัดสินใจใส่มันเป็น ‘การ์ดหลัก’ ได้ถ้าเขาต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ในกองทัพ ถ้าเปรียบเทียบโดยให้ผู้เล่นเป็นผู้บัญชาการ และวิญญาณอัญเชิญเป็นทหาร ‘การ์ดหลัก’ เปรียบเสมือนหัวหน้าหมวด เมื่อการ์ดหลักถูกติดตั้ง วิญญาณอัญเชิญนั้นสามารถถูกอัญเชิญขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใช้พลังวิญญาณ ถ้าพลังของพวกมันหมด พวกมันจะกลับเข้ามาในวงเวทย์และขึ้นว่า ‘เติมพลังงาน’ ก่อนจะสามารถเรียกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
สำหรับคลาสนักดาบอัญเชิญ การตัดสินใจเลือกการ์ดหลักเป็นสิ่งที่สำคัญและต้องระวังให้มาก เมื่อการ์ดหลักถูกตั้งขึ้น มันจะไม่สามารถเปลี่ยนได้จนกว่าผู้เล่นจะลบทิ้ง นั่นเป็นสาเหตุที่โรดส์จึงยังไม่เลือกติดตั้งเครื่องหมายแห่งดวงดาวเป็นการ์ดหลัก เพราะระดับของเขายังต่ำอยู่ ถ้าเขาพบเจอการ์ดที่ดีกว่าในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไป
โรดส์เคยทำเรื่องนี้ผิดพลาดมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสองแน่นอน
มาร์ลีนพูดต่อ “แต่เธอดู…แปลกๆไปนะ”
“จริงรึ?”
โรดส์แปลกใจเล็กน้อย
ไลซ์ดูแปลกไปเหรอ? ทำไมเขาไม่รู้สึกแบบนั้น?
“ฮืมมม….ฉันจะบอกยังไงดี…”
มาร์ลีนขมวดคิ้วและกำลังหาวิธีอธิบายมันออกมา แต่สุดท้ายเธอไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
“ฉันบอกไม่ถูก แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเธอแปลกไปจากเดิม ยิ่งกว่านั้น….ไม่รู้สิ”
มาร์ลีนจำได้ว่าตอนที่เธอกำลังจะออกไปทำภารกิจกับโรดส์ ไลซ?กำมือแน่นราวกับกำลังลังเลว่าจะพูดบางอย่างออกมา แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้พูดอะไรและออกไป ในฐานะผู้หญิงเธอรู้ว่าไลซ์อิจฉาและกังวลในเวลาเดียวกัน แต่มาร์ลีนไม่รู้เหตุผลว่าทำไม
เป็นเพราะเธออยากตามมาด้วย ทำไมเธอคลั่งเหรอ? แต่ไลซ์ไม่ใช่คนแบบนั้น…
มาร์ลีนเด้งตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน
คลื่นเวทมนตร์พุ่งไปในอากาศ ส่งสัญญาณไปยังร่างกายของเธอ ทำให้เธอตอบสนองในทันที
โรดส์สังเกตได้ว่าร่างองมาร์ลีนกระตุกเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มีคนกำลังมา”
มาร์ลีนหันหัวกลับไปและมองไปยังภูเขาด้านล่างที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้
“การตรวจจับของฉันบอกว่ามีคนกำลังมาทางพวกเขา หนึ่ง…สอง…สาม สามคน แต่มีโอกาสจะเพิ่มมากขึ้น…”
“พร้อมแล้ว ไปกันเถอะ”
โรดส์ขับด้ามของดาบ
“ทำตามแผนที่วางไว้”
“เข้าใจแล้ว”
มาร์ลีนรับคำสั่งและยกไม้คทาขึ้นและชี้ไปยังต้นไม้ข้างเธอ เครื่องหมายลึกลับสว่างขึ้นและฝังลงไปยังลำต้นของต้นไม้
“ไปกันเถอะ”
“ทำไมพวกเราไม่ซุ่มโจมตีและฆ่าคนพวกนี้ไปเลยล่ะ?”
มาร์ลีนถามคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ ในความคิดของเธอคนพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่ง ถ้าโรดส์และเธอร่วมมือกัน พวกเขาสามารถกำจัดคนพวกนี้ได้ง่ายๆ ดังนั้นทำไมพวกเขาต้องกลัวคนพวกนี้ด้วย? นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ
“ง่ายๆ เพราะที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองดีพสโตน”
โรดส์ตอบคำถามโดยปราศจากความลังเล
“ถ้าพวกเราจัดการพวกมันตอนนี้ คนพวกนี้จะส่งสัญญาณขอกำลังเสริมทันที จากนั้นพวกเราจะสูญเสียความได้เปรียบ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกมันไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ซ่อนของพวกมัน ให้คนพวกนี้ตามเราลึกลงไปโดยที่พวกมันไม่ทันระวังตัว ถ้าพวกมันรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ การขอกำลังเสริมจะใช้เวลานาน ดังนั้นแทนที่จะจัดการพวกมันที่นี่ พวกเราเดินทางต่อไปโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการซุ่มโจมตีดีกว่า”
“ฉันเห็นด้วย…”
มาร์ลีนพยักหน้าและไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแผนอีกต่อไป เธอสามารถเดาได้ว่าโรดส์วางแผนอะไรไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอค่อนข้างรำคาญเหงื่อที่ไหลลงมาบนใบหน้าของเธอ
“แต่ถ้าคุณแค่มองหาสมุนไพรเวทมนตร์ พวกเราต้องเดินเข้ามาลึกขนาดนี้เลยเหรอ?”
พวกเขาเดินขึ้นภูเขามาตั้งแต่เช้า และมาร์ลีนเหนื่อยจะตายแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องเข้ามาในป่าลึก ในเมื่อมีสมุนไพรมากมายที่รอบๆป่า
“แน่นอน ถ้าพวกเรามองหาสมุนไพรเวทมนตร์ พวกเราไม่ต้องเข้ามาในป่าลึก แต่บังเอิญ ผมไปเจอแผนที่ขุมสมบัติที่ชี้ไปยังป่าราตรี ถ้าพวกเราหาพบ มันจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของเรา”
สีหน้าของโรดส์เฉยชาเหมือนเดิม มันไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาโกหก และเนื่องจากมาร์ลีนเชื่อใจการตัดสินใจของเขา เธอจึงหยุดสงสัยในสิ่งที่เขาทำ
“สมบัติเหรอ?”
ดวงตาของมาร์ลีนเปล่งประกายครู่หนึ่ง เธอนึกไม่ออกว่าสมบัติแบบไหนที่ถูกฝังไว้ที่นี่ เรื่องราวการผจญภัยในจินตนาการที่เธอเคยอ่านมาทำให้เธอไม่เชื่อเรื่องพวกนี้แม้แต้น้อย แต่เมื่อไปที่สุสานใต้ดิน การล่าสมบัติเริ่มฟังดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
“แล้วเราจะไปทางไหนต่อ?”
“ทางเหนือ”
โรดส์ชี้ไปด้านหน้า