111 – เปลวเพลิงแห่งความแค้น
ภายในห้องมืด
บรรยากาศกดดันทำให้ทุกๆคนไม่สามารถหายใจออกมาได้
“ไอ้ชั่*นั้นมันพูดอะไรนะ?!”
แฟรงค์บีบเตียงและกัดฟันกรอด ใบหน้าที่หล่อเหลาเมื่อก่อนของเขาตอนนี้ถูกห่อไปด้วยผ้าพันแผล
“ครับ ท่าน”
ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงพูดพร้อมก้มหัวลง
“ได้ ได้เลย..….”
แฟรงค์กัดฟันและพูดกับตัวเอง จากนั้นเขาบีบกำปั้นและฟาดไปลงที่เตียง
“ไอ้ชั่วนั่นมันคิดอะไรของมัน! หืมม! มันเป็นแค่ขุนนางชั้นต่ำในประเทศป่าเถื่อนนั่น กล้าดียังไงมาต่อต้านข้า!”
ชายคนนั้นตัวสั่นขณะที่เจ้านายของเขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
สำหรับคนรับใช้ที่ติดตามแฟรงค์มาตั้งแต่้ขายังเด็ก เขารู้ถึงอดีตของแฟรงค์ดี ในบาร์ซ แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทลำดับที่ 3 ของตระกูลชั้นสูง แต่เขาไม่เคยได้รับความเคารพจากตระกูลของเขาเลย แฟรงค์ไม่ได้รับความสนใจเพราะว่าเขาไม่ได้โดดเด่นเหมือนกับพี่ชายทั้งสองคน แม่ของเขาเป็นคนอ่อนแอและไม่แม้แต่จะต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองในตระกูล แล้วจะให้เธอช่วยลูกชายของเธอน่ะหรือ?
หลังจากความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างเขาและครอบครัว แฟรงค์เลือกที่จะออกมา จากตอนนั้น เขาได้สาบานกับตัวเองว่าเขาจะต้องประสบความสำเร็จก่อนที่จะไปทวงสิ่งที่เคยเป็นของเขาคืน เพื่อสำเร็จเป้าหมายนั้น เขาฝืนตัวเองให้อดทนต่อความอัปยศและความขมขื่นมาตลอดทาง ท้ายที่สุดเขาก็ได้คว้าโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวมาไว้ได้ และตราบเท่าที่เขาทำภารกิจนี้สำเร็จ เขาจะสามารถกลับไปยังบ้านเกิดของเขาด้วยความเชิดหน้าชูตา
เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำโดยไม่ต้องกังวลถึงพี่ชายทั้งสอง แม่ของเขาจะไม่ต้องทนทรมาณเป็นคนรับใช้อีกต่อไป
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาถึงมาที่เมืองดีพสโตนและทำงานกับทหารรับจ้างเหล่านี้
คล้ายกับคนส่วนใหญ่ที่มาจากประเทศแห่งแสง แฟรงค์มีความปรปักษ์ชัดเจนต่ออาณาจักรมันน์ ในความคิดของเขา อาณาจักรมันน์เต็มไปด้วยพวกขี้ขลาด พวกเขาขายดวงวิญญาณเพื่อแลกกับเงิน คนพวกนี้เป็นเหมือนปลิงที่ไม่มีอนาคตและความหวังที่อยู่ตามถนน พวกเขาหันไปเดินตามเพียงคนที่มีเงินมากที่สุด ทำเหมือนตาบอด หูหนวก ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองร่ำรวย
อย่างไรก็ตามเพื่อประโยชน์ในอนาคตของเขา เขาไม่มีทางเลือกได้แต่อาศัยอยู่กับพวกขี้ขลาด ภายนอกนั้น เขาทำงานหนักให้ดูคล้ายกับคนอื่นๆ แต่ในจิตใจของเขาแล้ว แฟรงค์ไม่เคยรู้สึกอะไรเลยนอกจากดูถูกคนพวกนี้ จากการรับรู้ของเขา พวกเขาไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องมือที่ให้เขาใช้เพื่อปูทางไปสู่ความสำเร็จ
ตามแผนแล้ว เขาต้องยึดกลุ่มทหารรับจ้างเจดเทียร์เอาไว้ให้ได้ ซึ่งเขาทำได้แล้ว แฟรงค์อยากทำภารกิจนี้ให้เสร็จภายใน 1 ปี ตราบเท่าที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น….
แต่การมาของคนๆหนึ่งที่ชื่อ โรดส์ ที่ปรากฎตัวมาจากไหนไม่รู้และเข้ามาทำลายความหวังและความฝันของเขา
แฟรงค์ไม่เคยเฉียดตายมากขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าเขาจะทำงานเป็นทหารรับจ้างมาเป็นเวลา 1 ปีและเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายมานับไม่ถ้วน มันไม่น่าหวาดกลัวเหมือนกับที่เขาได้เผชิญหน้ากับโรดส์
โชคดี เขารอดชีวิตมาได้
ถ้าคนๆนั้นไม่ปรากฎตัวขึ้นมาข้างเขา เขาอาจจะกลายเป็นศพไปแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องความตาย ร่างกายของเขากลับมาสั่นอีกครั้ง แต่ว่าเขาเริ่มสงสัยในบางสิ่ง
ชายคนนั้น…โรดส์….ทำไมมันถึงอยากฆ่าเขามากขนาดนี้? มันเป็นเพราะการประกาศสงครามเหรอ? นั่นมันไม่ถูกต้อง….มันไม่ทำเกินไปหน่อยรึ?
มันไม่กลัวถูกหักหลังจากกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆเหรอถ้ามันฆ่าเขา? หรือมันบ้าไปแล้ว?
ข้อมูลที่เขาได้รับมาจากคลินตันบอกมาว่า โรดส์ไม่ใช่คนง่ายๆ ตามที่คลินตันพูดมา เขาได้ส่งผู้ติดตามไปสังหารโรดส์ แต่คนที่ส่งไปทั้งหมดกลับถูกฆ่าแทน
บางที….มันอาจจะรู้ภารกิจของเขา….?
เมื่อเขาคิดถึงความเป็นไปได้ที่ภารกิจของเขาจะรั่วไหลออกไป แฟรงค์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง
งั้นก็หมายความว่ามันรู้แผนของเขาทั้งหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงชิงโจมตีก่อนรึ?
“เหตุการณ์ในเมืองดีพสโตนเป็นอย่างไรบ้าง? มีข่าวอะไรใหม่บ้างไหม? คลัซ”
“สมาคมทหารรับจ้างได้มีประกาศออกมาเท่านั้นครับ”
“ว่ามา”
แฟรงค์ขมวดคิ้วหลังจากได้รับรายงานจากสมาคมทหารรับจ้าง ถ้าชายคนนั้นรู้แผนของเขา เมืองดีพสโตนควรที่จะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หรือพวกมันกำลังรอให้เขาก่อเรื่องผิดพลาด? หรืออีกด้านหนึ่ง มีโอกาสที่เขาจะคิดมากเกินไป
ในกรณีนี้ กฎระเบียบใหม่ของสมาคมทหารรับจ้างจะส่งผลให้การดำเนินการขั้นต่อไปในแผนการของเขาทำได้ยากขึ้น
เขาควรทำอย่างไรดี?
“ส่งคนไปติดตามรังหมาป่าและรายงานสถานการณ์ให้พวกเขา”
“ครับ”
หลังจากรับคำสั่งของแฟรงค์ ชายคนนั้นก้มตัวลงและเดินออกไป แต่ในขณะนั้น แฟรงค์เรียกเขากลับมาอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน แล้วมีข่าวอะไรเกี่ยวกับสตาร์ไลท์บ้างไหม?”
“พวกเขาได้ออกไปจากเมืองดีพสโตนแล้วครับ”
.”เอ๋?”
แฟรงค์ยกคิ้วขึ้นทันที
“แล้วพวกมันไปที่ไหน?”
“ตามรายงาน พวกเขาได้มุ่งหน้าไปยังป่าราตรีครับ แต่สำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ….ผมไม่รู้ครับ”
“ป่าราตรีรึ? เดี๋ยวนะ ข้าจำได้ว่า….”
แววตาดีใจปรากฎขึ้นในดวงตาของแฟรงค์ เขาฝืนตัวเองลุกขึ้นและมองไปยังผู้ติดตามของเขา
“ไปตามคลินตันและบอกเขาเกี่ยวกับสตาร์ไลท์ในป่าราตรี…และข้าอาจ…..”
คำพูดสุดท้ายเบาบางจนแทบไม่ได้ยิน แต่สีหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยเจตนามุ่งร้าย
ในขณะเดียวกัน โรดส์ได้เริ่ม ‘การฝึกพื้นฐาน’ ให้กับแรนดอฟและคนอื่นๆ
โรดส์ไม่เพียงแต่มอบหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่บอกพวกเขาเกี่ยวกับความสามารถทั้งหมด แต่มันเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการพัฒนาความแข็งแกร่งอีกด้วย
ในยุคนี้ การฝึกฝนสกิลเป็นเรื่องง่ายมาก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเรียนเทคนิคต่างๆจากอาจารย์ได้ แต่ความสามารถในการผสานสกิลเป็นอีกปัญหาหนึ่ง นี่เป็นเพราะตัวละครของทุกคนและสไตล์การต่อสู้นั้นแตกต่างกัน ดังนั้นวิธีการสอนของอาจารย์ต่างๆจึงแตกต่างกันไปด้วย
ทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และสิ่งที่จะทำให้มันสมบูรณ์แบบคือประสบการณ์ อ้าวอิงจากผู้คนที่เดินทางไกลและออกผจญภัยเพื่อสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้จริง ระหว่างการเดินทางนั้นพวกเขาจะค่อยๆชำนาญสกิลนั้นๆและพัฒนาสไตล์การต่อสู้ส่วนตัว นั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำไมนักผจญภัยต้องออกเดินทาง นั่นเพราะประสบการณ์การต่อสู้นั้นมาจากการฝึกฝนและประสบการณ์ต่อสู้ที่มาจากการต่อสู้เฉียดตายนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
บางทีหลังจากใช้เวลาหลายปี แรนดอฟและคนอื่นๆจะชำนาญการใช้สกิลของพวกเขาและพัฒนาแนวทางการต่อสู้ของตนเองออกมา แต่โรดส์ไม่สามารถนานขนาดนั้นได้ เมื่อตัดสินจากระดับสกิลของพวกเขาในตอนนี้ พวกเขาอาจจะตายตั้งแต่เริ่มผจญภัยมากกว่าประสบความสำเร็จ
กระดาษที่เขาส่งมาให้แรนดอฟและคนอื่นๆอ่านนั้นคือ ‘ระดับทั้งหมด’ กลยุทธ์ที่เขาพัฒนามาจากผู้เล่นจำนวนหลายล้านคน
แม้ว่ามันจะเป็นเพียง ‘ระดับทั้งหมด’ มันได้บันทึกพื้นฐานทั้งหมด รวมถึงวิธีการใช้ ใน Dragon Soul Continent Online ถ้าผู้เล่นอยากเล่นให้เก่ง คนเก่าๆมากมายบอกพวกนั้นว่าให้มองหาหนังสือแนวทางสำหรับมือใหม่ ถ้าพวกเขาเข้าใจแนวทางและพื้นฐานได้ดี การเอาชนะดันเจี้ยนทั้งหมดก็ไม่ใช่ปัญหา
ถ้าสกิลเป็นภาษา มันจะต้องคิดเป็นคำๆ และเมื่อนำมารวมกัน คำเหล่านั้นจะรวมเป็นประโยคและความหมาย ถ้าคนๆหนึ่งอยากเปลี่ยนคำให้กลายเป็นประโยคที่ลื่นไหลพร้อมด้วยคำศัพท์ที่สละสลวย นั่นก็เหมือนกับใช้งานสกิลในระดับสูง
เมื่อดูเนื้อหาแล้ว แรนดอฟและคนอื่นๆที่ดูเหมือนเด็กซึ่งเริ่มหัดเรียนภาษาและไม่สามารถสะกดคำออกมาได้ ดังนั้นวิธีที่จะสอนภาษาให้กับเด็กพวกนี้ล่ะ? โดยการให้พวกเขาพูดซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าพวกเขาจะเข้าใจมันทั้งหมด
ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถเรียนคำศัพท์เหล่านั้นได้ พวกเขาจะสามารถสร้างประโยคของตัวเองได้ สำหรับพวกเขาที่จะสามารถตีความของประโยคได้ไหมนั้น…..นั่นเป็นเรื่องที่โรดส์ยังไม่ได้คิด ยังไงก็เถอะ ได้เวลาเริ่มแล้ว!
และหลังจากนี้ไป โศกนาฏกรรมก็ได้เริ่มขึ้น
โรดส์ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆกับพวกเขาว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทำแบบนี้ ในขณะเดียวกันพวกเขาไม่ได้ร้องขอเหตุผล ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถอ่านและทำตามได้อย่างถูกต้อง พวกเขาจะเข้าใจเหตุผลตามมาโดยธรรมชาติ ในความคิดของโรดส์ วิธีการฝึกนี้เป็นวิธีที่ดีกว่าการนำกลุ่มมือใหม่เข้าดันเจี้ยน
เช้าวันต่อมา ภาพแปลกๆได้ปรากฎขึ้นที่ค่ายที่พักของสตาร์ไลท์
แรนดอฟที่ก้มตัวลงและกระโดดขึ้น ในขณะเดียวกัน เขาดึงคันธนูออกมาและเล็งไปที่ต้นไม้ด้านหน้าของเขา หลังจากยิงเสร็จ เขาไม่ได้หยุดและกลิ้งกลับหลังไปในทันที ด้วยการเคลื่อนไหลที่รวดเร็วนี้ มือซ้ายของเขาได้คว้าลูกธนูอีกลูและง้างยิงออกมาอีกครั้ง
สำหรับนักดาบเกราะหนัก แอนดอนได้ทำชุดการเคลื่อนไหวซ้ำๆซากๆกับดายและโล่
ไปข้างหน้า ถอยหลัง เหวี่ยงดาบไป ป้องกัน หมุนตัว เหวี่ยงดาบไปอีกครั้ง
เขาทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกภายใต้แสงอาทิตย์ร้อน เหงื่ออาบชุ่มไปทั่วหน้าผากของเขา ดวงตาของเขาเองยังจับจ้องไปยังพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าราวกับกำลังมีศัตรูรอโจมตีเขาอยู่
โจอี้เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาไม่ได้มีรอยยิ้มผ่อนคลายบนใบหน้าอีกต่อไป ในขณะนั้น เขากำลังขมวดคิ้วและพุ่งเป็นวงกลมอย่างปรากเปรียดและกวัดแกว่งกริชไปด้านหน้า
ข้าจะบอกให้นะ ไอ้หนุ่ม วิธีนี้มันจะได้ผลจริงๆรึ?”
ชายชราวอร์คเกอร์พูดด้วยความกังวล ขณะเขามองไปยังชายทั้งสามที่กำลังฝึกอย่างต่อเนื่อง
“ในสนามรบจริงๆทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอด พวกเขาจะใช้การเคลื่อนไหวพวกนี้รับมือได้ทุกสถานการณ์ได้อย่างไร? ถ้าศัตรูไม่ได้ต่อสู้ในลักษณะนั้น พวกเขาไม่จบสิ้นเลยรึ?”
“ผมไม่ได้สนใจวิธีที่พวกเขาต่อสู้ แต่ผมต้องบอกถึงสิ่งที่พวกเขาต้องทำ นี่เป็นความต้องการของผม”
ชายชราหมดคำพูด เมื่อได้ยินคำตอบของโรดส์ หลังจากนั้นเขากรอกตาไปมาและมองไปยังโรดส์ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ
“อ่า…พอเถอะ ไอ้หนุ่ม ข้าอยากรู้เหตุผลของเจ้า มันแปลกมาก มันจะไม่มีปัญหาเลยถ้ามันไม่ใช่วิธีการต่อสู้ที่ไม่มีการยืดหยุ่นแบบนี้”
“นั่นเป็นปัญหาของผม ไม่ใช่คุณ วอร์คเกอร์ เรื่องที่ผมขอให้คุณไปทำก่อนหน้านี้เป็ยยังไงบ้าง?”
วอร์คเกอร์มองไปยังเขาและยืนขึ้น
“ข้าเจอสถานที่ที่ตรงกับความต้องการของเจ้า และข้าได้รวบรวมข้อมูลบางส่วนมา เนื่องจากคนพวกนั้นจัดการได้ไม่ง่าย….แต่เจ้าตั้งใจจะ….”
ชายชราวอร์คเกอร์หมดคำพูด เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของโรดส์ เขารู้คำตอบนั้นทันที เขายักไหล่และไม่กวนเขาต่อ
“ยังไงก็เถอะ รับไปและข้าจะไม่พูดถึงมัน แต่ไอ้หนุ่ม ไลซ์ในหลายวันมานี้ดูเธอเศร้าๆนะ ถ้าเจ้าพอมีเวลา เจ้าควรไปหาเธอหน่อย เจ้าควรรู้ว่าขวัญกำลังใจเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ในทหารรับจ้างทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกับปัญหาจริงจังอย่างไลซ์….”
วอร์คเกอร์ยินขึ้นและใช้มือจับไหล่ของโรดส์ ก่อนจะหันหน้าและเดินออกไป เขาเชื่อว่าเขาไม่ต้องทำสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเพราะเขาเข้าใจดีว่าโรดส์ไม่ใช่คนประเภทนั้น
โรดส์ไม่ได้ตอบ เขาเพียงเหลือบมองไปยังค่ายที่พัก
ที่นั่นมีเด็กสาวสวย 3 คนในกลุ่มทหารรับจ้างกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน
โรดส์ไม่ได้มอบหมายภารกิจอะไรให้หญิงสาวทั้งสามคน หลังจากที่รู้จักกับพวกเธอมาครู่ใหญ่ โรดส์เข้าใจบุคคลิกและเทคนิคของแต่ละคน ไลซ์ค่อนข้างพิเศษ เธอจัดการคูลดาวน์ของเธอได้ดีกว่าผู้เล่นเสียอีก โรดส์มั่นใจว่าถ้าผู้เล่นนักบวชที่แข็งแกร่งที่สุด กวนอิมพันมือ ถูกส่งมาโลกนี้ เธออาจจะสู้ไลซ์ไม่ได้ในเรื่องนี้
มาร์ลีนเองก็พิเศษไม่ต่างจากไลซ์ แต่พรสวรรค์ของเธอคือความชำนสญในระบบเวทมนตร์ทั้งหมด เธอสามารถเทียบได้กับผู้เล่นระดับสูงที่สุด แใ้ว่าโีดส์จะอยากมอบการฝึกให้เธอ แต่มันเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเขาคุ้นเคยกับบทเวทย์ แต่เขาไม่ใช่จอมเวทย์ ดังนั้นมันจึงมีสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจอย่างท่องแท้
สำหรับอัจฉริยะ ‘โดยทั่วไป’ แล้ว ความเข้าใจของมาร์ลีนคือทักษะโจมตีที่หลากหลายนั้นถือว่าค่อนข้างดี ในสุสานพาเวล โรดส์แทบไม่ต้องบอกสิ่งที่เธอควรทำ และมาร์ลีนเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการ เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างช้าๆ และโรดส์สามารถมองเห็นได้
ถ้ามาร์ลีนเป็นคนในทาง ‘ทฤษฎี’ แอนคงจะเป็นคนในทาง ‘ปฏิบัติ’ อย่างแท้จริง โรดส์รู้สึกได้ถึงความดิบเถื่อนในตัวเธอ โหดร้าย เอกลักษณ์ ไม่ธรรมดาและไม่มั่นคง แต่ทั้งหมดนั้นได้สร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง ความสามารถของแอนในการโฟกัสไปที่เป้าหมายและการตอบสนองเรียกได้ว่าสุดยอด ดังนั้นเขาไม่คิดว่าจะมีอะไรไปสอนเธออีกแล้ว
สำหรับชายหนุ่มที่น่าสงสารที่ไม่ตรงตามความต้องการของโรดส์ พวกเขาต้องฝึกหนักรอบๆค่ายที่พัก
โลกภายนอกนั้นไม่ได้ใจดีหรอกนะ ความล้มเหลวรอคุณอยู่ ถ้าคุณไม่ประสบความสำเร็จ
จากนั้นโรดส์ยืนขึ้นและเดินตรงไปยังเนินเขาด้านข้าง