ภูเขาห่างจากหุบเขาทรงพลังระยะหนึ่ง
ซุนฉีหมิงขี่อสูรเหว มุ่งหน้าไปยังหุบเขาทรงพลัง และแล้ว เมื่อเขาเข้าใกล้หุบเขาทรงพลัง สีหน้าของซุนฉีหมิงยิ่งตกใจมากขึ้น!!!
เพราะว่า ในตอนที่กำลังจะถึงหุบเขาทรงพลังแห่งนั้น ซุนฉีหมิงเห็นศพกองใหญ่!!!
ศพของกลุ่มเสือดาว!!!
ซุนฉีหมิงเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ กลุ่มเสือดาวที่หายไปจากที่เดิม กลับอยู่ที่นี่หมด กลายเป็นศพหมด!!!
ที่สำคัญที่สุดคือ ร่องรอยการต่อสู้ที่อยู่ในภูเขานี้ เห็นได้ชัดว่า เป็นพลังของระดับราชัน!!!
“เป็นไปได้อย่างไร!!! เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!” ซุนฉีหมิงอึ้งอย่างมาก พลังของกลุ่มเสือดาวทั้งหมดแข็งแกร่งอย่างมาก ทำไมถึงถูกกำจัดไปได้!!!
ชนเผ่าถูกฆ่าตายหมด ต่อให้ราชันเสือดาวยังไม่ตาย จะต้องหนีไปแล้วแน่นอน
ตอนแรกซุนฉีหมิงคิดว่า ใครบางคนได้ใช้แผนหลอกเสือดาวพวกนี้ไป นำแหล่งวิญญาณทั้งหมดไป ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงคือ นี่กลับกำจัดกลุ่มเสือดาวทั้งหมด
ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ ผู้แข็งแกร่งที่ปกป้องสามหมื่นคนในหุบเขาทรงพลัง คือผู้แข็งแกร่งที่มีระดับราชัน!!!
ซุนฉีหมิงสะเทือนใจยิ่ง ถ้ามีดวงวิญญาณระดับราชัน เขาซุนฉีหมิงคนเดียวจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร อย่างไรเขาเองก็มีเพียงเทียบเท่าราชันตัวเดียว!
ซุนฉีหมิงรู้ดี ผู้คุมดวงวิญญาณที่มีเทียบเท่าราชัน ดวงวิญญาณตัวอื่นจะต้องอยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอดแน่นอน ซุนฉีหมิงในตอนนี้แทบไม่รู้ว่า ความสามารถของผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่ตกอยู่ในหายนะพวกนั้นเป็นอย่างไร เขาจะกล้ามุ่งหน้าไปได้อย่างไร!
“ไม่ได้ จำต้องไปตามหลัวเฮมา ความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าตายแน่นอน” ซุนฉีหมิงไม่โง่ คนที่กำจัดชนเผ่ากลุ่มเสือดาวกับราชันเสือดาวได้ จะต้องเป็นราชันวิญญาณที่มีเทียบเท่าราชันตัวหนึ่งเป็นอย่างน้อย
ซุนฉีหมิงกวาดตามองไปยังหุบเขาทรงพลัง ในตอนนี้ไม่ลังเลใดๆ ขี่อสูรเหวหันหลังจากไปทันที
…
หุบเขาทรงพลัง
หายนะที่กำลังจะมาถึง มาอย่างกะทันหันและดุร้ายมาก!
โรคระบาดอันน่ากลัว!!!
แม้ชู่เทียนหลิงได้ทำการกลบศพในหุบเขาทรงพลังแล้ว แต่อากาศของหุบเขาแห่งนี้ถ่ายเทได้แย่มาก น้ำก็พัดช้ามาก สุดท้ายทำให้เกิดโรคระบาด มีหลายร้อยคนเป็นโรคนี้ อีกทั้งเกิดการระบาดมากขึ้นทุกวัน
สำหรับกลุ่มหนึ่งแล้ว โรคระบาดเหมือนสารพิษของยมทูต หลังจากกระจายออกแล้ว จะฆ่าคนทั้งหมดจนตาย
โรคระบาดครั้งนี้ทำให้หมอยาตระกูลชู่ไร้หนทางใดๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้โรคระบาดหายไปได้ มีเพียงออกจากหุบเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นศพนี้
“จะทำอย่างไรดี!” ชู่เทียนเหิงปวดหัว ผมหงอกหลายเส้นแล้ว
สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลชู่เป็นผู้คุมดวงวิญญาณ ภูมิต้านทานจะดีหน่อย แต่ว่าโรคระบาดนี้ไร้เสียงไร้กลิ่น ใครก็ไม่กล้ารับรองว่า ผู้คุมดวงวิญญาณจะไม่ติดโรคนี้
ชู่มู่ยืนอยู่ในเต็นท์ ตอนที่ได้ข่าวนี้ชู่มู่ก็ไม่มีวิธีใดๆ อย่างไร ความสามารถของเขาแข็งแกร่งจริง กลับฆ่าดวงวิญญาณโรคระบาดได้
ดวงวิญญาณโรคระบาด ความจริงคือสิ่งมีชีวิตที่เล็กจนมองไม่เห็น บางครั้งไฟอาจทำลายดวงวิญญาณโรคระบาดได้ แต่ทันทีที่ดวงวิญญาณโรคระบาดแข็งแกร่งขึ้น นอกจากจะกำจัดคนที่ติดโรคแล้ว แม้แต่ดวงวิญญาณระดับราชันก็ไม่อาจรอดไปได้
ตลอดที่ผ่านมา ชู่มู่ไม่เคยสนใจหายนะแบบนี้ รอถึงตอนที่ปรากฏขึ้นมาอย่างแท้จริง ถึงรู้ว่าโรคระบาดน่ากลัวมากเพียงใด
“ชิงจืออยู่ที่นี่คงดี…” ชู่มู่พูดอย่างหมดหนทาง
โรคระบาดแบบนี้ มีเพียงนักวิญญาณที่จะรับมือได้
เดินอยู่ด้านนอก เห็นคนติดโรคมากขึ้นเรื่อยๆ คนหายใจหอบในเต็นท์มากขึ้นเรื่อยๆ หลับด้วยสีหน้าซีดขาว ชู่มู่เองก็รู้สึกรุกรน กำลังคิดวิธีจัดการ…
…
เมืองตะวันตก
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดของเมืองตะวันตกถูกจัดการไปแล้ว ด้านในเรือนเจ้าเมืองที่ผุพัง หลัวเฮมองไปยังซุนฉีหมิงด้วยใบหน้าโกรธเคือง
“เจ้าบอกว่า มีคนแย่งแหล่งวิญญาณของพวกเราไปแล้ว! อีกทั้งคนนี้ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถราชัน!!!” หลัวเฮตึงเครียด อยู่ในภาวะพร้อมระเบิดทุกเมื่อ
“อืม การต่อสู้กับชนเผ่ากลุ่มเสือดาบในหุบเขา คนของเมืองเจ็ดสียังมีชีวิตอยู่ในหุบเขาทรงพลัง จะต้องเกี่ยวกับคนนั้นแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังอยู่ในผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไหม” ซุนฉีหมิงบอก
“เจ้าคนที่นามสกุลชิวนั่นละ” หลัวเฮถามขึ้น
“เขามุ่งหน้าไปบ่อน้ำตะวันตกแล้ว ถ้าสู้ขึ้นมาจริงละก็ จะไม่กลับมาในสิบวันแน่นอน” ซุนฉีหมิงบอก
“พวกเรามุ่งหน้าไปยังหุบเขาทรงพลังเถอะ ไปพาคนคนนั้นออกมา” หลัวเฮพูดอย่างเยือกเย็น
“แต่ถ้าความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเราสองคนรวมกันละ” ซุนฉีหมิงถามเสียงเบา
“หึ ถ้าอย่างนั้นเขาจะพาสามหมื่นคนนั้นของเมืองเจ็ดสีออกไปตั้งนานแล้ว ไม่จำต้องหลบอยู่ในหุบเขาทรงพลัง ใช้ประโยชน์จากหุบเขานั้น อย่างมากเขาก็มีเทียบเท่าราชันแค่ตัวเดียว!” หลัวเฮบอก
…
หลัวเฮกับซุนฉีหมิงอยู่ในขั้นราชันวิญญาณ หลังจากที่หลัวเฮมอบเรื่องการกำจัดบ่อน้ำตะวันตกให้คนอื่นจัดการแล้ว ตัวเขากับซุนฉีหมิงกลับก้าวข้ามเขตป้องกันของบ่อน้ำตะวันตก มุ่งหน้าไปยังหุบเขาทรงพลังไป
“ศพพวกนี้รวมกันแล้ว น่าจะประมาณกลุ่มขั้นเก้าสองอัน ต่อให้บวกกับราชันเสือดาว ข้าหรือเจ้าคนใดคนหนึ่งก็จัดการได้”หลัวเฮยืนอยู่กลางเขา กวาดตามองไปยังศพทั้งหมดนี้
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปในหุบเขาตอนนี้ คนของเมืองเจ็ดสีจะจัดการอย่างไร” ซุนฉีหมิงถามขึ้น
“ใครจะไปรู้ว่า ในบรรดาพวกเขาจะมีคนอื่นที่รู้ความลับของแหล่งวิญญาณอยู่หรือไม่…” หลัวเฮพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
ทันใดนั้น หลัวเฮฉีกยิ้มออกมา เหมือนจะนึกแผนการที่ไม่แย่ออกมาได้
…
…
ด้านในเต็นท์ใหญ่ของหุบเขาทรงพลัง
“หัวหน้า หัวหน้า ด้านนอกหุบเขามีผู้แข็งแกร่งสองคน คนหนึ่งบอกว่า เป็นเจ้าโลกหลัว อีกคนบอกว่าเป็นท่านซุนองค์กรการค้า พวกเขาบอกว่า ได้ข่าวจากดวงวิญญาณส่งสารของพวกเรา มาที่นี่เพื่อช่วยพวกเราออกไป” สมาชิกตระกูลชู่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามา พูดกับชู่เทียนเหิงอย่างตื่นเต้น
ชู่เทียนเหิงกำลังเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เรื่องโรคระบาดทำให้เขาไปคิดเรื่องอื่นมากไม่ได้ และแล้วข่าวที่มาจากสมาชิกคนนี้ กลับทำให้ชู่เทียนเหิงลุกขึ้นทันที !!!
โลกภายนอกรับรู้เรื่องที่มีสามหมื่นคนถูกขังไว้ที่นี่ และได้กระจายไปที่เจ้าโลก เจ้าโลกเขากลับลงมือเอง มาช่วยคนทั้งหมดของเมืองเจ็ดสี!!!
“รีบ…รีบเชิญพวกเขาเข้ามา!” ชู่เทียนเหิงรีบบอก
“ขอรับ ขอรับ!!!”
ไม่สามารถกำจัดโรคระบาดได้ วิธีเดียวคือออกจากหุบเขาแห่งนี้
เจ้าโลกคนนี้กับท่านซุนมาได้เวลาจริงๆ ทำให้คนทั้งหมดรอดจากกองไฟได้!
“ช้าก่อน…” ทันใดนั้น ชู่เทียนเหิงเรียกสมาชิกคนนั้น
“หัวหน้า มีอะไรอีกขอรับ”
ชู่เทียนเหิงมองไปยังชู่เชียนที่อยู่ด้านข้าง พูดขึ้นว่า “ไปเรียกชู่มู่มา”
ชู่เชียนอึ้งเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ชู่มู่…ชู่มู่เขาจากไปแล้ว….”
“จากไปงั้นหรือ เขาไปไหน ทำไมจู่ๆ เขาถึงจากไป!” ชู่เทียนเหิงรีบถามขึ้น
ชู่เทียนเหิงเชื่อว่า ชู่มู่จะอยู่ที่นี่คอยปกป้องคนทั้งหมด จนถึงคนทั้งหมดปลอดภัย ไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดโรคระบาดขึ้น ทำให้คนทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้เป็นช่วงที่หุบเขาทั้งแห่งอ่อนแอที่สุด ทำไมชู่มู่ถึงจากไปโดยไม่บอก หรือว่าเขาจะทิ้งคนที่นี่แล้วหนีไปงั้นหรือ
เป็นไปไม่ได้ ชู่เทียนเหิงไม่เชื่อว่า ชู่มู่จะทิ้งตระกูลของตัวเองไว้ที่นี่
“รีบพูด เกิดอะไรขึ้น !” ชู่เทียนเหิงถามขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านพ่ออย่าเพิ่งตื่นเต้น เรื่องเป็นแบบนี้ ระดับโรคระบาดครั้งนี้ไม่เบา ถ้าไม่เจอวิธีช่วยเหลือหรือรักษาในสิบวัน เกรงว่าคนเกินครึ่งจะต้องตายลง ดังนั้น ชู่มู่จึงคิดจะไปวังมารนิรย ตามหายาที่ควบคุมโรคระบาดได้ เขากังวลว่าหลังจากที่ตัวเขาจากไป ทุกคนจะแตกตื่น ไม่มีความมั่นใจ จึงไม่บอกคนอื่น เขายังให้ปีศาจนักรบไม้ของตัวเองคอยปกป้องพวกเราที่นี่” ชู่เชียนพูดเสียงเบา
ชู่เทียนเหิงถอนหายใจ ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมชู่มู่ถึงทำแบบนี้
เป็นเรื่องจริง ถ้ารออยู่ที่นี่ต่อไปละก็ จะทำให้คนทั้งหมดแตกสลายและหวาดกลัวต่อโรค จำต้องหาวิธีจัดการให้ได้ ชู่มู่ทำแบบนี้ถูกแล้ว
“ไปช้าหน่อยก็ได้ รวมกับพลังของเจ้าโลกและท่านซุนคนนั้น น่าจะปกป้องพวกเราจากไปได้ ทว่า ทำไมเขาไม่ไปเมืองโลกตะวันตก แต่กลับไปวังมารนิรย” ชู่เทียนเหิงถามขึ้น
“เรื่องนี้ ข้าไม่รู้มากเท่าไร” ชู่เชียนส่ายหัว
“ช่างเถอะ พวกเราไปต้อนรับเจ้าโลกก่อนเถอะ” ชู่เทียนเหิงไม่คิดไรมาก ออกจากเต็นท์อย่างรวดเร็ว
แม้หลัวเฮกับซุนฉีหมิงจะอยู่ด้านนอกหุบเขา แต่คนทั้งสองเป็นบุคคลระดับไหน จะให้รอได้อย่างไร หลังจากบอกกับคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกหุบเขา พวกเขาได้เข้าไปในหุบเขาทันที
ดังนั้น ชู่เทียนเหิงเดินออกจากเต็นท์ไม่นาน ก็เห็นเจ้าโลกหลัวเฮกับซุนฉีหมิงที่มีตำแหน่งสูงกว่าตัวเองเดินเข้ามา
ชู่เทียนเหิงยังไม่เคยเห็นใบหน้าของเจ้าโลกมาก่อน แต่คิดว่าในตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าละเลย เชิญทั้งสองคนเข้ามาในเต็นท์อย่างนอบน้อม
หลัวเฮเดินเข้าเต็นท์อย่างไม่เกรงใจ นั่งบนตำแหน่งประธาน เขากวาดตามองไปยังคนทั้งหมดของตระกูลชู่ สายตาเย่อหยิ่งอย่างมาก
ซุนฉีหมิงเองก็ขี้เกียจจะทำหน้าดีให้คนธรรมดาพวกนี้ นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่พูดไม่จาอะไร
ตระกูลชู่เห็นท่านทั้งสองไม่พูดอะไร ไม่กล้าพูดขึ้นก่อน
ที่นั่งอยู่เป็นเจ้าโลกตะวันตก คนที่มีอำนาจที่สุดของทั้งโลกตะวันตก ไม่ว่าใครก็จะต้องนอบน้อม ดังนั้น พวกเขาทำท่าทีแบบนี้ก็ไม่กล้ามีใครว่าอะไรได้
ทว่า ตอนที่ชู่เทียนเหิงโค้งคำนับ กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่า ท่าทีของสองคนนี้แปลกๆ ไม่ได้รู้สึกดีใจที่ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับมีสีหน้ามัวหมอง
“ผู้แข็งแกร่งที่ช่วยให้พวกเจ้ามาถึงที่นี่ แล้วยังจัดการกลุ่มเสือดาวคือใคร” หลัวเฮถามขึ้น เขาเองก็ไม่พูดเยอะ เข้าเรื่องทันที!
พูดถึงผู้แข็งแกร่งคนนั้น ตระกูลชู่ฉีกยิ้มอย่างภูมิใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงความสามารถ ชู่มู่คงเทียบกับเจ้าโลกได้แล้ว
“ชู่มู่ เขาคือวีรบุรุษของพวกข้า” ในไม่ช้า มีคนตอบขึ้นมา
“ใช่ เขาคนเดียวก็จัดการกลุ่มเสือดาวส่วนใหญ่แล้ว!!!”
“อ่อ ชู่มู่งั้นหรือ” หลัวเฮมองไปยังซุนฉีหมิง
ซุนฉีหมิงส่ายหัว เป็นการบอกว่าไม่เคยได้ยินคนนี้มาก่อน
ตกดึก ชู่มู่ยืนอยู่บริเวณทะเลสาบในหุบเขาลำพัง
ทะเลสาบนี้ไหลลงจากบนเขา แล้วไหลไปยังโลกภายนอกไปตามแม่น้ำ ไม่กี่วันก่อนทะเลสาบนี้ยังเป็นสีแดงหมด ตอนนี้กลับใสขึ้นมามาก
ชู่มู่มองดูคลื่นแสงของทะเลสาบ สายตาอ้างว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกลับมาที่ตระกูล ชู่มู่นึกถึงหลายเรื่องได้ง่ายมาก ชอบการนั่งคนเดียวแบบนี้โดยไม่รู้ตัว…
“ชู่มู่ ทำไมไม่พักผ่อนล่ะ” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านข้าง
ชู่มู่รู้ว่าคนที่เดินมาคือใคร ฉีกยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “แบบนี้คือการพักผ่อนสำหรับข้าแล้ว”
“ดวงวิญญาณของเจ้าฟื้นกลับมาแล้วเหรอ เจ้าสู้กับชนเผ่าหนึ่ง” ชู่เชียนเดินมาช้าๆ ยืนข้างชู่มู่พูดขึ้นเสียงเบา
“ยัง ระดับของดวงวิญญาณสูงมาก พลังต่อสู้กับพลังกายจะฟื้นกลับมาช้าลงเรื่อยๆ” ชู่มู่ส่ายหัว
“อ่อ เจ้าเพิ่มขึ้นเร็วมาก ไม่กี่ปีก่อนตอนอยู่ตระกูลชู่หลัก ตอนที่เจ้าสู้กับองค์หญิงน้อยวังมารนิรย ความสามารถของเจ้าก็ทำให้ข้าสะเทือนใจมากแล้ว ไม่คิดว่าตอนนี้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของทั้งโลกตะวันตกของพวกเราแล้ว ข้าไม่กล้าเชื่อว่า คนที่สู้กับชนเผ่าได้จะเป็นชู่มู่น้อยที่เกือบเป็นผู้คุมดวงวิญญาณไม่ได้ในตอนนั้น” ชู่เชียนพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ
“คึ คึ ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้าง” ชู่มู่พูดอย่างตื้นตันใจ สายตามองไปยังคลื่นน้ำ
แสงดาบกับแสงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ เข้าไปยังดวงตาสีดำ ทำให้สายตาของชู่มู่ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น…
ผิวน้ำสะท้อนรูปร่างงดงามของชู่เชียน ผมยาวที่มัดรวบทิ้งผมไม่กี่เส้นลงมา พลิ้วไหวไปตามสายลม
สองคนพูดไม่เยอะ บางครั้งยังนิ่งเงียบนานมาก
ความเงียบนี้ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่ทั้งสองคนต่างคิดเรื่องของตัวเอง
“มีคนชอบแล้วหรือยัง” ในที่สุด ชู่เชียนได้ทำลายความสงบ พูดประโยคที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจออกมา
ชู่มู่ถึงค่อยๆ หันมา มองไปยังชู่เชียนที่ก้มหัวเล็กน้อย
ชู่เชียนงดงามตามวัยผู้ใหญ่ เป็นหญิงสาวที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก คำพูดนี้ของเธอได้ทำลายความคลุมเครือนั้น ขณะเดียวกัน เธอแสดงให้เห็นว่า รู้จักการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนได้ด้วย
ชู่มู่พยักหน้า “อืม”
“องค์หญิงท่านนั้นหรือ” ชู่เชียนถามลองเชิง
ชู่เชียนเชื่อว่า ด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้นมหาศาลของชู่มู่ในตอนนี้ ได้องค์หญิงจิ่งโหลวที่มีตำแหน่งสูงส่งในวังมารนิรยก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพราะต่อให้เป็นวังมารนิรยที่อำนาจแข็งแกร่งจนยากจะประเมินได้ น่าจะไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่อายุน้อยเท่าชู่มู่แบบนี้
ชู่มู่ส่ายหัว องค์หญิงจิ่งโหลวเป็นแค่ความรู้สึกดีเบาบางในอดีตเท่านั้น ยังไม่นับว่าเป็นความชอบที่แท้จริงได้
“ถ้าอย่างนั้นคงเป็นเด็กสาวที่ไปตระกูลชู่หลักกับเจ้า ข้าจำได้ว่า เธอชื่อเย้ชิงจือใช่ไหม” ชู่เชียนยิ้มเล็กน้อย
ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้าพูดขึ้นว่า “ใช่ เธอนั่นแหละ”
“เธอชอบเจ้าด้วยไหม” ชู่เชียนถามต่อ
“อืม” ชู่มู่พยักหน้าต่อ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ทำไมเธอไม่ได้มากับเจ้าด้วย” ชู่เชียนถาม
“เธอมีเรื่องที่เธอต้องทำ พวกเรานัดกันว่า จะทิ้งร่องรอยไว้ในเมืองตะวันออก ถ้าอยู่แถวนั้นละก็ จะได้เจอกัน…”ชู่มู่บอก
พูดถึงเย้ชิงจือ ในหัวของชู่มู่มีเงาของเธอ ยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ใด ผ่านคำสั่งเสียของอาจารย์แล้วหรือยัง ความสามารถเพิ่มขึ้นมหาศาลแล้วหรือยัง หรือได้รับยาที่มากกว่าเดิม เพิ่มความสามารถปรุงยาของนักวิญญาณแล้ว
จนถึงตอนนี้ชู่มู่ยังรู้สึกเสียดาย เย้ชิงจือจากเร็วเกินไป ทำให้ชู่มู่ไม่ได้รู้จักเธอมากกว่านี้อีก แม้แต่ริมฝีปากหอมหวานอันน่าดึงดูดยังไม่ทันได้สัมผัสด้วยซ้ำ…
ทว่า ขั้นตอนที่ค่อยๆ รักกันแบบนี้ ถึงเป็นเรื่องที่ลืมยากที่สุด
ชู่มู่ไม่รีบที่จะได้ทั้งหมดของเย้ชิงจือ แต่ว่าความรู้สึกที่ไม่อยู่ข้างกายแบบนี้ ทำให้หัวใจเหน็บชาไปหมด อยากจะออกจากโลกตะวันตกตอนนี้ มุ่งหน้าไปยังด้านตะวันออกของเมืองเทียนเซี่ย ไปพบกับเธอ
ชู่เชียนมองไปยังชู่มู่ เธอผู้ช่างสังเกตพบความหวังเล็กน้อยบนใบหน้าเยือกเย็นของชู่มู่ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ต่างจากวัยหนุ่มที่ตกอยู่ในความรักมากเท่าไร ถ้าจะต้องบอกความแตกต่างละก็ ทั้งหมดของชู่มู่อ่อนโยน เชื่องช้ากว่าเด็กผู้ชายคนอื่นมาก
เห็นชู่มู่เผยความรู้สึกแบบนี้ออกมา ชู่เชียนเข้าใจทันที ถามถึงตอนที่ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยรอยยิ้ม…
ชู่มู่ไม่ได้หลีกเลี่ยง พูดถึงเรื่องคร่าวๆ ตั้งแต่ตามหาบ่อน้ำเย็นจนถึงเมืองเทียนเซี่ย น้อยครั้งที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่ตัวเองเริ่มชอบผู้หญิงโดยไม่รู้ตัว…
ชู่มู่เป็นวัยหนุ่มคนหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เขาไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในความรักเหมือนพวกมากประสบการณ์เหล่านั้น ดังนั้นในตอนนี้ เขาซึ่งปราศจากความเงียบที่ผ่านมา ระหว่างที่พูดคุยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มักมีรอยยิ้มอยู่
“ดีจริง” ชู่เชียนพยักหน้า หลังจากฟังชู่มู่เล่าจบ เธอเองก็ฉีกยิ้มออกมา “พวกเจ้าจะต้องมีความสุขมากแน่นอน”
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า
“ข้าควรกลับไปแล้ว มิฉะนั้น ท่านพ่อจะตามหาข้าแล้ว เขาไม่วางใจข้ามากที่สุดแล้ว…” ชู่เชียนบอก
“ได้ ข้าจะฝึกสมาธิที่นี่” ชู่มู่เองก็พูดคุยกับชู่เชียนอย่างสนุกสนาน
แต่ว่าชู่มู่กลับไม่รู้ว่า ตอนที่ชู่เชียนหันหลังกลับมา หญิงสาวคนนี้ฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย..
แน่นอนว่า ชู่มู่เข้าใจความรู้สึกเด็กสาวที่คุยกับตัวเองถึงเรื่องราวของเด็กสาวอีกคนหนึ่ง เรื่องนี้มีแค่ชู่มู่เองที่เข้าใจ
…
หลังจากชู่เชียนจากไป ชู่มู่ถอนหายใจเล็กน้อย จับจ้องไปยังผิวน้ำ ให้อารมณ์ของตัวเองสงบลง
ชู่มู่หลับตาลง เริ่มเข้าสู่ภาวะฝึกสมาธิ
พลังต่อสู้ของเหล่าดวงวิญญาณลดลงไปพอประมาณ พลังวิญญาณของชู่มู่เองก็ยังไม่ฟื้นกลับมาหมด ยาพลังวิญญาณที่เย้ชิงจือให้มามีค่ามาก หากไม่อยู่ในสถานการณ์พิเศษ ชู่มู่เองก็ไม่อยากใช้
“หืม…ร่ายวิญญาณเพิ่มขึ้นตอนไหน!” ตอนที่ชู่มู่ฝึกสมาธิ พบความจริงที่น่าดีใจนี้
“ก่อนหน้านี้พยายามทะลายตลอด ไม่สามารถเข้าสู่เจ้าวิญญาณเก้าร่ายได้ และแล้วพอไม่ฝึกสมาธิ คิดถึงชิงจือ กลับเลื่อนขั้นแล้ว!”ชู่มู่รู้สึกประหลาดใจจริงๆ
เจ้าวิญญาณเก้าร่าย ห่างกับราชันวิญญาณแค่ก้าวเดียว
สำหรับชู่มู่ ราชันวิญญาณมีความหมายอย่างมาก ไม่เพียงแต่ใช้ร่ายวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณระดับราชันได้ ในที่สุดชู่มู่ก็สละควบคุมสามได้แล้ว เข้าสู่ภาวะควบคุมสี่ได้แล้ว!!!
อัญเชิญดวงวิญญาณสี่ตัวออกมาต่อสู้พร้อมกัน ความเปลี่ยนแปลงนี้จะน่าตื่นเต้นมากเพียงใด ไม่ต้องใช้คำพูดมาอธิบายแล้ว!
“ท่าทาง ชิงจือมีดวงสมพงษ์กับข้ามาก” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา ทำท่าทีปลื้มใจออกมา
…
ด้านตะวันออก ท่ามกลางทุ่งหญ้า
“ทำไมเหรอ ชิงจือ” เย้หวันเชิงมองไปยังเย้ชิงจือที่หยุดลงกะทันหัน ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
เย้ชิงจือส่ายหัว ให้อสูรนิมิตชุดม่วงตามปีศาจลูกม้าดาวป่าไป
“ทำไมข้าคิดถึงเขาอีกแล้ว อีกทั้งยังเป็นท่าทีแบบนั้น…” เย้ชิงจือพึมพำ
ท่าทีที่เย้ชิงจือพูดถึง คือตอนที่ชู่มู่พูดเรื่องที่น่าอายแต่กลับทำท่าทีจริงจัง ท่าทีที่มีสายตาบอกว่า “หรือว่าสิ่งที่ข้าพูดมันไม่ถูก” ทุกครั้งที่เห็นเขาพูดแบบนี้กับตัวเอง ทำให้เย้ชิงจืออับอายไม่น้อย และมักทำให้ผู้หญิงคนนี้รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป
“แหะ แหะ อีกไม่ช้าข้าจะมีดวงวิญญาณที่ขั้นสูงกว่านี้แล้ว อีกไม่กี่ปีถ้าเจอชู่มู่ ดวงวิญญาณรองของข้าก็จัดการเขาได้แล้วละ ฮะฮะฮะ เห็นใบหน้าของชู่มู่ที่มัวหมอง จะต้องตลกมากแน่”เย้หวันเชิงกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา
เย้ชิงจือในตอนนี้กำลังคิดถึงชู่มู่อยู่ พอเย้หวันเชิงหัวเราะแบบนี้ออกมา ตกใจทันที พบว่าเจ้านี่กำลังพูดกับตัวเอง กรอกตาแล้วพูดว่า “สิ่งที่จะใช้ในการปรุงยายังหาไม่เจอ”
“ไม่เป็นไร จะต้องหาเจอแน่นอน และคนที่เคยรังแกพวกเราในอดีต จะให้คนพวกนั้นเห็นความเก่งกาจของข้า เย้หวันเชิง!!!” เย้หวันเชิงพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
เย้ชิงจือเองก็ไม่พูดอะไร แม้บอกว่า หลังจากได้คำสั่งเสียของอาจารย์ ความสามารถของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่ช่วงที่ข้ามไปไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไม เย้ชิงจือกลับมั่นใจในตัวชู่มู่อย่างมาก บางครั้งแม้แต่เย้ชิงจือเองก็ไม่รู้ว่าความมั่นใจนี้มากจากไหน อย่างไรคำสั่งเสียของอาจารย์เป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ทำให้ราชันวิญญาณนับไม่ถ้วนบ้าคลั่งได้
…
ภูเขาทรงพลัง
“เป็นไปได้อย่างไร เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร!!! กลุ่มเสือดาวละ กลุ่มเสือดาวหายไปไหน แหล่งวิญญาณ แหล่งวิญญาณไปไหนแล้ว!!! แหล่งวิญญาณของข้า!!”
บริเวณกำแพงภูเขา สาเหตุต่างๆ กำลังทำให้ซุนฉีหมิงตะโกนอย่างบ้าคลั่งในหลุมนี้
ตอนแรกซุนฉีหมิงกับหลัวเฮเห็นแหล่งวิญญาณที่ผลิตแค่รอบเดียวนั้นทันทีที่ตอนพวกเขาบินผ่านที่นี่ แอบขุดออกมา ทำให้พลังของแหล่งวิญญาณนี้รั่วไหล แต่เป็นเพราะชนเผ่ากลุ่มเสือดาวและราชันวิญญาณที่อยู่ที่นี่ ทำให้ทั้งสองคนจำต้องจากไปชั่วคราว ต้องวางแผนในระยะยาว
ความจริงด้วยความสามารถของพวกเขาจัดการชนเผ่ากลุ่มเสือดาวได้ แค่จะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างมาก อาจทำให้เรื่องกระจายไปได้ง่าย
ครั้งนี้มาถึงเมืองเจ็ดสี ซุนฉีหมิงกังวลว่าบ่อน้ำตะวันตกจะลงมือแล้ว จึงเข้าไปดูในภูเขาทรงพลัง
และแล้ว กลุ่มเสือดาวทั้งหมดของภูเขาทรงพลังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชนเผ่าทั้งหมดหายไปยังไม่เท่าไร ที่สำคัญที่สุดคือแหล่งวิญญาณกลับถูกแย่งไปด้วย!!!
ซุนฉีหมิงร้องด้วยความโกรธเคืองนานมาก เขากับหลัวเฮมีโทษหนักอยู่ ถ้าถูกเปิดโปงละก็ ดวงวิญญาณจะถูกผนึกเอาไว้ แม้แต่ตัวพวกเขาเองยังต้องเข้าไปในคุกอลวนด้วย
เสี่ยงขนาดนี้ก็เพื่อให้ได้สิ่งนี้มาได้ทันเวลา สุดท้ายกลับไม่ได้สักอย่าง ไม่ว่าใครก็ต้องบ้าคลั่ง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ซุนฉีหมิงถึงค่อยๆ สงบสติลง
“ที่นี่ไม่มีศพกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานของพวกบ่อน้ำตะวันตก บ่อน้ำตะวันตกไม่มีทางตัดหน้าแน่นอน หรือว่าจะเป็นเจ้าโง่ชิวตี๋เอาไป แล้วทำเป็นไม่รู้…เป็นไปไม่ได้ ชิวตี๋น่าจะเพิ่งถึงโลกตะวันตก ไม่มีทางรู้เรื่องแหล่งวิญญาณ อีกทั้งเขาไม่เคยมาเมืองเจ็ดสีมาก่อน…”
“หรือว่า…หรือว่าจะเป็นสามหมื่นคนที่มีชีวิตรอดของเมืองเจ็ดสี”
“หุบเขาทรงพลังมีกลุ่มเสือดาวฝูงใหญ่อาศัยอยู่เช่นกัน พวกเขาอยู่ในหุบเขาทรงพลังก็ต้องตายอยู่ดี ถ้ารอดมาได้ละก็ แปลว่าในนั้นต้องมีผู้แข็งแกร่งแน่นอน…หึหึ กล้าที่จะเอาของข้าซุนฉีหมิงไป ไม่อยากมีชีวิตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร จะต้องให้เจ้าคายออกมาให้ได้!!!” ซุนฉีหมิงพูดด้วยใบหน้าที่โกรธจนแดง!
หลังจากพูดจบ ซุนฉีหมิงได้พุ่งไปยังหุบเขาทรงพลังพร้อมความอาฆาต!
————————————————————————–
เช่นเดียวกับที่ชู่อีซุ่ยบอก โลกตะวันตกเริ่มมีกองกำลังมาแล้ว กำลังสู้กับบ่อน้ำตะวันตก
ไม่กี่วันก่อน ผ่านดวงวิญญาณส่งสาร พวกชาวบ้านที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาทรงพลังยังได้ข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้บ้าง แต่ว่า พอถึงวันที่สี่ ไม่รู้ทำไม ดวงวิญญาณส่งสารกลับไปถึงโลกภายนอกไม่ได้แล้ว
“ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราอยู่ในหุบเขาทรงพลังที่ปลอดภัยอย่างมาก การต่อสู้ครั้งนี้จะใช้เวลานานมากแน่นอน พวกเราแค่รออยู่ที่นี่เงียบๆ จะมีวันหนึ่ง บ่อน้ำตะวันตกจะถูกไล่กลับไปรังเก่าของพวกมันหมด” ชู่เทียนหลิงพูดกับคนทั้งหมด
เนื่องจากไม่มีข่าวใดๆ ผู้คนกังวลว่า จะถูกขังไว้ในหุบเขาตลอดจนตาย ชู่เทียนหลิงจึงทำให้ทุกคนมีกำลังใจขึ้นมา
ความปลอดภัยของหุบเขาทรงพลัง ทำให้ผู้คนไม่ผิดหวังขนาดนั้น เริ่มมีผู้คุมดวงวิญญาณที่รู้จักการสร้างสรรค์ใช้ดวงวิญญาณหมวดดินของพวกเขาสร้างบ้านเรือนง่ายๆ ขึ้นมา ให้ทุกคนอยู่สบายขึ้น
ด้านในเต็นท์ใหญ่
“ตามปกติแล้ว ถ้ารู้ว่าที่พวกเรามีคนมีชีวิตอยู่ พวกเขาน่าจะส่งคนมา พาพวกเราออกไป แล้วติดต่อตลอด ทำไมช่วงสองวันนี้ไม่มีข่าวใดๆ” ชู่เทียนเหิงขมวดคิ้ว
ท่ามกลางภัยแร้ง คนที่มีชีวิตรอดมาได้ควรได้รับการช่วยเหลือก่อน เกรงว่าพื้นที่ทั้งสามทางใต้นี้คงมีแค่ชาวบ้านของเมืองเจ็ดสีที่รอดมาได้ เป็นถึงเจ้าแห่งโลกคนหนึ่ง รู้ว่ามีสามหมื่นกว่าคนรอดมาได้ จะต้องหาวิธีช่วยพวกเขาทันที แต่จากสถานการณ์ต่อสู้ไม่กี่วันก่อนนี้ ที่นี่ไม่เป็นที่จับตามอง…
“รออีกหน่อยเถอะ พวกเราอยู่ในหุบเขาก็ปลอดภัยอย่างมาก จะกลับหรือไม่ขึ้นอยู่กับเวลา” ชู่เทียนหลิงบอก
…
…
เมืองเจ็ดสี
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน หินส่วนใหญ่ในเมืองกลายเป็นซากปรักหักพังหมดแล้ว
กองทัพของบ่อน้ำตะวันตกยึดครองที่นี่หลังจากชาวบ้านของเมืองเจ็ดสีจากไป กลายเป็นเจ้าของเมืองแห่งนี้ พวกมันเดินไปตามถนนเป็นฝูง พวกมันผลิตลูกหลานในบ้านเรือนของชาวบ้าน สร้างเขตป้องกันบนกำแพงในพื้นที่กว้าง
ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง อุณหภูมิของผิวดินลดต่ำลง มนุษย์ชอบตากแดดที่อบอุ่น แต่สิ่งมีชีวิตบ่อน้ำตะวันตกกลับตรงกันข้าม ตอนตกดึกพวกมันจึงจะคลานออกมา หมอบอยู่บนพื้นเย็น รับลมยามค่ำคืน แล้วอ้าปากที่เหมือนปลานั้น หาวอย่างสบายใจ
บ่อน้ำตะวันตกเป็นกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน ขาหลังของพวกมันยาวมาก สามารถยืนได้เหมือนมนุษย์ ขาหน้าของมันไม่ใช่กรงเล็บ แต่ลอกคราบเป็นอาวุธหนังชั้นหนาสองชนิด ด้านซ้ายเป็นโล่กระดูกเหนือที่หุ้มด้วยหนังชั้นหนาด้านนอกมีทรงคล้ายกับจานยาว ด้านขวาเป็นแขนที่ยาวเหมือนมีดที่เป็นซี่ยาว อาวุธนี้เพียงพอที่จะตัดทุกสิ่งออก
ถ้ากลุ่มสัตว์เลื้อยคลานแบบนี้ยืนอยู่บนกำแพงเป็นแถว ไม่ขยับละก็ เหมือนกองทัพของมนุษย์อย่างเป็นระเบียบ สวมชุดเกราะที่คมคายที่สุด ถืออาวุธที่แหลมคมที่สุด
ทั้งเมืองเจ็ดสีในตอนนี้กลายเป็นที่ตั้งหลักของกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานไปแล้ว สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่มีร่องรอยถูกทำลายหมด…
ตะวันตกดิน สิ่งมีชีวิตที่สีขาวเหมือนก้อนเมฆบินจากบนฟ้า เข้าใกล้เมืองเจ็ดสีอย่างช้าๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดวงวิญญาณหลายตัวถูกสั่งห้ามบินเด็ดขาด โดยเฉพาะตอนที่บินผ่านพื้นที่ของชนเผ่า กลุ่มดวงวิญญาณใหญ่ต่างๆ จะทำให้ดวงวิญญาณที่บินได้พุ่งขึ้นฟ้าหมด ไม่ตายก็จะไม่หยุด
และที่กล้าบินบนฟ้า มักมีความสามารถสูงกว่ามาก กลิ่นไอสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ชะงักได้ พวกมันถึงไม่แยแสใดๆ
ด้านใต้ของโลกตะวัตตกถูกบ่อน้ำตะวันตกครองเอาไว้หมด นอกจากดวงวิญญาณส่งสารที่เหมือนแมลงวันสำหรับชนเผ่ายังบินอยู่บนฟ้าได้แล้ว ดวงวิญญาณหมวดปีกของมนุษย์อย่าคิดที่จะบินบนฟ้าของพวกมัน
ตอนนี้ ด้านบนฟ้าของเมืองเจ็ดสีกลับมีสิ่งมีชีวิตที่บินได้แบบนี้อยู่ นี่เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่กล้าบินในโลกตะวันตกแน่นอน
สิ่งมีชีวิตสีขาวตัวนี้คือปักษาเหินเมฆของชายที่มีนามสกุลชิว ในตอนนี้ ชายนามสกุลชิวยืนอยู่บนดวงวิญญาณของตัวเองอย่างเยือกเย็น สายตาจับจ้องไปยังเมืองเจ็ดสีที่ถูกดวงวิญญาณยึดครองไว้
ทั้งเมืองเจ็ดสีนี้ไม่เห็นคนเป็นแม้แต่คนเดียว กลุ่มสัตว์เลื้อยคลานที่ทั่วพื้นที่นี้เป็นการบอกว่ามนุษย์ที่เคยใช้ชีวิตที่นี้ได้ตายจากไปแล้ว
เผชิญกับภาพแบบนี้ สีหน้าของชายคนนี้กลับเยือกเย็นอย่างยิ่ง บินอยู่บนฟ้าแบบนั้น จับจ้องไปยังกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานเหล่านั้น
ความจริงแล้ว ด้านหลังของปักษาเหินเมฆ ยังมีฝูงแมงวันปีกมังกรสีดำฝูงใหญ่ไล่ตามมาด้วย กองทัพบนฟ้านี้ไล่ตามปักษาเหินเมฆนี้มาพักหนึ่งแล้ว แต่ความเร็วของพวกมันแทบไม่สามารถเทียบกับปักษาเหินเมฆได้ จนถึงตอนนี้ยังห่างกับปักษาเหินเมฆหลายพันเมตร
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายที่ขี่อสูรเหวตัวหนึ่งปรากฎตัวบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นไปมองปักษาเหินเมฆบนที่สูงและชายที่อยู่บนนั้น
คนนี้คือซุนฉีหมิงราชันวิญญาณขององค์กรการค้าที่มาด้วยกัน
“ท่านชิว ข้าได้ยินมาแล้ว ที่นี่ไม่มีทางที่จะมีคนมีชีวิตรอดแน่นอน” ซุนฉีหมิงกวาดตามองไปยังเมืองเจ็ดสีที่พ่ายแพ้อย่างอนาถ ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับท่านชิวที่อยู่บนฟ้า
ในตอนนี้ ชายที่นามสกุลชิวยังคงท่าทีแน่นิ่งไว้ได้ กลับไม่สนใจคำพูดของซุนฉีหมิงแม้แต่น้อย แค่จับจ้องไปยังกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมหาศาลในเมืองเจ็ดสี
“พื้นที่ของบ่อน้ำตะวันตกอยู่ที่ใด” ในที่สุด ชายนามสกุลชิวได้พูดขึ้นแล้ว อีกทั้งร่ายวิญญาณของเขายังเต็มไปด้วยความกดดัน
“ท่านชิว ท่านใจเย็น…”
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ !!!” ท่านชิวเน้นน้ำเสียงให้หนักขึ้น ท่าทีเหมือนกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา!
“อยู่ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ มุ่งไปทางพื้นที่ชื้นวายุของเมืองเจ็ดสี เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะถึงพื้นที่ของบ่อน้ำตะวันตกได้ ท่านชิว…นี่ท่านจะ…” ซุนฉีหมิงถามเสียงเบา
“เจ้าจัดการพวกเศษขยะนี้ ข้าจะไปจัดการรากของชนเผ่าบ่อน้ำตะวันตก!” หลังจากพูดจบ ชายคนนี้ได้ขี่ปักษาเหินเมฆ มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ชื้นด้วยความโกรธเคือง!
ซุนฉีหมิงร้องขึ้นหลายครั้ง แต่ท่านชิวได้จากไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ใครก็ห้ามไม่ได้ ต่อให้เป็นชนเผ่าบ่อน้ำตะวันตกมหาศาลนั้น…
“ยังดีที่ปิดเรื่องสามหมื่นคนของเมืองเจ็ดสีที่รอดไปได้เอาไว้ มิฉะนั้น คนที่แซ่ชิวจะต้องเข้าไปหุบเขาทรงพลัง ตรงนั้นใกล้กับหุบเขาทรงพลังอย่างมากแล้ว หลังจากเข้าไปถึงหุบเขาทรงพลังแล้วจะพบแหล่งวิญญาณแน่นอน…” ซุนฉีหมิงมองไปยังปักษาเหินเมฆที่จากไป ถอนหายใจยาว ๆ
ทันใดนั้น สายตาของซุนฉีหมิงดุร้ายขึ้น “หึ ไม่คิดว่า เมืองเจ็ดสียังมีสามหมื่นกว่าคนรอดมาได้ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ของกลุ่มเสือดาว รวมถึงตระกูลชู่นั่นด้วย ได้โชคอะไรมากัน!”
“แต่…จะโทษข้าซุนฉีหมิงโหดเหี้ยมก็ไม่ได้…ทำไมพวกเจ้าถึงมีชีวิตรอดมาได้ สร้างความเดือดร้อนให้ข้าแล้ว”ซุนฉีหมิงยิ้มอย่างโหดร้าย ขี่อสูรเหวตัวนั้น อ้อมเมืองเจ็ดสีไป มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของหุบเขาทรงพลัง!
ในหัวของซุนฉีหมิงมีคำพูดเยือกเย็นของหลัวเฮ
“สามหมื่นคนนี้ ห้ามช่วยเด็ดขาด ไปช่วยพวกเขาแหล่งวิญญาณก็จะถูกเปิดเผย ต้องจัดการให้หมด!!!”
—————————————————————–
ประตูเมืองหลัว
“เมืองหลัว ตระกูลชู่เมืองหวั่งหลัว ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เจ้าโลกหลัวเฮส่ายหัวเบาๆ พูดขึ้น
“ท่านชิวมาเพื่อเรื่องนี้ ทำไมถึงสนใจตระกูลเล็กไร้ชื่อเสียงเบบนี้ รีบช่วยพวกเราจัดการปัญหาเรื่องภัยแร้งด้วยกันเถอะ ภัยแร้งครั้งนี้ มาจากบ่อน้ำตะวันตก เป็นชนเผ่าขั้นสามอย่างแท้จริง มีเพียงพวกเราสองคน ความสามารถมีจำกัดจริงๆ ยังหวังว่าท่านชิวจะลงมือเข้าช่วยเหลือ” ซุนฉีหมิงขององค์กรการค้าพูดขึ้น
ในตอนนี้ ห้องโถงที่หรูหรากว้างใหญ่มีเพียงคนสามคน บนที่นั่งประธานคือ เจ้าโลกตะวันตก หลัวเฮ ที่นั่งอยู่ด้านข้างคือซุยฉีหมิง ราชันวิญญาณขององค์กรการค้า อีกทั้งยังมีชายวัยกลางคนลึกลับที่เคยเข้าไปสืบเรื่องของตระกูลชู่ในเมืองหวั่งหลัวคนนั้น
“ตามหาข่าวเกี่ยวกับตระกูลนี้ให้ข้าก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” ชายวัยกลางคนพูดนิ่งๆ
สำหรับเรื่องภัยแร้ง ชายคนนี้เหมือนจะไม่ใส่ใจเท่าไร เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้มาจากอำนาจบางแห่งที่ส่งมาเพื่อช่วยเหลือเรื่องภัยแร้ง
หลัวเฮกับซุนฉีหมิงต่างเป็นราชันวิญญาณ แต่จากท่าทีที่พวกเขาต้อนรับชายนามสกุลชิวคนนี้แล้ว ตำแหน่งของชายผู้นี้สูงกว่าพวกเขาอีก
แน่นอนว่า หลัวเฮกับซุนฉีหมิงกำลังครุ่นคิด พวกเขาอยากจะใช้ความสามารถอันแข็งแกร่งของชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จัดการบ่อน้ำตะวันตก อย่างไรถ้าไม่กวาดล้างบ่อน้ำตะวันตก พวกเขาจะได้แหล่งวิญญาณได้อย่างไร
“เมืองหวั่งหลัว ตระกูลชู่…อืม ข้าให้คนไปสืบเดี๋ยวนี้ วางใจได้ จะได้ข่าวในไม่ช้าแน่นอน” หลัวเฮเห็นท่านชิวคนนี้แน่วแน่อย่างมาก จึงตอบรับทันที
แม้เจ้าโลกหลัวเฮจะส่งคนไปรับมือกับเมืองเจ็ดสี แต่เขาจะไปสนใจว่า ใครคุมเมืองเจ็ดสีอยู่ได้อย่างไร ดังนั้น เขาจึงไม่นึกถึงตระกูลชู่ที่อยู่เมืองเจ็ดสี
ทว่า เป็นถึงเจ้าแห่งโลกหนึ่ง จะหาตระกูลในเมืองขั้นแปดไม่นับว่ายากมากเท่าไร นอกจากพวกเขาจะปิดบังชื่อและนามสกุลเอาไว้หมด
ในไม่ช้า เจ้าโลกได้ให้คนไปตามหาข้อมูลในเขตเมืองต่างๆ สุดท้ายเล็งไปยังตระกูลชู่ที่ตั้งใหม่ในเมืองเจ็ดสีของเมืองตะวันตก
ขณะเดียวกัน หลังจากข่าวนี้กระจายออกไป หลัวเฮได้เรียกลูกศิษย์หญิงในสำนักคนหนึ่งเข้ามา ลูกศิษย์หญิงคนนี้มาจากตระกูลฉิงเมืองหวั่งหลัว เหมือนจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลชู่
“ฉิงม่งเอ๋อใช่ไหม ตระกูลชู่ที่ตั้งขึ้นใหม่ในเมืองเจ็ดสี ใช่ตระกูลของเมืองหวั่งหลัวที่ย้ายไปที่นั่นหรือไม่”หลัวเฮจับจ้องไปยังศิษย์หญิงที่โค้งคำนับ แล้วถามขึ้น
ฉิงม่งเอ๋อเพิ่งเคยคุยกับเจ้าโลกตรงๆ แบบนี้ครั้งแรก ตื่นเต้นไม่น้อย พยักหน้าเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “ใช่แล้ว”
ตอนที่อยู่เมืองเทียนเซี่ย ฉิงม่งเอ๋อเจอกับชู่ชิ่งและชู่หยู่บ่อยครั้ง ได้รู้ว่า ตระกูลชู่ย้ายไปยังเมืองเจ็ดสีของเมืองตะวันตกจากปากของพวกเขา เขากลับมาในโลกตะวันตกเร็วกว่าชู่ชิ่งกับชู่หยู่อีก
ก่อนหน้านี้ชู่มู่เดาว่า คนของประตูเมืองหลัวออกมาช่วยตระกูลชู่ได้มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง หรือว่าฉิงม่งเอ๋อเขียนจดหมายบอกกับประตูเมืองหลัวว่า ตัวเขาซึ่งเป็นผู้ได้เกียรติขั้นหนึ่งมาจากตระกูลชู่เล็กๆ นั้น ความจริงแล้ว ฉิงม่งเอ๋อไม่รู้ว่า ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณคือชู่มู่ แค่ได้ยินจากชู่ชิ่งและชู่หยู่ว่าชู่เฉิงตำหนักวิญญาณมีสายเลือดเกี่ยวข้องกับตระกูลชู่พวกเขา
“เมืองเจ็ดสี่อยู่ที่ใด” ชายที่นามสกุลชิวถามขึ้นช้าๆ
“นี่…อยู่เมืองตะวันตก…เป็นที่ที่ได้รับภัยแร้งมากที่สุด…” หลัวเฮพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า
หลังจากได้ยินคำนี้ สีหน้าของชายที่ชื่อชิวเปลี่ยนไปทันที หายใจแรงมากขึ้น
ฉิงม่งเอ๋อสัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันน่ากลัวของชายคนนี้ รีบถอยหลังไปหลายก้าว ราชันวิญญาณทั้งสองคนก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่แน่นอนของท่านชิว สีหน้าเปลี่ยนไปด้วย
“หลัวเฮ เจ้าเป็นถึงเจ้าโลก ทำให้ทั้งทางใต้ของเขตโลกตกอยู่ในอันตราย ยังมีใครที่ขยะกว่าเจ้าได้อีก” ชายคนนี้มองอย่างเยือกเย็น กลับต่อว่าเจ้าโลกตะวันตกโดยตรง!
สีหน้าของหลัวเฮแย่กว่าเดิม แต่เผชิญหน้ากับพลังของท่านชิวแล้ว เขาไม่กล้ามีท่าทีโต้ตอบใดๆ …
ซุนฉีหมิงนั่งอยู่ด้านข้าง อ้าปากเล็กน้อย เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูด
ฉิงม่งเอ๋อยืนอยู่ด้านข้าง กลับกลัวจนปิดปากไม่ได้ เพราะเธอแทบไม่รู้ว่าเจ้าโลกที่มีตำแหน่งสูงสุดในเขตโลกตะวันตกนี้ จะถูกคนด่าว่า ‘ขยะ’ ถ้าอย่างนั้น ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือใครกันแน่!
“พรุ่งนี้ส่งกองทัพไป เข้าไปในเมืองตะวันตก จัดการพลังของบ่อน้ำตะวันตกนี้ซะ” ท่านชิวพูดอย่างเยือกเย็น
“นี่…ท่าน อำนาจของโลกตะวันตกเราบอบบาง ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงชนเผ่าขั้นสาม…” หลัวเฮพูดเสียงเบา
“หึ ตอนที่ภัยแร้งมาถึง พวกเจ้าสองคนทำอะไรอยู่” เดิมท่านชิวก็ขี้เกียจยุ่งกับโลกตะวันตกอยู่แล้ว เจ้าโลกหลัวเฮจะดีหรือร้ายก็ไม่เกี่ยวกับเขา แต่ว่าตระกูลชู่ย้ายไปเมืองตะวันตก แล้วยังเป็นบริเวณที่ได้รับภัยแล้งสาหัสที่สุด นี่ทำให้ท่านชิวรู้สึกโกรธเคืองมาก ถึงระบายไปที่เจ้าโลกไม่ได้เรื่องคนนี้หมด
“พวกเรา…พวกเราก็พยายามสุดกำลังแล้ว” ซุนฉีหมิงพูดขึ้นเสียงเบา
“สุดกำลังแล้ว อย่ามาทำเป็นโง่!” ท่านชิวยิ่งโกรธไปถึงซุนฉีหมิง
ราชันวิญญาณทั้งสองที่อยู่ในโลกตะวันตก หลังจากเกิดภัยแร้งขึ้น ราชันวิญญาณทั้งสองกลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย กลับปล่อยให้ด้านใต้ของเขตโลกหนึ่งถูกกลืนกินไปแบบนี้ ต่อให้เป็นชนเผ่าขั้นสาม อย่างน้อยก็ต้องมีแรงต้านทานได้บ้าง แต่เห็นได้ชัดมากว่า เจ้าคนโง่ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ทำตามหน้าที่
ท่านชิวเองก็รู้ดี ถ้าไม่ได้เป็นเพราะหลัวเฮยังเป็นเจ้าประตูของประตูเมืองหลัว ได้รับการดูแลจากประตูเมืองหลัวใหญ่และประตูเมืองหลัวใหม่ การประมาทแบบนี้ต้องได้รับโทษแน่นอน!
“พวกเราอยู่แบบนี้ก็คอยให้ความช่วยเหลือจากประตูหลัวเหมือนกัน” สีหน้าของหลัวเฮแย่ลงเรื่อยๆ ในใจด่าท่านชิวนี้ไปหลายสิบรอบแล้ว
“คนของประตูเมืองหลัวของพวกเจ้าจะไปถึงเมื่อไร ข้าขี้เกียจพูดมากกับขยะอย่างพวกเจ้าทั้งสองแล้ว เช้าพรุ่งนี้ ออกกองทัพไปด้านใต้ กำจัดบ่อน้ำตะวันตก!” ท่านชิวพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งทันที
หลัวเฮก้มหน้า เขารู้ว่าท่านชิวคนนี้มาจากวังดวงวิญญาณ เป็นบุคคลระดับเจ้าวัง ตำแหน่งสูงกว่าเจ้าโลกเขตโลกขั้นหนึ่งอย่างเขามาก แต่อย่างน้อยในโลกตะวันตกนี้มีเขาเป็นใหญ่ ท่านชิวคนนี้กลับต่อว่าเขาจนไม่เหลือชิ้นดี เขาจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร
แน่นอนว่า ต่อให้ไม่พอใจอย่างมาก หลัวเฮก็แสดงออกมาทางสีหน้าไม่ได้ พูดพร้อมฝืนยิ้มว่า “เรื่องนี้จ้องดูในระยะยาว ไม่…”
“คืนนี้ข้าจะมุ่งหน้าไปเมืองตะวันตก เช้าวันที่สอง ถ้าข้าไม่เห็นกองทัพของพวกเจ้าที่มีพวกเจ้าไปด้วย จะฆ่าพวกเจ้าก่อน!” ชายคนนี้พูดอย่างเยือกเย็น แล้วหันหลังจากไป
หลัวเฮกับซุนฉีหมิงขนลุกไปทั่งตัว กลับทำได้แค่มองดูท่านชิวจากไปอย่างหมดคำพูด
หลังจากผ่านไปสักพัก หลัวเฮพบว่า ลูกศิษย์หญิงคนนั้นยังยืนอยู่ตรงนั้น มองไปด้วยความโกรธ ตะโกนว่า “ยังยืนทำอะไรตรงนั้น ถอยไป!”
ฉิงม่งเอ๋อกลัวจนเสียโฉม รีบโค้งคำนับแล้วจากไป
หลังจากออกจากห้องโถงไป ฉิงม่งเอ๋อเดาไว้ว่า ท่านชิวคนนั้นสนใจความเป็นอยู่ของตระกูลชู่มาก ในตอนนั้นจึงรีบวิ่งตามไป
และในห้องโถง หลัวเฮกับซุนฉีหมิงกลับนิ่งไปสักพักหนึ่ง สุดท้ายยังคงพูดเสียงเบาว่า “เจ้านี่ลงมือ เรื่องนี้จะสงบลงครึ่งหนึ่งได้ แต่ว่าเขาตามหาตระกูลชู่เมืองเจ็ดสี ใกล้กับแหล่งวิญญาณเมืองเจ็ดสีมากแล้ว…ถ้าเขาสังเกตเห็นแหล่งวิญญาณ ด้วยอารมณ์ของเขาแล้ว เกรงว่าไม่เพียงแต่จะเก็บไว้คนเดียว แล้วยังจะเปิดเผยเรื่องของพวกเราทั้งสองด้วย”
“วางใจได้ ตระกูลชู่เล็กที่เขาพูดถึง คาดว่าถูกบ่อน้ำตะวันตกจัดการไปแล้ว เขาไปเมืองตะวันตกก็เพื่อระบายอารมณ์ พวกเราเองก็ใช้ให้เขามากำจัดราชันที่ยุ่งยากของบ่อน้ำตะวันตก…ทว่า ป้องกันไว้ก่อน พรุ่งนี้ข้าจะส่งกำลังไปสู้กับบ่อน้ำตะวันตก แล้วเจ้าหาโอกาสอ้อมไปภูเขาระหว่างเมืองเจ็ดสีนั้น ทำเป็นกวาดล้างกลุ่มเสือดาวตรงนั้น อย่างไรก็อย่าให้เจ้านั่นโกรธแล้วมุ่งหน้าจากเมืองเจ็ดสีที่แตกสลายไปยังภูเขาทรงพลังนั้น ถ้าอย่างนั้น เขาจะเจอแหล่งวิญญาณแน่นอน” หลัวเฮพูดขึ้น
“ทำไมเจ้าไม่ไป” ซุนฉีหมิงพูดอย่างไม่พอใจ
ภูเขาทรงพลังยังมีชนเผ่ากลุ่มเสือดาวอาศัยอยู่ อีกทั้งยังเข้าไปในเมืองเจ็ดสีตอนที่ฝ่าเขตป้องกันของบ่อน้ำตะวันตกด้วย ถ้าเจอดวงวิญญาณระดับราชัน เขาและซุนฉีหมิงจะมีอันตรายถึงชีวิต
“ข้าจะกวาดล้างด้านใต้พร้อมกับสกุลชิว ตอนนี้ยังจะคิดเล็กคิดน้อยอีก ถ้าถูกพบเจอละก็ ข้ากับเจ้าต้องใช้ชีวิตหลังจากนี้ในคุกทั้งหมดแน่!” หลัวเฮบอก
“ก็ได้” ซุนฉีหมิงพยักหน้าอย่างหมดคำพูด
“แล้วก็ ทันทีที่เจอคนรู้ความลับแหล่งวิญญาณ เจ้าก็จัดการไปซะ…” หลัวเฮบอก
“รู้แล้ว” ซุนฉีหมิงสะบัดมือ
…
…
หุบเขาทรงพลัง
หลังจากชู่มู่สู้ครั้งใหญ่แล้ว ได้พักสองวัน
ในบรรดาดวงวิญญาณ นอกจากจั้นเย้กับอสูรสายฟ้านิมิตราตรีที่ยังมีพลังต่อสู้แล้ว ดวงวิญญาณอื่นเหนื่อยล้าอย่างมาก รวมถึงมั่วเย้ด้วย ต่างนอนหลับอยู่ในช่องว่างของชู่มู่
ชู่มู่รู้ว่า ถ้าบ่อน้ำตะวันตกมาถึงในตอนนี้ละก็ จำต้องอาศัยอาจารย์อาของตระกูลชู่หลักและสมาชิกของตระกูลชู่เฝ้าหุบเขาไว้ ส่วนเขาเอง ถ้าไม่มีเวลาห้าถึงหกวัน คงยากที่จะฟื้นตัวกลับมาสู้ต่อได้
“พี่ชู่มู่ พี่ชู่มู่…” ตอนเช้าตรู่ ชู่อีซุ่ยได้เข้ามาในเต็นท์ของชู่มู่ด้วยความสดใส
“ทำไมเหรอ” ชู่มู่ใช้น้ำล้างหน้า แล้วถามขึ้น
“ดวงวิญญาณส่งสารของผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารพวกเราบินออกไป ได้ติดต่อกับโลกภายนอกแล้ว โลกภายนอกตอบกลับมาว่า จากพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าโลกจะออกกำลังมาสู้กับภัยแร้ง ตอนนี้มาถึงบริเวณเมืองตะวันตกแล้ว ถ้าสถานการณ์ดีละก็ น่าจะมาถึงเมืองเจ็ดสีในหนึ่งอาทิตย์” ชู่อีซุ่ยพูดขึ้น
“อืม แบบนั้นก็ดี ทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา
คาดว่าอำนาจต่างๆ เริ่มออกกำลังสู้กับบ่อน้ำตะวันตกแล้ว แบบนี้ละก็ บ่อน้ำตะวันตกจะไม่กล้าอยู่ในพื้นที่ของมนุษย์นานเกินไป อีกไม่นานก็จะถอยทัพไป
และในตอนที่บ่อน้ำตะวันตกถอยทัพกลับไปผ่านภูเขาทรงพลัง จะต้องโกรธอย่างมากตอนที่พบว่า แหล่งวิญญาณที่ผลิตเพียงครั้งเดียวนั้นหมดลงแล้ว ทำให้บ่อน้ำตะวันตกไม่ได้อะไรกลับไป
“ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารบอกกับโลกภายนอกว่า พวกเราสามหมื่นกว่าคนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาต่างบอกว่า พวกเรามีชีวิตได้เป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ทั้งเมืองตะวันตก เมืองหุบเขาตะวันตก เมืองหลั่งเหอ มีคนตายลงไม่น้อยแล้ว แต่พวกเราซึ่งเป็นคนเมืองเจ็ดสีที่สาหัสที่สุดกลับมีชีวิตอยู่หมด…” ชู่อีซุ่ยพูดไป เสียงเบาลงเรื่อยๆ คนของทั้งสามเมืองตายลงเพราะภัยแร้งครั้งหนึ่ง นึกแล้วยังรู้สึกกลัว
“ไม่ต้องเสียใจไป ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” ชู่มู่เห็นเธอเสียใจไม่น้อย จึงพูดปลอบใจ
“อืม ยังดีที่มีพี่ชู่มู่ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงเหมือนคนในเมืองอื่น ถูกบ่อน้ำตะวันตกฆ่าตายไปแล้ว พี่ชู่มู่เป็นวีรบุรุษของพวกเราจริงๆ” ตอนที่พูด ชู่อีซุ่ยเองได้โอบคอของชู่มู่อย่างดีใจ หอมแก้มแบบหอมหวานให้ชู่มู่
ชู่มู่ยังไม่ทันได้ตั้งสติกลับมา ชู่อีซุ่ยได้จากไปแล้ว ทำให้ชู่มู่ลูบแก้มของตัวเองด้วยความเขิน
————————————————————-
หลังจากเข้าไปในหุบเขาแล้ว ประชาชนสามหมื่นกว่าคนของเมืองเจ็ดสีได้สร้างที่พักอาศัยชั่วคราวในเขตเมืองเก่าแห่งนี้แล้ว รวมตัวอยู่ในลานกว้างของเมืองเก่านี้
บริเวณตรงกลาง คือตำแหน่งตั้งเต็นท์สีเหลืองของสมาชิกตระกูลชู่ ชู่หลั่งพาชู่มู่มุ่งหน้าไป คนไม่น้อยต่างมองไปยังชู่มู่ด้วยความอยากรู้
ความจริงคนของเมืองเจ็ดสีไม่รู้ว่า คนที่ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งหมดคือวัยหนุ่มที่เดินผ่านด้านหน้าพวกเขาคนนี้ ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับราชันอัคคีเก้าหางนั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่สามหมื่นกว่าคนรู้ในชั่วค่ำคืน พวกเขารู้ว่า มีผู้คุมดวงวิญญาณแข็งแกร่งคนหนึ่งพาราชันอัคคีเก้าหางปกป้องพวกเขาจากหายนะของชนเผ่ากลุ่มเสือดาว
“น่าแปลก ทำไมเหมือนวุ่นวายไปหมด” ตอนที่ชู่หลั่งเดินไปในเต็นท์ของสมาชิกตระกูลชู่ ทันใดนั้น พบว่าคนในนั้นเกิดความชุลมุนไม่น้อย
ชู่มู่กับชู่หลั่งเองได้เร่งฝีเท้า เดินไปทางนั้น
“ชู่มู่!!!”
“ชู่มู่ ขอบคุณพระเจ้า เจ้าไม่เป็นอะไร!!!”
ชู่มู่เดินเข้ามา คนมากมายจำเขาได้ทันที ต่างล้อมเข้ามาด้วยความตื่นเต้น
“พวกเราคิดว่า เจ้าไปพร้อมกับกลุ่มเสือดาวเหล่านั้นแล้ว เกือบคิดจะตั้งป้ายหลุมให้เจ้าแล้ว” ชู่อิงเช็ดตาเล็กๆมองดูแล้วคงดีใจจนน้ำตาไหล
ส่วนน้องสาวคนเล็กชู่อีซุ่ยเต็มไปด้วยน้ำตา ดึงแขนของชู่มู่แล้วพูดไม่หยุด
เดิมเหล่าชายวัยกลางคนที่ต่อสู้ไปพร้อมกับชู่มู่ยังพักผ่อนอยู่ รู้ว่าชู่มู่กลับมาแล้ว ต่างลุกขึ้น ฉีกยิ้มออกมาบนใบหน้าที่เหนื่อยล้า แม้แต่รอยยิ้มของจางอิงยังดูจริงใจอย่างมาก!
“ชู่มู่คือวีรบุรุษของพวกเราทุกคน!!!” ชู่เทียนหลิงเองพูดขึ้นอย่างไม่รักษาหน้าของผู้ใหญ่
“ถูก ชู่มู่คือมหาวีรบุรุษของตระกูลเรา เป็นมหาวีรบุรุษของเมืองเจ็ดสี!” ชู่เทียนฉีพูดตอบทันที
ในเวลานี้สมาชิกทั้งหมดของตระกูลต่างแต่งตั้งให้ชู่มู่เป็นวีรบุรุษ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่าชาวบ้านของเมืองเจ็ดสีล้อมเข้ามาด้วย ต่างมุงดูว่าวีรบุรุษที่ตระกูลชู่พูดถึงคือใครกันแน่ หรือว่าจะเป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่เป็นเทพคุ้มครองคนนั้นของเมืองเจ็ดสี!
สถานการณ์ทั้งหมดดุเดือดขึ้นทันที นี่ทำให้ใบหน้าของชู่มู่แดงขึ้น
ชู่มู่เองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่านสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ตอนที่ได้เกียรติขั้นหนึ่ง เขาต้องเผชิญกับผู้คนที่มากกว่าประชาชนเมืองเจ็ดสีนี้หลายเท่า
ที่ต่างกันคือ ที่นี่มีความรู้สึกที่มีต่อตระกูลของตัวเอง มองดูใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านี้ภูมิใจกับตัวเอง ความรู้สึกย่อมแตกต่างกัน
ชู่มู่เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงๆ โดยหลักแล้ว กลับมาตระกูลครั้งนี้ก็เพื่อแหล่งวิญญาณ แน่นอนว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ชู่มู่ไม่อธิบายจะดีกว่า ในตระกูลของตัวเอง ชู่มู่รู้สึกว่ายังคงรักษารูปลักษณ์สง่าแบบนี้ไว้จะดีกว่า
“การต่อสู้ต่อเนื่อง วีรบุรุษของพวกเราคงเหนื่อยแล้ว ทุกคนกลับไปก่อนเถอะ ให้ชู่มู่ได้พักผ่อน” สุดท้าย ชู่เทียนเหิงหยุดความคึกครื้นของผู้คนทั้งหมดเอาไว้
“ก็จริง”
“ใช่ ให้วีรบุรุษของพวกเราพักผ่อนก่อน วีรบุรุษล้มลงไม่ได้”
“ถ้าผ่านภัยแร้งครั้งนี้ไปได้ กลับไปในเมืองเจ็ดสีเมื่อไร จะสร้างอนุสรณ์ให้วีรบุรุษคนนี้แน่นอน”
ท่ามกลางเสียพูดคุยของผู้คนมากมาย ชู่มู่ได้ยินระโยคสุดท้าย แอบรู้สึกแปลกใจ ไม่กลับมาจะตั้งป้ายให้ ทำไมกลับมาแล้วยังต้องมีป้ายอนุสรณ์ด้วย…
หลังจากที่ผู้คนกระจายตัวไป ชู่มู่ได้เข้าไปในเต็นท์ใหญ่พร้อมกับสมาชิกสำคัญของตระกูลชู่
เต็นท์ใหญ่นั้นค่อนข้างใหญ่ บรรจุคนได้หลายคน การประชุมของตระกูลชู่ก็อยู่ที่นี่
ชู่มู่ยังมีเรื่องต้องเจรจากับชู่เทียนเหิง จึงเข้าไปในเต็นท์คุยกับชู่เทียนเหิงลำพัง ให้คนอื่นเข้าไปรอในเต็นท์ใหญ่สุด
“ใช่แล้ว เมื่อกี้ชุลมุนอยู่ เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ชู่มู่นึกเรื่องเมื่อกี้ขึ้นมาได้ จึงถามชู่เทียนเหิง
“อ้อ พวกคนของประตูเมืองหลัวกับองค์กรการค้า” ชู่เทียนเหิงบอก
“พวกเขางั้นหรือ” ชู่มู่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
สีหน้าของชู่เทียนเหิงเคร่งเครียดขึ้น พูดกับชู่มู่เสียงเบาว่า “พวกเขาหนีมาที่นี่เมื่อกี้ เพื่อไม่ให้พวกเขากระจายข่าวแล้วสร้างความวุ่นวาย ข้าได้ให้พวกเขาเข้ามาพักในเต็นท์ ให้คนรักษาพวกเขา ข่าวจึงไม่กระจายออกไป”
“พวกเขาไม่ได้ออกไปเหรอ…ถ้าอย่างนั้น…” ชู่มู่ถอนหายใจเบา ๆ
ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ออกไป เท่ากับว่าอำนาจของบ่อน้ำตะวันตกกว้างขวางมาก ไม่ได้มีแค่เมืองเจ็ดสีที่ตกอยู่ในหายนะครั้งนี้แน่นอน
“คนของประตูเมืองหลัวตายไปหกคน หนีมาที่นี่สี่คน คนขององค์กรการค้ายังมีชีวิตอยู่ แต่นอกจากซุนซือหลงแล้ว วิญญาณของคนอื่นได้รับบาดเจ็บหมด พวกเขาทะลายออกไปในทิศทางที่ต่างกัน หนีไปถึงเมืองตะวันตก แต่เมืองตะวันตกถูกยึดครองหมดโดยกลุ่มขั้นสิบอันหนึ่ง พวกเขาไม่มีความสามารถทะลายได้อีก รวมตัวกันบริเวณเมืองย่อยที่ใกล้กับเมืองตะวันตก แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองเจ็ดสีพร้อมกัน ซุนซือหลงยังจำแผนการที่เจ้าบอกกับเขาได้ ดังนั้นจึงตามหาหุบเขามังกรนี้จนเจอได้”ชู่เทียนเหิงบอก
คำพูดของชู่เทียนเหิงนี้กำลังบรรยายสถานการณ์ทะลายของประตูเมืองหลัวและองค์กรการค้า แต่ในคำพูดเหล่านี้กลับมีความจริงที่น่ากลัวมากอย่างหนึ่ง ทางใต้ของโลกตะวันตกถูกครอบครองเอาไว้หมดแล้วจริงๆ!!!
“ชู่มู่ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเจ้าให้พวกเราหนีมาที่นี่ พวกเราอาจเป็นเหมือนเขตเมืองอื่น ถูกบ่อน้ำตะวันตกฆ่าล้างไปแล้ว”จนถึงตอนนี้ชู่เทียนเหิงยังคงหวาดหวั่นอยู่
“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ดีเท่าไร บ่อน้ำตะวันตกมาถึงที่นี่ได้ทุกเมื่อ อาศัยตอนที่พวกเขายังมาไม่ถึง พากลุ่มที่มีความสามารถแข็งแกร่งหน่อย ให้พวกเขาเข้าไปจับดวงวิญญาณตัวอ่อนของกลุ่มเสือดาวในภูเขาทรงพลังนี้เอาไว้ให้หมด”ชู่มู่พูดกับชู่เทียนเหิง
พอชู่มู่พูดแบบนี้ ตาของชู่เทียนเหิงเป็นประกายทันที
กลุ่มเสือดาวเป็นชนเผ่าขั้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นจะมีดวงวิญญาณตัวอ่อนเยอะมาก และเป็นเพราะการสลายของชนเผ่า จับดวงวิญญาณตัวอ่อนพวกนี้ง่ายมาก
จำนวนของดวงวิญญาณตัวอ่อนทั้งชนเผ่า นี่เป็นจำนวนมหาศาลอย่างมาก ถ้าจับพวกมันทั้งหมดได้ละก็ นำมาเป็นรางวัลของตระกูลชู่ ความสามารถของตระกูลชู่จะเพิ่มขึ้นในเวลาอันสั้นแน่นอน!
ที่สำคัญที่สุดคือ ปราศจากชนเผ่ากลุ่มเสือดาวแล้ว ทั้งภูเขาทรงพลังนี้จะเป็นพื้นที่ของเมืองเจ็ดสีหมดแล้ว แม้ทางใต้จะค่อนข้างยากจน แต่ภูเขาทั้งหมดเทียบเท่ากับเขตโลกหนึ่งของมนุษย์ ทรัพยากรในนั้นจะต้องสร้างตระกูลที่อยู่ในระดับเขตโลกได้แน่นอน!
“ท่านอา ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเจ้า…” ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง
“อืม เจ้าพูดมาเลย” ชู่เทียนเหิงเองก็จริงจังมากขึ้น
ในตอนนี้ ชู่มู่จึงเล่าเรื่องที่ตัวเองคิดจะช่วยเหลือตระกูลชู่ ให้พวกเขาครองแหล่งทรัพยากรมหาศาลนี้ให้ชู่เทียนเหิงรู้
ในตอนแรก ชู่มู่พูดถึงเรื่องที่จะให้ตระกูลชู่ดูแลเรื่องแหล่งวิญญาณ อีกทั้งเรื่องช่วยเหลือการพัฒนาการของเมืองเจ็ดสีจากการกำจัดกลุ่มเสือดาว ชู่เทียนเหิงยังยากที่จะเชื่อ อย่างไรก็ตาม ชนเผ่ากลุ่มเสือดาวต้องให้กองทัพของโลกตะวันตกลงมือถึงจะกำจัดให้หมดรังไปได้
แต่ในตอนนี้ ความคิดที่เพ้อเจ้อนี้ของชู่เทียนเหิงกลับเป็นจริงในเวลาไม่กี่วัน ชู่เทียนเหิงเชื่ออนาคตที่ชู่มู่พูดถึงนั้นว่าจะเป็นความจริงแน่นอน อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้อย่างมาก!!!
เพราะทันทีที่ภูเขาทรงพลังถูกขุดออก ถ้าอย่างนั้นเมืองเจ็ดสีจะต้องกลายเป็นเมืองขั้นสิบในไม่ช้า กลายเป็นเมืองที่มีอำนาจมากที่สุดในทางใต้ของโลกตะวันตก อีกทั้งอยู่ในระดับที่ก้าวข้ามเมืองโลกแน่นอน!!!
คำอธิษฐานของชู่เทียนเหิง ก็คือการเป็นเจ้าเมืองของเมืองที่เกินกว่าขั้นสิบ!!!
หลังจากได้ฟังคำบรรยายของชู่มู่แล้ว บอกว่าเมืองเจ็ดสีอาจข้ามผ่านการมีอยู่ของเมืองโลกได้ เลือดของชู่เทียนเหิงดุเดือดขึ้นมาทันที หัวใจเต้นไม่หยุด!!!
ตอนยังหนุ่ม ชู่เทียนเหิงพยายามเพื่อสิ่งนี้ไม่หยุด
และแล้ว ความสามารถของชู่เทียนเหิงมีอย่างจำกัดมาก ไม่ว่าเขาจะต่อสู้อย่างไร ก็ไม่สามารถออกจากเมืองขั้นแปดได้
จนกระทั่งหลังจากที่ตระกูลชู่ย้ายมาในเมืองตะวันตก ชู่เทียนเหิงถึงได้เจอกับโอกาสที่แท้จริง
ดังนั้น ชู่เทียนเหิงได้ปักใจเชื่อในเมืองเจ็ดสีที่ยากจะเข้าใจ ชู่เทียนเหิงหวังว่าในไม่กี่ปีนี้ จะพัฒนาเมืองนี้ให้อยู่ในขั้นสิบได้ อย่างไรเสีย เมืองเจ็ดสีเต็มไปด้วยความสามารถอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาชีวิต อยู่ในวัยกลางคน แต่เห็นได้ชัดว่า ความเลือดร้อนของชู่เทียนเหิงนั้นยังไม่เปลี่ยนไป และเป็นเพราะความแน่วแน่นี้เอง ทำให้เขาพุ่งออกไปอย่างเลือดร้อน เมื่อตอนที่ชู่มู่เผชิญกับกลุ่มเสือดาวที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของเมืองเจ็ดสีลำพัง
“ท่านอา เจ้าเป็นอะไรเหรอ” ชู่มู่มองไปยังชู่เทียนเหิง พบเห็นชู่เทียนเหิงที่มีใบหน้าซับซ้อนอย่างมาก ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ในที่สุด วันที่รอคอยก็ได้มาถึงแล้ว วันนี้ที่รอคอย!!! เมืองเจ็ดสีไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!!! เมืองเจ็ดสีไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ฮะฮะ!!!” ชู่เทียนเหิงหัวเราะออกมากะทันหัน
ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย ยากที่จะเห็นท่านอาที่เคร่งครึมท่านนี้หัวเราะแบบนี้ออกมาได้
“ชู่มู่ เจ้ารู้ไหม” ชู่เทียนเหิงตบไหล่ของชู่มู่เบาๆ พูดอย่างตื้นตันใจว่า “ตอนที่ท่านอาข้ามีอายุเท่าเจ้า ได้สาบานไว้ว่า จะเป็นเจ้าเมืองของเมืองที่เหนือกว่าขั้นสิบให้ได้ ข้าจัดการกิจการของตระกูลให้ดีมาตลอด ขยายให้ใหญ่ขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงมากเหลือเกิน ตามที่อายุของข้าเพิ่มขึ้น ความจริงที่อยู่ตรงหน้าได้ค่อยๆ กำจัดความคิดนี้ของข้าไป”
“ข้าเองก็ไม่คิดว่า หลังจากหลายปี ยังมีโอกาสอีก ยังมีโอกาสจะได้เป็นเจ้าเมืองของเมืองโลกอีก อีกทั้งโอกาสพวกนี้มาจากเจ้า คิดไม่ถึงจริงๆ คิดไม่ถึงเลย ชู่มู่ สิ่งที่เจ้าทำ ทำให้ท่านอาข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องพูดอะไร…ข้า…ข้า…”
ตอนที่ชู่เทียนเหิงพูด น้ำตาได้เอ่อล้นออกมา ตื้นตันใจจนพูดไม่ออกแล้ว!!!
คำสะอื้นของชายแก่คนหนึ่ง ในนี้เต็มไปด้วยความตื้นต้นใจหลังจากที่เขาผ่านความเจ็บปวดมานับสิบปีและอารมณ์ที่ยากจะควบคุมในตอนนี้!!!
ผู้คุมดวงวิญญาณแต่ละคนมีความฝันและความคิดของตัวเอง โดยเฉพาะในตอนที่ยังหนุ่มและเต็มไปด้วยความเลือดร้อน
แต่ด้วยสาเหตุต่างๆ ทำให้ผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่มนับไม่ถ้วนถูกความจริงตัดช่องทางไป สุดท้ายจึงชราลงอย่างสงบ ต่างจากชีวิตที่เคยวาดฝันไว้อย่างสิ้นเชิง
ชู่เทียนเหิงโชคดี อย่างน้อยหลังจากที่เขาเข้าสู่วัยกลางคน ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง
บางครั้งต่อให้ชู่มู่ไม่ปรากฏตัว เขาก็เป็นเจ้าเมืองที่โดดเด่นได้ อย่างน้อยก็เป็นถึงเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง
แต่การปรากฏตัวของชู่มู่ ได้มอบเวทีที่ใหญ่ขึ้นให้กับชู่เทียนเหิง ทำให้ชู่เทียนเหิงพัฒนาได้อย่างเต็มที่!
ความฝันที่ไม่เคยได้เป็นจริงในอดีตเกิดความหวังขึ้นในวัยกลางคน อีกทั้งยังยิ่งใหญ่กว่าที่จินตนาการเอาไว้ ต่อให้เป็นวัยกลางคน คาดว่าจะต้องดุเดือดอย่างเคย และจะต้องพร้อมสู้อีกครั้งแน่นอน!
“สามหมื่นกับร้อยกว่า เลขท้ายเอามาเป็นอาหารได้พอดี” ผู้เฒ่าหลีกระโดดลงมา มือเล็กๆ ทั้งสองกลับเต็มไปด้วยวิญญาณทั้งหมด
“มีสามหมื่นก็พอ!” ชู่มู่ฉีกยิ้ม
โลกตะวันตกมีเมืองมารนิรยแห่งหนึ่งพอดี คาดว่าถ้าเสนอสองหมื่นวิญญาณ คนของวังมารนิรยน่าจะยอมให้วัตถุวิญญาณที่เพิ่มความแข็งแกร่งมารนิรยขาว
หนึ่งหมื่นวิญญาณที่เหลือ เอามาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตเวหาน้ำแข็งเถอะ ภูตเวหาน้ำแข็งอยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว หลังจากอยู่ในลักษณะสิบ น่าจะสลายพลังส่วนหนึ่งของน้ำแข็งเทพดินได้แล้ว ชู่มู่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันอยู่ในระดับราชัน
หลังจากภูตเวหาน้ำแข็งอยู่ในระดับราชัน ชู่มู่ยังมีน้ำแข็งเทพดินอีกครึ่งหนึ่ง รออีกสักพักหนึ่ง ชู่มู่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตเวหาน้ำแข็งอยู่ในระดับราชันขั้นต่ำได้ เช่นนี้ ความสามารถของชู่มู่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก!
เวลาไม่ถึงหนึ่งปี ชู่มู่จะอยู่เหนือราชันวิญญาณมากมายได้แน่นอน
“นายท่าน โดยปกติแล้ว จำนวนวิญญาณที่ผลิตต่อหนึ่งปีเป็นหนึ่งในสิบของจำนวนวิญญาณที่เก็บได้ในครั้งหนึ่ง เท่ากับว่า ที่นี่จะมีสามพันวิญญาณทุกปี ในเวลาสามปีจะสร้างเทียบเท่าราชันตัวหนึ่งได้ นี่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างมาก แม้สิบปีหลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดน้อยลง แต่ในเวลายี่สิบปีจะมีเทียบเท่าราชันประมาณห้าตัว เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก วิญญาณที่นายท่านชิงมาต้องนำมาเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณ แต่หลังจากที่ดวงวิญญาณทั้งหมดอยู่ในระดับราชันแล้ว จะใช้สิบกว่าวิญญาณต่อวัน การต่อสู้ครั้งใหญ่อาจใช้ถึงร้อยวิญญาณ นี่เป็นเงินทุนทั้งนั้น ต้องใช้แหล่งวิญญาณที่คงอยู่เป็นเวลานานเพื่อให้คงอยู่ต่อไป” ผู้เฒ่าหลีบอก
“อืม ข้าจะพยายามช่วยเหลือตระกูลชู่ ให้พวกเขาจัดการกิจการที่นี่” ชู่มู่พยักหน้า
แหล่งทรัพยากรรอบเมืองเจ็ดสีอุดมสมบูรณ์อย่างมาก แม้แต่เจ้าโลกยังสนใจอย่างมาก แต่น่าเสียดาย ที่นี่ยากจะค้นพบเหลือเกิน แต่ในตอนนี้ กลุ่มเสือดาวของภูเขาทรงพลังถูกกำจัดไปแล้ว พื้นที่ของโลกตะวันตกได้ขยายออก การขยายแบบนี้ทำให้ตระกูลชู่ได้แหล่งทรัพยากรที่พอจะให้ตระกูลก้าวกระโดดไปได้
“นายท่าน ถ้าจะครอบครองแหล่งทรัพยากรที่นี่ อย่างแรกต้องทำให้อำนาจหลายๆ แห่งชะงักลงก่อน อย่างแรกคือประตูเมืองหลัว ประตูเมืองหลัวจงใจส่งคนมาที่นี่ ราชันวิญญาณคนนั้นสนใจมานานแล้วแน่ๆ ถ้าไม่มีความสามารถมากพอไปหยุดเขาไว้ได้ เขาจะไม่หยุดง่ายๆ แน่นอน อีกอย่างคือ ตระกูลชู่หลัก ผู้แข็งแกร่งของตระกูลชู่หลักมีเยอะมาก ในนั้นมีผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในอำนาจด้วย คนพวกนี้จะใช้ชื่อของตระกูลชู่หลัก โดยปกติ จะปรากฏตัวที่ตระกูลชู่หลักเฉพาะช่วงที่เกิดภัยแร้งเท่านั้น” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ตระกูลชู่หลักมีจุดพิเศษอะไร แล้วก็โลกตะวันตกเหมือนจะไม่ใช่โลกขั้นหนึ่งธรรมดา มีอำนาจเยอะมาก มีผู้แข็งแกร่งเยอะมาก”ชู่มู่ประหลาดใจมาก โดยปกติแล้ว เขตโลกขั้นหนึ่งน่าจะมีเจ้าโลกแค่คนเดียว คือราชันวิญญาณที่มีเทียบเท่าราชันคนหนึ่ง บางครั้งจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใช้ชีวิตเกษียณในเขตโลกบางแห่ง แต่ในโลกตะวันตกแห่งนี้ อำนาจมากมาย ผู้แข็งแกร่งมากคน
“ระดับของเขตโลกหนึ่งจะประเมินจากแหล่งทรัพยากร ด้วยทรัพยากรของโลกตะวันตกแล้ว ยี่สิบปีถึงจะมีเทียบเท่าราชันหนึ่งตัว แต่โลกตะวันตกนี้อยู่ในตำแหน่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างมาก บริเวณด้านตะวันตกเฉียงเหนือ คือทะเลเหิงที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ทะเลเหิงไม่อยู่ในเขตของมนุษย์ ครองโดยวังมารนิรย เท่ากับว่าภูเขาเหิงนั้นเป็นเมืองมารนิรยทั้งหมด”
“ด้านเหนือของโลกตะวันตก เป็นเมืองต้องห้าม ด้านเหนือสุดของเมืองต้องห้ามและเมืองอั่วกู่ได้ติดกับหุบเขาตัดมังกรหมื่นที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ส่วนหุบเขาตัดมังกรหมื่นนี้เป็นชนเผ่าระดับที่เท่าไร จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้…”
ส่วนเรื่องของหุบเขาตัดมังกรหมื่น ชู่มู่สงสัยอย่างมาก ทำไมผู้แข็งแกร่งของมนุษย์ถึงไม่ลงมือจัดการหุบเขาตัดนี้ อย่างไรหุบเขาตัดนี้มีโอกาสที่จะเกิดภัยแร้งสูงมาก เป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างมาก
ในตอนนี้ชู่มู่ได้ถามผู้เฒ่าหลีไปด้วย
“กำจัดแมลงปีศาจเวหางั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ เจ้ารู้ว่า ศัตรูฉกาจของเมืองเทียนเซี่ยคืออะไรไหม” ผู้เฒ่าหลีพูดขึ้น
“หรือว่าจะเป็นหุบเขาตัดมังกรหมื่นแห่งนี้” ชู่มู่ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
ผู้เฒ่าหลีส่ายนิ้วชี้ พูดขึ้นว่า “พื้นที่ชนเผ่าของหุบเขาตัดมังกรหมื่น ไม่สามารถเทียบกับเขตของมนุษย์ได้ เปรียบเทียบแบบนี้จะดีกว่า ถ้าเมืองเทียนเซี่ยเป็นประเทศหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเมืองอั่วกู่จะเป็นช่องทางผ่านอันสำคัญที่เชื่อมไปยังอีกประเทศหนึ่ง เอาไว้เป็นป้อมเฝ้าชายแดน ส่วนอีกประเทศหนึ่งที่ว่า คืออาณาจักรหมวดแมลงที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายในเมืองเทียนเซี่ยหน้าเสีย เพราะแมลงปีศาจเวหาคือผู้ปกครองอาณาจักรแมลงที่เต็มไปด้วยหมวดแมลงมากมาย ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าอาณาจักรแมลงปีศาจเวหา ทั้งอาณาจักรหมวดแมลงนี้ได้ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดในด้านเหนือของเมืองต้องห้าม ใหญ่จนยากจะจินตนาการได้ อาจใหญ่กว่าทั้งเขตเมืองเทียนเซี่ยอีกด้วย”
“และทางผ่านที่ตั้งเชื่อมอยู่ระหว่างอาณาจักรของมนุษย์และชายแดนของแมลงปีศาจเวหา ก็คือหุบเขาตัดมังกรหมื่นนั่นเอง!” ผู้เฒ่าหลีบอก
พอผู้เฒ่าหลีพูดแบบนี้ ชู่มู่สะเทือนใจอย่างมาก !!!
ในตอนแรกที่ได้ยินเรื่องของหุบเขาตัดมังกรหมื่น หุบเขาพันและหุบเขาหมื่นไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์เข้าไปก้าวก่ายได้แล้ว
ที่ทำให้ชู่มู่คาดไม่ถึงคือ หุบเขาตัดมังกรหมื่นที่มีข่าวสะเทือนใจแบบนี้ กลับเป็นแค่หนึ่งในทางผ่านอันสำคัญบริเวณชายแดนของ ‘อาณาจักรหมวดแมลง’ ของเมืองต้องห้ามด้านเหนือ
ถ้าอย่างนั้นอาณาจักรหมวดแมลงในเมืองต้องห้ามนี้จะมีขอบเขตกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดมาเพียงใดกันแน่!
“เขตพื้นที่ของมนุษย์พวกเจ้าเหมือนจันทร์เสี้ยวที่วางอยู่บนแผ่นดินใหญ่”
“โลกตะวันตกคือเสี้ยวที่อยู่ด้านซ้ายสุด”
“ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของโลกตะวันจก (ซ้ายบน) คือทะเลเหิงกว้างใหญ่นั้น ด้านเหนือ (บน) คืออาณาจักรหมวดแมลงกว้างใหญ่มหาศาล ด้านตะวันตกเฉียงใต้ (ซ้ายล่าง) คือบ่อน้ำตะวันตก คือที่ตั้งของเมืองต้องห้าม ส่วนด้านตะวันออก (ขวา) คือโลกของมนุษย์”
“ทั้งสามด้านต่างเป็นเมืองต้องห้ามซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของดวงวิญญาณ โลกตะวันตกนี้จะไร้ความพิเศษได้อย่างไร? ด้านตะวันตกเฉียงเหนือมีวังมารนิรยครองอยู่ ด้านเหนือคือตระกูลชู่หลัก ด้านตะวันตกเฉียงใต้ไม่มีใครดูแล อย่างมากก็เป็นแค่ลัทธิทางใต้บางอย่าง”
“ความจริงเมืองตะวันตกที่นายท่านอยู่นี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองตะวันตกเฉียงใต้ตั้งนานแล้ว ในตอนแรกสุดมนุษย์พัฒนาถึงแค่เมืองเจ็ดสี้นี้ ดังนั้น ถึงเรียกที่นี่ว่า เมืองตะวันตก ความจริงเมืองเจ็ดสีของเมืองตะวันตกคือตำแหน่งที่เข้าใกล้กับด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองต้องห้ามมากที่สุด เนื่องจากชนเผ่าของภูเขาทรงพลังค่อนข้างมั่นคง ชนเผ่าบ่อน้ำตะวันตกจึงว่างอยู่แค่ตรงนั้น ไม่ดุร้ายเหมือนทะเลเหิงกับหุบเขาตัดมังกรหมื่น ทิศทางนี้จึงค่อนข้างมั่นคงกว่า”
“ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของโลกตะวันตกสงบมานานแล้ว ไม่มีอำนาจอะไรคอยป้องกัน ถ้าบอกว่าบ่อน้ำตะวันตกมาเพื่อแหล่งวิญญาณนี้ละก็ ถ้าอย่างนั้นเมืองเจ็ดสีจะต้องรับเคราะห์แล้ว แต่ถ้าบ่อน้ำตะวันตกเต็มไปด้วยความโลภ คิดจะกลืนกินโลกตะวันตกไปด้วย เกรงว่าทั้งทางใต้ของโลกตะวันตกจะต้องตกอยู่ที่มัน เพราะในทางใต้ของโลกตะวันตกนี้ไม่มีพลังใดจะต้านทานการบุกรุกของชนเผ่าขั้นสามได้” ผู้เฒ่าหลีบอก
“สาหัสขนาดนั้นเหรอ!” ชู่มู่พูดอย่างประหลาดใจ
เดิมชู่มู่คิดว่า มีแค่พื้นที่ของเมืองเจ็ดสีจะถูกกลืนกิน ต่อให้เป็นหายนะ อย่างมากก็แค่เมืองทั้งหมดของเมืองตะวันตก แต่ไม่คิดว่าภัยแร้งหายนะครั้งนี้จะกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของโลกตะวันตก!
“รอดูข่าวเถอะ คาดว่าใกล้จะได้ผลสรุปแล้ว นายท่านคิดจะครองแหล่งวิญญาณนี้ นอกจากจะเกิดการแย่งชิงจาก วังมารนิรย ประตูเมืองหลัว ตระกูลชู่หลัก องค์กรการค้าแล้ว อีกอย่างก็คือบ่อน้ำตะวันตกชนเผ่าขั้นสามนี้แล้วละ”
“อำนาจของมนุษย์ยังไม่เท่าไร เจราจาได้ นายท่านไปพูดคุยกับราชันวิญญาณที่สนใจจะผูกมิตรกับท่านหรือคนที่เป็นมิตรกับท่านเหล่านั้น บอกเป็นนัยว่าจะมีส่วนแบ่งให้พวกเขา ด้วยตำแหน่งของนายท่านตำหนักวิญญาณ พวกเขายังคงสนับสนุนท่านอยู่ดี”
“บ่อน้ำตะวันตกชนเผ่าขั้นสาม อันนั้นพูดคุยยากแล้ว เดิมพวกมันก็คิดจะมาแย่งอยู่แล้ว และแล้วถูกนายท่านเข้าชิงก่อน นายท่านไม่มีความสามารถหยุดพวกมันไว้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องล้มเลิกรายได้สามพันวิญญาณต่อปีนี้แล้ว” ผู้เฒ่าหลีพูดพลางลูบหนวด
ในเวลาสองปี จะมีราชันวิญญาณกลุ่มใหญ่อยู่กับชู่มู่ ต้องแก้ปัญหาอาหารการกินด้วย มิฉะนั้น จะเกิดเป็นเงินมหาศาลถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไป
ดังนั้น ชู่มู่ยังต้องคิดหาวิธีกำจัดบ่อน้ำตะวันตกนี้ จัดการไม่ได้ ก็ต้องให้พกวมันหยุดลง ให้ตระกูลชู่กลายเป็นผู้ปกครองในด้านทิศใต้นี้
…
หลังจากเก็บสามหมื่นวิญญาณแล้ว ชู่มู่ได้สำรวจรอบรังเก่าของราชันเสือดาวรอบหนึ่ง เก็บของที่ส่องประกายทั้งหมดไปด้วย
ของที่ส่องประกายเหล่านี้เป็นเหรียญทอง เอาไปเป็นเงินทุนขยายตระกูลให้ตระกูลชู่ แม้เมื่อเทียบวิญญาณกับเหรียญทองจะต่างกันอย่างมาก แต่ยังคงสำคัญต่อการพัฒนาตระกูลอย่างมาก
หลังจากเก็บกวาดแล้ว ชู่มู่ได้ใส่ไว้ในแหวนช่องว่างอันหนึ่งจนเต็ม นับว่าได้กลับไปอย่างเต็มกระเป๋า
“นายท่าน หลังจากภัยแร้งสงบลงแล้ว ให้ตระกูลชู่ตั้งกลุ่มสำรวจภูเขาทรงพลังเหล่านี้ กลุ่มเสือดาวจำนวนมหาศาลถูกกำจัดไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นในภูเขาแห่งนี้ จะต้องมีดวงวิญญาณตัวอ่อนมากมายกำพร้า ให้พวกเขาพาคนมาออกล่า จะได้ดวงวิญญาณตัวอ่อนมากมายแน่นอน ถ้ารวมพวกนี้เข้าด้วยกันละก็ จะได้เงินมหาศาลมาก ต่อให้ไม่ขาย เก็บไว้เป็นสวัสดิการของตระกูล ถ้าอย่างนั้นคงมีคนนับไม่ถ้วนแย่งกันเข้าร่วมตระกูลชู่ จะทำให้อำนาจของตระกูลแข็งแกร่งขึ้นมาทันตา” ผู้เฒ่าหลีบอก
พอผู้เฒ่าหลีพูดแบบนี้ ตาของชู่มู่เป็นประกายทันที
อำนาจหนึ่ง จะมีอะไรที่ดีกว่าสวัสดิการอย่างดวงวิญญาณตัวอ่อนล่ะ
คาดว่าหลังจากจับดวงวิญญาณตัวอ่อนพวกนี้แล้ว ตระกูลชู่จะรวยอีกครั้งแล้ว!
ถ้าจะถามว่า ทำไมชู่มู่ไม่จับดวงวิญญาณตัวอ่อนพวกนี้ไปด้วยตัวเองเลยล่ะ
ทั้งภูเขาทรงพลังนี้เกือบจะครึ่งหนึ่งของเขตโลกแล้ว ต่อให้ในตอนนี้มีทองเต็มทั่วภูเขาทรงพลัง ชู่มู่จะมีแรงไปเก็บทีละส่วนได้อย่างไรกัน
…
แน่นอนว่า ไม่ว่าสิ่งใด ก็ไม่สำคัญเท่าสามหมื่นวิญญาณนั้น ชู่มู่เก็บสามหมื่นวิญญาณไว้ในแหวนช่องว่างสำคัญที่สุดของตัวเอง กลับไปด้วยกระเป๋าที่เต็มไปด้วยของมากมาย
ตอนที่ชู่มู่กลับไปถึงหุบเขาทรงพลัง ฟ้าสว่างแล้ว เส้นทางค่อนข้างไกล ยังดีที่ที่อาศัยของราชันเสือดาวอยู่ไม่ใต้ไกลเกินไป มิฉะนั้นคงจะกลับมาไม่ได้ในหลายวัน
“ชู่มู่ ชู่มู่!!! เจ้ากลับมาสักที พวกข้าตกใจหมด!!!” ชู่หลั่งที่เฝ้าอยู่ด้านนอกหุบเขาเห็นชู่มู่กลับมา รีบวิ่งเข้ามา พูดอย่างใจร้อน
“ข้าเข้าไปดูในภูเขาทรงพลัง เก็บของบางอย่างมาด้วย สถานการณ์ในหุบเขาไม่เป็นไรใช่ไหม” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา แล้วถามขึ้น
“อืม พวกเราเก็บกวาดกลุ่มเสือดาวที่ค้างอยู่ในหุบเขาทั้งคืน แต่แอ่งศพนั้น โดดเด่นเกินไป ข้าพาคนอื่นเดิมอ้อม ทุกคนยังคงอ้วกอยู่ดี แต่ตอนเช้า อาสองได้ให้คนไปเก็บเศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ ผลึกอวัยวะภายในมาแล้ว ค่อยทำการถม ตอนนี้น่าจะถมได้ประมาณหนึ่งแล้ว” ชู่หลั่งบอก
“พาข้าไปหาท่านอาเถอะ ข้ามีของบางอย่างจะให้เขา” ชู่มู่บอก
“ของอะไรหรือ” ชู่หลั่งเองก็ถามด้วยความสงสัย ด้วยความสามารถของชู่มู่ในตอนนี้ สิ่งที่เขาจะให้ไม่ธรรดาแน่นอน
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้” ชู่มู่ยิ้มเล็กน้อย ตั้งใจทำให้ชู่หลั่งตื่นเต้น
คาดว่าตอนที่ชู่หลั่งเห็นเสือดาวระดับราชันตัวอ่อนกับเศษวิญญาณผลึกวิญญาณมหาศาล จะต้องตาถลนออกมาแน่
——————————————————————————–
เมืองหลัว เมืองหวั่งหลัว
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเทา เผชิญกับสายลมที่พัดเข้ามา ก้าวเข้าไปในเมืองหวั่งหลัวอย่างช้าๆ
เมืองหวั่งหลัวไม่ครึกครื้นเหมือนวันเก่าแล้ว ถนนสายหลักเหล่านั้นเงียบผิดปกติ เห็นได้ชัดว่า เป็นผลจากภัยแร้งที่กำลังมาถึง ทำให้คนที่มีเงินทุนไม่น้อยย้ายไปหลบภัยที่เมืองทางด้านเหนือแล้ว ส่วนคนที่มีเงินทุนมากกว่าได้ย้ายไปยังเขตโลกอื่น ก่อนที่ภัยแร้งหายนะครั้งนี้จะหายไปหมด พวกเขาจะไม่กลับมาแน่นอน
ชายที่สวมเสื้อคลุมหยุดเดินตอนที่ถึงกำแพงเมือง มองไปยังกำแพงเมืองที่เก่าแก่ ลังเลพักใหญ่ ถึงก้าวเดินต่อไป เข้าไปข้างในอย่างช้าๆ
“คุณปู่ท่าน ท่านดู เมืองหวั่งหลัวยังอยู่ดี ภัยแร้งยังไม่มาถึงที่นี่สักหน่อย” คนรับใช้หญิงที่อยู่ด้านข้างชายคนนี้พูดขึ้น
ชายคนนี้ไม่ได้พูดอะไร เดินไปตามถนนสายหลักต่อไป
เขาเดินช้ามาก เดินบ้างหยุดบ้าง เหมือนเป็นนักเดินทางที่หวนกลับมาอีกครั้ง ย้อนความทรงจำตลอดทั้งทาง
คนรับใช้หญิงอ่อนช้อยกลับตรงกันข้ามกับชายผู้นี้ พูดไม่หยุดตลอดทั้งทาง ทั้งสองคนกลายเป็นภาพที่ตรงกันข้ามแต่ตลกขบขัน
ชายชราเดินตรงต่อไป สุดท้ายเดินไปถึงเรือนเก่าของตระกูลชู่ ยืนนิ่งอยู่ในเรือนนี้นานมาก ไม่กล้าก้าวเข้าไป
“คุณปู่ท่าน คุณปู่ท่าน ท่านเดินผิดหรือเปล่า?”คนรับใช้หญิงพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ไม่ผิด”ชายคนนี้ส่ายหัว เขาเงยหน้าขึ้น จับจ้องไปยังป้ายที่อยู่ด้านหน้าประตูใหญ่
“เรือนฉิงงั้นหรือ” ชายผู้นี้ขมวดคิ้วทันที
“ใช่ ที่นี่เป็นเรือนฉิง ไม่ใช่เรือนชู่เหรอ” คนรับใช้หญิงพูดขึ้น
ตอนที่พูด คนรับใช้หญิงกะพริบตา มองไปยังสีหน้าซับซ้อนของชายผู้นี้ จึงวิ่งเข้าไปในเรือนฉิง
แม้คนรับใช้หญิงจะเป็นคนรับใช้ แต่การแต่งตัวกลับไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูในตระกูลอื่น คนตระกูลฉิงก็สุภาพมาก
ในไม่ช้า คนรับใช้หญิงคนนั้นได้ถามบางอย่างแล้วออกจากตระกูลฉิง วิ่งกลับมา
“คุณปู่ท่าน คนของตระกูลฉิงบอกว่า ตระกูลชู่ย้ายออกไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าย้ายไปที่ใด” คนรับใช้หญิงพูดขึ้น
“คุณปู่ท่าน ท่านนี่จริงๆ เลย พวกเขาขับไล่ท่านเอง ให้ท่านออกจากตระกูล ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในความลำบาก ท่านอยู่เฉยๆ คอยมองอย่างเดียวก็ได้ ทำไมต้องมาหาด้วยตัวเอง ตระกูลแบบนี้ให้ภัยแร้งกลืนกินไปก็ดีแล้ว” คนรับใช้หญิงก็พูดไม่หยุด
ชายคนนี้มองไปยังคนรับใช้หญิงอย่างเยือกเย็น คนรับใช้หญิงรู้ว่าตัวเองพูดมาไปแล้ว รีบหยุดพูด แลบลิ้นเล็กน้อย
“ไปประตูเมืองหลัวก่อนเถอะ” ชายคนนี้ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนรับใช้หญิง
ตอนที่พูด ชายคนนี้ได้ร่ายคาถาขึ้น เริ่มอัญเชิญดวงวิญญาณ
คาถาสำเร็จลงอย่างรวดเร็ว ดวงวิญญาณหมวดปีกที่มีขนสีขาวราวกับเมฆ ปักษาเหินเมฆ
ปักษาเหินเมฆ ตระกูลภูตอสูร หมวดปีก กลุ่มปักษาเหินเมฆ ระดับจักรพรรดิ
ขนาดของดวงวิญญาณเหมือนปักษาเมฆที่มีขนนกสีขาว บนปีกที่กางออกนั้นมีลายเส้นสีฟ้าอ่อนที่พลิ้วไหวตามสายลมราวกับเมฆ ขนนกสีขาวยาวบริเวณหางนั้นพลิ้วไหวเล็กน้อย เผยให้เห็นแสงสีฟ้าอ่อนๆ ราวกับเติมเต็มความโดดเด่นออกมาเล็กน้อย
ดวงวิญญาณแบบนี้มองแค่ภายนอกก็รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแล้ว อีกทั้งระดับพลังต่อสู้ไม่เบาแน่นอน
ชายคนนี้กับหญิงรับใช้กระโดดขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ปีกของปีกษาเหินเมฆกางออก เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เหินขึ้นฟ้าอย่างง่ายดาย
ท่าทีนี้ทำให้ผู้คนล้อมเข้ามาดูทันที ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายของเรือนฉิงต่างตกใจอย่างมาก เพราะผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเขากลับไม่รู้ระดับของดวงวิญญาณหมวดปีกตัวนี้ มีเพียงเงาที่บินด้วยความเร็วอย่างแผ่วเบานั้น เมื่อเทียบกับดวงวิญญาณหมวดปีกของพวกเขาเองแล้ว อยู่คนละชั้นอย่างสิ้นเชิง
…
ภูเขาทรงพลัง
ผู้เฒ่าหลีเก็บวิญญาณสิบห้าอันอย่างคล่องแคล่ว เดิมการขุดวิญญาณต้องใช้เทคนิค ถ้าพลาดเล็กน้อย จะทำให้วิญญาณเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม วิญญาณที่เล็กแบบนั้น มีรอยเส้นเดียวก็จะทำให้มันเสียหายแล้ว
หลังจากเก็บวิญญาณไปแล้ว ผู้เฒ่าหลีเต็มไปด้วยรอยยิ้มภูมิใจ พึมพำว่า “จะร้อยปีแล้ว หนึ่งร้อยปีที่ไม่ได้ทำงานแบบนี้ ไม่ชินมือเสียเลย”
ในมือถือวิญญาณที่ใหญ่ที่สุดนั้น ผู้เฒ่าหลีลูบหนวดเส้นเดียวของตัวเอง นำวิญญาณเม็ดใหญ่สุดนั้นมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เหมือนพ่อค้าเพชรที่คอยตรวจสอบ เผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งคราว
“อืม ยังดีที่ไม่เสียหาย มิฉะนั้น จะเสียไปอีกหลายร้อยวิญญาณ ทั้งหมดเจ็ดพันแปดร้อยวิญญาณนี้ เยอะกว่าที่ข้าคาดไว้อีก” ผู้เฒ่าหลีพูดต่อ
ตอนที่พูด ผู้เฒ่าหลีกลับพบว่า ไม่เห็นชู่มู่กับจิ้งจอกน้อยแล้ว จึงเก็บวิญญาณเอาไว้ เดินด้วยขาสั้น อ้อมไปยังบริเวณที่ชู่มู่พูดเมื่อกี้
“เอ๊ะ ตรงนี้ยังมีหลุมอยู่….โอ้ว กลิ่นวิญญาณที่หนาแน่นมาก!!!” ผู้เฒ่าหลีร้องขึ้น
หลังจากอึ้งเล็กน้อย ผู้เฒ่าหลีรีบเดินต่อ วิ่งเข้าไปในหลุมนั้นด้วยความเร็วสูง
“โอ้โห!!!”
ในถ้ำแห่งนี้ เสียงตื่นเต้นของผู้เฒ่าหลีดังก้องไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าตกใจกับลักษณะภายในของถ้ำนี้อย่างมาก!
“รวยแล้ว!!รวยแล้ว!!!รวยแล้ว!!”ผู้เฒ่าหลีเหมือนพ่อค้าเจ้าเล่ห์แคระคนหนึ่ง หลังจากเห็นวิญญาณสิบกว่าอันบนกำแพงถ้ำนี้แล้ว กลับใช้วิธีลึกลับเฉพาะตัว ขึ้นลงไปมารอบๆ วิญญาณเหล่านี้ เรียกได้ว่าเหินฟ้าลงดินได้!
ชู่มู่เองก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้จะไม่รู้การประเมินราคาของวิญญาณเหล่านี้ แต่เห็นได้ชัดว่า วิญญาณในถ้ำนี้เยอะกว่าผนังหินด้านนอกอีก
“ข้าบอกแล้ว แม้แต่ชนเผ่าขั้นสามยังบุกเข้าไปในโลกของมนุษย์ได้ แหล่งวิญญาณนี้จะมีแค่เจ็ดพันแปดร้อยวิญญาณได้อย่างไร…” ขณะที่ผู้เฒ่าหลีประเมินวิญญาณ พึมพำไปด้วย
เรื่องเก็บวิญญาณ ผู้เฒ่าหลีเชี่ยวชาญอย่างมาก ชู่มู่แค่นั่งอยู่ตรงนั้น สูดอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งชีวิตเหล่านั้นก็พอ
แน่นอนว่า ก่อนที่ผู้เฒ่าหลีมาถึงชู่มู่เองได้นับไว้แล้วว่ามีกี่ก้อน ถ้าไม่นับให้ดีละก็ เจ้าแก่นี้จะซุกเอาไว้เองด้วยแน่นอน ชู่มู่เข้าใจความโลภของมันดีเกินไปแล้ว
“ผู้เฒ่าหลี ที่นี่มีประมาณเท่าไร” ชู่มู่ถามขึ้น
“ยังไม่ได้นับ…นายท่านเจอที่นี่ได้อย่างไร เห้อ คนแก่อย่างข้าไม่ได้ใช้ทักษะนานเกินไปแล้ว เกือบปล่อยให้แหล่งวิญญาณมหาศาลนี้หลุดไปได้…”ผู้เฒ่าหลีบอก
“ทักษะ เจ้ามีทักษะอะไร” ชู่มู่ถามอย่างสงสัย
ชู่มู่จำได้ว่าพลังโจมตีของผู้เฒ่าหลีแทบจะเป็นศูนย์ แต่ความสามารถในการวิ่งหนีกลับไม่มีจำกัด ดวงวิญญาณระดับราชันจะจับมันได้หรือไม่ยังไม่รู้ ส่วนทักษะของผู้เฒ่าหลี ชู่มู่รู้สึกว่าน่าจะเป็นทักษะวิ่งหนี
“อ๊า ไม่มีอะไร นายท่าน วิญญาณที่นี่มีประมาณสองหมื่นกว่า บวกกับจำนวนที่อยู่ด้านนอก น่าจะมีถึงสามหมื่นวิญญาณ แต่นี่เป็นระดับเทียบเท่าราชันที่มีหมวดเดี่ยวสามตัวเชียว ครั้งนี้นายท่านรวยแล้วจริงๆ!” ผู้เฒ่าหลีบอก
“สามหมื่นวิญญาณ!!!” ชู่มู่เผนสีหน้าดีใจออกมา!
ใช้สองหมื่นวิญญาณที่ได้มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้มารนิรยขาว ชู่มู่ก็รู้สึกพอใจอย่างมากแล้ว!
และแล้วไม่คิดว่า แหล่งวิญญาณนี้ยังให้เกินมาหนึ่งหมื่นวิญญาณ นี่จะเป็นเทียบเท่าราชันอีกตัวหนึ่งเชียว!
ชู่มู่ในตอนนี้ปวดหัวกับวิญญาณที่ขาดแคลนอย่างมาก ดวงวิญญาณรองของชู่มู่ยังไม่เท่าไร หมวดปกติอย่างมาก แต่พวกดวงวิญญาณหลัก แทบจะไร้ที่ติ!
พูดถึงจั้นเย้ก่อน
หมวดของจั้นเย้คือแมลงกับอสูร หมวดหลักน่าจะเป็นแมลง อีกหมวดหลักหนึ่งเป็นอสูร แต่เห็นได้ชัดว่า หมวดอสูรจะอ่อนกว่า หมวดรองไม่นับ นี่เป็นหมวดหลักที่ชู่มู่ใช้เงินทุนมหาศาลเพิ่มความแข็งแกร่ง
หมวดของจั้นเย้เพี้ยนไปหมดแล้ว หมวดแมลงไม่เพียงแต่เป็นหมวดหลัก อีกทั้งยังเป็นหมวดผิดปกติด้วย เมื่อเทียบกับดวงวิญญาณหมวดแมลงที่แท้จริงมากมายแล้ว มันยังผิดปกติกว่ามาก
เดิมหมวดหลักอสูรนี้กลับกลายเป็นหมวดรอง อีกทั้งยังอ่อนกว่าหมวดรองอีก
ชู่มู่เองก็เพิ่งเริ่มทำการปรับการฝึกจั้นเย้ตอนลักษณะสาม ถึงจะปรับหมวดอสูรของจั้นเย้กลับมาได้ บางทีใช้แค่ไม่กี่พันวิญญาณก็ทำให้จั้นเย้กลายเป็นราชันหมวดเดี่ยวได้แล้ว
อย่างไรก็ตามพรสวรรค์ของบางหมวดยิ่งมากเท่าไร โอกาสที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งก็จะมากขึ้นด้วย อีกทั้งต่อสู้นานแล้ว ยังอาจเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยตัวเองได้
เพิ่มความแข็งแกร่งด้วยตัวเองต้องใช้เวลาอย่างมากแน่นอน ชู่มู่เองไม่สามารถรอนานขนาดนั้นได้ ดังนั้น จะต้องให้จั้นเย้เพิ่มความแข็งแกร่งถึงระดับราชันทั้งหมวดหลักคู่ให้ได้ เงินทุนที่ต้องใช้จะสูงกว่าตอนนี้ถึงสี่เท่า คือสี่หมื่นวิญญาณ
เพิ่มความแข็งแกร่งหมวดแมลงของจั้นเย้ให้อยู่ในระดับราชัน ไม่กี่พันวิญญาณก็พอแล้ว แต่ในด้านหมวดอสูร กลับต้องใช้สามหมื่นกว่าวิญญาณ นี่เป็นจำนวนเงินที่ห่างกันอย่างมาก
ความจริงแล้ว พรสวรรค์คือตัวกำหนดความสูงต่ำของเงินทุน เช่นเดียวกับที่เพิ่มความแข็งแกร่งหมวดแมลงของจั้นเย้ใช้แค่ไม่กี่วิญญาณ เพราะพรสวรรค์หมวดแมลงของจั้นเย้ผิดปกติอย่างมาก
ผู้คุมดวงวิญญาณหลายคน ดวงวิญญาณที่พวกเขาเก็บมาในรุ่นแรก โดยหลักจะขึ้นอยู่กับระดับตระกูล
แต่ในตอนที่เริ่มเข้าสู่รุ่นที่สอง ไม่เพียงแต่ต้องดูที่ระดับตระกูล ยังต้องดูพรสวรรค์หมวดของดวงวิญญาณนั้นด้วย ถ้าพรสวรรค์หมวดต่ำเกินไป จะต้องใช้เงินทุนเพิ่มความแข็งแกร่งไม่น้อย
ทว่า โดยปกติแล้ว หมวดของดวงวิญญาณส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับปกติ ต่อให้มีหมวดที่สูงบ้างต่ำบ้าง เงินที่ใช้จะอยู่ระหว่างศูนย์จุดแปดถึงสองเท่า โอกาสที่จะเกินหรือน้อยกว่านี้ น้อยยิ่งกว่าน้อย…
ไม่พูดถึงปัญหาเรื่องพรสวรรค์ก่อน พูดถึงปัญหาของมังกรจำศีลน้อย
เงินทุนหกเท่าของมังกรจำศีลน้อยก็ทำให้ชู่มู่ปวดหัวมากๆ แล้ว ต่อมาคือ เงินทุนหนึ่งเท่าของภูตเวหาน้ำแข็ง เงินทุนสองเท่าของราชันผีหินผา เงินทุนสองเท่าของอสูรสายฟ้านิมิตราตรี จะให้ทั้งหมดอยู่ในระดับราชัน จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลอย่างมาก
ยังดีที่มั่วเย้น้อยสู้มากที่สุด ได้แปรเปลี่ยนตระกูลเป็นราชันขั้นต่ำ
แม้ผู้เฒ่าหลีจะจัดให้มั่วเย้อยู่ในหมวดรองไฟ แต่ว่าชู่มู่รู้ดีว่า ความจริงแล้ว มั่วเย้น่าจะต้องจัดอยู่ในดวงวิญญาณที่มีหมวดหลักสามอันถึงจะเหมาะกับราชันอัคคีสลายจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด
ดวงวิญญาณหมวดเดี่ยว ใช้เงินทุนเพิ่มความแข็งแกร่งหนึ่งเท่า
ดวงวิญญาณที่มีพรสวรรค์หมวดหลักหนึ่งรองหนึ่ง โดยปกติต้องใช้เงินทุนเพิ่มความแข็งแกร่งหนึ่งจุดห้าถึงสองเท่า และจะให้รองของมันกลายเป็นหลักด้วย ต้องใช้เงินทุนห้าเท่า อีกทั้งเริ่มเพิ่มความแข็งแกร่งจากลักษณะขั้นต่ำด้วย
พรสวรรค์หมวดหลักคู่ ถ้าอย่างนั้นต้องใช้เงินทุนเพิ่มความแข็งแกร่งสามเท่า ดวงวิญญาณแบบนี้ ชู่มู่เคยเห็นแค่ภูตอัคคีน้ำแข็งของเย้ชิงจือเท่านั้น
เดิมสายเลือดของราชันอัคคีสลายจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดซับซ้อนอยู่แล้ว แต่มั่นใจได้ว่า หมวดยิ่งมาก ยิ่งใช้เงินมาก ถ้ามีหมวดหลักสาม แล้วหากชู่มู่พลาดเข้าไปละก็ จะถึงระดับที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้มั่วเย้ต้องใช้เงินทุนถึงสิบเท่า
ดังนั้น ดวงวิญญาณที่ผลาญเงินมากมายขนาดนี้ มีหนึ่งหมื่นวิญญาณที่เกินมาแบบนี้ สำหรับชู่มู่แล้วยังคงเป็นจำนวนที่เท่าน้ำหยดหนึ่งอยู่ดี แต่กลับเพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้ราชันตัวหนึ่ง ทำให้ชู่มู่มีต้นทุนหาเงินมากขึ้น!!!
———————————————————————–
วิญญาณที่ว่า คือผลึกวิญญาณที่เกิดจากการรวมพลังมหาศาลอันบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
หลังจากอยู่ในระดับราชัน แหล่งทรัพยากรธรรมดาไม่สามารถตอบสนองความต้องการพลังมหาศาลของพวกมันได้ มีเพียงวิญญาณบริสุทธิ์พิเศษพวกนี้ถึงจะเพียงพอต่อการใช้พลังมหาศาลของพวกมันได้
การก่อตัวของวิญญาณมีหลากหลายแบบ ในพื้นที่ผลึกหิน ด้านในต้นไม้พันปี ใต้สุดของมหาสมุทร ใต้พื้นผิว ส่วนใหญ่เกิดจากศพของดวงวิญญาณ ผลึกอวัยวะภายใน เศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ ยาวิญญาณและสภาพแวดล้อมพิเศษต่างๆ ในภาวะปกติจะเกิดในพื้นที่ที่มีดวงวิญญาณมหาศาลอาศัยอยู่
ส่วนแหล่งวิญญาณ ต่างจากวิญญาณที่กระจัดกระจาย เท่ากับว่าเป็นจุดรวมของผลึกสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนแห่งหนึ่ง ดินที่ปกคลุมบนแหล่งวิญญาณ จะผ่านการก่อตัวนับพันปี ผลึกธรรมดาหลายอันอาจกลายเป็นแหล่งวิญญาณที่ระดับราชันต้องการผ่านการดูดซึมพลังมหาศาลเหล่านั้น
และในตำแหน่งเฉพาะเจาะจงมีพื้นที่ของวิญญาณมหาศาลแบบนี้ จะเรียกว่าแหล่งวิญญาณ ซึ่งสร้างผลึกต่างๆ ได้ไม่ขาดสิ้น ทำให้พวกมันได้ดูดซึมพลังงาน
สำหรับดวงวิญญาณระดับราชันแล้ว การครอบครองแหล่งวิญญาณมีความหมายอย่างมาก นี่ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่พวกมันต้องการในชีวิต ยังเป็นต้นทุนที่ทำให้ความสามารถของพวกมันแข็งแกร่งขึ้นด้วย
ทั้งโลกตะวันตก รวมถึงโลกจั้นหลี ล้วนเป็นแหล่งที่ดวงวิญญาณระดับราชันใช้วิญญาณที่กระจัดกระจายในการดำเนินชีวิต แทบไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแหล่งวิญญาณแบบนี้
ดังนั้น ตอนที่ชู่มู่มุ่งหน้าไปแหล่งวิญญาณนี้ มันเป็นแหล่งวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวของทั้งสองเขตโลก ขณะเดียวกัน นี่อาจเป็นแหล่งวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวที่บ่อน้ำตะวันตกยอมบุกพื้นที่มนุษย์เพื่อเข้ามาในเขตต้องห้ามนี้!
พื้นที่อาศัยของราชันเสือดาวเป็นภูเขาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง รอบๆ ภูเขานี้มีแม่น้ำที่ไหลไปตามหุบเขา เสียงน้ำเชี่ยวมาก ไหลลงไปยังบ่อน้ำลึกบางแห่ง แล้วกลายเป็นน้ำตก
“อู อู อู อู”
สำหรับดวงวิญญาณระดับราชันแล้ว กลิ่นวิญญาณที่กระจายจากแหล่งวิญญาณก็เหมือนกลิ่นอาหารโอชารส ไม่ต้องให้ชู่มู่ไปตามหา มั่วเย้ก็ได้กลิ่นของแหล่งวิญญาณที่อยู่ด้านบนภูเขาอันเต็มไปด้วยแม่น้ำหุบเขาแล้ว
ส่วนผู้เฒ่าหลีเองก็อดใจไม่ไหว กระโดดออกจากแหวนช่องว่างของชู่มู่ ใช้จมูกดมบางอย่าง
“นายท่าน กลิ่นวิญญาณนี้เข้มข้นมาก ต่างจากที่ข้าเคยผ่านที่นี่ครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง มิน่าถึงก่อให้เกิดการแย่งชิงของอำนาจต่างๆ นี่ไม่ใช่แหล่งวิญญาณเล็กๆ แน่นอน” ผู้เฒ่าหลีพูดพร้อมท้าวเอว
ชู่มู่พยักหน้า ให้มั่วเย้ไปยังบริเวณที่มีกลิ่นวิญญาณหนาแน่นที่สุด
บนภูเขาที่มีแสงจันทร์สาดส่อง ชู่มู่ได้เห็นระหว่างภูเขามีแสงดาวพิเศษบางอย่างสะท้อนออกมา
ประกายเหล่านี้งดงามสะอาด ราวกับเพชรที่สาดส่องอยู่ท่ามกลางทะเลสาบ ล่อตาอย่างมาก ส่องประกายพิเศษท่ามกลางราตรี
“นี่คือวิญญาณหรือ” ชู่มู่มองไปยังเม็ดเล็กๆ มากมายที่ผนึกอยู่บนหน้าผาราวกับแสงดาว พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ
ชู่มู่ได้หนึ่งพันวิญญาณจากเทียนทิง เมื่อรวมหนึ่งพันวิญญาณทั้งหมดไว้ด้วยกัน ยังไม่เท่านิ้วโป้งของชู่มู่ ส่วนของเล็กๆ แบบนี้ถ้ารวมกันได้หนึ่งพันชิ้นละก็ ถ้าอย่างนั้นหนึ่งวิญญาณจะเล็กเท่าเม็ดฝุ่น!
ในตอนนี้ หน้าผานั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่ส่องประกายออกมา อันเล็กสุดเท่าถั่วเขียว ส่องประกายสะดุดตา ส่วนอันใหญ่เข้าใกล้นิ้วโป่งอย่างมาก เท่ากับว่า ก้อนใหญ่นั้น เทียบเท่าหนึ่งพันวิญญาณได้ อันเล็กอย่างน้อยก็มีสิบวิญญาณ!
ขนาดเล็กใหญ่แบบนี้ หน้าผาของทั้งแหล่งวิญญาณนี้มีประมาณสิบกว่าชิ้น!
“นายท่าน ทั้งหมดสิบห้าก้อน จากสายตามืออาชีพของข้าแล้ว นี่น่าจะมีประมาณเจ็ดพันวิญญาณ!!!” ผู้เฒ่าหลีไหวตัวไวมาก ไม่รอให้ชู่มู่พูดอะไร เจ้าแก่นี้ได้ปีนขึ้นลงไปมาบนหน้าผา ใช้กรงเล็บ แคะวิญญาณทั้งหมดอย่างระมัดระวังหมด
โครงสร้างหน้าผาแห่งนี้พิเศษกว่าหินอื่นอย่างมาก เกรงว่าแม้แต่พลังของระดับราชันยังทำลายมันไม่ได้ ที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจคือ กรงเล็บเล็กๆ ของผู้เฒ่าหลีกลับวาดผ่านหินที่แข็งแรงพวกนี้ได้ นำวิญญาณออกมาอย่างง่ายดาย
เห็นท่าทีคล่องแคล่วของเจ้าแก่นี้ ชู่มู่อดใจถามไม่ได้ว่า “เมื่อก่อนเจ้าทำเรื่องแบบนี้บ่อยเหรอ”
“แน่นอนสิ เมื่อก่อนตอนที่ข้าไปกับเจ้านายข้า พวกเราได้ไปแย่งชิงวิญญาณในเมืองต้องห้าม ได้เข้าใกล้พื้นที่ราชอาณาจักรหลายครั้งเพื่อไปแย่งชิงวิญญาณ เม็ดหนึ่งจะมีขนาดเท่ากำปั้น อีกทั้งเป็นวิญญาณขั้นสูงที่บริสุทธิ์กว่า มีพลังที่มากกว่า ข้ารับผิดชอบเป็นคนเอามันออกมา”ผู้เฒ่าหลีบอก
“เจ็ดพันวิญญาณ ยังไม่พอเพิ่มความแข็งแกร่งให้มารนิรยขาว” จำนวนของวิญญาณแม้จะเกินกว่าที่ชู่มู่คาดไว้ แต่ยังคงน้อยกว่าความคาดหวังของชู่มู่เล็กน้อย
มารนิรยขาวของชู่มู่ต้องใช้สองหมื่นวิญญาณถึงจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้อยู่ในราชันได้ ถ้ามีแค่เจ็ดพันวิญญาณละก็ ยังไม่พอแน่นอน
“นายท่าน ตอนนี้ข้าพบว่าเจ้าไม่รู้จักพอแล้ว เจ็ดพันวิญญาณ เป็นโอกาสที่เพิ่มความแข็งแกร่งได้ราชันตัวหนึ่งร้อยละเจ็ดสิบ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิชั้นยอดหลายคนชาตินี้ยังเก็บเจ็ดพันวิญญาณไม่ได้ ท่านได้เยอะขนาดนี้ในคืนเดียว ถ้ายังคิดว่าน้อยละก็ จะให้พวกคนเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่แคะหู ขี้เกียจฟังคำบ่นของผู้เฒ่าหลี
ชู่มู่ในตอนนี้ได้ตั้งเป้าหมายไกลกว่าเดิมแล้ว จะไปเทียบกับคนที่ไม่มีแม้แต่ดวงวิญญาณระดับราชันได้อย่างไร อีกทั้งแหล่งวิญญาณของภูเขาทรงพลังเป็นที่เดียวที่ชู่มู่รู้ว่ามีวิญญาณอยู่ หลังจากขุดที่นี่ให้หมดแล้ว ไม่รู้จะหาวิญญาณจากที่ไหนได้อีก ดังนั้นแค่เจ็ดพันวิญญาณ ไม่พอที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งเทียบเท่าราชันตัวหนึ่ง ชู่มู่เองรู้สึกน้อยไปจริงๆ
“อู อู”
มั่วเย้สะบัดหาง พาชู่มู่วนไปอีกด้านของหน้าผาทันที
“ทำไมเหรอ มั่วเย้” ชู่มู่ถามขึ้นอย่างสงสัย
“อูอู อูอู” มั่วเย้ส่งเสียงปนความตื่นเต้นออกมา
“เจ้าบอกว่า ในนี้ยังมีอีกเหรอ” ชู่มู่มองไปยังหน้าผาเงางามด้านหน้า ถามขึ้นด้วยความสงสัย
มั่วเย้พยักหน้า ตอนที่พูดผนึกแห่งโทษบนตัวมั่วเย้ได้คืบคลานจากตัวมันไปยังพื้น แล้วกระจายไปยังหน้าผาเงางามด้านหน้าชู่มู่
“บึ้ง!!!”
ทันใดนั้น หน้าผาระเบิดออก!!!
หน้าผาไม่ได้แยกออกจากกันหมด แต่หลังจากระเบิดส่วนหนึ่งแล้ว เริ่มแตกกระจายไปด้านใน เกิดเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง!
“หินพวกนี้อ่อนแอกว่า หรือว่านี่เป็นรังเก่าของราชันเสือดาว?เจ้าราชันเสือดาวเจ้าเล่ห์นั่นจงใจให้ดวงวิญญาณหมวดหินบางตัวปิดที่นี่เอาไว้เหรอ” ชู่มู่บอก
ในไม่ช้า ถ้ำแห่งหนึ่งถูกผนึกแห่งโทษของมั่วเย๋เปิดออก มั่วเย้วิ่งนำเข้าไปก่อน
“ผู้เฒ่าหลี เก็บวิญญาณทั้งหมด อย่าคิดจะเก็บไว้เอง ถ้าขาดไปอันเดียวจะถอนหนวดของเจ้าให้หมด” ชู่มู่พูดกับผู้เฒ่าหลีที่อยู่ด้านนอก แล้วตามมั่วเย้เข้าไป
ผู้เฒ่าหลีกำลังตั้งใจเก็บวิญญาณ หลังจากตอบรับแล้ว ไม่ได้สนใจว่าชู่มู่กับมั่วได้เข้าไปในถ้ำนั้นแล้ว
หลังจากเข้าไปในถ้ำ ชู่มู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นวิญญาณที่เข้มข้นกว่าเดิมตีเข้าหน้า ความรู้สึกนี้เหมือนอยู่ในแหล่งพลังชีวิต ระหว่างที่หายใจ ได้เข้าไปในร่างกายด้วย คาดว่าดวงวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บปางตายเหล่านั้น ถ้าเข้ามาอยู่ในแหล่งวิญญาณหนาแน่นนี้แล้ว คาดว่าบาดแผลจะดีขึ้นแน่นอน อากาศที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นไอชีวิตมหาศาล
“อุอุอุ”
ตอนที่ชู่มู่เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงหายใจและเสียงร้องแผ่วเบา
มองผ่านความมืด ชู่มู่พบว่าในถ้ำมีดวงตาที่ส่องประกายสีเหลืองท่ามกลางความมืด !
“อุอุอุ อุอุอุ”
เสียงร้องเบาเหมือนเด็กอ่อน ชู่มู่เผยสีหน้าดีใจออกมา เห็นได้ชัดว่า นั่นเป็นดวงวิญญาณตัวอ่อน!
“หรือว่าจะเป็นดวงวิญญาณตัวอ่อนของราชันเสือดาว” ชู่มู่พึมพำ
ราชันเสือดาวนั่นเป็นระดับเทียบเท่าราชันที่แท้จริง ดวงวิญญาณตัวอ่อนของมันต้องเป็นดวงวิญญาณระดับราชันแน่นอน ถ้ามีดวงวิญญาณหลายคู่ เท่ากับว่าดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันหลายตัวงั้นหรือ
ชู่มู่ให้มั่วเย้ตามไปทันที เสือดาวน้อยพวกนั้นเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกหน้าวิ่งเข้ามา เห็นแล้วก็วิ่งหนีทันที วิ่งเข้าไปยังด้านในของถ้ำ
มั่วเย้เองก็ไม่รีบ อย่างไรเจ้าตัวเล็กพวกนี้หนีจากเงื้อมมือของมันไม่ได้ เดินตามหลังเสือดาวน้อยพวกนี้อย่างไม่เร่งรีบ
“เหมือนจะเป็นจะเป็นราชันเสือดาวปีกดำระดับจักรพรรดิ…น่าเสียดายจริง” หลังจากเข้าใกล้ ชู่มู่ได้เห็นสายเลือดของเสือดาวเหล่านี้
เปลี่ยนความคิดใหม่ ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันจะมีรังเล็กๆ แบบนี้ได้อย่างไร อีกทั้งระดับราชันสืบพันธุ์ยากมาก ไม่มีทางที่ฆ่าเทียบเท่าราชันตัวหนึ่งก็จะมีดวงวิญญาณตัวอ่อนตัวหนึ่งได้…
ราชันเสือดาวปีกดำเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ถ้าเมื่อก่อนได้จักรพรรดิขั้นกลางมา ชู่มู่จะต้องตื้นตันใจอย่างมาก อย่างไรในบรรดาดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดของตำหนักวิญญญาณ อสูรเชิญหงส์กับภูตพันวายุก็เป็นจักรพรรดิขั้นกลางเหมือนกัน
แต่ในตอนนี้ ชู่มู่จะไม่ทำสัญญาวิญญาณกับดวงวิญญาณตัวอ่อนจักรพรรดิขั้นกลาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจักรพรรดิขั้นกลางไม่สามารถเติมเต็มความต้องการในความสามารถที่แข็งแกร่งขึ้นของชู่มู่ได้แล้ว อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกมันต่ำกว่าลักษณะสามหมด จะเพิ่มความสามารถพวกมันอย่างช้าๆ ก็ยุ่งยากมาก
“เอาไปให้ชู่เหอ ชู่หลั่งเถอะ พวกเขาน่าจะชอบดวงวิญญาณพวกนี้” ตอนที่ชู่มู่พูด ได้ให้มั่วเย้ใช้หางจับราชันเสือดาวปีกดำสี่ตัวนี้ไว้ เก็บเข้าช่องว่างดวงวิญญาณทีละตัว
“ยังมีอีกตัวเข้าไปด้านในแล้ว เก็บไปด้วย” ชู่มู่เตือนมั่วเย้
“อู อู”
มั่วเย้ยังคงวิ่งอย่างสบายใจ ตามหลังเสือดาวน้อยสองลักษณะสองตัวนั้น
เสือดาวน้อยวิ่งด้วยความหวาดกลัว หันหลังกลับมามองบ้าง แล้วหันกลับไปมองบ้าง วิ่งไปยังด้านในของถ้ำ
ในตอนที่จับเจ้าตัวเล็กนี้ได้ ดวงตาของชู่มู่สะดุดกับแสงประกายบางอย่าง
ชู่มู่ไหวตัวได้อย่างรวดเร็ว พบว่าประกายสีเงินปรากฏบริเวณด้านในสุดของถ้ำ
“แสงจันทร์งั้นหรือ น่าแปลก ในถ้ำนี้ทำไมยังมีแสงจันทร์” ชู่มู่มองไปยังลำแสงนั้น แล้วพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ
หลังจากวิ่งต่อเนื่อง ถ้ำที่คับแคบสว่างทันที กลับทำให้เห็นด้านในถ้ำที่กว้างขวาง!
และบริเวณด้านบนสุดของถ้ำ มีหลุมที่เส้นผ่านศูนย์กลางห้าเมตรอยู่ หลุมนี้ตรงกับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาพอดี สาดลงบนหินสีดำในถ้ำ สะท้อนเป็นประกายสีสันงดงามต่างๆ
ถ้ำที่อัศจรรย์แบบนี้ทำให้ชู่มู่ตกใจอย่างมาก!
และแล้ว ในตอนที่ชู่มู่เข้าไปในหลุมนี้ ตอนที่กวาดตามองไปยังรอบด้านของหลุม เผยความดีใจออกมาทันที!!!
บริเวณกำแพงที่สะท้อนประกายจากหินสีดำตรงกลางที่มีแสงจันทร์สาดส่องลงมา กลับมีวิญญาณดวงเล็กมากมายที่ส่องประกายสลักอยู่
กลิ่นวิญญาณที่หนาแน่นเหล่านั้น มาจากวิญญาณดวงเล็กที่สลักไว้บนกำแพงเหล่านี้นี่เอง!
—————————————————————-
“นายท่าน ราชันพวกนี้เจ้าเล่ห์ทุกตัว สติปัญญาไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์ จิ้งจอกน้อยในตอนนี้อาจเอาชนะเทียบเท่าราชันได้ แต่จะฆ่าพวกมันนั้นยากมาก ถ้าพวกมันคิดจะหนีละก็ เจ้ายากที่จะรั้งพวกมันไว้ได้” ผู้เฒ่าหลีพูดเตือนชู่มู่
ราชันเสือดาวในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่ามันกลับไม่ได้หนีไปทันที ทำท่าทีคิดจะต่อสู้ต่อไป
บนตัวของมั่วเย้มีบาดแผลขั้นกลางหลายแห่ง กำลังฟื้นอย่างช้าๆ ดวงตาสีเหลืองคู่นั้นของราชันเสือดาวกำลังจับจ้องไปยังบาดแผลบนตัวของมั่วเย้ แค่ทำให้แผลของฝ่ายตรงข้ามฉีกขาดอีกครั้ง ราชันเสือดาวที่หงุดหงิดอาจผลิกสถานการณ์ได้!
ในที่สุด ราชันเสือดาวออกโจมตีแล้ว บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ความเร็วที่วิ่งกลับไม่ช้าลงมากเท่าไร ปีกสีดำของมันกระพืออยู่ กลายเป็นกริดสีดำแห่งความตาย กระจายไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง!
เห็นราชันเสือดาวพุ่งเข้ามา มั่วเย้เองก็ไม่ยอม หางผนึกแห่งโทษทั้งเก้าพลิ้วไหว กลับปะทะเข้ากับปีกแห่งกริดของราชันเสือดาวทันที
ขณะเดียวกัน กรงเล็บหน้าของราชันเสือดาวตะปบออก พลังหมวดอสูรสั่นสะเทือน กระจายไปยังตำแหน่งบาดแผลของมั่วเย้ !
“มั่วเย้ เงาลวงตาแยกร่าง!” ชู่มู่ออกคำสั่งทันที
เงาสีเงินของมั่วเย้เกิดความมัวหมอง ตามด้วยจิ้งจอกผนึกแห่งโทษหกตัวที่แยกออกจากร่าง!
หลังจากอยู่ในระดับราชัน เงาลวงตานี้ของมั่วเย้ได้กลายเป็นเหมือนร่างจริงแล้ว มีพลังโจมตีร้อยละเจ็ดสิบของมั่วเย้ แม้จะอยู่ได้ไม่นาน แต่เงาแยกร่างทั้งหกรวมถึงร่างจริงของมั่วเย๋ โจมตีได้พร้อมกัน แค่พลังโจมตีก็รุนแรงมากพอแล้ว!!!
การโจมตีของราชันเสือดาวถูกเงาลวงตาของมั่วเย้หลบไปได้ ที่ทำให้ราชันภูเขาทรงพลังนี้โกรธเคืองคือ มันกลับถูกล้อมด้วยจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดหกตัวนี้!!!
“ซ่า!!! ซ่า!!!”
เงาแยกร่างทั้งหมดของมั่วเย้ออกโจมตีด้วยกรงเล็บผนึกแห่งโทษพร้อมกัน ก่อเป็นกิ่งไม้แห่งความตายปรากฏด้านในร่างของราชันเสือดาว วนรอบกระดูก เส้นเลือด กล้ามเนื้อ แขนขาของราชันเสือดาวอย่างบ้าคลั่ง!
ตอนที่มั่วเย้ปล่อยกรงเล็บผนึกแห่งโทษออกมา ร่างกายแข็งแกร่งของราชันเสือดาวอาจยังมีแรงต้านทานอยู่บ้าง หลังจากที่ร่างอื่นที่แยกออกมาได้ปล่อยกรงเล็บผนึกแห่งโทษออกมาพร้อมกัน ด้านในของร่างกายราชันเสือดาวแตกสลายไปด้วย อีกทั้งรอยแยกได้กระจายไปยังตำแหน่งอื่นๆ ทั่วทั้งตัว เริ่มฉีกผิวของมันออก!!!
“โฮร่”
ในปากของราชันเสือดาวเต็มไปด้วยเลือด ส่งเสียงคำรามราชันด้วยความเจ็บปวดยิ่ง!!!
เสียงคำรามอันเจ็บปวดนี้ก้องกังวานในอากาศ คนที่ในหุบเขาทรงพลังที่ห่างออกไปสิบกว่ากิโลเมตรยังได้ยินชัดเจน รู้สึกเหมือนดังขึ้นข้างหู ทำให้ผู้คนทั้งหมดหวาดกลัวอย่างมาก
ส่วนท่ามกลางภูเขากว้างใหญ่แห่งนี้ กลุ่มเสือดาวที่กระจายตัวหลังจากได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของราชันเสือดาว กลับจนกระจัดกระจายออก ไม่กล้าวนอยู่ในภูเขาป่าแห่งนี้อีก วิ่งหนีไปยังที่อื่นอย่างชุลมุน
การโจมตีผนึกแห่งโทษทั้งหมดของร่างแยก สำหรับราชันเสือดาวเป็นสิ่งที่คร่าชีวิตมันได้ หลังจากราชันเสือดาวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ได้ล้มลงบนพื้นอย่างแรง เลือดสดไหลไปตามผิวที่แตกออกมา ไหลออกมาด้านนอก
ทว่า แม้ราชันเสือดาวจะล้มลง ดวงตาสีเหลืองคู่นั้นของมันยังคงไม่ปิดลง เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่ตาย!
“ฮู ฮู!!!”
ทันใดนั้น ปีกของราชันเสือดาวกางออก กวาดไปยังรอบๆ ด้วยความเร็วสูง เล็งไปยังร่างแยกทั้งหมดของมั่วเย้อย่างแม่นยำ ทำให้ร่างแยกทั้งหมดสลายไป!
และในตอนที่มั่วเย๋ยังไม่ทันได้ปล่อยการโจมตีอันที่สองออกมา ปีกของราชันเสือดาวนี้พัดอย่างแรก ก่อเป็นเมฆดำที่เต็มไปด้วยเลือดสด แล้วบินทะยานขึ้นฟ้า!
เห็นได้ชัดมากว่า ราชันเสือดาวตัวนี้กำลังจะหนีไป!
“อย่าคิดจะหนี!” ดวงตาคู่นั้นของชู่มู่ถูกย้อมด้วยสีสันประหลาดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้!!!
ชู่มู่ไม่มีพลังวิญญาณแล้ว พลังวิญญาณสุดท้ายนี้ชู่มู่ทำได้แค่นำมาใช้กับเนตรลับของตัวเอง ด้วยเนตรลับนี้ ชู่มู่เห็นร่องรอยการบินขึ้นของราชันเสือดาวได้ชัดเจน!
“มั่วเย้ ตามขึ้นไป ใช้หางควบคุมมันไว้!” ชู่มู่พูดกับมั่วเย้
มั่วเย้เหยียบขึ้นกลางอากาศ หางเก้าเส้นเหมือนผ้าคาดเอวที่นุ่มนวล ปรากฏรอบๆ ราชันเสือดาว!
ราชันเสือดาวกวาดตามองไปยังหางรอบๆ ด้วยความเยือกเย็น ความสามารถในการรั้งของหางพวกนี้แข็งแกร่งมาก แต่ว่า สำหรับราชันเสือดาวแล้ว จะหลบกลางอากาศได้อย่างไม่มีปัญหา หางพวกนี้รั้งมันไว้ไม่ได้หรอก!
ปีกของราชันเสือดาวเปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปมาระหว่างเก้าหางที่ยุ่งเหยิงอย่างคล่องแคล่ว บินสูงออกไปเรื่อยๆ เห็นว่าจะสลัดการไล่ล่าของมั่วเย้ได้แล้ว!
ทันใดนั้น หางแห่งผนึกแห่งโทษเส้นหนึ่งกวาดผ่าน สิ่งที่โจมตีไม่ใช่ราชันเสือดาว แต่เป็นการกวาดผ่านอากาศ
และการกวาดผ่านอากาศแบบนี้ กลับปิดเส้นทางที่ราชันเสือดาวกำลังจะหนีไป!!!
ร่างของราชันเสือดาวหยุดค้างกลางอากาศเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นมองไปยังหางที่รู้เส้นทางล่วงหน้าตรงหน้ามันด้วยความอึ้งและความเหลือเชื่อ!
แต่ในเสี้ยววินาทีนี้ หางอื่นของมั่วเย้ได้ตามมาแล้ว รัดร่างที่ได้รับบาดเจ็บของราชันเสือดาวเอาไว้ ปีกที่ทรงพลังเหล่านั้นก็ถูกรัดไว้เช่นกัน!!!
“โฮร่ โฮร่”
ราชันเสือดาวส่งเสียงคำรามออกมาทันที!!!
“ซ่า!!! ”
บริเวณหางของมั่วเย้มีพลังผนึกแห่งโทษเช่นกัน ผนึกแห่งโทษเหล่านี้คืบคลานเข้าไปในร่างของราชันเสือดาว ทำลายร่างกายด้านในที่แตกสลายของราชันเสือดาวอีกครั้ง
ครั้งนี้ ราชันเสือดาวยากที่จะมีชีวิตรอดไปได้จริง ทำได้แค่ส่งเสียงร้องโอดครวญภายใต้พลังสลายนั้น!!!
ผนึกแห่งโทษรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะกระจายทั่วทั้งตัวของราชันเสือดาว!!!
ในที่สุด ร่างของราชันเสือดาวได้แตกสลายหมด กลายเป็นเหมือนก้อนเนื้อที่ถูกแช่แข็งเอาไว้หลายก้อน ไหลออกระหว่างหางมากมายของมั่วเย้ เลือดสดเปื้อนบนหางสีเงินของมั่วเย้…
หัวของราชันเสือดาวไม่ได้สลายไปด้วย ต่อให้ร่างกายสลายไปหมด ดวงตาสีเหลืองของราชันเสือดาวยังคงไม่ปิดลง จับจ้องไปยังมั่วเย้
บางทีต่อให้ตายไป ราชันเสือดาวก็ไม่เชื่อว่า ตัวมันที่ครองภูเขาทรงพลังเกือบร้อยปี ได้ตายด้วยน้ำมือของราชันจิ้งจอกตัวหนึ่ง
“นายท่านฆ่ามันตายจริงๆ เหรอ ว่าแต่ อย่างไรเสีย ราชันเสือดาวตัวนี้ก็ต้องตายอยู่ดี ชนเผ่าบ่อน้ำตะวันตกได้ล้อมที่นี่เอาไว้แล้ว ไม่ถูกนายท่านฆ่าตาย ก็ต้องถูกราชันของบ่อน้ำตะวันตกฆ่าตาย เห้อ…นายท่าน รีบดูว่ามีผลึกวิญญาณไหม…” ผู้เฒ่าหลีบอก
ผนึกแห่งโทษย่อมไม่ทำลายผนึกวิญญาณและผนึกอวัยวะเครื่องในของราชันเสือดาวไปด้วยแน่นอน แต่น่าเสียดาย บนศพของราชันเสือดาวไม่มีผนึกวิญญาณ มีแค่ผนึกอวัยวะในสีดำอันหนึ่ง
ดวงวิญญาณทุกตัวมีผนึกอวัยวะใน เหมือนกับหัวใจของมนุษย์ แต่โอกาสที่จะมีผลึกวิญญาณนั้นต่ำมาก อย่างไรผนึกวิญญาณของราชันจะสร้างราชันตัวหนึ่งได้!
“ผนึกอวัยวะในก็ไม่แย่ เทียบเท่าห้าร้อยวิญญาณ นายท่านโชคดีไม่น้อย ต่อสู้กับราชันครั้งแรก ก็ฆ่ามันได้แล้ว มีผู้คุมดวงวิญญาณหลายคนที่มีเทียบเท่าราชันยังทำไม่ได้…ทว่า เป็นเรื่องปกติ จิ้งจอกน้อยเป็นราชันขั้นต่ำ ความสามารถของผนึกแห่งโทษแข็งแกร่งเกินไป ถ้าเผชิญหน้ากับราชันขั้นต่ำเหมือนกัน ล้มมันแล้วฆ่าตายได้ ถ้าไม่ตั้งใจหน่อย คงยากที่จะทำได้จริงๆ” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ฆ่าเทียบเท่าราชันได้แค่ห้าร้อย ชวิญญาณเหรอ” ชู่มู่ไม่คิดว่า ผลึกอวัยวะในของราชันจะมีราคาแค่นี้
“ห้าร้อยวิญญาณก็ดีแล้ว ถ้าเป็นศพของเทียนเท่าราชันก็มีค่าหลายพันวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นราชันเสือดาวตัวนี้คงถูกผู้คุมดวงวิญญาณที่มีดวงวิญญาณระดับราชันฆ่าตายตั้งนานแล้ว โดยหลักเป็นเพราะแหล่งทรัพยากรที่ราชันวิญญาณครอบครองเอาไว้…อ้อ นายท่านไปดูแหล่งทรัพยากรนั้นก่อนเถอะ ราคาของแหล่งวิญญาณนั้นสูงมากแน่นอน!!!” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างตื่นเต้น
แหล่งวิญญาณปรากฏแบบนี้ ทำให้ราชันวิญญาณของอำนาจทั้งสองเข้ามาสืบข่าวด้วย ยิ่งกว่านั้นยังล่อให้ชนเผ่าขั้นสามอันน่ากลัวเข้ามาด้วย จะมีวิญญาณมากเท่าไร ชู่มู่เองก็ตื่นเต้นอย่างมาก!
หนึ่งพันวิญญาณก็แลกวัตถุวิญญาณหมวดเดี่ยวที่มีโอกาสเพิ่มความแข็งแกร่งให้เทียนเท่าราชันได้หนึ่งในสิบแล้ว ชู่มู่รู้ว่าโอกาสหนึ่งในสิบต่ำไปหน่อย ชู่มู่เองก็ไม่ชอบเสี่ยง อยากจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้เป็นเทียนเท่าราชันร้อยละร้อย จะต้องเสนอราคาเทียบเท่าหนึ่งหมื่นวิญญาณ
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าหลีได้บอกว่าแหล่งวิญญาณนี้จะมีวิญญาณอยู่ที่ระหว่างหนึ่งพันถึงสองพันในเมื่อบ่อน้ำตะวันตกมุ่งมาทางนี้ได้ เท่ากับว่าแหล่งวิญญาณนี้จะมีจำนวนทวีคูณจากที่ผู้เฒ่าหลีคาดไว้ก่อนหน้านี้!!!
“มั่วเย้ ไปดูรางวัลจากการต่อสู้ของพวกเรา!” ชู่มู่พูดกับมั่วเย้
“อู อู อู”
มั่วเย้กลับไปยังพื้นดิน ทำตามที่ผู้เฒ่าหลีบอก สิ่งมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งแหล่งวิญญาณนั้น
ที่ตั้งของแหล่งวิญญาณ โดยปกติคือที่พักอาศัยของราชันเสือดาว มั่วเย้วิ่งไปตลอดทั้งทางนี้ ระหว่างทางได้เจอกับกลุ่มเสือดาวมากมาย
แต่ว่าหลังจากกลุ่มเสือดาวที่กระจายตัวเห็นมั่วเย๋ กลัวจนแขนขาอ่อนแรง กลายเป็นกระตายตื่นตูม
ขณะเดียวกัน กลุ่มเสือดาวที่ครองเนินเขาทรงพลังทั้งหมดนี้เป็นร้อยปีได้สลายไปในคืนนี้!
…
ด้านนอกหุบเขาทรงพลัง พวกชู่เทียนเหิงยังคงได้ยินเสียงร้องของราชันเสืออยู่
การต่อสู้จบลงแล้ว เสียงทั้งหมดได้เงียบลงในที่สุด ภูเขาทั้งหมดเงียบสงัด
และแล้วตอนที่มองไป ภูเขาหลังการต่อสู้กลับเต็มไปด้วยหลุมมากมาย หลุมพวกนี้มีพื้นที่ใหญ่มาก สำหรับคนเหล่านี้แล้ว นี่เป็นหลุมยักษ์ใหญ่
“ภูเขาทรงพลัง…เจ้าแห่งภูเขาทรงพลังถูกฆ่าตายแล้วจริงเหรอ”
ผู้คนทั้งหมดเกิดคำถามที่เหลือเชื่อในใจ
ตอนที่สมาชิกตระกูลชู่เพิ่งย้ายเข้ามาในเมืองเจ็ดสีนี้ ชนเผ่ากลุ่มเสือดาวที่ล้อบรอบภูเขาทรงพลังทั้งหมดนี้ ราวกับนรก มีเพียงรอบนอกของเมือง จะมีผู้คุมดวงวิญญาณไปฝึกเป็นบางครั้ง
เหล่าคนชราของเมืองเจ็ดสีคอยเตือนผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่มไว้ว่า ห้ามเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาทรงพลังนี้เด็ดขาด ในนั้นมีกองทัพกลุ่มเสือดาวที่แม้แต่ทั้งเมืองตะวันตกก็ไม่อาจสู้ได้อาศัยอยู่ในนั้น
และแล้ว คนทั้งหมดในตอนนี้อยู่ท่ามกลางภูเขาแห่งนี้ ชนเผ่ากลุ่มเสือดาวที่เหมือนตำนานที่ผ่านมากลับถูกกำจัดไปแล้ว!
อีกทั้งเป็นราชันเสือดาวที่คนทั้งหมดไม่รู้มาก่อน ในภาวะที่มีระดับเกินกว่าจักรพรรดิอยู่แบบนี้ ชนเผ่าทั้งหมดนี้ยังคงแตกสลายไป!
นี่เท่ากับว่าเขตแดนของมนุษย์จะขยายไปยังด้านตะวันตกเฉียงใต้ไม่เบา เมื่อเข้าไปสำรวจเมืองต้องห้ามตามข่าวลือได้!
“เจ้านั่น ฆ่าราชันเสือดาวจริงเหรอ…ตระกูลของพวกเรา ตอนที่สู้กับราชันแมลงปีศาจเวหา ยังไม่สามารถรั้งราชันแมลงปีศาจเวหาไว้ได้…” จางอิงพูดด้วยความตกใจ
การต่อสู้ในคืนนี้ ทำให้บุคคลระดับอาจารย์อาของตระกูลชู่หลักจางอิงกับชู่มั่วอิ๋งได้เห็นการต่อสู้ที่แท้จริงของราชันแล้ว ความสะเทือนใจแบบนั้น รุนแรงยิ่งกว่าการต่อสู้ทั้งหมดที่ผ่านมาหลายเท่าแน่นอน
และทุกครั้งที่นึกถึงราชันตัวหนึ่งและชนเผ่าทั้งหมด ถูกวัยหนุ่มคนหนึ่งกำจัดไป พวกเขาเองยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ!!!
“อ๊าว!!!”
ราชันเสือดาวร้องด้วยความเจ็บปวด ดวงตาสีเหลืองเข้มนั้นดุร้ายยิ่งขึ้น ในภาวะที่ได้รับบาดเจ็บ กลับฝืนบินขึ้น ทำการโต้ตอบมั่วเย้!!!
หลังจากที่ปีกสีดำกางออกจะมีความยาวถึงยี่สิบเมตร กำลังกระพือด้วยความถี่สูง ความเร็วของราชันเสือดาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ระหว่างที่กางปีกสีดำวิ่ง สัมผัสได้ถึงความกดอากาศที่แปรปรวน!!!
ทันใดนั้น ปีกของราชันเสือดาวพุ่งไปด้านหน้า รวมเข้าด้วยกัน หนามกระดูกมากมายชี้ไปด้านนอก ตามตัวของราชันเสือดาว กลายเป็นดาบสีดำสามเหลี่ยมยักษ์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนามกระดูก วาดผ่านกลางอากาศ พร้อมกับเสียงแหลมพุ่งผ่าน!
มั่วเย้ไม่กล้าปะทะกับมัน เหยียบผนึกแห่งโทษใต้เท้า วิ่งต่อเนื่อง เหยียบขึ้นกลางอากาศ คิดจะหลบการโจมตีของราชันเสือดาวตัวนี้
และแล้วพลังสีดำลึกลับของราชันเสือดาวพุ่งขึ้น ตามติดมา ไม่ให้มั่วเย้มีโอกาสหลบไปได้!
“ซัวะ!!!”
ดาบสีดำที่เกิดจากกระดูกปีกพุ่งจากล่างขึ้นบน โจมตีมายังตำแหน่งหน้าท้องของมั่วเย้ มั่วเย้ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างกายถูกดันขึ้นฟ้า ตอนที่เลือดสดไหลออกมา กลับถูกดาบสีดำนี้ดันขึ้นฟ้านับพันเมตรแล้ว!
“อู อู อู!!!”
มั่วเย้ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธ หางของมันม้วนไปด้านล่าง มัดราชันเสือดาวไว้ เหวี่ยงราชันเสือดาวที่ผลักดันอย่างไม่หยุดนี้ออกไป!!!
ราชันเสือดาวพบว่าหางเก้าเส้นของมั่วเย้จัดการยาก ก่อนที่จะถูกมัดเอาไว้ ได้ล้มเลิกการปล่อยทักษะ ปีกสีดำที่รวมเข้าด้วยกันกางออกกะทันหัน หลังจากรวมและเปิดออก ได้หลบหางของมั่วเย้ ลอยตัวอยู่บริเวณปลายของเมฆดำ
หลังจากที่มั่วเย้ถูกดันขึ้นหลายร้อยเมตร ในที่สุดได้หยุดลง ชู่มู่ที่อยู่บนหลังของมั่วเย้สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของแรงดันนี้ชัดเจน มองไปยังด้านล่างทันที
ก่อนที่จะถูกโจมตี ชู่มู่กับมั่วเย้ยังอยู่บริเวณภูเขา แต่ในตอนนี้ กลับอยู่บนฟ้านับพันเมตร ถ้าไม่บินลงละก็ ตกลงไปแบบนี้จะต้องร่างแตกสลายแน่นอน
“รีบกิน” ชู่มู่หยิบยารักษาราชันขั้นหนึ่งออกจากแหวนช่องว่างอย่างรวดเร็ว ให้มั่วเย้กินเข้าไป
ยานี้มาจากแหวนช่องว่างของเทียนหมิง ชู่มู่ได้ขายยาขั้นห้ากับหกที่มีราคาแพงไปก่อน ส่วนยาขั้นหนึ่งและสองระดับราชัน ชู่มู่เก็บเอาไว้ ซึ่งตอนนี้ก็ได้ใช้แล้ว
หลังจากกินยาเข้าไป แผลบริเวณท้องของมั่วเย้ถึงหยุดการกัดกร่อน เลือดที่ไหลออกมาเริ่มน้อยลง
“ฮู!!!”
ทันใดนั้น ราชันเสือดาวออกโจมตีอีกครั้ง ความเร็วของมันบนอากาศกลับไม่ลดลงเท่าไร!
ยังคงเป็นกระดูกปีกที่เห็นมุมเหลี่ยมชัดเจน ราชันเสือดาวไม่คิดจะให้มั่วเย้มีโอกาสหายใจ ปีกสีดำมีเพียงยี่สิบกว่าเมตร แต่กลับครองพื้นที่บนฟ้านับพันเมตรนี้หมด อาวุธแหลมคมนั้นมีอยู่แทบทุกพื้นที่!
กลางอากาศ มั่วเย้ทำได้แค่เหยียบย่ำผ่านผนึกแห่งโทษ ความสามารถในการหลบย่อมเทียบกับตอนอยู่บนพื้นไม่ได้ ภายใต้การโจมตีมากมาย เกิดแผลบนตัวมั่วเย้ไม่น้อย!
“นายท่าน เห็นได้ชัดว่าราชันเสือดาวตัวนี้มีสายเลือดหมวดปีก แม้มันจะเป็นเทียบเท่าราชันธรรมดา แต่จัดการยากมาก…” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้นอย่างไม่เป็นเวลา
ดวงวิญญาณหมวดปีกเชี่ยวชาญการต่อสู้กลางอากาศ ความสามารถในการเหยียบฟ้าของมั่วเย้แทบไม่มากพอ การต่อสู้บนฟ้าแบบนี้ทำให้มันเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน
ส่วนราชันเสือดาวเองได้เพ่งเล็งเห็นจุดอ่อนนี้ของมั่วเย้ จงใจเหวี่ยงมั่วเย๋ขึ้นฟ้า แล้วทำการโจมตีต่อเนื่อง แทบไม่ปล่อยให้มั่วเย้มีโอกาสได้ตกลงพื้น
“ยังต้องให้เจ้ามาพูดมากเหรอ!” ชู่มู่กัดฟันแน่น ความสามารถกลางอากาศของราชันเสือดาวตัวนี้แข็งแกร่งมาก ปีกคู่หนึ่งได้กลายเป็นดาบแห่งราตรีรำพึง กระจายทั่วฟ้า ทันทีที่มั่วเย๋เริ่มตกลงไป เกรงว่าหลังจากตกถึงพื้น แผลบนตัวมั่วเย๋จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ถึงตอนนั้นแม้แต่การต่อสู้บนพื้นยังเสียเปรียบ
ชู่มู่เงยหน้าขึ้น กวาดตามองไปยังเมฆที่ปกปิดฟ้าเอาไว้ ระหว่างชั้นเมฆมีช่องว่างอันหนึ่ง ประกายสีเงินอันหนึ่งสาดส่องลงมาพอดี กระทบกับตาของชู่มู่
หลังจากเห็นประกายสีเงิน ชู่มู่นึกบางอย่างได้ทันที!
“มั่วเย้ บินไปด้านบนเมฆสูงเหล่านี้!” ชู่มู่พูดกับมั่วเย้
“อู อู อู”
ผนึกแห่งโทษปรากฏใต้เท้าของมั่วเย้อย่างรวดเร็ว ขาหน้าเหยียบกลางอากาศ ตามด้วยการเหยียบอากาศต่อเนื่อง ทิ้งร่องรอยผนึกแห่งโทษไว้กลางอากาศ
ราชันเสือดาวไม่ได้โจมตีทันที แต่ใช้ดวงตาสีเหลืองคู่นั้นจับจ้องไปยังมั่วเย้ที่เหยียบสูงขึ้นเรื่อยๆ
ราชันเสือดาวจงใจกระแทกมั่วเย้บนฟ้า คิดจะอาศัยความได้เปรียบบนฟ้านี้ ตอนนี้มันเห็นมั่วเย้กำลังเหยียบไปยังที่สูง เผยความสงสัยออกมาจากนัยน์ตา
“โฮร่ โฮร่!!!” ราชันเสือดาวไม่เข้าใจ และไม่อยากจะเข้าใจ บินยิ่งสูง ศัตรูยิ่งตกลงมายากขึ้น ราชันเสือดาวเห็นมั่วเย้กำลังรนหาที่ตาย ปีกทั้งสองกางออกกลายเป็นดาบสีดำสองเล่มไขว้กันลอยขึ้นไปยังที่สูงกว่านี้
ชู่มู่มองลงไป พบว่าระหว่างชั้นเมฆ มีดาบสีดำกำลังพุ่งตามมาอย่างดุดัน ในตอนนี้ได้ให้มั่วเย้เพิ่มความเร็ว
ในที่สุด มั่วเย้เหยียบบนผนึกแห่งโทษ ได้ทะลายชั้นเมฆบนฟ้าสูงนี้!
ด้านบนชั้นเมฆนี้ เป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยประกายดาว สะอาดราวกับผ้าสีดำที่เต็มไปด้วยเพชรอัญมณีมากมาย
ส่วนบริเวณขอบฟ้า ดวงดาวประดับ แสงจันทร์สีเงินสาดส่อง ทำให้ชั้นเมฆมัวหมองอย่างงดงาม…
“อู อู อู อู”
มั่วเย้เหยียบขึ้นชั้นเมฆผ่านผนึกแห่งโทษ แสงจันทร์และแสงดาวสาดลงบนตัวมั่วเย๋ ทำให้ร่างสีเงินของมั่วเย้งดงามสูงส่งยิ่งกว่าเดิม!
ขณะเดียวกัน ภายใต้แสงจันทร์สะอาดงดงามนั้น แผลเล็กน้อยบนตัวมั่วเย้เริ่มหายด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บาดแผลขั้นกลางเหล่านั้น ได้หยุดการอักเสบ ผลซ้อนทับกับยาราชันขั้นหนึ่ง เริ่มเยียวยาบาดแผลแล้ว
ละลายจันทรา!!!
ต่อให้มั่วเย้ได้แปรเปลี่ยนตระกูลเป็นราชันอัคคีจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดแล้ว แต่ทักษะตระกูลของจิ้งจอกแสงจันทร์ มั่วเย้ยังคงสืบทอดต่อมาได้ เช่นเดียวกับเก้าหางของมั่วเย้ เป็นการสืบทอดจากจิ้งจอกเก้าหางเช่นกัน!
ผลของละลายจันทราทำให้ความสามารถของมั่วเย้เพิ่มขึ้นขั้นหนึ่งได้ โดยหลักจะเพิ่มพลังและความเร็ว!
“มันมาแล้ว ทำให้มันกลับไปยังพื้นดิน!” ชู่มู่มองไปด้านล่าง แล้วพูดกับมั่วเย้ที่เต็มไปด้วยพลังต่อสู้!
“อู อู อู อู!!!” ผลของแสงจันทร์ทำให้ความสามารถของมั่วเย้เพิ่มขึ้น เห็นราชันเสือดาวพุ่งเข้ามาแล้ว ผนึกแห่งโทษสีแดงเข้มบนตัวมั่วเย้กระจายอย่างบ้าคลั่ง!!!
ผนึกแห่งโทษสีแดงเข้มดูลึกลับกว่าเดิมภายใต้แสงจันทร์สีเงิน ตอนที่มั่วเย้พุ่งตัวลง สามารถมองเห็นผนึกแห่งโทษทำลายมิติต่างๆ ต่อเนื่อง!!!
มั่วเย้พุ่งตรงไปยังราชันเสือดาว ครั้งนี้มั่วเย้กำลังจะเผชิญหน้าสู้กับราชันเสือดาว!
ราชันเสือดาวที่พุ่งตัวขึ้นเห็นมั่วเย้พุ่งลงมา เผยความเย้ยหยันออกมาในนัยน์ตา ในด้านพลังกาย ราชันเสือดาวแข็งแกร่งกว่ามั่วเย้มาก การปะทะแบบนี้มันได้เปรียบแน่นอน!
ดังนั้น เผชิญกับการพุ่งชนของมั่วเย้ ราชันเสือดาวไม่กลัวแม้แต่น้อย พุ่งขึ้นไปยังชั้นเมฆต่อไป!!!
ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ดาวตกสีเงินที่ทิ้งรอยสีแดงเข้มพุ่งลง ด้านบนชั้นเมฆมากมาย ดาบใหญ่สีดำทะลายคลื่นชั้นเมฆ พุ่งตรงไปยังเงาที่ตกลงมา ปะทะกันกลางอากาศ!!!
“บึ้ง!!!”
พลังทั้งสองปะทะเข้าด้วยกันอย่างแรง ทันใดนั้น ชั้นเมฆด้านล่างเกิดเป็นคลื่น กระจายออกระหว่างพลังทั้งสอง!
มิติเกิดการสั่นสะเทือน ผนึกแห่งโทษสีแดงเข้มเกิดการกระจายตัว ราวกับรอยแยกบนกระจกที่คืบคลานออกมาไม่หยุด ส่วนหนามกระดูกสีดำได้ปักหลุมมากมาย กลายเป็นรูมากมาย เกิดปรากฏการณ์กลืนกินอากาศ
…
ด้านนอกหุบเขาทรงพลัง พวกชู่เทียนเหิงได้มาถึงอย่างปลอดภัยแล้ว ความจริงพวกเขายืนมองอยู่ด้านนอกหุบเขานานมาก
นอกจากพวกชู่เทียนเหิงและชายแก่แล้ว ความจริงด้านนอกหุบเขามีคนจำนวนมากกำลังมองไปยังท้องฟ้าสีดำนั้น
ท้องฟ้าทั้งหมดถูกเมฆสีดำปกปิดหมด ดังนั้นหลังจากที่มั่วเย้กับราชันเสือดาวขึ้นไปต่อสู้บนฟ้า พวกเขาเห็นแค่ประกายสีเข้มกับประกายสีเย็นเยียบส่องประกายระหว่างชั้นเมฆสีดำเท่านั้น
และแล้ว เสียงดังกลางอากาศนั้นทำให้คนทั้งหมดแตกตื่น!
เมฆที่ปกปิดทั่วฟ้าเกิดมีหลุมใจกลางบางอย่าง เริ่มกระจายไปสองข้างทาง ในเวลาไม่กี่วินาที ชั้นเมฆบนฟ้ากลับหายไปทั้งหมด ฟ้าสีดำมีแสงดาวงดงามปรากฏกะทันหัน!
“ดูนั่นเร็ว นั่นอะไร!!!” จางอิงเห็นดาวตกสีเงินจากฟ้าก่อนคนแรก!
ดาวตกสีเงินมาพร้อมกับแสงจันทร์ อีกทั้งยังมีผนึกแห่งโทษสีแดงเข้มกระจายไปทั่ว กำลังตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง จากฟ้าสูงลงมาจนขนานกับพื้น ที่ร่องรอยงดงามไว้ระหว่างฟ้ากับดิน!
วินาทีต่อมา ภูเขาที่เชื่อมต่อกันระเบิดออก!!!
ทันใดนั้น ภูเขาสิบกว่าลูกที่เชื่อมต่อกันแตกสลายด้วยพลังนั้น พื้นที่แห่งนั้นกลายเป็นที่ราบทันที!!!
“นั่นมัน…นั่นมันอุกกาบาตที่แท้จริง หรือว่าเป็นการต่อสู้ของราชันกับราชัน…” ชู่อิงสะเทือนใจอย่างมาก ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ
พลังที่เทียบเท่ากับแรงพุ่งชนของอุกกาาต ! เดิมควรจะเป็นหายนะ แต่กลับกลายเป็นพลังของสิ่งมีชีวิตบางตัว พลังแบบนี้น่ากลัวมากเพียงใด!!!
ภูเขาจะเรียกว่าภูเขาไม่ได้แล้ว เสียหายจนไม่เหลือชิ้นดี หลุมยักษ์ใหญ่ตรงกลาง ทำให้ภูเขาทั้งหมดในแห่งนี้สลายไปหมด กลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยหลุบนับไม่ถ้วน!
…
ด้านล่างสุดของหลุมนี้ เงาที่เต็มไปด้วยเลือดลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ดวงตาสีเหลืองเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความโกรธหลังได้รับบาดเจ็บสาหัส!!!
ด้านการต่อสู้ทางกาย ราชันเสือดาวมั่นใจอย่างมาก และด้วยความมั่นใจนี้ มันถึงกล้าเผชิญหน้าสู้กับมั่วเย้ได้ !
และแล้วที่ทำให้ราชันเสือดาวโกรธเคืองอย่างมากคือ หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามพุ่งขึ้นฟ้า พลังได้เพิ่มขึ้นมหาศาล ทำให้ครั้งนี้ราชันเสือดาวเสียเปรียบอย่างมาก ได้รับบาดเจ็บสาหัส !
ราชันเสือดาวมีสติปัญญาอย่างมาก มันเงยหน้าขึ้น มองไปยังดวงจันทร์ แล้วกวาดตามองไปยังเกราะแสงจันทร์พิเศษบนตัวมั่วเย๋ เข้าใจทันที จักรพรรดิตัวนี้มีทักษะกลุ่มภูตวิญญาณอยู่ด้าน ความโกรธบนใบหน้าทวีคูณขึ้น!
ราชันจิ้งจอกตัวนี้ เป็นเพราะความสามารถหลายหมวดถึงได้ความสามารถระดับราชันได้ ไม่ใช่ราชันที่แท้จริง ที่ทำให้ราชันเสือดาวคลั่งมากขึ้นคือ จักรพรรดิตัวนี้ไม่เพียงแต่มีหมวดหลักหลายอัน ยังมีทักษะกลุ่มต่างๆ ที่ยากจะรับมือด้วย ราชันเสือดาวเองผ่านการต่อสู้มามากมาย กลับไม่เคยเห็นศัตรูที่มีสายเลือดจัดการยากแบบนี้มาก่อน!
“โฮก”
กลิ่นไอที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าทักษะหมวดลมขั้นสิบพัดจากบริเวณที่ไกลจากภูเขา ฝุ่นทรายฟุ้งกระจาย ส่งเสียงคำรามออกมา!
ราชันเสือดาวกำลังข่มขู่มั่วเย้!!!
กลิ่นไอนี้ปกปิดแสงดาวอ่อนช้อยอีกครั้ง ปกปิดทัศนียภาพทั้งหมดของผู้คน วินาทีนี้ ผู้คนที่อยู่ในหุบเขาทรงพลังมองไม่เห็นแสงดาวแล้ว มีเพียงความขุ่นมัวแน่นหนาที่ปกปิดสายตาของพวกเขา!
“อู อู”
ทันใดนั้น ท่ามกลางฟ้าที่ขุ่นมัวนั้น เงาสีแดงเข้มลากหางยาวทั้งเก้างดงามพุ่งตัวออก อัคคีแห่งโทษระเบิดออกท่ามกลางความมืด ย้อมชั้นเมฆบนฟ้าให้กลายเป็นสีแดง เกิดเป็นทะเลเพลิงมหาศาลบนฟ้าในยามค่ำคืน ภูเขาที่อลังการและท้องฟ้าทั้งหมดลุกเป็นไฟในชั่วพริบตา!
ทะเลเพลิงอัคคีแห่งโทษนี้ เป็นการแบ่งพื้นที่ของมั่วเย้ ผ่านการเหวี่ยงหางทั้งเก้าเส้น ทำให้ท้องฟ้าแห่งนี้ลุกโชนขึ้น!
ราชันเสือดาวภูเขาทรงพลังไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงกับเปลวไฟของมั่วเย้ ปีกกระดูกสีดำอลังการที่มีความยาวยี่สิบกว่าเมตรเก็บเข้าไปทันที ลำตัวพุ่งลง ตกลงไประหว่างภูเขาบางลูก!
ราชันเสือดาวเป็นสิ่งมีชีวิตหมวดอสูรบริสุทธิ์ แม้ขนาดตัวของมันจะไม่ใหญ่เท่าดวงวิญญาณเลือดผสม แต่พลังของมันกลับแข็งแกร่งอย่างมาก แค่ตกลงมา ก็ทำให้ภูเขาถล่มพื้นดินสลายได้ เผยให้เห็นความยิ่งใหญ่ของมัน!
“นายท่าน พลังระเบิดชั่วคราวของเจ้านี่แข็งแกร่งอย่างมาก ตอนที่พบว่ามันกำลังสะสมพลัง ห้ามฝืนสู้กับมันเด็ดขาด!” ผู้เฒ่าหลีพูดกับชู่มู่
ชู่มู่พยักหน้า ถ้ามั่วเย้รู้จักใช้แค่พลังหมวดอสูรละก็ ระดับพลังต่อสู้ยังคงต่ำกว่าเทียบเท่าราชันอยู่ จำต้องเพิ่มหมวดสองอันให้มัน ถึงจะเป็นราชันที่แท้จริง ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรชู่มู่ก็จะไม่ให้มั่วเย้สู้กับราชันเสือดาวนี้ซึ่งหน้า!
มั่วเย้ไม่มีปีก ที่อยู่บนฟ้าได้ก็เป็นแค่การเหยียบฟ้าชั่วคราวเท่านั้น เห็นราชันเสือดาวตกลงไประหว่างภูเขาแล้ว มั่วเย๋เองก็ลงจากฟ้า เหยียบบนหินก้อนหนึ่งที่มั่นคงบนภูเขา ดวงตาสีเงินคู่นั้นจับจ้องไปยังราชันเสือดาวที่ห่างกันนับพันเมตร
ดวงตาสีเหลืองเข้มของราชันเสือดาวเผยประกายดุร้ายออกมาท่ามกลางความมืด ชู่มู่สัมผัสได้ถึงความดุร้ายจากสายตาของราชันอสูรนั้นได้!
ในตอนนี้ ชู่มู่เห็นลักษณะของราชันเสือดาวได้ชัดเจน ขนาดตัวของราชันเสือดาวตัวนี้อยู่ที่ห้าเมตรโดยประมาณ ทั้งตัวเป็นสีดำ เงางามราวกับโลหะสีดำ
บริเวณข้อเท้าของมัน หนามกระดูกแต่ละเส้นแทงออกมาด้านนอก แหลมคมอย่างยิ่ง กรงเล็บราชันของมันปักลงระหว่างหิน บนหินนั้นยังมีรอยแตกที่ถูกปักลงอย่างชัดเจน!
บนตัวราชันเสือดาวนี้ไม่มีสิ่งที่มากเกินกว่านี้ เป็นเสือดาวดุร้ายสีดำตัวหนึ่ง ลักษณะภายนอกแบบนี้เกรงว่าคงเหมือนดวงวิญญาณระดับผู้นำทั่วไป
และแล้ว บนหลังของร่างทรงพลังนี้ กลับมีกระดูกปีกสีดำที่เกิดจากดาบคมนับไม่ถ้วนปักอยู่ เห็นเป็นทรงเหลี่ยมชัดเจน!!!
กระดูกปีกในตอนนี้กำลังหดตัวเล็กน้อย แต่ทันทีที่กางออก จะเหมือนดาบสีดำสองเล่มที่อยู่บนหลังของราชันเสือดาว ทรงพลังอย่างยิ่ง ทำให้ร่างที่เหมือนราชันเสือดาวธรรมดาดูสง่างาม ดุร้าย ป่าเถือนยิ่งขึ้น!
ชู่มู่มั่นใจได้ว่า ปีกดำคู่นี้จะต้องเป็นอาวุธโจมตีแข็งแกร่งที่สุดของราชันเสือดาวตัวนี้ ไม่ด้อยไปกว่าเก้าหางราชันจิ้งจอกของมั่วเย้!
“โฮร่ โฮร่”
ราชันเสือดาวส่งเสียงคำรามใส่มั่วเย้จากที่ไกล!!!
เสียงคำรามนี้มีพลังจิตพิเศษบางอย่างอยู่ เห็นได้ชัดว่า ราชันเสือดาวกำลังพูดกับมั่วเย้ด้วยภาษาบางอย่าง!
“นายท่าน ระดับตระกูลของจิ้งจอกน้อยยังคงเป็นจักรพรรดิ เห็นได้ชัดว่า ราชันตัวนี้กำลังดูถูก ที่สำคัญที่สุดคือจิ้งจอกน้อยยังไม่ถึงลักษณะสิบ” ผู้เฒ่าหลีพูดขึ้น
ถ้ามั่วเย้ไม่ได้ปล่อยกลิ่นไอหลายหมวดออกมาพร้อมกัน มองดูจะเหมือนระดับจักรพรรดิจริง คาดว่าตอนที่ราชันเสือดาวตัวนี้พุ่งเข้ามา แล้วเห็นว่ามั่วเย้เป็นแค่จักรพรรดิ น่าจะเผยความเย่อหยิ่งของราชันที่เย้ยหยันจักรพรรดิออกมา!
“เจ้าโง่นี่ อวดดีขนาดนี้เหรอ!!!” แม้แต่ชู่มู่ยังสัมผัสได้ถึงสายตาเย่อหยิ่งของราชันเสือดาว อดใจด่าไม่ได้!
“อู อู” มั่วเย้เองก็เต็มไปด้วยความโกรธ จักรพรรดิแล้วจะทำไม พลังต่อสู้ของมันเทียบเท่าราชันขั้นต่ำได้!!!
ถ้าเติบโตถึงลักษณะสิบละก็ ทักษะไม่กี่อันของมั่วเย้จะทำให้ราชันเสือดาวเทียบเท่าระดับราชันตัวนี้ดับได้แน่นอน!
ดังนั้น ถูกราชันเสือดาวที่มีระดับพลังต่อสู้ต่ำกว่าตัวเองเยาะเย้ย มั่วเย้ที่สูงส่งมาแต่กำเนิดจะปล่อยมันไปได้อย่างไร!!!
“มั่วเย้ ใช้ผนึกแห่งโทษ ให้มันได้เห็นพลังของราชันขั้นต่ำ ขยี้เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้!” ชู่มู่บอก
“อู อู อู!!!”
อัคคีแห่งโทษสีแดงเข้มกลับเข้าไปในร่างกายของมั่วเย๋ ผนึกแห่งโทษสีแดงเข้มกำลังลอยออกจากลำตัวสีเงินสมบูรณ์แบบของมั่วเย้อย่างช้าๆ กระจายไปทั่วทั้งตัวของมั่วเย้!!!
ตระกูลที่แท้จริงของมั่วเย้คือจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด คือดวงวิญญาณในตำนานที่ถูกผนึกไว้ในเมืองเพื่อชดใช้โทษ!
และด้วยพลังของผนึกแห่งโทษนี้ หลังจากได้ชดใช้โทษหลายพันรุ่น ทำให้จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเริ่มปลดพลังนี้ออกมา เท่ากับว่าเป็นพลังที่เกินกว่าจักรพรรดิอย่างแท้จริง!!!
ตอนที่ปล่อยอัคคีแห่งโทษ มั่วเย้ได้คุมเปลวไฟ พลัง และความสูงส่งของราชันเอาไว้ ส่วนตอนที่ผนึกแห่งโทษกระจายตัว มั่วเย้ได้ปลดความเป็นราชันจิ้งจอก ความลึกลับ บ้าคลั่ง และความชั่วร้ายนั้นออกมา!
ราชันเสือดาวยืนอยู่บนภูเขาสูงพันเมตร มองดูการเปลี่ยนแปลงของมั่วเย๋ ดวงตาสีเหลืองนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน! จากการดูถูกในตอนแรกเป็นเกรงกลัว!
มั่วเย้ที่ใช้อัคคีแห่งโทษ ที่มีพลังเทียบเท่าราชัน!
เทียบเท่าราชันลักษณะเก้า อยู่ตรงหน้าราชันเสือดาวเทียบเท่าราชันลักษณะสิบ ไม่มีความน่ากลัวใดๆ
แต่มั่วเย๋ที่ใช้ผนึกแห่งโทษ กลับเป็นราชันขั้นต่ำ!
ความสามารถของราชันขั้นต่ำลักษณะเก้าไม่ด้อยกว่าเทียบเท่าราชันลักษณะสิบแน่นอน อีกทั้งพลังที่ราชันขั้นต่ำมียังมีผลพิเศษที่เทียบเท่าราชันไม่อาจรับมือได้ด้วย!!!
“อู อู อู อู!!!”
เปลวไฟบนหางเก้าเส้นของมั่วเย๋หายไปหมด กลายเป็นผนึกแห่งโทษที่ชั่วร้ายยิ่ง ไม่เพียงแต่ไม่ลดพลังของเปลวไฟหางจิ้งจอกนี้ แต่กลับเพิ่มความบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น!
“มั่วเย้ เก้าหางผนึกแห่งโทษ!” ชู่มู่ออกคำสั่ง โจมตีไปยังราชันเสือดาวที่เย่อหยิ่งก่อน!
ผนึกแห่งโทษสีแดงเข้มบนตัวมั่วเย๋ควบคุมไปตามคำสั่งของมัน ในตอนที่มั่วเย้วิ่งระหว่างภูเขา ผนึกแห่งโทษที่แตกกิ่งปรากฏใต้เท้าของมั่วเย้ ให้มั่วเย้อยู่บนฟ้าเหมือนบนพื้น อีกทั้งยังเหมือนทำให้มิติตรงนั้นแตกออกจากกัน!!!
หางเก้าเส้นสยายไปตามมั่วเย้ มองดูยุ่งเหยิง แต่กลับไขว้กันท่ามกลางความมืด รวมพลังของผนึกแห่งโทษไว้ที่บริเวณหาง!!!
“บึ้ง!!! บึ้ง!!! บึ้ง!!!”
หางเก้าเส้นฟาดไปยังราชันเสือดาวพร้อมกัน เกิดเป็นมิติผนึกแห่งโทษยักษ์ใหญ่ พลังของผนึกแห่งโทษแต่ละอันจะทำให้มิตินั้นแตกสลาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาที่อ่อนแอเหล่านั้น !
หางเก้าเส้นโจมตีต่อเนื่อง ราชันเสือดาวไม่กล้าฝืนตัวสู้ หลบไปมาระหว่างหางของมั่วเย้ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว!
แต่ว่าต่อให้ความสามารถหลบหลีกของราชันเสือดาวจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่สามารถหลบการโจมตีแข็งแกร่งที่สุดที่ของผนึกแห่งโทษที่มาพร้อมกับการรวมตัวของหางทั้งเก้าเส้นของมั่วเย้ได้!!!
“บึ้ง!!!”
การโจมตีของผนึกแห่งโทษสุดท้ายฟาดลงบนตัวราชันเสือดาว ผิวแตกออกทันที เลือดสดไหลออก!
“โฮร่ โฮร่ โฮร่!!!”
ราชันเสือดาวไม่คิดว่า จักรพรรดิสมบูรณ์แบบลักษณะเก้าจะสร้างอันตรายให้ตัวเองได้ เสียงคำรามที่โกรธเคืองยังปนด้วยความหงุดหงิด กระโดดขึ้นทันที กางปีกดาบสีดำสองเล่มบนหลังออก!!!
“ซัวะ!!! ซัวะ!!!”
ปีกทั้งสองไขว้กัน ฟ้ากลางคืนถูกฟาดออกเป็นรอยสองเส้นอย่างชัดเจน คิดจะตัดหางทั้งเก้าเส้นของมั่วเย้ออก!!!
หางของมั่วเย้หดกลับมาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเหมือนสายคาดผ้าที่นุ่มนวล ลอยตัวออก พลังที่พอจะทำให้ภูเขาหลายลูกราบเรียบนั้นกลับเฉียดกับหางของมั่วเย้อย่างแผ่วเบา ตัดไปแค่ขนสีเงินเล็กน้อย!
“โฮร่ โฮร่ โฮร่!!!”
เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง หลังจบการโจมตี ราชันเสือดาวกลับพุ่งออกอย่างรวดเร็ว ตรงมายังมั่วเย้ กรงเล็บที่เต็มไปด้วยหนามกระดูกก่อตัวเป็นพลังสีดำบางอย่าง โจมตีมายังมั่วเย้!
“เจ้าตัวเจ้าเล่ห์นี่ รวมพลังเมื่อกี้!” ชู่มู่ตกใจทันที!
ราชันเสือดาวดูถูกก็จริง แต่กลับสะสมพลังตั้งนานแล้ว หลังจากรอให้มั่วเย๋หลบได้แล้ว ก็ทำการโจมตีมั่วเย้ต่อ!
ในด้านสมรรถภาพ มั่วเย้สู้ราชันเสือดาวไม่ได้แน่นอน ไม่สามารถเผชิญหน้ากับมันโดยตรงได้ โดยเฉพาะทักษะประชิดตัวที่เห็นได้ชัดมากแบบนี้!
“มั่วเย้ เก้าหางอลวน!”
ชู่มู่ให้มั่วเย้ปล่อยทักษะหลบที่ได้สืบทอดจากจิ้งจอกเก้าหาง
เก้าหางกางออก ร่างจริงของมั่วเย้ซ่อนไว้ในหางนุ่มนวลนี้
หลังจากอยู่ในระดับราชัน เก้าหางอลวนของมั่วเย้นี้ได้สร้างผลลวงตาของภูตวิญญาณออกมา หางเก้าเส้นกางออก ระหว่างที่หมุนรอบได้กลายเป็นหางสิบแปดเส้น หางสิบแปดเส้นได้กลายเป็นเงาลวงตามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ราชันเสือดาวไม่รู้ว่า อันไหนคือ ตัวจริงอันไหนคือภาพลวงตา!
“โฮร่!!!”
ราชันเสือดาวไม่สนว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ พื้นที่โจมตีของกรงเล็บมากขึ้นทันที กลับโจมตีไปยังภาพลวงตาทั้งหมดที่มั่วเย้สร้างขึ้นมา !!!
กรงเล็บเส้นหนึ่งที่มีพื้นที่โจมตีมากถึงพันเมตร ข้ามภูเขาลูกหนึ่ง พาดผ่านราตรีอย่างสะเทือนใจ!
ภาพลวงตาที่มั่วเย้สร้างขึ้นทั้งหมดถูกโจมตีหมด หลังจากพลังดุร้ายนี้พาดผ่าน กระจายหายไปในอากาศ!
ราชันเสือดาวมองอย่างเยือกเย็น ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ โจมตีเหมือนกันให้หมด คาดว่าร่างจริงจะถูกโจมตีด้วย ราชันเสือดาวมั่นใจได้ว่ามั่วเย้จะต้องได้รับบาดเจ็บ!
“ซัวะ!!!”
ในที่สุด หางแห่งผนึกแห่งโทษลายตาได้หายไปหมด ในตอนที่ราชันเสือดาวคิดว่า ร่างจริงของมั่วเย้ซ่อนอยู่ภายใต้หางลวงตานี้ ทักษะนี้กลับพาดผ่านอากาศ โจมตีไม่โดนสักอย่าง เกิดเป็นรอยแยกยักษ์ใหญ่บนพื้นเท่านั้น!
“อู”
ด้านหลังราชันเสือดาว ร่างจริงของมั่วเย้ปรากฏตัวกะทันหัน หางแท้จริงทั้งเก้าเส้นได้กางออกอย่างช้าๆในตอนนี้!
เก้าหางอลวนทั้งหมด เป็นภาพลวงตาหมด ดังนั้นการโจมตีทั้งหมดของราชันเสือดาว ไร้ผลหมด แต่กลับเป็นตัวมันเองที่เผยให้ช่องโหว่ออกมาหลังจากสะสมพลัง!
“กรงเล็บผนึกแห่งโทษ!!!”
ชู่มู่ออกคำสั่งกับมั่วเย้!
ผนึกแห่งโทษของมั่วเย้คืบคลานไปบนกรงเล็บของมันแล้ว พลังอย่างหนึ่งพาดผ่านไปพร้อมกับกรงเล็บของมั่วเย้ กลายเป็นลายเส้นผนึกแห่งโทษที่เหมือนดอกไม้แห่งความตายเบ่งบานท่ามกลางความมืด ราชันเสือดาวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวได้รับการโจมตีของผนึกแห่งโทษอีกครั้ง ร่างกายฉีกขาดจากด้านใน!!!
————————————————————————-
ปราศจากการโจมตีของดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิ ดวงวิญญาณของคนทั้งหมดเริ่มปล่อยทักษะออกมาได้แล้ว
กองทัพของกลุ่มเสือดาวห่างกันสองร้อยกว่าเมตร หลังจากทักษะทั้งหมดปล่อยออกมา ในสามร้อยเมตรนี้ เหลือเพียงกลุ่มเสือดาวที่กระจายตัวพร้อมบาดเจ็บสาหัสและเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวด
ชู่มู่เห็นทุกคนร่วมแรงกัน กองทัพกลุ่มเสือดาวก็ไม่อาจพุ่งเข้ามาได้ทันที ตอนนี้จึงได้จดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของมารนิรยขาว
ราชันเสือดาวปีกดำกระโดดขึ้นฟ้าแล้ว กระพือปีกสีดำ สาดหนามกระดูกลงมาไม่หยุด
มารนิรยขาวเองก็บินได้ ขึ้นไปต่อสู้บนฟ้าทันที…
วิธีนี้ของราชันเสือดาวปีกดำ เห็นได้ชัดว่า จะเว้นระยะห่างเอาไว้ เพื่อไม่ให้กลุ่มเดียวกันได้รับผลกระทบจากไฟปีศาจเก้าวิญญาณนี้
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณแผดเผาวิญญาณได้ มีพลังทำลายล้างต่อกลุ่มเสือดาวอย่างมาก ถ้าจักรพรรดิชั้นยอดสองตัวต่อสู้ระหว่างภูเขาละก็ กองทัพกลุ่มเสือดาวฝูงใหญ่จะได้รับผลกระทบจากไฟปีศาจเก้าวิญญาณนี้
“ปีศาจขาว อย่าสนใจมัน จัดการราชันเสือดาวปีกดำจักรพรรดิขั้นสูงพวกนั้นก่อน!” ชู่มู่พูดกับปีศาจขาว
ปีศาจขาวโกรธได้ง่าย ถ้าชู่มู่ไม่สั่งการต่อสู้ของมันละก็ จะเสียเวลาอย่างมาก
ความเร็วของจักรพรรดิชั้นยอดเทียบกับมารนิรยขาวไม่ได้อยู่แล้ว หลังจากชู่มู่ออกคำสั่ง ปีศาจขาวได้ใช้เงาปีศาจลับไถลออกจากบนฟ้า เงาเลือนรางกลายเป็นประกายดาวตกลากยาวต่อเนื่อง!
ความเร็วไถลตัวของมารนิรยขาวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เกิดการเสียดสีกับอากาศ ประกายเปลวไฟสีขาวสะดุดตากระจายออก ฟาดลงบนกลุ่มเสือดาวจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่งอย่างแรง!
“โซ”
ความสามารถกลุ่มเสือดาวจักรพรรดิขั้นสูงเมื่อเทียบกับมารนิรยขาวที่มีหมวดรองได้ห่างกันถึงสามขั้น การโจมตีนี้ของมารนิรยขาวได้ทำให้มันปลิวออกไป ร่างสีดำเต็มไปด้วยไฟปีศาจ!
กลุ่มเสือดาวจักรพรรดิขั้นสูงสองตัวที่เหลือล้อมเข้ามาทันที โจมตีด้วยเงาดำใส่ปีศาจขาว จะห้ามปีศาจขาวไล่ล่าโจมตีพวกเดียวกัน!
“เงาปีศาจสลับตำแหน่ง!” ชู่มู่ออกคำสั่งทันที ให้ปีศาจขาวใช้ทักษะเคลื่อนย้ายนี้!
หลังจากปีศาจขาวตกถึงพื้น ไฟปีศาจบนตัวลุกโชนขึ้น ทำให้ร่างเดิมของมันกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว
ทักษะของจักรพรรดิขั้นสูงสองตัวเสียดสีกับเปลวไฟ กลับโจมตีไปยังอากาศ ร่างของปีศาจขาวได้หายไปจากที่เดิมตั้งนานแล้ว!
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของปีศาจขาวปรากฏด้านหน้ากลุ่มเสือดาวจักรพรรดิขั้นสูงที่ปลิวออกไปตัวนั้นอย่างลึกลับ กรงเล็บชั่วร้ายเล็งไปยังต้นคอของกลุ่มเสือดาวตัวนี้ จับจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ขึ้นฟ้าทั้งเป็น!
“บึ้ง!!!”
ฝ่ามือของมารนิรยขาวเกิดอัคคีระเบิดที่สะดุดตาช่อหนึ่ง คอของกลุ่มเสือดาวจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ระเบิดเละ ร่างกายตกลงบนพื้นกระจายเป็นหลายท่อน
“โฮร่ โฮร่ โฮร่ โฮร่!!!”
กลุ่มเสือดาวจักรพรรดิชั้นยอดส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเคืองทันที ร่างกายสีดำกลายเป็นกริดกระดูกแหลมคม ฟาดลงพร้อมกับแสงอาทิตย์ตก!!!
“ซัวะ!!!”
พลังทักษะของจักรพรรดิชั้นยอดน่ากลัวมาก ตัดตำแหน่งที่มารนริยขาวอยู่กับด้านล่างภูเขาออกจากกัน รอยแยกอันน่ากลัวคืบคลานจากภูเขาลูกหนึ่งไปยังอีกลูกหนึ่ง!
มารนิรยขาวเพิ่งโจมตีเสร็จ ไม่สามารถทำการหลบได้ ร่างกายถูกฟันเป็นแผล!
เกราะวิญญาณขั้นเก้าบนตัวมารนิรยขาวมีผลจำกัดในระดับจักรพรรดิชั้นยอด การโจมตีของราชันเสือดาวปีกดำก็ไม่เบา ประหม่าไม่ได้เด็ดขาด
“โซ”
ปีศาจขาวส่งเสียงร้องด้วยความโกรธเคือง ปัดไฟปีศาจบนฝ่ามือ หลังจากทำให้กลุ่มเสือดาวจักรพรรดิขั้นสูงสองตัวที่ไล่ตามมาหยุดลง พุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้งอย่างไม่เชื่อฟังชู่มู่ ทำการโจมตีไปยังจักรพรรดิชั้นยอดอย่างบ้าคลั่ง!
มารนิรยขาวที่ถูกกระตุ้นความโกรธเคืองจะทำการเพิ่มความสามารถของตัวเองผ่านการรวมความแค้นได้ สำหรับปีศาจขาวแล้ว แผลเล็กน้อยบนตัวไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อพลังต่อสู้ของมัน
ในไม่ช้า ปีศาจขาวได้โจมตีด้วยไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่ดุร้ายยิ่งขึ้น ราชันเสือดาวปีกดำเป็นแค่จักรพรรดิชั้นยอดธรรมดาตัวหนึ่ง อย่างไรก็ไม่สามารถสู้กับจักรพรรดิไร้เทียมทานหลายหมวดได้อยู่แล้ว!
เดิมชู่มู่ยังอยากออกคำสั่ง แต่เห็นวิธีโจมตีดุร้ายแบบนี้ของปีศาจขาวแล้ว ได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา ไม่ออกคำสั่งกับมันอีก ให้ตัวมันปล่อยออกมาเต็มที่
ชู่มู่จดจ่ออยู่กับภูตพันวายุและภูตเวหาน้ำแข็งอีกครั้ง การโจมตีของดวงวิญญาณธาตุสองตัวนี้ส่วนใหญ่มุ่งไปยังบริเวณที่มีกองทัพกลุ่มเสือดาวหนาแน่น!
ปีศาจขาวแข็งแกร่งจริง ตอนที่ชู่มู่จดจ่ออยู่กับการฆ่าล้างกองทัพกลุ่มเสือดาว ได้ยินราชันเสือดาวปีกดำจักรพรรดิชั้นยอดตัวนั้นส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา
เสียงร้องนี้ดังขึ้นไม่ห่างจากผู้คน ชายแก่เหล่านั้นได้สบตากัน พบว่ากลุ่มเสือดาวจักรพรรดิชั้นยอดที่เป็นอันตรายต่อผู้คนตัวนั้นกลับถูกมารนิรยขาวฆ่าตายไปแล้ว!
พวกเขาไม่รู้ว่าถึงเวลาแล้ว รู้แค่ออกคำสั่งต่อดวงวิญญาณให้โจมตี และแล้วพวกเขามั่นใจได้ว่า ชู่มู่ให้มารนิรยขาวไปจัดการกับจักรพรรดิชั้นยอดกลุ่มเสือดาวได้ไม่นาน สามารถจัดการจักรพรรดิชั้นยอดในเวลาสั้นๆ แบบนี้ได้ ความสามารถน่ากลัวอย่างมากจริงๆ!
“ปีศาจขาว เจ้าตั้งใจจัดการจักรพรรดิกลุ่มเสือดาวที่เป็นอันตรายกับพวกข้า!!!” ชู่มู่พูดกับปีศาจขาว
“เนี๊ย” ปีศาจขาวฉีกยิ้มออกมา ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาลึกลับคู่นั้นกวาดตามองไปยังกองทัพกลุ่มเสือดาวที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าราชันเสือดาวไม่ปรากฏตัว ปีศาจขาวเป็นดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ นอกจากว่าจะมีจักรพรรดิชั้นยอดปรากฎตัวพร้อมกันสามตัว หรือมีจักรพรรดิขั้นสูงล้อมโจมตี มิฉะนั้นกองทัพกลุ่มเสือดาวแทบไม่อาจต้านทานเปลวไฟของปีศาจขาวได้!
…
การต่อสู้ดำเนินไปตั้งแต่ก่อนที่พระอาทิตย์ตกดินกระทั่งตกดึก ดวงวิญญาณหลักของชู่เทียนเหิง ชู่เทียนฉี ชู่เทียนเจี๋ยและอาจารย์อาทั้งสองไม่หมดแรงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังจากดวงวิญญาณหลักของพวกเขาต่อสู้เสร็จแล้ว ได้อัญเชิญดวงวิญญาณรองออกมาสู้ต่อไป ฆ่าล้างในพื้นที่กว้างร่วมกับดวงวิญญาณธาตุสองตัวของชู่มู่ กลุ่มเสือดาวที่มีขนาดเป็นสองเท่าของชนกลุ่มขั้นเก้าได้ตายในภูเขานี้เกินครึ่ง!
จำนวนของกลุ่มเสือดาวที่เหมือนน้ำป่านี้ลดลงอย่างชัดเจน ความสามารถต่อสู้ของชายแก่เหล่านี้กำลังจะถึงขีดสุดแล้ว ดวงวิญญาณรองของชู่เทียนเจี๋ยตัวหนึ่งได้ตายลงเพราะการลอบโจมตีของกลุ่มเสือดาวจักรพรรดิขั้นสูง ญาณหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เทียนเจี๋ย เจ้าไหวไหม” ชู่เทียนเหิงเห็นชู่เทียนเจี๋ยใบหน้าซีดขาว จึงถามขึ้น
“ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอก” ชู่เทียนเจี๋ยมีสี่ญาณแล้ว การหายไปหนึ่งญาณทำให้วิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับต่อสู้ต่อไปได้
ขณะที่จำนวนของกองทัพกลุ่มเสือดาวลดลง กำลังของชายแก่เหล่านี้เริ่มไม่ไหวแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ดวงวิญญาณรองของชู่เทียนฉีเก็บกลับมาไม่ทัน ถูกกลุ่มเสือดาวระดับผู้นำจำนวนหนึ่งฉีกเป็นเศษ
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
เคียวลมพัดพา เดิมกลุ่มเสือดาวระดับผู้นำได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว เคียวลมรุนแรงที่พัดผ่าน ไม่มีตัวใดรับมือไว้ได้ เลือดเนื้อกระจายออก ศพถูกแยกออกท่ามกลางเคียวลมเหล่านั้น!
ชู่มู่สังเกตเห็นว่า ดวงวิญญาณรองของชู่เทียนฉีตกอยู่ในอันตรายแล้ว แต่ทักษะของภูตพันวายุยังคงช้าไป อย่างไรภูตพันวายุก็หมดแรงแล้ว
“ท่านอา อาห้า อาหก แล้วก็พวกเจ้าทั้งสองกลับไปในหุบเขาก่อน ที่เหลือให้ข้าจัดการเถอะ” ตอนที่ชู่มู่พูด ได้เก็บภูตพันวายุกลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ
“ดวงวิญญาณของเจ้ามีพลังต่อสู้ไม่เท่าไรแล้ว กลับไปด้วยกันเถอะ” ชู่เทียนเหิงเห็นชู่มู่ไม่มีท่าทีจะกลับไป รีบพูดขึ้น
“ถ้าราชันเสือดาวยังอยู่ละก็ ทักษะไม่กี่อันก็ทำให้หุบเขาทรงพลังนี้ถล่มลงมาได้ นี่เป็นต้นเหตุที่ต้องกำจัดทิ้ง” ชู่มู่บอก
กองทัพกลุ่มเสือดาวถูกฆ่าจนเหลือแค่ขนาดเท่ากลุ่มขั้นแปดแล้ว นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะฆ่าราชันเสือดาวได้ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ราชันเสือดาวจะหนีไปที่อื่น แล้วครองพื้นที่ต่อไป ตามด้วยปล่อยฝูงจำนวนมหาศาลออกมา ถึงตอนนั้นถ้าคิดจะฆ่ามัน จะต้องเผชิญกับกองทัพนับหมื่นอีกครั้ง
“แต่ว่า…” ชู่เทียนเหิงยังคงเป็นห่วง
ภูตพันวายุของชู่มู่ รวมถึงภูตเวหาน้ำแข็งและมารนิรยขาว ทั้งหมดต่อสู้จนถึงขีดจำกัดแล้ว
ภูตพันวายุกับภูตเวหาน้ำแข็งเสียแรงมากที่สุด ไม่เคยหยุดร่ายคาถาใดๆ พวกมันกำจัดกองทัพกลุ่มเสือดาวส่วนใหญ่
ส่วนมารนิรยขาว กลายเป็นนักฆ่าจักรพรรดิ ทันทีที่มีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิซึ่งเป็นอันตรายต่อดวงวิญญาณของผู้คนอย่างมากปรากฏตัว มารนิรยขาวจะพุ่งตัวไปทันที ในนั้นรวมถึงจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัวกับจักรพรรดิขั้นสูงหกตัวในตอนท้ายสุดด้วย
กลุ่มต่อสู้ของจักรพรรดิขั้นสูงหก ตัวก็แข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อสู้ของดวงวิญญาณชายแก่ทั้งหมดของพวกชู่เทียนเชิงและดวงวิญญาณธาตุสองตัวของชู่มู่แล้ว ปีศาจขาวต่อสู้ลำพัง ย่อมเต็มไปด้วยบาดแผล อย่างไรจักรพรรดิขั้นสูงสามตัวก็สู้กับจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัวได้แล้ว กลุ่มเสือดาวจักรพรรดิขั้นสูงหกตัวไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้นแน่นอน
“เย้ ปกป้องพวกเขากลับไป” หลังจากเก็บภูตพันวายุ ได้อัญเชิญอสูรสายฟ้านิมิตราตรีออกมา
ชู่มู่รู้ว่าในภูเขาแห่งนี้ยังมีกลุ่มเสือดาวจักรพรรดิกับผู้นำที่ซ่อนตัวอยู่แน่นอน พวกเขาอาศัยการปกปิดของเวลากลางคืน พร้อมที่จะโจมตีผู้คนที่เหนื่อยล้ายิ่งแล้ว ถ้าให้พวกชู่เทียนเหิงจากไปแบบนี้ เกรงว่าพวกเขายังไม่ถึงหุบเขาทรงพลังก็จะถูกฆ่าตายไปแล้ว!
“ฮวย”
อสูรสายฟ้านิมิตราตรีลอยตัวออกจากความมืด กลิ่นไอความมืดกระจายออก ปกคลุมราตรีรำพึงออกมารอบๆ
การปกป้องของราตรีรำพึง ต่อให้เป็นกลุ่มเสือดาวจักรพรรดิชั้นยอด ก็อย่าคิดจะโจมตีบุตรแห่งราตรีตัวนี้ ดังนั้นอสูรสายฟ้านิมิตราตรีจะนำทางให้ รับรองความปลอดภัยของพวกเขา
“โฮร่ โฮร่”
ทันใดนั้น เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยพลังดังขึ้นจากบริเวณสุดขอบภูเขา!!!
ผู้คนสัมผัสได้ว่า ภูเขาที่เสียสภาพใต้เท้าตัวเองกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!!!
เสียงคำรามสะเทือนใจนี้กั้นด้วยภูเขาสิบกว่าลูก แต่กลับรู้สึกเหมือนดังขึ้นข้างหู ใบหน้าของพวกชู่เทียนเหิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มองไปยังภูเขาที่อยู่ใต้แสงจันทร์เย็นเยียบ พบว่า เมฆสีดำอสูรนั้นได้ปกปิดฟ้าที่มีแสงจันทร์และดาวครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังพัดพามาที่นี่อย่างรวดเร็ว!!!
ปรากฏตัวในที่สุด!!! ผู้ปกครองชนเผ่าระดับราชัน!!!
“นั่น…นั่นมัน…ราชันเสือดาวภูเขาทรงพลัง!!!”
คลื่นดำพัดพา ปกปิดทั่วฟ้าดิน!!!
พลังนี้รุนแรงยิ่งกว่ากองทัพสองอันของชนเผ่าขั้นเก้ารวมกัน ราวกับภัยพิบัติที่กำลังพัดพาเข้ามา ไม่มีที่ให้หลบซ่อนหรือโต้ตอบใดๆ!!!
สีหน้าของจางอิงและชู่มั่วอิ๋งซีดขาวอย่างมาก พวกเขาหายใจหอบ รู้สึกว่าหายใจลำบาก!
“สิ่งมีชีวิตระดับราชัน!!! ระดับราชันที่แท้จริง!!!” ชู่มั่วอิ๋งกับจางอิงเคยเห็นแค่ดวงวิญญาณของเจ้าตระกูลพวกเขาที่มีพลังแบบนี้!!!
ตอนที่ราชันปีศาจแมลงเวหาปรากฏตัวในเมืองอั่วกู่ เจ้าตระกูลได้ต่อสู้กับมันบนฟ้านับพันเมตร ชู่มั่วอิ๋งกับจางอิงยังคงหวาดหวั่นอยู่
การต่อสู้ระดับนั้น ต่อให้เป็นจักรพรรดิขั้นสูงกับจักรพรรดิชั้นยอด ก็ถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายได้!
“พวกเจ้ารีบออกไป! เร็ว!” ชู่มู่พูดกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว!
ชู่มู่ไม่คิดว่า ราชันเสือดาวจะพุ่งเข้ามาเอง อีกทั้งด้วยความเร็วสูงขนาดนี้!!!
เดิมพวกชู่เทียนเหิงเต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว ทันทีที่ราชันเสือดาวภูเขาทรงพลังพุ่งเข้ามา ต่อให้ชู่มู่มีมั่วเย้ ถ้าราชันเสือดาวคิดจะโจมตีพวกเขาละก็ พลังของทักษะระดับราชันที่กระจายออกจะทำให้พวกเขาสลายตัวได้เช่นกัน!
ภูเขาและฟ้าทั้งหมดถูกพลังของราชันเสือดาวปกปิดเกือบหมด พลังแข็งแกร่งยิ่งนั้นทำให้ชายแก่พวกนี้สั่นไปทั้งตัว
ในตอนนี้ พวกเขาไม่กล้าลังเล รีบหนีไปยังหุบเขาทรงพลังด้วยการนำทางของอสูรสายฟ้านิมิตราตรีของชู่มู่
ความเร็วของราชันเสือดาวไวมาก ระยะของภูเขาสิบกว่าลูก เดิมควรจะไกลออกไปมาก ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ยืนอยู่ในระยะห่างแบบนี้ จะไม่เป็นอันตรายแน่นอน
สำหรับพวกชู่เทียนเหิงแล้ว ความตายเข้าใกล้พวกเขาอย่างมาก ทุกครั้งที่หันกลับไป ชวนขนลุกอย่างมาก ในหัวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!
อย่าว่าแต่พี่น้องชู่เทียนเหิงทั้งสาม แม้แต่จางอิงกับชู่มั่วอิ๋งยังไม่เคยสัมผัสความน่ากลัวของการถูกดวงวิญญาณระดับราชันเพ่งเล็งแบบนี้ ความหนาวเหน็บกระจายตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนมีดวงตาของยมทูตคู่หนึ่งจับจ้องมายังลำคอของตัวเอง ไม่ว่าจะหลบไปที่ใด ดวงตาคู่นี้จะจับจ้องตลอด แล้วปรากฏตัวทันที คร่าชีวิตของพวกเขาไป!
“หนีไป!” ชู่มู่ตะโกนไปยังผู้คนอีกครั้ง!
ความเร็วของราชันเสือดาวนี้เกินกว่าที่ชู่มู่จินตราการเอาไว้ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่า ราชันเสือดาวที่โกรธเคืองจะฆ่าคนทั้งหมด ชู่มู่เองก็เพิ่งเข้าสู่ระดับราชัน นอกจากที่เคยสู้กับดวงวิญญาณระดับราชันในภาวะครึ่งมารแล้ว โดยปกติแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ชู่มู่เผชิญหน้ากับดวงวิญญาณระดับราชัน!!!
พวกชู่เทียนเหิงไม่กล้ารอช้า ขี่ดวงวิญญาณรองของพวกเขา วิ่งไปตามภูเขาที่ขึ้นลงลาดชัน!
ภายใต้ราตรีนี้ พลังของราชันเสือดาวปกคลุมเกินกว่าครึ่งขอบฟ้าแล้ว ส่วนพวกชู่เทียนเหิงที่วิ่งหนีไปในภูเขา เหมือนมดที่อยู่ในพายุ เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า ต่อให้เข้าใกล้หุบเขาทรงพลังมากแล้ว ถ้าไม่มีพลังที่แข็งแกร่งกว่าต้านทานเอาไว้ พวกเขาจะถูกตามทันแน่นอน แล้วถูกพายุแห่งความตายพัดพาไป!
สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของราชัน ชู่มู่ไม่กล้าลังเล ร่ายคาถาขึ้นทันที!
อัคคีแห่งโทษลุกโชนขึ้นด้านข้างชู่มู่ แสงไฟสีแดงเข้มลุกโชนขึ้นระหว่างภูเขามืดมัว
หางจิ้งจอกอัคคีงดงามเก้าเส้น กางออกไปด้านข้าง ราวกับมังกรอัคคีแห่งโทษที่มีชีวิตเก้าตัว ระหว่างที่ขยายออกกลับพันรอบพื้นที่เขาอย่างช้าๆ!
หลังจากแปรเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด ถ้ามั่วเย๋ยืดหางออกไปละก็ ความยาวนี้ยากที่จะคำนวณได้ ตอนนี้หางพวกนี้ยืดออกอย่างไร้สิ่งกีดขวาง อีกทั้งแทบจะสัมผัสภูเขาด้านข้างได้แล้ว
หางจิ้งจอกสองเส้นยืดลงไปตามเนินเขา ตลอดจนถึงใต้เขา หางสามเส้นพันรอบบริเวณกลางเขาเอาไว้ หางสี่เส้นสยายกลางอากาศ อัคคีแห่งโทษที่ร้อนระอุสยายไปพร้อมกับมัน!
“อู อู อู อู!!!”
ทันใดนั้น มั่วเย้ที่อยู่ท่ามกลางอัคคีแห่งโทษส่งเสียงขึ้น!
เผชิญกับเมฆดำราชันเสือดาวที่พุ่งตัวเข้ามา หางสามเส้นที่ม้วนรอบภูเขาเอาไว้ของมั่วเย้รัดแน่น หางนี้ได้มัดภูเขาเอาไว้!
“โครม โครม โครม โครม”
ภูเขาเหล่านี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หินชั้นล่างสลายไปหมดทันที!!!
ชู่มู่กระโดดขึ้นหลังของมั่วเย้ ส่วนมั่วเย้เหยียบกลางอากาศ หางเก้าเส้นรัดภูเขาเอาไว้ ดึงออกจากบนพื้น แล้วยกไปด้านหลังอย่างช้าๆ!
ภูเขาลูกหนึ่งถูกดึงขึ้น!!!
จางอิงที่หันกลับไปมองแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง มองไปยังภูเขาที่มีความสูงร้อยกว่าเมตรนั้นถูกยกขึ้น!
นี่เป็นพลังที่น่ากลัวมากเพียงใด!!!
หางจิ้งจอกเก้าเส้นสะบัดอย่างรุนแรง มังกรไฟระบำในตอนกลางคืน ประกายแสงสาดส่องไปถึงหุบเขาทรงพลัง ผู้คนที่อยู่ในหุบเขาทรงพลังสามารถมองเห็นหางงดงามที่สยายบนฟ้าและภูเขาลูกหนึ่งที่ถูกหางยาวเหวี่ยงขึ้นไปได้อย่างชัดเจน!
ภูเขาหนึ่งลูกพาดผ่านจากภูเขาสิบกว่าลูก ตอนที่กลุ่มเสือดาวกระจายตัวเงยหน้าขึ้น เห็นภูเขาลูกหนึ่งพาดผ่านหัวของพวกเขาอย่างน่ากลัว ตกใจจนกลุ่มเสือดาวพวกนี้วิ่งหนีไปทั่ว!
ภูเขาไกลออกไปเรื่อยๆ ฟาดไปยังตำแหน่งที่ราชันเสือดาวอยู่!
ทันใดนั้น เงาสีดำลึกลับพุ่งขึ้น มองจากที่ไกลออกไปเหมือนจุดดำเล็กๆ อันหนึ่ง แต่พลังที่กระจายออกจากในนั้น กลับยิ่งใหญ่กว่าภูเขาที่ลอยไปอีก!
เสี้ยววินาทีนั้น ภูเขาที่ลอยอยู่ชะงักลง รอยแยกนับไม่ถ้วนปรากฏบนหินภูเขานั้น อีกทั้งคืบคลานอย่างรวดเร็ว!
“บึ้ง!!!”
เสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าดิน ภูเขาทั้งลูกระเบิดออกระหว่างที่เงาสีดำโจมตีกลางอากาศ กลายเป็นก้อนหินนับไม่ถ้วน กระจายไปทั่ว!!!
“โครม โครม โครม!!! โครม โครม โครม!!!”
หินทุกก้อนใหญ่ยิ่ง หลังจากที่ตกลงจากฟ้า กระแทกลงบนหินก้อนอื่นอย่างรุนแรง ทำให้เหมือนพายุฝนก้อนหินยักษ์ โจมตีไปยังพื้นผิว
ส่วนกลุ่มเสือดาวที่ตามติดข้างราชันเสือดาว เศษใดๆ ที่กระจายออกจากภูเขาก็ทำให้พวกมันตายลงได้ทันที!
พลังที่ระเบิดภูเขาออกกลายเป็นคลื่นไอ กระจายไปยังภูเขาที่มืดมัวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน ฟาดลงบนตัวพวกชู่เทียนเหิงที่กำลังหนีออกจากสนามรบไกลออกไป เกือบทำให้ดวงวิญญาณของพวกเขาผลิกตัว!
“น่า…น่ากลัวเกินไป!!!” ชู่เทียนเหิงกวาดตามองไปยังหินยักษ์ที่ตกลงมาที่นี่ แล้วพูดขึ้นอย่างใจหาย
ชายแก่เหล่านี้เพิ่งเคยสัมผัสพลังของระดับราชันในระยะใกล้แบบนี้เป็นครั้งแรก ความรู้สึกอ่อนแอนั้นเกิดขึ้นในใจ!
นี่เป็นการโจมตีที่ไกลถึงห้าหกพันเมตร ภาพที่ภูเขาระเบิดกลางอากาศไกลออกไปนั้น เกิดความสะเทือนทั้งจิตใจและสายตา ต่อหน้าพลังแบบนี้ พวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง ทั้งหมดก็เป็นแค่ความว่างเปล่า!
ด้านนอกหุบเขาทรงพลัง เหล่าสมาชิกตระกูลชู่ที่ยังอยู่ที่นั่นได้กลายเป็นรูปปั้นในตอนนี้ ความตกใจบนใบหน้าทวีคูณ การปะทะนั้นห่างจากที่นี่สิบกว่ากิโลเมตร แต่หัวใจของทุกคนกลับเต้นอย่างรุนแรง!
———————————————————————————–
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
วายุสลายสำเร็จ ความกดอากาศมหาศาลพัดเป็นลมขุ่นมัวอย่างรวดเร็ว ม้วนตัวจากที่สูงของภูเขาลงมา จนมองเห็นแรงลมที่รุนแรงพัดพาระหว่างกลุ่มเสือดาว!
แต่ให้ภูตพันวายุมีโอกาสปล่อยทักษะออกมาได้ พลังทำลายล้างที่มันสร้างจะทวีคูณขึ้น เดิมกลุ่มเสือดาวไม่มีการป้องกันหมวดลมที่ดีอยู่แล้ว กลุ่มเสือดาวสิบกว่าตัวที่อยู่ด้านหน้าถูกพัดออกไปอย่างง่ายดาย
แน่นอนว่า จำนวนของชนเผ่ากลุ่มเสือดาวที่พุ่งเข้ามาจากภูเขามีเยอะมาก ภูตพันวายุพัดออกไปได้แค่จำนวนน้อย ในไม่ช้า กองทัพอื่นได้พุ่งเข้ามาในตำแหน่งที่ต่างกัน กรงเล็บของพวกมันพุ่งเข้ามาราวกับพายุ
“ข้าเอง!” จางอิงร้องขึ้น เขาควบคุมปีศาจนักรบไม้ของเขา ให้กางร่างแหรากไม้ยักษ์ใหญ่ออกมา ปกคลุมการโจมตีทั้งหมดไว้ในนั้น!”
“ซัวะ ซัวะ ซัวะ”
แหรากไม้กลายเป็นเศษทันที อีกทั้งได้ต้านทานการโจมตีของกลุ่มเสือดาวรอบแรกนี้ได้สำเร็จ
และในตอนนี้ ทักษะของภูตเวหาน้ำแข็งสำเร็จลงแล้ว!
ดาวตกน้ำแข็ง!
น้ำแข็งกระจายออก กลายเป็นประกายดาวนับไม่ถ้วน ตกลงจากฟากฟ้า
น้ำแข็งดาวซึมเข้าไปในร่างกายของกลุ่มเสือดาวช้าๆ เริ่มทำให้กระดูก เลือด กล้ามเนื้อของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกแช่แข็ง ทำให้ภูเขานี้กลายเป็นฤดูหนาว พืชทั้งหมดเริ่มแข็งตัว!
“แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก”
กลุ่มเสือดาวสิบกว่าตัวเริ่มถูกแช่แข็งจากด้านในร่างกายด้วยทักษะนี้ หลังจากอสูรเขาประกายของชู่เทียนเหิงพุ่งออก ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นก้อนเนื้อแช่แข็งกระจายไปทั่ว!
ทักษะอื่นของดวงวิญญาณธาตุได้เตรียมพร้อมเสร็จสรรพหลังจากที่ภูตเวหาน้ำแข็งกับภูตพันวายุปล่อยออกไป พลังของจักรพรรดิพวกนี้รวมกันแล้ว พลังไม่อ่อนลง ดวงวิญญาณระดับแม่ทัพเหล่านั้นได้ล้มลงพร้อมกับกลายเป็นเศษ!
กลุ่มเสือดาวที่พุ่งเข้ามาราวกับเมฆดำถูกจัดการไปนับพันตัวทันที ตอนที่กลุ่มสองพุ่งเข้ามา ทักษะหมวดหินของราชันผีหินผาได้ปล่อยพลังเต็มที่ ฟาดจากฟ้าลงมายังภูเขาลูกยักษ์ ยอดเขาเริ่มแตกสลายถล่มลง
ด้วยการต้านทานของราชันผีหินผา ศพนับพันตัวของกลุ่มเสือดาวล้มลงอีก ส่วนกลุ่มเสือดาวที่พุ่งเข้ามาระหว่างช่องว่างของทักษะ พวกมันแทบไม่ทันได้ปล่อยทักษะใดๆ ก็ถูกจักรพรรดิหมวดอสูรของพวกเขาฉีกเป็นเศษแล้ว
“โฮร่ โฮร่!!!”
บนยอดเขาลูกหนึ่ง เสือดาวที่มีความยาวสิบเมตรเต็มไปด้วยไอมืดทั้งตัวส่งเสียงคำรามขึ้นกะทันหัน ดวงตาสีเหลืองน่ากลัวคู่นั้นจับจ้องไปยังผู้คนทั้งหมด
นั่นเป็นกลุ่มเสือดาวจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่ง!
บริเวณเกราะไหล่ของมัน มีกระดูกหนามที่ยื่นออกมาราวกับกริซสองเล่ม ด้านหลังมีกระดูกปีกสีดำที่เหมือนมีกลุ่มเข็มสีดำรวมตัวด้วยกัน!
ปีกของเสือดาวสีดำจักรพรรดิชั้นยอดนี้กระพือออก ทันใดนั้น ลมสีดำพัดพาอย่างรุนแรง ราวกับลูกธนูนับหมื่น ปกคลุมจากยอดเขาอีกด้านมายังตำแหน่งที่ดวงวิญญาณของทุกคนอยู่
หนามแต่ละอันแหลมพอที่จะทะลุก้อนหินได้ หนามกระดูกเหล่านี้ตกลงมาราวกับสายฝน ดวงวิญญาณของทุกคนเกิดร่องรอยบาดเจ็บหมด ทักษะที่เหล่าดวงวิญญาณธาตุเตรียมเอาไว้ถูกขัดหมด!
“นี่เป็นราชันเสือดาวปีกดำจักรพรรดิชั้นยอด!!!” จางอิงร้องออกมา หลังจากพูดจบ จางอิงรีบให้ปีศาจนักรบไม้ปล่อยกำแพงไม้ออกมา ปกป้องดวงวิญญาณที่มีพลังป้องกันค่อนข้างอ่อนแอไว้ในนั้น
“ด้านข้างของมันยังมีราชันเสือดาวปีกดำอยู่หลายตัว น่าจะเป็นจักรพรรดิขั้นสูง ถ้าถูกพวกมันควบคุมเอาไว้ละก็ พวกเราจะถูกกลุ่มเสือดาวล้อมเอาไว้ทันที!” ชู่เทียนเจี๋ยพูดขึ้น
คนทั้งหมดมีจักรพรรดิขั้นสูงทั้งหมดห้าตัว ตัวอื่นน่าจะเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง จักรพรรดิขั้นต่ำและเทียบเท่าจักรพรรดิ กลุ่มแบบนี้จัดการกองทัพระดับผู้นำ แม่ทัพ และทาสได้อย่างเหลือเฟือ แต่ทันทีที่กองทัพระดับจักรพรรดิปรากฏตัว การป้องกันของพวกมันอาจสลายไปทันที!
“ข้าจะการมันเอง” ชู่มู่พูดขึ้น
พวกชู่เทียนเหิงต่างมองไปยังชู่มู่ เพราะพวกเขารู้ว่าชู่มู่ได้ซ่อนดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่เกินกว่าจักรพรรดิเอาไว้ ทันทีที่ดวงวิญญาณตัวนั้นลงมือละก็ จักรพรรดิชั้นยอดต้องตายลงอย่างแน่นอน!
แต่ว่าหลังจากที่คนทั้งหมดมุ่งมาที่นี่แล้ว กลับไม่เห็นดวงวิญญาณตัวนี้ปรากฏตัว ตอนนี้เห็นชู่มู่กำลังจะใช้ไม้ตาย ต่างอยากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่มีเก้าหางเมื่อกี้กับตาอย่างมาก
“ราชันผี กลับมา” ชู่มู่ร่ายคาถาขึ้น เก็บราชันผีหินผากลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ
บนตัวชู่มู่ยังมียาพลังวิญญาณที่เย้ชิงจือให้ตัวเองอยู่ไม่น้อย มียาพลังวิญญาณพวกนี้ ชู่มู่มั่นใจได้ว่า จะอัญเชิญดวงวิญญาณทั้งหมดของตัวเองออกมาได้
หลังจากเก็บราชันผีแล้ว ชู่มู่ร่ายคาถาขึ้น!
ร่ายคาถาครั้งนี้ บนตัวชู่มู่มีไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นกะทันหัน ทำให้ชู่มู่มองดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม
ไฟปีศาจเย็นเยียบทำให้อดใจที่จะสั่นไม่ได้ ชู่เทียนเหิง ชู่เทียนฉี ชู่เทียนเจี๋ยและอาจารย์อาทั้งสองพบว่าชู่มู่กำลังอัญเชิญดวงวิญญาณอีกตัวหนึ่ง ต่างเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ที่ทำให้พวกเขาแปลกใจคือ ไฟปีศาจพิเศษนี้ กลับเป็นพลังเฉพาะของมารนิรยขาวของวังมารนิรย!!!
“มาร…มารนิรยขาว!!!” จางอิงเบิกตากว้างคนแรก!
จางอิงอยู่ตระกูลชู่หลัก เคยสู้กับคนของวังมารนิรยไม่มากก็น้อย เขารู้ดีว่ามารนิรยขาวธรรมดาก็อยู่ในจักรพรรดิขั้นกลางแล้ว พอถึงลักษณะสิบ แค่เพิ่มความแข็งแกร่งเล็กน้อย จะแข็งแกร่งกว่าปีศาจนักรบไม้ที่เขามีอย่างมาก!
ดังนั้น มารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นกลางเป็นดวงวิญญาณที่จางอิงอยากได้มากเช่นกัน
เห็นได้ชัดมากว่า มารนิรยขาวที่ชู่มู่อัญเชิญออกมาไม่ได้อยู่แค่จักรพรรดิขั้นกลางธรรมดาแน่นอน แต่อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว!
ทันทีที่มารนิรยขาวอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอด เท่ากับว่าเป็นการมีอยู่ที่ไร้เทียมทานในกลุ่มเช่นเดียวกับพวกมังกร นอกจากเจอกับดวงวิญญาณที่มีหมวดหลักคู่ มิฉะนั้น ยากที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่รับมือกับมันได้!
ส่วนราชันเสือดาวปีกดำจักรพรรดิชั้นยอด ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของมารนิรยขาวแน่นอน!
มารนิรยขาวไร้เทียมทานปรากฏตัวขึ้น ทำให้ชายแก่เหล่านี้ต่างเผยสีหน้าดีใจและตกใจออกมา ที่ดีใจเป็นเพราะมีจักรพรรดิไร้เทียมทานเข้าร่วม พลังต่อสู้ของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้น ที่ตกใจคือ พวกเขาในตอนนี้ยากที่จะจินตนาการได้ว่า ชู่มู่ในอายุเท่านี้มีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร!!!
“ปีศาจขาว ฆ่าพวกมัน!” ชู่มู่ถอยกลับมาก้าวหนึ่ง ไฟปีศาจกลายเป็นมารนิรยขาวตามโครงร่างของชู่มู่ รอยยิ้มชั่วร้ายลึกลับนั้นอยู่บนใบหน้า!
เงาปีศาจสลับตำแหน่ง!
ท่ามกลางหนามกระดูกที่เหมือนพายุฝน เงาของมารนิรยขาวปรากฏขึ้น เปลวไฟทั้งสองลุกโชนขึ้น ลอยจากยอดเขาทางนี้ไปยังตำแหน่งที่ราชันเสือดาวปีกดำนั้นอยู่!
“ฮวา”
คลื่นไฟปีศาจเก้าวิญญาณระเบิดออก กลืนกินราชันเสือดาวปีกดำทั้งห้าตัวนั้น เดิมราชันเสือดาวปีกดำจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่งยังไม่ทันได้ป้องกัน ก็ถูกไฟปีศาจวิญญาณอันแข็งแกร่งของมารนิรยขาวนี้เผาทั่วตัว ต่อให้ยังไม่ตายก็สูญเสียพลังต่อสู้สิ้นเชิงแล้ว
“โฮร่ โฮร่!!!” ราชันเสือดาวปีกดำจักรพรรดิชั้นยอดสัมผัสได้ถึงอันตรายของมารนิรยขาว กระโดดออกจากไฟปีศาจอย่างรวดเร็ว กลิ้งไปตามเนินเขา ทำให้ไฟปีศาจบนตัวดับไป
จักรพรรดิชั้นยอดตัวนี้ไหวตัวไวมาก แต่จักรพรรดิขั้นสูงเหล่านั้นไม่อาจรอดมาได้ วิญญาณของราชันเสือดาวปีกดำสามตัวนั้นถูกแผดเผา ความสามารถลดลงอย่างมาก!
“มารนิรยขาวตัวนี้ แข็งแกร่งมาก ตรงนั้นมีจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัวกับจักรพรรดิขั้นสูงสี่ตัวอยู่!” ชู่เทียนเหิงพูดขึ้นอย่างตกใจ!
—————————————————————
ด้านนอกภูเขาที่ไฟลุกโชน ชู่มู่ยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นไอร้อนระอุพัดผมของเขาจนสยาย
การต่อสู้ที่เมืองอมตะก่อนหน้านี้ โครงสร้างของเมืองอมตะมั่นคงกว่าเมืองธรรมดาหลายร้อยเท่า ตอนที่มั่วเย้ปล่อยพลังระดับราชันออกมา ชู่มู่สะเทือนอย่างมากแล้ว
ส่วนในตอนนี้ หลังจากเห็นภูเขาทั้งหมดกลายเป็นที่ราบ ชู่มู่เองก็ตกใจไม่น้อย ราชันยังคงเป็นราชัน ขณะที่ปล่อยพลังออกมา ต้องมีพลังที่ทำลายล้างอยู่แน่นอน!
“พลังของทักษะนี้แข็งแกร่งมาก ทว่า คาดว่าต้องใช้วิญญาณห้าอัน…” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้น
วิญญาณหกสิบอันที่ได้จากเด็กสาวทรยศก่อนหน้านี้ใช้หมดตั้งนานแล้ว เวลาหลังจากนี้ ชู่มู่เองก็ไม่ได้ให้มั่วเย้ต่อสู้เท่าไร น่าจะใช้วิญญาณแค่หกสิบอันโดยประมาณ
สำหรับหนึ่งพันวิญญาณนี้ การใช้ห้าวิญญาณนี้ไม่นับว่ามากเท่าไร แน่นอนว่า ชู่มู่ได้แหวนติดตัวของเทียนทิงมาด้วย ถ้าไม่มีหนึ่งพันวิญญาณนี้ ชู่มู่ทนต่อการใช้งานแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
“โฮร่”
ภูเขาสิบกว่าลูกเริ่มสั่นคลอน ตำแหน่งที่ไกลออกไปเกิดเสียงคำรามน่าหวาดกลัวขึ้น!
เสียงนี้น่าจะอยู่นอกเหนือสิบกว่ากิโลเมตร เสียงนี้กลายเป็นคลื่นอากาศ ทำให้ภูเขาที่ติดกันเกิดการสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน!!!
“หรือว่าจะเป็นราชันตัวนั้นของกลุ่มเสือดาว!!!”
ชู่มู่มองไปยังรอบๆ เห็นตำแหน่งภูเขาที่เชื่อมกับฟ้า ถูกก้อนเมฆอสูรหนาแน่นปกคลุมเอาไว้ กลายเป็นเงาสีดำยักษ์ใหญ่ ทำให้พื้นที่ตรงนั้นประหลาดอย่างมาก!
“ทักษะเดียวของจิ้งจอกน้อย เท่ากับเป็นการบอกว่า ‘ข้าคือราชัน ข้ามาหาเรื่องที่นี่’ แนบไว้กับลายเส้นอัคคีแห่งโทษ ราชันของกลุ่มเสือดาวตัวนั้นจะนิ่งเฉยได้อย่างไร !” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ก็ดี ควรจัดการพวกมันได้แล้ว!” ชู่มู่เห็นเทียบเท่าราชันตัวนั้นได้ส่งเสียงคำรามขู่แล้ว คาดว่ายากที่จะเลี่ยงการต่อสู้ครั้งใหญ่ได้ ในตอนนี้ไม่คิดจะถอยกลับใดๆ
“อืม นายท่านรีบจัดการกลุ่มเสือดาว กวาดล้างแหล่งวิญญาณในครั้งเดียว มิฉะนั้น บ่อน้ำตะวันตกพุ่งเข้ามา นายท่านจะไม่มีโอกาสแล้ว” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่พยักหน้า ในตอนนี้อัญเชิญปีศาจนักรบไม้กับราชันผีหินผาออกมาตรงหน้าตัวเอง คิดจะเผชิญกับกลุ่มชนเผ่าเสือดาวทั้งหมด!
“ก่อนหน้านี้กลุ่มชนเผ่าเสือดาวถูกตัดกำลังหนึ่งในสี่จากภัยแร้ง ในหุบเขาทรงพลังก็มีหนึ่งในสี่ เมื่อกี้มั่วเย้กำจัดไปไม่น้อย ชนเผ่าเสือดาวน่าจะเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว ต่อไปแค่มุ่งตรงไป จัดการกองทัพของจักรพรรดิชั้นยอดสองตัวกับลูกน้องใต้บัญชาการของมัน แล้วฆ่าราชันกลุ่มเสือดาวตัวนั้นก็ได้แล้ว” ชู่มู่แอบคิดแบบนี้
ต่อให้เทียบเท่าราชันตัวนั้นส่งเสียงขู่แล้ว แต่มันไม่สามารถปรากฏตัวเผชิญกับมั่วเย้ทันทีได้ จะต้องส่งกองทัพเหล่านั้นเข้ามาตัดกำลังของมั่วเย้ไม่หยุด รอให้หลังจากมั่วเย้ตัดกำลังพอสมควรแล้ว มันค่อยลงมือ
มั่วเย้เป็นราชันขั้นต่ำลักษณะเก้า ความสามารถเท่ากับเทียบเท่าราชันลักษณะสิบ ถ้าถูกตัดกำลังตั้งแต่ตอนแรกละก็ จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชันตัวนั้นแน่นอน ส่วนมั่วเย้ไม่สามารถขัดขวางราชันกลุ่มเสือดาวตัวนั้นได้ ดวงวิญญาณอื่นของชู่มู่ย่อมไม่สามารถขัดขวางกลุ่มเสือดาวราชันได้!
“โฮร่ โฮร่ โฮร่!!!”
“โฮร่ โฮร่ โฮร่ โฮร่ โฮร่ โฮร่ โฮร่ โฮร่!!!”
พื้นดินสั่นสะเทือน กองทัพอีกกลุ่มของเสือดาวกำลังบุกเข้ามาแล้ว!!!
ครั้งนี้ราชันกลุ่มเสือดาวพุ่งออกจากรังจริงๆ!!!
“ชนเผ่ากลุ่มเสือดาวนี้ จำนวนมากกว่าที่ข้าประเมินไว้ก่อนหน้านี้อีก น่าจะมีจำนวนเท่ากับกลุ่มขั้นเก้าสองอัน!” ผู้เฒ่าหลีสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของกลุ่มเสือดาวที่พัดพา แล้วพูดขึ้น
ตอนที่จัดการกลุ่มในหุบเขา มั่วเย้ได้ใช้ทักษะภูตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ทำให้กลุ่มเสือดาวทั้งหมดโกรธเคือง ทำให้พวกมันตกไปในกับดักของปีศาจนักรบไม้ต้องใช้เวลานานมาก มิฉะนั้น ชู่มู่ก็ไม่อาจอาศัยปีศาจนักรบไม้เก็บกวาดหุบเขาทรงพลังได้รวดเร็วขนาดนั้นได้
เมื่อกี้ เพื่อให้สองกันคนนั้นลุกขึ้นมาได้ มั่วเย้ปล่อยทักษะแข็งแกร่งออกมาอีกครั้ง พลังลดลงอีก ต่อไปเผชิญกับกองทัพกลุ่มขั้นเก้าสองเท่านี้ ชู่มู่จะไม่ให้มั่วเย้เสียแรงอีกแล้ว
“มั่วเย้กลับมา ปีศาจนักรบไม้ กลับมา!” ชู่มู่ร่ายคาถาขึ้น เก็บปีศาจนักรบไม้ที่ใช้แรงไปพอสมควรกับมั่วเย้ที่ต้องเก็บแรงเข้าไปในช่องว่างดวงวิญญาณ
“ภูตเวหาน้ำแข็ง ภูตพันวายุ!” ชู่มู่ร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญภูตแห่งธาตุแข็งแกร่งสองตัวนี้ออกมาทันที
“ราชันผีหินผา ใช้ทักษะหมวดหินของเจ้าให้เต็มที่ อย่าให้กองทัพเข้าใกล้ ภูตเวหาน้ำแข็ง ภูตพันวายุ ฆ่าให้เต็มที่”ชู่มู่พูดกับดวงวิญญาณธาตุทั้งสามของตัวเอง
หลังจากที่ชู่มู่สร้างรูปแบบต่อสู้ของธาตุได้ไม่นาน ภูเขาสะเทือนหนักยิ่งกว่าเดิมแล้ว
มองออกไป สามารถมองเห็นกลุ่มเสือดาวราชันที่รวมตัวหนาแน่นกว่าเดิมบริเวณตำแหน่งก้อนเมฆหมวดอสูรในพื้นที่กว้างกว่าเดิมบนภูเขา
ด้านนอกหุบเขา ผู้คนพบว่า มีกลุ่มเสือดาวพุ่งเข้ามาที่นี่มากกว่าเดิมทันที แต่มีวัยหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง ยืนอยู่ระหว่างหุบเขากับชนเผ่ากลุ่มเสือดาวตั้งแต่ต้นจนจบ…
เงาของเขาเล็กจนทำให้ผู้คนมองไม่เห็น แต่ภาพที่สันโดษ เด็ดเดี่ยว ทรงพลังนั้น ทำให้คนทั้งหมดจะไม่ลืมภาพที่สะเทือนใจแบบนี้ทั้งชีวิต!
ชู่เทียนเหิงใช้ร่ายวิญญาณมองไปยังเงาแน่วแน่ที่เผชิญกับกองทัพนับหมื่นอย่างสันโดษนั้น วินาทีนี้ เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในใจ มีความรู้สึกพร้อมสู้!
“ตอนยังหนุ่ม ไม่สามารถปีนขึ้นที่สูงแบบนี้ได้ หรือว่าตอนเข้าสู่วัยกลางคนไม่มีความกล้าแบบนี้อีกแล้วเหรอ!” ชู่เทียนเหิงถามตัวเอง!
ทันใดนั้น เขาเหมือนได้ตัดสินใจบางอย่าง พูดกับสมาชิกตระกูลชู่พวกนั้นว่า “พวกเจ้า พาคนที่เหลือเข้าไปในหุบเขา!”
“หัวหน้า ท่านจะ…” สมาชิกสิบกว่าคนนิ่งอึ้ง ในตอนนี้ พวกเขาพบว่าชู่เทียนเหิงกลับอัญเชิญดวงวิญญาณทั้งหมดออกมา!
“แม้จะมีประโยชน์จำกัด แต่ฆ่าพวกระดับผู้นำ ระดับแม่ทัพ ระดับทาสของกลุ่มเสือดาวได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน!” ชู่เทียนเหิงพูดอย่างแน่วแน่ ในตอนนี้ดวงตาของเขาได้ส่องประกายแน่วแน่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
ผู้คนยังไม่ทันได้สติกลับมา ชู่เทียนเหิงกลับขี่อสูรเขาประกายจักรพรรดิชั้นกลางของเขาพุ่งตรงไปยังตำแหน่งของชู่มู่แล้ว
“หัวหน้า!”
“เทียนเหิง!”
ชู่หมิง ชู่เทียนฉี ชู่เทียนเจี๋ยต่างมองไปยังชู่เทียนเหิงที่วิ่งด้วยความเร็วสูงด้วยความตกใจ สะเทือนใจอย่างมาก
พวกเขาทั้งหลายรู้นิสัยของชู่เทียนเหิงเป็นอย่างดี แต่ไม่คิดว่า เขาจะเลือดร้อนเหมือนผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่มคนหนึ่ง พุ่งออกไปสู้กับศัตรูที่ไม่อาจเอาชนะได้!
สิบกว่าปีที่ผ่านมา นี่เป็นการกระทำที่ชู่เทียนเหิงทำให้คนทั้งหมดตกใจมากที่สุดแล้ว!
“ใช่ จะให้ชู่มู่ต่อสู้เพื่อตระกูลคนเดียวได้อย่างไร!” ทันใดนั้น ชู่เทียนฉีกัดฟันแน่น ร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญอสูรเกราะจักรพรรดิขั้นต่ำออกมา
ตอนที่วิ่ง อสูรเกราะเต็มไปด้วยพลัง วิ่งไปตามเนินเขา ภูเขา ชู่เทียนฉีพาจักรพรรดิสี่ตัวตามหลังชู่เทียนเหิงไปด้วย
เห็นท่าทีของชายวัยกลางคนสองคนนี้แล้ว ทำให้สมาชิกตระกูลชู่พูดไม่ออก
เห็นพี่ชายสองคนพุ่งออกไปแล้ว ชู่เทียนเจี๋ยตะโกนด่าด้วยความหงุดหงิด แต่สุดท้าย ยังคงขี่ดวงวิญญาณพุ่งออกไปด้วย
“ชู่อิง เจ้ามาทำอะไร! กลับไป พาคนที่เหลือเข้าไปในหุบเขา!” ชู่หมิงตะโกนขึ้น
ชู่อิงกำลังคิดจะพุ่งออกไปพร้อมพ่อของตัวเองชู่เทียนเจี๋ย แต่กลับหยุดลง
“หมอดูบอกว่า ปีนี้ข้าจะประสบหายนะ ท่าทางจะเป็นจริงแล้ว! กลับไปข้าจะจัดการเจ้าแก่นั่นก่อน !” จางอิงพูดออกมา สุดท้ายได้ขี่ดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นกลาง พาปีศาจนักรบไม้จักรพรรดิขั้นสูงพุ่งออกไปด้วย
อาจารย์อาชู่มั่วอิ๋งที่เงียบขรึมลังเลสักพัก คิดว่าแม้แต่จางอิงผู้กลัวตายยังออกไป เขายังอยู่ที่นี่ทำไม ร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญดวงวิญญาณหมวดปีกออกมา บินขึ้นฟ้า!
ณ เวลานี้ กลุ่มชายแก่ได้ขี่ดวงวิญญาณของพวกเขาเผชิญกับกองทัพกลุ่มเสือดาวมหาศาล พลังไม่ด้อยไปกว่าใคร!
ในภูเขา ชู่มู่เห็นคนพวกนี้เข้ามาช่วยเหลือ ได้ฉีกยิ้มออกมา
ความสามารถของราชันผีหินผา ภูตพันวายุอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูง ภูตเวหาน้ำแข็งเป็นแค่จักรพรรดิชั้นยอดลักษณะเก้า คิดจะปล่อยทักษะหมวดธาตุที่แข็งแกร่ง จำต้องปล่อยออกมาในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมากพอ
กลุ่มชายแก่พวกนี้เท่ากับกลุ่มเสือดาวทั้งกลุ่ม แม้ความสามารถจะอ่อนก็จริง แต่เมื่อรวมกัน ยังคงปกป้องภูตพันวายุและภูตเวหาน้ำแข็งของชู่มู่ได้เหลือเฟือ แบบนี้จะจัดการกองทัพชนเผ่ากลุ่มเสือดาวได้ง่ายขึ้นมาก!
“ชู่มู่ ดวงวิญญาณของเจ้าปล่อยทักษะเต็มที่ ท่านอาจะไม่ให้กลุ่มเสือดาวเข้าใกล้พวกมันแม้แต่ตัวเดียว!” ชู่เทียนเหิงกระโดดลงจากอสูรเขาประกาย พูดกับชู่มู่อย่างจริงจัง
ชู่มู่เองได้เห็นเลือดร้อนภายใต้ความนิ่งของชู่เทียนเหิงแล้ว จึงพยักหน้าพูดขึ้นว่า “ความสามารถดวงวิญญาณท่านอาไม่แย่ ฝึกต่อเนื่อง จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
ระหว่างที่พูด ชู่เทียนฉี ชู่เทียนเจี๋ยและอาจารย์อาทั้งสองของตระกูลชู่หลักได้มาถึงแล้ว ชายแก่พวกนี้ไม่พูดมาก ให้ดวงวิญญาณที่เหนือกว่าจักรพรรดิก่อตัวเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ ปกป้องภูตเวหาน้ำแข็งกับภูตพันวายุของชู่มู่ไว้ในนั้น ดวงวิญญาณอื่นเริ่มกระจายไปสองข้าง
ราชันกลุ่มเสือดาวได้เล็งไปยังกลิ่นไอของชู่มู่แล้ว กองทัพก็มุ่งตรงมาเพราะชู่มู่
ต่อให้กองทัพเสือดาวเหล่านี้จงใจวิ่งอ้อมพวกชู่มู่เข้าไปในหุบเขา ด้วยความสามารถของพวกเขา เพียงพอที่จะทนถึงคนทั้งหมดเข้าไปในหุบเขาได้
หลังจากเข้าไปในหุบเขา สมาชิกหลักสามสิบกว่าคนของตระกูลชู่ที่มีผู้นำ สมาชิกแม่ทัพสองร้อยกว่าคน ประชาชนที่มีความสามารถระดับทาสหนึ่งพันกว่าคน อีกทั้งยังมีชู่เชียน ชู่หลั่ง ชู่เหอและอาจารย์อาทั้งสองของตระกูลชู่หลักอยู่ในตำแหน่งเนินเขา ชนเผ่ากลุ่มเสือดาวก็ไม่สามารถพุ่งเข้าไปได้ทันที!
“พวกมันมาแล้ว!” ชู่มั่วอิ๋งที่อยู่บนฟ้าลงมาทันที เข้าร่วมกลุ่มการต่อสู้จักรพรรดิที่มีชู่มู่เป็นหัวหน้า
พื้นที่โจมตีของภูตพันวายุไกลที่สุด ตอนที่ชนเผ่ากลุ่มเสือดาวห่างออกไปหนึ่งพันเมตร ภูตพันวายุได้ร่ายคาถาขึ้น พัดพาพายุขึ้นมา!
ชู่มู่จำต้องให้ภูตพันวายุอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดให้ได้ รอให้กลับไปถึงเมืองเทียนเซี่ย ได้วัตถุวิญญาณหมวดลมที่แลกจากนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ ราชันหมวดลมของชู่มู่ก็จะได้แจ้งเกิดแล้ว!
————————————————————-
“รีบหนีเร็ว!!กลุ่มเสือดาวมาแล้ว!!!”
ขอทานที่เดินอยู่ด้านหลังมากคนหนึ่งตะโกนทันที
ตามด้วย เหล่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในถนนเดียวกับขอทานคนนี้ที่อยู่ด้านหน้าวิ่งด้วยความเร็วสูง วิ่งไปหันกลับมามองด้วยใบหน้าหวาดกลัว
เสียงร้องดังขึ้นทันที คนนับพันที่อยู่ด้านหลังร้องไห้ออกมาทันที ไม่มีระเบียบใดๆ มีเพียงอยากวิ่งไปด้านหน้าสุดแรง
ส่วนเด็กสาวที่มีท่าทีเหมือนคนรับใช้ เดิมพวกเขาอยู่กันเป็นกลุ่ม ในตอนที่กลิ่นไอกลุ่มเสือดาวพุ่งเข้ามา พวกเขากลัวจนนั่งอยู่กับพื้น ไม่มีแม้แต่แรงที่จะวิ่งหนีแล้ว สั่นไปทั้งตัว ส่งเสียงร้องไม่หยุด
ไม่เพียงแค่เด็กสาวเหล่านี้ พวกคนที่มีความอดทนต่ำ กลัวกลิ่นไอของเสือดาวจนหมอบอยู่บนพื้น
“รีบลุกขึ้น!!อยู่ที่นี่จะตายหมด!!”ผู้คุมดวงวิญญาณขั้นต่ำยังมีสติอยู่บ้าง ดึงคนที่ไม่สามารถขยับได้ดันเข้าไปในหุบเขาสุดชีวิต
กลุ่มเสือดาวเข้าใกล้มาเท่าไร กลิ่นไอรุนแรงก็มากยิ่งขึ้นเท่านั้น คนที่มีความอดทนต่ำไม่สามารถหายใจได้ ชู่เทียนเหิงที่อยู่ด้านหลังเห็นคนนับพันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ หนักใจอย่างมาก
กลุ่มเสือดาวเข้าใกล้มากขึ้นแล้ว เดิมเนินเขาเต็มไปด้วยคนอยู่แล้ว ในบรรดาคนนับพันเหล่านี้ อย่างมากทำได้แค่ให้อีกหนึ่งพันคนเข้าไป สองพันกว่าคนที่เหลือ รวมถึงคนที่ไม่มีความกล้าเดินเข้าไป อาจต้องเผชิญกับการฆ่าล้างของกลุ่มเสือดาว!
“รีบลากพวกเขาเข้าไป”ชู่เทียนเหิงรีบรวมสมาชิกตระกูลชู่มาด้านหลัง ให้พวกเขาใช้ดวงวิญญาณลากคนพวกนี้ไปทันที
จำนวนสมาชิกของตระกูลชู่มีจำกัด การลากเข้าไปแบบนี้ช่วยได้ไม่กี่คนเท่านั้น
กลิ่นไอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คนมากมายสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว เสียงร้องชุลมุนของคนสองพันกว่าคนด้านหลังถูกเสียงดังจากที่ไกลออกไปกลบหมด
“ชู่มู่ ชู่มู่ละ ใครเห็นชู่มู่บ้าง!”ชู่เทียนเหิงตามหารอบๆ ตอนนี้มีเพียงชู่มู่ที่ช่วยสองพันกว่าคนนี้ได้แล้ว
“เมื่อกี้ยังอยู่นี่…”ชู่เทียนฉีกวาดตามองฝูงผู้คนเหล่านี้
“นั่น!เขา…เขาวิ่งไปทางกลุ่มเสือดาวแล้ว!!”ชู่อิงร้องขึ้น ชี้ไปยังภูเขาที่ไกลออกไป!
ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนฉีมองไปทันที พบว่าระหว่างภูเขาด้านนอกหุบเขานั้น ชู่มู่ที่สวมชุดดำปรากฎตัวที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ด้านข้างชู่มู่ สิ่งมีชีวิตสูงส่ง ลำตัวสีเงินสง่างามสมบูรณ์แบบตัวหนึ่ง ยินอยู่ตรงนั้นนิ่งเหมือนปกติทั่วไป เผชิญหน้ากับฝูงกลุ่มเสือดาวที่ถาโถมภูเขาราวกับคลื่นสีดำ ไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัวใดๆ แต่ยังก่อตัวเป็นพลังบางอย่างที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ปกคลุมทั้งภูเขาแห่งนี้ ทำให้กลุ่มเสือดาวที่คลั่งพวกนี้ช้าลง!
แค่พลังเดียว กลับทำให้กองทัพกลุ่มเสือดาวนับไม่ถ้วนนี้ชะงักได้!!
ชู่เทียนเหิง ชู่เทียนฉี ชู่อิงและสมาชิกมากมายตระกูลชู่ต่างสะเทือนกับภาพที่เห็น กองทัพกลุ่มเสือดาวเหมือนหายนะที่ยากจะรับมือได้ หายนะที่ทำให้มนุษย์ผิดหวังกลับชะงักลงเพราะดวงวิญญาณที่มีเก้าหางตัวเดียว พลังที่ล้นเอ่อออกมานี้ ทำให้ทุกคนได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริง สะเทือนใจอย่างยิ่ง ราวกับพระเจ้าของทุกสรรพสิ่ง!
ระหว่างภูเขาสองลูก ชู่มู่หายใจเอาอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของกลุ่มเสือดาวเข้าไป
สายตาของชู่มู่กว้างไกล สามารถมองเห็นภูเขาทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า แต่ว่า ต่อให้เป็นแบบนี้ ชู่มู่ก็ไม่สามารถเห็นกองทัพทั้งหมดของกลุ่มเสือดาวได้ จำนวนของกลุ่มนี้มากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นชู่มู่เอง ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเผชิญกับกองทัพนับแสนแบบนี้
“มั่วเย๋ ทำให้ภูเขาพวกนั้นแบนราบลง”ชู่มู่พูดช้าๆ
สิ่งที่ชู่มู่หมายถึงคือภูเขาที่มีความสูงห้าร้อยเมตรเหล่านั้น พื้นที่ใต้เขามากถึงหลายพันเมตร คนปกติจะข้ามภูเขาลูกนี้ไป ต้องใช้เวลาอย่างมาก
ภูเขาเหล่านั้นเชื่อมต่อกัน น่าจะประมาณสิบกิโลเมตร ในพื้นที่สิบกิโลเมตรนี้ เป็นบริเวณที่มีกองทัพกลุ่มเสือดาวหนาแน่นที่สุด
กองทัพของพวกมันเคลื่อนที่ไวมาก ราวกับเป็นเงาเมฆที่เคลื่อนตัวในภูเขา ปกคลุมไปยังภูเขาที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว
“อูอูอูอูอูอู”
มั่วเย๋เงยหน้าขึ้น ส่งเสียงคำรามราชัน!
หางเก้าเส้นกางออก อัคคีแห่งโทษลุกโชนขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้เนินเขารอบๆ กลายเป็นสีแดง!
เปลวไฟลุกโชนขึ้น ลายเส้นเลือนลางซึ่งเป็นคาถาแห่งโทษปรากฎใต้เท้ามั่วเย๋อย่างรวดเร็ว ลายเส้นชัดเจนมากขึ้น เริ่มทะยานขึ้นช้าๆ…
ลายเส้นค่อยๆ หายไประหว่างที่ทะยานขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน กลับปรากฎบนภูเขาแห่งหนึ่งที่ชู่มู่ชี้ไปซึ่งมีกลุ่มเสือดาววิ่งอยู่
เดิมลายเส้นแห่งโทษนี้เป็นแค่แสงไฟเล็กๆ ที่ลุกโชนด้านบนภูเขา แต่ตามที่มั่วเย๋สะสมพลัง เริ่มขยายมากขึ้น กลายเป็นลายเส้นเปลวไฟอันน่ากลัว ราวกับก้อนเมฆอันใหญ่ ปกคลุมด้านบนภูเขาที่ไกลออกไป!
“นั่น…นั่นอะไร!!”ในใจของชู่เทียนฉีสะเทือนอย่างมาก ดวงตาจับจ้องไปยังลายเส้นสีแดงยักษ์ใหญ่เหนือภูเขาที่กลุ่มเสือดาววิ่งอยู่!
ลายเส้นเปลวไฟนั้น ผนึกบนท้องฟ้า แสงไฟที่สาดส่องราวกับดวงอาทิตย์ สาดเป็นลำแสงลงมา!!
“ฮูฮูฮูฮูฮูฮูฮูฮู!!”
ทันใดนั้น บนภูเขา อัคคีแห่งโทษลุกโชนขึ้น ท่ามกลางกองทัพกลุ่มเสือดาวมืดมน เปลวไฟร้อนระอุลุกโชนขึ้น ต่อให้ห่างกันถึงสิบกว่ากิโลเมตร พวกคนที่ยืนอยู่ด้านนอกหุบเขายังเห็นรูปร่างของอัคคีแห่งโทษได้ชัดเจน!
เปลวไฟลุกโชน มังกรแห่งเปลวไฟนับไม่ถ้วน บิดสะบัดลำตัวด้านล่างลายเส้นอัคคีแห่งโทษ พวกกลุ่มเสือดาวที่เหมือนจุดดำนับไม่ถ้วน เมื่อสัมผัสกับมัน จะต้องหายไปในเสี้ยววินาทีแน่นอน!
ลายเส้นอัคคีแห่งโทษยังมีแรงกดดันมหาศาล ภูเขาที่ถูกปกคลุมเริ่มไหม้และแตกแยก!
“โคร้มโคร้มโคร้มโคร้ม”
อัคคีแห่งโทษร้อนระอุ ภูเขาไม่สามารถทนต่อการแผดเผาอันรุนแรงนี้ได้ เสียงเริ่มดังขึ้นท่ามกลางการถล่มของทั้งหมด
รวมถึงภูเขารอบๆ ที่เต็มไปด้วยกลุ่มเสือดาว เริ่มสลายตัวลง!
ภูเขาเหล่านี้ไม่เหมือนกับยอดเขาที่อ่อนแอ สิ่งเหล่านี้มีชั้นหินพื้นที่กว้างอันหนา จะทำให้มันสลายได้ยากลำบากมาก
ส่วนคนที่ยืนอยู่ด้านนอกหุบเขา พวกเขาในตอนนี้มองเห็นตำแหน่งของภูเขาที่มีอัคคีแห่งโทษเต็มไปหมดได้ชัดเจน หลังจากที่ภูเขาถล่มเป็นเวลานาน ก็ถูกเปลวไฟแผดเผาอย่างช้าๆ…
เปลวไฟของลายเส้นอัคคีแห่งโทษถึงจุดสูงสุด แสงไฟแสบตาอย่างมาก คนแทบทั้งหมดไม่สามารถลืมตาได้ ความแสบตานี้รุนแรงกว่าดวงอาทิตย์สิบดวงบนภูเขาอีก!
คนทั้งหมดไม่สามารถลืมตาได้ ทั้งในและนอกหุบเขา ต่างสะท้อนเป็นสีแดงเข้ม คลื่นความร้อนกระจายออกมาสิบกว่ากิโลเมตร ผ่านภูเขาสิบกว่าลูก กระจายบนตัวของคนนอกหุบเขากว่าสองพันกว่าคน!
ไฟสีแดงคงที่เป็นเวลานานมาก สองพันกว่าคนต่างมองไม่เห็น พวกเขาสัมผัสได้แค่คลื่นร้อนที่ตีเข้ามา แผ่นดินสะเทือนไม่หยุด เสียงดังราวกับสายฟ้า
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ทั้งหมดเริ่มกระจายออกช้าๆ
สายตาของคนปกติกลับมาเป็นเหมือนเดิมทันทีไม่ได้ มีเพียงดวงตาของเหล่าผู้คุมดวงวิญญาณถึงจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ไกลออกไปได้
“ภูเขา…ภูเขากลายเป็นที่ราบแล้ว!!”
ชู่เทียนเหิงมองเห็นเป็นคนแรก และแล้ว ในตอนที่เขาตามหากลุ่มเสือดาวท่ามกลางโลกสีแดงนี้ กลับเป็นภาพที่สะเทือนใจอย่างยิ่ง!!
นั่นเป็นภูเขาหลายลูก!!ทักษะเดียวกลับทำให้พวกมันกลายเป็นที่ราบได้!
คลื่นสีดำเหล่านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว สิ่งที่เห็นเป็นแค่จุดสีดำยุ่งเหยิงบนภูเขาลูกอื่น กระจายตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพลังที่ปกคลุมทั่วฟ้าดินก่อนหน้านี้ แทบจะเทียบกันไม่ได้!
“เหลือเชื่อจริงๆ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!!”ดวงตาของชู่เทียนฉีแทบจะถลนออกมา เมื่ออยู่ตรงหน้าหลุ่มเสือดาว คนทั้งหมดเล็กเหมือนกับเศษหญ้าท่ามกลางมหาสมุทร แต่เศษหญ้านี้ไม่สามารถครองมหาสมุทรได้ แต่กลับกลายเป็นที่ราบด้วยทักษะเดียวได้ นี่ไม่สามารถบรรยายด้วยคำพุดได้แล้ว!
ชู่อิงยังคงมองไปยังภูเขาที่มีเปลวไฟนับไม่ถ้วนเหลืออยู่ เธอเองก็เป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่ออกไปฝึกบ่อยครั้ง พลังทำลายล้างที่ทักษะขั้นเก้าสร้างขึ้นเหล่านั้นเคยทำให้ชู่อิงอิจฉาอย่างมาก และแล้วพลังของทักษะขั้นเก้าเหล่านั้นเมื่อเทียบกับลายเส้นอัคคีแห่งโทษในตอนนี้ ห่างกันราวกับลมอ่อนกับพายุ!
ชู่อิงคาดเดาความสามารถของชู่มู่ น่าจะแข็งแกร่งกว่าซุนหยวนไม่น้อย แต่วัยหนุ่มยังคงเป็นวัยหนุ่ม ไม่อาจเกินกว่าระดับที่ยากจะมองได้
แต่ระหว่างที่อพยพนี้ ความสามารถที่ชู่มู่เผยออกมาเกินกว่าที่เธอคาดเอาไว้ อีกทั้งเกินกว่าพลังทำลายล้างที่เธอรู้ด้วย เพราะจนถึงตอนนี้ เธอยังไม่เคยเห็นดวงวิญญาณใดที่ทำให้ภูเขากลายเป็นที่ราบได้ด้วยทักษะเดียว กำจัดกองทัพกลุ่มเสือดาวได้!!
“นี่…นี่เป็นพลังของจักรพรรดิชั้นยอดที่ไหน…”อาจารย์อาจางอิงของตระกูลชู่หลักมองจนอึ้ง
คนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ เกรงว่ามีแค่จางอิงที่รู้ดีที่สุด สิ่งมีชีวิตที่สร้างพลังทำลายล้างแบบนี้ได้อยู่ในระดับใด!
“ไม่ใช่จักรพรรดิชั้นยอด หรือว่านั่น…”ชู่เทียนเหิง ชู่เทียนฉีเข้าใจทันที!!
ชู่เทียนเหิงเคยได้ยินชู่มู่พูดว่า จักรพรรดิขั้นสูงเป็นรูปแบบต่อสู้ของดวงวิญญาณรอง ดังนั้น ในตอนนั้นเขาจึงคิดว่าชู่มู่มีจักรพรรดิชั้นยอดเป็นดวงวิญญาณหลัก
หลังจากนั้น ชู่เทียนเหิงไม่เคยถามชู่มู่อีก เพราะเขารู้สึกว่าคำตอบนี้สะเทือนใจมากแล้ว!
แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ดวงวิญญาณของชู่มู่กลับเกินกว่าระดับจักรพรรดินี้แล้ว!
ในโลกตะวันตกเทียบกับเมืองเทียนเซี่ยไม่ได้ สำหรับใครก็ตาม เกินกว่าจักรพรรดิ เป็นการมีอยู่ที่เหมือนเทพเจ้า!!
หลายคนที่เห็นสถานการณ์ทั้งหมดยังอยู่ในความสะเทือนใจ ผู้คนสองพันกว่าคนเริ่มเห็นสถานการณ์เปลวไฟได้ชัดเจนแล้ว ในตอนที่พวกเขาพบว่ากลุ่มเสือดาวได้หายไปพร้อมกับแสงไฟที่แสบตา ยิ่งไม่เชื่อสายตาของพวกเขาเอง
ท้ายสุด คนเหล่านี้ได้คุกเข่าลงมากราบ คิดว่าเทพเจ้าได้ปกป้องเมืองเจ็ดสีไว้ กำจัดหายนะให้พวกเขา!
เมืองทุกเมืองจะมีเทพเจ้าคุ้มครองของพวกเขาเอง เทพเจ้าคุ้มครองของเมืองเหล่านี้คือดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่พาเมืองทั้งเมืองไปสู่แสงสว่างท่ามกลางความมืดมน!
ความจริงแล้ว คนทั้งหมดรู้ดี เทพคุ้มครองเหล่านี้คือดวงวิญญาณของเหล่าผู้แข็งแกร่งยิ่งบางคน เพราะมีเพียงดวงวิญญาณของมนุษย์ถึงจะปกป้องมนุษย์ได้
ในตอนนี้ ในใจของคนทั้งหมด สิ่งมีชีวิตราชันจิ้งจอกเก้าหางนั้น คือเทพคุ้มครองใหม่ของเมืองเจ็ดสี!
——————————————————————-
ด้านในหุบเขาทรงพลัง ชู่เทียนหลิงขี่มั่วเย้สีดำวิ่งไปตามเนิน
ทั้งเนินนี้ เต็มไปด้วยศพของกลุ่มเสือดาว เลือดสดไหลรวมเป็นแม่น้ำไปด้านนอก ชู่เทียนหลิงที่เห็นภาพนี้ก็สะเทือนใจอย่างมาก
ผ่านเนินเขา เส้นทางเขาด้านหน้ากว้างขวางอย่างมาก สิ่งที่ปรากฎคือหุบเขาที่อบอุ่นแห่งหนึ่ง
แต่ว่า ท่ามกลางลานกว้างที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวและพืชต้นเล็กพวกนี้ กลับยังคงมีเลือดที่ไหลรวมเป็นแม่น้ำ ศพเยอะจนนับไม่ถ้วน ยากที่จะจินตนาการได้ว่า ในเวลาสั้นๆ นี้ พวกเขาฆ่ากลุ่มเสือดาวได้เยอะขนาดนี้
เดินไปยังบริเวณที่มีศพ ชู่เทียนหลิงกลับไม่เจอเงาของพวกชู่มู่
“โฮร่โฮร่โฮร่!!”
ทันใดนั้น เสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านหน้า ทำให้ทั้งหุบเขาสั่นสะเทือนไปด้วย!!
นี่ไม่ใช่เสียงคำรามของสิ่งมีชีวิตบางตัว แต่เป็นเสียงคำรามพร้อมกันของสิ่งมีชีวิตทั้งฝูงด้วยความโกรธ!
ชู่เทียนเหิงตกใจ รีบขี่มั่วเย้ไปทางนั้น ยิ่งวิ่งไปด้านหน้า ยิ่งเจอก้อนสีดำด้านหน้า กำลังพุ่งออกจากทั้งสามทิศของหุบเขา
ชู่เทียนหลิงอยู่ไกลเกินไป ไม่สามารถมองเห็นพวกมันได้ชัด สิ่งสีดำนั้นเหมือนเมฆสีดำก้อนใหญ่ที่ลอยต่ำลงมาทับบนพื้น แล้วปกคลุมบริเวณด้านบนภูเขาไปถึงตรงกลางของหุบเขา!
ภูเขาสูงชัน ตอนนี้กลับถูกก้อนเมฆสีดำปกคลุมเอาไว้ ภาพนี้ทำให้คนทั้งหมดสะเทือนใจอย่างมาก!
หลังจากที่เมฆดำทั้งหมดกลิ้งลงมา ชู่เทียนหลิงถึงเห็นได้ชัดว่า ที่แท้พวกนี้คือกองทัพเสือดาวที่กำลังวิ่งจากรังของพวกมันไปยังใจกลางหุบเขาด้วยความโกรธ!
พลังที่เต็มเปี่ยม ชู่เทียนหลิงยินอยู่ในหุบเขาอีกอันที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ กลับสัมผัสได้ว่าหุบเขานี้กำลังจะถูกกองทัพกลุ่มเสือดาวมหาศาลท่วมล้น!
ในที่สุด กลุ่มเสือดาวส่วนใหญ่ได้รวมตัวที่ตรงกลาง!
“โซโซโซโซโซโซ!!”
เสียงสะเทือนฟ้าดินดังขึ้น!
พื้นที่ราบเรียบบริเวณหุบเขาด้านหน้าชู่เทียนหลิงเกิดรอยแยกยักษ์ใหญ่ทันที เขากวาดตามองไปยังรอยแยกนั้น พบว่าด้านหน้ามีหลุมยักษ์ใหญ่!
หลุมนี้ได้ทรุดตัวลงในตอนที่กลุ่มเสือดาวโจมตีเข้ามา มองดูราวกับกลุ่มเสือดาวที่เหมือนสายน้ำได้ถมลงไปในหลุมนี้!
ตามด้วย เสียงร้องน่ากลัวดังไปทั่วทั้งหุบเขา เสียงนี้ดังเข้าไปในชั้นเมฆ ดังออกไปนอกหุบเขา อีกทั้งยังดังไปถึงภูเขาที่ไกลออกไป!
นี่เป็นเสียงร้องโอดครวญก่อนตายของกลุ่มเสือดาวนับหมื่น!
หลุมใหญ่นี้คือกับดักยักษ์ กลุ่มเสือดาวทั้งหมดที่ตกลงไปนั้น ถูกรากไม้ชั้นสูงที่เหมือนงูเหลือมฆ่าตายอย่างไม่ยกเว้น ศพกองขึ้นมาอย่างช้าๆ เลือดสดกลายเป็นคลื่น แช่กลุ่มเสือดาวนับหมื่นเอาไว้
ชู่เทียนหลิงยืนนิ่งอยู่กับที่ เห็นกลุ่มเสือดาวยักษ์ใหญ่ถูกฆ่าตายในเวลาอันสั้นแบบนี้ เขาลืมไปว่าครั้งนี้ตัวเองมาเพื่อบอกข่าวกลุ่มเสือดาวให้กับพวกชู่มู่ แค่เห็นพลังมหาศาลแบบนี้ที่ทำให้กลุ่มเสือดาวที่เหมือนคลื่นยักษ์สงบลงได้ในเวลาอันสั้น!
ผ่านไปเนิ่นนาน ชู่เทียนหลิงถึงได้สติกลับมา รีบขี่มั่วเย้วิ่งไปยังบริเวณที่มีกับดักยักษ์ใหญ่นั้นไป
หลุมนี้ใหญ่มาก เพียงพอที่จะเทียบเท่าทะเลสาบ ชู่เทียนหลิงวิ่งไปตามขอบหลุมนี้ มองไปยังศพของกลุ่มเสือดาวที่แทบจะล้นออกมา รู้สึกหวาดกลัว
“ท่านอาสองมาแล้ว!”อีกด้านของกับดักยักษ์ ชู่เหอเห็นชู่เทียนหลิงวิ่งตามขอบหลุมนี้มา
ชู่เชียนนั่งอยู่ข้างชู่มู่ด้วยสีหน้าซีดขาว เผชิญกับศพที่กองเต็มไปหมด เธออ้วกหลายรอบแล้ว สุดท้ายได้นั่งลงไปอ้วกกับพื้น
ความอดทนของผู้หญิงยังคงแย่กว่าหน่อย ศพนับหมื่นที่ตกลงไปในกับดักนี้นองเลือดเกินไป แม้แต่ชู่หลั่ง ชู่เหอยังไม่กล้ามอง
พ่อค้าเจ้าเล่ห์กับกัวหลี่ยังไม่เป็นไร ไม่เกิดปฎิกิริยากับภาพที่ดุเดือดแบบนี้เท่าไร แต่จากสีหน้าของพวกเขาทั้งสองแล้ว ยังไม่หายสั่นสะเทือนจากทักษะที่ยิ่งใหญ่นี้
การฆ่าล้างกลุ่มที่น่ากลัวแบบนี้ เกรงว่ามีเพียงดวงวิญญาณระดับราชันถึงทำได้ พวกเขายากที่จะจินตนาการได้ว่า ปีศาจนักรบไม้ระดับจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่งจะสร้างพลังทำลายล้างที่สะเทือนใจแบบนี้ได้
กลุ่มเสือดาวที่เหลืออยู่ยากที่จะเป็นอันตรายแล้ว ดวงวิญญาณของชู่เชียน ชู่หลั่ง ชู่เหอ พ่อค้าเจ้าเล่ห์ กัวหลี่กำลังทำการกวาดล้างอยู่ ส่วนชู่มู่ได้อัญเชิญราชันผีหินผาออกมาแล้ว ทำการเติมเต็มหลุมศพนี้
กลิ่นคาวเลือดล่อฝูงดวงวิญญาณมาได้ง่าย ดังนั้นหลังจากฆ่าล้างจำนวนมากแล้ว จำต้องจากไปทันที ถ้าไม่จากไปละก็ ต้องทำการฝังให้ดี อีกทั้งมีศพมากเกินไป จะเกิดโรคระบาดได้ง่ายด้วย
“ท่านอาสอง ทำไมหรือ?”ชู่มู่นิ่งเหมือนปกติ มองไปยังชู่เทียนหลิงแล้วถามขึ้น
พอถามแบบนี้ชู่เทียนหลิงถึงได้สติกลับมา รีบพูดขึ้นว่า”กลุ่มเสือดาวได้เคลื่อนตัวแล้ว กำลังวิ่งมายังภูเขาทรงพลังแห่งนี้ อีกไม่ถึงสองชั่วโมงจะมาถึง!”
ชู่มู่ขมวดคิ้ว กลุ่มเสือดาวนี้ปรากฎตัวไวกว่าที่ชู่มู่คิดเอาไว้ ท่าทางตัวเองไม่มีโอกาสได้พักหายใจแล้ว จำต้องต่อสู้ต่อแล้ว!
“พวกเจ้ากวาดล้างศพที่เหลือต่อ ข้าออกไปด้านนอก ให้พวกเขาเริ่มอพยพเข้ามา”ชู่มู่พูดขึ้น
“ศพเยอะขนาดนี้?”ชู่เหอถามด้วยความสงสัย
“หลังจากคนทั้งหมดเข้ามา ให้คนที่มีดวงวิญญาณระดับทาส 1000 คนทำความสะอาดสนามรบ เศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ ผลึกเครื่องฝนเหล่านี้ล้วนเป็นเสบียงของดวงวิญญาณ ถ้าชนเผ่าบ่อน้ำตะวันตกโจมตีมา พวกเราจะอยู่ในหุบเขานานมาก”ชู่มู่บอก
“นองเลือดขนาดนี้ คงมีไม่กี่คนที่กล้าทำความสะอาด…”ชู่หลั่งพูดเสียงเบา
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ชินเอง”ชู่มู่ไม่พูดเยอะ พาราชันผีหินผากับปีศาจนักรบไม้ และมั่วเย๋น้อยในภาวะอาวรณ์วิ่งออกไปด้านนอกหุบเขา
พ่อค้าเจ้าเล่ห์มองไปยังบ่อเลือดเนื้อยักษ์ใหญ่ พูดขึ้นว่า”ตายหมดแล้ว ยังต้องรู้สึกขยะแขยงด้วย จริงๆ เลย”
…
ชู่มู่เคลื่อนตัวไวมาก ตอนที่ถึงด้านนอกหุบเขา ห่างจากตอนที่ข่าวมาถึงประมาณครึ่งชั่วโมง
เท่ากับว่า คนของเมืองเจ็ดสีมีเวลาเข้าไปในหุบเขาชั่วโมงครึ่ง สามหมื่นกว่าคนเข้าไปในหุบเขาในเวลาชั่วโมงครึ่ง น่าจะไม่ยากเกินไป
“ด้านในหุบเขาอาจมีกลุ่มเสือดาวอยู่ ข้าไม่สามารถไล่ฆ่าได้ พวกเจ้าในตอนนี้เข้าไปในหุบเขา ถ้าเจอกลุ่มเสือดาวให้ฆ่าทิ้งทันที”ชู่มู่พูดกับชู่เทียนหลิง
“ยังมีกลุ่มเสือดาว ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปในตอนนี้ไม่เท่ากับว่าเข้าไปในปากเสือเหรอ?”สมาชิกส่งข่าวของตระกูลชู่คนนั้นพูดขึ้น
เดิมเขาจะไปสืบข่าว และแล้วกลุ่มเสือดาวทั้งหมดได้บุกเข้ามาแล้ว น่าจะถึงในอีกชั่วโมงกว่า คิดจะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว ไม่ต้องไปสืบข่าวแล้ว
“ที่กระจายอยู่ต่อให้รวมกัน ก็จะไม่เกินกว่าจำนวนของกลุ่มขั้นสาม พวกเจ้าเข้าไปได้เต็มที่”ชู่มู่บอก
พื้นที่ของทั้งหุบเขาทรงพลังก็ไม่น้อย ถ้าที่กระจายตัวรวมกันไม่ถึงกลุ่มขั้นสาม แทบไม่เป็นอันตรายต่อคนทั้งหมด หลังจากได้ยินข่าวนี้ ชู่เทียนเหิงและสมาชิกตระกูลชู่หลายคนต่างรู้สึกไม่น่าเชื่อ
ด้านในหุบเขาทรงพลังเป็นกลุ่มขั้นเก้าอันหนึ่ง เท่ากับภัยแร้งหลายวันก่อนของเมืองเจ็ดสี
ในตอนนั้นภัยแร้งกลุ่มขั้นเก้ากินเวลาหลายวัน อีกทั้งการต่อสู้เริ่มจากเช้าตรู่ถึงพระอาทิตย์ตกดิน เหล่าประชาชนที่ไม่รู้เรื่องได้ตั้งเต็นท์นอน คิดจะค้างคืนนอกหุบเขาแล้ว
และแล้ว อาทิตย์เพิ่งตกดินไม่นาน ชู่มู่กลับจัดการกลุ่มขั้นเก้าที่เทียบเท่าภัยแร้งของทั้งหุบเขาทรงพลังจนเหลือแค่กลุ่มขั้นสาม ความสามารถถึงระดับใดกันแน่ ถึงจะทำทุกให้ไวแบบนี้ได้!
“ชู่มู่ เจ้ากวาดล้างหุบเขาทรงพลังแล้วจริงเหรอ?”ชู่เทียนเหิงที่ใบหน้าเคร่งเครียดเผยความดีใจออกมา
ชู่เทียนเหิงอยู่ในภาวะสิ้นหวังแล้ว กลุ่มมาถึงในอีกชั่วโมงกว่า ส่วนคำพูดของชู่มู่ทำให้เขาเกิดความหวังอีกครั้ง!
“อืม ไม่พูดต่อแล้ว ให้คนทั้งหมดลุกขึ้น เข้าไปในหุบเขาทันที เนินเขาไม่กว้างมาก คนสามหมื่นคนจะเข้าไปหมด ต้องใช้เวลาชั่วโมงกว่า”ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง
ชู่เทียนเหิงไม่กล้าลังเล รีบรวมร่ายวิญญาณให้เป็นเสียง บอกให้ประชาชนทั้งหมดของเมืองเจ็ดสีเคลื่อนย้ายเข้าไปในหุบเขา
ชู่เทียนเหิงรู้ดี เส้นทางหุบเขามีจำกัด ไม่สามารถเข้าไปได้ในคราวเดียว ดังนั้นไม่ว่าชาวบ้านจะเชื่อหรือไม่ว่าหุบเขาถูกกวาดล้างเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องบังคับให้เข้าไปให้ได้
ตอนแรกประชาชนหลายคนยังกังวลอยู่ อย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว หุบเขาทรงพลัง ราวกับนรก
คนด้านหน้าเข้าไป พบว่าศพของกลุ่มเสือดาวกระจายไปทั่ว กลัวจนไม่กล้าเดินต่อไป เกิดความชุลมุนไม่น้อย
แต่ผู้คนพบว่า ทั้งเนินนี้นอกจากศพแล้วก็มีแต่ศพ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ภายใต้การปกป้องของสมาชิกตระกูลชู่ พวกเขาเริ่มเข้าไปในหุบเขาอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่า เนื่องจากภาพนองเลือดเกินไป หลายคนเดินไปด้วยอ้วกไปด้วย สีหน้าซีดขาวมาก
“เคลื่อนที่ช้าเกินไปแล้ว คนด้านหลังจะถูกกลุ่มเสือดาวฆ่าตายหมด”ชู่เทียนเหิงมองดูแถวยาวที่เดินเข้าไปในหุบเขา ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
ชู่มู่ยืนอยู่บนที่สูง เขาในตอนนี้สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดินและภูเขา เห็นได้ชัดว่ากลุ่มเสือดาวอยู่ด้านหลังภูเขาลูกนั้น จะมาถึงที่นี่ในไม่ช้าแล้ว
“ดู นั่นอะไร!!”
“บนภูเขา บนเนินเขา มีสิ่งมีชีวิตสีดำกำลังเคลื่อนตัว พวกเจ้าไม่เห็นเหรอ!”
“พระเจ้า นั่นกลุ่มเสือดาว!!พวกมันมาแล้ว!!!”
ทันใดนั้น ประชาชนด้านหลังส่งเสียงด้วยความหวาดกลัวทันที!
เสียงร้องดังขึ้น หลายพันคนที่อยู่ด้านหลังได้เห็นกับตา ภูเขาที่เป็นสีเหลืองไม่ไกลถูกเงาสีดำปกคลุมอย่างช้าๆ กำลังพุ่งเข้ามาที่นี่ด้วยความเร็วสูง!
นั่นคือกลุ่มเสือดาว!!
กลุ่มเสือดาวที่ถาโถมภูเขาทั้งหมด กลิ่นไออสูรปกคลุมทั่วฟ้าดิน กลายเป็นภาพที่สะเทือนใจ น่าหวาดกลัว ทำให้ผู้คนขาอ่อนภายใต้แสงอาทิตย์ตก!!
———————————————————————————
บนทางเนิน เหล่ากลุ่มเสือดาวที่อาบแดดยามบ่ายเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้สา มองไปยังปีศาจนักรบไม้ตัวหนึ่งที่เข้าใกล้พื้นที่ของพวกมันอย่างช้าๆ ด้วยความง่วง
กลุ่มเสือดาวพวกนี้อยู่ในพื้นที่ของตัวเองจนชินแล้ว เหมือนว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัวว่ามีผู้บุกรุก กลับลุกขึ้นอย่างช้าๆ มองไปยังปีศาจนักรบไม้ที่เดินเข้ามา
กลุ่มเสือดาวพวกนี้แทบไม่รู้ว่า รากไม้แห่งความตายกำลังเคลื่อนที่ไปตามใต้ดิน กำลังเข้าใกล้พวกเขาทีละน้อย!
“อ๊าว!!”
ทันใดนั้น ปีศาจนักรบไม้เงยหน้าขึ้น ส่งเสียงคำรามสะเทือนทั้งเส้นทางนี้!!
ดวงตาของปีศาจนักรบไม้เป็นสีแดง ไม้ชั้นสูงมุดขึ้นมาจากผิวดินทันที มัดกลุ่มเสือดาวอย่างน้อย 100 ตัวในชั่วพริบตา!
กลุ่มเสือดาว 100 นั้นแทบไม่ทันได้โต้ตอบ ถูกแรงมหาศาลกระชากไปยังตำแหน่งที่ปีศาจนักรบไม้ทันที!
“พุ!!พุ!!พุ!!”
รากไม้หนึ่งร้อยเส้นพุ่งออกจากผิวดินทั้งหมด ราวกับเส้นเชือกมั่นคงร้อยกว่าเส้นที่ถูกดึงให้ตึงทั้งหมดทันที!
ปีศาจนักรบไม้ควบคุมไม้สูงเลือด 100 เส้นนี้ถูกกระชากพร้อมกัน!
กลุ่มเสือดาว 100 ตัวที่ถูกมัดเอาไว้ลอยตัวขึ้น ถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้า อีกทั้งกำลังลอยไปยังตำแหน่งของปีศาจนักรบไม้หมด!
ชู่เชียน ชู่หลั่ง ชู่เหอทั้งสามคนเงยหน้าขึ้น มองไปยังกลุ่มเสือดาวทั้งฝูงใหญ่ หลังจากนิ่งอึ้งสักพัก ต่างรีบอัญเชิญดวงวิญญาณของพวกเขาออกมา
อาจารย์อาทั้งสองก็ไม่ลังเล ให้ดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นสูงของพวกเขาออกมาสู้ก่อน
ขณะที่ปีศาจนักรบไม้กระชากเสือดาว 100 กว่าตัวมาตรงหน้าตัวเอง บริเวณหน้าอกมีหนามไม้ชั้นสูงพุ่งออกปืน!
หนามไม้ชั้นสูงแต่ละเส้นมีความยาวถึงหนึ่งเมตร มีแสงสีแดงเข้มบริเวณปลายของมัน ตามที่ปีศาจนักรบไม้เหวี่ยงแขนออก หนามไม้ชั้นสูงพวกนี้พุ่งออกมาด้วยความเร็วสูงรากกับลูกธนู!
พลังของหนามไม้ชั้นสูงน่ากลัวอย่างมาก แต่ละเส้นสามารถเห็นเป็นโครงที่ทะลุผ่านอากาศได้ อีกทั้งยังมีเสียงแหลมด้วย!
“พุ!!พุ!!พุ!!”
ไม้ชั้นสูงบินออก กลุ่มเสือดาวที่ถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้าถูกแทงทะลุทันที เลือดสดสีแดงกระจายออก!
หนามไม้ชั้นสูงสิบกว่าอันไม่เพียงแต่ฆ่าเสือดาวสิบกว่าตัว ยังมีกลุ่มเสือดาวหลายตัวที่ถูกไม้ชั้นสูงเส้นเดียวแทงทะลุด้วย!
“อ๊าว!!”ปีศาจนักรบไม้ส่งเสียงคำรามอีกครั้ง
ทันใดนั้น หนามไม้ชั้นสูงปรากฎขึ้นอีกครั้ง พุ่งขึ้นฟ้า แทงออกอย่างโหดร้าย!
“พุ!!พุ!!พุ!!พุ!!”
กลุ่มเสือดาวถูกไม้ชั้นสูงแทงระหว่างที่ถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้า เสียงร้องไม่เคยหยุดลง
ปีศาจนักรบไม้ได้ปล่อยหนามไม้ชั้นสูงออกมาทั้งหมด 7 ครั้ง อีกทั้งใช้เวลาเพียงแค่สามวินาที
“บึ้ง บึ้ง บึ้ง”
ศพของกลุ่มเสือดาวบินกระจาย เสือดาว 100 ตัว ไม่รอดสักตัว ตกลงตรงหน้าปีศาจนักรบไม้หมด เลือดไหลออกจากรูที่พวกมันถูกแทงทะลุ ไหลรวมเป็นสายน้ำทันที….
หลายคนที่อยู่ด้านหลังชู่มู่ได้อัญเชิญดวงวิญญาณออกมาแล้ว เตรียมจัดการศัตรูที่พุ่งเข้ามา แต่พบว่าหลังจากกลุ่มเสือดาว 100 กว่าตัวตายลง ต่างนิ่งอึ้ง
“พวกนี้…น่าจะเป็นระดับแม่ทัพขั้นสูง…”ชู่หลั่งพูดเสียงเบา
ก่อนที่จะอยู่ในระดับจักรพรรดิ ความแตกต่างของระดับจะไม่มาก ระดับแม่ทัพขั้นสูงเข้าใกล้ผู้นำมากแล้ว การโจมตีธรรมดาไม่กี่อันก็ฆ่ากลุ่มเสือดาว 100 กว่าตัวได้ อัตราฆ่าล้างหมู่แบบนี้ เกรงว่ามีเพียงระดับราชันถึงจะทำได้!
รากของปีศาจนักรบไม้ที่กระชาก หนามไม้ที่พุ่งออก ต่างเป็นทักษะขั้นต่ำมาก สำหรับจักรพรรดิชั้นยอด เป็นการโจมตีที่ธรรมดาจริงๆ แต่การโจมตีธรรมดาก็ฆ่าล้างได้ทั้งฝูงแล้ว ถ้าปล่อยทักษะละก็ จะน่าสะพรึงเพียงใด!
“โฮร่โฮร่โฮร่โฮร่โฮร่!!”
“โฮร่โฮร่โฮ่รโฮร่!!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามสะเทือนไปทั่วทั้งภูเขาดังขึ้น!
ในถ้ำทั้งหมดของเนินเขา มีดวงตาสีเหลืองส่องประกายมากขึ้น กระจายไปยังหน้าผาสองข้างทางราวกับแสงดาว!
ท่ามกลางถ้ำเหล่านี้ เสือดาวสีดำที่มีใบหน้าดุร้ายคลานออกมา กระโดดไปยังทางเดินอย่างรวดเร็ว
จำนวนของกลุ่มเสือดาวสีดำในถ้ำมีเยอะมาก หลังจากฝูงหนึ่งปีนออกมา มีอีกฝูง ในเวลาสั้นๆ หน้าผาสองข้างทางนี้ เต็มไปด้วยสิ่งที่มีลูกตาสีเหลืองเต็มไปหมด!
มีกลุ่มเสือดาวเท่าไรกันแน่ พวกชู่มู่นับไม่ถ้วนแล้ว แต่ความรู้สึกที่ถูกจับจ้องแบบนั้น กลับทำให้ขนลุกไปทั้งตัว!
“ข้าจะจัดการผู้นำ พวกเจ้าจัดการที่อ่อนกว่า”ชู่มู่พูดขึ้น
สีหน้าของคนอื่นไม่ดีเท่าไร แต่ยังคงพยักหน้า อัญเชิญดวงวิญญาณอื่นของพวกเขาออกมาอย่างรวดเร็ว
ชู่เชียนควบคุมสี่ อาจารย์อาทั้งสองก็ควบคุมสี่ ชู่หลั่งกับชู่เหอต่างควบคุมสาม รวมกันแล้ว พวกเขามีดวงวิญญาณแค่ 18 ตัว
“โฮร่โฮร่โฮร่โฮร่!!”
กลุ่มเสือดาวนับร้อยกว่าตัวเริ่มโจมตีก่อน ราวกับน้ำป่าสีดำที่ระเบิดออกจากบนเขา ป่าเถื่อนรวดเร็ว ดุร้ายอย่างมาก!
ดวงตาของปีศาจนักรบไม้เป็นสีแดง ก้าวเท้าออก เหยียบลงบนศพของกลุ่มเสือดาวก่อนหน้านี้ ไม้ชั้นสูงบนตัวเริ่มเคลื่อนไหว
“กิ่งไม้ชั้นสูงทิ่มแทง!!”ชู่มู่ออกคำสั่ง!
แขนทั้งสองอันแน่นหนาของปีศาจนักรบไม้ยื่นยาวทันที จากเดิมที่แข็งทื่อกลับยืดหยุ่นอย่างมาก กลายเป็นงูเหลือมยักษ์สีเขียวความยาวหลายร้อยเมตรสองเส้นทันที สะบัดตัวไปยังสองข้างทาง
“ป้าบ”
“ป้าบ”
แส้ไม่ชั้นสูงสองเส้นสะบัดตัว กลุ่มเสือดาวสีดำนับร้อยตัวที่ถลักราวกับน้ำป่าสีดำกระจายตัวทันที กลุ่มเสือดาวที่เป็นกลุ่มถูกปัดออกเป็นสองทาง ตกจนกระดูกแตกหัก เลือดไหลออกจากหัว!
มองดูกลุ่มเสือดาวที่เต็มไปด้วยพลังถูกปัดออกไป สามคนและอาจารย์อาทั้งสองที่อยู่ด้านหลังชู่มู่ได้กลืนน้ำลายเล็กน้อย จักรพรรดิชั้นยอดคือจักรพรรดิชั้นยอดจริงๆ ทรงพลังจริงๆ!!
ชู่เชียนทั้งสามคนกับอาจารย์อาไม่รอช้า ดวงวิญญาณธาตุของพวกเขาได้โจมตีไปยังกองทัพกลุ่มเสือดาวก่อน พายุ สายฟ้า เปลวไฟ พายุน้ำแข็ง ทักษะธาตุที่มีพลังฆ่าล้างสูงยิ่งทั้งสี่อัน หลังจากทักษะหนึ่งพัดพาแล้ว มีกลุ่มเสือดาวตายลงอีก
…
“โคร้ม”
“โฮร่”
“บึ้งบึ้งบึ้ง”
ในหุบเขาทรงพลังนี้ เสียงต่างๆ ปะปนไปทั่ว เหล่าประชาชนเมืองเจ็ดสีที่รออยู่ด้านนอกหุบเขาทรงพลังต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สีหน้าซีดขาว
คนทั้งหมดของเมืองเจ็ดสีมีสามหมื่นคน ในนั้นมีคนประมาณ 1000 กว่าคนที่มีพลังต่อสู้อยู่บ้าง แต่อยู่ในระดับทาสเท่านั้น คนอื่นต่อให้มีดวงวิญญาณ ส่วนมากก็เอามาเป็นแค่พาหนะเท่านั้น
คนกลุ่มใหญ่พวกนี้ปรากฎตัวบริเวณขอบเมืองต้องห้ามที่ไม่ใช่อาณาเขตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็สงบจิตไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนที่ได้ยินเสียงคำรามและพลังที่มากมายต่างๆ ในหุบเขาทรงพลังนั้น
ตระกูลชู่มีทั้งหมด 500 คน ครึ่งหนึ่งเป็นญาติที่ไม่มีพลังต่อสู้ ความสามารถเฉลี่ยของ 200 คนที่เหลืออยู่ที่ระดับแม่ทัพ อีกทั้งยังมีคน 30 ว่าคนที่มีความสามารถเฉลี่ยอยู่ที่ระดับผู้นำ คนพวกนี้ล้วนเป็นปรมาจารย์วิญญาณที่ตระกูลชู่รับเอาไว้ ไม่ได้ใช้นามสกุลชู่ แต่กลับภักดีมากกว่า ต่อมาเป็นคนรุ่นเดียวกับชู่เทียนเหิง ชู่เทียนหลิง ซึ่งเป็นคนรุ่นอาของชู่มู่ มีความสามารถเทียบเท่าระดับจักรพรรดิ
ความสามารถของพวกเขาเพิ่งจะเพิ่มขึ้นไม่กี่ปีมานี้ ส่วนใหญ๋ก็เป็นเพราะชู่เทียนเหิงได้พบเจอปาฎหาริย์ครั้งหนึ่ง ทำให้ความสามารถเพิ่มขึ้นมหาศาล บวกกับทรัพยากรที่สมบูรณ์ในเมืองเจ็ดสี ทำให้ความสามารถของคนอื่นเพิ่มขึ้นไปด้วย ความสามารถของลูกหลานตระกูลชู่จึงมากกว่าช่วงที่อยู่ในเมืองหวั่งหลัว
ความสามารถของสมาชิกตระกูลชู่ 200 กว่าคนได้กระจายอยู่รอบนอกกลุ่มอพยพ 3 หมื่นกว่าคนนี้ สมาชิกหลัก 30 กว่าคนอยู่ด้านนอกสุด ทันทีที่เกิดเหตุอะไรขึ้น พวกเขาจะรับมือได้ทันที
สมาชิกตรงกลาง เป็นอาจารย์อาสองคนของตระกูลชู่หลัก อยู่ด้านหน้าสุดและปลายสุดของกลุ่ม
ชู่เทียนเหิงจัดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่า ทันทีที่มีฝูงโจมตีเข้ามา คนของตระกูลชู่จะต้องปกป้องประชาชนของเมืองเจ็ดสีให้ถึงที่สุด
แน่นอนว่า สมาชิกตระกูลชู่ก็รู้ว่า ชีวิตของคนนับหมื่น จะรอดไปได้หรือไม่ ยังต้องขึ้นอยู่กับชู่มู่ ชายแดนเมืองต้องห้ามแห่งนี้ พลังของสมาชิกตระกูลชู่อ่อนแอถึงที่สุด ฝูงใดๆ ก็ทำให้พวกเขาสลายไปได้
…
“หัวหน้า แย่แล้ว!”สมาชิกของตระกูลชู่คนหนึ่งวิ่งมาตรงหน้าชู่เทียนเหิงด้วยใบหน้าซีดขาว พูดด้วยเสียงสิ้นหวัง
“ใจเย็นก่อน ค่อยๆ พูด”ชู่เทียนเหิงตึงเครียดทันที แต่กลับไม่เกิดหวาดหวั่นเพราะประโยคนี้
“กลุ่มเสือดาวพบพวกเราทั้งหมดแล้ว กำลังพุ่งจากภูเขาทรงพลัง มาถึงที่นี่ในอีกสองชั่วโมง”สมาชิกตระกูลชู่คนนั้นพูดขึ้น
“เทียนหลิง เจ้าเข้าไปในหุบเขา บอกเรื่องนี้ให้พวกชู่มู่”ชู่เทียนเหิงบอก
ชู่เทียนหลิงพยักหน้า รีบขี่อสูรมั่วเย้ของตัวเอง วิ่งไปตามเนินเขา
“หัวหน้า พวกเรารีบตัดสินใจเถอะ ตำแหน่งของพวกเราเป็นบริเวณกึ่งหุบเขา มีทางเข้าออกแค่ด้านหลังนั้น ทันทีที่กลุ่มเสือดาวพุ่งมา นอกจากด้านในหุบเขาแล้ว พวกเราแทบไม่มีที่หนีได้ และเวลาสองชั่วโมง พวกเขาไม่มีทางกำจัดกลุ่มขั้นเก้าได้”สมาชิกคนนั้นพูดด้วยความใจร้อน
“เจ้าไปสืบมาอีก อย่าให้ข่าวนี้หลุดไปได้ พวกเขาเป็นคนธรรมดาหมด ถ้ารู้ว่ากลุ่มเสือดาวพุ่งเข้ามา จะต้องแตกตื่นแน่ ถึงตอนนั้นรวมกลุ่มได้ยาก จะทำให้คนเสียชีวิตมากขึ้น”ชู่เทียนเหิงบอก
“แต่ว่า…”
“อย่าเสียเวลา ตอนนี้ทางเดียวที่พวกเราจะรอดไปได้คือเข้าไปในหุบเขา!”ชู่เทียนเหิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมากขึ้น
“ขอรับ ข้าไปสืบเดี๋ยวนี้”
หลังจากสมาชิกคนนี้จากไป สายตาของชู่เทียนเหิงที่ขี่อสูรเขาประกายซับซ้อนยิ่งขึ้น
เขากวาดตามองไปยังคนนับหมื่นของเมืองเจ็ดสีนี้ ตอนนี้ แม้คนพวกนี้จะมีสีหน้าตึงเครียด แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าชะตาของตัวเองขึ้นอยู่กับสองชั่วโมงนี้
“เทียนเหิง อย่ากดดันตัวเองเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองขั้นใด อย่างน้อยเจ้าเป็นเจ้าเมืองที่ดีคนหนึ่ง”ชู่หมิงที่ชราตบไหล่ของชู่เทียนเหิงแล้วพูดขึ้นเสียงเบา
“ท่านพ่อ ข้าเสียเวลามาครึ่งชีวิตแล้ว มีเพียงครึ่งชีวิตหลังที่ดูมีเกียรติขึ้นมาบ้าง หลังจากกลายเป็นเจ้าเมืองของเมืองเจ็ดสีนี้ ข้าไม่เคยคิดจะล้มเลิก ไม่ได้เป็นเพราะเมืองเจ็ดสีสร้างประโยชน์ให้ตระกูลข้าและตัวข้า แต่เพราะในเมืองเจ็ดสีนี้ ข้าสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นในวัยหนุ่ม เสียเวลายี่สิบกว่าปีนี้ ทำให้ข้าเกือบลืมว่าเคยสาบานต่อหน้าบรรพบุรุษว่าจะเป็นเจ้าเมืองคนหนึ่ง ตอนนี้ กว่าข้าจะสร้างขึ้นมาได้ อีกทั้งได้ตามหาความหวังใหม่ในเมืองเจ็ดสี ข้าไม่อยากถูกภัยแร้งพวกนี้ทำให้สลายไปแบบนี้ ข้าไม่อยากจริงๆ…”ชู่เทียนเหิงพูดด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
“ข้าเข้าใจ…”ชู่หมิงถอนหายใจเบาๆ
มีเพียงคนที่เป็นท่านพ่ออย่างเขา ถึงจะเข้าใจความคิดที่แท้จริงของลูกชายที่เคร่งขรึม มั่นคงคนนี้ได้
—————————————————————–
ทิศใต้ของเมืองเจ็ดสี เป็นเนินเขาพื้นที่กว้างใหญ่
ผู้คุมดวงวิญญาณของเมืองเจ็ดสีเองมักจะฝึกด้านนอกเนินทางใต้นี้ เนินเขาที่มุ่งไปทางใต้มีรูปร่างที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ชันและสูงขึ้น มองไปเหมือนภูเขาที่ติดกันเป็นทอดๆ เหมือนกำแพงธรรมชาติอลังการ กันเหล่ามนุษย์กับฝูงดวงวิญญาณออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ท่ามกลางภูเขาทั้งหลายนี้ มีชนเผ่ากลุ่มเสือดาวหนึ่งในสาเหตุภัยของโลกตะวันตกอยู่
สิบปีที่ผ่านมา กลุ่มเสือดาวจะออกโจมตีจนกลายเป็นภัยแร้งในบางครั้ง ขนาดเท่ากลุ่มขั้นห้าหรือหก ในปีที่ผ่านมานี้ ชนเผ่ากลุ่มเสือดาวตื่นตัวเป็นพิเศษ ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีเกิดกลุ่มขั้นเจ็ดหลายครั้งแล้ว
และครั้งนี้ ภัยแร้งกลุ่มขั้นเก้า นับว่าเป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดในรอบสิบกว่าปีนี้
ขนาดของภัยแร้งขั้นเก้าจะทำให้เมืองเจ็ดสีเกิดความสาหัสอย่างมาก ผู้แข็งแกร่งมากมายปรากฎตัว เพื่อคลี่คลายหายนะในครั้งนี้ เดิมควรจะเป็นเรื่องที่ทั้งเมืองดีใจ ทว่าภัยแร้งจากชนเผ่าขั้นหนึ่งกลับไม่ธรรมดาแบบนั้น
ชนเผ่าขั้นสาม บ่อน้ำตะวันตกนับเป็นเขตที่อยู่ในเมืองต้องห้าม ไม่อยู่ในขอบเขตของโลกมนุษย์ ครั้งนี้บ่อน้ำตะวันตกบุกเข้ามา ไม่เพียงแต่ทำให้เมืองเจ็ดสี เมืองตะวันตกตกอยู่ในความยากลำบาก อีกทั้งยังได้กลืนกินเมืองสองแห่งทางด้านทิศใต้ของโลกตะวันตก
ภัยแร้งระดับชนเผ่ากำลังจะเกิดขึ้นในโลกตะวันตก!
ข่าวนี้ กระจายไปทั่วทั้งโลกตะวันตกรวมถึงเขตโลกที่อยู่รอบๆ ด้วย โลกจั้นหลี โลกหลัว โลกน้ำแข็งเหนือ โลกหยวน
การระเบิดของชนเผ่าในครั้งนี้กะทันหันอย่างมาก ไม่มีนักปราชญ์คนใดคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ตอนที่โลกตะวันตกรู้ตัว ตำแหน่งที่สำคัญของเมืองถูกสิ่งมีชีวิตบ่อน้ำตะวันตกครอบครองไปแล้ว
ที่โชคดีคือ ประตูเมืองหลัวกับองค์กรการค้ามีราชันวิญญาณที่เทียบเท่าราชันสองคนอยู่ในโลกตะวันตก หลังจากราชันวิญญาณสองคนลงมือแล้ว ถึงหยุดการคุกคามของภัยแร้งชนเผ่าได้ ปกป้องโลกตะวันตกและเมืองอื่น
เมืองหลัว เมืองเจี่ย เมืองอั่วกู่ยังปลอดภัยมากในตอนนี้ เมืองด้านทิศเหนือเริ่มได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพผู้คุมดวงวิญญาณ แต่ไม่สามารถเป็นประโยชน์ได้ในเวลาอันสั้น
…
เขตโลกของโลกตะวันตกตั้งอยู่ที่เขตเมืองหลัวของเมืองหลัว
ตอนแรกสุด ประตูเมืองหลัวได้เติบโตจากเมืองหลัวนี้ ตามอำนาจที่เติบโตมากขึ้น ได้ย้ายไปยังโลกหลัว กลายเป็นผู้ปกครองเขตโลกขั้นสองคนหนึ่ง นับว่าเป็นอำนาจที่เก่าแก่ในเขตเมืองหลัวของโลกตะวันตก
ดังนั้น ประตูเมืองหลัวเก่าครองโลกตะวันตก อย่างมากก็มีแค่ราชันวิญญาณที่มีเทียบเท่าราชันคนเดียว
โลกตะวันตกยังมีอำนาจอีกอันที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง นั่นก็คือตระกูลชู่หลัก!
ตระกูลชู่หลักเป็นตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งจากโลกหยวน ซึ่งเป็นเขตโลกขั้นสาม ในนั้นมีราชันวิญญาณที่เทียบเท่าราชันคนหนึ่งอยู่เช่นกัน คือเจ้าตระกูลของตระกูลชู่หลัก
ความจริงแล้ว อำนาจของตระกูลชู่หลักเพียงพอที่จะปกครองเขตโลกหนึ่งได้แล้ว
แต่ว่า ปัญหาใหญ่อย่างหุบเขาดับมังกรหมื่นนี้จะขาดตระกูลชู่หลักกับเมืองอั่วกู่ไม่ได้ ราชันวิญญาณของตระกูลชู่หลักจำต้องควบคุมหุบเขาดับมังกรหมื่นนี้เอาไว้
ดังนั้น ทันทีที่โลกตะวันตกเกิดภัยแร้งนี้ขึ้น ราชันวิญญาณที่ลงมือได้จริงๆ มีเพียงผู้แข็งแกร่งคนนั้นของตระกูลหลัว และราชันวิญญาณขององค์กรการค้าที่ปรากฎตัวบางครั้งในโลกตะวันตก
ห้องโถงเรือนหลักเจ้าเมืองโลกตะวันตก
“เมืองตะวันตก เมืองหุบเขาตะวันตก เมืองเหอหลั่งถล่มหมดแล้ว เมืองเหอหลั่งยังดีหน่อย ผู้เฒ่าชิ่งไห่ใช้ชีวิตหลังเกษียณที่นั่น เมืองตะวันตกกับเมืองหุบเขาตะวันตกได้ถล่มหมดแล้ว”ผู้ชายที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานในห้องโถงพูดขึ้น
ชายคนนี้ร่างใหญ่โต ผิวสีดำเข้ม คนของกลุ่มราชันต่างเรียกเขาว่าหลัวเฮ ไม่เรียกชื่อของเขา ส่วนคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าเขาจะเรียกเขาว่าเจ้าโลก น้อยคนที่จะรู้ชื่อจริงของเขา
“ทำไมเมืองมารนิรยไม่มีการตอบสนองใดๆ คนของวังมารนิรยนิ่งเกินไปแล้ว”ราชันวิญญาณองค์กรการค้า ซุนฉีหมิงพูดด้วยความหงุดหงิด
ท่ามกลางภูเขาเหิงที่เชื่อมทางตะวันออกระหว่างทะเลเหิงกับโลกตะวันตกเป็นเมืองมารนิรยที่ทรงอำนาจอยู่ มีราชันวิญญาณไม่น้อย ได้ข่าวว่ามีผู้าวุโสมากประสบการณ์ของวังมารนิรยรุ่นที่แล้วอาศัยอยู่ที่นั่น
การเกิดภัยแร้งนี้ไม่กระทบเมืองมารนิรยแน่นอน แต่อย่างน้อยวังมารนิรยก็เป็นพลังที่ทรงอำนาจที่สุดในเขตโลกเหล่านี้ ไม่มีการปล่อยข่าวใดๆ เยือกเย็นเกินไป
“อย่าคาดหวังพวกเขา ตอนนี้พวกเขายังยุ่งอยู่กับกลุ่มทะเลเหิง…อย่างไรก็ตาม เมืองตะวันตกกับเมืองเขาตะวันตกหมดหวังแล้ว!”เจ้าโลกหลัวเฮพูดขึ้น
“ถ้ารู้ว่าบ่อน้ำตะวันตกจะพุ่งเข้ามา พวกเราก็ไม่ควรไปยุ่งกับแหล่งวิญญาณนั้นแล้ว ตอนนี้เรื่องกลายเป็นแบบนี้…”ซุนฉีหมิงพูดเสียงเบา
“แปลว่าแหล่งวิญญาณนั้นใหญ่มากจริงๆ แม้แต่ราชันแห่งบ่อน้ำตะวันตกยังทนไม่ไหว พวกเราจำต้องเก็บสาเหตุของภัยแร้งครั้งนี้เอาไว้ ห้ามหลุดเด็ดขาด ข้าจะขอความช่วยเหลือจากโลกหลัว รอให้กวาดล้างบ่อน้ำตะวันตกได้แล้ว แหล่งวิญญาณนี้จะเป็นของพวกเราแล้ว ไม่แน่ ความสามารถของข้ากับเจ้าอาจเพิ่มขึ้นอีกก็ได้”
“วางใจได้ ข้าไม่โง่ พวกเราไปขุดแหล่งวิญญาณลับเอง ไม่ได้มา กลับทำให้กลิ่นไอแหล่งวิญญาณรั่วไหลออกมา ก่อให้เกิดภัยแร้งจนทำให้เขตเมืองสองเมืองสลายไป ถ้ารู้เข้าละก็ นี่เป็นโทษหนัก ข้าไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือในคุกอลวน”ซุนฉีหมิงพูดอย่างหวาดหวั่น
“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เมืองเจ็ดสีที่ใกล้แหล่งวิญญาณนั้นที่สุดก็สลายไปแล้ว ตามหาอะไรไม่ได้”หลัวเฮยิ้มมุมปาก
ซุนฉีหมิงในตอนนี้ถึงพยักหน้าอย่างไว้ใจ พูดขึ้นว่า”พวกเรารีบควบคุมภัยแร้งเถอะ เรื่องเริ่มสาหัสแล้ว พวกเราคุมไม่ดีละก็ ถ้าถูกเจ้าพวกแก่ของโลกหยวนรู้เข้า พวกเราจะมีปัญหาเช่นกัน”
“อืม”หลัวเฮพยักหน้า
…
…
เนินเขาทรงพลังเป็นที่อยู่ของกลุ่มเสือดาว ท่ามกลางเนินเขานี้ มีหุบเขาพิเศษแห่งหนึ่ง เรียกว่าหุบเขาทรงพลัง คนที่อยู่ที่นี่จะเรียกว่าหุบเขาร่วง
หุบเขาทรงพลังมีภูเขาล้อมรอบทุกด้าน ยอดเขากลืนไปกับชั้นเมฆ ดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิยังยากที่จะปีนป่ายข้ามมันไปได้ ทั้งหุบเขาทรงพลังเหมือนสร้างขึ้นจากไม้แหลมรอบด้าน
หลายร้อยปีก่อน ความจริงหุบเขาทรงพลังเป็นเมืองขั้นแปดแห่งหนึ่ง เป็นเมืองในสังกัดของเมืองเจ็ดสีขั้นเก้า
แต่หลังจากที่กลุ่มเสือดาวฟื้นตัว ทำให้หุบเขาทรงพลังสลายไป ในแผนที่ พื้นที่ของหุบเขาทรงพลังถูกเหล่านักปราชญ์ระบายเป็นสีเทา
หุบเขานี้มีถนนที่เต็มไปด้วยหญ้าชนิดต่างๆ เส้นหนึ่งแล้ว ความจริงถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางหุบเขาที่ค่อนข้างกว้างขวาง และเป็นถนนเส้นเดียวที่เชื่อมไปยังด้านในของหุบเขา
ถนนเส้นนี้กว้างขวางมาก เทียบเท่าถนนสายหลังของเมืองขั้นเก้าได้
ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยตะไคร่ ชั้นแล้วชั้นเล่า ต่อกันเป็นผืน ทั้งสองข้างเป็นหน้าผาที่ชันขึ้นอย่างเนิบๆ บนหน้าผาเต็มไปด้วยถ้ำมากมาย แสงแดดสาดส่องถึงแค่ขอบของถ้ำนั้น
แสงแดดในยามบ่ายสาดส่องลงบนขอบของถ้ำสองข้างทางของหน้าผา
“โฮร่ โฮร่”
บริเวณด้านนอกถ้ำที่มีแสงแดด เสือดาวป่าที่มีลายเส้นสีดำกำลังหมอบอยู่ พวกมันกำลังอาบแดดด้วยความสบายใจ ตลอดทางเดิน มีเสือดดาวหินดำหลายร้อยตัวยังคงบิดขี้เกียจ แล้วหาวอย่างสบายใจ
“เจ้าพวกสัตว์เหล่านี้ ยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกบ่อน้ำตะวันตกล้อมเอาไว้แล้ว กลับอาบแดดอย่างสบายใจอยู่ตรงนี้”บริเวณเงามืดของถนน เงาอันหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเลือนลาง ดวงตาสีดำกวาดมองไปยังถนนที่เต็มไปด้วยเสือดาวป่าทั้งหมด
“ความจริงกลุ่มภัยแร้งเป็นเพราะการเจริญพันธ์มากเกินไป ทรัพยากรจึงไม่พอที่จะเลี้ยงปากท้องของกลุ่มเสือดาวมากมายขนาดนี้ได้แล้ว ภัยแร้งสำเร็จได้ กระจายพื้นที่ออกไปมากขึ้น ทรัพยากรมากขึ้น ภัยแร้งไม่สำเร็จ จำนวนจะน้อยลง กลุ่มจะคงที่เหมืนเดิม”ผู้เฒ่าหลีพูดขึ้น
“แบบนี้…”ชู่มู่ยิ้มมุมปาก พูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าช่วยพวกเขาลดจำนวนปากท้องได้น้อยยิ่งกว่าน้อยอีก”
กลุ่มเสือดาวที่อยู่ในหุบเขาทรงพลังมีขนาดเท่ากลุ่มขั้นเก้า เหตุที่ชู่มู่กล้าเดินสวนทาง พุ่งเข้าไปในพื้นที่ของกลุ่มเสือดาว เป็นเพราะมีหุบเขาทรงพลังนี้อยู่
ชู่มู่มาสำรวจที่นี่ เคยพบว่านี่เป็นเมืองภูเขาทรงพลังเก่า แล้วยังได้เจอกับประวัติของเมืองเจ็ดสี พบว่าความจริงหุบเขาทรงพลังนี้เป็นพื้นที่มีประโยชน์อย่างมาก ป้องกันง่ายบุกรุกยาก แค่กำจัดกลุ่มเสือดาวทั้งหมดในหุบเขาได้ ให้คนของเมืองเจ็ดสีหลบที่นี่ แล้วชู่มู่ปกป้องเส้นทางตรงข้างหน้านี้ ก็ปกป้องตระกูลชู่กับประชาชนของเมืองเจ็ดสีได้แล้ว
พื้นที่ของเมืองเจ็ดสีราบเรียบเกินไป ในภาวะที่ถูกล้อมเอาไว้จะโจมตีได้ทั้งสี่ด้าน ต่อให้มีความสามารถที่ต้านทานชนเผ่าขั้นหนึ่งได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจปกป้องทั้งสี่ด้านได้
ส่วนหุบเขาทรงพลังกับเมืองเก่านั้นกลับเป็นพื้นที่ชั้นยอด ให้คนทั้งหมดอยู่ที่เมืองเก่าหุบเขาทรงพลัง ชู่มู่ จะคุ้มกันทุกคนได้มากกว่า!
ปกป้อง คนทั้งหมดของเมืองเอาไว้!
บุก กำจัดกลุ่มเสือดาว เพื่อให้ได้แหล่งวิญญาณ!
นี่เป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบอย่างมาก!
“พระเจ้าไม่อยากให้คนของเมืองเจ็ดสีสลายไป ตลอดทั้งทางก็ไม่ถูกบ่อน้ำตะวันตกโจมตี พวกเราทุกคนถึงมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย กลุ่มบ่อน้ำตะวันตกน่าจะกำลังสะสมกองกำลัง คิดจะกำจัดกลุ่มเสือดาวคราวเดียว ดังนั้นไม่ได้ตั้งกลุ่มในทิศใต้แห่งนี้”ผู้เฒ่าหลีบอก
“อืม ตอนนี้แค่กำจัดกลุ่มขั้นเก้านี้ คนของเมืองเจ็ดสีก็น่าจะปลอดภัยแล้ว”ชู่มู่บอก
ประชาชนของเมืองเจ็ดสีโชคดีมาก ต่อไปหลังจากชู่มู่กำจัดกลุ่มเสือดาวทั้งหมดในหุบเขาทรงพลังนี้ พวกเขาจะได้ปลอดภัยอย่างแท้จริงแล้ว
“ปีศาจไม้ ช่วยพวกข้าเปิดทาง!”ชู่มู่ฉีกยิ้ม ร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญปีศาจนักรบไม้
ปีศาจนักรบไม้ก้าวเท้าออกช้าๆ ปรากฎออกจากเงามืด ดวงตาที่มีสีเลือดคู่นั้นดุร้ายยิ่งขึ้น พลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิชั้นยอดธรรมดา!
“ชู่มู่ ปีศาจนักรบไม้ของเจ้า…”
คนที่มาพร้อมกับชู่มู่มีชู่เชียน ชู่หลั่ง ชู่เหอและเหล่าอาจารย์อากัวหลี่กับพ่อค้าเจ้าเล่ห์ ในตอนที่พวกเขาพบว่ากลิ่นไอของปีศาจนักรบไม้ชู่มู่รุนแรงยิ่งขึ้น ต่างเบิกตากว้าง!
“จักรพรรดิชั้นยอด!!พระเจ้า เจ้าฆ่าข้าทีเถอะ!!”พ่อค้าเจ้าเล่ห์แทบจะร้องไห้ออกมา!
ตอนที่ปีศาจนักรบไม้ของชู่มู่ยังอยู่ในการต่อสู้หมู่ด้วยจักรพรรดิขั้นสูง เท่ากับความสามารถของอาจารย์อาทั้งสี่รวมกัน นี่เพิ่มความสามารถถึงจักรพรรดิชั้นยอด เกินไปแล้ว!
กัวหลี่แอบตกใจ คิดในใจว่า ท่าทางเลือกไปกับตระกูลชู่ถูกแล้ว เจ้าเด็กนี่ผิดธรรมชาติเกินไปแล้ว!
————————————————————–
ผลึกหมวดไม้ขั้นห้าเป็นไม้เทิดทูน โดยปกติมีเพียงดวงวิญญาณหมวดไม้ระดับราชันเท่านั้นถึงจะมีผลึกหมวดไม้ระดับห้านี้ ปีศาจนักรบไม้ได้เรียนรู้ผลึกหมวดไม้ระดับห้านี้ในระดับจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว ทำให้ชู่มู่ยิ้มกว้างกว่าเดิม
ผลึกหมวดไม้ไม่ได้แปลว่าปีศาจนักรบไม้มีความสามารถระดับราชัน แต่ว่า อย่างน้อยนี่ทำให้ปีศาจนักรบไม้เรียนรู้ไวกว่าดวงวิญญาณหมวดไม้ที่อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดแต่ยังควบคุมแค่ผลึกหมวดไม้ระดับสี่อยู่
ผลึกหมวดไม้เป็นอาวุธโจมตีของดวงวิญญาณโลกภูตอสูร ปีศาจนักรบไม้ได้เรียนรู้ไม้เทิดทูนแล้ว เท่ากับว่าได้พื้นฐานของจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว บวกกับชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านขั้นสิบตัวหนึ่ง แก้ปัญหาพลังอ่อนแอและการโจมตีที่กระจายออกมาเกินไปของปีศาจนักรบไม้ได้แล้ว นอกจากว่าจะเจอหมวดไฟที่เป็นปรปักษ์กับตระกูลพืช ต่อให้ปีศาจนักรบไม้เผชิญกับจักรพรรดิชั้นยอด ก็จัดการได้
“ดีมาก ดีมาก เรียนรู้ในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ ดวงวิญญาณของนายท่านสู้มากจริงๆ!”ผู้เฒ่าหลียิ้มออกมา
ชู่มู่ตบไหล่ของปีศาจนักรบไม้เบาๆ ฉีกยิ้มออกมา การเพิ่มขึ้นของปีศาจนักรบไม้ในครั้งนี้ ได้แก้ปัญหาใหญ่ให้ชู่มู่อันหนึ่งแล้ว
ต่อให้ปีศาจนักรบไม้ยังไม่ถึงระดับราชัน แต่การปล่อยทักษะมากมายและการโจมตีกลุ่มหมวดไม้ของมันที่แข็งแกร่ง สร้างประโยชน์เทียบเท่าราชันตัวหนึ่งแล้ว ที่สำคัญยังปกป้องคนได้ไม่น้อยด้วย
“นายท่าน มีปีศาจนักรบไม้ ความสามารถของเจ้าในตอนนี้จัดการชนเผ่ากลุ่มเสือดาวทั้งกลุ่มได้แล้ว ปัญหาในตอนนี้คือการคุกคามของบ่อน้ำตะวันตก อีกทั้งคนในตระกูลชู่ไม่น้อยต้องการให้ท่านปกป้องด้วย”ผู้เฒ่าหลีบอก
“ข้ามีวิธี ถึงจะเสี่ยง แต่ลองดูได้”ชู่มู่บอก
วิธีที่ชู่มู่บอกไม่ใช่เพียงแค่ปกป้องตระกูลชู่ทั้งตระกูลได้ อีกทั้งยังต้องได้แหล่งวิญญาณมาด้วย!
…
…
“ชู่มู่ เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”ในห้องโถงใหญ่ ชู่เทียนหลิงพูดพร้อมเบิกตากว้าง
สมาชิกสำคัญของตระกูลชู่อยู่ในห้องโถงใหญ่หมด คนทั้งหมดหลังจากได้ยินแผนการของชู่มู่ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“นี่เสี่ยงเกินไปแล้ว ถ้าไม่ระวัง พวกเราทั้งหมดรวมถึงคนนับหมื่นของเมืองเจ็ดสีจะต้องตายลงหมด!”ชู่เทียนเจี๋ยคัดค้าน
เหล่าวัยหนุ่มต่างนั่งอยู่ที่นี่หมด สีหน้านิ่งสงบ ไม่กล้าออกความเห็นใดๆ
ครั้งนี้ ถึงเวลาที่ตระกูลชู่ต้องตัดสินใจแล้ว ก่อนหน้านี้คนทั้งหมดยังเจรจาว่า จะหลบลงใต้ดินดีไหม รอให้การช่วยเหลือของโลกตะวันตกมาถึง หรือให้คนส่วนใหญ่ลงใต้ดิน แค่ให้คนส่วนน้อยของตระกูลชู่ฝ่าออกไป
การหลบลงใต้ดินใช้ได้แค่กับตอนที่ยังไม่เกิดการถล่ม ทันทีที่เมืองถล่ม ต่อให้หลบลงใต้ดินสุดท้ายก็จะถูกฆ่าตายอยู่ดี อย่างไรดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งเหล่านั้นสามารถได้กลิ่นไอของมนุษย์
ส่วนคนส่วนน้อยของตระกูลชู่ที่ฝ่าออกไป ตระกูลชู่มี 500 กว่าคนที่อยู่ร่วมทุกข์สุขด้วยกัน ให้พวกเขาทิ้งคนพวกนี้ไว้แล้วหนีไป พวกเขาจะรู้สึกผิดตลอดชีวิต อย่างไรไม่ใช่ทุกคนจะมีจิตใจที่โหดเหี้นม นั่นเป็นคนของครอบครัวตัวเอง 400 กว่าคนกับประชาชน 3 หมื่นกว่าชีวิต
ไม่ว่าจะเลือกอะไร สำหรับตระกูลชู่แล้ว เป็นเรื่องที่ยากมาก
“กองทัพบ่อน้ำตะวันตกจะกลืนกินเมืองเจ็ดสีสักวัน เมืองเจ็ดสีเอาไม่อยู่แล้ว จำต้องอพยพ”ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง
ชู่เทียนเหิงใบหน้าเคร่งเครียด ไม่พูดสักคำเป็นเวลานาน
ในตอนนี้ คนทั้งหมดมองไปยังชู่เทียนเหิง พวกเขารู้สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ว่าจะยากขนาดไหน ก็ต้องตัดสินใจให้ได้ข้อสรุปออกมา
“ชู่มู่ ทำตามที่เจ้าบอก!ทั้งตระกูลชู่ 500 กว่าคน ทั้งเมืองเจ็ดสีมีคนที่ไร้ที่ไป 3 หมื่นกว่าคน จะเป็นจะตาย ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”ในที่สุด ชู่เทียนเหิงพูดออกมา เขามองไปยังชู่มู่ด้วยสายตาแน่วแน่
“วางใจได้ ข้าจะปกป้องคนทั้งหมดสุดกำลัง”ชู่มู่พยักหน้า
ชู่มู่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง และเขาต้องการความเชื่อใจของชู่เทียนเหิงที่มีต่อตัวเองด้วย มิฉะนั้นหากระหว่างที่อพยพเกินความสงสัยใดๆ จะพังทลายหมด
…
คืนนั้น ชู่มู่ได้บอกแผนการของตัวเองให้ผู้แข็งแกร่งองค์กรการค้า
ผู้แข็งแกร่งองค์กรการค้าล้วนเป็นคนฉลาด ใครก็ไม่อยากถูกขังตายอยู่ที่นี่ ถ้ามีพวกเขาเข้าร่วมละก็ การอพยพครั้งนี้ จะมีพวกเขาคอยปกป้องคนของเมืองเจ็ดสี ปลอดภัยมาก
“ล้อเล่นอะไรกัน พาคนนับหมื่นพุ่งไปยังชนเผ่ากลุ่มเสือดาวทิศใต้?สมองเจ้าไปหมดแล้วเหรอ!!”ซุนหยวนร้องขึ้น
“ต่อให้พวกเราเชื่อว่าเจ้ามีดวงวิญญาณระดับราชันคอยช่วยเหลือ พอที่จะกำจัดชนเผ่ากลุ่มเสือดาว แต่จะไม่เข้าเสี่ยงแน่นอน ยิ่งไปทางใต้ ก็ยิ่งเข้าใกล้เมืองต้องห้าม จะหาทางออกจากที่นั่น เหมือนฆ่าตัวตายทั้งเป็น”ซุนพันบอก
ซุนพันผิดหวังมาก เพราะเห็นได้ชัดว่าชู่มู่ไม่คิดจะเข้าร่วมการฝ่าของพวกเขา แต่กลับโง่อย่างยิ่งที่คิดจะพาคนทั้งเมืองออกจากสถานการณ์อันตรายนี้ไป
คนทั้งเมืองมี 3 หมื่นกว่าคน เป้าหมายมหาศาลแบบนี้ ทันทีที่ออกจากเมือง เท่ากับเป็นการเอาอาหารโอชารสออกไปล่อ เหล่าสิ่งมีชีวิตหิวโหยดุร้ายพวกนี้จะไม่มาแย่งชิงกันได้อย่างไร ดังนั้นต่อให้ซุนพันเชื่อว่าชู่มู่มีดวงวิญญาณระดับราชันคอยช่วยเหลือ จะไม่เข้าร่วมแผนการของชู่มู่แน่นอน ถ้าทำอย่างนั้นจะตายอนาถกว่าคนของประตูเมืองหลัวอีก
“ด้านใต้ไม่มีกลุ่มของบ่อน้ำตะวันตก เดินสวนทางกัน เป็นวิธีที่ไม่แย่ เจ้าบอกว่าในหุบเขาที่มีหน้าผารอบด้านซึ่งเป็นพื้นที่ของชนเผ่ากลุ่มเสือดาวปลอดภัยกว่าเมืองเจ็ดสีมาก นั่นเป็นสถานที่หลบภัย เสียดายการเปลี่ยนแปลงนี้มากเกินไป ข้านับถือความสามารถและความกล้าของเจ้า แต่ข้าก็ทำได้แค่ขอให้เจ้าโชคดี”วัยหนุ่มเจ้าวิญญาณหกร่ายพูดขึ้น
ชู่มู่มองไปยังวัยหนุ่มเยือกเย็นคนนี้ คำพูดของเขาไม่ดุดันเหมือนซุนหยวน เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นวัยหนุ่มที่มีความแน่วแน่อย่างแท้จริง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นขอให้พวกเจ้าโชคดี”ชู่มู่รู้ว่าไม่มีทางบังคับให้คนอื่นเข้าร่วม เดิมแผนการนี้ต้องการความเชื่อใจจากคนอื่นอยู่แล้ว ยังต้องใช้ชีวิตเข้าเสี่ยงด้วย พวกเขาไม่เข้าร่วมก็เป็นเรื่องของพวกเขาเอง
“ข้าน้อยซุนซือหลง หวังว่าหลังจากนี้พวกเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีก”วัยหนุ่มที่ชื่อซุนซือหลงยิ้มเล็กน้อย แสดงความเป็นมิตร
“อำนาจของกองทัพบ่อน้ำตะวันตกไม่ด้อยกว่าชนเผ่าหนึ่ง คาดจะล้อมทั้งเขตเมืองตะวันตกแล้ว ส่วนเขตเมืองอื่นมีเรื่องแบบนี้อีกหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่พวกเจ้าระวังตัวเถอะ”ชู่มู่ยังเป็นมิตรกับซุนซือหลง ถือว่าเป็นการเตือน
หลังจากชู่มู่พุดจบ องค์กรการค้าหลายคนเผยสีหน้าตกใจออกมา
ตอนที่พวกเขาได้สติ ชู่มู่ได้หันหลังจากไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ชู่มู่พูดเป็นจริงหรือเท็จ
“คุณชาย เจ้าเชื่อว่าเขามีราชันจริงไหม?”ซุนพันถามเสียงเบา
ซุนหยวนหัวเราะด้วยความเยือกเย็น พูดขึ้นว่า “เขาอยากให้พวกเราเข้าร่วมจึงสร้างเรื่องแบบนี้พวกหลอกพวกเราแน่นอน ส่วนรอบๆ เมืองเจ็ดสีเป็นชนเผ่าขั้นหนึ่ง?จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“รอบๆ นี้เป็นเขตโลกหลายแห่ง คนที่มีดวงวิญญาณระดับราชันพวกเราต่างรู้ดี อีกทั้งคนที่มีดวงวิญญาณระดับราชันด้วยอายุเท่านี้มีอยู่จริงเหรอ?”
แม้ซุนซือหลงจะอายุน้อย กลับแน่วแน่และมีไหวพริบกว่าคนอื่นขององค์กรการค้ามาก ตอบอย่างนิ่งๆ ว่า”ในเมืองเทียนเซี่ยกลับมีคนหนึ่งที่มีดวงวิญญาณระดับราชัน อีกทั้งยังมีอายุยี่สิบกว่าปี”
“หรือว่า…คุณชายหมายถึงที่ถูกห้ามเข้าแข่งขัน…”
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ!!วัยหนุ่มที่คว้าเกียรติสุดท้ายของการประลองฟ้าดินขั้นหนึ่ง!!”ซุนพันได้สติกลับมา ร้องออกมาทันที!
“เป็นไปไม่ได้หรอก ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณเป็นผู้แข็งแกร่งที่ตำหนักวิญญาณแอบฝึก เป็นการมีอยู่ที่เทียบเท่าระดับโอรสของตำหนักวิญญาณ เขาจะเกิดในตระกูลเล็กๆ นี้ได้อย่างไร ต่อให้พวกเขานามสกุลชู่เหมือนกัน ใช่ว่าจะเป็นเขา?”ซุนหยวนพูดด้วยความไม่เชื่อ
“นั่น…นั่นถ้าเขาเป็นชู่เฉิงจริง สิ่งที่เขาพูดอาจเป็นจริงได้ บ่อน้ำตะวันตกมีขนาดเท่าชนเผ่าขั้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเมืองตะวันตกทั้งหมดจะถูกล้อมไว้หมด ความสามารถของพวกเราก็ใช่ว่าจะฝ่าออกไปได้…”
ซุนซือหลงส่ายหัว พูดต่อว่า”ถ้าเขาเป็นชู่เฉิง มีดวงวิญญาณระดับราชันแค่ไม่กี่ตัว เกรงว่าดวงวิญญาณอื่นคงไม่เกิดประโยชน์อะไร แค่ตัดการชนเผ่ากลุ่มเสือดาว ยากเกินไป อีกทั้งยังมีคนเยอะขนาดนั้น อันตรายเกินไป พวกเรายังคงทำตามแผนเดิมของพวกเราเถอะ”
คนอื่นก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขายังคงเชื่อในพลังของตัวพวกเขาเอง
…
หลังจากที่ชู่มู่บอกแผนการให้คนขององค์กรการค้าแล้ว คิดจะไปดูที่ประตูเมืองหลัว
ตอนนี้คนทั้งหมดได้ลงเรือลำเดียวกัน ชู่มู่จะปกป้องคนทั้งหมดของเมืองเจ็ดสี ย่อมหวังว่าคนเหล่านี้จะเข้าร่วมด้วย ต่อให้ก่อนหน้านี้เจ้าพวกนี้ได้ยื่นข้อเสนอที่เหยียบหยามและไร้มารยาทต่อตระกูลชู่มากเพียงใด
และแล้ว ตอนที่ชู่มู่มั่งหน้าไปถึงที่อยู่ของประตูเมืองหลัว กลับพบว่า คนของประตูเมืองหลัวได้หายไปหมดแล้ว!
“ทุเรศเกินไปแล้ว พวกเขาไม่บอกพวกเราสักคำ หนีไปแบบนี้แล้ว!ยังบอกว่าจะรับมือเมืองนี้ ถ้าให้พวกเขาปกครองเมืองเจ็ดสี มีอันตรายก็หนีไป คนในเมืองก็อย่าคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว!!”ชู่หลั่งที่มากับชู่มู่ด่าออกมา!
ชู่มู่จะไม่ทำดีกับใครจนลำบากตัวเองและจะไม่ทำร้ายใครด้วย ใช้กฎเดียวกับเย้ชิงจือ ช่วยคนเท่าที่ไม่ทำร้ายตัวเอง
แต่การกระทำของประตูเมืองหลัวในวันนี้ ทำให้หมดความเป็นมนุษย์อย่างถึงที่สุด!ไม่พูดสักคำ หนีไปทันที!
ชู่มู่รู้ว่าโอกาสที่พวกเขาจะเข้าร่วมเป็นศูนย์ แต่พวกเขาทำแบบนี้ ทำให้คนอื่นหมดคำพูด สมน้ำหน้าที่พวกเขาถูกคนขององค์กรการค้าหลอกใช้
ก่อนหน้านี้ตอนที่ประตูเมืองหลัวเสนอจะยึดครองตระกูลชู่กับเมืองเจ็ดสี ชู่มู่ก็ไม่รู้สึกดีต่อพวกเขาแล้ว ตอนนี้หนีไปลำพัง ยิ่งทำให้ชู่มู่เกลียดพวกเขาถึงที่สุด
“ต่อให้พวกเขาหนีออกไปได้ ข้าก็จะกำจัดพวกเขา”สายตาของชู่มู่เยือกเย็น เกิดความอาฆาตขึ้น!
…
หลังจากที่ชู่เทียนเหิงตัดสินใจแล้ว ได้รวมตัวให้ประชาชนทั้งหมดของเมืองเจ็ดสีรวมกันในคืนนี้ ประกาศการตัดสินใจอพยพครั้งใหญ่
ที่อยู่ในเมืองเจ็ดสีล้วนเป็นชาวบ้านที่อยู่มานาน พวกเขารู้จักเมืองเจ็ดสีดีกว่าใคร
อย่างสถานการณ์ในวันที่ผ่านมา ไม่เคยเกินขึ้นในสิบกว่าปีนี้ ดังนั้น พวกชาวบ้านสัมผัสได้ถึงหายนะที่กำลังมาถึงแล้ว
เดิมที คน 3 หมื่นกว่าเดาได้แล้วว่า ตระกูลชู่ที่เพิ่งจะปกครองเมืองนี้ไม่กี่ปีอาจละทิ้งเมืองนี้ไป แล้วจากไป
และแล้ว ในตอนที่เจ้าเมืองชู่เทียนเหิงตัดสินใจแบบนี้ 3 หมื่นกว่าคนสะเทือนใจทันที
พวกเขารู้ดีเป็นอย่างมาก ทันทีที่ภัยแร้งมาถึง พวกเขาเป็นแค่ภาระ ผู้ปกครองพาพวกเขาทั้งหมดจากไป เป็นการทำให้พวกเขาตายลงเช่นกัน การกระทำแบบนี้ ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยน้ำตา
เดิม 3 หมื่นกว่าคนก็ควบคุมยากอยู่แล้ว แต่ที่น่าแปลกใจคือ ครั้งนี้คนทั้งหมดรู้ตัวเป็นอย่างดี เชื่อฟังการจัดระเบียบของตระกูลชู่หมด
ตอนเช้าตรู่ เริ่มย้ายคนออกจากทางออกทิศใต้
บนอาคาร ชู่มู่ที่ขี่จั้นเย้มองดูกลุ่มคนนับหมื่นเหล่านี้ อารมณ์ซับซ้อนอย่างมาก
เขาเองก็ไม่รู้ว่าพาคนเยอะขนาดนี้หนีไปหุบเขาชนกลุ่มเสือดาวเป็นการกระทำที่ฉลาดหรือไม่ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่ พยายามจัดการศัตรูที่อยู่ตรงหน้า…
——————————————————————————
“ทะลายพร้อมกับประตูเมืองหลัว จะปลอดภัยกว่าไม่ใช่เหรอ?”ชู่มู่ถามพร้อมยักคิ้วขึ้น
ซุนพันฉีกยิ้มเล็กน้อย พูดขึ้นว่า”ศัตรูมีอยู่ทุกทาง แต่ว่าเมื่อกี้ตอนที่ข้าวิ่งจากตะวันออกมาทางเหนือพบว่า ปีศาจเหล่านี้เคลื่อนไหวเร็วมาก ทันทีที่ตำแหน่งใดมีมนุษย์ที่แข็งแกร่งเกินไปปรากฎตัว พวกมันจะรวมตัวไปทางนั้นทันที จำนวนของศัตรูมากเกินไป ยากที่จะทะลายได้ ถ้าทะลายช้าไป อาจถูกสิ่งมีชีวิตล้อมมากขึ้น”
ซุนพันหยุดพูดสักพัก มองไปยังชู่มู่ที่ยังอายุน้อย พูดด้วยท่าทีมากประสบการณ์ว่า “ให้คนของประตูเมืองหลัวทะลายจากบางที่ไป ถึงตอนนั้น ฝูงนี้จะรวมตัวจากสองทางไปแน่นอน แล้วพวกเราค่อยเลือกหนึ่งในทางนั้นออกไป”
หลังจากฟังซุนพันพูดจบ แม้อารมณ์ที่แสดงออกมาจะไม่เปลี่ยนไป แต่ในใจกลับแอบประหลาดใจกับแผนร้ายของเจ้านี่ กลับให้ประตูเมืองหลัวเป็นตัวล่อ
พวกซุนพันได้ซ่อนความสามารถไว้เช่นเดียวกัน อีกทั้งไม่อ่อนกว่าผู้ใหญ่ห้าคนนั้นของประตูเมืองหลัวเท่าไร ถ้าพวกเขาแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้ คนของประคูเมืองหลัวจะเอาตัวเองให้รอด จะไม่พาคนอื่นไปด้วยแน่นอน จะรีบทะลายการล้อมนี้ รอถึงตอนที่พวกเขาถูกล้อมเอาไว้แล้ว คนขององค์กรการค้าจะออกจากที่นั่นได้ง่ายขึ้นมาก!
“เจ้าพาญาติคนสำคัญออกไปพร้อมกับพวกข้าได้ แต่เจ้าต้องดูแลความปลอดภัยของพวกเขาเอง แนะนำให้เจ้าอย่าพาออกไปเกินสามคน อย่างไรในตระกูลของพวกเจ้า นอกจากหัวหน้าสองคนนั้นที่ยังมีความสามารถหน่อย คนอื่นเป็นตัวถ่วงหมด ส่วนเจ้าพวกแก่ของตระกูลชู่หลัก ให้พวกเขาไปกับพวกเราได้ ส่วนพวกเขาจะพาคนอื่นไปด้วยหรือไม่ ถามพวกเขาเอง”ซุนพันพูดขึ้น
อาจารย์อาทั้งสี่ของตระกูลชู่หลักต่างป็นผู้ใหญ่กลัวตาย พวกเขาอย่างมากก็พาชู่เชียนไปด้วย พวกเขาจะไม่สนใจความเป็นอยู่ของคนอื่นแน่นอน อย่างไรความสามารถของพวกเขายากที่จะทะลายได้เช่นกัน
ชู่มู่เองมีความสามารถที่จะทะลายฝ่าออกไปคนเดียวได้แน่นอน แต่แล้ว ทั้งตระกูลชู่มา 500 กว่าคน ลูกหลานในตระกูล 100 กว่าคน สมาชิกสำคัญมากถึง 20 กว่าคน
ชู่มู่ที่มีเพียงควบคุมสามไม่สามารถปกป้อง 20 กว่าคนจากการล้อมของฝูงนับพันหมื่นตัวได้ ต่อให้มีราชัน ก็อาจมีคนถูกฆ่าได้
ถ้าเลือกที่จะฝ่าไปละก็ ชู่มู่จำต้องเจรจารวมมือกับองค์กรการค้า ตระกูลชู่หลัก หลอกขายคนของประตูเมืองหลัวไป แล้วพาสมาชิกสำคัญ 20 กว่าคนจากไป
แต่ว่า คนขององค์กรการค้า ต่อให้ชู่มู่ปล่อยความสามารถออกมาทั้งหมด จะพาคนออกไปเยอะขนาดนี้หรือไม่ยังเป็นปัญหาอยู่ หลังจากจากไป จะได้แหล่งวิญญาณหรือไม่ ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง
อีกทั้ง ชู่มู่รู้สึกว่าจะให้ตระกูลชู่ปล่อยประชาชนไร้ที่ไปซึ่งอยู่ในเมืองและสมาชิกตระกูล 400 กว่าคนของทั้งเมืองเจ็ดสีไป คงจะยากมาก
“ข้าจะลองคิดดู จะให้คำตอบเจ้าก่อนที่คนของประตูเมืองหลัวจะทะลายฝ่าไป”ชู่มู่พูดกับซุนพัน
“อย่ามีความสงสารเห็นใจใดๆ รอถึงตอนตกอยู่ในภัยอันตราย เจ้าจะรู้ว่าความสงสารนี้เป็นเรื่องน่าสมเพชมาก”ซุนพันบอก
“ข้าจะไม่หลุดแผนการของเจ้าออกไป”ชู่มู่แค่พูดนิ่งๆ
ซุนพันเชื่อว่าชู่มู่จะไม่พูดออกไป แต่มองออกได้ว่าซุนพันไม่พอใจต่อความลังเลของชู่มู่ โดยเฉพาะความไม่เด็ดเดี่ยวของชู่มู่ที่ยังอายุน้อย
ซุนพันเองก็ไม่พูดอะไรอีก ขี่อสูรเขาของตัวเองจากไป
“อายุแค่นี้ มีความสามารถแบบนี้ เป็นเรื่องที่เห็นยากมากแล้ว แต่อายุยังน้อยอยู่ ไม่รู้จักกลยุทธ ไม่มีความโหดเหี้ยม ยังคงเก็บของไร้ประโยชน์เอาไว้ คิดว่าตัวเขาคนเดียวจะปกป้องทั้งตระกูลได้เหรอ?”หลังจากซุนพันจากไป แอบรู้สึกตลกในใจ
หลังจากซุนพันจากไป ชู่มู่ยังยืนอยู่บนเนินเขานั้น
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เงาสีเงินตัวหนึ่งวิ่งมาจากที่ไกลด้วยความเร็วที่สูงมาก อสูรเขาของซุนพันยังมีความเร็วไม่ถึงหนึ่งในสิบของมัน!
หลังจากเงาสีเงินวิ่งมาตรงหน้าชู่มู่ ได้กระโดดขึ้นไหล่ของชู่มู่อย่างคล่องแคล่ว ส่งเสียงร้องอูอูอย่างน่ารัก
ที่วิ่งกลับมาคือมั่วเย๋น้อยของชู่มู่ ชู่มู่ให้มันอยู่ในภาวะอาวรณ์วิ่งไปดูสถานการณ์ตามจริง
“มากขนาดนั้นเหรอ?”ชู่มู่พึมพำ สีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น
“อูอูอู”มั่วเย๋เองก็ทำท่าทีกังวลใจมาก
“ใช้หายนะกลุ่มกำจัดพวกมันได้ไหม?”ชู่มู่ถามขึ้น
“อูอู”มั่วเย๋น้อยส่ายหัว
หายนะกลุ่มที่มั่วเย๋น้อยใช้จำกัดอยู่แค่จักรพรรดิขั้นกลาง
และหากจะให้ได้ผล ก่อนอื่นคือ ในบรรดากลุ่มใหญ่จะไม่มีผู้ปกครอง ในตอนนั้นที่มั่วเย๋ปล่อยออกมาในลานกว้างแท่นบูชาอสูรเลือด หลังจากฆ่าผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงทั้งหมดก่อนแล้ว ทักษะนี้ถึงจะได้ผล
ท่ามกลางกลุ่มนี้ จะต้องมีสิ่งมีชีวิตปกครองที่มากกว่าจักรพรรดิขั้นกลางขึ้นไปแน่นอน หายนะกลุ่มนี้คงอยู่ได้ไม่นาน
“ผู้เฒ่าหลี สิ่งมีชีวิตล้อมรอบเมืองนี้อยู่ในชนเผ่าขั้นหนึ่งแล้ว เกิดอะไรขึ้น”ชู่มู่ถามขึ้น
“ต้องถะลกออกจากบ่อตะวันตกชนเผ่าขั้นสามแน่นอน”ผู้เฒ่าหลีบอก
“ยังต้องให้เจ้าบอกอีกเหรอ รีบหาวิธีปกป้องเมืองเจ็ดสีนี้ไว้”ชู่มู่บอก
“ปกป้องเมืองเจ็ดสีอย่างไร เรื่องนี้ข้ายังคิดไม่ออก ทว่า บ่อตะวันตกซึ่งเป็นชนเผ่าขั้นสามกลับย้ายมาที่นี่แล้ว บทสรุปมีเพียงอย่างเดียว”ผู้เฒ่าหลีกระโดดออกมา ยื่นกรงเล็บที่มีขนสีดำออกมา
“ผู้ปกครองระดับราชันของชนเผ่าขั้นสามคิดจะครอบครองแหล่งวิญญาณด้วยเหรอ?”ชู่มู่บอก
ผู้เฒ่าหลีพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้มว่า”นายท่าน แม้แต่ชนเผ่าขั้นสามยังเคลื่อนตัว แปลว่าแหล่งวิญญาณนั้นได้เกิดการรั่วออกแล้ว”
“เจ้าบอกว่า แหล่งวิญญาณนั้นไม่ธรรมดาขนาดนั้น?”ชู่มู่ถามขึ้น
“อืม แน่นอน รูปแบบของชนเผ่าขั้นสาม ราชันขั้นต่ำ 1 เทียบเท่าราชัน 3 ถึง 5 ตัว เทียบเท่าชนเผ่าแต่ละตัวยังพาชนเผ่าขั้นหนึ่งมาอีกกลุ่ม เท่ากับว่า ชนเผ่าขั้นสามนี้จะมีรูปแบบเป็น 3 ถึง 5 เท่าของชนเผ่าขั้นหนึ่ง อีกทั้งยังมีราชันขั้นต่ำหนึ่งตัว”
“โดยปกติระหว่างชนเผ่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ชนเผ่าขั้นหนึ่งของกลุ่มเสือดาวจะตั้งอยู่ที่เนินทางใต้ ชนเผ่าบ่อตะวันตกเคลื่อนไหวแบบนี้ คาดว่าชนเผ่ากลุ่มเสือดาวน่าจะครองแหล่งทรัพยากรที่ไม่ควรจะได้ไป นี่เป็นขนมก้อนใหญ่ที่แม้แต่ชนเผ่าขั้นสามยังยอมทุ่มสุดตัว”ผู้เฒ่าหลีบอก
“แหล่งวิญญาณนี้ เพิ่งโผล่มาก็มีอำนาจสองอันมาแย่งชิงกันแล้ว อำนาจมาแย่งกันก็แล้ว ดวงวิญญาณยังมาแย่ง”ชู่มู่พูดพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ
ผู้เฒ่าหลียิ้มแหะๆ ทำท่าทีเหมือนแบบว่าบอกเจ้าตั้งนานแล้วว่าแหล่งวิญญาณนี้เป็นสมบัติชั้นดี
“ดูแล้ว ต้องรีบเพิ่มความสามารถแล้ว คืนนี้ลองเพิ่มความแข็งแกร่งปีศาจนักรบไม้เถอะ หวังว่าจะสำเร็จ”ชู่มู่พึมพำ
อีกครึ่งเดือนค่อยเพิ่มความแข็งแกร่งปีศาจนักรบไม้จะดีที่สุด อย่างไรวัตถุวิญญาณที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้อยู่ในจักรพรรดิขั้นสูงยังมีอยู่ อย่างน้อยต้องรอให้ยาทั้งหมดย่อยไปก่อน
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ปีศาจนักรบไม้สู้ต่อเนื่อง ได้รับการฝึกอย่างเต็มที่ คาดว่าการต่อสู้แบบนี้เพียงพอที่จะให้ปีศาจนักรบไม้ย่อยสลายยาวัตถุวิญญาณในครึ่งเดือนนี้ได้
หลังจากกลับตระกูล ชู่มู่ให้ชู่เทียนเหิงและลูกหลานทั้งหมดรวมตัวในเรือน เพื่อหลีกเลี่ยงในกรณีที่กองทัพบ่อน้ำตะวันตกบุกเข้าเมืองกะทันหัน
ชู่มู่ได้บอกความรุนแรงของการรายล้อมครั้งนี้กับชู่เทียนเหิงแล้ว ส่วนจะแย่งชิงอย่างไร ยังต้องให้พวกชู่เทียนเหิงตัดสินใจ
หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ชู่มู่ได้กลับไปในสวนของตัวเอง เรื่องเพิ่มความสามารถสำคัญที่สุด มิฉะนั้นเผชิญกับกองทัพของชนเผ่าขั้นหนึ่ง ชู่มู่เองก็ไร้ทางสู้เหมือนกัน
ผลึกวิญญาณหมวดไม้ขั้นสิบชู่มู่ได้มาจากหุบเขาระหว่างโลกตะวันตกถึงโลกจั้นหลี อีกทั้ง ในมือชู่มู่ยังมีผลึกวิญญาณหมวดไม้ระดับราชันที่ได้จากเทียนทิงด้วย
เช่นนี้ แค่ทำให้ปีศาจนักรบไม้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอด แล้วรออีกประมาณครึ่งปี หรือให้ต่อสู้สาม สี่เดือนต่อเนื่องกัน อีกทั้งเพิ่มความสามารถของตัวเองให้อยู่ในระดับราชัน ถ้าอย่างนั้นปีศาจนักรบไม้ระดับราชันของชู่มู่จะได้แจ้งเกิดแล้ว!
ดังนั้น ครั้งนี้การทำให้ปีศาจนักรบไม้เพิ่มความแข็งแกร่งจากจักรพรรดิขั้นสูงไปถึงจักรพรรดิชั้นยอดมีความหมายอย่างมาก รวมถึงประโยชน์ในการต่อสู้แบบหมู่ในเมืองเจ็ดสีตอนนี้ด้วย
ถ้าปีศาจนักรบไม้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอดได้ละก็ ระหว่างการต่อสู้กลุ่มกับชนเผ่า ประโยชน์ของมันจะเด่นชัดกว่ามารนิรยขาวจักรพรรดิไร้เทียมทานด้วย แค่ไม่ให้มันต่อสู้กับจักรพรรดิชั้นยอดโดยตรง ในการต่อสู้แบบหมู่ ปีศาจนักรบไม้จะจัดการกองทัพจักรพรรดิชั้นยอด 4 อันได้เป็นอย่างน้อย
กลุ่มเสือดาวของชนเผ่าขั้นหนึ่งได้เสียกำลังไปกลุ่มหนึ่งแล้วในภัยแร้งนี้ กำลังที่เหลืออยู่คงเทียบเท่ากับจักรพรรดิชั้นยอด 20 กว่าตัว หากเพิ่มความแข็งแกร่งปีศาจนักรบไม้สำเร็จ พลังต่อสู้ทั้งหมดของชู่มู่เทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอด 20 กว่าตัว พอจะสู้ได้แล้ว!
ชู่มู่อัญเชิญปีศาจนักรบไม้ออกมา ใช้วัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งหลังต่อสู้แล้ว ผลจะดีขึ้นอีกหน่อย
ชู่มู่ให้ปีศาจนักรบไม้กินผลึกวิญญาณหมวดไม้ลงไป แล้วเริ่มใช้ร่ายวิญญาณนำพา เพื่อให้พลังหมวดไม้ในผลึกวิญญาณค่อยๆ กระจายไปทั่วทั้งตัวของปีศาจนักรบไม้
ขั้นตอนการเพิ่มความแข็งแกร่งหมวดเดี่ยวง่ายกว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งหลายหมวดมาก ชู่มู่ในตอนนี้เป็นเจ้าวิญญาณแปดร่ายคนหนึ่งแล้ว การเพิ่มความแข็งแกร่งแบบนี้ไม่ยากสำหรับชู่มู่เท่าไร โดยเฉพาะในการควบคุมหมวดเดี่ยว
ผลึกวิญญาณที่มีระดับยิ่งสูงเท่าไร พลังยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น มีเพียงผู้คุมดวงวิญญาณที่มีร่ายวิญญาณระดับสูงถึงจะทำการนำพาได้ ดังนั้น ถ้าร่ายวิญญาณต่ำเดินไปละก็ ต่อให้มีวัตถุวิญญาณ โอกาสที่จะพลาดก็จะเพิ่มขึ้น
ส่วนดวงวิญญาณหลายหมวด ในระหว่างเพิ่มความแข็งแกร่งต้องใช้ร่ายวิญญาณนำพาหลายหมวด ผู้คุมดวงวิญญาณควบคุมไม่ดีก็อาจทำให้พลาดได้ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้คุมดวงวิญญาณหลายคนยอมที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณหมวดเดี่ยว แต่ไม่ยอมเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณหลายหมวด
ชู่มู่เพิ่มความแข็งแกร่งให้ปีศาจนักรบไม้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ระดับแม่ทัพลักษณะสาม สี่เรื่อยมา ชู่มู่คุ้นเคยกับองค์ประกอบร่างกายและวิญญาณของมันเป็นอย่างดี ตอนที่นำพลังผลึกวิญญาณกระจายไปทั่วทั้งตัวปีศาจนักรบไม้ ยิ่งคล่องแคล่วมาก
ในไม่ช้า พลังผลึกวิญญาณหมวดไม้ขั้นสิบทั้งหมดถูกปีศาจนักรบไม้ดูดซึมทั้งหมด ไม่หายไปแม้แต่นิด
“อ๊าว!!!!!”
ทันใดนั้น ปีศาจนักรบไม้ส่งเสียงคำรามขึ้น แขนทั้งสองกางออก ประกายสีเขียวปนสีแดงส่องประกายขึ้น รวมอยู่ในร่างกายของปีศาจนักรบไม้!
“สำเร็จแล้ว ระดับจักรพรรดิชั้นยอด!!”ชู่มู่มองไปยังพลังของผลึกหมวดไม้ขั้นห้าที่สูงกว่าปรากฎจากบนตัวปีศาจนักรบไม้อย่างช้าๆ แล้วฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย
——————————————————————-
มารนิรยขาวของชู่มู่อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบแล้ว แค่มีวัตถุวิญญาณ ชู่มู่ก็มีหวังจะเพิ่มความแข็งแกร่งราชันอีกตัวหนึ่งได้แล้ว
แค่มีราชันสามตัว ความสามารถของชู่มู่ก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว อย่างน้อยจะกวาดล้างชนเผ่าขั้นหนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา
แน่นอนว่า ถ้าตอนนี้ได้วัตถุวิญญาณมีเพียงมารนิรยขาวที่เพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับราชันได้
มารนิรยขาวมีหมวดรองอยู่ วัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งของมันใช้เงินมากกว่าสองเท่า
ระดับพลังต่อสู้ของดวงวิญญาณหมวดเดี่ยวกับหลายหมวดจะมีความห่างอย่างชัดเจน ดวงวิญญาณหมวดเดี่ยว ชู่มู่แค่หาวัตถุวิญญาณราชันที่มีหมวดเข้ากัน ก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งได้แล้ว เงินทุนหนึ่งเท่าก็ถึงระดับราชันได้แล้ว
ถ้ามีหลายหมวด จำต้องหาวัตถุวิญญาณหลายหมวดที่คล้ายกันมา จำต้องใช้เงินทุนสองเท่าถึงจะอยู่ในระดับราชันได้ จะเพิ่มความแข็งแกร่งแยกหมวดไม่ได้
สิ่งที่ควรพูดถึงคือ ระดับพลังต่อสู้ไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งแยกหมวดได้ แบบนี้จะทำให้หมวดรองด้อยกว่าตลอดไป
เช่น มารนิรยขาวเป็นหมวดลับ ไฟ อสูร มืดทั้งสี่อัน ความจริงหมวดหลักของมันคือหมวดลับ หมวดรองถ้าแบ่งตามระดับความแข็งแกร่งสุดจะเป็นไฟ อสูร และมืด
ถ้าเพิ่มความแข็งแกร่งแยกกัน วัตถุวิญญาณหมวดลับที่ซื้อมาเพิ่มความแข็งแกร่งมารนิรยขาวอยู่ในระดับราชัน แบบนี้การเพิ่มความแข็งแกร่งของมารนิรยขาวอาจทำให้อยู่ในระดับราชันได้จริงๆ
แต่หมวดไฟ อสูรและมืดจะอ่อนกว่าตลอดไป สำหรับพลังของระดับราชัน หมวดรองที่ยังอยู่ในระดับจักรพรรดิจะไม่มีประโยชน์ใดๆ มารนิรยขาวจะกลายเป็นแค่ราชันธรรมดา
และหลังจากนี้ ถ้าซื้อวัตถุวิญญาณสามหมวดคือไฟ อสูร มืดมาทดแทน ก็ไม่มีผลที่เห็นชัดเจนอีกแล้ว
ความจริงในดวงวิญญาณของชู่มู่มีตัวอย่างที่หมวดอ่อนลงอยู่ คืออสูรสายฟ้านิมิตราตรีกับปีศาจนักรบไม้
หมวดสายฟ้าของอสูรสายฟ้านิมิตราตรีเกือบจะหายไปแล้ว หมวดอสูรของปีศาจนักรบไม้ก็อ่อนลงเช่นกัน
ดวงวิญญาณหลักของชู่มู่จะมีหลายหมวด จั้นเย้มีหมวดหลักคู่คือแมลงกับอสูร มั่วเย้ก็เหมือนกัน มารนิรยขาวมีสี่หมวด ต่างพัฒนาได้ไกลยิ่งขึ้น ดวงวิญญาณอื่นยังต้องให้ถึงระดับราชัน
แหล่งวิญญาณที่ผู้เฒ่าหลีรู้มีแค่อันเดียว จะเจอแหล่งวิญญาณอันต่อไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ความสามารถของชู่มู่จะเติบโตช้าลงมาก!
ชู่มู่กับเด็กสาวทรยศสัญญากันจะตัดสินชะตาหกปีหลังจากนี้ หกปีนี้ชู่มู่ต้องพยายามให้ถึงราชันขั้นสูงให้ได้ มิฉะนั้นจะให้ผู้หญิงคนนั้นตกเป็นทาสได้อย่างไร แหล่งวิญญาณในครั้งนี้ต้องเอามาให้ได้
…
คนของตระกูลชู่กำลังคิดเรื่องที่ประตูเมืองหลัวจะเข้าบงการ ชู่มู่เองก็คิดอยู่เหมือนกัน จะจัดการเจ้าพวกประตูเมืองหลัวได้อย่างไร
การประชุมนี้เงียบขรึมมาก ชู่เทียนเหิงเองก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว สุดท้ายยังคงพูดขึ้นว่า
“ชู่มู่ ครั้งนี้ตระกูลยังต้องพึ่งพาเจ้า”
“อืม พวกเราอยู่เฉยๆ ก่อน รอดูสถานการณ์ก่อนเถอะ” ชู่มู่บอก
…
ในเมื่อมีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยปรากฏตัวในเมืองเจ็ดสี ปัญหาภัยแร้งย่อมไม่ใช่ปัญหาหลัก
และแล้ว เรื่องที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงได้เกิดขึ้นแล้ว!
…
ตอนเช้าตรู่ เหล่าลูกหลานที่เฝ้าสำรวจตอนกลางคืนไร้ข่าวสารใดๆ หมด ถ้าไม่ได้เป็นเพราะชู่เทียนเหิงให้ลูกหลานพวกนี้รายงานทุกช่วงเวลาหนึ่ง ชู่เทียนเหิงคงไม่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ได้
โดยหลักแล้วภัยแร้งมาจากด้านทิศใต้ ถ้าลูกหลานทางทิศใต้หายไปหมด ผู้คนจะเดาได้ว่ากลุ่มเสือของกองทัพชนเผ่าขั้นหนึ่งได้เข้ามาแล้ว แต่ทิศทางอีกทั้งสามกลับไม่มีข่าวสารด้วย นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว!
ในวันนี้ ไม่มีการรายงานจากทั้งสี่ด้าน กองทัพจักรพรรดิของชนเผ่าขั้นหนึ่งได้พากองทัพที่เหลือทั้งหมดปรากฏตัวออกมาแล้ว!
การปรากฏของภัยแร้ง ทำให้คนทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการปกป้องเมืองเจ็ดสีทันที
ไม่ว่าจะเป็นประตูเมืองหลัว หรือจะเป็นพลังของซุนหยวน ถ้าพวกเขาคิดจะครอบครองแหล่งวิญญาณละก็ จำต้องมีเมืองเจ็ดสีเป็นฐาน ดังนั้น เวลาจะปกป้องเมืองเจ็ดสี พวกเขาจะไม่รอช้าแน่นอน
ความจริงอำนาจของซุนหยวนมาจากองค์กรการค้า ตอนที่กองทัพจักรพรรดิมาถึง องค์กรการค้าให้ชายที่ชื่อซุนพันออกมาควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดคนเดียว
ส่วนคนของประตูเมืองหลัว แม้จะลงมือ แต่หลังจากจัดการกองทัพจักรพรรดิทั้งหมดแล้ว ยังทำท่าทีสบายมาก ท่าทางจะซ่อนความสามารถเอาไว้จริงๆ มิน่าเวลาที่เผชิญหน้ากับกองทัพระดับผู้นำ พวกเขาไม่อยากจะลดตัวลงมือด้วยซ้ำ
หลังจากจัดการภัยแร้งขั้นเก้า เหล่าคนของเมืองเจ็ดสีต่างสบายใจมาก คืนนั้น ชาวบ้านที่ยังอยู่ในเมืองเจ็ดสีนับหมื่นคนดีใจอย่างมาก
ชาวบ้านพวกนี้อาศัยอยู่ในเมืองเจ็ดสีมาตลอด พวกเขาไม่มีที่ไปจริงๆ ได้ข่าวว่า ตระกูลชู่จะเฝ้าอยู่ที่นี่ จึงอยู่ที่นี่ต่อเพราะเชื่อใจตระกูลชู่ ตอนนี้จัดการปัญหาภัยแร้งแล้ว คนพวกนี้ยิ่งคุ้มกันตระกูลชู่มากขึ้น
ปัญหาภัยแร้งจัดการได้แล้ว และแล้ว คนของตระกูลชู่กลับผ่อนคลายไม่ได้
เพราะคนของตระกูลชู่สังเกตเห็นแล้ว ทั้งเมืองเจ็ดสีนี้เหมือนถูกปิดกั้นเอาไว้!
ตระกูลชู่ได้ส่งคนไปกระจายข่าวด้านนอก แต่คนพวกนี้เมื่อออกไปแล้ว กลับหายไปหมด และไม่มีใครกลับเข้ามาในเมืองเจ็ดสีอีก ต่อให้เป็นด้านเหนือของภัยแร้งก็ตาม…
…
หลังจากจบภัยแร้ง เมืองเจ็ดสีสงบได้สามสี่วัน แต่กลับถูกกลิ่นไอแห่งความตายบางอย่างปกคลุมเอาไว้
…
“หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าเจิ้งหนานกลับมาแล้ว” ชู่ซือรายงานในห้องโถงตระกูลชู่
“เป็นอย่างไรบ้าง” ชู่เทียนเหิงรีบถามขึ้น
เจิ้งหนานคือ หัวหน้าที่ตระกูลชู่ใช้เงินว่าจ้างมา พวกเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อภัยแร้งในตอนหลังเท่าไร หลังจากจบภัยแร้ง พวกเขารับเงินแล้วจึงจากไปทันที
ชู่เทียนเหิงพบว่าบรรยากาศรอบๆ เมืองเจ็ดสีไม่ปกติอย่างมาก บอกกับเจิ้งหนานว่า อย่าออกไปจะดีกว่า เจิ้งหนานรู้สึกว่ากองทัพรับจ้างของตัวเองใหญ่โตขนาดนี้ ต่อให้มีสิ่งประหลาดอยู่ใกล้เมืองเจ็ดสี ก็น่าจะหยุดพวกเขาไม่ได้ ดังนั้น จึงเลือกที่จะจากไป
และแล้ว เจิ้งหนานที่จากไปกลับมาแล้ว นี่แปลว่า มีบางเรื่องเกิดขึ้นแล้ว !
“ตอนนี้เขาสลบยังไม่ฟื้น หัวหน้าหลายคนที่กลับมาพร้อมกับเขา ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสหมด ส่วนทหารรับจ้างคนอื่น ไม่ได้กลับมา ไม่รู้ว่าออกไปแล้ว หรือว่า…” ชู่ซือไม่กล้าพูดต่อแล้ว
…
ด้านเหนือของเมือง อสูรนิมิตงดงามวิ่งทะลุไประหว่างเนินเขาที่อ้างว้าง
คนที่ขี่สิ่งมีชีวิตงดงามนี้คือวัยหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเยือกเย็น สายตาแน่วแน่ ระหว่างคิ้วยังเผยให้เห็นความเยือกเย็นออกมา
คนนี้คือชู่มู่ ก่อนหน้านี้ไม่นาน ชู่มู่ได้เข้าไปในพื้นที่ของชนเผ่าขั้นหนึ่งลำพัง
พื้นที่ของชนเผ่าขั้นหนึ่งชุลมุนอย่างมาก ชู่มู่ไม่กล้าเข้าไปในนั้นทันที หลังจากสังเกตการณ์แล้วถอยกลับเมืองเจ็ดสีทันที
และแล้วพอกลับถึงเมืองเจ็ดสี กองทัพรับจ้างหายไปแล้ว ชู่มู่รีบมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อตรวจดู
หลังจากผ่านเนินเขา อสูรสายฟ้านิมิตราตรีกระโดดขึ้นเนินเขาที่สูงที่สุด มองไปยังเนินเขาด้านล่าง…
ระหว่างเนินเขา เห็นสิ่งที่มีสีแดงสดกำลังไหลลง ส่วนบริเวณด้านหน้าของเนินเขา สิ่งที่เป็นสีขาวบางอย่างกระจายตัวอยู่ระหว่างภูเขา
สีแดงสดที่ไหลไปตามเนินเขาเหมือนแม่น้ำสายเล็กๆ นั้นคือเลือด ส่วนสีขาวนั้น กำลังแทะกินศพทั้งหลาย!
ไม่ต้องเดาก็รู้ เนินเขานั้นคือ หลุมศพของทหารรับจ้างนับพันคน!
“ผู้เฒ่าหลี เมืองเจ็ดสียังมีสิ่งประหลาดอะไรอีก” ชู่มู่พูดเสียงเบา
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ แต่เรื่องนี้เหมือนจะไม่ปกติแล้ว”ผู้เฒ่าหลีบอก
ด้วยความสามารถของชู่มู่ ออกจากเมืองเจ็ดสีได้ไม่ยาก แต่ว่าชู่มู่ไม่กล้าออกไปไกล เพราะเขารู้สึกว่ารอบๆ ทั้งเมืองเจ็ดสีนี้มีสิ่งมีชีวิตอันตรายเหล่านั้นรายล้อมอยู่ ถ้าชู่มู่จากไปไกล หากบางทิศเกิดระเบิดออกมา คนทั้งเมืองเจ็ดสีจะตายลงแน่นอน รวมถึงคนของตระกูลชู่ด้วย!
“หึ กล้าไม่เบา มาที่นี่ได้” ทันใดนั้น ร่ายวิญญาณอันหนึ่งดังขึ้นจากเนินเขาอีกลูกหนึ่งกะทันหัน
ชู่มู่กวาดตามองไปที่เนินเขานั้น เห็นผู้คุมดวงวิญญาณที่ขี่อสูรเขาคนหนึ่ง
ชู่มู่เคยเห็นคนนี้มาก่อน คือซุนพันที่เคยลงมือในภัยแร้งจักรพรรดิก่อนหน้านี้
ชู่มู่ไม่ได้ลงมือระหว่างภัยแร้งจักรพรรดิ ประตูเมืองหลัวกับพลังของซุนหยวนจัดการได้เหลือเฟือ ชู่มู่เองก็แค่อยากให้ปีศาจนักรบไม้ฝึกต่อ
“เจ้าไปทางตะวันออกไม่ใช่เหรอ” ชู่มู่ตอบกลับ
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ซุนพันตอบอย่างไม่รีบร้อน
ซุนพันไปสำรวจทางตะวันออกจริงๆ แต่ว่า…
แต่ว่าผู้แข็งแกร่งซ่อนความสามารถคนนี้กลับเจอกับการล้อมของฝูง!
ซุนพันอยากพุ่งออกไปด้วยความสามารถของตัวเอง เพื่อติดต่อกับโลกภายนอก และแล้วความสามารถของสิ่งมีชีวิตฝูงนั้นเกินกว่าที่ซุนพันคิดเอาไว้ ซุนพันเองก็เกือบออกจากกองทัพพวกนั้นไม่ได้
ด้วยสภาพที่บังคับ ซุนพันหนีไปทางตะวันตกเฉียงเหนือตลอด จนถึงด้านเหนือของเมือง ถึงสลัดปีศาจพวกนั้นได้
ซันพันเองก็เป็นคนที่ถือศักดิ์ศรีตัวเอง เขาคงไม่อยากพูดกับวัยหนุ่มคนหนึ่งว่า ตัวเองหนีจากด้านตะวันออกมาที่นี่
“ด้านตะวันออกเป็นอย่างไรบ้าง” ชู่มู่ฉลาดมาก หลังจากสังเกตอสูรเขาแล้ว พอเดาได้
“ไม่ดีเท่าไร พูดได้ว่าเมืองเจ็ดสีถูกล้อมเอาไว้แล้ว” ซุนพันเคยเห็นปีศาจนักรบไม้ของชู่มู่แล้ว ตอนนี้เห็นชู่มู่ขี่จักรพรรดิขั้นสูงอีกตัว เดาว่าชู่มู่น่าจะนับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มขั้นหนึ่งในเมืองเทียนเซี่ย
ตอนที่พูดคุยกับซุนพันและชู่มู่ เขาได้ขี่อสูรเขาวิ่งไปยังตำแหน่งเนินเขาที่ชู่มู่อยู่แล้ว
เขามองไปยังเนินเขาที่เต็มไปด้วยเลือดสด หลังจากที่สติเลื่อนลอยสักพัก ถึงพูดขึ้นว่า “ความสามารถของเจ้าก็ไม่เบา น่าจะเดาสถานการณ์ในตอนนี้ได้แล้ว”
“อืม กลุ่มขั้นสิบเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งอาจเป็นชนเผ่าขั้นหนึ่งอันหนึ่ง ไม่ว่าพวกเจ้าหรือคนของประตูเมืองหลัว ยากที่จะออกจากที่นี่ได้” ชู่มู่บอก
“เจ้ารู้ก็ดี” ซุนพันพยักหน้า พูดต่อว่า “พวกเรามาจากองค์กรการค้า ครั้งนี้พวกข้าได้ยินว่า ซุนหยวนตระกูลเจ้าอยู่ที่นี่ เดิมมาเพื่อจัดการเรื่องของตระกูลพวกเจ้า แต่กลับเจอเรื่องแบบนี้ ถูกขังไว้ที่นี้ แม้ข้าไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ทำไมไม่รีบโจมตีเมือง แต่ถ้าอยู่ที่นี่ต่อจะตายแน่นอน”
“ข้ารู้ เจ้าอยากพูดอะไร พูดออกมาเถอะ” ชู่มู่รู้ว่า ประโยคนี้ของซุนพันปลอมอยู่ พวกเขามาจากองค์กรการค้า โดยหลักก็เพื่อแหล่งวิญญาณนั้น
“คนของประตูเมืองหลัวจะสนใจพวกเขาเองแน่นอน จะทะลายบางทิศเพื่ออกจากที่นี่ ความสามารถของเจ้าก็ไม่เบา อีกทั้งยังอายุน้อยขนาดนี้ ไม่จำต้องตายที่นี่พร้อมกับตระกูลเล็กๆ เจ้าเข้าร่วมกับพวกข้าได้ ทะลายอีกทาง ออกจากที่นี่พร้อมกัน” ซุนพันบอก
ตอนกลางคืน เหล่าผู้คุมดวงวิญญาณที่มีความสามารถค่อนข้างน้อยเริ่มให้ดวงวิญญาณตระกูลพืชของพวกเขากวาดล้างสนามรบ เศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ ผลึกอวัยวะภายใน ของเหล่านี้ที่ขุดออกจากศพของดวงวิญญาณล้วนเป็นสิ่งที่นำมาเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี โดยเฉพาะผลึกวิญญาณ ทันทีที่เจอ เหมือนจะกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน
ผลึกวิญญาณที่เจอจากผู้นำหนึ่งร้อยห้าสิบตัวน่าจะอยู่ที่ขั้นเก้าและขั้นสิบ ถ้ามีสองเม็ดละก็มีมูลค่าหลายร้อยล้าน สำหรับตระกูลชู่แบบนี้ก็ไม่นับว่าเป็นจำนวนที่น้อยเท่าไร
นอกจากเก็บสะสมเศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ ผลึกอวัยวะแล้ว จำต้องกำจัดศพของสิ่งมีชีวิตด้วย มิฉะนั้น กลิ่นคาวเลือดจะลอยออกไปไกลมาก จะทำให้สิ่งมีชีวิตที่กระหายเลือดรวมตัวกันที่นี่ อาจล่อกลุ่มทั้งฝูงมาก็ได้ อย่างไรด้านตะวันตกของเมือง เป็นพื้นที่ชื้นวายุซึ่งเชื่อมต่อกับบ่อตะวันตกที่มีชนเผ่าขั้นสามอยู่!
พื้นที่ชื้นวายุเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ภายใต้ต้นหญ้าเล็กๆ สีเขียวเหล่านั้น มักจะมีบ่อน้ำและทะเลสาบที่สะท้อนประกายดาวอยู่
พื้นที่ชื้นวายุนี้มีความชื้นค่อนข้างสูง ฝนตกได้ง่าย ดวงวิญญาณส่วนใหญ่ที่พักอยู่ที่นี่มักจะเป็นพวกสัตว์เลื้อยคลานและกลุ่มแมลงที่ชอบที่ชื้นเย็น
แสงจันทร์สาดส่องจากฟากฟ้า ก่อให้เกิดความสลัว ตอนตกดึก ทั้งพื้นที่ชื้นวายุนี้เต็มไปด้วยความเงียบอย่างประหลาด บางครั้งอาจมีเสียงกรีดร้องที่ทำลายความเงียบนี้ เกิดความรู้สึกชวนขนลุก
ลมเย็นพัดพา ด้านในพื้นที่ชื้นวายุสงบแห่งนี้ มักเห็นเงาสีดำครึ่งตัวบนได้กะทันหัน กินสิ่งมีชีวิตที่กำลังกินน้ำในคำเดียว หลังจากดิ้นรนแล้ว กลับมาเงียบอีกครั้ง
“ครั้งหน้าถ้าใครออกเงินให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ในตอนกลางคืน ต่อให้ออกเงินสองเท่าข้าก็ไม่ทำแล้ว!” บางที่ในพุ่มหญ้า เสียงนี้ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
“เดิมพื้นที่ชื้นวายุก็ไม่ใช่ที่ปลอดภัยอยู่แล้ว หรือว่าเจ้าไม่เคยได้ยินจากคนอื่นเหรอ จนถึงตอนนี้ ทั้งโลกตะวันตกของพวกเรายังไม่เคยมีใครผ่านพื้นที่ชื้นวายุแล้วเข้าไปด้านในของพื้นที่ชื้นวายุได้”เสียงผู้ชายอีกคนหนึ่งดังขึ้น
“ทั้งโลกตะวันตกเหรอ” เสียงของผู้ชายที่บ่นเมื่อกี้ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ใช่ ทั้งโลกตะวันตก! ไม่เคยมีใครเข้าไปได้ พวกบุคคลสำคัญ เจ้าเมือง รวมถึงเจ้าโลกสูงส่งด้วย…”
“พระเจ้า ถ้าอย่างนั้นพื้นที่ชื้นวายุนี้น่ากลัวเพียงใด…ข้า…ทำไมข้ารู้สึกว่า มีบางสิ่งตรงนั้นกำลังขยับอยู่” ผู้ชายที่บ่นเกิดขนลุกขึ้นทันที
ตระกูลชู่ได้ส่งสองคนนี้มาสำรวจตอนกลางคืน พื้นที่ชื้นวายุเป็นต้นเหตุอย่างหนึ่ง ต่อให้จุดสำคัญจะอยู่ที่เนินทางใต้ พวกเขาก็ไม่อาจไว้ใจที่นี่ได้
“อย่าหลอกตัวเอง บอกมาก็มาได้อย่างไร…” ลูกหลานสำรวจอีกคนหนึ่งพูดอย่างเฉยเมย ตอนที่พูดเขาได้ยื่นหัวออกมา มองไปยังด้านในของพื้นที่ชื้นวายุ
และแล้ว พอกวาดตามองไป สีหน้าของผู้ชายคนนี้แข็งทื่อทันที!
“มีบางอย่างคลานเข้ามาจริงด้วย!” ทั้งสองคนร้องขึ้น รีบอัญเชิญดวงวิญญาณของตัวเอง
“ซ่า!!!”
กรงเล็บสองเส้นพาดผ่าน ผู้ชายที่บ่นเพิ่งอัญเชิญดวงวิญญาณแม่ทัพขั้นกลาง กลับถูกฉีกออกทันที เลือดสดสาดลงบนตัวเขา
ลูกหลานที่เข้ามาสำรวจตกใจอย่างมาก ยังไม่ทันได้หนีไป เงาดำสี่ห้าตัวพุ่งออก แต่ละตัวมีความเร็วสูงมาก ทักษะเดียวก็ฆ่าดวงวิญญาณระดับแม่ทัพของพวกเขาได้แล้ว!
“อ๊า อ๊า!!!”
เสียงร้องดังก้องกังวาน ลูกหลานทั้งสองถูกเงาดำฉีกเป็นเศษทันที
ก่อนที่ลูกหลานสองคนนี้จะถูกฆ่าตาย พวกเขาได้เห็นภาพที่ทำให้ทั้งสองคนไม่กล้าแม้แต่จะหนีไป!
สีดำมืดมัว สิ่งมีชีวิตที่มีกรงเล็บเฉียดแหลมนับพันกำลังเคลื่อนตัวท่ามกลางพื้นที่ชื้นแห่งนี้ เคลื่อนที่ไปข้างหน้าราวกับก้อนเมฆดำบนพื้น!!!
แค่สี่ห้าตัวก็ฆ่าดวงวิญญาณของระดับแม่ทัพของผู้คุมดวงวิญญาณสองคนได้ในไม่กี่วินาทีแล้ว ถ้าอย่างนั้น กองทัพที่ใหญ่โตขนาดนั้น จะเกิดหายนะที่น่ากลัวมากเพียงใด!!!
แสงจันทร์ยังคงสาดส่อง กองทัพที่เหมือนคลื่นดำท่ามกลางราตรีมืดมัวแห่งนี้ กำลังเข้าใกล้ฝูงมนุษย์ทีละนิด แต่ผู้คนนับพันหมื่นในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง กลับไม่รู้แม้แต่น้อย…
…
…
เรือนตระกูลชู่เมืองเจ็ดสี
“มันชักจะมากเกินไปแล้ว!!!” ชู่เหอตบโต๊ะทันทีด้วยใบหน้าโกรธเคืองอย่างมาก!
ในบรรดาลูกหลานตระกูลชู่ ชู่เหอพูดน้อยที่สุด อีกทั้งเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุด น้อยครั้งที่จะทำให้เขาโกรธแบบนี้ได้!
คืนนี้ สมาชิกส่วนในของตระกูลชู่ได้ประชุมกันเอง คนที่เข้าร่วมมีเพียงสมาชิกสายตรงของตระกูลชู่เท่านั้น
“ทุกคน ต้องขออภัย แม้ข้าพอเดาได้ว่า ครั้งนี้ที่ประตูเมืองหลัวส่งผู้แข็งแกร่งมา ไม่ธรรมดาแบบนั้น แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะยื่นข้อเสนอไร้มารยาทแบบนี้ได้ ข้าพาหายนะมาสู่ตระกูลเอง” ชู่เทียนฉีพูดกับคนทั้งหมดอย่างรู้สึกผิด
ท่านอาห้าของชู่มู่ ชู่เทียนฉีจัดการกิจการของตระกูลในที่อื่นตลอด เขาคอยรักษาความสัมพันธ์ต่างๆ ให้ตระกูล ชู่เทียนฉีเองเป็นคนติดต่อคนของประตูเมืองหลัว…
“น้องห้า ไม่โทษเจ้า” ชู่เทียนเหิงพูดเสียงเบา
“หึ หลังจากช่วยพวกเราต้านทานภัยแร้งได้ พวกเขาจะกุมอำนาจเมืองเจ็ดสี ตระกูลชู่พวกเราอยู่ใต้อำนาจของพวกเขา ช่วยพวกเขาจัดการ ตั้งใจแย่งเมืองของพวกเราไม่ว่า ยังจะให้พวกเราทำงานเพื่อพวกเขาด้วย ล้อเล่นบ้าอะไรกัน!”ชู่เทียนหลิงยิ่งทนไม่ไหว !
เมื่อไม่กี่วันก่อน หลัวชิวฟงของประตูเมืองหลัวได้พูดถึงเรื่องนี้ ตอนนั้นชู่เทียนหลิงโกรธเคืองอย่างมาก และแล้วในคืนนี้ หลัวชิวฟงได้พูดอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่เยาะเย้ยความอ่อนแอของตระกูลชู่ อีกทั้งยังปนด้วยการข่มขู่ด้วย บอกให้ตระกูลชู่อย่าเอาแต่ใจ ขัดคำสั่งของประตูเมืองหลัว อย่าคิดจะอยู่อย่างสบายใจโลกตะวันตกนี้และรอบๆ นี้ด้วย!
“ชู่มู่ เจ้าเดาถูกแล้ว เจ้าพวกเศษสวะพวกนี้ ไม่ได้มาเพื่อกำจัดภัยแร้งชัดๆ!” ชู่เทียนหลิงพูดต่อ
ความสามารถของประตูเมืองหลัวกว้างขวางมาก ปกคลุมเขตโลกหลายแห่งทางด้านตะวันตก พวกเขาไม่มีทางสนใจความเป็นอยู่ของตระกูลชู่เล็กๆ นี้ อีกทั้งยังส่งผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิชั้นยอดมา เชื่อมโยงกับปัญหาแหล่งวิญญาณ จะรู้ได้ว่าพวกเขามาเพื่อแย่งชิงแหล่งทรัพยากร
ชู่มู่ก็รู้ดี ถ้าตอนนี้ตัวเองต้องการแหล่งวิญญาณเพื่อเลี้ยงดวงวิญญาณราชันละก็ จะต้องแย่งชิงกับอำนาจที่มีทรัพยากรสมบูรณ์อยู่แล้ว จะเกิดความขัดแย้งกับอำนาจใหญ่อยู่บ้าง
“ท่านอาสอง วันนี้หลัวถงคนนั้นหลุดปากกับข้า เหมือนความสามารถของผู้ใหญ่เหล่านั้นของพวกเขาจะไม่ธรรมดาอย่างที่เข้าใจ” ชู่อีซุ่ยพูดขึ้นเสียงเบา
เดิม ความสามารถของประตูเมืองหลัวยิ่งแข็งแกร่ง ส่งผลกระทบต่อเมืองเจ็ดสียิ่งน้อย เป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่หมาป่าประตูเมืองหลัวฝูงนี้เหมือนจะมาเพื่อกลืนกินตระกูลชู่ ต่อให้เสียเมืองพื้นที่ไป ก็ต้องได้เมืองเจ็ดสีนี้มา ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ ตระกูลชู่จะปล่อยเมืองนี้ไป ไม่เป็นแรงงานให้กับประตูเมืองหลัวพวกนี้แล้ว
“อีซุ่ย เจ้าลองหลอกให้เจ้านั่นพูดออกมา เพื่อให้รู้ความสามารถของพวกเขา” ชู่เทียนหลิงบอก เขารู้ว่าชู่อีซุ่ยฉลาดตั้งแต่เด็ก เจ้าหลัวถงอย่าคิดจะเอาเปรียบเธอได้
“อ่อ ได้…” ชู่อีซุ่ยพยักหน้า
ชู่มู่ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เริ่ม ตลอดที่ผ่านมาเขายังแปลกใจที่ในเมื่อคนของประตูเมืองหลัวจะมาตามหาแหล่งวิญญาณ ส่งผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิชั้นยอดแค่คนเดียวมา เหมือนจะไม่พอ ที่แท้ เจ้าพวกนี้ได้ซ่อนความสามารถเอาไว้
อีกทั้งชู่มู่ยังจินตนาการใบหน้าของหลัวชิวฟงกับหลัวชิวเซิงได้ จะต้องมองมาที่ตระกูลชู่ด้วยใบหน้าประหม่า แอบเยาะเย้ยความโง่เขลาของตระกูลชู่ ตัวเขาแค่เผยความสามารถออกมาเล็กน้อยส่วนหนึ่งก็ทำให้ตระกูลเล็กๆ นี้พูดไม่ออกได้
โชคดีที่ชู่มู่ก็อดทนไว้ได้ ไม่เผยความสามารถของตัวเองออกมาง่ายดาย มิฉะนั้น พวกคนของประตูเมืองหลัวจะต้องแอบวางแผนจัดการตัวเองหรือขอกำลังเสริมแน่นอน ถึงตอนนั้นชู่มู่จะจัดการพวกเขาลำบากมากขึ้นแล้ว
“แล้วก็ ผู้ช่วยของซุนหยวนมาถึงแล้ว ชู่อิง ความสามารถของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง” ชู่เทียนเหิงถามขึ้น
“ข้า…ข้าก็ไม่รู้ เดิมซุนหยวนบอกจะส่งขุนนางประจำตระกูลมา แต่คนที่มากลับเป็นผู้คุมวงวิญญาณวัยหนุ่มคนหนึ่งกับลูกน้องหลายคน ซุนหยวนนอบน้อมต่อวัยหนุ่มคนนั้นอย่างมาก รวมถึงผู้คุมดวงวิญญาณพวกนั้นเป็นลูกน้องของวัยหนุ่ม เรียกพวกเขาว่ารุ่นพี่อะไรนั่น” ชู่อิงบอก
“ซุนหยวนช่วยตระกูลชู่พวกเราให้ได้กิจการเรือเขตโลกทั้งสองมาอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเผยเรื่องที่ว่าตระกูลชู่ของพวกเราจะพัฒนาต่อไปได้หรือไม่ เขาไม่ธรรมดาอย่างที่เขาบอกแน่นอน” ชู่เทียนเหิงบอก
“ซุนหยวนเป็นเจ้าวิญญาณสี่ร่ายคนหนึ่ง ร่ายวิญญาณแบบนี้นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของเขตโลกทั้งสองแล้ว คาดว่าจะต้องเป็นบุคคลระดับคุณชายของอำนาจบางอย่าง” ชู่มู่พูดนิ่งๆ
ในเมืองเทียนเซี่ย วัยหนุ่มเจ้าวิญญาณสี่ร่ายน้อยยิ่งกว่าน้อย มาถึงระดับนี้ได้ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ชู่มู่เดาไว้ตั้งนานแล้ว
“เจ้าวิญญาณสี่ร่าย!!!” ชู่อิงร้องขึ้น
จากที่ชู่อิงเห็น วัยหนุ่มที่อยู่ในระดับเจ้าวิญญาณได้ เก่งกาจอย่างมากแล้ว ยิ่งไม่ถึงพูดถึงเจ้าวิญญาณสี่ร่ายแล้ว! เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ซุนหยวนปิดได้อย่างมิดชิดแบบนี้
“ซุนหยวนน่าจะไม่เป็นโทษต่อพวกเรา คนที่เขาเรียกมา ก็ไม่แน่แล้ว” ชู่มู่บอก
ชู่มู่เคยเห็นคนที่ซุนหยวนส่งมา ชู่มู่เคยเห็นวัยหนุ่มคนนั้น เป็นเจ้าวิญญาณหกร่ายคนหนึ่ง นับว่าสูงจนน่าตกใจ มิน่าซุนหยวนถึงนอบน้อมแบบนั้น
ส่วนลูกน้องสามคนที่วัยหนุ่มพามา ชู่มู่ยังมองไม่ออก แต่ความสามารถของพวกเขาไม่เบาแน่นอน ส่วนเรื่องมาเพื่ออะไร ชู่มู่ยังไม่รู้ชัดแจ้ง
“นายท่าน เมืองเจ็ดสีเล็กๆ แห่งนี้ กลับมีผู้แข็งแกร่งมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ ไม่ต้องบอก ร้อยละเก้าสิบมาเพื่อแหล่งวิญญาณนี้ น่าจะเป็นกองหน้าที่ราชันวิญญาณพวกนั้นส่งมา ช่วงนี้มีภัยแร้งต่อเนื่อง ขณะที่ชนเผ่าขั้นหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังพื้นที่ของมนุษย์ พื้นที่ด้านในเผยให้เห็นทั้งหมด น่าจะมีข่าวแหล่งวิญญาณตรงนั้นกระจายออกไปแล้ว ทำให้ราชันวิญญาณพวกนั้นเกิดความสนใจ”ผู้เฒ่าหลีบอก
แหล่งวิญญาณหนึ่งล่อหมาป่าได้เยอะขนาดนี้ ท่าทางแหล่งวิญญาณราชันนี้เป็นที่แย่งชิงจริงด้วย
“หนึ่งพันวิญญาณ น่าจะสร้างราชันสิบในร้อยได้และเอาไว้เลี้ยงราชันตอนไม่ต่อสู้สามปี แหล่งวิญญาณนั้นมีวิญญาณนับพันต่อครั้ง อีกทั้งมากกว่านั้น หลังจากนั้นจะมีวิญญาณนับร้อยในแต่ละเดือน มีความหมายมากเพียงใด นายท่านน่าจะรู้ดี ห้ามให้มันตกอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด”
เดิมแหล่งวิญญาณน้อยมากอยู่แล้ว ชู่มู่ยังต้องเลี้ยงดูราชันฝูงใหญ่ โดยเฉพาะปัญหาของมังกรจำศีลน้อย ไม่ว่าอย่างไร ชู่มู่ก็จะไม่ปล่อยให้อำนาจอื่นแย่งไป!
————————————————————-
“เจ้าเด็กนั่น ล้อเล่นอะไรกัน เขาจะมีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นสูงได้อย่างไร!” จางอิงเห็นว่า วัยหนุ่มที่ตระกูลชู่พูดถึงคือใคร ได้กวาดตามองไปยังชู่มู่
อายุของชู่มู่แค่ยี่สิบกว่าปี จางอิงอาจมีอายุมากกว่าเขาสองเท่า เจ้าเด็กแบบนี้จะมีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นสูงได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าปีศาจนักรบไม้ของตัวเองไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด!
อาจารย์อาสามคนที่เหลือเองก็กำลังว่างจากควบคุมดวงวิญญาณของตัวเอง เหล่ตามองไปยังชู่มู่เล็กน้อย เช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็ยากที่จะเชื่อว่าปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นมาจากวัยหนุ่มคนหนึ่ง
ท่ามกลางการต่อสู้กลุ่ม เดิมทีหมวดไม้ก็ได้เปรียบอย่างมากแล้ว พูดได้ว่า ประโยชน์ของปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นเป็นการรวมกันของจักรพรรดิขั้นกลางสี่ตัวของอาจารย์อาทั้งสี่
ไม่ว่าปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นเป็นของใคร เดิมควรจะเป็นพวกเขาที่ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ กลับมีปีศาจนักรบไม้ที่ทรงพลังชิงตัดหน้าพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนไม่สบายใจอย่างมาก!
ชู่เชียน ชู่เหอ ชู่หลั่งได้คอยสังเกตชู่มู่ พวกเขาพบว่า ชู่มู่เหมือนจะไม่ได้ควบคุมดวงวิญญาณอยู่ แต่แค่ยืนอยู่บนขอบของตึก กวาดตามองไปยังสิ่งมีชีวิตทั้งฝูง
พวกเขาทั้งสามมีดวงวิญญาณของตัวเองที่ต้องควบคุม ไม่สามารถเดินไปถามข้างชู่มู่ ต่อให้ปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นจะลดภาระให้คนทั้งหมดไม่น้อย แต่หากไม่จดต่อก็ยังคงเกิดอุบัติเหตุระหว่างการต่อสู้นี้ได้ง่าย
ส่วนชู่เทียนหลิงที่ควบคุมสถานการณ์บนตึกกลับฉีกยิ้มออกมา เขาไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้
ตั้งแต่ตอนเริ่ม ชู่เทียนหลิงสังเกตเห็นแล้วว่า ปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นถูกชู่มู่อัญเชิญออกมา
ชู่เทียนหลิงรู้ว่า ชู่มู่มีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นสูง ต่อให้ทำใจไว้แล้ว ความสามารถฆ่าล้างกลุ่มที่ปีศาจนักรบไม้ของชู่มู่เผยออกมาให้เห็นก็ทำให้ชู่เทียนหลิงชื่นชมอย่างมาก โดยเฉพาะปีศาจนักรบไม้ตัวนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิขั้นสูงสี่ตัวของอาจารย์อาทั้งสี่อีก นี่ทำให้ชู่เทียนหลิงรู้สึกว่าครั้งนี้จะได้ชัยแล้ว!
…
การโจมตีของดวงวิญญาณฝูงนี้กินเวลาหนึ่งวัน พอถึงตอนกลางคืน จึงค่อยๆ สงบลง
กองทัพผู้นำหนึ่งร้อยห้าสิบตัวในตอนแรก ต้องให้นักรบวิญญาณรับจ้างสิบกว่าคนร่วมมือกันถึงจะจัดการสิ่งมีชีวิตหนึ่งตัวได้ นี่จะทำให้การต่อสู้เสียหายยิ่งกว่าเดิม แต่ผลของการต่อสู้กลับดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก โดยหลักเป็นเพราะมีจักรพรรดิขั้นสูงสี่ตัวกับจักรพรรดิขั้นกลางสิบสองตัวที่เข้าร่วมการต่อสู้
และรูปแบบการต่อสู้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเจ้าของปีศาจนักรบไม้ที่สะเทือนทั้งสนามคือใครกันแน่!
มีคนได้ประเมินเอาไว้ว่า ผู้นำทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบตัว แม่ทัพห้าร้อยตัว ปีศาจนักรบไม้ตัวเดียวก็จัดการผู้นำห้าสิบตัวแล้ว และในระดับแม่ทัพอย่างน้อยสองร้อยกว่าตัว และระดับทาสมากถึงหนึ่งพันกว่าตัว
การฆ่าล้างกลุ่มภัยแร้งขนาดนี้ นับว่าถูกปีศาจนักรบไม้ฆ่าตายหนึ่งในสามแล้ว !
ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นมาจากการว่าจ้างด้วยเงินมหาศาลของตระกูลชู่ พวกเขาทั้งหมดรวมกันจัดการศัตรูได้หนึ่งในสาม เห็นได้ชัดว่า ปีศาจนักรบไม้ตัวนี้แข็งแกร่งมากเพียงใด
“ปีศาจนักรบไม้ตัวนี้ต่อสู้ได้ทั้งวัน ผิดปกติจริงๆ” อาจารย์อาเจ้าเล่ห์พูดเสียงเบา
จางอิงชักสีหน้า เขาชอบความรู้สึกที่เป็นที่เคารพและจับตามองอย่างมาก เดิมอาศัยดวงวิญญาณหมวดไม้ เขาพอที่จะกลายเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดซึ่งช่วยเหลือชีวิตนับไม่ถ้วนในสงครามชะตาชีวิตครั้งนี้ได้ และแล้วทั้งหมดนี้กลับถูกปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นตัดหน้าไป ต่อให้ปีศาจนักรบไม้ตัวนี้แข็งแกร่งมากอย่างผิดปกติก็จริง จางอิงก็ไม่เกิดความรู้สึกที่ดีกับมัน อีกทั้งเกิดความไม่ชอบใจเจ้าของมันด้วย
ความจริงพลังต่อสู้ของเหล่าอาจารย์อาทั้งสี่ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม นอกจากจักรพรรดิขั้นสูงแล้ว พวกเขาทุกคนยังมีจักรพรรดิขั้นสูงอีกสามตัว
แต่ว่าต่อให้เป็นจักรพรรดิขั้นสูงหรือจักรพรรดิขั้นกลาง ยังคงได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้กลุ่มได้ง่าย ทันทีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาจะอัญเชิญกลับ ให้ดวงวิญญาณรองของพวกมันออกมา
ผลของดวงวิญญาณรองย่อมอ่อนกว่ามาก แต่พลังป้องกันและพลังชีวิตของปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นน่าตกใจยิ่งกว่า ท่ามกลางการต่อสู้ชุลมุนนั้น ต่อสู้ต่อเนื่องทั้งวัน กลับไม่มีใครเห็นบาดแผลบนตัวปีศาจนักรบไม้ตัวนี้ คาดว่าถ้าไม่ได้เป็นเพราะแรงกายที่มีอย่างจำกัด ปล่อยทักษะในตอนหลังน้อยลงแล้ว มิฉะนั้น ปีศาจนักรบไม้ตัวนี้คงจะฆ่าศัตรูได้มากขึ้น!
…
การต่อสู้เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการกวาดล้าง บรรยากาศค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ชู่เชียนเก็บดวงวิญญาณของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า เธอมองไปยังชู่มู่ เดินไปทางเขาช้าๆ
“ชู่มู่…” หลังจากชู่เชียนกลับไปที่ตระกูล ยังไม่เคยได้คุยกับชู่มู่สักคำ
ชู่มู่ยิ้มเล็กน้อย มองไปยังชู่เชียนที่เหนื่อยล้า พูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าดูเหนื่อยมาก”
ผู้คุมดวงวิญญาณทุกคนควบคุมดวงวิญญาณ การต่อสู้ตลอดทั้งวันแบบนี้ ต้องใช้แรงอย่างมากจริงๆ
“ไม่มาก แต่เจ้า…พวกเขาบอกว่า เจ้ากลับมาที่ตระกูลไม่กี่วันก่อน ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว…” ชู่เชียนพูดเสียงเบา
ชู่เชียนพบว่า ชู่มู่กำลังมองมาที่ตัวเองด้วยความอ่อนโยน กลับไม่กล้าสบตาด้วย ใบหน้าซีดขาวเกิดรอยแดงๆเล็กน้อย โชคดีที่เป็นเวลากลางคืน คนอื่นจึงมองไม่เห็น
“มีบางเรื่องต้องจัดการ ก็เลยกลับมา” แผนการเดิมของชู่มูคือมุ่งหน้าไปทางตะวันออกต่อ ถ้าเป็นแบบนั้น จะไม่กลับมาที่ตระกูลเร็วขนาดนี้
กลับมาตระกูลในครั้งนี้เป็นเรื่องนอกความคาดหมาย ชู่มู่เองก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้แค่ยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับอัญเชิญปีศาจนักรบไม้กลับมา
ชู่เชียนเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ทันใดนั้น เห็นเงาสีเขียวปีนขึ้นกำแพงเมือง เดินเข้ามาช้าๆ ยืนอยู่ด้านหลังชู่มู่
ชู่เชียนอึ้งเล็กน้อย รู้ทันทีว่า นั่นเป็นปีศาจนักรบไม้ที่จัดการศัตรูหนึ่งในสามของสนามทั้งหมด !
ในตอนนี้ ‘เทพเจ้าสงครามปีศาจไม้’ ที่พวกลูกหลานตระกูลชู่กับเหล่านักรบวิญญาณเรียกกันอยู่ด้านหลังชู่มู่ ไม่ต้องพูดอะไรชู่เชียนก็เข้าใจแล้ว!
“ปีศาจนักรบไม้ตัวนี้…เป็นดวงวิญญาณของเจ้าจริงเหรอ!!!” ชู่เชียนอ้าปากเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ
เสียงของชู่เชียนก่อให้เกิดความสนใจจากเหล่าผู้คุมดวงวิญญาณรอบๆ ที่เหนื่อยล้าทันที และแล้วคนทั้งหมดบนกำแพงเมืองเห็นว่า ‘เทพเจ้าสงครามปีศาจไม้’ ได้กลับไปข้างกายเจ้าของเขาแล้ว
และเจ้าของของเขากลับเป็นวัยหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี!
“วัยหนุ่มคนนี้คือใคร ทำไมเก่งขนาดนี้ ดวงวิญญาณตัวเดียวของเขาก็เทียบเท่าผู้แข็งแกร่งตระกูลชู่หลักสี่คนแล้ว!”
“ข้าจำได้ ได้ข่าวว่าเป็นลูกชายของน้องสี่ของหัวหน้ากลุ่ม เป็นหนึ่งในคุณชายที่ออกไปฝึกด้านนอกของตระกูลชู่ เหมือนจะชื่อชู่มู่”
“เมื่อกี้ข้ายังอยากไปด่าเจ้าเด็กนี่ที่ยืนบนกำแพงเมืองไม่ทำอะไร มองอย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นเป็นของเขา ดีที่ข้าไม่ด่า ดีแล้ว…” สมาชิกตระกูลชู่คนหนึ่งที่ใช้นามสกุลแยกพูดขึ้น
“ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเทพเจ้าสงครามปีศาจไม้อยู่ข้างเขา ต่อให้ตายไปข้าก็ไม่เชื่อว่า นั่นเป็นดวงวิญญาณของเขา!”
การต่อสู้ทั้งหมด เงาของปีศาจนักรบไม้แข็งแกร่งงดงามที่สุด
ปีศาจนักรบไม้เป็นดวงวิญญาณของผู้แข็งแกร่งท่านใด เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้มากที่สุดตลอดมา
ตอนนี้ได้คำตอบแล้ว หลังจากรู้ว่า เจ้าของปีศาจนักรบไม้เป็นวัยหนุ่มคนหนึ่ง เสียงร้องดังขึ้นทันทีหลังจากผ่านการต่อสู้อันเหนื่อยล้านี้!
เสียงวิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคนทั้งหมดรู้แค่ว่า ความจริงอายุของชายคนนั้นไม่น้อยแล้ว แค่ดูอายุน้อยเท่านั้น
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเทียนเซี่ยยังไม่มีดวงวิญญาณแบบนี้อยู่
แน่นอนว่า ไม่ว่าอายุเท่าไร มีดวงวิญญาณแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ เป็นที่น่าเคารพ ควรค่าแก่การนับถือจากคนทั้งหมด!
ส่วนอายุของชู่มู่ ชู่เชียน ชู่หลั่ง ชู่เหอและชู่เทียนหลิงรู้ดีที่สุดแล้ว
ตอนที่ชู่มู่ให้ปีศาจนักรบไม้กินยาฟื้นกำลัง พวกเขาได้ล้อมเข้ามา แต่ละคนไม่เหมือนคนที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างเหนื่อยล้า แต่กลับถามไถ่ด้วยความตื่นเต้น
“เป็นดวงวิญญาณของเจ้าจริงเหรอ ตอนแรกพวกเราไม่เชื่อ!ชู่มู่ เจ้าฝึกอย่างไร ทำไมทำให้ปีศาจนักรบไม้แข็งแกร่งขึ้นในเวลาอันสั้นแบบนี้ได้!” ชู่หลั่งพูดอย่างตื่นเต้นคนแรก
“ความสามารถของปีศาจนักรบไม้ตัวนี้น่าจะอยู่ในห้าอันดับแรกของเมืองตะวันตกของพวกเราแล้ว” ชู่เหอที่ไม่ค่อยพูดกลับพูดออกมาแบบนี้ทันที
จักรพรรดิขั้นสูง ความสามารถดวงวิญญาณของชู่หลั่งกับชู่เหอยังอยู่ในระดับผู้นำ! ห่างกันมากไปแล้ว!!!
อารมณ์ของชู่เชียนยิ่งได้รับกระทบกระเทือนมากกว่าเดิม เธอใช้กำลังอย่างมากเพื่อเชิญอาจารย์อาทั้งสี่จากตระกูลชู่หลักมา คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่ชายตรงหน้าคนนี้ต่อสู้ในตระกูลชู่หลักอย่างสะเทือนใจ ความสามารถของเขาได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง กลับตัดหน้าอาจารย์อาทั้งสี่ของเธอจนหมด
“สิ่งที่ชู่มู่พูดตอนมื้อเย็นวันนั้นเป็นเรื่องจริงหมด!!!” สายตาของชู่หลั่งตื่นเต้นอย่างมาก อยากจะเปิดช่องว่างดวงวิญญาณของชู่มู่ ดูว่าในนั้นมีดวงวิญญาณแข็งแกร่งอะไรอีก
“ชู่มู่ มื้อเย็นวันนั้นเจ้าพูดว่าอะไร” ชู่เชียนรีบถามขึ้น
“เขาบอกว่า…” ชู่หลั่งกำลังจะพูดด้วยความตื่นเต้น
“อะแฮ่ม ล้อมชู่มู่ทำไม การต่อสู้จบแล้ว รีบกลับไปดูแลดวงวิญญาณของพวกเจ้าไป!” ในตอนนี้ ชู่เทียนหลิงส่งเสียงอย่างเยือกเย็น พูดกับเหล่าลูกหลานตระกูลชู่ที่เริ่มล้อมเข้ามาไม่หยุด!
ลูกหลานตระกูลชู่เหล่านี้ก็อยากรู้ว่า วัยหนุ่มแข็งแกร่งเกินปกติคนนี้พูดอะไรกันแน่ แต่กลับถูกชู่เทียนหลิงขัด
ชู่เทียนหลิงจะไม่ให้ชู่มู่เผยความสามารถออกมาเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตามอาจารย์อาทั้งสี่ที่ชู่เชียนพามา กับพวกคนเลวของประตูเมืองหลัว ต้องให้พวกเขาเจอดีสักหน่อย !
เมื่อนึกถึงสิ่งที่คนของประตูเมืองหลัวพูดเมื่อคืน ชู่เทียนหลิงโกรธอย่างมาก !
ก่อนหน้านี้ชู่มู่บอกกับชู่เทียนหลิงว่า ประตูเมืองหลัวมีแผนอื่น และแล้วเจ้าพวกนี้ไม่ได้มาดี เดิมชู่เทียนหลิงยังอยากขอบคุณพวกเขาที่เข้ามาช่วยเหลือ แต่ตอนนี้กลับโกรธเคืองพวกเขาอย่างมาก
ดังนั้น ในตอนที่ประตูเมืองหลัวยังไม่ลงมือ ชู่เทียนหลิงจะไม่ให้ชู่มู่เผยความสามารถทั้งหมดออกมา จะทำให้พวกเขาเสียหน้าได้อย่างไร
“อาจารย์อาทั้งหลายช่วยเหลือภัยแร้งขนาดนี้ ชู่เทียนหลิงเป็นตัวแทนของตระกูลชู่ซาบซึ้งอย่างมาก คาดว่าพวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว พวกข้าได้เตรียมยาต่างๆ ที่ดวงวิญญาณของพวกเจ้าต้องการไว้ให้แล้ว…” หลังจากชู่เทียนหลิงตะโกนใส่เด็กๆ แล้ว แสร้งทำเป็นพูดกับอาจารย์อาทั้งหลายอย่างสุภาพ
“ไม่เลย ไม่เลย เรื่องเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อย” พ่อค้าเจ้าเล่ห์ได้สติคนแรก ยิ้มอย่างอับอาย สุภาพขึ้นมาก
“คึคึ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ รองหัวหน้ากลุ่มเกรงใจเกินไปแล้ว” อาจารย์อาที่เหลือพูดขึ้น
ชู่เทียนหลิงมองไปยังใบหน้าของอาจารย์อาพวกนี้ มีทั้งตกใจ อับอาย โกรธเคือง แต่ไม่มีท่าทีอวดดีและไม่สนใจตระกูลชู่แม้แต่น้อยแล้ว…
นี่ทำให้ชู่เทียนหลิงแอบสะใจอย่างมาก เขารอให้วินาทีนี้มาถึงตั้งแต่วันที่ต้อนรับพวกเขาแล้ว!
————————————————————————
เหตุที่ชู่มู่จะให้ปีศาจนักรบไม้ลงมือ เป็นเพราะมันยังตกอยู่ในช่วงชะลอตัวหนึ่งเดือน ในมือของชู่มู่มีผลึกวิญญาณหมวดไม้ขั้นสิบอยู่ ภัยแร้งครั้งนี้รุนแรงแบบนี้ ปีศาจนักรบไม้จะได้รับการฝึกอย่างเต็มที่ ชู่มู่คิดจะให้ปีศาจนักรบไม้เป็นกำลังหลักในครั้งนี้ หลังจากจบแล้วจะลองเพิ่มความแข็งแกร่งให้ปีศาจนักรบไม้
ถ้าปีศาจนักรบไม้อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดได้ละก็ ชู่มู่จะมีหวังกำจัดชนเผ่าได้มากขึ้น
จำนวนของกองทัพผู้นำมีไม่มาก น่าจะประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบตัวทว่า พวกนี้ล้วนเป็นผู้นำที่ถึงลักษณะสิบเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นจักรพรรดิขั้นสูงละก็ พลังต่อสู้ของมันจะเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะเก้าของชู่มู่ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่กองทัพที่จะประหม่าได้
ส่วนกองทัพแม่ทัพที่มาพร้อมกับกองทัพผู้นำมีประมาณห้าร้อยตัว ส่วนกองทัพทาสมีประมาณห้าพันตัว แม้จำนวนจะไม่เท่าวันที่สาม แต่ความสามารถกลับแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก !
กองทัพผู้นำมีการแบ่งกลุ่มที่ชัดเจน ไม่ได้กระจายตัวออกจากกัน อีกทั้งพุ่งเข้ามาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม เดิมตระกูลชู่ได้ตั้งการป้องกันไว้นอกเมือง แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตฝูงใหญ่ที่วิ่งเข้ามา กลับไม่เหลือชิ้นดี !
“อาจารย์อา กองทัพผู้นำเหล่านั้นมาแล้ว” ชู่เชียนพูดด้วยใบหน้ากังวล
ส่วนเธอเองได้อัญเชิญดวงวิญญาณออกมาคนแรก ความสามารถของดวงวิญญาณที่ปรากฎตัวอยู่ประมาณผู้นำขั้นกลางลักษณะสิบ ในรุ่นวัยหนุ่มนับว่าเป็นที่โดดเด่นอยู่ แต่สำหรับสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ความสามารถกลับห่างกันมาก ทำได้แค่อัญเชิญดวงวิญญาณโจมตีระยะไกลออกมา ทำการโจมตีผู้นำฝูงใหญ่จากด้านบนของกำแพงเมือง
นอกจากชู่เชียนแล้ว ชู่เหอ ชู่หลั่งและสมาชิกรุ่นวัยหนุ่มทั้งหลายได้ทยอยอัญเชิญดวงวิญญาณออกมาแล้ว!
ความสามารถส่วนใหญ่ของดวงวิญญาณพวกเขาจะอยู่ที่ระดับผู้นำ นอกจากชู่เชียนที่ควบคุมสี่ได้ คนอื่นยังควบคุมสามได้ เมื่อรวมแล้ว พวกเขาทั้งหมดมีผู้นำสิบกว่าตัว เผชิญกับกองทัพจำนวนหนึ่งห้าสิบตัวแล้ว มีประโยชน์จำกัดอย่างมาก
“ตัวเล็กอย่างพวกเจ้า ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ดูข้าให้ดี !” อาจารย์อาเจ้าเล่ห์ยิ้มด้วยความเยาะเย้ย พูดแล้วก็ทำการอัญเชิญคู่ออกมา
อาจารย์อามีจักรพรรดิขั้นสูงหนึ่งตัวกับจักรพรรดิขั้นกลางสามตัว นี่เป็นกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เมื่อเทียบกับกองทัพผู้นำทั้งหมดแล้ว สูงกว่าไม่น้อย
จางอิง กัวหลี่และอาจารย์อาที่เงียบขรีมมีดวงวิญญาณทั้งหมดเป็นจักรพรรดิขั้นสูงหนึ่งตัวกับจักรพรรดิขั้นกลางหนึ่ง ตัว
หลังจากทั้งสี่คนอัญเชิญดวงวิญญาณทั้งหมดออกมา พลังพุ่งขึ้นทันที โดยเฉพาะนักรบวิญญาณรับจ้างมากมายและสมาชิกของตระกูลชู่ได้เห็นความแข็งแกร่งหนึ่งต่อสิบของจักรพรรดิทั้งหมดนี้แล้ว ต่างเชิดชูชายแก่เหล่านี้ เผยสีหน้าเคารพนับถือออกมา
“ที่แท้พวกนี้เป็นผู้แข็งแกร่งตระกูลชู่หลัก ขออภัยด้วย” หัวหน้าเจิ้งหนานพูดอย่างนอบน้อม
กองทัพที่เจิ้งหนานจ้างมามีความสามารถจำกัด เกรงว่าทันทีที่กองทัพผู้นำบุกเข้ามา จะสลายไปทันที เสียหายอย่างมาก หลังจากที่ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้เข้าร่วมการต่อสู้แล้ว สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที
พ่อค้าเจ้าเล่ห์ จางอิง กัวหลี่ต่างเผยสีหน้าภูมิใจออกมา เห็นได้ชัดว่า พวกเขามีความสุขกับการเป็นที่จับตามองของทุกคน
“ผู้นำประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบตัว แม้จะมีจำนวนมาก แต่ยังจัดการได้ พวกแม่ทัพ ทาสเหล่านั้นพวกเจ้าจัดการก็พอแล้ว ปล่อยพวกผู้นำให้พวกข้าจัดการ” พ่อค้าเจ้าเล่ห์พูดขึ้น
หลังจากพูดจบ พ่อค้าเจ้าเล่ห์ได้ยักคิ้วไปยังชู่เชียน เป็นการบอกว่า พวกข้าช่วยขนาดนี้แล้ว เรื่องหลังจากนี้ตระกูลชู่พวกเจ้าจัดการเองละกัน
“ปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่ผู้นำยังถูกฆ่าตายแบบกลุ่มในเสี้ยววินาที!ดวงวิญญาณของใครเหรอ!!!” ลูกหลานตระกูลชู่หลายคนที่มองดูการต่อสู้บนกำแพงเมืองชี้ไปยังสนามต่อสู้แล้วพูดขึ้น
แม้การต่อสู้จะชุลมุนมาก แต่ดวงวิญญาณที่รับมือทั้งหมดไว้ได้ จะเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะผู้คุมดวงวิญญาณส่วนใหญ่เป็นผู้เฝ้าเขตเมือง หลังจากภาระลดลงแล้ว พวกเขาจะได้รู้ว่า ดวงวิญญาณแข็งแกร่งตัวใดออกมาช่วยเหลือพวกเขา
พอพูดถึงปีศาจนักรบไม้ ใบหน้าของจางอิงสดใสกว่าเดิม ปีศาจนักรบไม้ตัวนั้นเป็นจักรพรรดิขั้นสูงของจางอิงแน่นอน นั่นเป็นดวงวิญญาณต่อสู้กลุ่มที่มีชื่อเสียงในโลกตะวันตก !
“ปีศาจนักรบไม้ของข้าฆ่าล้างได้มากที่สุดอยู่แล้ว ต่อสู้แค่ครึ่งชั่วโมง มีผู้นำอย่างน้อยสิบตัวกับแม่ทัพสองร้อยกว่าตัวตายด้วยน้ำมือปีศาจนักรบไม้ของข้า”จางอิงแอบคิดอย่างภูมิใจ
ตอนที่กำลังภูมิใจ จางอิงได้กวาดตามองไปยังชู่เชียน
ทว่า จางอิงกลับพบว่า สายตาของชู่เชียนไม่ได้มองไปที่ปีศาจนักรบไม้ของตัวเอง ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ลูกหลานตระกูลชู่ที่ส่งเสียงร้องขึ้น พวกเขาก็ไม่ได้มองไปยังปีศาจนักรบไม้ของตัวเอง แต่กลับมองไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งของสนามต่อสู้
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่ามีปีศาจนักรบไม้สองตัวเหรอ !” จางอิงอึ้งเล็กน้อย
เมื่อหันกลับไปมอง และแล้วจางอิงเห็นว่า ระหว่างสุดกองทัพผู้นำกับกองทัพแม่ทัพ มีปีศาจนักรบไม้สูงสองเมตรกว่าอีกตัวหนึ่ง
รูปร่างภายนอกของปีศาจนักรบไม้ตัวนี้ไม่สะดุดตาเท่าไร ถูกดวงวิญญาณอื่นกลบได้ง่าย แต่รากที่ทรงพลังของมันกลับเหมือนงูเหลือมบ้าคลั่งสีเขียวหลายร้อยตัว บิดตัวในรัศมีร้อยเมตรอย่างบ้าคลั่ง
แทงทะลุ พันรอบ รัดพร้อมตัดขาด กวาดล้าง ฟาดฟัน ทักษะหมวดไม้ฆ่าล้างกลุ่มต่างๆ ทำให้สิ่งมีชีวิตระดับแม่ทัพที่อยู่บริเวณใกล้มันตายลงทันที ส่วนสิ่งมีชีวิตระดับผู้นำถ้าหลบไม่ได้ จะตายไปเช่นกัน !
ที่ทำให้จางอิงอึ้งอย่างมากคือ ปีศาจนักรบไม้มีสารพิษอย่างเห็นได้ชัด ได้สาดสารพิษในรัศมีร้อยเมตรแล้ว สารพิษตกค้างเหล่านี้ ทำการฆ่าล้างได้รุนแรงมากขึ้น บางครั้งอาจเห็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสล้มลงอย่างไร้สาเหตุ แล้วตายไปทันที!
“นั่น…นั่นมันปีศาจนักรบไม้ของใคร !” ในที่สุด จางอิงได้ถามขึ้น
ประโยคนี้ของจางอิงทำให้ผู้คนมึนงงอย่างมาก ชู่เชียนพูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “นั่นไม่ใช่ปีศาจนักรบไม้ของอาจารย์อาเหรอ พูดตามความจริง ปกติอาจารย์อาจางอิงไม่ค่อยอัญเชิญปีศาจนักรบไม้ออกมาเท่าไร วันนี้ได้เห็นกับตา แข็งแกร่งจริงๆ !”
พอจางอิงถูกชมแบบนี้ เดิมควรจะดีใจอย่างมาก แต่ว่าปีศาจนักรบไม้ของเขาในตอนนี้อยู่ท่ามกลางกองทัพผู้นำอยู่ พลังของมันจะเทียบกับปีศาจนักรบไม้ที่กำลังฆ่าล้างกองทัพใหญ่โตท่ามกลางดวงวิญญาณทั้งหลายลำพังนั้นได้อย่างไร!
ชู่เชียนเห็นจางอิงทำสีหน้าสับสน ได้สติกลับมาทันที ปิดปากเล็กๆ แล้วพูดว่า “หรือว่าไม่ใช่ดวงวิญญาณอาจารย์อา”
จางอิงส่ายหัว
ชู่เชียน ชู่หลั่ง ชู่เหออยู่ด้านข้างหมด หลังจากที่พวกเขารู้ว่า ปีศาจนักรบไม้ที่รับมือทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของอาจารย์อาตระกูลชู่หลัก ต่างกวาดตามองไปยังรอบๆ ด้วยความตกใจ อยากรู้ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดอัญเชิญดวงวิญญาณแข็งแกร่งยิ่งแบบนี้ออกมาได้ มันได้ควบคุมให้กองทัพผู้นำอยู่ด้านนอกกำแพงหมดแล้ว
“ว่าแต่ ชู่มู่มีปีศาจนักรบไม้ตัวหนึ่งไม่ใช่เหรอ” ในตอนนี้ชู่เหอเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วกวาดตามองไปยังชู่มู่ที่อยู่ด้านข้าง
“ใช่ ชู่มู่มีปีศาจนักรบไม้ตัวหนึ่งจริง” ชู่หลั่งพยักหน้า ในตอนแรกเขาเหมือนยังไม่ได้สติกลับมา แต่พอนึกให้ดีแล้ว ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที !
“หรือว่า ปีศาจนักรบไม้ที่ฆ่าแม่ทัพเกือบพันตัวและผู้นำสิบกว่าตัวเป็นของชู่มู่!!!” ชู่หลั่งร้องขึ้นทันที!
————————————————————————
ชู่มู่คอยสังเกต หลังจากที่มังกรจำศีลน้อยฆ่าศัตรูแต่ละตัวแล้ว จะมีวิญญาณพิเศษลอยขึ้น แล้วเข้าไปในไข่มุกวิญญาณมังกร
คนอื่นไม่สามารถสังเกตเห็นวิญญาณนี้ได้ มีเพียงมังกรจำศีลน้อยกับชู่มู่ที่มีวิญญาณเชื่อมกับมังกรจำศีลน้อยถึงจะมองเห็นได้
และผ่านการเชื่อมต่อวิญญาณกับมังกรจำศีลน้อย ชู่มู่เองได้เข้าใจแล้วว่า ในไข่มุกวิญญาณของมังกรจำศีลน้อยได้รวบรวมวิญญาณเข้ามามากเท่าไรแล้ว !
“ช่างเถอะ สู้สักตั้ง!” ชู่มู่กัดฟันแน่น ตัดสินใจเพิ่มหมวดวิญญาณให้มังกรจำศีลน้อยแล้ว !
ของอย่างไข่มุกวิญญาณมังกรนี้พิเศษอย่างมาก อีกทั้งยังได้รวมวิญญาณของศัตรูทั้งหมดที่ฆ่าตายไปด้วย ในเมื่อหมวดวิญญาณจะกลายเป็นหมวดทรงพลังของมัน เพื่อให้ได้มังกรจำศีลที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ชู่มู่ทำได้แค่สู้ตายแล้ว!
“ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นนายท่านต้องหาวัตถุวิญญาณหมวดวิญญาณก่อนที่มังกรจำศีลน้อยลอกคราบจากลักษณะสองไปสาม วัตถุวิญญาณแบบนี้อาจหายากมาก แต่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล น่าจะหาได้” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่พยักหน้า แต่ในใจกลับกระอักเลือด !
มังกรจำศีลน้อยอยู่แค่ลักษณะสอง นับว่าเป็นดวงวิญญาณตัวอ่อน แรงกายมีจำกัด ก่อนหน้านี้หลังจากปล่อยทักษะ จะเสียแรงกายไม่น้อย การต่อสู้ต่อจากนี้ ได้ฆ่าเสือดำหินระดับทาสประมาณหนึ่งพันตัวอีก
เมื่อรวมแล้ว มังกรจำศีลได้ฆ่าศัตรูประมาณหนึ่งพันห้าร้อยตัว ได้เก็บวิญญาณของระดับทาสประมาณ หนึ่งพันกว่าตัว
แน่นอนว่า วิญญาณเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ใดๆ หลังจากที่แรงกายของมังกรจำศีลน้อยเหลือไม่มากแล้ว ชู่มู่ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ พามังกรจำศีลน้อยกลับไปยังตำแหน่งด้านบนกำแพงเมือง
ตอนที่ถึงกำแพงเมือง ชู่มู่ได้เก็บมังกรจำศีลน้อยกลับช่องว่างดวงวิญญาณ
มังกรจำศีลน้อยได้ช่วยกำจัดศัตรูมหาศาล ลดภาระให้เหล่านักรบวิญญาณรับจ้างไม่น้อย การต่อสู้ต่อจากนี้น่าจะไม่ยากมาก เหล่านักรบวิญญาณน่าจะกำจัดกองทัพระดับทาสทั้งหมดได้ในตอนเที่ยงวัน
หลังจากชู่มู่เก็บมังกรจำศีลน้อยกลับมาก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน หลังจากทักทายชู่ซือแล้ว ตรงไปยังเรือนตระกูลชู่ทันที
หลังจากที่ชู่มู่หันหลังจากไป หัวหน้าเจิ้งหนาน ชู่ซือ รวมถึงหัวหน้าที่อยู่บนตึกต่างมีใบหน้าแข็งทื่อ!
สำหรับผู้คุมดวงวิญญาณมากประสบการณ์ หากประเมินลักษณะขั้นของดวงวิญญาณจากรูปร่างภายนอกกับกลิ่นไอนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้ที่มังกรจำศีลน้อยของชู่มู่ตกอยู่ในกองทัพระดับทาส เจิ้งหนาน ชู่ซือและเหล่าหัวหน้ารู้สึกห่างไปหน่อย เดาได้แค่ว่าเป็นดวงวิญญาณต่ำกว่าลักษณะห้า
จากที่ชู่มู่กลับมาเมื่อกี้ หลังจากที่คนพวกนี้เห็นมังกรจำศีลน้อยชัดเจนแล้ว ต่างเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมา!!!
“นั่น…นั่น…เป็นแค่ดวงวิญญาณตัวอ่อนที่มีแค่ลักษณะสามโดยประมาณ!!!”
ก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ประเมินว่า ดวงวิญญาณตัวนี้ของชู่มู่เป็นจักรพรรดิขั้นสูง เพราะจักรพรรดิขั้นสูงถึงจะระเบิดความสามารถแบบนี้ออกมาได้
ตอนเห็นใกล้ๆ ในตอนนี้ถึงรู้ได้ว่า นั่นเป็นดวงวิญญาณตัวอ่อนประมาณลักษณะสาม ดวงวิญญาณตัวอ่อนลักษณะสามที่ระเบิดความสามารถแบบนี้ออกมา จะต้องมีระดับสูงมากเพียงใดกันแน่ !!!
…
ชู่มู่ย่อมไม่รู้ว่า พวกชู่ซือตกใจกับมังกรจำศีลน้อยของตัวเองจนลืมสั่งการต่อสู้แล้ว กลับไปยังตระกูลอย่างสบายใจ
ตอนที่ชู่มู่เพิ่งก้าวเข้าไปในสวนซ้ายมือของเรือน กลับเห็นสาวน้อยรูปงามนั่งอยู่ข้างบ่อน้ำ กำลังหยิบหินที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา โยนลงไปในบ่อน้ำด้วยความโกรธ
ชู่มู่มองไปยังเด็กสาวรูปงามคนนี้ ลังเลเล็กน้อย คิดจะกลับไปยังสวนของตัวเอง ทว่า เด็กสาวคนนี้หันมาพอดี เห็นชู่มู่ยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าที่เศร้าหมองฉีกยิ้มงดงามออกมาทันที
“พี่ชู่มู่” เด็กสาวน้อยลุกขึ้นทันที ปรากฏตรงหน้าชู่มู่เหมือนเมฆขาวบริสุทธิ์ที่ลอยเข้ามา โอบแขนของชู่มู่ไว้ ทำท่าทีออดอ้อนอย่างมาก
ชู่มู่เห็นว่า เด็กสาวรูปงามที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือน้องสาวชู่อีซุ่ย ครั้งที่แล้วที่เห็นเธอ เธอยังเป็นแค่สาวน้อยคนหนึ่ง ตอนนี้กลับงดงามสะดุดตา เต็มไปด้วยเสน่ห์
ชู่มู่ฉีกยิ้มเล็กน้อย พูดขึ้นว่า “ทำไมนั่งโกรธอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ”
“หึ ก็พวกคนของประตูเมืองหลัว!!! คนของประตูเมืองหลัวที่พี่สาวพากลับมา อาจารย์อาเหล่านั้นไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย อย่างกับพวกคนขี้ขลาด!” พูดถึงเรื่องนี้ชู่อีซุ่ยโกรธมาก
ชู่มู่เองก็อยากรู้จักคนของประตูเมืองหลัว ในตอนนี้จึงถามชู่อีซุ่ยว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่แท้ หลังจากที่ชู่มู่กลับมาไม่นาน ท่านอาห้าของชู่มู่ ชู่เทียนฉีได้พาผู้แข็งแกร่งของประตูเมืองหลัวกลับมาแล้ว
ครั้งนี้ประตูเมืองหลัวมีสิบคน ในนั้นมีวัยผู้ใหญ่ห้าคนและวัยหนุ่มห้าคน ในบรรดาวัยหนุ่มห้าคนนั้น มีคนหนึ่งเรียกตัวเองว่า เป็นเจ้าสำนักประตูเมืองหลัว เป็นผู้แข็งแกร่งแท้จริงที่มีดวงวิญญาณจักรพรรดิชั้นยอดคนหึ่ง ชื่อว่าหลัวชิวฟง!
หลัวชิวฟงมีชื่อเสียงอย่างมากในโลกตะวันตก แม้แต่อาจารย์อาของตระกูลชู่หลักยังต้องเกรงใจเขา
หลัวชิวฟงเองเป็นคนที่เรื่องมาก ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตระกูลชู่ได้วิจารย์ตระกูลชู่จนไม่เหลือชิ้นดี
ความสามารถของหลัวชิวฟงแข็งแกร่งยิ่ง คนในตระกูลทำได้แค่เงียบเอาไว้ และภายใต้หลัวชิวฟง ยังมีวัยหนุ่มอีก สี่คนที่เป็นผู้แข็งแกร่งมีจักรพรรดิขั้นสูงอยู่ น้องชายของหลัวชิวฟง หลัวชิวเซิงยิ่งอวดดี บอกว่าดวงวิญญาณตัวเดียวของตัวเองคือความสามารถทั้งหมดของตระกูลชู่รวมกัน
รุ่นผู้ใหญ่ไร้มารยาท วัยหนุ่มประตูเมืองหลัวที่มาด้วยห้าคนนั้นยิ่งกว่า หนึ่งในนั้นมีวัยหนุ่มที่ชื่อหลัวถง ในตอนที่เดินเล่น ได้เห็นความงามของชู่อีซุ่ย จึงพูดจาหยอกล้ออย่างล่วงเกิน ทำให้ชู่อีซุ่ยโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายทำได้แค่สิ่งนี้คือ มาระบายอารมณ์กับบ่อน้ำที่นี่
“พีชู่มู่ ข้ารู้สึกว่า คนของอำนาจใหญ่มาที่นี่ ไม่ได้มาช่วยพวกเรา เหมือนมาหาเรื่อง ท่านพ่อข้ามักบอกให้อดทน อย่างไรเสีย เขาก็มาจากอำนาจใหญ่ มาหาตระกูลเล็กๆ อย่างพวกเราก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ถ้าพวกเรายังต่อต้านพวกเขาอีก ตระกูลจะไม่มีความหวังรับมือกับภัยแร้งแล้ว อีกทั้งเจ้าหลัวถงคิดไม่ดีกับข้า ท่านพ่อข้าก็บอกให้อดทน!”เหมือนว่าในที่สุดชู่อีซุ่ยได้เจอกับคนที่ระบายด้วยได้แล้ว บอกสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาหมด
ชู่มู่คอยปลอบสาวน้อยคนนี้ นึกถึงปัญหาของประตูเมืองหลัวไปด้วย
ประตูเมืองหลัวส่งผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิชั้นยอดมายังตระกูลชู่กะทันหันแบบนี้ เหมือนจะเกินไป ทำให้ไม่เชื่อไม่ได้ว่าพวกนี้ไม่มีแผนการอื่น
ชนเผ่าขั้นหนึ่งทั้งหมดเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดสามสิบตัว ความสามารถทั้งหมดของภัยแร้งจะเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดหกตัว
ส่วนความสามารถของคนประตูเมืองหลัวกลุ่มนี้ก็ไม่เบา ช่วยตัวเองจัดการจักรพรรดิชั้นยอดหลายตัวได้ ความสามารถของชนเผ่าถูกลดลง ชู่มู่จะมีหวังมากยิ่งขึ้น
“คนของประตูเมืองหลัวอวดดีเกินไปแล้ว ต้องสั่งสอนพวกเขาหน่อยแล้ว!” ชู่มู่แอบคิดในใจ
…
การมาถึงของภัยแร้งเร็วกว่าที่ตระกูลชู่ประเมินก่อนหน้านี้มาก
กองทัพทาสมีจำนวนประมาณสามหมื่น ในวันนั้นจัดการไปแล้วหนึ่งหมื่น ตอนถึงวันที่สาม กลับเกิดภัยแร้งที่มีกองทัพระดับทาสกับกองทัพระดับแม่ทัพพร้อมกัน !
กองทัพระดับแม่ทัพมีทั้งหมดประมาณหนึ่งพัน ส่วนกองทัพระดับทาสมีประมาณหนึ่งหมื่น
กองทัพเหล่านี้ให้นักรบรับจ้างจัดการไม่ได้แน่นอน ตระกูลชู่ได้ให้ผู้แข็งแกร่งที่ว่าจ้างมาหลายปีขึ้นไปบนกำแพงเมือง สู้รบกับกองทัพระดับทาสกับกองทัพระดับแม่ทัพอยู่นอกกำแพง !
การต่อสู้นี้ยืดเวลานานมาก ต่อสู้หลังจากสองวัน พลังมหาศาลของกองทัพถึงเกิดการลดน้อยลงบ้าง
ตอนที่ถึงภัยแร้งวันที่ห้า เดิมกองทัพระดับทาสหนึ่งหมื่นตัวได้ถูกจัดการไปแล้ว เหลือกองทัพแม่ทัพ ห้าร้อยพุ่งเข้ามาในเมืองเจ็ดสี ทำลายการป้องกันของเมืองเจ็ดสีไม่น้อย กำแพงเมืองหลายจุดก็เกิดการถล่ม
…
จากเช้าตรู่ถึงอาทิตย์ตกดิน การต่อสู้ครั้งใหญ่นี้ถึงจบลง !
แสงอาทิตย์ตกดินสาดส่องบนเลือดสดที่ไหลไปทั้งในและนอกเมือง ทำให้ร่องรอยหลังการต่อสู้นี้สะเทือนใจมากกว่าเดิม ศพที่กระจายไปตามถนน กำแพงเมือง เนิน และซากปรักหักพังต่างๆ ในนั้นยังมีดวงวิญญาณของมนุษย์อยู่ไม่น้อย บางครั้งยังเห็นศพของผู้คุมดวงวิญญาณได้บ้าง…
ภัยแร้งดุเดือดมากอย่างไม่ต้องสงสัย และนี่ยังเป็นแค่ระยะเริ่มต้น กองทัพระดับผู้นำกับจักรพรรดิยังไม่ปรากฏ ถึงตอนนั้น ทั้งเมืองเจ็ดสีจะมีเลือดที่ไหลเป็นแม่น้ำ
ภัยแร้งไม่ปล่อยให้มนุษย์มีโอกาสพักหายใจ ในเช้าตรู่ของวันที่หก ผู้คุมดวงวิญญาณได้ส่งสารไปทั่วถนน มีกองทัพที่ใหญ่กว่าบุกจากด้านทิศใต้เข้ามาแล้ว น่าจะมาถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น !
คนของตระกูลชู่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ภัยแร้งจะดุเดือดขนาดนี้ !
คาดว่าไม่กี่วันหลังจากนี้ จะเป็นภัยแร้งที่รุนแรงที่สุดแล้ว ชู่เทียนเหิงได้ปลุกผู้แข็งแกร่งของประตูเมืองหลัวและตระกูลชู่หลักหลายคืนต่อกัน ให้พวกเขาเตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ
อาจารย์อาของตระกูลชู่หลักทั้งสี่คนขี้เกียจอย่างมาก เหมือนจะไม่อยากลงมือเร็วขนาดนี้
ส่วนคนของประตูเมืองหลัวยิ่งถือตัว ไม่ปรากฏตัวให้เห็นสักครั้ง แล้วยังประกาศออกมาว่า ถ้ากองทัพระดับจักรพรรดิไม่ปรากฏตัว ก็ไม่ต้องมาเรียกพวกเขา
ไม่ว่าอำนาจทั้งสองจะลงมือหรือไม่ ชู่มู่จะต้องยืนอยู่บนกำแพงเมือง
ความจริงหลายวันที่ผ่านมาชู่มู่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองตลอด ทันทีที่พบว่า มีสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งเกินไป ชู่มู่จะให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีฆ่ามันตายทันที มิฉะนั้น คลื่นลูกต่อไปจะรวมกับคลื่นลูกนี้แน่นอน
“อาจารย์อาทั้งหลาย พวกเจ้ารีบลงมือเถอะ กองทัพผู้นำปรากฏตัวแน่นอน ถ้าพวกเจ้าไม่ลงมือละก็ จะปกป้องเมืองนี้ไม่ได้แล้ว” ชู่เชียนพูดกับอาจารย์อาทั้งหลายด้วยความรีบร้อน
“รู้แล้ว รู้แล้ว ก็แค่กองทัพผู้นำ กลัวอะไร” อาจารย์อาพ่อค้าเจ้าเล่ห์พูดอย่างหมดความอดทน
“แหะแหะ ให้ปีศาจนักรบไม้แสดงฝีมือเถอะ!” จางอิงยิ้มออกมา
ตอนที่จางอิงพูดถึงปีศาจนักรบไม้ ชู่มู่ที่อยู่ด้านข้างกวาดตามองไปยังเจ้าแก่จอมหื่นคนนี้
ชู่มู่จะให้ปีศาจนักรบไม้ลงมือเหมือนกัน คาดว่าปีศาจนักรบไม้ของจางอิงอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูงเหมือนกัน ตอนที่ภัยแร้งครั้งนี้ปรากฏขึ้น จะได้ดูว่า การฆ่าล้างกลุ่มของปีศาจนักรบไม้ของใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน !
——————————————————————-
“พระเจ้า จักรพรรดิขั้นกลางที่ต่ำกว่าลักษณะห้ามีพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอ” เหล่าหัวหน้ารับจ้างต่างเบิกตากว้าง
ความจริงให้เหล่าหัวหน้ารับจ้างใช้ดวงวิญญาณหลัก จะฆ่าเสือดำหินสามร้อยกว่าตัวในเสี้ยววินาทีได้อย่างไม่มีปัญหาเช่นกัน แต่นั่นเป็นจักรพรรดิผู้นำลักษณะแปดถึงเก้าแล้ว พวกเขาจะมีหน้าไปเทียบกับดวงวิญญาณตัวอ่อนที่ต่ำกว่าลักษณะห้าของเขาได้อย่างไร
“จักรพรรดิขั้นสูง! ถ้าอย่างนั้นนั่นเป็นดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่งแน่นอน!!!” เจิ้งหนานพูดด้วยสายตาที่คลั่งไคล้!
มีเพียงจักรพรรดิขั้นสูงเท่านั้น ถึงจะระเบิดพลังทำลายล้างแบบนี้ตอนอยู่ต่ำกว่าลักษณะห้า อีกทั้งอาจเป็นผู้แข็งแกร่งในจักรพรรดิขั้นสูงด้วย!
“จักรพรรดิขั้นสูงเหรอ ไม่รู้ชู่มู่ได้ดวงวิญญาณสมบัติล้ำค่าแบบนี้จากที่ใด!” ชู่ซืออิจฉามากกว่าเดิมแล้ว!
…
การรวมกันของพลังมังกรและพลังราชัน บวกกับทักษะระดับราชัน การโจมตีของประกายมังกรของมังกรจำศีลน้อยนี้ก็เข้าใกล้การโจมตีเต็มกำลังของแม่ทัพขั้นสูงแล้ว ฆ่าล้างทาสขั้นต่ำกับทาสขั้นกลางนี้เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมากแล้ว
แน่นอนว่า นี่เป็นทักษะแข็งแกร่งที่สุดของมังกรจำศีลน้อยแล้ว!
“ผลไม่แย่ ต่อไปยังคงเน้นการโจมตีทั่วไปจะดีกว่า มิฉะนั้น จะเปลืองแรงมากไป” ชู่มู่พูดชมมังกรจำศีลน้อย
“ซาซาซา”มังกรจำศีลน้อยส่งเสียงตอบกลับ
และแล้ว หลังจากเพิ่งตอบกลับ ประกายสีเขียวส่องประกายออกจากตัวมังกรจำศีลน้อยทันที ประกายนี้อ่อนกว่าพลังแห่งมังกรอย่างมาก ประกายที่ปรากฏขึ้นแบบนี้ เป็นที่ชู่มู่คุ้นเคยอย่างมากที่สุดแล้ว มันคือประกายแห่งการเติบโต!
“ลักษณะสองขั้นห้า!!!” ชู่มู่ดีใจทันที และแล้วผลของการฆ่าล้างกลุ่มเห็นได้ชัดมาก แค่ปล่อยทักษะไม่กี่อัน มังกรจำศีลน้อยกลับเติบโตขึ้นอีกแล้ว !
ประกายเกล็ดบนตัวมังกรจำศีลน้อยเงางามขึ้นมาก แม้กรงเล็บยังไม่เปลี่ยนใหม่ แต่แหลมคมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าพลังโจมตีจะเพิ่มขึ้นอีกแล้ว !
ชู่มู่สังเกตการเปลี่ยนแปลงของมังกรจำศีลน้อย ทันใดนั้น พบว่าระหว่างเขามังกรคู่หนึ่งบนหน้าผากของมังกรจำศีลน้อย กลับมีกระดูกมังกรสีเขียวงอกออกมาเล็กน้อย ท่าทางเงางามเป็นพิเศษอย่างมาก
“นี่คืออะไร” ชู่มู่แอบแปลกใจ ทำไมชู่มู่จำไม่ได้ว่า บนหน้าผากของมังกรจำศีลน้อยมีกระดูกมังกรเล็กเงางามแบบนี้อยู่
“ซา ซา ซา” มังกรจำศีลน้อยเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พยายามใช้มือไปลูบ แต่กลับมีเสือดำหินกลุ่มหนึ่งอาศัยโอกาสนี้โจมตีมังกรจำศีลน้อย
มังกรจำศีลน้องโกรธทันที พุ่งตรงไปหาพวกมัน เกิดการฆ่าล้างนองเลือดอีกครั้ง ต่างจากมังกรที่มีท่าทีใสซื่อเมื่อกี้สิ้นเชิง
“นายท่าน นั่นเป็นไข่มุกวิญญาณมังกรที่มีเฉพาะในมังกรจำศีลอัมพรมรกต เหตุที่มังกรจำศีลอัมพรมรกตถูกเรียกว่ามังกรอมตะ ยังมีอีกอย่างคือ หลังจากมังกรจำศีลอัมพรมรกตตายไป จะไม่สลายไปทันที ถ้าเจอกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับวิญญาณแห่งความตาย พวกมันจะกลายเป็นมังกรวิญญาณ” ผู้เฒ่าหลีบอก
“สิ่งมีชีวิตหมวดวิญญาณ มังกรวิญญาณงั้นหรือ” ชู่มู่ประหลาดใจ
สิ่งมีชีวิตอย่างมังกรวิญญาณเป็นที่พบเห็นได้ยากมาก ได้ข่าวว่าหลายพันปีแล้วก็ไม่เคยมีใครได้พบเห็น จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีใครมีมังกรวิญญาณมาก่อน !
“และหลังจากที่กลายเป็นมังกรวิญญาณแล้ว ความสามารถของมังกรวิญญาณจะไม่เหมือนตอนมีชีวิตอยู่แน่นอน ความจริงหลังจากกลายเป็นมังกรวิญญาณแล้ว น่าจะกลายเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ความสามารถหลังจากที่กลายเป็นมังกรวิญญาณของมัน จะขึ้นอยู่กับศัตรูที่มังกรจำศีลอัมพรมรกตฆ่าในตอนที่มันมีชีวิตอยู่”
ผู้เฒ่าหลีรู้ว่า คำพูดเหล่านี้ยากที่จะให้ชู่มู่เข้าใจได้ จึงอธิบายอย่างละเอียดต่อว่า” ไข่มุกวิญญาณบนหน้าผากของมังกรจำศีลน้อยเทียบเท่าไข่มุกรวมวิญญาณอันหนึ่ง ทุกครั้งที่มังกรจำศีลน้อยฆ่าศัตรูตัวหนึ่ง นอกจากว่า วิญญาณของศัตรูจะสลายไปทันที วิญญาณของศัตรูที่ถูกฆ่าตายจะถูกดูดเข้าไปในไข่มุกรวมวิญญาณนี้ ตั้งแต่เกิดจนตาย วิญญาณของศัตรูที่ถูกฆ่าตายจะรวมอยู่ในไข่มุกมังกรวิญญาณของมังกรจำศีลอัมพรมรกตนี้ ทันทีที่มังกรจำศีลอัมพรมรกตตายลง วิญญาณของตัวมังกรจำศีลอัมพรมรกตเองจะรวมกับวิญญาณเหล่านี้ กลายเป็นมังกรวิญญาณอีกกลุ่ม ความสามารถแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของมังกรวิญญาณไม่เกี่ยวกับร่างมังกรจำศีลอัมพรมรกตเอง แต่เกี่ยวข้องกับจำนวนและความแข็งแกร่งของศัตรูที่มันฆ่าตายตอนยังมีชีวิตอยู่”
“ไข่มุกรวมวิญญาณ มีของประหลาดแบบนี้ด้วย ข้าเองก็เพิ่งเคยได้ยินว่า สิ่งมีชีวิตระดับราชันหมวดวิญญาณเกิดขึ้นด้วยวิธีแบบนี้”ชู่มู่เองก็ประหลาดใจอย่างมาก ถ้าผู้เฒ่าหลีไม่อธิบาย ชู่มู่คงไม่รู้วิธีใช้ไข่มุกวิญญาณมังกรนี้แล้ว
“คึคึ นายท่านอย่าคิดว่า มันธรรมดาแบบนั้น โอกาสที่มังกรจำศีลอัมพรมรกตจะกลายเป็นมังกรวิญญาณนั้นต่ำมาก นี่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยภายนอกและในหลายอย่าง อีกทั้งยังต้องตาย…ตอนถึงเวลาอันควร อีกทั้งความลับนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์แทบไม่รู้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเจ้านายคนก่อนของข้าได้เห็นกลุ่มมังกรที่มีไข่มุกวิญญาณมังกรกลายเป็นมังกรวิญญาณกับตา ข้าก็ไม่เข้าใจ” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่มีกำลังเพิ่มพูนความรู้มากมายเกี่ยวกับดวงวิญญาณต่างๆ ทว่า ดวงวิญญาณมีมากราวกับมหาสมุทร ต่อให้มนุษย์จะเจริญมากเพียงใดก็ไม่อาจเข้าใจเรื่องทั้งหมดของดวงวิญญาณได้
“ในเมื่อเป็นเรื่องหลังตาย ถ้าอย่างนั้นไข่มุกวิญญาณมังกรนี้ไม่มีความหมายต่อข้าในตอนนี้เท่าไรแล้ว” แม้ชู่มู่จะประหลาดใจกับการเกิดของมังกรวิญญาณ แต่เขาจะไม่ตั้งข้อสรุปให้มังกรจำศีลน้อยตลอด ให้มันกลายเป็นมังกรวิญญาณ
“แหะแหะ” ผู้เฒ่าหลียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
พอผู้เฒ่าหลียิ้มแบบนี้ ชู่มู่รู้ว่าไข่มุกวิญญาณมังกรไม่ใช้ทักษะกลุ่มที่ไร้ความหมายแล้ว!
“มังกรจำศีลน้อยสามารถเปลี่ยนวิญญาณเหล่านั้นให้เป็นพลังของตัวเองได้งั้นหรือ” ชู่มู่ถามขึ้นทันที
ผู้เฒ่าหลีส่ายหัว พูดกับชู่มู่ว่า “มังกรจำศีลอัมพรมรกตเป็นหมวดแมลงกับหมวดอสูร อย่างไรเสีย ก็สร้างทักษะหมวดวิญญาณออกมาไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้วิญญาณที่รวมกันเหล่านี้เป็นพลังได้” ชู่มู่ถามขึ้น
“นายท่าน ทำไมเจ้าลืมการปรับการฝึกของหมวด!” ผู้เฒ่าหลีบอก
“การปรับการฝึกของหมวดงั้นหรือ หมวดตระกูลวิญญาณแห่งความตายนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิตได้เหรอ” ชู่มู่ตกใจทันที
หมวดไฟของมั่วเย้น้อยในตอนนั้นเกิดจากการปรับการฝึกของชู่มู่เอง มิฉะนั้น มั่วเย้น่าจะยังอยู่ในหมวดภูตวิญญาณและหมวดอสูร
แต่ว่าในภาวะปกติต้องระวังการเพิ่มหมวดอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ดวงวิญญาณต่างกลุ่มจะมีเอกลักษณ์กลุ่มที่ต่างกัน ต้องทำการเพิ่มความแข็งแกร่งเฉพาะถึงจะเห็นผลได้
อีกทั้งถ้าดวงวิญญาณไม่มีพรสวรรค์ในหมวดอีกชนิดหนึ่งละก็ การเพิ่มความแข็งแกร่งของหมวดก็จะล้มเหลว ต่อให้มีพรสวรรค์ การเพิ่มความแข็งแกร่งก็ต้องใช้เงินทุนมหาศาลด้วย
มั่วเย้สามารถแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องได้ ชู่มู่หวังว่ามันจะมีหมวดไฟเพื่อเพิ่มการโจมตี การเพิ่มความแข็งแกร่งแบบนี้จึงทำให้มั่วเย้น้อยแปรเปลี่ยนตระกูลเป็นปีศาจจิ้งจอกหกหางอัคคีร้ายที่มีพรสวรรค์หมวดไฟ ถ้ายังเป็นจิ้งจอกแสงจันทร์ละก็ การที่ชู่มู่เพิ่มความแข็งแกร่งหมวดไฟให้มันจะไม่มีความหมายมากเท่าไร
ชู่มู่รู้ว่า หมวดต่างๆ เพิ่มเข้าไปทีหลังได้ แต่ไม่เคยได้ยินว่า หมวดผี หมวดศพ และหมวดวิญญาณซึ่งเป็นหมวดของวิญญาณแห่งความตายนี้จะเพิ่มเข้าไปได้ด้วย อย่างไรวิญญาณแห่งความตายเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว ไม่เข้ากันได้ง่ายเหมือนธาตุ
“โอกาสสำเร็จไม่มาก แต่เป็นไปได้แน่นอน เพียงแค่นายท่านมีวัตถุวิญญาณหมวดวิญญาณที่มากพอ มังกรจำศีลอัมพรมรกตถึงจะมีหมวดสองหมวดได้ หลังจากเติบโตถึงลักษณะสิบแล้ว น่าจะไม่มีคู่ต่อสู้ในระดับราชันแล้ว ถ้าเพิ่มหมวดอีกอัน อีกทั้งยังเป็นหมวดวิญญาณที่ลึกลับแบบนี้ ไม่แน่ว่า หลังจากลักษณะสิบแล้ว มีหวังจะได้สัมผัสระดับที่เกินกว่าราชันแล้ว น้อยคนที่จะมีมังกรจำศีลอัมพรมรกตที่แท้จริง และอาจไม่เพิ่มหมวดอื่นให้ ถ้านายท่านเชื่อการวิเคราะห์ของคนแก่ข้าละก็ ก็ลองเพิ่มหมวดวิญญาณนี้อีก มีไข่มุกวิญญาณมังกรอยู่ มังกรจำศีลน้อยที่มีหมวดวิญญาณจะต้องไร้เทียมทานแน่นอน อีกทั้งเกินกว่าพ่อของมันด้วย!” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างมั่นใจ
“สัมผัสระดับเกินกว่าราชัน…” ชู่มู่ฟังแล้วใจพองโตขึ้นมาทันที !
ชู่มู่ก็รู้ว่า มังกรจำศีลน้อยในตอนนี้ยังไม่นับว่าเป็นมังกรจำศีลอัมพรมรกตที่แท้จริง แค่ได้รับการสืบทอดทางสายเลือดเท่านั้น ยังต้องผ่านการเพิ่มความแข็งแกร่งระดับหนึ่งถึงจะกลายเป็นมังกรจำศีลอัมพรมรกตที่แท้จริงได้
ชู่มู่อาจต้องเผชิญกับองค์กรวิญญาณที่เกินกว่าระดับราชัน ดังนั้น จะเป็นไร้เทียมทานในระดับราชันอย่างเดียวไม่พอ การเสนอด้วยความกล้าของผู้เฒ่าหลีแบบนี้ บางทีอาจเป็นเส้นทางเพิ่มความแข็งแกร่งที่ไม่มีผู้คุมดวงวิญญาณคนไหนเคยทำ วินาทีนี้ชู่มู่เริ่มเกิดความหวั่นไหว !
“ถ้าเดิมมีพรสวรรค์ละก็ เพิ่มหมวดรองให้มัน น่าจะต้องใช้ทุนขึ้นครึ่งหนึ่งถึงหนึ่งเท่า แต่ถ้าไม่มีพรสวรรค์ จะเพิ่มหมวดรองให้ละก็ ต้องใช้ทุนสองเท่า ถ้าจะให้หมวดวิญญาณเป็นหมวดหลัก ต้องใช้ทุนหกเท่า
สมมติว่า ดวงวิญญาณบางตัวเป็นราชันขั้นกลาง ทุนหนึ่งเท่าที่ว่า คือวัตถุวิญญาณทั้งหมดที่เพิ่มความแข็งแกร่งจากระดับทาสไปถึงราชันขั้นกลาง
วัตถุวิญญาณก่อนระดับราชันยังพอรับได้ แต่วัตถุวิญญาณหลังจากราชัน น้อยยิ่งกว่าน้อยอีก
“เรื่องนี้ คิดดูก่อนดีกว่า…” ชู่มู่ได้ยินว่า ต้องใช้ทุนมหาศาลหลายเท่าเริ่มปวดหัวแล้ว
ถ้ามังกรจำศีลน้อยเป็นราชันขั้นกลาง จะทำให้หมวดวิญญาณเกิดผลบ้าง อย่างน้อยต้องมีหมวดรอง และการเพิ่มหมวดรองนี้ ชู่มู่จำต้องใช้ทุนเท่ากับการเพิ่มความแข็งแกร่งราชันขั้นกลางสองตัว!
ส่วนการเพิ่มความแข็งแกร่งหมวดหลัก ซึ่งเป็นทุนหกเท่า ชู่มู่เพิ่มความแข็งแกร่งให้มีราชันขั้นกลางได้หกตัว!
ทุนหกเท่าเพื่อเพิ่มหมวดหลักของดวงวิญญาณตัวเดียว อีกทั้งยังหาแหล่งทรัพยากรที่เหมาะสมยากมาก ต้องเพิ่มทุนด้วย แบบนี้ต่อให้เป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่ร่ำรวยมากเพียงใดก็หมดตัวได้!
“ถ้าอย่างนั้นนายท่านต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ผลเกี่ยวกับหมวดหลักและหมวดรอง นายท่านดูจากจิ้งจอกน้อยก็พอแล้ว เดิมระดับของจิ้งจอกน้อยเป็นจักรพรรดิ มันมีหมวดหลักสองอัน หมวดอสูรกับหมวดภูตวิญญาณ อีกทั้งยังมีหมวดรองเป็นไฟ เช่นนี้พลังต่อสู้ของจิ้งจอกน้อยเทียบเท่าราชันขั้นต่ำได้แล้ว”
“ยังมีหวังจะเจอวัตถุวิญญาณราชันขั้นกลางได้ รอให้ถึงราชันขั้นสูงกับราชันชั้นยอด นายท่านจะไม่มีที่หาแล้ว ดังนั้น ถ้าจะเพิ่มขึ้นอีกขั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว และการพัฒนาหลายหมวด เป็นเส้นทางหนึ่งที่ยากลำบาก การทุ่มเทในตอนแรกมหาศาลมาก ผู้คุมดวงวิญญาณอาจล้มได้ง่าย แต่ถ้ายืนหยัดต่อไป ถึงราชันขั้นกลาง ราชันขั้นสูง จะได้เปรียบอย่ามาก”
การเพิ่มหมวดต้องอยู่ในขั้นตอนการเติบโตของดวงวิญญาณ ตอนที่ลอกคราบจากลักษณะหนึ่งจะดีที่สุด ลอกคราบลักษณะสองก็ได้ แต่ให้ดีที่สุด อย่าเพิ่มเกินกว่าลักษณะสาม แบบนั้นต่อให้เพิ่มหมวดรอง ผลจะอ่อนลงมาก
คำพูดนี้ของผู้เฒ่าหลีทำให้ชู่มู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่าทางต่อให้ตัวเองมีเงินมากเท่าไรก็ไม่พอให้เหล่าดวงวิญญาณใช้
…
“อาโฮร่!!!”
มังกรจำศีลน้อยยังคงฆ่าล้างในกองทัพระดับทาสอย่างมีความสุข เกรงว่ามีระดับทาสนับพันตัวตายด้วยกรงเล็บของมังกรจำศีลน้อยแล้ว
แต่มังกรจำศีลน้อยที่กำลังมีความสุขนั้นไม่รู้แน่นอนว่า เจ้าของมันกำลังปวดหัวกับการเพิ่มหมวดวิญญาณของมันอย่างมาก
—————————————————————
ทิศใต้ของเมืองเจ็ดสีเป็นเนินเรียบ หลังจากเนินเรียบแล้วจะเป็นกลุ่มภูเขาสีเทาเหลือง
พืชที่อยู่บนภูเขามีน้อยมาก หินและดินจะเป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายมากกว่า ทันทีที่มีฝูงดวงวิญญาณวิ่งมา จะเห็นได้ชัดเจนแน่นอน
เหล่านักรบวิญญาณมากมายบนกำแพงเมืองเห็นดวงวิญญาณระดับทาสนับหมื่นตัวบุกเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก
นักรบวิญญาณส่วนใหญ่เป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่ตระกูลชู่ว่าจ้าง ความสามารถดวงวิญญาณของพวกเขาเฉลี่ยอยู่ที่ระดับทาสขั้นสูงลักษณะสิบ มีประมาณหนึ่งพันคน
นักรบวิญญาณแต่ละคนอัญเชิญดวงวิญญาณได้สองตัว ดังนั้น ทั้งหมดจะอยู่ที่ระดับทาสขั้นสูงสองพันตัว แน่นอนว่า เหล่านักรบวิญญาณเปลี่ยนดวงวิญญาณสู้ต่อได้ จึงทำให้พลังต่อสู้ระดับทาสขั้นสูงสองพันตัวยืดเวลาได้มากขึ้น
แต่ว่าเมื่อกวาดตามองไป กองทัพระดับทาสเหล่านี้มีนับหมื่น หนาแน่นอย่างมาก มีพลังมหาศาล แม้มนุษย์จะมีกำแพงเมืองป้องกันไว้ แต่ภาพที่ดุเดือดเต็มไปด้วยฝุ่นแบบนี้ ยังคงให้ความรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก
“ทุกคนไม่ต้องหวาดกลัว ส่วนใหญ่เป็นทาสขั้นกลาง ความสามารถเฉลี่ยของพวกเราสูงกว่าพวกมันขั้นหนึ่ง!” ชู่ซือใช้ร่ายวิญญาณพูดกับทุกคน ให้ทุกคนเกิดความกล้าขึ้นมา
ผู้นำของเหล่านักรบวิญญาณที่จ้างมาคือชู่ซือตระกูลชู่ คนที่ยืนอยู่ด้านข้างผู้คุมดวงวิญญาณทั้งหลายคือหัวหน้าเจิ้งหนาน เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้าวิญญาณ
ด้านหลังเจิ้งหนานมีหัวหน้าอีกสิบคน อยู่ในระดับปรมจารย์วิญญาณ
ท่าทีของหัวหน้าเจิ้งหนานนิ่งมาก มีท่าทีของผู้นำ เผชิญหน้ากับกองทัพเสือดำหินที่ถาโถมเข้ามาราวกับน้ำป่าไหลหลาก กลับคงความนิ่งไว้ได้
เสือดำหิน ตระกูลภูตอสูร หมวดอสูร กลุ่มเสือ ระดับแม่ทัพ
แม้กลุ่มเสือดำหินจะอยู่ในระดับแม่ทัพ แต่ยังไม่ถึงลักษณะสิบแม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นความสามารถเฉลี่ยจึงอยู่ระหว่างระดับทาสชั้นยอดกับทาสขั้นต่ำลักษณะสิบ ถ้าเสือดำหินทั้งหมดนี้อยู่ในลักษณะสิบ กองทัพนักรบวิญญาณที่จ้างมาจัดการไม่ได้แน่นอน
“อัญเชิญดวงวิญญาณ!”
หัวหน้าเจิ้งหนานใช้ร่ายวิญญาณตะโกนขึ้น
ทันใดนั้น บนและล่างกำแพงเมือง เต็มไปด้วยสีสันลายเส้นอัญเชิญวิญญาณต่างๆ ในเวลาไม่กี่วินาที ดวงวิญญาณสองพันตัวปรากฏขึ้นบริเวณประตูเมืองใต้ เนื่องจากความสามารถเฉลี่ยอยู่ที่ระดับทาสขั้นกลาง พลังไม่ด้อยไปกว่ากองทัพเสือดำหินเท่าไร !
กองทัพเน้นพลังอย่างมาก หลังจากที่เกิดพลัง เหล่านักรบวิญญาณว่าจ้างได้ตะโกนขึ้น ตามด้วยเสียงโห่ร้องของดวงวิญญาณทั้งหมด เกิดความคึกคักทั้งเขตเมืองใต้ทันที !!!
…
สงครามเริ่มต้นทันที ดวงวิญญาณตระกูลธาตุเริ่มลงมือก่อน ทักษะหมวดต่างๆ ระเบิดลง !
ในไม่ช้า เนินเรียบทางเมืองใต้เต็มไปด้วยเลือดเนื้อที่กระจาย หินและดินฝุ่นที่ฟุ้งคลั่ง ชุลมุนอย่างมาก !
หลังจากเหล่าธาตุปล่อยทักษะออกมา ดวงวิญญาณตระกูลภูตวิญญาณได้พุ่งออก เสียงร้องดังราวกับฟ้าร้อง !!!
…
ชู่ซือยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดตึก คอยมองสถานการณ์ต่อสู้ทั้งหมด
ชู่ซือเองไม่ค่อยได้เจอกับการต่อสู้ดวงวิญญาณมหาศาลแบบนี้ มองดูดวงวิญญาณนับพันหมื่นตัวที่สู้อย่างดุเดือด เกิดความคลั่งขึ้น ถ้าไม่ได้เป็นเพราะต้องคุมสถานการณ์ทั้งหมด เขาอยากจะกระโดดลงไป ฆ่าล้างพวกสัตว์เดรัจฉานที่คิดจะทำลายกิจการของตระกูลชู่ให้หมด !!!
ตอนที่ชู่ซือกำลังตื่นเต้น ทันใดนั้น รู้สึกว่ามีบางคนเข้าใกล้อย่างไม่รู้ตัว หันกลับไปมอง อึ้งเล็กน้อย
“คุณชายชู่ ท่านมาได้อย่างไร” ชู่ซือฉีกยิ้มออกมาทันที
คนที่เข้ามาคือชู่มู่ในชุดขาว คุณชายชู่ที่อยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ ชู่ซือนับถือเขาจากใจจริง ความสามารถแข็งแกร่งยิ่ง อีกทั้งยังเก็บตัวอย่างมาก ไม่โอ้อวด ดีกว่าผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่อวดดีหลายร้อยเท่า
“ข้ามาจัดการกองทัพระดับทาสส่วนหนึ่ง” ชู่มู่บอก
“คุณชายชู่ พวกนี้เป็นการต่อสู้ระดับทาส จำนวนมาก แต่ยังคงเป็นแค่ตัวประกอบ ท่านเก็บแรงก่อนดีกว่า รอจัดการกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าหลังจากนี้เถอะ”ชู่ซือรู้สึกว่าถ้าให้ชู่มู่ลงมือจะเกินไปหน่อย
“ไม่เป็นไร ข้ามาฝึกดวงวิญญาณใหม่ของข้า” ชู่มู่พูดด้วยรอยยิ้ม ตอนที่พูด ชู่มู่ได้กวาดตามองไปยังฝูงเสือดำหินมหาศาล
ชู่ซือยังไม่ทันได้พูดห้าม ทันใดนั้น ชู่มู่ได้กระโดดลงกำแพงเมือ แล้วพุ่งเข้าไปในการต่อสู้ของกองทัพนักรบวิญญาณกับกองทัพเสือดำหินอย่างคล่องแคล่ว เขาลอยเข้าไปท่ามกลางกองทัพเสือดำในจุดที่หนาแน่นกว่าในชั่วพริบตา
หัวหน้าเจิ้งหนานที่อยู่ด้านข้างชู่ซือพูดด้วยใบหน้าตกใจ” ความสามารถของวัยหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดามาก !”
เป็นถึงหัวหน้ากองทัพ เจิ้งหนานคิดว่า ในตอนที่ไม่ได้อัญเชิญดวงวิญญาณ เขาเองยังไม่สามารถเดินทะลุท่ามกลางกองทัพระดับทาสลักษณะสิบนี้ได้ ถ้าเข้าไปคงจะออกมาไม่ได้ !
“คึคึ นั่นเหรอ เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลของพวกข้า ไม่ใช่รุ่นวัยหนุ่ม!” ชู่ซือพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภูมิใจ
เจิ้งหนานเห็นผู้แข็งแกร่งอย่างชู่มู่ปรากฎตัว แอบตกใจ เขาจะอัญเชิญดวงวิญญาณใหม่อะไรออกมาต่อสู้
ในเมื่อเป็นดวงวิญญาณใหม่ ยังไม่ถึงลักษณะสิบแน่นอน แต่จากการคาดเดา ดวงวิญญาณใหม่ของชู่มู่น่าจะอยู่ในระดับจักรพรรดิ
…
กองทัพระดับทาสงั้นหรือ
ต่อให้อยู่ท่ามกลางกองทัพระดับผู้นำ ชู่มู่ก็ทะลุไปมาได้ !
ส่วนระดับทาสที่อ่อนแอยิ่งนี้ ต่อให้ชู่มู่ยืนอยู่ท่ามกลางพวกมัน ปล่อยให้พวกนี้โจมตีตัวเอง เลือดของเขาก็จะไม่ไหลออกมา อีกทั้ง ความสามารถซ่อนกลิ่นไอของชู่มู่ ทำให้เหล่าเสือดำหินไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของชู่มู่ด้วยซ้ำ
“พระเจ้า คนนั้นคือใคร เขายืนอยู่บริเวณที่มีกองทัพทาสมากที่สุด ! นั่น…เขายังเป็นคนอยู่เหรอ”
“เสือดำหินพวกนี้กลับไม่โจมตีเขา เขาทำได้อย่างไร !”
บนที่สูงของกำแพงเมือง นักรบวิญญาณรับจ้างมากมายเห็นชายชุดขาวที่อยู่ท่ามกลางเสือดำหินโดดเด่นเป็นพิเศษ!
รอบตัวเขามีเสือดำหินนับพันหมื่นตัว มนุษย์คนหนึ่งกลับยืนอยู่ท่ามกลางเสือดำหินแบบนั้น นี่เป็นภาพที่สะเทือนใจมากเพียงใด !
…
“เจ้าตัวเล็ก ลงมือเถอะ ฆ่ามากเท่าไร เจ้าจะเติบโตไวเท่านั้น!” ชู่มู่ตบมังกรจำศีลตัวอ้วนบนไหล่ของตัวเองเบา ๆ
“ซา ซา” มังกรจำศีลน้อยเห็นเสือดำหินมากมายขนาดนี้ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นเต้นพร้อมแยกเขี้ยวเล็กๆ กระโดดลงจากไหล่ของชู่มู่อย่างน่ารัก นั่งลงบนหลังของเสือดำหินตัวหนึ่งทันที
“บึ้ง!!!” ร่างของมังกรจำศีลน้อยเล็กแบบนั้น แต่วินาทีที่กระโดดลงได้ปล่อยน้ำหนักตามความจริงออกมา !
นั่งลงไปแบบนี้ กระดูกของเสือดำหินที่มีความสามารถระดับทาสขั้นกลางตัวนั้นหักทันที นับว่าฆ่าในเสี้ยววินาทีได้แล้ว!
หลังจากฆ่าเสือดำหินตายไปหนึ่งตัว เสือดำหินที่แยกเขี้ยวรอบๆ พบเห็นอันตรายจากมังกรจำศีลน้อยตัวนี้ทันที ต่างโจมตีด้วยความโกรธ
ประกายสีเขียวสาดส่องจากตัวมังกรจำศีลน้อย ประกายนี้ขยายเล็กน้อย ตามการปล่อยของประกาย ร่างของมังกรจำศีลน้อยกำลังขยายใหญ่!
มังกรจำศีลอัมพรมรกตมีคาถามังกรเฉพาะตัว หดร่างให้เล็กลงได้ แต่มังกรจำศีลมรกตไม่มีความสามารถแบบนี้ แต่มังกรจำศีลน้อยได้ผ่านการชำระล้างจากเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกตแล้ว จึงได้ทักษะกลุ่มนี้มาได้
คาถามังกรเป็นการหดตัว มังกรจำศีลน้อยตอนนี้อยู่ในลักษณะสองขั้นสี่ ขนาดตัวที่แท้จริงใกล้เคียงกับส่วนสูงของชู่มู่แล้ว!
ดังนั้น เดิมมังกรจำศีลน้อยยังสูงไม่ถึงข้อต่อของเสือดำหิน หลังจากส่องประกายสีเขียว เสือดำหินกลับมีส่วนสูงถึงแค่เอวของมังกรจำศีลน้อย!
“อาโฮร่ !!!” หลังจากกลับสู่ขนาดตัวเดิม มังกรจำศีลไม่มีคำว่าน่ารักใดๆ กรงเล็บสีเขียวดุร้ายนั้นกวาดไปรอบๆ เสือดำหิน 5 ตัวที่กำลังจะโจมตีมังกรจำศีลน้อยถูกโจมตีจนปลิวออกไป ล้มทับเสือดำหินสิบกว่าตัวถึงหยุดลง
มังกรจำศีลน้อยแทบไม่ได้ปล่อยทักษะออกมา อาศัยพลังของมันทำการกวาดล้างต่อเนื่อง เสือดำหินสิบกว่าตัวที่พุ่งเข้ามารอบๆ ได้กลายเป็นศพบินว่อนไปทั่ว รับการโจมตีของมันแทบไม่ได้ !
“กรงเล็บมังกรมรกต!” ชู่มู่ออกคำสั่ง
มังกรจำศีลน้อยเล็งไปยังบริเวณที่มีเสือดำหินหนาแน่นที่สุด บนกรงเล็บมังกรเกิดเป็นประกายสีเขียวห้าอัน!
“ซัวะ!!!”
ประกายกรงเล็บสีเขียวทั้งห้ากระจายออก เสือดำหินที่อยู่บริเวณเส้นทางโจมตีทั้งห้านี้สลายตัวทันที เกิดเป็นหลุมรอยกรงเล็บใหญ่ท่ามกลางกองทัพเสือดำหินทันที !
“เฮื๊อก กรงเล็บนี้ ฆ่าเสือดำหินอย่างน้อยหนึ่งร้อยตัวได้แล้ว!” หัวหน้าเจิ้งหนานกับหัวหน้าคนอื่นต่างส่งเสียงขึ้น
“ใช่ นี่น่าจะเป็นจักรพรรดิลักษณะหกตัวหนึ่งแล้ว!” ชู่ซือพูดอย่างชื่นชม จากตำแหน่งของเขาเห็นฝูงเสือดำหินเป็นหลุมเล็กๆ ได้กลายเป็นศพกระจายไปทั่ว!
“ถ้าข้ารู้สึกไม่ผิดละก็ นั่นเป็นดวงวิญญาณที่ต่ำกว่าลักษณะห้า”หัวหน้าเจิ้งหนานที่มีสายตาดีเยี่ยมพูดขึ้น
“ต่ำกว่าลักษณะห้า? ต่ำกว่าลักษณะห้าก็ระเบิดความสามารถแบบนี้ออกมาได้ นี่อาจเป็นจักรพรรดิขั้นกลางตัวหนึ่งแล้ว!”ชู่ซือพูดอย่างอิจฉา
ชู่ซือในตอนนี้ทำได้แค่ได้ดวงวิญญาณเทียบเท่าจักรพรรดิตัวหนึ่ง ส่วนชู่มู่เอาจักรพรรดิขั้นกลางออกมาได้ทันที จะให้ชู่ซือไม่อิจฉาได้อย่างไร
…
“ดี ลองดูการรวมกันของพลังแห่งมังกรกับพลังแห่งราชัน!” ชู่มู่ออกคำสั่งต่อมังกรจำศีลน้อย
“อ๊าว!!!” มังกรจำศีลน้อยส่งเสียงร้องขึ้น ลำตัวแข็งแรงหมุนตัวทันที ปีกที่เกือบจะก่อเป็นร่างกางออกกะทันหัน ลมพัดอย่างแรงทันที พัดเสือดำหินสิบกว่าตัวออกไป !
มังกรจำศีลน้อยเงยหน้าขึ้น พลังแห่งมังกรสีเขียวและพลังแห่งราชันสีฟ้าครามรวมกันในปากของมังกรจำศีลน้อย!
“อาโฮร่!!!”
ประกายมังกรเส้นหนาพ่นออกจากปากของมังกรจำศีลน้อย ก่อเป็นเสาที่งดงาม ทะลุผ่านขนานไปกับพื้น !
ประกายนี้ไร้สิ่งกีดกันใดๆ ต่อให้สัมผัสเสือดำหินมากเพียงใด ได้ทะลุร่างของมันไป จากตำแหน่งใจกลางของเนินเรียบแห่งนี้ไปยังบริเวณที่เข้าใกล้กำแพงเมือง !
ตลอดเส้นทางนี้ รวมถึงผลของพลังที่ถะลักออก มีเสือดำหินอย่างน้อยสามร้อยตัวที่ถูกโจมตี…
และเสือดำหินสามร้อยตัวนี้ได้ล้มลงพร้อมกัน เกิดหลุมใหญ่บนร่างกาย เลือดสดพุ่งออก ตายทันที !!!
การโจมตีนี้งดงามอย่างมาก นักรบวิญญาณรับจ้างที่ให้ดวงวิญญาณตระกูลธาตุปล่อยการโจมตีบนกำแพงเมืองหลายคนได้เห็นกับตาแล้ว ต่างส่งเสียงร้องออกมา เกือบลืมศัตรูที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
นักรบวิญญาณอย่างพวกเขา แค่จัดการเสือดำหินสิบตัวได้ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว
แต่ทักษะเดียวของคนอื่น ที่ฆ่าเสือดำหินสามร้อยตัวในเสี้ยววินาทีได้ ความแตกต่างของความสามารถนี้ห่างกันมากไปหน่อย
แน่นอนว่า ถ้าเหล่านักรบวิญญาณรับจ้างรู้ว่า ความจริงคนนั้นกำลัง ‘ฝึกเด็กใหม่’ อยู่ จะต้องเสียความมั่นใจมากกว่าเดิมแน่นอน อีกทั้งอาจเสียความมั่นใจอย่างสิ้นเชิงไปเลย !
ชู่มู่อัญเชิญอสูรสายฟ้านิมิตราตรีออกมา ไม่ได้ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีเก็บซ่อนกลิ่นไอความมืด
อสูรสายฟ้านิมิตราตรีซ่อนกลิ่นไอและความสามารถของตัวเองได้ ดังนั้น ชู่หลั่งและคนของตระกูลชู่จึงไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของมัน
ในตอนที่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีปล่อยกลิ่นไอออกมา พลังมืดมหาศาลถาโถมออกมา ทำให้ดวงวิญญาณทั้งหมดในเรือนตระกูลชู่เกิดการสั่นสะเทือน
ในไม่ช้า ดวงวิญญาณทั้งหมดในตระกูลชู่ได้ส่งเสียงขึ้น เกิดความสะเทือนไม่น้อย !
ชู่มู่รีบให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีเก็บกลิ่นไอเอาไว้ มิฉะนั้น จะเกิดผลกระทบที่เกินความจำเป็น
อสูรสายฟ้านิมิตราตรีปล่อยออกมาแบบนี้ ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงจะไม่เชื่อได้อย่างไร ตื่นเต้นจนน้ำตาจะไหลออกมาแล้ว !
ภัยแร้งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของตระกูลชู่ แค่จัดการได้ ตระกูลชู่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในเมืองที่เต็มไปด้วยทรัพยากรสมบูรณ์แบบนี้แน่นอน ไม่แน่ อีกไม่กี่ปีอาจกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองตะวันตกได้ ถ้ามีชู่มู่เข้าช่วยเหลืออีก จะครองโลกตะวันตกนี้ได้ก็ได้
…
ตอนตกดึกที่ทุกคนเข้านอน ในห้องของหัวหน้ากลุ่มมีเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้น
“เทียนเหิง ทำไมเห็นเจ้ายิ้มทั้งคืน แม้แต่ตอนนอนยังมีความสุข ไม่เห็นเจ้าเป็นแบบนี้นานแล้ว”
“คึคึ ตระกูลชู่ของพวกเราจะทะยานขึ้นฟ้าแล้ว…”
…
ส่วนชู่เทียนหลิง พลิกตัวบนเตียงทั้งคืน ทุกครั้งที่คิดว่า ชู่มู่มีความสามารถแข็งแกร่งแบบนี้ จัดการปัญหาใหญ่ของตระกูลได้ ชู่เทียนหลิงตื่นเต้นอย่างมาก
นึกถึงตอนแรก ตระกูลชู่ต้องเคารพนอบน้อมต่อผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นสูงเหล่านั้น เวลาเชิญพวกเขาต้องใช้เงินมหาศาล ยังต้องคอยดูสีหน้าพวกเขาด้วย
ชู่เทียนหลิงรู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่มีจักรพรรดิขั้นสูงพวกนั้นต่างเย่อหยิ่ง ดูถูกตระกูลชู่
พรุ่งนี้พวกคนเหล่านี้น่าจะมาถึงแล้ว คาดว่าคนเหล่านี้ยังจะเชิดหน้าให้ตระกูลชู่เห็นอยู่
ตระกูลชู่เชิญพวกเขาตั้งนานแล้ว ผู้แข็งแกร่งพวกนี้รอให้ใกล้ถึงภัยแร้งค่อยมา ถ้าภัยแร้งมาก่อนกำหนดเล็กน้อย ตระกูลชู่จะต้องเสียหายหมดแน่นอน ดังนั้น ชู่เทียนหลิงแม้จะเชื้อเชิญผู้แข็งแกร่งทั้งหมดอย่างนอบน้อม แต่ไม่พอใจต่อพวกคนที่ดูถูกตระกูลชู่อย่างมาก ๆ
และในตอนนี้ ชู่เทียนหลิงแทบไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ชู่มู่คนเดียว ก็พอจะแทนที่พวกเขาทั้งหมดได้ !
…
เช้าตรู่ บนถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ชายสี่คนขี่ดวงวิญญาณของพวกเขาเข้าใกล้เมืองเจ็ดสีอย่างสบายใจ
ด้านข้างชายทั้งสี่คน ยังมีหญิงงามอีกคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างรีบร้อน พูดขึ้นอย่างรุนรนว่า “อาจารย์อาทั้งหลาย จะถึงเมืองเจ็ดสีแล้ว พวกเรารีบหน่อยเถอะ”
“ในเมื่อถึงแล้ว ไม่จำต้องรีบขนาดนี้ เจ้าไปตระกูลของเจ้าก่อน บอกกับพวกเขา ปีศาจเสือของข้าวิ่งหลายวันจนเหนื่อยหมดแล้ว ตระกูลของพวกเจ้ามีเศษวิญญาณหมวดอสูรชั้นดีอะไร เตรียมไว้ นอกจากนั้นเตรียมน้ำร้อน ขนของมันสกปรกไปหมดแล้ว มันรักความสะอาดที่สุด น้ำร้อนต้องแช่ด้วยหยดวิญญาณหมวดอสูรจะดีที่สุด” ชายที่มีอายุน้อยที่สุดคนนั้นพูดขึ้น
ชายคนนี้มองดูมีอายุประมาณสามสิบกว่าปี มีหนวดเล็ก ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อค้าเจ้าเล่ห์
ความจริงฉายาของเขาในตระกูลชู่ก็คือ “พ่อค้าเจ้าเล่ห์” ไม่เพียงแต่ชอบหาเรื่อง อีกทั้งชอบเอาเปรียบคนอื่นอยู่เรื่อย
ถ้าไม่ได้เห็นแก่เฒ่าถู ออกเงินแค่นี้ยังอยากให้พ่อค้าเจ้าเล่ห์อย่างข้ามาที่แบบนี้ ฝันไปเถอะ ตอนนี้พ่อค้าเจ้าเล่ห์กำลังคิดแบบนี้อยู่ในใจ !
ครั้งนี้ตระกูลชู่ออกเงินประมาณสามร้อยล้าน สำหรับพ่อค้าเจ้าเล่ห์สามร้อยล้านนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ แต่เพื่อสามร้อยล้านนี้ยังต้องมาไกลขนาดนี้ อีกทั้งเรื่องต่อต้านภัยแร้งเป็นเรื่องที่กินแรงอย่างมาก พ่อค้าเจ้าเล่ห์รู้สึกขาดทุนอย่างมาก
ในเมื่อขาดทุน ก็ต้องหาของจากตระกูลชู่มาแทน มิฉะนั้น จะขาดทุนมากกว่าเดิมอีก
ก่อนหน้านี้ชู่เชียนได้แจ้งกับคนที่ตระกูลแล้ว เธอรู้ว่า กว่าจะให้ท่านอาเหล่านี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ท่านอาพ่อค้าเจ้าเล่ห์นี้จะเข้มงวดอย่างมาก แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้แค่ตอบอย่างมีมารยาทว่า “วางใจได้ แค่อาจารย์อาช่วยตระกูลชู่ของเราเราจัดการหายนะครั้งนี้ได้ เขาจะไม่ลืมบุญคุณนี้แน่นอน”
“เจ้าเด็กน้อย ตอนนี้อย่าพูดแบบนี้ พวกเราก็ลงมือตามสถานการณ์ ถ้าภัยแล้งดุร้ายเกินไป แนะนำให้อพยพจะดีกว่า” อาจารย์อาที่อายุมากหน่อยพูดขึ้น
ชู่เชียนเผยสีหน้าลำบากใจออกมา พูดแบบนี้ละก็ เกรงว่าอาจารย์อาเหล่านี้จะกักพลังไว้ ถ้ากักพลังไว้ละก็ คงยากที่จะฝ่าภัยแล้งขั้นเก้าได้จริง ๆ
ชายวัยกลางคนอีกคนขี่หมาป่าพิฆาตตัวหนึ่ง ดวงตาของชายวัยกลางคนนี้มองไปที่ชู่เชียนตลอด บางครั้งยังมองไปยังเอวและด้านล่างของชู่เชียน เห็นได้ชัดว่าอาจารย์อาคนนี้ไม่ธรรมดา
อาจารย์อาคนนี้ชื่อจางอิง เป็นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านชอบล่วงเกินลูกศิษย์หญิงในตระกูลชู่หลัก ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเขามีความสามารถอยู่บ้าง เกรงว่าทุกคนคงออกมาโจมตีแล้ว
ชู่เชียนสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่า อาจารย์อาคนนี้ไม่ได้มาดี แต่ด้วยความลำบากของตระกูล เธอจำต้องเชิญเขามา อย่างไรทั้งตระกูลชู่หลัก คนที่ยอมช่วยเหลือมีไม่กี่คน นี่ยังเป็นเพราะการออกคำสั่งของเฒ่าถูด้วย มิฉะนั้นชู่เชียนไม่มีทางเชิญผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นสูงมาได้
ระหว่างที่พูด เข้าใกล้เมืองเจ็ดสีแล้ว อาจารย์อาทั้งสี่ของตระกูลชู่หลักมองไปยังประตูเมืองเจ็ดสีทันที
แต่ว่า ตอนที่เห็นประตูเมือง ใบหน้าของอาจารย์อาเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว ตอนที่เดินเข้าไปในเมือง ยิ่งไม่ปกปิดความไม่พอใจใดๆ
“นี่เป็นเมืองขั้นเก้าที่ไหน นอกจากใหญ่หน่อย เทียบกับเมืองขั้นแปดไม่ได้จริงๆ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้จะไม่มาแล้ว โธ่เว้ย !” พ่อค้าเจ้าเล่ห์พูดขึ้นก่อน ด้วยใบหน้าไม่พอใจ
จางอิงเองก็ยิ้มอย่างประหลาด กวาดตามองไปยังชู่เชียน
“กำแพงเมืองก็ทรุดโทรม จะกันภัยแล้งได้อย่างไร” ผู้คุมดวงวิญญาณอายุมากสุดที่ถักผมเปีย กัวหลี่พูดขึ้น
อาจารย์อาอีกคนหนึ่งยังคงความนิ่งของเขาเอาไว้
ชู่เชียนไม่รู้จะพูดอะไร และไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้แค่เปลี่ยนเรื่องคุย
ชู่เชียนเองก็รู้ปัญหาด้านนี้ของตระกูล เรื่องนี้ดีขึ้นบ้าง แต่อย่างไรนี่เป็นช่วงฉุกเฉิน
“ท่านอาสอง” หลังจากเข้าเมืองไม่นาน ชู่เชียนเห็นชู่เทียนหลิงกับลูกหลานตระกูลชู่ทั้งหมดต้อนรับบนถนน ฉีกยิ้มออกมาทันที
“กลับมาแล้ว คึคึ คาดว่าท่านทั้งหลายคงเป็นผู้แข็งแกร่งตระกูลชู่หลักแล้ว รบกวนท่านทั้งหลายเดินทางไกลมาที่นี่ ข้าชู่เทียนหลิงซาบซึ้งอย่างมาก” ชู่เทียนหลิงลงจากพาหนะของตัวเอง พูดกับทั้งสี่คนอย่างสุภาพ
“พวกข้าเหนื่อยแล้ว พาพวกข้าไปพักผ่อนเถอะ” พ่อค้าเจ้าเล่ห์ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ไม่สบตาชู่เทียนหลิงด้วย ขี่ปีศาจเสือของเขาเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
เห็นได้ชัดว่า ปีศาจเสือที่พ่อค้าเจ้าเล่ห์ขี่อยู่คือจักรพรรดิขั้นกลาง ทั้งสามคนที่เหลือก็ไม่ต่างกันมาก แม้แต่พาหนะยังเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง นี่ทำให้เหล่าลูกหลานตระกูลชู่ส่งเสียงขึ้น
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ชู่เทียนหลิงจะต้องเต็มไปด้วยรอยยิ้มแน่นอน ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะแสดงท่าทีไม่ดีก็คุ้มค่าแล้ว อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
แต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เผชิญกับผู้แข็งแกร่งตระกูลชู่หลักที่เย่อหยิ่งแบบนี้ ชู่เทียนหลิงแม้จะยิ้ม แต่กลับคิดในใจ “ทำตัวหยิ่งแบบนี้ หึ ถึงเวลาตอนที่พวกเจ้าที่รับเงินมหาศาลจากพวกเรา แต่ไม่มีประโยชน์เท่าหลานชายข้า ดูสิว่าว่าพวกเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน !”
นึกถึงสีหน้าสับสนและดูแย่ของคนเหล่านี้หลังจากเห็นดวงวิญญาณของชู่มู่แล้ว ชู่เทียนหลิงก็มีความสุข
โต๊ะกินข้าวเมื่อคืนมีแค่คนของตระกูลส่วนใน ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงได้สั่งคนอื่นไว้ อย่าเปิดเผยความสามารถของชู่มู่ ในนั้นนอกจากชู่เทียนหลิงกับชู่เทียนเหิงแล้ว คนอื่นไม่รู้ว่าชู่มู่มีจักรพรรดิขั้นสูงจริงหรือไม่ ทำได้แค่เก็บความสงสัยเอาไว้
ส่วนลูกหลานที่ออกมาต้อนรับกลับไม่อยู่บนโต๊ะอาหาร พวกเขาไม่รู้ว่าในตระกูลของตัวเองมีผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ได้เห็นผู้แข็งแกร่งที่ขี่จักรพรรดิขั้นกลางมาที่นี่ ต่างตื่นเต้นอย่างมาก ทั้งอิจฉา ทั้งชื่นชม
“ข้ารอผู้แข็งแกร่งประตูเมืองหลัวที่นี่ ชู่จี๋ เจ้าพาชู่เชียนกับท่านผู้ใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” ชู่เทียนหลิงบอก
“ขอรับ” ชู่จี๋พาผู้แข็งแกร่งทั้งหลายกลับเรือนอย่างนอบน้อม
“ท่านอาสิง อารมณ์ของอาจารย์อาเป็นแบบนี้จริงๆ …” ชู่เชียนพูดขอโทษชู่เทียนหลิงเสียงเบา
ชู่เชียนรู้สึกผิดในใจ โดยเฉพาะตอนที่เห็นผู้ใหญ่อย่างชู่เทียนหลิงยังต้องลดตัวกับอาจารย์หาเหล่านี้อีก
“ไม่เป็นไร เจ้าก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าคิดถึงเจ้ามากแล้ว” ชู่เทียนหลิงพูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร
ชู่เทียนหลิงจะใส่ใจทำไม ตอนนี้ยิ่งสุภาพกับพวกเขามากเท่าไร รอให้ถึงวันที่ลงมือ เจ้าพวกอวดดีพวกนี้ยิ่งอับอาย ชู่เทียนหลิงเองก็เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ เรื่องแสแสร้งเขาก็ยังรู้ดีอยู่
ชู่เชียนพยักหน้า เดินไปยังเรือนเจ้าเมืองพร้อมกับอาจารย์อาที่ชักสีหน้า
พ่อค้าหลายคนของเมืองเจ็ดสีได้ย้ายออกไปแล้ว ทั้งเมืองนี้ดูเงียบสงบอย่างมาก อาจารย์อาที่มาจากตระกูลชู่หลักซึ่งอยู่เมืองอั่วกู่เจริญแบบนั้นจนชินแล้ว มาถึงที่ทรุดโทรมแบบนี้กะทันหัน จะดีใจได้อย่างไร สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่หันหลังกลับก็นับว่าให้เกียรติตระกูลชู่เล็กๆ นี้มากแล้ว
…
“โครม”
ทันใดนั้น เสียงประหลาดดังขึ้นจากด้านทิศใต้ของเมือง เหมือนมีกองทัพนับร้อยพัน กำลังวิ่งอยู่บนเนินเขา เส้นทางเขา !
ชู่เทียนหลิงอยู่ประตูเเมืองเหนือ ตอนที่หันกลับไปมอง พบว่าทิศใต้ของเมืองเต็มไปด้วยหมอกควัน ปกปิดเนินเขาที่กว้างขวาง พลังนั้นทำให้ต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ !
“กองทัพระดับทาสปรากฏตัวแล้ว !”
ขุนนางตระกูลชู่ที่อยู่ด้านข้างต่างร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว !
ชู่เทียนหลิงยังนับว่าใจเย็นอยู่ พูดขึ้นเสียงนิ่งว่า”แค่กองทัพระดับทาสส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นทหารแนวหน้าที่เข้ามาสืบข่าว ไม่ต้องตื่นกลัว หัวหน้ากลุ่มจะจัดการ พวกเราอยู่ที่นี่ต่อก็พอแล้ว”
…
ข่าวที่กองทัพระดับทาสทยายบุกเข้ามา กระจายมาถึงตระกูลชู่อย่างรวดเร็ว
หัวหน้าชู่เทียนเหิงออกคำสั่งทันที ให้ผู้คุมดวงวิญญาณที่จ้างมาเข้าสู่ภาวะเตรียมตัวทางใต้แล้ว
แม้จำนวนของกองทัพระดับทาสจะใหญ่มาก แต่ตระกูลชู่จัดการได้ไม่ยากมาก ดังนั้น นอกจากตอนเริ่มที่เกิดความชุลมุนเล็กน้อยแล้ว ไม่ได้ส่งผลกระทบเท่าไร
…
“กองทัพระดับทาสงั้นหรือ มาได้พอดี ให้มังกรจำศีลน้อยฝึกหน่อย นี่เป็นโอกาสอันน้อยที่จะมีระดับทาสล้วนให้ฝึกได้!”
ในสวนบางแห่ง วัยหนุ่มชุดดำฉีกยิ้มออกมา จับจ้องไปยังทางใต้
บนไหล่ของวัยหนุ่มคนนี้ มังกรน้อยตัวอ้วนกำลังตบฝ่ามือ กัดฟันมังกรเล็กๆ นั้นจนเป็นเสียงแกร๊กๆ !
ชู่มู่แอบคิดในใจ มังกรจำศีลน้อยลักษณะสองจัดการระดับทาสลักษณะสิบทั้งฝูง น่าจะสนุกหน่อย
“ชู่มู่ ท่านอาใหญ่เรียกเจ้า” ชู่หลั่งที่นั่งอยู่ข้างชู่มู่ดันแขนของชู่มู่เบาๆ
ชู่มู่กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ชู่หลั่งดันเขาแบบนี้เขาถึงได้สติกลับมา พบว่าคนทั้งหมดบนโต๊ะกำลังมองตัวเองด้วยสายตาประหลาด
“ทำไมเหรอ” ชู่มู่เบิกตากว้าง กวาดตามองไปที่ผู้คนด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงมองตัวเองแบบนี้
คนอื่นหมดคำพูดทันที ใครเขาจะสติเลื่อนลอยตอนที่ทุกคนกำลังปรึกษาเรื่องสำคัญแบบนี้ สติเลื่อนลอยก็แล้วไป ยังจะถามทุกคนกลับว่า ทำไมเหรอ ประโยคนี้ควรให้ทุกคนถามมากกว่า !
ชู่อิงที่อยู่ด้านข้างกรอกตาขาวทันที พูดตรงๆ ว่า “ท่านอาใหญ่เรียกเจ้าหลายรอบ เจ้าเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง ไม่ตอบใคร กำลังคิดอะไรอยู่ !”
“อ้อ อ้อ” ชู่มู่ถึงมองไปยังชู่เทียนเหิง ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาใหญ่”
“ไม่มีอะไร แค่ถามความเห็นของเจ้า” ชู่เทียนเหิงบอก
ชู่เทียนเหิงเข้าใจชู่มู่ รู้ว่าชู่มู่ไม่ใช่ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่ แต่มองออกว่า เมื่อกี้เขากำลังคิดปัญหาอยู่
“เมื่อกี้ประเมินจำนวนของภัยแร้งขั้นเก้าไว้ที่เท่าไร” เมื่อกี้ตอนที่ชู่มู่กำลังคิดเรื่องปัญหานี้ได้ยินเรื่องนี้บ้าง ตอนนี้ถามขึ้นอีกครั้ง
“ภัยแร้งสิบวันรวมกันเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดหกตัว” ชู่เทียนเหิงทวนคำพูดอีกครั้ง
“อืม ถ้าอย่างนั้นดีมาก” ชู่มู่พยักหน้า
ภัยแร้งขั้นเก้าจะออกจากชนเผ่าขั้นหนึ่งแน่นอน ถ้าเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดหกตัวละก็ จะลดภาระให้ชู่มู่ไม่น้อย !
“ดีอะไร!” คุณหญิงเสี่ยวหยุนจอมเอาแต่ใจทนไม่ไหวแล้ว พูดกับชู่มู่อย่างไม่เกรงใจ
ชู่มู่แค่ยกหนังตาขึ้น เพิกเฉยต่อคุณหญิงเสี่ยวหยุน พูดขึ้นว่า “เรื่องภัยแร้ง ทุกคนไม่ต้องกังวลมากเกินไป ทำการป้องกันที่ควรทำก็พอ จะไม่มีอะไร”
ชู่เทียนเหิงและคนของตระกูลชู่เห็นชู่มู่มั่นใจขนาดนี้ ได้แต่ฉีกยิ้มออกมาฝืนๆ ชู่อิงจับจ้องไปยังชู่มู่ อยากรู้ว่าชู่มู่มีดวงวิญญาณอะไรกันแน่
“ถ้าอย่างนั้น ความสามารถของเจ้าแข็งแกร่งมากสินะ แม้แต่ภัยแร้งแบบนี้ก็ไม่กลัว” ซุนหยวนยักคิ้วขึ้น มองดูเหมือนเป็นคำพูดที่ไม่ได้ใส่ใจ แต่ความจริงกลับไม่ชอบใจความนิ่งแบบนี้ของชู่มู่มากเท่าไร
ชู่มู่แค่มองไปยังซุนหยวนอย่างเฉยเมย ประหลาดใจที่เหมือนร่ายวิญญาณของเจ้านี่ก็ไม่ต่ำ
ในเมื่อร่ายวิญญาณไม่ต่ำ ความสามารถของเขาก็ไม่เบาแน่นอน ชู่มู่แอบแปลกใจว่า เขามาที่ตระกูลชู่ทำไม ทว่า ตอนที่เขาเห็นสายตาไม่พอใจที่ชู่อิงสนใจเขามากไป ชู่มู่เข้าใจทันที
“เฮ้อ ชู่มู่ เจ้าเพิ่งกลับมา ตระกูลได้เจอกับเรื่องลำบากแบบนี้ จะต้องให้เจ้าช่วยทุกคนจัดการอีก ทำให้ข้าไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ…” ชู่หมิงเห็นท่าทีท้าทายของซุนหยวน ในตอนนี้จึงพูดขัด
“ท่านปู่วางใจได้ ดวงวิญญาณส่วนใหญ่ของข้าอยู่ขั้นจักรพรรดิชั้นสูง ความสามารถต่อสู้กลุ่มแข็งแกร่งมาก น่าจะจัดการได้อย่างไม่มีปัญหา” ชู่มู่พูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี แบบนั้นก็ดี” ชู่หมิงเห็นชู่มู่จริงจังแบบนี้ จึงพยักหน้า…แต่ว่า พอคิดดี ๆ แล้ว กลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
“จักร…จักรพรรรดิขั้นสูง!!!”
จักรพรรดิขั้นสูง!!! เมื่อกี้ชู่มู่บอกว่า จักรพรรดิขั้นสูง!!!
ประโยคนี้ ทำให้คนทั้งหมดที่นั่งอยู่ที่นี่อึ้งหมด!
คนที่มีจักรพรรดิขั้นสูงทั้งเมืองตะวันตกน่าจะนับด้วยนิ้วได้ อีกทั้งเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงอย่างมาก แม้แต่ลูกสาวเจ้าเมืองอย่างเสี่ยวหยุนเอง ทำได้แค่เชิญผู้แข็งแกร่งสองคนที่มีจักรพรรดิขั้นสูงตัวเดียวได้เท่านั้น
ถ้าชู่มู่บอกว่าตัวเองมีจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่ง คนทั้งหมดจะต้องอึ้งแน่นอน และแล้วชู่มู่กลับบอกว่า “ส่วนใหญ่อยู่ในจักรพรรดิขั้นสูง” ใครก็เข้าใจความหมายนี้ดี !!!
“ชู่…ชู่มู่ เมื่อกี้ข้าฟังไม่ผิด เจ้าบอกว่า ดวงวิญญาณส่วนใหญ่ของเจ้าอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงใช่หรือไม่” ชู่หลั่งนั่งอยู่ข้างชู่มู่ ถามขึ้นคนแรก อีกทั้งยังเน้นเสียง “จักรพรรดิขั้นสูง” อีกหน่อย
ในตอนนี้ คนทั้งหมดมองไปที่ชู่มู่
ชู่มู่กลับพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ความนิ่งแบบนี้ของชู่มู่ ทำให้คนทั้งหมดรู้สึกสบายใจเกินไป นั่นเป็นถึงจักรพรรดิขั้นสูง!
“สหายคนนี้ เจ้ามีระดับจักรพรรดิขั้นสูงทั้งฝูงจริงเหรอ อีกทั้งยังอยู่ในลักษณะสิบหมดเหรอ” ซุนหยวนถามขึ้นอีกครั้ง
ชู่มู่มองไปยังสีหน้าและสายตาเหลือเชื่อของคนทั้งหมด ได้ฉีกยิ้มเจื่อนๆ ออกมา
และแล้ว พูดเรื่องความสามารถของตัวเองออกมา พวกเขาเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อย่างน้อยก็เป็นแค่จักรพรรดิขั้นสูง ถ้าบอกว่าจักรพรรดิชั้นยอด อีกทั้งราชัน พวกเขาคงคิดว่าตัวเองป่วยแล้ว
ชู่มู่ไม่ใช่คนที่จะอัญเชิญดวงวิญญาณของตัวเองเพื่อแสดงว่า ตัวเองมีความสามารถแข็งแกร่งมากเพียงใด ดังนั้น ตอนที่พยักหน้า “ส่วนใหญ่อยู่ในจักรพรรดิขั้นสูง” ไม่คิดว่า จักรพรรดิขั้นสูงจะก่อให้เกิดการตอบสนองแบบนี้
“หึ ข้ากินอิ่มแล้ว” คุณหญิงเสี่ยวหยุนลุกขึ้นทันที ทำท่าทีไม่พอใจอย่างมาก เดินออกจากโต๊ะอาหารก่อน
เสี่ยวหยุนไม่พอใจท่าทีโดดเด่นของชู่มู่อยู่แล้ว ส่วนเรื่อง “ส่วนใหญ่อยู่ในจักรพรรดิขั้นสูง” ใครจะเชื่อก็เชื่อ อย่างไรเสีย เสี่ยวหยุนก็ไม่เชื่อ !
ทั้งเมืองตะวันตกนี้ คนที่กล้าพูดคำนี้มีเพียงท่านพ่อของเสี่ยวหยุน วัยหนุ่มที่มาจากไหนไม่รู้ออกมาบอกว่าตัวเองมีความสามารถแบบนี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน !
ชู่เทียนเหิงมองไปยังชู่มู่ เขาเชื่อว่า นิสัยของชู่มู่ไม่มีทางจะเอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องล้อเล่น และในเมื่อเขาบอกว่ามีจักรพรรดิขั้นสูง เขามีแน่นอน อีกทั้งไม่ได้มีแค่ตัวเดียว
เดิมชู่เทียนเหิงอยากถามต่อ แต่คำนึงถึงยังมีคนอื่นอยู่ที่นี่
ถ้าชู่มู่มีความสามารถแบบนี้จริง เก็บเอาไว้จะดีที่สุด เพราะตระกูลชู่ไม่ได้มีภัยแร้งแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
“ทุกคนอย่าตื่นตัว ค่อยเจรจาปัญหานี้ทีหลังเถอะ”ชู่เทียนเหิงพูดกับทุกคน
ชู่เทียนเหิงเป็นหัวหน้ากลุ่ม เห็นได้ชัดว่า ไม่อยากให้คนทั้งหมดพูดเรื่องนี้ต่อแต่กลับมีคนไม่น้อยของตระกูลชู่มองไปยังชู่มู่ด้วยความเป็นกันเอง มองออกได้ว่า พวกเขาเชื่อว่า ชู่มู่มีความสามารถแบบนี้จริงๆ !
ชู่อิงเป็นคนแรกที่อดใจไม่ไหวอยากจะถาม และแล้วชู่เทียนเหิงจ้องเขม็งไปที่เธอ เธอทำได้แค่ระงับความอยากของตัวเอง แต่ไม่เคยละสายตาไปจากชู่มู่
สีหน้าของซุนหยวนที่อยู่ด้านข้างไม่ดีเท่าไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชู่มู่แสดงให้เห็นว่า ความสามารถแข็งแกร่งจริง ๆ แข็งแกร่งเกินกว่าที่ซุนหยวนคิดเอาไว้ อีกส่วนคือ ดวงตาของชู่อิง ไม่เคยมองเขาตั้งแต่ตอนเริ่มกินข้าว นี่ทำให้ซุนหยวนไม่สบายใจอย่างมาก
“คาดว่าจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะแปดเก้า ผู้คุมดวงวิญญาณที่เน้นเพิ่มความแข็งแกร่งไปที่ระดับ แม้คนแบบนี้จะมีน้อย แต่ยังคงมีในโลกใหญ่และเมืองเทียนเซี่ย หึ ถ้าข้าเน้นไปที่ระดับของดวงวิญญาณ ไม่แน่ดวงวิญญาณของข้าอาจอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูง” ซุนหยวนแอบทำข้อสรุปแบบนี้ในใจ
…
หลังจากงานเลี้ยงตอนเย็นเลิกรา ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงได้ดึงชู่มู่ไปก่อน ชู่หลั่ง ชู่อิง พวกสมาชิกวัยหนุ่มต่างมองไปยังชู่มู่ที่จากไปด้วยความผิดหวัง เห็นได้ชัดว่า พวกเขากำลังต้องการความจริงจากชู่มู่
“ชู่มู่ เรื่องที่เจ้าบอกตอนกินข้าวเป็นเรื่องจริงเหรอ” ชู่เทียนหลิงถามขึ้นอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่า ท่านอาทั้งสองไม่เชื่อชู่มู่ แต่เป็นเพราะระดับจักรพรรดิขั้นสูงพบยากจริงๆ ทั้งเมืองตะวันตก คนที่มีจักรพรรดิขั้นสูงหนึ่งตัวล้วนเป็นบุคคลสำคัญ
“ท่านอาใหญ่ ท่านอาสอง ครั้งนี้ข้ากลับมาเพราะต้นเหตุของภัยแร้ง ก็คือชนเผ่าขั้นหนึ่ง” ชู่มู่กำลังจะปรึกษาเรื่องนี้กับท่านผู้ใหญ่ทั้งสอง อย่างไรก็ตามกิจการแหล่งวิญญาณต้องให้ตระกูลชู่จัดการ ตัวเองเข้าไปตรงๆ จะไม่ได้รับการช่วยเหลือแน่นอน
“ชนเผ่าขั้นหนึ่งงั้นหรือ นั่นเป็นหลายเท่าของภัยแร้งขั้นเก้าไม่ใช่เหรอ อีกทั้งได้ข่าวว่าเป็นกองทัพใหญ่ที่มีสิ่งมีชีวิตระดับราชัน” ชู่เทียนเหิงพูดด้วยสีหน้าตกใจ
“อืม ในชนเผ่าขั้นหนึ่งมีแหล่งทรัพยากรที่ข้าต้องการ หลังจากนี้อาจต้องให้ท่านอาทั้งสองช่วยข้าจัดการ” ชู่มู่พยักหน้า
“ชู่มู่ เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ตอนนี้แม้แต่กลุ่มขั้นเก้าพวกเรายังจัดการไม่ได้ ชนเผ่าขั้นหนึ่ง…อย่างนั้นต้องให้ผู้แข็งแกร่งโลกตะวันตกลงมือ” ชู่เทียนหลิงบอก
“เรื่องนี้ท่านอาใหญ่ ท่านอาสองไม่ต้องกังวล จักรพรรดิขั้นสูงเป็นแค่รูปแบบต่อสู้ของดวงวิญญาณรองของข้า” ชู่มู่เองก็ไม่ปกปิด อย่างไรเสีย รอให้ตัวเองจัดการชนเผ่าขั้นหนึ่ง ท่านผู้ใหญ่ทั้งสองก็เดาได้ว่าความสามารถของตัวเองอยู่ในระดับใด
ชู่มู่เพิ่งพูดจบ ต้องทำหน้าหมดหนทางอีกแล้ว เพราะหลังจากที่ท่านผู้ใหญ่ทั้งสองได้ยินคำพูดนี้ของตัวเอง สีหน้าตกใจอย่างมากถึงมากที่สุด
“ชู่…ชู่มู่ เจ้า…เจ้าอย่าพูดอะไรแบบนี้อย่างสบายใจได้ไหม อายุของท่านอาสอง…มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หัวใจ…อาจทนไม่ไหว!” ชู่เทียนหลิงพูดด้วยความแข็งทื่อ
สำหรับพวกเขาแล้ว จักรพรรดิขั้นสูงนับว่า เป็นการมีอยู่ที่แข็งแกร่งยิ่งในเมืองตะวันตกแล้ว ผู้แข็งแกร่งแบบนี้ยังต้องให้ตระกูลชู่ใช้เงินมหาศาลเชิญจากอำนาจต่างๆ ต่อให้อ่อนน้อมอย่างมาก ก็ใช่ว่าจะเชิญผู้แข็งแกร่งพวกนี้มาได้
พูดได้ว่า จุดสำคัญของภัยแร้งครั้งนี้ขึ้นอยู่กับประตูเมืองหลัวกับตระกูลชู่หลักแล้ว อย่างไรก็ตาม จะมีผู้แข็งแกร่งที่มีจักรพรรดิขั้นสูงหลายคนมุ่งหน้ามาที่นี่
ส่วนตระกูลชู่จะพัฒนาต่อไปได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้แข็งแกร่งที่มีจักรพรรดิขั้นสูงเหล่านี้ ! ดังนั้น ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิขั้นสูงแต่ละคน ล้วนเป็นพระใหญ่ที่ตระกูลชู่เชิดชูบูชา !
เดิมท่านผู้ใหญ่ทั้งสองของชู่มู่คิดว่า ด้วยอายุของชู่มู่ มีจักรพรรดิขั้นกลางกลุ่มหนึ่งก็ยากมากๆ แล้ว รวมกันอาจจัดการจักรพรรดิขั้นสูงได้
ที่ทำให้ผู้ชายวัยกลางคนทั้งสองคิดไม่ถึงคือ ชู่มู่กลับมีจักรพรรดิขั้นสูงทั้งฝูง !!!
ตอนอยู่ที่โต๊ะอาหาร จักรพรรดิขั้นสูงทั้งฝูงก็ทำให้หัวหน้ากลุ่มทั้งสองตื่นเต้นอย่างมากแล้ว ถ้าไม่ได้มีคนนอกอยู่ พวกเขาทั้งสองจะตื่นเต้นยิ่งกว่าพวกเด็กๆ อีกแน่นอน อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูล
และแล้ว ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงยังไม่ทันได้หยุดความสะเทือนใจจาก “จักรพรรดิขั้นสูงทั้งฝูง” ชู่มู่พูดว่า “จักรพรรดิขั้นสูงเป็นกลุ่มดวงวิญญาณรอง” ทำให้ท่านผู้ใหญ่ทั้งสองสะเทือนใจจนมึนหัวแล้ว !
จักรพรรดิขั้นสูงเป็นรูปแบบการต่อสู้ของดวงวิญญาณรอง !!!
ผู้ชายวัยกลางคนทั้งสองอยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว เพิ่งเคยได้ยินคนพูดแบบนี้ออกมาเป็นครั้งแรก !
อีกทั้งยังมาจากวัยหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีของตระกูลชู่ ถ้าเป็นลูกหลานคนอื่นในตระกูลชู่พูดแบบนี้ออกมา ผู้ใหญ่ทั้งสองคนนี้จะต้องสั่งสอนอย่างหนัก แล้วให้เขาสำนึกผิดในความเพ้อเจ้อของตัวเอง
———————————————————-
ระหว่างมื้อเย็น คนของตระกูลชู่ต่างพูดถึงปัญหาภัยแร้งที่ใกล้เข้ามา ไม่มีใครมีอารมณ์กินอะไร มีเพียงการกลับมาของชู่มู่ถึงทำให้บรรยากาศดีขึ้นเล็กน้อย
แต่ว่าใครก็รู้ว่า ตระกูลชู่ในตอนนี้กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ ต้องจัดการปัญหาก่อน
“ภัยแร้งขั้นเก้า เท่ากับว่าจะมีจักรพรรดิชั้นยอดอย่างน้อยหนึ่งตัวปรากฏขึ้น” ในตอนนี้ ชู่หมิงใช้เสียงที่แหบชราพูดขึ้น
ชู่เทียนเหิงมองไปที่ท่านพ่อของตัวเอง รู้ว่าคนแก่คนนี้ไม่อยากจะปกปิดศัตรูที่จะปรากฏในภัยแร้งครั้งนี้แล้ว
เดิมชู่เทียนเหิงไม่อยากบอกโดยตรง อย่างไรก็ตาม ทำแบบนี้จะทำให้คนที่เฝ้าเมืองหวาดหวั่น ถ้าไม่บอกคนทั้งหมด ให้คนทั้งหมดเฝ้าอยู่ อาจทำให้ทุกคนใช้พลังทั้งหมดออกมาได้
แต่ในเมื่อชู่หมิงพูดกระจ่างแล้ว ชู่เทียนเหิงรู้สึกว่าบอกเอาไว้ยังจะดีกว่า
“จักรพรรดิชั้นยอด…ตระกูลชู่พวกเจ้าจัดการได้ไหม” คุณหญิงเสี่ยวหยุนพูดด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่า คุณหญิงเสี่ยวหยุนไม่คิดว่า ภัยแร้งจะสาหัสขนาดนี้ อีกทั้งจะมีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิชั้นยอดปรากฎตัวขึ้น ในเมืองตะวันตกทั้งหมดนี้ มีแค่ท่านพ่อของเธอถึงจะมีดวงวิญญาณจักรพรรดิชั้นยอด!
ชู่เทียนเหิงและท่านอาของชู่มู่ต่างส่ายหัวอย่างหมดหนทาง
“ต้องขึ้นอยู่กับผู้แข็งแกร่งของประตูเมืองหลัวกับตระกูลชู่หลักแล้ว พวกเราหมดหนทางแล้ว” ชู่เทียนหลิงบอก
ซุนหยวนที่อยู่ด้านข้างเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เพราะเขาไม่คิดว่า จะมีจักรพรรดิชั้นยอดอยู่ด้วย
ซุนหยวนเองก็ไม่แน่ใจว่า ผู้แข็งแกร่งที่เขาแอบส่งมาจะมีผู้คุมดวงวิญญาณที่มีจักรพรรดิชั้นยอดหรือไม่ ถ้าไม่มีละก็ พวกเขาจัดการภัยแร้งอย่างลำบากเช่นกัน
“จักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัวในภัยแร้งนี้ เป็นสิ่งที่พวกเราตระกูลชู่จัดการไม่ได้ และในกองทัพภัยแร้งระดับทาส กองทัพระดับแม่ทัพ กองทัพระดับผู้นำ กองทัพระดับจักรพรรดิ ความสามารถของกองทัพระดับจักรพรรดิควบกันน่าจะเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดสองตัว กองทัพผู้นำก็เท่ากับจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัว กองทัพแม่ทัพเท่ากับจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัว จำนวนของกองทัพระดับทาสก็เทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัว…” ชู่เทียนเหิงพูดกับทุกคน
ผู้คนเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที ไม่เข้าใจว่า ชู่เทียนเหิงต้องการจะพูดอะไรจากทั้งหมดนี้
“วิธีประเมินความสามารถแบบนี้ ข้าได้มาจากตระกูลชู่หลัก ภัยแร้งขั้นเก้าเท่ากับกลุ่มขั้นเก้า”
“จักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัวจะปรากฏแน่นอน ภายใต้จักรพรรดิชั้นยอดนั้น มีสิ่งมีชีวิตจักรพรรดิขั้นสูงถึงเทียบเท่าจักรพรรดิ น่าจะมีประมาณสิบกว่าตัว ความสามารถเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอด 2 ตัวได้ เท่ากับว่า เมื่อรวมความสามารถของสิ่งมีชีวิตระดับจักรพรรดิทั้งหมดของภัยแร้งขั้นเก้านี้ เท่ากับมีจักรพรรดิชั้นยอดสามตัว!”
คำพูดนี้ของชู่เทียนเหิง ทำให้คนทั้งหมดนิ่งอึ้งทันที!
บนโต๊ะมีประมาณยี่สิบกว่าคน ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรอีก
ชู่เทียนเหิงเห็นใบหน้าของทุกคนอึ้งขนาดนี้ ราวกับเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้แล้ว ความจริงในตอนที่เขารู้ความหมายที่แท้จริงของภัยแร้งขั้นเก้า สีหน้าของเขาสิ้นหวังกว่านี้อีก
“สิ่งมีชีวิตจักรพรรดิรวมกันเท่ากับจักรพรรดิชั้นยอดสามตัว ภัยแร้งขั้นเก้านี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!” ในที่สุด ชู่อิงทำลายความเงียบบนโต๊ะ
ชู่เทียนเหิงพูดต่อด้วยรอยยิ้มฝืนว่า “นี่เป็นแค่พลังของระดับจักรพรรดิ ผู้นำจะมีประมาณสามร้อยกว่า ความสามารถรวมกันจะเท่ากับจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัว ระดับแม่ทัพมีจำนวนสามพันกว่า รวมกันแล้วเท่ากับจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัวเช่นกัน ระดับทาสจะมีสามหมื่นกว่ากว่า รวมกันแล้วมีพลังเท่ากับจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งตัวเช่นกัน เท่ากับว่า เวลาครึ่งเดือนนี้พวกเราต้องเผชิญกับพลังของกองทัพที่เทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดหกตัว”
เดิมบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ประหลาดอย่างมากแล้ว แต่ละคนอึมครึมอย่างมากแล้ว และในตอนนี้ที่ชู่เทียนเหิงได้บอกเรื่องภัยแร้งขั้นเก้าทั้งหมดออกมา ทำให้คนทั้งหมดนิ่งอึ้งเข้าไปอีก !!!
“นี่…นี่จะจัดการได้อย่างไร !!! ในเมื่อเจ้ารู้ว่า น่ากลัวขนาดนี้ ทำไมไม่รีบบอก รีบออกจากที่นี่ก่อน เจ้าอยากให้คนทั้งหมดตายที่นี่หรือ” คุณหญิงเสี่ยวหยุนลุกขึ้นทันที พูดอย่างใจร้อน
พอคุณหญิงเสี่ยวหยุนพูดแบบนี้ คนอื่นในตระกูลเริ่มท้อแท้แล้ว
พลังที่เทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดหกตัว ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นสูงที่ตระกูลชู่เชิญมามีเท่าที่นับด้วยนิ้วได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว !
ในตอนนี้ ความคิดในใจของคนทั้งหมดเหมือนกันหมด ยังจะกินอะไรอีก ควรรีบเก็บของออกจากที่นี่ก่อน !
“อย่ารุกรน นี่เป็นการรวมพลังสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของภัยแร้งในเวลาสิบวัน ภัยแร้งขั้นเก้าไม่ออกจากรังทั้งหมดในวันเดียวหรอก”
“ถ้าภัยแร้งต่อเนื่องสิบวัน ถ้าอย่างนั้นการโจมตีที่ต้องรับในแต่ละวันจะเท่ากับพลังของจักรพรรดิชั้นยอดศูนย์จุดหกตัว เวลาสิบวัน ดวงวิญญาณของทุกคนผลัดกันต่อสู้ได้” ชู่เทียนเหิงเห็นสีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป รีบพูดอธิบาย
ชู่เทียนเหิงอธิบายแบบนี้ อารมณ์ของทุกคนถึงผ่อนคลายลง
หากเป็นเช่นนั้นจริง ภัยแร้งไม่มีทางออกจากรังพร้อมกันในคราวเดียว ถ้าเฝ้าเมืองแบบนี้ทุกคนจะพักหายใจได้บ้าง
“คุณหญิงเสี่ยวหยุน ท่านเชิญท่านเจ้าเมืองได้หรือไม่” ชู่เทียนหลิงถามอย่างสุภาพ
เสี่ยวหยุนส่ายหัว” ท่านพ่อของข้าไม่มีทางลงมือเอง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมืองตะวันตกนี้จะชุลมุนยิ่งขึ้น ข้าทำได้มากสุดแค่เชิญผู้ใหญ่สองคนที่มีจักรพรรดิขั้นสูงคนละตัวมาช่วยเหลือเท่านั้น นอกจากนั้นเชิญผู้เฝ้าอีกกลุ่มมาช่วยเหลือ”
“แบบนี้ก็ดีแล้ว รอคนของประตูเมืองหลัวกับตระกูลชู่หลักพรุ่งนี้ ถ้าพวกเขามีผู้แข็งแกร่ง อาจยังมีหวังอยู่บ้าง” ชู่เทียนเหิงฝืนยิ้มออกมา
ตอนที่พูด ชู่เทียนเหิงได้แต่มองไปยังชู่มู่
ความจริง ตลอดที่พูดคุยมีคนไม่น้อยที่คอยสังเกตท่าทีของชู่มู่ โดยเฉพาะชู่เทียนเหิง เขาพบว่า ไม่ว่าตัวเองพูดความจริงเรื่องภัยแร้งหรือถามหาความช่วยเหลือ ชู่มู่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สีหน้าไม่เปลี่ยน นิ่งเหมือนปกติ ราวกับเป็นคนนอก
“ชู่มู่ ทำไมไม่พูดอะไร” ชู่เทียนเหิงอดไม่ได้เอ๋ยปากถามขึ้น
ซุนหยวนกวาดตามองไปยังชู่มู่ พูดกึ่งประชดว่า “หรือว่าจะกลัวจนนิ่งไปแล้ว”
จิตของชู่มู่ไม่อยู่กับตัว เพราะเขาในตอนนี้กำลังคิดหาวิธีจัดการชนเผ่าขั้นหนึ่งที่มีแหล่งวิญญาณนี้ แต่ไม่ใช่กลุ่มขั้นเก้านี้…
…
เหตุที่ชู่มู่ไม่ได้พุ่งเข้าไปในชนเผ่านั้นทันที ก็เป็นเพราะความสามารถของตัวเองไม่พอ
ชนเผ่าทั้งหมดใหญ่มาก ชู่มู่อาจให้มั่วเย้จัดการเทียบเท่าราชันตัวนั้นได้
แต่เทียบเท่าราชันไม่ใช่ผู้นำที่บ้าคลั่ง จะออกมาให้ชู่มู่ฆ่าโดยตรงได้อย่างไร คาดว่ามันจะส่งลูกน้องนับไม่ถ้วนมาลดพลังต่อสู้ของมั่วเย้…
ราชาจัดการได้ง่าย แต่ลูกน้องนับหมื่นนี่น่ารำคาญเกินไป อีกทั้งราชาจะหลบอยู่หลังลูกน้องพวกนี้แน่นอน คาดว่าจะต้องฆ่าล้างเปิดทางถึงจะมีโอกาสเป็นไปได้
ตอนที่ชู่เทียนเหิงพูดถึงจำนวนของภัยแร้งขั้นเก้า ชู่มู่เองก็ลูบคางคำนวณจำนวนของชนเผ่าขั้นหนึ่งอยู่
ผู้เฒ่าหลีได้ประมาณจำนวนของชนเผ่าขั้นหนึ่งไว้ว่า ภายใต้พวกมันเทียบเท่าราชันหนึ่งตัว จะต้องมีจักรพรรดิชั้นยอดสามตัวขึ้นไป อีกทั้งภายใต้จักรพรรดิชั้นยอดสามตัวนี้ จะมีจักรพรรดิขั้นสูงกับขั้นกลางประมาณสิบกว่าตัวอีก
แค่จากจักรพรรดิชั้นยอดไปยังจักรพรรดิขั้นสูงนี้ มีจักรพรรดิชั้นยอดสามตัว จักรพรรดิขั้นกลางขั้นสูงสิบตัว ถ้าให้รวมพวกมันไว้ด้วยกัน พลังต่อสู้ของพวกมันจะเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดห้าตัวแล้ว
และจากจักรพรรดิขั้นกลางไปถึงเทียบเท่าจักรพรรดิ จะมีจำนวนประมาณหนึ่งร้อยกว่าตัว ถ้าไม่มีจักรพรรดิชั้นยอดสามตัว คงจัดการไม่ได้แน่นอน
ดังนั้น ในชนเผ่าขั้นหนึ่ง พลังจักรพรรดิทั้งหมดนี้รวมกัน ออกจากรั้งพร้อมกันละก็ จะเท่ากับว่ามีพลังต่อสู้จักรพรรดิชั้นยอดสิบตัว
และจักรพรรดิชั้นยอดสิบตัว จะสู้เทียบเท่ากับราชันปกติได้แล้ว !
ในวงการต่อสู้ดวงวิญญาณของชู่มู่ มั่วเย้ต้องเทียบเท่าราชันตัวนั้นแน่นอน
มารนิรยขาวเป็นจักรพรรดิไร้เทียมทาน จัดการจักรพรรดิชั้นยอดได้มากสุดสามตัว
จั้นเย้ที่ผ่านดวงใจแห่งมังกรหาญกับแตกหักงอกใหม่ จัดการจักรพรรดิชั้นยอดสองตัวได้ไม่มีปัญหา
ปีศาจนักรบไม้ที่ต่อสู้แบบกลุ่มอย่างไร้เทียมทาน ถ้าโยนปีศาจนักรบไม้ไว้ท่ามกลางจักรพรรดิขั้นกลางกับเทียบเท่าจักรพรรดิ ผลของปีศาจนักรบไม้จักรพรรดิขั้นสูงจะเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดได้
ภูตพันวายุกับราชันผีหินผาต้องร่วมมือกัน ราชันผีหินผาทำหน้าที่ป้องกัน คอยต้านทานการโจมตีส่วนใหญ่ และทักษะหมวดลมที่ภูตพันวายุปล่อยออกมาจะทำการฆ่าล้างได้ จักรพรรดิขั้นสูงสองตัวนี้ร่วมมือกัน พลังต่อสู้จะเทียบเท่ากับจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่งได้เช่นกัน
พลังทำลายล้างของภูตเวหาน้ำแข็งจักรพรรดิชั้นยอดยิ่งแข็งแกร่ง ถ้าร่วมมือกับราชันผีหินผาละก็ จัดการกองทัพที่เทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดสองตัวได้ไม่มีปัญหา
การต่อสู้แบบกลุ่มของอสูรสายฟ้านิมิตราตรีจะอ่อนกว่าอย่างชัดเจน แต่ด้วยความเร็วของมัน บวกกับเกราะวิญญาณขั้นเก้า ถ้าต่อสู้ในตอนกลางคืนละก็ วิ่งวนกับจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่ง มันยังทำการรั้งไว้ได้บ้าง
ดวงวิญญาณทั้งหมดของชู่มู่รวมกัน ไม่สามารถรับมือกับเทียบเท่าราชันตัวหนึ่งได้ แต่ในการต่อสู้กลุ่มจะต่างกัน พลังของพวกมันจะเสริมกันและกัน ต่อต้านกับกองทัพระดับจักรพรรดิได้
แน่นอนว่า ชู่มู่ไม่สามารถอัญเชิญดวงวิญญาณทั้งหมดออกมาต่อสู้พร้อมกัน คิดจะหาโอกาส ก็ต้องยืดเวลาต่อสู้ให้ยาวออกไป
จำนวนของชนเผ่ามหาศาล ชู่มู่แค่ครอบครองพื้นที่บางแห่ง จักรพรรดิทั้งหมดในชนเผ่าก็ไม่มีทางออกจากรังทั้งหมดเพราะมีผู้บุกรุกสามตัว
ต่อให้ออกจากรังทั้งหมด ชู่มู่แค่หนีไป ดวงวิญญาณแค่สามตัว ความคล่องตัวสูง ที่ตามทันก็คงมีแค่เทียบเท่าราชันกับจักรพรรดิชั้นยอด
ดังนั้น ชู่มู่แค่รวมพลังทั้งหมดได้ก็พอแล้ว อัญเชิญพร้อมกันได้หรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่เท่าไร
ปัญหาอยู่ที่ว่า ในชนเผ่ายังมีกองทัพระดับผู้นำ ระดับแม่ทัพ ระดับทาส
จำนวนของระดับแม่ผู้นำจะมากถึงหนึ่งพันต้องมีจักรพรรดิชั้นยอดสามตัวถึงจะจัดการได้
จำนวนของระดับแม่ทัพจะมากถึงหนึ่งหมื่น ต้องใช้จักรพรรดิชั้นยอดสามตัวถึงจะจัดการได้เช่นกัน
จำนวนของระดับทาสน่าจะมากถึงหนึ่งแสน ต้องใช้จักรพรรดิชั้นยอดอย่างน้อยสามตัว
ที่สำคัญที่สุดคือ ระดับผู้นำ ระดับแม่ทัพ ระดับทาสจะต้องเป็นกองหน้าแน่นอน แค่จัดการพวกนี้ พลังของมั่วเย้ระดับราชันอาจไม่เหลือแล้วก็ได้
สิ่งที่ผู้เฒ่าหลีคอยพูดเตือนชู่มู่ตลอดคือ “จะกวาดล้างชนเผ่าขั้นหนึ่งในคราวเดียว ต้องมีเทียบเท่าราชันอย่างน้อยสามตัวออกสู้พร้อมกันถึงจะมีโอกาสชนะได้ ถ้าไม่มีละก็ ต้องวางแผนให้ดี ต้องใช้วิธีอื่นๆ แล้ว”
————————————————————————
นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ คนแรกสุดที่เข้ามาคือท่านปู่ชู่หมิง หลังจากชู่มู่เจอกับท่านปู่แล้ว ทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม คนแก่คนนี้อ่อนแอลงเรื่อยๆ แล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกกี่ปี ถ้าเจอกับภัยแร้งแบบนี้ ด้วยความชุลมุนและกังวลใจแบบนี้ หากไม่ระวังอาจจากไปก็ได้
อายุขัยของมนุษย์ทำได้แค่เพิ่มจากการฝึกของตัวเอง โดยปกติต้องถึงระดับราชันวิญญาณ ถึงจะเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น สำหรับชู่หมิงที่ชราลงทุกวัน ชู่มู่เองก็ทำอะไรไม่ได้
ร่างกายของคนแก่อ่อนแอ อีกทั้งยังตื่นเต้นมากเกินไป พูดไม่กี่ประโยคก็เหนื่อยแล้ว ชู่มู่เองได้ให้คนพยุงชู่หมิงกลับไปพักผ่อน
“ร่างกายเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ตอนงานราตรี…เจ้าคุยกับท่านอาพวกเขาก่อน ช่วงนี้มีเรื่องมากมายในตระกูล…” ชู่หมิงไอเล็กน้อย จากไปอย่างไม่เต็มใจ
ชู่มู่พยักหน้า พยุงคนแก่เดินพักหนึ่งถึงกลับไปยังห้องโถงใหญ่
ตอนที่กลับไปถึงห้องโถง ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงอยู่ที่นั่นแล้ว ตอนที่เห็นชู่มู่ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
ชู่มู่ทักทายตามมารยาท ท่านอาทั้งสองก็ถามไม่น้อย ชู่มู่ค่อยๆ ตอบ ไม่ปกปิดเท่าไร
“ถ้าอย่างนั้น ความสามารถของเจ้าเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ท่าทางภัยแร้งครั้งนี้พวกเราจะลดภาระได้ไม่น้อย” ชู่เทียนเหิงบอก
ในตอนนั้น ความสามารถของชู่มู่เข้าใกล้ชู่เทียนเหิงมากแล้ว ตอนนี้หลายปีผ่านไป ด้วยความสามารถของชู่มู่ คาดว่าน่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล เพียงแค่ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลชู่หลักและประตูเมืองหลัว อาจต้านทานภัยแร้งในครั้งนี้ได้
“เรื่องภัยแร้งข้าจะจัดการตั้งแต่ต้นเหตุ ท่านอาใหญ่ อาสองไม่ต้องกังวล” ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง
“จะกำจัดต้นเหตุ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายแบบนั้น…” ชู่เทียนเหิงพูดพร้อมส่ายหัวอย่างไร้ทาง
กำจัดต้นเหตุงั้นหรือ ชู่เทียนเหิงอยู่ที่นี่มาหลายปี รู้ถึงความน่ากลัวของต้นเหตุภัยแร้งตั้งนานแล้ว นอกจากเจ้าโลกตะวันตกจะให้ผู้แข็งแกร่งของเขตเมืองใหญ่ต่างๆ เข้าช่วยเหลือ มิฉะนั้น พวกเขาไม่มีทางกำจัดภัยแร้งนี้จากต้นเหตุได้แน่นอน
ส่วนเจ้าโลกตะวันตกกับเจ้าเมืองต่างๆ พื้นที่ของพวกเขาปลอดภัยมาก จะมาช่วยเหลือเมืองเจ็ดสีแบบนี้ได้อย่างไร
ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงต่างเชื่อว่าความสามารถของชู่มู่ในตอนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงระดับที่พวกเขาไม่กล้าประเมิน แต่เผชิญกับโลกอลวนภัยแร้งที่ต้องใช้ผู้แข็งแกร่งทั้งเขตโลกถึงจะกำจัดได้แบบนี้ พวกเขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าชู่มู่คนเดียวจะทำได้
ชู่มู่กำลังจะพูด ในตอนนี้ กลิ่นหอมกุหลาบพิเศษลอยเข้ามา ชู่มู่ยังไม่ทันได้ชื่นชมกับกลิ่นหอมนี้ หญิงสาวที่มีรูปร่างมากเสน่ห์ได้ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้ว
“ฮะฮะ เจ้ากลับมาแล้วจริงด้วย คิดว่าเจ้าลืมตระกูลเล็ก ๆ นี้ไปตั้งนานแล้ว” ชู่อิงตบไหล่ของชู่มู่ พูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
ชู่มู่เองก็จำชู่อิงได้ ส่วนนิสัยของชู่อิง ชู่มู่เข้าใจเป็นอย่างดี แค่พยักหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ทำไมรู้สึกว่า เจ้าอ่อนโยนกว่าเมื่อก่อน ตอนนั้นเยือกเย็นอย่างกับนักฆ่า” ชู่อิงถามขึ้นทันที
อ่อนโยนเหรอ
ใช้คำนี้กับชู่มู่ยังคงเกินไปหน่อย ชู่มู่แค่รู้จักเก็บสีหน้ามากขึ้น ไม่เป็นคนไร้อารมณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ไร้มารยาท เป็นผู้หญิงเสียเปล่า ไปนั่งตรงนั้น ไม่อนุญาตให้เจ้าพูดก็ห้ามพูด!” ชู่เทียนเหิงจ้องเขม็งไปยังชู่อิง
ชู่อิงทำท่าทีไม่ชอบใจ แต่กลับไม่กล้าไม่เชื่อฟังชู่เทียนเหิง กลับไปนั่งด้านข้างด้วยความเชื่อฟัง แต่ดวงตาที่เป็นประกายนั้นยังคงจับจ้องไปยังชู่มู่ ต่อให้เธอไม่พูดอะไร ชู่มู่ก็รู้ว่า เธออยากถามตัวเองว่า ความสามารถของดวงวิญญาณตอนนี้เป็นอย่างไร
ชู่เทียนเหิงก็รู้ว่า ชู่มู่เดินทางไกลเพื่อกลับมาที่นี่ ยังไม่ให้เขาได้พักหายใจก็พูดเรื่องภัยแร้งก็คงไม่ดี จึงให้หัวหน้าคนรับใช้หญิงพาชู่มู่ไปพักผ่อนในห้องที่สะอาด รอให้ถึงตอนอาหารเย็นค่อยพูดต่อ
ชู่มู่กลับไม่พักผ่อน หลังจากกลับถึงห้อง ได้ปล่อยมังกรจำศีลขี้เล่นออกมา
เวลาสองเดือนผ่านไปแล้ว ได้ต่อสู้ตลอดในหนึ่งเดือน ตอนนี้มังกรจำศีลน้อยอยู่ในลักษณะสองขั้นสี่แล้ว ความสามารถเข้าใกล้ระดับแม่ทัพขั้นต่ำมากแล้ว
อาศัยตอนที่มีเวลาว่าง ชู่มู่ได้พามังกรจำศีลน้อยไปฝึกในสวน
“ซา ซา ซา”
มังกรจำศีลน้อยก็ชอบออกกำลังกาย หลังจากเห็นหินก้อนหนึ่งในสวน เงาสีเขียวกะพริบ รวมประกายสีเขียวบนกรงเล็บทันที !
ประกายสีเขียวเป็นพลังแห่งมังกร พลังที่มันระเบิดออกมาแข็งแกร่งกว่าพลังของร่างกายมาก !
“บึ้ง !!!”
หินที่สูงเท่าคนถูกมังกรจำศีลน้อยโจมตีเป็นเศษ กระจายไปทั่ว
“บวกกับผลของพลังแห่งมังกร ความสามารถอยู่ในแม่ทัพขั้นต่ำแล้ว รอให้ถึงตอนที่ควบคุมพลังแห่งราชันได้ ความสามารถน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
เห็นมังกรจำศีลน้อยระเบิดพลังแบบนี้ในลักษณะสองได้ ชู่มู่เองตื่นเต้นอย่างมาก คาดว่าผ่านไปอีกสักพัก มังกรจำศีลน้อยคงกล้าต่อสู้ในเมืองตะวันตกแล้ว
“กริ๊ง กริ๊ง”
ตอนที่ชู่มู่ฝึกมังกรจำศีลน้อยอยู่ เสียงผ่องใสของภูตเวหาน้ำแข็งดังขึ้นในหัวของชู่มู่
นิ้งตื่นขึ้นมาแล้ว !
ชู่มู่ดีใจมาก รีบร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญภูตเวหาน้ำแข็งออกมาตรงหน้าของตัวเอง
ความสามารถของภูตเวหาน้ำแข็งเรียกได้ว่า เพิ่มขึ้นอย่างพุ่งทะยาน ตอนที่ชู่มู่อัญเชิญมันออกมา ทั้งสวนนี้เกือบถูกแช่แข็งหมด ถ้าชู่มู่ไม่ห้ามภูตเวหาน้ำแข็งปล่อยกลิ่นไอออกมาได้ทัน ทั้งเรือนตระกูลชู่จะต้องถูกแช่แข็งแน่นอน
“จักรพรรรดิชั้นยอดลักษณะเก้า!” ชู่มู่ดีใจมาก ท่าทางผลของน้ำแข็งเทพดิน ทำให้ภูตเวหาน้ำแข็งได้ประโยชน์ไม่น้อย ไม่เพียงแต่ข้ามไปยังระดับจักรพรรดิชั้นยอด อีกทั้งยังเติบโตจนถึงลักษณะเก้าขั้นสูงอีก ความสามารถนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก!
จักรพรรดิชั้นยอดลักษณะเก้าขั้นสูง ความสามารถของมันเทียบเท่ากับจักรพรรดิลักษณะสิบขั้นสูงแล้ว และถ้าเพิ่มจากลักษณะเก้าขั้นสูงให้เป็นลักษณะสิบจะไม่ใช่เรื่องยาก
“พื้นที่ของภัยแร้งครั้งนี้น่าจะไม่น้อย อีกไม่กี่วันจะต้องให้เจ้าแสดงฝีมือแล้ว” ชู่มู่ลูบภูตเวหาน้ำแข็งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
ภูตพันวายุของชู่มู่เน้นโจมตีกลุ่ม แต่พลังทำลายล้างของลมยังคงไม่สามารถเทียบได้กับหมวดน้ำแข็งได้ ภูตเวหาน้ำแข็งยังต้องเป็นกำลังหลัก
“กริ๊ง” ภูตเวหาน้ำแข็งยิ้มอย่างไร้เดียงสา อดใจไม่ไหวที่จะให้ชู่มู่เห็นพลังใหม่ของมัน
…
ระหว่างอาหารเย็น นอกจากเสี่ยวหยุนกับซุนหยวนแล้ว ชู่มู่รู้จักคนอื่นหมด แต่ละคนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น
ชู่เทียนเหิงพูดเรื่องชื่นชมชู่มู่ก่อน แล้วดื่มพร้อมกัน ส่วนคนอื่นต่างรู้ตำแหน่งของชู่มู่ในตระกูลชู่ พวกเขาต่างส่งเสียงไปด้วย
ส่วนเสี่ยวหยุนและซุนหยวนสองคนนี้ ต่างรู้สึกแปลกใจที่ทำไมตระกูลชู่ถึงให้ความสำคัญกับวัยหนุ่มคนหนึ่งแบบนี้ แขกคนสำคัญอย่างพวกเขาสองคนยังไม่ได้รับการต้อนรับแบบนี้
แม้จะเป็นอาหารเย็น แต่เป็นเพราะเรื่องของภัยแร้งเป็นเรื่องฉุกเฉิน ยังคงเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ไม่ได้
“ครั้งนี้เป็นภัยแร้งระดับที่เท่าไร ใครมีข่าวแน่นอนไหม” ชู่มู่เองก็รู้สึกว่า นี่เป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน จึงถามขึ้น
“คาดว่าเป็นภัยแร้งขั้นเก้า อีกสามวันน่าจะมีฝูงดวงวิญญาณระดับทาสถูกดวงวิญญาณแข็งแกร่งไล่ต้อนมาที่นี่แล้ว ต่อจากนี้จะมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นปรากฏตัว” ชู่เทียนเหิงบอก
หลังจากได้ยินว่า เป็นภัยแล้งขั้นเก้า ลูกสาวเจ้าเมืองเสี่ยวหยุนเองก็อดใจที่จะพูดไม่ได้ว่า “ภัยแร้งขั้นเก้า เมืองขั้นเก้าจะสลายแน่นอน ก่อนหน้านี้บอกว่าแค่ขั้นแปดไม่ใช่เหรอ”
ชู่เทียนเหิงยิ้มฝืน ๆ แล้วพูดว่า “ขั้นเก้ายังเป็นการประเมินเผื่อไว้ คุณหญิงเสี่ยวหยุนมาไม่เป็นเวลาจริงๆ”
“น่าจะประมาณวันที่สิบ ภัยแร้งจะเกิดขึ้นจริงๆ”
“ในเมื่อเลือกที่จะอยู่ต่อละก็ ต้องเฝ้าทั้งตะวันตก ออก ใต้ ให้ดี ทิศใต้น่าจะเป็นบริเวณที่โจมตีดุเดือดที่สุด ให้คนของตระกูลพวกเรารับผิดชอบ ประตูเมืองหลัวจะส่งผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งมา ได้ข่าวว่าอยู่ในระดับเจ้าวิญญาณหมด พวกเขาน่าจะมาถึงพรุ่งนี้ ให้พวกเขาช่วยพวกเราเฝ้าตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกจะให้ผู้คุมดวงวิญญาณและคนช่วยจากตระกูลชู่หลักที่พวกเราจ้างมารับผิดชอบ…” ชู่เทียนหลินเริ่มแบ่งหน้าที่คร่าว ๆ
ก่อนหน้านี้ได้แบ่งวิธีการเฝ้าเมืองไว้แล้ว แต่ระดับของภัยแล้งเพิ่มขึ้น บวกกับการเข้าร่วมของสมาชิก จำต้องมีการเปลี่ยนแปลง
หลังจากพูดจบ ชู่เทียนหลิงเองก็กวาดตามองไปยังชู่มู่ ถามขึ้นว่า “ชู่มู่ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ทำไมคนของประตูเมืองหลัวถึงยอมเข้าช่วย” ชู่มู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เรื่องนี้ ท่านอาห้าของเจ้ารู้จักกับคนของประตูเมืองหลัวบางคน แต่ครั้งนี้ก็แปลกมาก ความจริงคนที่ท่านอาห้ารู้จักมีตำแหน่งที่ไม่สูงเท่าไร แต่ครั้งนี้กลับมีผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงหลายคนมา ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้ พวกเราก็ไม่กล้าอยู่ที่เมืองเจ็ดสีนี้ต่อ” ชู่เทียนหลิงบอก
“อย่างนั้นหรือ ได้รับการช่วยเหลือก็ดี…” ชู่มู่พูดอย่างมีนัยแฝง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดอย่างไร มีวิธีต้านภัยแร้งวิธีอื่นไหม” ชู่เทียนเหิงถามขึ้น
ตอนนี้ตระกูลชู่ต่างยอมรับว่า ชู่มู่เป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุด ย่อมต้องฟังความเห็นของชู่มู่
ชู่มู่ส่ายหัว ไม่ได้เสนอความเห็นอะไร
กองทัพระดับทาสงั้นหรือ มังกรจำศีลน้อยของชู่มู่ต้องการฝึกพอดี มาเท่าไรก็ฆ่าเท่านั้น
ส่วนกองทัพระดับแม่ทัพกับกองทัพระดับผู้นำภัยหลัง ให้ภูตเวหาน้ำแข็ง ปีศาจนักรบไม้ ภูตพันวายุซึ่งเป็นดวงวิญญาณโจมตีแบบกลุ่มมาจัดการก็พอแล้ว ชู่มู่ไม่ได้รู้สึกต้องกังวลอะไร
แต่กลับเป็นการปรากฏตัวของประตูเมืองหลัว ที่ทำให้ชู่มู่รู้สึกไม่ชอบกล
ตามปกติแล้ว อำนาจของประตูเมืองหลัวเกินกว่าโลกตะวันตกแล้ว จำนวนของราชันวิญญาณน่าจะไม่น้อย ประตูเมืองหลัวเองได้รับสมาชิกที่มีความสามารถค่อนข้างแข็งแกร่งเข้ามา ชู่มู่ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนของประตูเมืองหลัวถึงขยันส่งผู้แข็งแกร่งมาช่วยเหลือตระกูลชู่ได้
“นายท่าน ไม่ต้องเดาแล้ว หากเป็นเพราะฉิงมางเอ๋อได้นำจดหมายไปยังประตูเมืองหลัว บอกว่าผู้ที่ชนะการประลองฟ้าดินอย่างเจ้าเป็นคนของตระกูลชู่ ประตูเมืองหลัวจงใจเข้ามาเพื่อผูกมิตร หรือไม่ก็ประตูเมืองหลัวมาเพื่อแหล่งวิญญาณอันนั้นที่ข้าบอก ความจริงแล้ว พอผ่านช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาจะมาสืบข่าวที่นี่ แล้วดูว่ามีโอกาสจะได้มาไหม ที่บอกว่าจะเข้ามาช่วยเหลือเมืองเจ็ดสีครั้งนี้อาจเป็นเรื่องโกหก ความจริงก็มาเพื่อสืบข่าว ตามหาแหล่งวิญญาณมากกว่า ข้ารู้สึกว่า อันหลังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า” ผู้เฒ่าหลีบอก
———————————————————————
พอผู้เฒ่าหลีพูดแบบนี้ ชู่มู่ตกใจอย่างมาก
ชนเผ่าขั้นหนึ่งเท่ากับเขตโลกขั้นหนึ่งแล้ว เมืองเจ็ดสีกลับตั้งอยู่บริเวณขอบชนเผ่าแบบนี้ ในภาวะที่ไม่มีความสามารถมากพอ เมืองนี้จะเจริญได้คงเป็นปาฏิหาริย์ !
“ถ้าอย่างนั้นโลกตะวันตกกับโลกจั้นหลีเป็นเขตโลกระดับเท่าใด” ชู่มู่ถามขึ้น
“โลกตะวันตกถ้าไม่รวมประตูเมืองหลัวละก็ จะเป็นเขตโลกขั้นหนึ่งแน่นอน โลกจั้นหลีก็เป็นขั้นหนึ่ง โลกหลัว โลกน้ำแข็งเหนือรอบๆ เป็นเขตโลกขั้นสอง และเขตโลกทั้งสี่อันนี้นับว่าเป็นโลกรวมขั้นสาม”
“พูดให้ง่าย เขตโลกขั้นหนึ่ง ต้องให้เทียบเท่าราชันอย่างน้อยหนึ่งตัวปกครอง เขตโลกขั้นสองมีเทียบเท่าราชันหลายตัว เขตโลกขั้นสามมีราชันขั้นต่ำ เขตโลกขั้นสี่มีราชันขั้นต่ำหลายตัว เขตโลกขั้นห้ามีราชันขั้นกลาง..เช่นเดียวกัน ชนเผ่าก็เป็นแบบนี้…”
ก่อนหน้านี้ชู่มู่ยังไม่เข้าใจระบบพวกนี้ รู้แค่ต้องฝึกอย่างตั้งใจ พุ่งตรงไปอย่างเดียว อีกทั้งยังอยู่ในรุ่นวัยหนุ่มตลอด
ตอนนี้ถึงรู้ว่า ระบบที่ใช้แบ่งเขตเมือง เขตโลก พื้นที่ต่างๆ ของมนุษย์เป็นระบบอย่างมาก อีกทั้งยังเทียบเท่ากับ กลุ่ม ชนเผ่า อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต…
เมืองแห่งหนึ่ง ถ้าตั้งอยู่บริเวณโลกอลวนที่เทียบกันไม่ได้ จะเต็มไปด้วยภัยแน่นอน
และเห็นได้ชัดมากว่า เมืองเจ็ดสีตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบากแบบนี้ สำหรับพื้นที่ชนเผ่าแห่งหนึ่ง จะมีทรัพยากรมหาศาลแน่นอน แหล่งทรัพยากรนี้เทียบได้กับเขตโลกแห่งหนึ่ง แต่ด้านความห่างของความสามารถมากเกินไปจริงๆ อีกไม่กี่ปี เมืองเจ็ดสีนี้จะต้องเปลี่ยนเจ้าเมืองแล้ว
ชู่หลั่งไม่รู้ว่า ชู่มู่กำลังพูดกับผู้เฒ่าหลี จึงพูดต่อว่า
“เดิมจะเก็บกวาดเนินวายุอยู่แล้ว ดังนั้น ตระกูลชู่ของพวกเรายังต้อนรับคุณหญิงเสี่ยวหยุนมาก แม้อารมณ์ของเธอจะไม่ดีเท่าไร” ชู่หลั่งพูดต่อ
ชู่มู่พยักหน้า ไม่ใส่ใจเท่าไร ถามต่อว่า “ชู่ชิ่งกับชู่หยู่กลับมาหรือยัง”
พูดถึงสองคนนี้ สีหน้าของชู่หลั่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่ายหัวพูดว่า “ตั้งแต่พวกเขาถึงเมืองเทียนเซี่ย หลังจากส่งจดหมายให้พวกเรา ก็ไม่มีใครได้ข่าวของสองคนนี้อีก”
“ไม่ได้ข่าวงั้นหรือ” ชู่มู่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ชู่มู่จำได้ว่า ชู่ชิ่งกับชู่หยู่จะส่งจดหมายให้ตระกูลเป็นระยะๆ ก่อนหน้านี้ชู่มู่นึกว่าชู่หลั่งจะไม่พูดเรื่องการประลองฟ้าดิน เป็นเพราะยังไม่ได้จดหมาย กลับไม่คิดว่าเวลานานขนาดนี้แล้ว จดหมายของชู่ชิ่งกับชู่หยู่ยังไม่ถึงตระกูล !
ในตอนนี้ชู่มู่ได้เล่าเรื่องที่ตัวเองเจอกับชู่ชิ่ง ชู่หยู่ที่เมืองเทียนเซี่ย อีกทั้งให้พวกเขาเข้าร่วมตำหนักวิญญาณทั้งหมดนี้ให้กับชู่หลั่งฟัง
ชู่หลั่งฟังแล้วก็ตกใจ พูดขึ้นว่า “พวกเราไม่ได้จดหมายของพวกเขาจริงๆ ยังคิดว่า พวกเขาเจอเรื่องไม่ดี”
“แต่ว่าพวกเขาไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ถ้าพวกเขาเข้าร่วมตำหนักวิญญาณละก็ ความสามารถจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก!” ชู่หลั่งพูดด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
หลังจบการประลองฟ้าดิน ชู่ชิ่งกับชู่หยู่ได้บอกลากลับตระกูลแล้ว ถ้าพวกเขามีเรื่องที่ทำให้ล่าช้า จะกลับช้ากว่าชู่มู่แน่นอน
ถ้าที่ตระกูลยังไม่ได้จดหมายละก็ เท่ากับว่าพวกเขายังไม่รู้เรื่องการประลองฟ้าดิน ไม่แปลกที่ตอนชู่หลั่งเห็นตัวเอง แม้จะตื่นเต้น แต่ไม่มีอารมณ์อื่นแล้ว…
ชู่มู่ยังแอบแปลกใจ คนที่ได้ขั้นหนึ่งของการประลองฟ้าดินคนนี้ทำไมถึงไม่เกิดความสะเทือนใจ
แน่นอนว่า ชู่มู่ยังคงเป็นห่วงเรื่องจดหมาย หรือว่าคนขององค์กรวิญญาณจะสืบเรื่องตระกูลชู่ได้แล้ว เรื่องนี้ยังต้องสืบให้แน่ชัด
“ในเมื่อพวกเขากลับมาแล้ว น่าจะไม่มีเรื่องอื่น กลับไปที่ตระกูลก่อน ท่านปู่ ท่านอา และพี่น้องต้องคิดถึงเจ้าแน่นอน” ชู่หลั่งบอก
ชู่มู่พยักหน้า ขี่อสูรสายฟ้านิมิตราตรี ทำให้เกิดเสียงร้องนับไม่ถ้วน มุ่งตรงไปยังตำหนักเมืองเจ็ดสีนี้
…
เรือนตระกูลชู่ไม่สามารถบรรยายด้วยความหรูหราได้ นับว่าเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดสุดในเมืองแห่งนี้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับเรือนที่เมืองหวั่งหลัวแล้ว เรือนที่เมืองเจ็ดสีนี้โทรมกว่ามาก
“เกิดภัยแล้งบ่อยครั้ง ต่อให้สร้างเรือนให้ดี ก็อาจถูกทำลายได้ ดังนั้น ปีที่ผ่านมานี้พวกเราคอยซ่อมแซมทีละน้อยไปก่อน” ชู่หลั่งบอก
“ใครเป็นผู้รับผิดชอบวางแผนเมืองนี้” ชู่มู่ถามขึ้น
“ท่านอาสอง” ชู่หลั่งบอก
ชู่มู่พยักหน้า ในเมื่อท่านอาสองมีหน้าที่วางแผนเมือง รอให้ตอนที่ได้เจอกับชู่เทียนหลิง ชู่มู่จะให้เขาสร้างเรือนอย่างสบายใจ อย่างไรก็ตาม เมืองนี้รวมถึงเรือนของตระกูลชู่ทรุดโทรมเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ชู่มู่หวังจะเห็น
พอเข้ามาในประตูใหญ่ ตอนที่เดินเข้าสวนด้านหน้า ชู่หลั่งให้คนรับใช้ไปรายงานคนในตระกูลทันทีว่า ชู่มู่กลับมาแล้ว
คนรับใช้ส่วนใหญ่เป็นคนใหม่ ไม่รู้ว่าชู่มู่คือใคร อย่างไรก็ตาม ชู่หลั่งสั่งแล้ว ทำตามก็พอ
ชู่หลั่งพาชู่มู่ไปยังห้องโถงใหญ่ ชู่มู่รู้สึกว่า ในเมื่อจะทำให้ตระกูลเติบโต จำต้องพบคนทั้งหมดจริง ๆ เพื่อจัดการเรื่องทั้งหมดทีเดียว
…
สวนด้านหลัง ชู่หมิงที่ชราลงอย่างเห็นได้ชัดนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังให้อาหารปลาในบ่อน้ำ
บนไหล่ของชู่หมิงมีดวงวิญญาณเหยี่ยวตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ สายตาของมันเฉียดแหลมเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ขนาดตัวค่อนข้างเล็ก แต่เป็นสัตว์ดุร้ายแน่นอน
หลังจากผ่านไปสักพัก มีคนรับใช้หลายคนเดินเข้ามา พูดข้างหูชู่หมิง
ชู่หมิงลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ รีบโยนเหยื่อปลาลงไป แล้วเดินไปยังห้องโถงใหญ่ทันที คนรับใช้เหล่านั้นเห็นคนแก่รีบร้อนแบบนี้ ต่างก็เต็มไปด้วยความมึนงง
บนห้อง ชู่เทียนเหิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองไปยังด้านนอกด้วยใบหน้าที่เป็นทุกข์
ข้างชู่เทียนเหิงคือชู่เทียนหลิง เขาถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่มีวิธีจัดการ พวกเราต้องพยายามรีบออกจากเมืองนี้แล้ว ไม่มีเมืองนี้ได้ แต่ขาดคนไม่ได้”
“ข้าก็รู้ แต่การเติบโตของพวกเราในปีที่ผ่านมานี้ ได้สร้างศัตรูในเมืองตะวันตกถึงโลกตะวันตกไม่น้อย โดยเฉพาะตระกูลหลู่ จับจ้องพวกเราตลอด ถ้าพวกเราเปลี่ยนเมืองละก็ จะถูกพวกเขาและอำนาจของตระกูลอื่นแก้แค้นแน่นอน” ชู่เทียนเหิงพูดขึ้น
“พี่ใหญ่ ชู่เชียนมีข่าวอะไรบ้างไหม เธอบอกจะพาผู้แข็งแกร่งของตระกูลชู่หลักมาจัดการไม่ใช่เหรอ” ชู่เทียนหลิงถามขึ้น
“น่าจะใกล้กลับมาแล้ว แต่ในจดหมายบอกว่า ตระกูลชู่หลักในตอนนี้กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่เช่นกัน ชู่เชียนพาผู้แข็งแกร่งกลับมาได้ไม่มาก ที่ประตูเมืองหลัว ได้ให้เทียนเหยินติดต่อแล้ว เชื่อว่าช่วงนี้ เทียนเหยินน่าจะพาผู้แข็งแกร่งประตูเมืองหลัวกลับมา” ชู่เทียนเหิงบอก
ประตูเมืองหลัวกับตระกูลชู่หลักต่างเป็นอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลกตะวันตกนี้ ถ้าได้ผู้แข็งแกร่งจากพวกเขาเข้ามาช่วยเหลือ ปัญหาภัยแร้งปีนี้น่าจะจัดการได้
“หัวหน้ากลุ่ม รองหัวหน้า คุณชายชู่หลั่งบอกว่าคุณชายชู่มู่กลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่” หญิงรับใช้ตัวน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้าๆ พูดกับทั้งสองคนด้วยเสียงเบา
ชู่เทียนเหิงเห็นหญิงรับใช้เดินเข้ามา นึกว่าเป็นเรื่องปวดหัวอื่นๆ สะบัดมือ ให้เธอออกไป
และแล้ว ชู่เทียนหลิงได้สติกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ!
“ชู่มู่ !!!”
“ชู่มู่ !!!”
ทั้งสองคนพูดชื่อนี้ออกมาพร้อมกัน สบตากันเสร็จ หัวหน้ากลุ่มทั้งสองรีบลงจากห้องทันที ความนิ่งสงบและสุขุมเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนหายไปอย่างสิ้นเชิง
…
ในสนามฝึก ชู่อิงกำลังฝึกดวงวิญญาณของตัวเอง ในตอนนี้ คำพูดเดียวของคนรับใช้ทำให้ตาของเธอเป็นประกาย
“ชู่อิง ชู่มู่คือใคร ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ชายที่อยู่ข้างชู่อิงถามขึ้น
ชายคนนี้สวมชุดที่สะอาดสะอ้าน หรูหรา รูปร่างปานกลาง มองดูเหมือนเป็นคนที่มีตำแหน่ง
“ซุนหยวน เขาคืออัจฉริยะของตระกูลพวกเรา ตอนแรกตระกูลพวกเรากับตระกูลหยาง…” ชู่อิงกำลังจะพูดเรื่องในอดีต แต่คิดว่าซุนหยวนเป็นคนนอก เรื่องนี้ไม่เผยออกมาง่ายดายจะดีกว่า ในตอนนี้จึงเปลี่ยนไปชมว่า ชู่มู่อัจฉริยะอย่างไร
“ที่แท้เป็นลูกหลานสายตรงที่ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องของตระกูลพวกเจ้า ถ้าความสามารถแข็งแกร่งขนาดนั้นจริง ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อชู่มู่นี้มาก่อน” น้ำเสียงของชายที่ชื่อซุนหยวนปนความดูถูกเล็กน้อย
เรื่องที่ชู่มู่สั่นคลอนโลกตะวันตกเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว เดิมชื่อเสียงของวัยหนุ่มเป็นแค่กระแส ชู่มู่ที่ไม่ปรากฏตัวมาหลายปี ถูกลืมอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว
ซุนหยวนมาจากโลกจั้นหลี ตอนที่ออกมาฝึกได้เจอกับชู่อิง เขาชอบนิสัยตรงไปตรงมามีเสน่ห์ของชู่อิง และเป็นเพราะซุนหยวนเอง ทำให้ตระกูลชู่ได้กิจการเรือโดยสารมาได้
ดังนั้น ซุนหยวนเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลชู่
ความจริงแล้ว ซุนหยวนมีที่มาไม่ธรรมดามาก อย่าว่าแต่กิจการเรือโดยสาร ต่อให้เป็นกิจการหินผลึกของเขตโลกทั้งสองแห่ง เขาก็เอามาให้ได้ แต่การเผชิญกับตระกูลหนึ่งของเมืองขั้นเก้าแบบนี้ เขาเองก็ขี้เกียจบอกตำแหน่งคุณชายใหญ่องค์กรการค้าของเขตโลกทั้งสองของตัวเองออกมา
ในภาวะที่ปกปิดตัวตน ชู่อิงยังคอยชมว่า ผู้ชายคนนี้เก่งอย่างไรต่อหน้าเขาอีก วัยหนุ่มย่อมแอบไม่พอใจ อีกทั้งชู่อิงไม่ใช่ผู้หญิงละเอียดอ่อนเหมือนคนอื่น ระหว่างทางที่เดินไปยังห้องโถงใหญ่ ได้พูดถึงชู่มู่ตลอด ไม่ปกปิดความนับถือและความชื่นชอบที่มีต่อชู่มู่แม้แต่น้อย นี่ทำให้ซุนหยวนที่ลดตัวลงและปกปิดตัวตนไม่พอใจเท่าไร
“ในเมื่อเขาแข็งแกร่งขนาดนั้น เขากลับมาแล้ว เขาคนเดียวก็จัดการปัญหาตระกูลเจ้าได้แล้วงั้นหรือ” ซุนหยวนยิ้มอย่างเยือกเย็น พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“นี่…อย่างไรเขามาคนเดียว ว่าแต่ เจ้าจะส่งคนของเจ้ามาช่วยพวกเราจัดการเรื่องนี้ คนของเจ้าจะมาถึงเมื่อไร” ชู่อิงไม่เห็นความไม่พอใจของซุนหยวน ถามต่อ
“จะมาถึงในไม่กี่วัน” พูดถึงเรื่องนี้ ซุนหยวนกลับฉีกยิ้มออกมา
เพื่อให้ได้ชู่อิงมา ซุนหยวนได้ทุ่มเทอย่างมาก แน่นอนว่าเพื่อให้เกิดผลที่สะเทือนใจยิ่ง เขาจึงไม่เปิดเผยอะไรมาตลอด แต่กลับแอบส่งผู้แข็งแกร่งองค์การค้ามายังเมืองเจ็ดสีเพื่อแก้ปัญหาในครั้งนี้
ซุนหยวนไม่เคยบอกว่า จะมีผู้แข็งแกร่งมากี่คน แต่เพียงแค่บอกว่า ผู้แข็งแกร่งพวกนี้มาถึงเมื่อไร คาดว่าวินาทีนั้นทั้งเมืองเจ็ดสีจะต้องสะเทือนอย่างมากแน่นอน !
ถึงตอนนั้น ซุนหยวนไม่เชื่อว่า ชู่อิงน้อยจะไม่หลงใหลในตัวเขา
“ปัญหานี้ข้าจะจัดการให้ ในเมื่อตระกูลอยู่ที่เมืองเจ็ดสี ข้าจะมุ่งหน้าไปเมืองเจ็ดสี” ชู่มู่บอก
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าหลีบอกว่า แหล่งวิญญาณอยู่ที่เมืองซีหลิน เมืองนี้เชื่อมกับเมืองตะวันตก ชู่มู่ไม่คิดว่า เมืองของตระกูลจะอยู่ในเมืองที่ใกล้กับแหล่งวิญญาณนี้ ถ้าชู่มู่ต้องการวิญญาณในระยะยาว จำต้องช่วยเหลือตระกูลจริง ๆ
“พอดี ที่นี่ยังไม่มีเรื่องอะไร ข้ากลับไปพร้อมกับเจ้าเถอะ คาดว่าทุกคนเห็นเจ้ากลับมา จะต้องดีใจอย่างมาก” ชู่หลั่งบอก
ตอนที่พูด ชู่หลั่งได้ให้ชู่เซิ่งฮวาจัดการเรื่องร้านผลึกนี้
“ในแหวนช่องว่างนี้มีเศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ หินผลึก ถือว่าเป็นของขวัญเล็กๆ ที่ข้านำกลับมา” ตอนที่พูด ชู่มู่ได้หยิบแหวนช่องว่างที่ไม่สะดุดตาเท่าไรออกมา
ในแหวนช่องว่างนี้เป็นของเล็กๆ น้อยๆ ชู่มู่มอบแหวนช่องว่างนี้ให้ชู่เซิ่งฮวา
แม้ชู่หลั่งเองก็อยากรู้ว่า ชู่มู่ให้ของขวัญเล็ก ๆ อะไรมา แต่ไม่ได้ถามอีก อย่างไรก็ตาม ของที่ชู่มู่ให้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
ในตอนนี้ ชู่หลั่งได้ปลุกเสือปีกของตัวเอง คิดจะพาชู่มู่ออกเดินทางไปยังเมืองเจ็ดสีทันที
ชู่หลั่งกับชู่มู่จากไปไม่นาน เสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นในร้านหินผลึกทันที
เสียงนี้มาจากชู่เซิ่งฮวา เขาได้ทำใจไว้แล้วระดับหนึ่ง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า จะมีผลึกวิญญาณ หินผลึกนับพันแบบนี้อยู่ อีกทั้งมีผลึกวิญญาณ หินผลึกขั้นแปดสิบกว่าอัน แล้วยังมีขั้นเก้าอันหนึ่งอยู่ !
ร้านค้าไม่เคยได้ค้าขายหินผลึกขั้นเก้ามาก่อน ส่วนใหญ่มักจะส่งเข้าสถานแลกเปลี่ยนเพื่อทำการประมูล นี่ไม่ใช่ของขวัญเล็กๆ แล้ว นี่เป็นเงินจำนวนมหาศาลที่เหมาร้านใหญ่ทั้งร้านนี้ได้แล้ว !
ในตอนนี้ ชู่เซิ่งฮวาแอบชื่นชม ความสามารถของวัยหนุ่มที่เปลี่ยนชะตาตระกูลนี้อยู่ในระดับที่น่าตกใจมากเพียงใดกัน
…
ชู่หลั่งมีเสือปีกอยู่ ถ้าบินโดยตรงละก็ น่าจะสะดวกไม่น้อย เดิมชู่หลั่งจะให้ชู่มู่ขี่เสือปีกกลับไปพร้อมกับตัวเอง
และแล้วชู่หลั่งกลับพบว่า อสูรสายฟ้านิมิตราตรีของชู่มู่วิ่งด้วยความช้ายังไวกว่าเสือปีกของเขามาก ทำได้แค่ให้เสือปีกของตัวเองกระพือปีกสุดกำลังตามชู่มู่ไป
ระหว่างทาง ชู่หลั่งได้เล่าเรื่องของตระกูลในปีที่ผ่านมานี้ให้ชู่มู่ฟัง
ด้วยเมืองเจ็ดสี ทำให้ปีที่ผ่านมานี้ตระกูลเติบโตอย่างรวดเร็ว มีพื้นที่ขั้นแปดหลายแห่งแล้ว
ความสมบูรณ์ของพื้นที่ขั้นแปดนี้ย่อมไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยจะจับดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับจักพรรดิจากในนั้นได้ ต่างจากตระกูลชู่เล็กๆ เมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้ครอบครองแหล่งทรัพยากร ตระกูลเองก็ซื้อวัตถุวิญญาณราคาแพงได้แล้ว ความสามารถของรุ่นท่านอาเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน ชู่เทียนเหิงเป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุด
ดวงวิญญาณของชู่เทียนหมังมีสมรรถภาพที่ไม่แย่ ส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะเจ็ดที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ เนื่องจากไม่ได้ทรัพยากรทำให้ความสามารถดวงวิญญาณอยู่ในลักษณะเจ็ดเป็นเวลานาน ไม่สามารถข้ามไปลักษณะแปดได้
แต่ในปีที่ผ่านมานี้ ด้วยวัตถุวิญญาณที่ได้มา บวกกับชู่เทียนเหิงมักสู้กับหายนะของเมืองเจ็ดสีบ่อยครั้ง หนึ่งในดวงวิญญาณหลักได้มีโอกาสเพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถของชู่เทียนเหิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีดวงวิญญาณไม่น้อยที่อยู่ในลักษณะสิบแล้ว นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงในเมืองตะวันตก
หลายครั้งผู้คุมดวงวิญญาณก็ต้องอาศัยดวง ทันทีที่ได้มา จะพุ่งทะยานขึ้น
แน่นอนว่า สิ่งที่เรียกว่าดวงมักมาพร้อมกับอันตรายมหาศาลไม่ใช่ทุกคนจะเข้าไปในโลกอลวนบ่อยครั้งอย่างบ้าคลั่งเหมือนชู่มู่ คนปกติ เข้าไปครั้งสองครั้งก็ไม่มีความกล้าอีกแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องดวง…
ชู่เหอ ผู้แข็งแกร่งลำดับที่สองของตระกูลชู่ ชู่เหอเป็นรุ่นวัยหนุ่ม เดิมเขาเป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่มีพรสวรรค์อย่างมากคนหนึ่งอยู่แล้ว ในตอนแรกความสามารถของเขาไม่ด้อยกว่าชู่ซิ่งเท่าไร
เขตเมืองเป็นรองจากเขตโลก คาดว่าความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดน่าจะอยู่ที่จักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบ อีกทั้งคนที่มีความสามารถแบบนี้มักอยู่ในเมืองเขตโลก ไม่ชอบอยู่ในเมืองเล็กๆ โดยเฉพาะเมืองตะวันตกที่ค่อนข้างไกลและยากจนแบบนี้ อาจไม่มีแม้แต่จักรพรรดิชั้นยอดก็ได้…
ดังนั้น ชู่มู่คาดว่า ดวงวิญญาณตัวใดของตัวเองน่าจะอยู่ในสิบอันดับแรกของความสามารถเขตเมืองนี้แล้ว
…
เวลาประมาณสามวัน ชู่มู่กับชู่หลั่งได้มาถึงเมืองเจ็ดสีแล้ว
ตอนแรกชู่มู่รู้สึกว่า เมืองเจ็ดสีเป็นถึงเมืองขั้นเก้า เมื่อเทียบกับเมืองหวั่งหลัวขั้นแปดเมื่อก่อนจะต้องเจริญกว่ามาก
และแล้ว ในตอนที่ชู่มู่เห็นเมืองนี้ กลับผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
เมืองนี้ไม่ได้ดีอย่างที่ชู่มู่คิดไว้ นอกจากกว้างกว่าเมืองขั้นแปดมากแล้ว ในนั้นกลับธรรมดามาก อีกทั้งไม่สามารถใช้คำว่าธรรมดาได้…
ถนนเต็มไปด้วยรอยแยกมากมาย บ้านหินที่เก่าและเตี้ย ฝูงคนที่เสียงดังไร้ระเบียบ แม้แต่กำแพงเมืองที่สำคัญอย่างมาก ยังมีหลายจุดที่เกิดการถล่มชัดเจน
“นี่…แม้ภายนอกเมืองเจ็ดสีจะไม่เท่าไร แต่ยังได้กำไรไม่น้อย” ชู่หลั่งพูดพร้อมฝืนยิ้ม สีหน้าของเขาในตอนนี้ เหมือนญาติที่กลับมาเยี่ยมเยียน แต่บ้านของตัวเองกลับเสียหายอย่างมากจนน่าอับอาย
เมืองตะวันตก ยังคงเทียบกับเมืองหวั่งหลัวของเมืองหลัว หลังจากเห็นภาพนี้ ชู่มู่เองได้เข้าใจแล้ว
ตระกูลได้ตั้งอยู่บนเมืองที่ยากลำบากแห่งหนึ่ง เกรงว่าปีที่ผ่านมานี้ คนในตระกูลคงยากลำบากกว่าหลายสิบปีที่เมืองหวั่งหลัวมาก
เดินไปตามถนนหลักที่เสียหายอย่างหนัก ตลอดทางที่เดินไป ชู่มู่เห็นแต่ร้านค้าที่ทรุดโทรมอย่างมาก การซื้อขายส่วนใหญ่เป็นหินผลึก ผลึกวิญญาณ เศษวิญญาณ และหินแร่พลังงานต่างๆ เห็นได้ชัดว่า ที่นี่เป็นเมืองที่มีทรัพยากรหินแร่ที่สมบูรณ์ มิฉะนั้นด้วยลักษณะทรุดโทรมของเมืองนี้ เกรงว่าคงไม่มีคนจะเข้ามา
“ข้อเสียใหญ่สุดของเมืองนี้คือภัยแร้งและสิ่งมีชีวิตรอบๆ ดุร้ายเกินไป ท่านอาใช้เวลาหลายปีสำรวจมาแล้ว ถ้าจัดการต้นเหตุหายนะรอบๆ ได้ เมืองเจ็ดสีจะเจริญกว่าเมืองตะวันตกแน่นอน อีกทั้งถ้าทำถนนเชื่อมหลายเส้นละก็ พวกเราจะทำกิจการเหมืองแร่ของทั้งเขตโลกได้ ถึงตอนนั้น พวกเราจะเป็นตระกูลอันดับกลางถึงต้นของเขตโลกแล้ว” ชู่หลั่งพูดกับชู่มู่ต่อ
ชู่มู่กำลังจะพูดบางอย่าง ในตอนนี้รถม้าคันหนึ่งที่ขับเข้ามามีหัวยื่นออกมา เธอมองไปยังอสูรสายฟ้านิมิตราตรีของชู่มู่ เผยความสงสัยออกมา
“ชู่หลั่ง คนที่อยู่ข้างเจ้าคือใคร แนะนำหน่อย” หญิงสาวที่ยื่นหัวออกจากรถม้าถามขึ้นทันที
“คนนี้คือชู่มู่ น้องชายที่เป็นญาติสนิทของข้า คุณหญิงเสี่ยวหยุนมาเมืองเจ็ดสีอีกแล้ว ครั้งนี้จะมุ่งหน้าออกล่าที่เขตชื้นวายุอีกเหรอ?”ชู่หลั่งฉีกยิ้มออกมา พูดกับหญิงสาวในรถม้า
“รู้แล้วยังถาม ข้าจะเดินเล่นในเมือง ซื้อของเล็กน้อย เจ้ากลับตระกูลเจ้า บอกพวกเขาว่าข้ามาแล้ว เตรียมของให้เรียบร้อย…”คุณหญิงเสี่ยวหยุนพูดด้วยความเย่อหยิ่งเล็กน้อย
พูดจบ เธอมองไปยังชู่มู่ ไม่รอให้ชู่หลั่งแนะนำเธอให้ชู่มู่รู้จัก ก็ให้รถม้าเคลื่อนที่ต่อไปแล้ว
รถม้าของผู้หญิงคนนี้เคลื่อนที่โดยปีศาจลูกม้าดาวป่าสองตัว อีกทั้งมีลักษณะขั้นสูงมาก มองจากตรงนี้ก็รู้ว่าเธอมีตำแหน่งไม่ธรรมดาในเมืองนี้
ชู่มู่มองไปยังผู้หญิงคนนั้น กลับไม่พูดอะไร แต่ท่าทีชอบออกคำสั่งของลูกคุณหนูทำให้ชู่มู่ไม่ชอบใจอย่างมาก
“เธอเป็นลูกสาวของเจ้าเมือง เป็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มห้าอันดับของเมืองพวกเรา ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง เธอจะมาที่เมืองเจ็ดสี มุ่งหน้าเพื่อออกล่าฝึกฝนที่เขตชื้นวายุ ตอนที่มาจะให้พวกเราต้อนรับ นับว่าเป็นลูกค้าที่สนิทคนหนึ่ง” ชู่หลั่งพูดอธิบาย
“เขตชื้นวายุงั้นหรือ” ชู่มู่ถามขึ้น
“เขตชื้นวายุเป็นหนึ่งในอุปสรรคขยายกิจการของตระกูลพวกเรา ในนั้นมีดวงวิญญาณลักษณะขั้นสูงกลุ่มใหญ่ ตระกูลของพวกเราใช้เงินมหาศาลจ้างคนไปเก็บกวาด มิฉะนั้น จะเกิดอุปสรรคครั้งใหญ่ในด้านการขนส่ง…” ชู่หลั่งบอก
ตอนที่ชู่หลั่งพูดจบ เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้นว่า “เขตชื้นวายุนี้อยู่ที่ขอบของบ่อน้ำตะวันตก บ่อน้ำตะวันตกเข้าใกล้เมืองต้องห้ามอย่างมากแล้ว นับว่าเป็นโลกอลวนขั้นเก้าแห่งหนึ่ง…”
“โลกอลวนขั้นเก้า ถ้าอย่างนั้นมันจะมีสิ่งมีชีวิตระดับราชันอยู่ใช่หรือไม่” ชู่มู่รีบถามขึ้น
“อืม ความจริงการแบ่งระดับโลกอลวนไม่เข้มงวดมาก เหมาะกับผู้คุมดวงวิญญาณต่ำกว่าราชัน อย่างไรก็ตามสำหรับผู้คุมดวงวิญญาณเหล่านี้แล้ว โลกอลวนขั้นสิบคือสูงสุดแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นต้องแบ่งอย่างไร” ชู่มู่ถามขึ้น
“โลกอลวนในบรรดาโลกมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นโลกอลวนสลับซับซ้อน กลุ่มพวกนั้นไม่มีกฎระเบียบที่แท้จริง และในเมืองต้องห้าม กลุ่มดวงวิญญาณใหญ่จะมีการแบ่งอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับอาณาจักรปีศาจวายุร้ายของเมืองพันวายุ อาณาจักรแมลงปีศาจเวหาของเหวดับมังกรหมื่นนั้น”
“และภายใต้รูปแบบอาณาจักรยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ชนเผ่า’ กับ ‘กลุ่ม’ อยู่”
“ถ้าแบ่งกลุ่มตามแบบนี้ละก็ กลุ่มที่ว่าจะเทียนได้กับเขตเมืองของพวกเจ้า มนุษย์พวกเจ้าแบ่งเขตเมืองออกเป็นสิบระดับ เมืองขั้นสิบเรียกว่า เมืองอาณาเขต ต่ำกว่าขั้นสิบเรียกว่าเมือง เช่นเมืองขั้นเก้า เมืองขั้นแปด…”
“ความจริงนี่เป็นวิธีเรียกของคนทั่วไป เมืองขั้นเก้า เมืองขั้นแปด เมืองขั้นเจ็ดต่างๆ ความจริงควรจะเรียกว่าเมืองอาณาเขตขั้นเก้า ขั้นแปด…พื้นที่ของเมืองในระดับพวกนี้ ควรแบ่งระดับตามเขตเมืองด้วย เช่นเมืองเจ็ดสีเป็นเมืองขั้นเก้า พื้นที่ทั้งหมดของมันจะเป็นเขตเมืองขั้นเก้า”
“กลุ่มขั้นหนึ่ง เทียบได้กับเขตเมืองขั้นหนึ่งของพวกเจ้า คือเมืองขั้นหนึ่งที่พวกเจ้าพูดถึง กลุ่มขั้นเก้า เท่ากับเขตเมืองขั้นเก้าของพวกเจ้า น่าจะเทียบเท่ากับพื้นที่และจำนวนประชากรของเมืองเจ็ดสีซึ่งเป็นเมืองขั้นเก้าได้”
“เหนือกว่าเขตเมืองขั้นสิบ จะเป็นเขตโลกขั้นหนึ่ง เขตโลกขั้นหนึ่งจะเทียบเท่ากับชนเผ่าของสิ่งมีชีวิตขั้นหนึ่ง” ผู้เฒ่าหลีบอก
ในตอนแรกชู่มู่ก็แปลกใจอย่างมาก ทำไมเมืองอาณาเขตหนึ่งเป็นของเขตเมืองเล็กๆ แต่กลับถูกแบ่งอยู่ในลำดับสูงสุดของสิบขั้น ที่แท้เมืองขั้นเก้า ขั้นแปด ขั้นเจ็ดที่ว่าเป็นเขตเมืองที่เล็กกว่า
“หายนะเมืองเจ็ดสี มาจากชนเผ่าขั้นหนึ่งของเทียนเท่าราชันแห่งหนึ่ง !”
“อีกทั้งต้นตอของเขตชื้นวายุ บ่อน้ำตะวันตกน่ากลัวยิ่งกว่า เป็นชนเผ่าขั้นสามของราชันขั้นต่ำตัวหนึ่ง !”
“เขตเมืองเล็กที่เทียบเท่ากับกลุ่มขั้นเก้าแห่งหนึ่ง ไม่มีแม้แต่จักรพรรดิชั้นยอด ถ้าจะเอาชีวิตรอดจากขอบและช่องว่างระหว่างชนเผ่าที่ใหญ่แบบนี้ เป็นเรื่องที่น่าหวาดระแวงอย่างมาก ทำเงินหลายปีเสร็จแล้วก็รีบเผ่นเถอะ…” ผู้เฒ่าหลีบอก
ด้วยความเร็วของชู่มู่ในตอนนี้ ถ้าขี่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีตรงไปละก็ น่าจะใช้เวลาหนึ่งเดือนก็จะถึงตระกูลชู่ได้
ทว่า ชู่มู่กลับเลือกเส้นทางเขาที่ไม่มีใครกล้าใช้ในโลกจั้นหลีและโลกตะวันตก
เส้นทางเขานี้เป็นเนินเขาของภูเขาจั้นซี ที่นี่เป็นโลกอลวนมหาศาลต่างๆ เนื่องจากในภูเขามีทรัพยากรสมบูรณ์มาก ลักษณะขั้นของดวงวิญญาณต่างๆ จะสูงมาก อีกทั้งก่อตัวเป็นกลุ่ม ถ้าไม่ระวังจะเจอกับฝูงดวงวิญญาณนับร้อยพันได้
โลกอลวนจะต้องมีระดับอยู่ แบบนี้ถึงจะตอบสนองความต้องการในการฝึกของผู้คุมดวงวิญญาณในระดับที่ต่างกันได้ ส่วนภูเขานี้นับว่าเป็นพื้นที่ไม่มีการแบ่งแยกท่ามกลางโลกทั้งสองนี้ ถ้าไม่มีความสามารถมากพอ เข้ามาจะต้องตายมากกว่ารอดแน่นอน
ในเมื่อชู่มู่คิดจะตามหาวัตถุวิญญาณที่ทำให้ดวงวิญญาณของตัวเองเพิ่มขึ้นจนอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดได้ ภูเขาแห่งนี้มีทรัพยากรสมบูรณ์แบบนี้ เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นพื้นที่ใช้ฝึกของชู่มู่
…
ชู่มู่ต่างจากผู้คุมดวงวิญญาณอื่น ผู้คุมดวงวิญญาณที่ฝึกตนคนอื่นจะหลีกเลี่ยงการเจอฝูงดวงวิญญาณ
ชู่มู่กลับมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีฝูงอยู่ ถ้าจำนวนการต่อสู้ไม่ถึงพันละก็ ชู่มู่เองยังรู้สึกไม่สะใจมากพอ
อย่างไรก็ตาม โลกตะวันตกกับโลกจั้นหลีเป็นที่เล็ก ๆ ดวงวิญญาณระดับสูงมีไม่มาก ชู่มู่ย่อมใช้จำนวนของดวงวิญญาณทดแทนระดับที่ขาดไปเพื่อให้ได้การต่อสู้ที่เพียงพอ
การฝึกหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชู่มู่เองได้ผลึกวิญญาณหมวดไม้ขั้นสิบมาหนึ่งอัน ผลึกวิญญาณหมวดไม้ขั้นสิบนี้เหมาะที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ปีศาจนักรบไม้อย่างมาก
แน่นอนว่า มีวัตถุวิญญาณแล้ว ถ้าเพิ่มความแข็งแกร่งให้ปีศาจนักรบไม้ในตอนนี้ละก็ ใช่ว่ามันจะเพิ่มระดับขึ้นได้ ต้องรอให้ผ่านไปอีกประมาณสองเดือน มิฉะนั้น ผลึกวิญญาณหมวดไม้ขั้นสิบนี้คาดว่าจะสำเร็จได้แค่ร้อยละสิบ
ในเวลาหนึ่งเดือนที่อยู่ในภูเขาแห่งนี้ ชู่มู่มักให้มังกรจำศีลน้อยลงมือจัดการสิ่งมีชีวิตลักษณะขั้นอ่อนแอบางตัว และทุกครั้งที่มังกรจำศีลต่อสู้ มั่วเย้ต้องอยู่ข้างตลอด เพื่อทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
ผ่านการต่อสู้ต่อเนื่อง มังกรจำศีลน้อยเติบโตอย่างรวดเร็ว ในตอนที่ชู่มู่ออกจากภูเขาแห่งนี้ มังกรจำศีลอยู่ในขั้นแปดแล้ว
จากการคาดคะเนก่อนหน้านี้ของชู่มู่ เวลาสองเดือนจะทำให้มังกรจำศีลน้อยอยู่ในลักษณะสอง ตอนนี้เพิ่งผ่านไปแค่เดือนเดียวก็อยู่ในลักษณะหนึ่งขั้นแปดแล้ว ทำให้เห็นผลของการต่อสู้ต่อเนื่องอย่างชัดเจน
…
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ชู่มู่ได้เข้าสู่พื้นที่ของเมืองตะวันตกโลกตะวันตก
เมืองตะวันตกเป็นเมืองของโลกตะวันตก หลังจากที่ชู่มู่ออกจากภูเขา ได้เริ่มเก็บข่าวเกี่ยวกับตระกูลชู่
ในเมื่อตระกูลชู่ขยายกิจการไปยังโลกจั้นหลีได้ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้เป็นตระกูลในเมืองขั้นแปดธรรมดาแล้ว ตอนนี้น่าจะมีชื่อเสียงไม่น้อยในเมืองชั้นสิบ
และแล้ว หลังจากที่ชู่มู่สืบข่าว ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว เมืองตะวันตกมีตระกูลชู่อยู่จริงๆ นับว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งในเมืองตะวันตก ในเมืองระดับกลางของเมืองตะวันตกนี้ล้วนมีกิจการของตระกูลชู่อยู่
ส่วนคนที่จัดการกิจการในเมืองตะวันตกคือชู่หลั่งที่เคยเข้าร่วมการประลองตระกูลพร้อมกับชู่มู่ในตอนนั้น
ชู่หลั่งเป็นคนที่มองการณ์ไกล นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถลำดับต้น ๆ ของวัยหนุ่มในตระกูล ได้ข่าวว่าความสามารถของเขาในตอนนี้นับว่าอยู่ในลำดับต้นของวัยหนุ่มเมืองตะวันตกเช่นกัน
ลักษณะขั้น และระดับของดวงวิญญาณเพิ่มขึ้นโดยการต่อสู้และการฝึกอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่ง อีกส่วนต้องใช้การเสริมด้วยวัตถุวิญญาณ ถ้าบอกว่ากิจการของตระกูลชู่ขยายได้ขนาดนี้แล้ว คาดว่าเหล่าวัยหนุ่มได้ทรัพยากรไม่น้อย ความสามารถย่อมเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว
กิจการของตระกูลชู่ในเมืองตะวันตกนี้คือการซื้อขายหินผลึก ผลของหินผลึกเหมือนกับผลึกวิญญาณ อีกทั้งผลึกวิญญาณมีค่ากว่าเงินทองอีก ราคาของมันจะไม่ตกด้วย
แม้ชู่มู่ไม่รู้เรื่องกิจการเท่าไร แต่พอจะเข้าใจได้ว่า ตระกูลชู่สามารถทำกิจการหินผลึกแบบนี้ได้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเล็กๆในเมืองขั้นแปดจะเทียบได้
จากที่เห็นมา ตอนนั้นที่ให้ตระกูลย้ายถิ่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ในตอนนี้ ตระกูลได้ทำลายขีดจำกัดเดิม เจริญอย่างมาก
ชู่มู่มาถึงถนนใจกลางเมือง พบตึกร้านหินผลึกสี่ชั้นอย่างรวดเร็ว
ชู่มู่เดินเข้าไปในร้าน พนักงานร้านวิ่งเข้ามาอย่างเป็นมิตร พูดขึ้นอย่างคล่องแคล่วว่า
“ยินดีต้อนรับคุณลูกค้า ร้านของเรามีหินผลึกหมวดต่างๆ มากมาย ชั้นหนึ่งเป็นหินผลึกขั้นหนึ่งถึงสอง ชั้นสองเป็นหินผลึกขั้นสามถึงสี่ ชั้นสามเป็นหินผลึกขั้นห้าถึงหก ชั้นสี่…ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการหินผลึกระดับใด ในด้านราคา รับรองได้ว่าจะต้องเป็นที่พึงพอใจของคุณลูกค้าแน่นอน…”
“เจ้าของร้านของพวกเจ้าคือชู่หลั่งใช่หรือไม่” ชู่มู่ถามขึ้นตรง ๆ
ของที่อยู่ในขั้นสิบ ไม่เป็นที่สนใจของชู่มู่ในตอนนี้แล้ว นอกจากจะมีเป็นจำนวนมาก
“ขอรับ คุณชายชู่ตอนนี้อยู่ชั้นสี่ คุณลูกค้ามีธุระต้องการเจรจากับคุณชายชู่หรือไม่ ถ้ามีละก็ ข้าน้อยจะรีบไปรายงานเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น ขอให้คุณลูกค้ารอสักครู่” พนักงานตัวน้อยพูดดีเหมือนกัน
แน่นอนว่า โดยหลักแล้วพนักงานเห็นจิ้งจอกเก้าหางตัวน้อยที่งดงามสูงส่งที่หมอบอยู่บนไหล่ของชู่มู่ ดวงวิญญาณแบบนี้แค่มองก็รู้ว่า น่าจะมีราคาแพงมาก คาดว่าคนนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งแน่นอน
ชู่มู่คิดเล็กน้อย เหมือนว่าหลังจากที่ตัวเองทำการฆ่าล้างในภูเขา ได้ผลึกวิญญาณ หินผลึกมาไม้น้อย จัดการได้พอดี
“ข้ามีผลึกวิญญาณ หินผลึกนับพันชิ้นต้องจัดการ พาข้าขึ้นไปเถอะ” ชู่มู่พูดนิ่ง ๆ
พนักงานตัวน้อยได้ยินอึ้งเล็กน้อย” พันชิ้นเหรอ”
พนักงานย่อมไม่กล้าถามมากเกินไป รีบพาชู่มู่ขึ้นไปชั้นสี่ แอบคิดในใจ ลูกค้ารายใหญ่มาแล้ว !
ชู่มู่เดินขึ้นบันได ตอนที่ถึงชั้นสาม ร่ายวิญญาณของเขาได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง
“เฮ้อ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตอนแรกข้าไม่เห็นด้วยแล้วที่จะให้ตระกูลของเราไปอยู่ที่เมืองเจ็ดสี ทั้งเมืองตะวันตกนี้จะมีใครไม่รู้บ้างว่าที่นั่นมีภัยแร้งอะไรนั่นทุกเมื่อ ตระกูลของเราใช้เงินไปกับการป้องกันพวกนั้นมามากแค่ไหนแล้ว แม้จะได้กำไรสูง แต่เสี่ยงเกินไปจริง ๆ …”
“ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ตระกูลของพวกเราเติบโตได้ไวขนาดนี้ ก็เป็นเพราะทรัพยากรของเมืองเจ็ดสี ตอนนี้เกิดปัญหาแล้ว ต้องจัดการให้ได้” เสียงของชายอีกคนหนึ่งดังขึ้น
ตอนที่พูด ทั้งสองเหมือนจะได้ยินเสียงเดิน หยุดพูดทันที
เดินขึ้นมาชั้นสี่ ชู่มู่เห็นชู่หลั่งที่สวมชุดสีเขียวทันที ชู่หลั่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้านข้างมีเสือปีกตัวหนึ่งที่กำลังนอนหลับอยู่ น่าจะอยู่ที่ลักษณะแปดเก้า
ด้านข้างชู่หลั่งคือผู้ชายที่มีอายุมากกว่าหน่อยคนหนึ่ง ชู่มู่จำชื่อของชายคนนี้ไม่ได้ แต่น่าจะเป็นลูกหลานรองเช่นเดียวกับชู่หลั่ง
“สหายท่านนี้…” ชู่หลั่งลุกขึ้น สายตาจับจ้องไปยังชู่มู่ กำลังจะพูดตามมารยาท กลับพบว่าชายหนุ่มชุดขาวรูปงามคนนี้ที่คุ้นเคยอย่างมาก
ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา ในตอนที่เข้ามาในเมืองตะวันตก ชู่มู่ได้ให้ผู้เฒ่าหลีเปลี่ยนใบหน้าของตัวเองให้กลับมาเหมือนเดิมแล้ว แม้จะผ่านไปหลายปี แต่ชู่หลั่งไม่มีทางลืมใบหน้าของชู่มู่ได้
และแล้ว ตอนแรกชู่หลั่งยังสงสัยอยู่ แต่หลังจากนั้น ใบหน้าของเขาเผยความตกใจ และความดีใจออกมา !
“ชู่มู่ เจ้าคือชู่มู่ !” ชู่หลั่งร้องด้วยความตกใจ รีบก้าวมาข้างหน้า !
“ข้าเอง ชู่หลั่ง ไม่เจอกันนานมากแล้ว” ชู่มู่เดินเข้าไป เข้ากอดกับชู่หลั่งแน่น
“เจ้าจริงด้วย ข้า…ข้า…” ชู่หลั่งเองก็ตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
หลังจากสลายตระกูลหยางในตอนนั้น ชู่มู่ได้เสนอให้ย้ายตระกูล หลังจากนั้นคนของตระกูลไม่เคยเห็นชู่มู่อีก
เดิมชู่หลั่งที่คิดว่าชู่มู่ที่บินสูงขึ้น ไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จะไม่กลับมาตระกูลเล็กๆ นี้อีก ไม่คิดว่า ชู่มู่จะกลับมาจริงๆ นี่ทำให้ชู่หลั่งทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น
หลังจากทักทายแล้ว ชู่หลั่งเองได้รีบแนะนำวัยหนุ่มที่อยู่ด้านข้างให้ชู่มู่รู้จัก
วัยหนุ่มคนนี้ชื่อชู่เซิ่งฮวา เป็นลูกหลานรอง หลังจากย้ายมาในเมืองตะวันตก เขาทำงานเป็นอย่างดี ตอนนี้เป็นผู้ช่วยของชู่หลั่ง คอยช่วยเหลือกิจการหินผลึกของชู่หลั่งในเมืองตะวันตกนี้
“ชู่หลั่ง เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ต้นเหตุหายนะเมืองเจ็ดสีคืออะไร” ชู่มู่พูดเรื่องจริงจังทันที
“อ๊า ข้ากำลังจะบอก” ชู่หลั่งตบหัวตัวเอง ในตอนนี้จึงเหล่าปัญหาที่ตระกูลชู่กำลังพบเจอให้ชู่มู่ฟัง
ที่แท้ หลังจากที่ตระกูลชู่ย้ายมา ได้เลือกเมืองเจ็ดสีเป็นที่ตั้งของตระกูล
เมืองเจ็ดสีเป็นเมืองขั้นเก้า ในด้านทรัพยากร พื้นที่ ความสัมพันธ์ดีกว่าเมืองหวั่งหลัวมาก และเมืองตะวันตกยังต้องซื้อทรัพยากรหายากจากที่นี่
เป็นเพราะเมืองแห่งนี้ ทำให้ตระกูลชู่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ
และแล้ว เมืองนี้มีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ มักจะเกิดภัยแร้ง
ภัยแร้งที่ว่า ไม่ใช่การขาดแคลนอาหาร แต่เป็นภัยแร้งงที่ดวงวิญญาณจำนวนมหาศาลทำการกวาดล้าง ทำลายเมืองของมนุษย์ เข้าครอบครองแหล่งทรัพยากรของมนุษย์
ปรากฏการณ์ภัยแร้งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเมืองเจ็ดสีเต็มไปด้วยหายนะต่าง ๆ อยู่แล้ว จะเกิดการปล้นชิงหลานปี
ในตอนนี้ ตระกูลชู่เพิ่งพัฒนาได้ไม่กี่ปี ก็ได้เจอกับภัยแร้งครั้งใหญ่ ถ้าไม่สามารถต้านทานไว้ได้ จะเสียศูนย์อย่างมากแน่นอน
“นายท่าน ถ้าเมืองเจ็ดสีละก็ ตรงนั้นใกล้กับแหล่งวิญญาณที่ข้าบอกอย่างมาก ที่เกิดภัยแร้งบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเพราะการมีอยู่ของแหล่งวิญญาณนี้” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้นในหัวของชู่มู่
แหล่งวิญญาณที่ผู้เฒ่าหลีบอกกับชู่มู่ลุกลับอย่างมาก อีกทั้งปริมาณที่ผลิตของมันมีเยอะมากในแต่ละครั้ง จากนี้ไปจะมีรายรับมหาศาลในแต่ละเดือนแน่ !
ทรัพยากรโลกตะวันตกขาดแคลนอย่างมาก หนึ่งเดือนก็ได้แค่หนึ่งร้อยวิญญาณ
แต่ผู้เฒ่าหลีบอกว่า แหล่งวิญญาณนั้นอยู่มาหลายปีแล้ว เกรงว่าการผลิตแต่ละครั้งจะได้วิญญาณนับพัน ปริมาณการผลิตในแต่ละเดือนหลังจากนี้ก็จะไม่น้อยลง ถ้าครองแหล่งวิญญาณนั้นได้ละก็ แล้วบริหารให้ดี ต่อให้ชู่มู่นั่งอยู่ในบ้านก็ไม่ต้องกังวลว่า จะเลี้ยงดวงวิญญาณระดับราชันไม่ไหว
เขตโลกทุกแห่ง จะมีแหล่งที่เพิ่มความแข็งแกร่งระดับราชันอย่างจำกัด ปัญหาราชันของภูตพันวายุจัดการแล้ว ปีศาจนักรบไม้ก็เพิ่มความแข็งแกร่งด้วยผลึกวิญญาณหมวดไม้ราชันเม็ดนั้นได้
แต่ชู่มู่ยังมีเย้ ภูตเวหาน้ำแข็ง ราชันผีหินผา มารนิรยขาวอีก ดวงวิญญาณพวกนี้ต้องให้ถึงระดับราชัน และสิ่งเดียวที่เพิ่มความแข็งแกร่งพวกมันได้ก็คือวัตถุวิญญาณ
วัตถุวิญญาณระดับราชันน้อยยิ่งกว่าน้อย ชู่มู่แทบไม่สามารถหาเจอได้ ทำได้แค่เก็บวิญญาณในปริมาณมาก
วิญญาณเทียบได้กับเงินตราระดับราชัน ถ้าชู่มู่มีพวกมันจะทำการแลกเปลี่ยนกับราชันวิญญาณอื่นได้ ดังนั้น ชู่มู่จำต้องเก็บวิญญาณที่เลี้ยงดวงวิญญาณของตัวเองให้เพียงพอ ขณะเดียวกัน ก็ต้องหาวิญญาณที่มากพอเพื่อแลกวัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งด้วย
เมื่อได้กลับมาในตระกูล ชู่มู่ดีใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตัวเองได้ใช้ชีวิตกับพวกเขามาสิบกว่าปีแล้ว จากไปนานขนาดนี้ ชู่มู่เองคิดถึงจริง ๆ
“ซา ซา ซา”
น้ำสีขาวกระเซ็น มังกรจำศีลน้อยที่หมอบอยู่บนไหล่ของชู่มู่ดีใจยิ่งกว่า กระโดดขึ้นไปบนที่กั้นเอง กรงเล็บอ่อนนุ่มกลับลื่นไถล สุดท้ายมั่วเย้ใช้หางม้วนเจ้าตัวเล็กนี้เอาไว้อย่างเบื่อหน่าย มิฉะนั้น จะตกลงไปในแม่น้ำ
มั่วเย้น้อยไม่ขี้เล่นเท่าไร ส่วนมากจะเห็นแก่กินและนอน หลังจากมังกรจำศีลน้อยเกิดมา มั่วเย้น้อยเหมือนแม่เลี้ยง ต้องคอยดูแล ไม่เช่นนั้นจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กตกไปที่ใดบ้าง
ชู่มู่พลิกฝ่ามือ ในมือมีวิญญาณสองเม็ดที่ผ่องใสอยู่ ก้อนใหญ่นั้นให้มั่วเย้กิน ส่วนก้อนเล็กให้มังกรจำศีลน้อย
ปริมาณอาหารของมังกรจำศีลน้อยไปมาก หลังจากผ่านการชำระล้างด้วยเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกตแล้ว แม้จะเพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับราชัน แต่วิญญาณที่กินกลับไม่ถึงร้อยละหนึ่งของมั่วเย้
เนื่องจากระดับราชันมีพลังที่แข็งแกร่งเกินไป พลังที่มันใช้ไปจึงต้องทดแทนด้วยวิญญาณ ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันไม่มีทางที่จะกินวิญญาณมากขนาดนั้นอยู่แล้ว
ชู่มู่ได้ทำการชำระล้างด้วยเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกตหลังออกจากเมืองเทียนเซี่ยไม่นาน หลังจากชำระล้าง มังกรจำศีลได้เข้าสู่ระดับราชันอย่างสำเร็จ แต่หลับนานมาก เพิ่งตื่นขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้
ตอนนี้มังกรจำศีลน้อยเป็นลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่ง ไม่อ่อนแออย่างตอนที่เป็นทารกแล้ว
มันมีการโจมตีในระดับหนึ่ง ชู่มู่เองก็คิดจะหาบริเวณที่ไม่ชุลมุนเกินไป เพื่อฝึกมังกรจำศีลน้อย
ชู่มู่ได้ให้มังกรจำศีลน้อยกินของอย่างบ่อน้ำอมตะไปแล้ว อีกประมาณสองปี มังกรจำศีลน้อยน่าจะอยู่ในลักษณะสิบได้ แต่ถ้าชู่มู่ให้มังกรจำศีลน้อยต่อสู้บ่อยขึ้น เวลานี้น่าจะลดลงอีก
“ซา ซา ซา”
มังกรจำศีลน้อยบิดตัวสีเขียว ดวงตากลมโตมองไปยังน้ำที่กระเซ็น ท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก สลัดหางของมั่วเย้น้อยออกอีกครั้ง
พนักงานเรือที่อยู่ด้านข้างไม่เคยเห็นดวงวิญญาณพิเศษแบบนี้ ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ท่าน นี่คือดวงวิญญาณอะไรเหรอ มองดูอ่อนเยาว์มาก น่าจะอยู่แค่ลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่งใช่ไหม”
“อืม เพิ่งฟักออกมาไม่นาน” ชู่มู่ตอบ แต่กลับไม่ได้พูดเรื่องกลุ่มของมังกรจำศีลน้อย ถ้าบอกว่านี่เป็นมังกรจำศีลมรกตตัวหนึ่ง คาดว่าพนักงานเรือคนนี้คงตกใจอย่างมาก
ในตอนที่พนักงานเรือกำลังจะพูดต่อ ทันใดนั้น น้ำที่ใหญ่กว่ากระเซ็นขึ้น !!!
พนักงานอึ้งเล็กน้อย ท่ามกลางน้ำที่กระเซ็นขึ้นนั้น งูเหลือมฟันเหล็กที่พอจะกินหัวคนได้ในคำเดียวพุ่งขึ้นมา เห็นลำคอสีแดงของมันได้อย่างชัดเจน !
ขนาดตัวของงูเหลือมฟันเหล็กยาวมากถึงสามเมตร เป้าหมายของมันคือมังกรจำศีลน้อยที่กำลังเล่นอยู่บริเวณที่กั้น !
“ท่าน ระวังด้วย !!!” พนักงานเรือตะโกนขึ้น จะอัญเชิญดวงวิญญาณของตัวเองแต่กลับไม่ทันแล้ว
เมื่อเห็นงูเหลือมฟันเหล็กกำลังจะกัดดวงวิญญาณสีเขียวตัวเล็กนั้นแล้ว พนักงานเรือคนนี้รู้สึกไม่ดีอย่างมาก
ในเมื่อวัยหนุ่มคนนี้ใช้จ่ายแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นดวงวิญญาณของเขาไม่ธรรมดาแน่นอน งูเหลือมฟันเหล็กที่พุ่งขึ้นมาตัวนี้น่าจะเป็นระดับทาสขั้นสูงที่อยู่ในลักษณะสองเข้าใกล้ลักษณะสาม คำเดียวก็กัดดวงวิญญาณลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่งตัวน้อยเป็นเศษได้แล้ว !
พนักงานเรือตะโกนขึ้นแล้ว แต่เขากลับเห็นวัยหนุ่มคนนี้กลับอยู่นิ่ง และฉีกยิ้มออกมา
“ซัวะ !!!”
ทันใดนั้น แสงเย็นเยียบบินผ่าน ความเร็วไวมาก ราวกับดาบที่พุ่งออกไป แม้แต่น้ำที่กระเซ็นขึ้นยังมีรอยที่เหมือนถูกฟันขาดออกจากกัน !
วินาทีต่อมา เลือดกระเซ็นขึ้น ปนไปกับน้ำ สาดลงบนพื้นเรือ
“ป้าบ”
หัวที่น่าเกลียดตกลงมา ฟันที่มีเต็มปากเผยออกมาหมดพร้อมกับเลือดสด
หลังจากเห็นภาพนี้ พนักงานเรือตกใจจนหุบปากไม่ได้ !
เพราะในตอนที่งูเหลือมฟันเหล็กกำลังจะกัดดวงวิญญาณสีเขียวตัวเล็กนี้ กรงเล็บเดียวของดวงวิญญาณสีเขียวนี้ได้ตัดหัวของมันออก !
“นี่…เจ้าตัวเล็กนี่อยู่ลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่งไม่ใช่เหรอ” พนักงานเรือไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น
ดวงวิญญาณลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่ง กลับฆ่าระดับทาสขั้นสูงเกือบถึงลักษณะสามในเสี้ยววินาทีได้! พลังต่อสู้ต้องสูงมากเพียงใดถึงจะทำได้ !
“ซา ซา ซา ซา”
มังกรจำศีลน้อยส่งเสียงร้องตื่นเต้นขึ้น หลังจากกรงเล็บเดียวทำให้ตกถึงพื้น ตัวมันกลับถูกประกายแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ เติบโตขึ้นทันที !
เห็นมังกรจำศีลน้อยเติบโตขึ้น ชู่มู่จึงฉีกยิ้มออกมา
คาดว่าจากวันนี้เป็นต้นไป ความสามารถของมังกรจำศีลน้อยจะเติบโตลอกคราบอย่างรวดเร็ว !
เดิมพนักงานเรือคิดว่า มังกรจำศีลน้อยซ่อนบางอย่างเอาไว้ ซ่อนลักษณะขั้นที่แท้จริงของตัวเอง แต่เมื่อประกายสีเขียวสาดส่อง ยิ่งทำให้เห็นว่า เจ้าตัวเล็กนี้อยู่แค่ลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่งจริงๆ ทำให้พนักงานเรือคนนี้อึ้งกว่าเดิม เริ่มใช้นิ้วนับ ต้องเป็นดวงวิญญาณระดับใดถึงจะฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองเกือบสองลักษณะในเสี้ยววินาทีได้ !
สำหรับความอึ้งของพนักงานเรือ มังกรจำศีลน้อยยิ่งไม่รู้อะไร ทำท่าทีเหมือนไม่ได้ทำเรื่องที่เก่งมาก เล่นน้ำบนที่กั้นต่อไป…
และในใต้น้ำ งูเหลือมฟันเหล็กตัวอื่นที่คิดจะอาศัยจังหวะน้ำกระเซ็นโจมตีมังกรจำศีล ก็เกิดอาการตกใจจนกระจายตัวออกทันที กลัวว่าเจ้าปีศาจน้อยนี้พุ่งลงมากะทันหัน แล้วฆ่าพวกมันทั้งหมด
“ท่าน ปกติเรือระดับชั้นนำของพวกเราไม่ต้องกังวลงูเหลือมฟันเหล็กพวกนี้ แต่พวกมันอาศัยพื้นที่ใต้น้ำนี้ คอยจ้องจะโจมตีดวงวิญญาณกับคนที่อ่อนแอ ถ้าไม่ป้องกันเอาไว้อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ทว่า ดวงวิญญาณตัวน้อยของท่านนี้…แข็งแกร่งจริงๆ หรือว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิในตำนาน” พนักงานเรือถามอย่างระมัดระวัง
รอยยิ้มของเขาในตอนนี้ไม่ปลอมเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับเต็มไปด้วยความนับถือต่อผู้แข็งแกร่ง
ระดับจักรพรรดิ ชู่มู่ส่ายหัว ยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก
ระดับพลังต่อสู้ของมังกรจำศีลน้อยงั้นหรือ
พูดตามตรง ชู่มู่เองก็ไม่รู้ หลังจากที่เจ้าตัวเล็กนี้ผ่านการชำระล้างด้วยเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกต ย่อมอยู่ในระดับราชันแน่นอน ส่วนจะเป็นเทียบเท่าราชัน ราชันขั้นต่ำ หรือราชันขั้นกลาง ชู่มู่ไม่แน่ใจ
ทว่า ผู้เฒ่าหลีได้เตือนชู่มู่จริงจัง ถ้าความสามารถของชู่มู่ยังไม่ถึงระดับราชันวิญญาณก่อนมังกรจำศีลน้อยอยู่ในลักษณะเจ็ด เจ้ามังกรจำศีลน้อยอาจตั้งตนเป็นใหญ่ได้!
ตอนนี้มังกรจำศีลน้อยอยู่ข้างชู่มู่ตลอด ไม่ได้เป็นเพราะสัญญาวิญญาณ แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์พิเศษของเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกต ที่ทำให้มังกรจำศีลมองว่าชู่มู่เป็นพ่อของตัวเอง
ในด้านความสามารถ ชู่มู่ได้ทำการประมาณมังกรจำศีลน้อยไว้ พลังต่อสู้ของมังกรจำศีลน้อยลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่งอยู่ที่ระดับทาสลักษณะสอง สามารถฆ่างูเหลือมฟันเหล็กเข้าใกล้ลักษณะสามได้ในเสี้ยววินาที โดยหลักเป็นเพราะความแข็งแกร่งของทักษะราชัน
และถ้าคำนวณจากลักษณะสิบละก็ มังกรจำศีลน้อยในตอนนี้ยังอยู่ในระดับเทียบเท่าทาส หลังจากถึงลักษณะสองแล้ว ความสามารถของมันจะเทียบกับระดับแม่ทัพได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นเทียบเท่าแม่ทัพลักษณะสิบ !
นับว่า ในตอนที่ชู่มู่ออกจากเกาะนักโทษในตอนนั้น ดวงวิญญาณทั้งหมดรวมกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมังกรจำศีลน้อยลักษณะสอง เห็นได้ชัดว่า ถ้ามังกรจำศีลเติบโตขึ้น ความสามารถของมันจะน่ากลัวเพียงใด !
จากลักษณะหนึ่งเติบโตเป็นลักษณะสอง เวลาประมาณสองเดือน ตอนนั้นคงถึงตระกูลชู่แล้ว มังกรจำศีลน้อยน่าจะอยู่ในลักษณะสองแล้ว
…
…
ระหว่างที่เดินทางจากเมืองเทียนเซี่ยมายังโลกจั้นหลี ชู่มู่เองก็ไม่ได้ปล่อยตัวตามสบาย ยังคงเดินไปมาในโลกอลวนใหญ่ต่างๆ โดยหลักก็เพื่อฝึกดวงวิญญาณอื่นของตัวเอง
ชู่มู่ในตอนนี้มีเงินเยอะมาก โดยเฉพาะมั่วเย้อยู่ในระดับราชัน ทำให้ได้ทรัพยากรของโลกอลวนง่ายขึ้นมาก
ด้วยการชิงวัตถุวิญญาณอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของมั่วเย้ ความสามารถของเหล่าดวงวิญญาณอื่นของชู่มู่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาสั้น ๆ นี้ ดวงวิญญาณทั้งหมดของชู่มู่อยู่ในลักษณะสิบแล้ว
กินวัตถุวิญญาณขั้นเก้ากับสิบแทนข้าว จะมีเหรอเรื่องข้ามลักษณะไม่ได้
ด้านพลังต่อสู้ เย้ ปีศาจนักรบไม้ จั้นเย้ ภูตพันวายุ อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงหมดแล้ว
โดยปกติ ต่อให้เป็นวัตถุวิญญาณราคาสูง ยังต้องใช้เวลาย่อยและซึมซับเพื่อเพิ่มความสามารถของดวงวิญญาณ
และเวลาที่ใช้ย่อยนี้ ทำให้สั้นลงด้วยการต่อสู้ได้ ชู่มู่ได้เข้าไปในโลกอลวนขั้นเก้าอันหนึ่ง แล้วทำการฆ่าล้างอย่างหนัก
ต่อสู้กับฝูงดวงวิญญาณนับพันหมื่นตัว เหล่าดวงวิญญาณได้ต่อสู้อย่างหนักหน่วง วัตถุวิญญาณทีกินอิ่มมากเพียงใดก็ย่อยพอประมาณแล้ว ดังนั้น ความสามารถของเหล่าดวงวิญญาณถึงเพิ่มขึ้นมหาศาลในเวลาอันสั้นนี้ได้
เป็นเพราะที่ชู่มู่กินน้ำแข็งเทพดินก่อนหน้านี้ ภูตเวหาน้ำแข็งยังคงอยู่ในภาวะหลับใหลในตอนนี้ น้ำแข็งเทพดินเป็นวัตถุวิญญาณราชันขั้นสี่ ต่อให้ชู่มู่กินส่วนใหญ่เข้าไปแล้ว แต่ใช้ส่วนน้อยกับดวงวิญญาณระดับราชัน ผลของมันน่าสะพรึงอย่างมาก
การหลับใหลหลายเดือนแบบนี้ ชู่มู่คาดว่า ตอนที่ภูตเวหาน้ำแข็งตื่นขึ้นมาน่าจะอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบแล้ว
ก่อนหน้านี้ชู่มู่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งปีศาจขาวจนอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูงแล้ว เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ปีศาจขาวอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอด ชู่มู่ไม่เพียงแต่ใช้เงินหกหมื่นล้านเหรียญทอง แต่ยังคอยตาหาจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบหมวดลับ หมวดไฟ หมวดมืด บังคับเพิ่มความแข็งแกร่ง รวมแล้วใช้เงินไปทั้งหมดหนึ่งแสนล้าน
โดยปกติแล้ว สามหมื่นล้านก็ทำให้จักรพรรดิขั้นสูงแข็งแกร่งจนถึงจักรพรรดิชั้นยอดได้แล้ว แต่นี่มักต้องใช้เวลาชะลอหลายปี
ชู่มู่รอนานขนาดนั้นไม่ได้ ได้ทุ่มเงินหลายเท่า !
การทุ่มเงินหนึ่งแสนล้านแบบนี้ ทำให้ปีศาจขาวในตอนนี้ได้กลายเป็นจักรพรรดิไร้เทียมทานอย่างแท้จริง !
โดยปกติถ้าเจอดวงวิญญาณที่ยังไม่ถึงราชัน แต่กลับเอาชนะไม่ได้ ปีศาจขาวจะรับมือหมด มิฉะนั้นถ้าให้มั่วเย้ลงมือ ชู่มู่จะเสียหายวิญญาณหลายอัน
หลังจากที่ชู่มู่ออกจากเมืองเทียนเซี่ย ได้ทำการจัดการเมืองโลกอีกฝั่ง ในด้านเงินทุน เขาได้จัดการสิ่งที่ได้มาอย่างไม่บริสุทธิ์จนหมดแล้ว ชู่มู่ได้เงินทั้งหมดสี่แสนล้าน
ตอนที่ได้สี่แสนล้านนี้มา ตาของชู่มู่เป็นประกายทันที ก่อนหน้านี้ไม่นานตัวเขายังวิ่งตามหาเงินไม่กี่ร้อยล้านอยู่ ตอนนี้ได้แสนล้านมาแล้ว แม้แต่ชู่มู่เองยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ !
แน่นอนว่า โดยหลักเข้าสู่ระดับราชันแล้ว ชู่มู่เองในตอนนี้น่าจะได้เงินสี่แสนล้านมาไม่ยากมาก
ในสี่แสนล้านนี้ หนึ่งแสนล้านได้นำมาเพิ่มความแข็งแกร่งปีศาจขาวหนึ่งแสนล้านนำมาเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณทั้งหมดให้อยู่ในจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบ
สองแสนล้านที่เหลือ ชู่มู่ไม่คิดจะใช้ในตอนนี้
เงินพวกนี้ไม่ได้มาง่ายๆ หลังจากเพิ่มความสามารถดวงวิญญาณพอประมาณแล้ว ชู่มู่เองจะเข้าไปในโลกอลวนที่มีระดับสูงขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ได้วัตถุวิญญาณ อีกส่วนก็เพื่อเพิ่มการต่อสู้ของดวงวิญญาณ ไม่จำต้องใช้เงินหนึ่ง แสนล้านเพื่อทำให้จักรพรรดิขั้นสูงอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอด
ส่วนตัวชู่มู่เอง ความสามารถของเหล่าดวงวิญญาณเพิ่มขึ้น ตอนนี้อยู่ในเจ้าวิญญาณแปดร่าย ถ้าดวงวิญญาณอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดหมด ชู่มู่น่าจะอยู่ในเจ้าวิญญาณเก้าร่ายได้
สิบวันหลังจากเรื่องครึ่งมาร ท่านอาวุโสหลิ่วได้ปรากฏตัวตรงหน้าชู่มู่ในที่สุด
ประโยคแรกที่ท่านอาวุโสหลิ่วถามขึ้นคือ ทำไมชู่มู่ถึงรีบออกจากเมืองเทียนเซี่ย
“ข้าอยากออกไปฝึกตนหน่อย” ชู่มู่ในตอนนี้อยากจะเพิ่มความสามารถของเหล่าดวงวิญญาณอย่างมาก อย่างไรเสีย ช่องว่างจักรพรรดิชั้นยอดสำหรับผู้คุมดวงวิญญาณส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นปัญหาของชู่มู่แล้ว
ท่านอาวุโสหลิ่วได้ยินว่า ชู่มู่เป็นพวกคลั่งการฝึกตั้งนานแล้ว ตอนนี้ได้พูดกับชู่มู่อย่างจริงจัง “หลังจากเทียนทิงตาย ข้าได้แอบจัดการคนขององค์กรวิญญาณ แต่ข้าคิดว่า อีกไม่นาน องค์กรวิญญาณจะส่งคนคนหนึ่งมาแทนที่ตำแหน่งของเทียนทิง เขาจะรับหน้าที่ชิงจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดของเจ้าเช่นกัน”
ชู่มู่พยักหน้า พูดด้วยเสียงเบาว่า “ข้ารู้ ดังนั้น ข้าจึงอยากจากที่นี่ จะไม่ปรากฏตัวในเมืองใหญ่พักหนึ่ง”
ท่านอาวุโสหลิ่วส่ายหัว พูดขึ้นว่า “ตัวตนของเจ้าน่าจะยังไม่เปิดเผย เจ้ายังใช้ตัวตนของชู่เฉิงได้อยู่ ไม่กี่วันก่อนข้าได้ข่าว เจ้าองค์กรได้เข้าไปยังเมืองต้องห้ามลำพัง ไม่อยู่ในโลกมนุษย์ของพวกเรา…”
“เข้าไปในเมืองต้องห้ามงั้นหรือ” ชู่มู่ตกใจทันที !!!
ในตอนที่ชู่มู่เดินไปยังเมืองตะวันตก ตำแหน่งทางด้านตะวันตกเฉียงใต้เป็นเมืองต้องห้ามที่ติดกัน และชู่มู่แค่ข้ามผ่านเขตเมืองนั้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าชู่มู่กลับเป็นโลกอลวนของเจ้าโลกที่มีระดับราชันคนหนึ่ง !
ถ้ามองว่า เมืองต้องห้ามเป็นมหาสมุทรละก็ ถ้าอย่างนั้นโลกอลวนของราชันภูตวิญญาณจักรวาลฟ้าที่ชู่มู่ได้เข้าไปนั้นเป็นแค่ชายหาดเล็กๆ เท่านั้น ทะลุผ่านเมืองต้องห้ามแบบนั้นจะเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจมากเพียงใด !
“อืม…บนโลกนี้คนที่ทะลุผ่านเมืองต้องห้ามได้ มีเพียงเจ้าองค์กรคนเดียว” ท่านอาวุโสหลิ่วบอก
“เขา…ทำไมเขาต้องทะลุผ่านเมืองต้องห้าม อีกฝั่งของเมืองต้องห้ามมีดวงวิญญาณพิเศษอะไรเหรอ” ชู่มู่ถามขึ้นทันที
ท่านอาวุโสหลิ่วส่ายหัวพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่เข้าใจ ข้าเองก็ไม่เคยไปยังอีกฝั่งของเมืองต้องห้ามมาก่อน แม้เจ้าองค์กรจะมีความสามารถทะลุผ่านเมืองต้องห้ามได้ แต่ต้องใช้เวลาไม่น้อย จะไม่กลับมาในปีที่จะถึงนี้แน่นอน”
พอท่านอาวุโสหลิ่วพูดแบบนี้ ชู่มู่กลับสบายใจไม่น้อย อีกทั้งแอบภาวนาในใจ หวังว่าเจ้าองค์กรคนนี้ได้เจอสิ่งมีชีวิตนิรนามที่เกินกว่าระดับราชัน แล้วถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาที
ในเมื่อปีต่อจากนี้เจ้าองค์กรจะไม่ปรากฏตัว ถ้าอย่างนั้นชู่มู่จะเพิ่มความสามารถได้อย่างสบายใจแล้ว ไม่แน่ หลังจากที่เจ้าองค์กรกลับมา เขาจะส่งบุคคลที่คล้ายกับเทียนทิงมาอีก เกรงว่าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวเองแล้ว
“ทุกครั้งที่เจ้าองค์กรกลับจากการผ่านเมืองต้องห้าม ความสามารถจะเพิ่มขึ้น เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมนุษยชาติ ไม่รู้กี่ปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับเขา ชู่มู่ เจ้าได้รับพรสวรรค์ผู้คุมดวงวิญญาณของชู่เทียนหมังกับหลิ่วปิงฟง นับว่ามีพื้นฐานที่ดีมาก เจ้าเองก็พยายามอย่างมากในเส้นทางเติบโตนี้ แต่ว่าถ้าเป็นศัตรูกับคนนี้ละก็ อาจเป็นเหมือนพ่อของเจ้า ทำลายชีวิตที่กำลังจะรุ่งเรือง…” น้ำเสียงของท่านอาวุโสหลิ่วทุ้มต่ำลง เขามองไปยังชู่มู่ แล้วพูดต่อ
ท่านอาวุโสหลิ่วไม่หวังว่าชู่มู่จะทำให้เจ้าองค์กรโกรธเพราะดวงวิญญาณตัวเดียว อย่างไรก็ตาม ชู่มู่เป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งจริงๆ และหวังว่าจะได้เข้าไปในผู้แข็งแกร่งชั้นยอดไม่กี่คนของมนุษยชาติ
“ท่านตา วางใจได้ ข้าจะระวังตัวมากขึ้น” ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง
ชู่มู่เองก็เข้าใจความหมายของท่านอาวุโสหลิ่ว แต่ว่าให้เขาปล่อยมั่วเย้ไป แล้วเพิ่มความสามารถอย่างไม่สนใจอะไร นี่กลับทำให้ตัวเองเหมือนศพที่เดินได้มากกว่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรุ่งเรืองในเส้นทางหลังจากนี้
ดังนั้น ต่อให้ตัวเองจะเป็นศัตรูของคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมนุษยชาติ ชู่มู่ก็จะไม่หวั่นไหว
“เฮ้อ ท่าทางเจ้ายังไม่รู้ว่า คนนี้เแข็งแกร่งมากเพียงใด แข็งแกร่งจนตำหนักวิญญาณของพวกเราที่มีอยู่ทั่วโลกยังต้องนอบน้อม….ช่างเถอะ ปีต่อจากนี้เจ้าไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ้าองค์กรยังไม่พบร่องรอยอะไร บางทีความลับนี้อาจหายไป ในเมื่อเจ้าจะเดินในเส้นทางของตัวเอง ก็ไปเถอะ” ท่านอาวุโสหลิ่วพูดโน้มน้าวชู่มู่ไม่ได้แล้ว
ท่านอาวุโสหลิ่วเองก็ไม่พูดอะไรอีก ตบไหล่ของชู่มู่ แล้วหันหลังจากไป
หลังจากชู่มู่มองเขาจากไป ตัวเองก็กลับไปที่ห้องของเขา
ชู่มู่มักจัดการเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว ในเมื่อตัวเองจะเริ่มการเดินทางใหม่ ถ้าอย่างนั้น เช้าวันที่สอง ชู่มู่จะออกเดินทางทันที
ก่อนที่จะไป ชู่มู่เองได้ส่งราชันปีศาจวายุร้ายตัวอ่อนนี้ให้นักวิญญาณเฒ่าเต๋อ ให้เขาหาผู้ซื้อที่ดีให้ตัวเอง เพื่อแลกกับวัตถุวิญญาณหมวดลมที่เพิ่มความแข็งแกร่งภูตพันวายุได้
ตอนที่นักวิญญาณเฒ่าเต๋อรับดวงวิญญาณราชันตัวอ่อนนี้ ก็บ่นตลอด ชู่มู่ให้ตัวเองทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ตลอด ไม่เหมือนผู้อาวุโสแม้แต่น้อย ตัวเขาเป็นเหมือนคนรับใช้ของชู่มู่ชัดๆ
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบ่นก็จริง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ อีกทั้งบอกว่า การเพิ่มความแข็งแกร่งภูตพันวายุให้อยู่ในระดับราชันเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าเลือกราชันปีศาจวายุร้ายจริง ๆ
คืนก่อนที่ชู่มู่จะจากไป ได้บอกลาองค์หญิงจิ่งโหลวอย่างเงียบๆ องค์หญิงจิ่งโหลวไม่รู้ยุ่งกับเรื่องอะไรอยู่ หรือจะบอกว่า หลังจากกลับจากด่านที่สิบ องค์หญิงจิ่งโหลวไม่เคยปรากฏตัวอีก
ชู่มู่ไม่เคยเข้าใจผู้หญิงคนนี้ อย่างไรก็ตาม เขาได้ทักทายแล้ว ชู่มู่ไม่ได้คิดมาก ออกจากเมืองเทียนเซี่ยทันที
วินาทีที่ก้าวออกจากเมืองเทียนเซี่ย ชู่มู่มองไปยังขอบฟ้าที่ติดกับพื้นดิน กลับรู้สึกสบายใจอย่างมาก จึงวิ่งด้วยความเร็ว มุ่งหน้าไปยังที่ราบด้านตะวันตกของเมืองเทียนเซี่ย….
…
…
บนพื้นราบสีเขียว สายน้ำสีฟ้าเส้นหนึ่ง ไหลไปตามทางที่คดโค้งอย่างงดงาม…
แม่น้ำทั้งลึกและกว้าง สามารถมองเห็นเรือไม่น้อยที่ไหลไปตามแม่น้ำอย่างเชื่องช้า
เรือส่วนใหญ่เป็นเรือพาณิชย์ ทำการค้าระหว่างโลกตะวันตกกับโลกจั้นหลีมาตลอด
ดินของโลกตะวันตกมีทรัพยากรที่โลกจั้นหลีไม่มี ดินส่วนใหญ่นี้เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการสร้างสิ่งก่อสร้างระดับตำหนักต่างๆ ตอนที่เมืองที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำเขตโลกทั้งสองนี้ต้องการสร้างตำหนัก จำต้องใช้กลุ่มพาณิชย์จากโลกตะวันตกนี้ตลอดเวลา
แน่นอนว่า เพราะแม่น้ำเส้นนี้ได้ข้ามผ่านเขตโลกทั้งสอง กลายเป็นแหล่งน้ำของเมืองใหญ่สิบกว่าเมือง และเป็นสาเหตุที่ทำให้สายน้ำยาวนี้กลายเป็นทางจราจรสำคัญ มีคนไม่น้อยที่ต้องการผ่านเขตโลกและต้องการหลีกเลี่ยงอันตรายระหว่างทาง จะเลือกเรือโดยสารที่นี่แทน
อีกทั้งทิวทัศน์ระหว่างทางแม่น้ำนี้งดงามอย่างมาก เป็นหนึ่งในสถานท่องเที่ยวโปรดของวัยหนุ่มสาวมากมาย
เรือโดยสารมีหลายระดับมาก เรือโดยสารปกติจะใช้ดวงวิญญาณหมวดน้ำระดับที่ต่ำมากควบคุมคลื่นน้ำ ดันเรือทวนกระแสน้ำอย่างช้า ๆ
ระดับที่สูงขึ้นหน่อย จะใช้ทักษะของดวงวิญญาณหมวดน้ำที่แข็งแกร่งกว่าเป็นแรงเคลื่อนไหวเรือ
ระดับสูงที่สุดคือเรือโดยสารที่วิ่งไปตามสายน้ำราวกับนักเลงที่วิ่งด้วยความเร็วสูงอย่างไม่แยแสสิ่งใด โดยปกติจะมีดวงวิญญาณหมวดน้ำฝูงใหญ่ควบคุมคลื่นน้ำ ความเร็วไม่ช้ากว่าเหล่าดวงวิญญาณที่วิ่งบนพื้น
“อ้อ ที่แท้เรือโดยสารเป็นการค้าของตระกูลชู่ น่าสนใจ” บนเรือที่แล่นด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มที่สวมชุดขาวลูบคางของตัวเอง
ตัวเรือไม่เร็วมาก น้ำกระเซ็นขึ้นไม่หยุด ปลิวผ่านข้างตัววัยหนุ่มชุดขาว จนรู้สึกเย็นสบาย
“แหะแหะ เพิ่งรับมือมาก่อนหน้านี้ไม่นาน เพื่อให้ได้สิ่งนี้มา ตระกูลชู่ได้ใช้ผู้แข็งแกร่งหลายคน ถึงบีบบังคับตระกูลหลู่ที่ทำด้านนี้มาก่อนได้” พนักงานขับเรือคนนั้นพูดแนะนำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
พนักงานคนนี้ย่อมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพราะวัยหนุ่มตรงหน้าคนนี้ได้เหมาเรือระดับสูงสุดคนเดียว
เรือระดับนี้บรรจุคนได้หนึ่งร้อยคน อีกทั้งราคาไม่ธรรมดา พนักงานคนนี้ยังไม่เคยเห็นใครที่กล้าใช้เงินแบบนี้มาก่อน
วัยหนุ่มยืนอยู่ตรงบริเวณที่กั้นไม้ มองไปยังน้ำที่กระเซ็นขึ้น พูดพึมพำ “ในเมื่อเป็นทางผ่าน กลับไปดูที่ตระกูลเถอะ ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็พวกท่านอาด้วย…”
วัยหนุ่มที่เหมาเรือระดับชั้นยอดแบบนี้ย่อมเป็นชู่มู่
หลังจากออกจากเมืองเทียนเซี่ย ชู่มู่มุ่งหน้าไปทางตะวันตกตลอด ถึงเวลาที่ควรจะกลับไปยังเมืองจั้นหลีตามทางแล้ว
แน่นอนว่า เส้นทางที่ชู่มู่เลือกเดินมีความแตกต่างกัน เช่นแม่น้ำตะวันตกนี้ ก่อนหน้านี้ชู่มู่ไม่เคยผ่านมาก่อน
เห็นสายน้ำไหล ชู่มู่เองก็ต้องการพักผ่อนหลังจากเดินทางตลอดหลายคืน ดังนั้น จึงจ้างเรือโดยสารที่เร็วที่สุดขับทวนน้ำ ไปยังต้นน้ำของแม่น้ำนี้ น่าจะเข้าใกล้ฐานการค้าหลักของตระกูลชู่ในเมืองตะวันตกแล้ว
ที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมากคือ หลายปีที่ผ่านมานี้ความสามารถของตระกูลชู่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำการค้าข้ามเขตโลกนี้ได้ แม้จะเป็นแค่การค้ารอง แต่แหล่งน้ำที่เป็นแม่น้ำเชื่อมไปยังเมืองสิบกว่าเมืองนี้ เรือโดยสารเป็นการค้าที่ได้กำไรมหาศาลแน่นอน…
ชู่มู่จำได้ว่า ตระกูลชู่ที่อยู่ในเมืองหวั่งหลัวในตอนนั้น มีการค้าอยู่แค่เมืองระดับขั้นแปดขั้นเก้าเท่านั้น แทบไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปในเมืองขั้นสิบได้ ส่วนตอนนี้ได้ก้าวข้ามผ่านแล้ว คาดว่าอีกไม่กี่ปี ตระกูลชู่จะเจริญอย่างมาก
“นายท่าน เป็นถึงราชันวิญญาณ อำนาจของเขตโลกยังคงสำคัญมาก ถ้ามีเขตโลกหนึ่ง ทรัพยากรวิญญาณของเขตโลกนี้จะเป็นของนายท่านทั้งหมด ส่วนปริมาณวิญญาณของเขตโลกระดับต่ำที่สุดเพียงพอที่จะเลี้ยงเทียบเท่าราชันวิญญาณตัวหนึ่งได้แน่นอน นายท่านลองคิดจะชิงทรัพยากรของโลกตะวันตกไปได้ ตามการคาดคะเนของข้า ปริมาณวิญญาณในแต่ละเดือนของโลกตะวันตกนี้น่าจะมีประมาณหนึ่งร้อยวิญญาณ อีกทั้งทรัพยากรวิญญาณหลายแห่งยังไม่ถูกค้นพบ ถ้าถูกค้นพบ จะเป็นจำนวนเงินมหาศาลอีก” ผู้เฒ่าหลีบอก
“แค่หนึ่งร้อยวิญญาณเหรอ ถ้าคำนวณเป็นเงิน เขตโลกหนึ่งได้แค่หนึ่งหมื่นล้านใช่ไหม” ชู่มู่ถามขึ้น
“นายท่าน จะให้คนแก่อย่างข้าพูดกี่รอบ ไม่มีคนโง่คนไหนใช้หนึ่งวิญญาณไปแลกเป็นเงินหนึ่งหมื่นล้าน !วิญญาณกับเงินทองเทียบกันไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน! และตอนนี้ทรัพยากรวิญญาณขาดแคลนอย่างมาก ที่ต่างๆ เต็มไปด้วยภัยมากมาย ระดับราชันสำคัญอย่างมาก คาดว่าในไม่กี่ปีนี้ ถ้าใช้หนึ่งพันล้านแลกกับหนึ่งวิญญาณ ราชันวิญญาณบางคนยอมแลกแน่นอน !
“เดิมราคาของวิญญาณเปลี่ยนแปลงง่ายมากอยู่แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวกับภัยแล้ง หนึ่งวิญญาณแลกกับหนึ่งร้อยล้าน นี่คงเป็นราคาต่ำสุด…” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ได้ แม้ตอนนี้ข้ายังมีหนึ่งพันวิญญาณอยู่ แต่แหล่งทรัพย์มั่นคงยังต้องมี มิฉะนั้น หลังจากนี้ ถ้ามีราชันเพิ่มขึ้น จะมีภาระมากขึ้น ข้าจะลองให้ตระกูลแก้ปัญหาวิญญาณนี้ให้ข้า” ชู่มู่บอก
ชู่มู่ในตอนนี้มีความสามารถจะสู้กับเจ้าโลกบางที่ได้บ้าง การช่วยเหลือตระกูลหนึ่งไม่ใช่ปัญหามากเท่าไร
วันที่สอง บนยอดเขาประตูโลกมรณะ ศพที่ถูกเผาจนไม่เหลือชิ้นดีถูกผู้เฝ้าเมืองที่กระจายตัวพบเจอ
หลังจากนั้น เหล่าราชันวิญญาณของเมืองเทียนเซี่ยพบว่า บริเวณประตูโลกมรณะซึ่งเป็นประตูต้องห้ามที่มุ่งหน้าไปเมืองมรณะมีร่องรอยที่ถูกพลังหมวดลับเปิดออก!
ประตูโลกมรณะที่มุ่งหน้าไปเมืองมรณะนี้เป็นความลับที่มีเพียงราชันวิญญาณขั้นสูงถึงรู้ ในนั้นมีสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนอยู่
เกิดร่องรอยแบบนี้เป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมาก จึงได้ข้อสรุปของการปรากฏตัวของครึ่งมารได้ว่า
ครึ่งมารนี้พยายามจะเข้าไปในเมืองผนึกมรณะ แต่ตอนที่แตะต้องประตูต้องห้ามนี้ถูกเทียนทิงพบเข้า ประธานเทียนทิงจึงพากลุ่มองค์กรวิญญาณมายังประตูโลกมรณะแห่งนี้ จึงเกิดการสู้รบกับครึ่งมารครั้งใหญ่…
ผลที่ได้หลังจากนั้น ผู้คนมากมายได้เห็นกับตา เทียนทิง ราชันวิญญาณทั้งสามคนและกลุ่มขององค์กรวิญญาณดับหมด
กลุ่มขององค์กรวิญญาณตายอนาถเกินไป อีกทั้งหลายคนได้เห็นฝนเลือดเนื้อนั้นกับตา แม้กลุ่มราชันวิญญาณ และคนของอำนาจต่างๆ ได้รับประกันแล้วว่า จะไม่มีครึ่งมารปรากฏตัวในเมืองเทียนเซี่ยอีก แต่ในไม่กี่วันหลังจากนี้ ยังคงน่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะปิดกั้นอย่างไร ยังคงมีเรื่องการต่อสู้สะเทือนใจในคืนนั้นกระจายออกไปอยู่ดี
ข่าวนี้กระจายไปช่วงหนึ่ง ทั้งเมืองเทียนเซี่ยก็อยู่ในภาวะตึงเครียด คนที่เข้าออกเมืองถูกควบคุมอย่างเข้มงวด
…
ว่าแต่ในวันนั้น หลังจากชู่มู่จัดการเทียนทิงแล้ว ได้กลับไปยังตำหนักวิญญาณจากอีกทิศทางหนึ่งอย่างไร้ร่องรอยใดๆ
หลังจากกลับไปยังตำหนักวิญญาณ ท่านอาวุโสหลิ่วได้ส่งคนมาตามหาชู่มู่พอดี
ชู่มู่เองได้แต่งข้อแก้ตัวเรียบร้อยแล้ว พูดว่า คืนนั้นตอนที่ไปหาเทียนทิง เขาไม่อยู่ในตำหนัก เลยออกไปเดินเล่นแล้วกลับมายังตำหนักวิญญาณ
ท่านอาวุโสแค่ตรวจสอบความปลอดภัยของชู่มู่ ในเมื่อชู่มู่ไม่เป็นอะไร ก็ไม่ได้ถามมากเกินไป
หลังจากที่ชู่มู่กลับห้องของตัวเอง ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ พักสักครู่ แล้วใช้น้ำแข็งเทพดินปรับร่างกายของตัวเองแล้วหลับไป
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เดิมชู่มู่คิดว่า จะใช้พลังของตำหนักวิญญาณทำให้เรื่องนี้แนบเนียนกว่าเดิม โดยเฉพาะห้ามให้คนขององค์กรวิญญาณรู้ว่าก่อนที่เทียนทิงจะตายเขาจับจ้องตัวเองมาตลอด อีกทั้งคนที่ห้ามตัวเองออกจากเมืองก็ต้องกำจัดทิ้ง
ที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมากคือ ตอนที่ชู่มู่คิดจะจัดการคนพวกนี้ พวกนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
คนเหล่านี้ไม่มีทางที่จะออกจากเมืองเทียนเซี่ยในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ และไม่มีทางที่จะเดาสาเหตุการตายที่แท้จริงของเทียนทิงได้เร็วขนาดนี้ พวกเขาหายตัวไปกะทันหันแบบนี้ มีสิ่งเดียวคือ อาจมีคนลงมือจัดการพวกเขาก่อนแล้ว
คนที่จะเสี่ยงช่วยปกปิดความลับให้ตัวเองได้ เกรงว่าจะมีเพียงคนเดียว นั่นคือท่านอาวุโสหลิ่ว
หลังจากนั้น ชู่มู่ได้รู้ความจริงจากเจ้าตำหนักหยู่ หลังจากที่เทียนทิงตายลง ท่านอาวุโสหลิ่วได้แอบใช้พลังทั้งหมดจัดการเรื่องนี้อย่างหมดจด เพื่อป้องกันไม่ให้ชู่มู่ถูกคนขององค์กรวิญญาณสังเกตเห็น
การกระทำแบบนี้ของท่านอาวุโสทำให้ชู่มู่แอบตกใจ หรือว่าท่านอาวุโสหลิ่วจะรู้ว่าตัวเองเป็นครึ่งมารแล้ว หรือจะบอกว่า เขาแค่อาศัยโอกาสนี้เพื่อปกป้องตัวเอง
…
ไม่ว่าท่านอาวุโสจะรู้ว่า ตัวเองเป็นครึ่งมารหรือไม่ ชู่มู่วางใจได้สักที
เพราะกังวลมาตลอด ชู่มู่ยังไม่ทันได้ดูดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชัน อีกทั้งยังไม่ได้ค้นแหวนช่องว่างของเทียนทิงด้วย
ตอนนี้เรื่องที่เป็นโทษกับตัวเองได้จัดการพอประมาณแล้ว ชู่มู่เองก็จะได้ดูว่าครั้งนี้ได้อะไรมาบ้าง
ดวงวิญญาณตัวอ่อนเป็นตัวเล็กที่เพิ่งฟักออกมาได้ไม่นาน เช่นเดียวกับมังกรจำศีลน้อย ยังไม่ถึงลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่ง
ในตอนนี้เจ้าราชันน้อยตัวนี้กำลังนอนอยู่ในแหวนจับวิญญาณ ไม่รู้ว่าตัวเองผ่านมือของใครต่อใครมาบ้างแล้ว
ชู่มู่สังเกตเจ้าตัวเล็กอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่า เหมือนจะเคยพบเห็นดวงวิญญาณตัวน้อยนี้มาก่อน แต่กลับนึกไม่ออกว่าคืออะไร แต่จากกลิ่นไอหมวดลมของมันมั่นใจได้ว่าเป็นราชันธาตุหมวดลมตัวหนึ่ง
“นายท่าน นี่เป็นราชันปีศาจวายุร้ายตัวหนึ่ง ท่านมองไปที่บนหัวของมัน มีทรงขนนกมงกุฎอยู่ใช่ไหม…” ผู้เฒ่าหลีเองมีสายตาที่ดีมาก มองออกทันทีว่า นี่เป็นราชันปีศาจวายุร้ายตัวหนึ่ง
พอผู้เฒ่าหลีพูดแบบนี้ ชู่มู่ถึงเข้าใจทันที ที่แท้คือราชันปีศาจวายุร้าย ตอนที่ตัวเองอยู่เมืองพันวายุได้เจอกลุ่มปีศาจวายุร้ายมาก่อนแล้ว
“ราชันปีศาจวายุร้ายเหรอ” ชู่มู่ถอนหายใจ จากสีหน้าของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่า ดวงวิญญาณราชันตัวอ่อนนี้ไม่ถูกใจเท่าไร
ชู่มู่มีภูตพันวายุเป็นดวงวิญญาณหมวดลมแล้ว แม้ในด้านตระกูลราชันปีศาจวายุร้ายจะแข็งแกร่งกว่าภูตพันวายุอย่างมาก แต่ชู่มู่กลับไม่มีนิสัยเปลี่ยนดวงวิญญาณแบบนี้
อีกทั้ง เดิมชู่มู่ชอบความคล่องแคล่วและทักษะการต่อสู้ของภูตพันวายุมากกว่าอยู่แล้ว แม้ราชันปีศาจวายุร้ายจะแข็งแกร่ง กลับไม่ใช่ดวงวิญญาณหมวดลมที่ชู่มู่ต้องการ
“นายท่าน ไม่สนใจราชันปีศาจวายุร้ายมากเท่าไรใช่ไหม”ผู้เฒ่าหลีพูดขึ้น
“อืม”ชู่มู่พยักหน้า
“เรื่องนี้ง่ายมาก ขายทิ้งได้เลย นายท่านไม่ชอบราชันปีศาจวายุร้ายตัวนี้ แต่มีคนนับไม่ถ้วนที่คลั่งไคล้ตัวมันอย่างมาก! ด้วยราคาของราชันปีศาจวายุร้ายแล้ว น่าจะได้วัตถุวิญญาณราชันหมวดลมหายากได้อย่างไม่มีปัญหา” ผู้เฒ่าหลีบอก
“กลุ่มปีศาจวายุร้ายอยู่ในเมืองภูตพันวายุเช่นกัน แต่จักรพรรดิปีศาจวายุร้ายกลับไม่อยู่ในรายชื่อดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ด ความจริงเห็นได้ชัดว่า ถ้าภูตพันวายุเพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับเดียวกับราชันปีศาจวายุร้ายได้ พลังต่อสู้ของภูตพันวายุจะแข็งแกร่งกว่าราชันปีศาจวายุร้ายอีก ดังนั้น ปล่อยราชันปีศาจวายุร้ายตัวนี้ไป เพื่อแลกกับวัตถุวิญญาณที่ทำให้ภูตพันวายุเพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับราชันได้ เป็นทางเลือกที่ฉลาดมากแน่นอน” ผู้เฒ่าหลีพูดต่อ
บ่อน้ำอมตะมีแค่อันเดียว จะต้องให้มังกรจำศีลน้อยกินแน่นอน และถ้าฝึกปีศาจวายุร้ายใหม่ละก็ ต้องเพิ่มจากลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่งใหม่ ต้องใช้เวลาหลายปีมาก
ส่วนภูตพันวายุอยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลางแล้ว ถ้าเพิ่มความแข็งแกร่งให้อยู่ในระดับราชันละก็ เชื่อว่าอีกไม่นานชู่มู่จะมีดวงวิญญาณหมวดลมระดับราชันลักษณะสิบ นี่มีความหมายมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด !
“นายท่าน ต่อไปก็ทำให้ภูตพันวายุอยู่ในลักษณะสิบ เพิ่มความแข็งแกร่งให้อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอด แล้วใช้วัตถุวิญญาณที่แลกมาเพิ่มความแข็งแกร่ภูตพันวายุ ทำให้อยู่ในระดับราชัน นายท่านจะมีราชันที่มีพลังต่อสู้ลักษณะสิบจำนวนสองตัวแล้ว เจ้าโลกธรรมดาเจอกับนายท่านยังต้องถอย” ผู้เฒ่าหลีพูดด้วยความตื่นเต้น
นึกถึงตอนที่เจ้าโลกหลีมีเทียนเท่าราชันตัวหนึ่งก็มีตำแหน่งไม่ธรรมดาในเมืองหลีแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นาน ชู่มู่ที่มีดวงวิญญาณราชันมากขึ้น คงเพียงพอที่จะให้เหล่าผู้แข็งแกร่งเคารพนับถือตัวเอง
หลังจากคิดได้ว่า จะจัดการดวงวิญญาณตัวอ่อนราชันนี้แล้ว ชู่มู่ได้หยิบแหวนช่องว่างของเทียนทิงออกมา
ผู้เฒ่าหลีตาดีกว่า ชู่มู่ได้ให้แหวนช่องว่างนี้กับผู้เฒ่าหลีแทน
ผู้เฒ่าหลีเริ่มค้นของที่อยู่ในแหวนช่องว่างอย่างตื่นเต้น หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงชวนขนลุกของผู้เฒ่าหลี
“นายท่านเอ้ย ของที่อยู่ในแหวนช่องว่างของเทียนทิงนี้ดีกว่าของเด็กสาวทรยศอย่างมาก!”ผู้เฒ่าหลีบอก
ผู้เฒ่าหลีตื่นเต้นแบบนี้ ตาของชู่มู่ย่อมเป็นประกายขึ้นมาทันที อย่างไรนี่ก็เป็นแหวนช่องว่างของราชันวิญญาณคนหนึ่ง ของที่อยู่ในนั้นจะทำให้ความสามารถของชู่มู่เพิ่มขึ้นแน่นอน!
“ในนี้มีเงินสดหนึ่งพันวิญญาณ ไข่มุกราชันหินขั้นสองจำนวนหนึ่งเม็ด ผลึกหมวดหินระดับราชันขั้นหนึ่งจำนวนหนึ่งเม็ด ยารักษาราชันประมาณหนึ่งร้อยขวด แค่ขายยาพวกนี้ ก็จะมีเงินหลายแสนล้านแล้ว !” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างตื่นเต้นมาก
“ไข่มุกหินเอาไว้ใช้ทำอะไร แล้วก็ราชันขั้นสอง ราชันขั้นหนึ่ง หมายความว่าอย่างไร” ชู่มู่ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก่อนหน้านี้บอกกับนายท่านแล้ว การแบ่งสิ่งของก็แบ่งเป็นเป็นสิบระดับเช่นเดียวกับระดับทาสไปยังระดับจักรพรรดิ และสิ่งที่อยู่ในวงการราชันนี้ จะแบ่งสิบระดับใหม่ เทียบเท่าราชัน ราชันขั้นต่ำ ราชันขั้นกลาง ราชันขั้นสูง ราชันชั้นยอด ระดับทั้งห้า ซึ่งขั้นหนึ่ง ขั้นสอง โดยปกติมักจะหมายถึงวัตถุวิญญาณ ยา ผลึกหิน ผลึกวิญญาณที่เห็นผลชัดเจนเทียบเท่ากับราชัน….”
“ขั้นสาม ขั้นสี่ หมายถึงสิ่งที่มีผลต่อราชันขั้นต่ำ เป็นต้น”
ชู่มู่เองเข้าใจทันที ท่าทางระดับราชันจะแบ่งแยกกับสี่ระดับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง คาดว่าหลังจากนี้ถ้าเจอราชันวิญญาณ ขั้นหนึ่งที่พวกเขาพูดถึงจะไม่ใช่สิ่งที่ใช้เงินไม่เท่าไรก็ซื้อได้…
“นายท่าน ยาพวกนี้ระดับสูงเกินไป เจ้าเก็บไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อใช้ในยามจำเป็นก็พอ ส่วนที่เหลือเอาไปขายทิ้งในตลาด แลกเป็นเหรียญทองนับแสนล้าน แล้วหาวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นกลาง ยังไม่ถึงลักษณะสิบพวกนี้ให้อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบในเวลาอันสั้นก็พอแล้ว…”
“ไข่มุกหินราชันขั้นสอง นี่เป็นของดี รอให้ราชันผีหินผาของนายท่านอยู่ในระดับเทียบเท่าราชันแล้ว ให้มันกินลง ในตอนที่เป็นเทียบเท่าราชัน ถ้าไม่เจอราชันที่มีการโจมตีพิเศษละก็ ใครก็ทำลายการป้องกันของราชันผีหินผาไม่ได้”
“ส่วนผลึกวิญญาณหมวดไม้ราชันขั้นหนึ่ง สิ่งนี้ไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะแล้วละมั้ง”
ชู่มู่พยักหน้า ผลึกวิญญาณนี้ เป็นสิ่งที่ราคาไม่ตกแน่นอน ผลึกวิญญาณของดวงวิญญาณราชันเม็ดหนึ่ง ชู่มู่รู้ดีว่าราคาของมันสูงมากเพียงใด
“ผู้เฒ่าหลี ตามที่เจ้าบอกเมื่อกี้ เทียนทิงมีราชันวิญญาณขั้นกลางขั้นสูง ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เขาต้องการน่าจะอยู่ระหว่างขั้นสี่ถึงขั้นแปด ทำไมแหวนช่องว่างของเขาไม่มีวัตถุวิญญาณขั้นสาม” ชู่มู่ถามขึ้น
ผู้เฒ่าหลีได้ยินแบบนี้ โกรธจนหนวดปลิว พูดขึ้นว่า “นายท่าน ท่านไม่รู้จักพอจริง ๆ ท่านคิดว่า วัตถุวิญญาณระดับราชันเหมือนวัตถุวิญญาณสิบขั้นก่อนหน้านี้ที่หาได้ทั่วไปเหรอ” ผู้เฒ่าหลีพูดกับนายท่านด้วยหน้าที่ว่า ต่อให้เป็นวัตถุวิญญาณขั้นหนึ่งขั้นสองแบบนี้ เทียนทิงเองยังรู้สึกเจ็บใจได้ ของของราชันหายากยิ่งกว่ายาก มิฉะนั้น ท่านหญิงจะต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเพื่อตามหาน้ำแข็งเทพดินได้อย่างไร ! วัตถุวิญญาณราชันไม่ใช่สิ่งที่มีได้ทั่วไป ต่อให้เป็นห้องลับเก็บสมบัติของเทียนทิง เกรงว่าอาจไม่มีวัตถุวิญญาณราชันขั้นสามขึ้นไปมากเท่าไร เพราะราชันขั้นสูงสองตัวก็สิ้นเปลืองมากพอแล้ว!”
ชู่มู่พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่าหลีกำลังบอกว่า ครั้งนี้ตัวเองจะต้องเสียเงินเยอะมากแล้ว ส่วนมันจะมากเท่าไรกัน ชู่มู่ที่ยังไม่อยู่ในระดับราชันเต็มตัวคงไม่เข้าใจ
“ภูตพันวายุเป็นราชันสำรองแล้ว มังกรจำศีลน้อยก็เป็นราชันสำรองแล้ว หน้าที่หลักต่อจากนี้คือทำให้ดวงวิญญาณทั้งหมดอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอด แล้วทำให้พวกมันอยู่ในระดับราชัน แหะแหะ อีกไม่นาน คาดว่าคนในเมืองเทียนเซี่ยที่จะหาเรื่องนายท่านได้ คงมีไม่กี่คนแล้ว” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างตื่นเต้น
ชู่มู่ครึ่งมารเห็นท่านอาวุโสหลิ่วไม่ได้เข้ามาอีก จึงลอยไปด้านหลังอย่างช้า ๆ
“ช่วย…ช่วยข้า…เขาคือ…เขาคือ…” เทียนทิงเห็นกลุ่มองค์กรวิญญาณมุ่งหน้าเข้ามาแล้ว เขาในตอนนี้ยังคงต้องดิ้นรนต่อความตาย
ราชันวิญญาณแต่ละคนไม่กล้าทำอะไร ทำได้แค่มองไปยังประธานเทียนทิงทรงอำนาจในเมื่อวานกลับเหมือนสิ่งหนีตายที่ดิ้นรนอยู่ในมือของครึ่งมาร
แม้แต่ท่านอาวุโสยังไม่สามารถเข้าช่วยเหลือได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ผู้แข็งแกร่งองค์กรวิญญาณเหล่านั้นทำได้แค่ยืนอยู่บนด้านหลังปักษาเทวดาระดับราชันชั้นยอดของท่านอาวุโสมองดูครึ่งมารชั่วร้ายลอยไปด้านหลังทีละนิด….
พวกเขาไม่รู้ว่า ครึ่งมารจะจัดการกับเทียนทิงที่เหลือชีวิตแค่ครึ่งเดียวอย่างไร แต่มั่นใจได้ว่า ประธานเทียนทิงจะต้องมีจุดจบที่อนาถที่สุดแน่นอน
เงาที่มีสายตาเยือกเย็น สันโดษลอยไกลออกไปช้า ๆ กลายเป็นประกายสีขาวเล็ก ๆ ในที่สุด หายไปท่ามกลางท้องฟ้าในยามค่ำคืน
“ท่านอาวุโส พวกเราไม่ตามไปเหรอ ถ้าครึ่งมารยังอยู่ละก็ ไม่รู้จะมีคนต้องรับเคราะห์อีกมากเพียงใด” เหล่าเจ้าโลกเริ่มถามขึ้นอย่างกังวล
การปรากฏตัวของครึ่งมารแต่ละตัวจะนำมาสู่ความหายนะ ตอนนี้ครึ่งมารหนีออกจากเมืองเทียนเซี่ย ถ้าครึ่งมารไม่ตาย อาจปรากฏตัวสักที่ในอนาคตก็ได้
ในเขตโลก ไม่มีทางที่จะมีผู้แข็งแกร่งราชันวิญญาณมากมายมาจัดการครึ่งมารได้ ดังนั้น ถ้าไม่กำจัดมันก่อน เขตโลกทั้งหมดจะกลายเป็นเป้าหมายต่อไปได้
“หมวดลับจะไม่ทิ้งร่องรอยให้สะกดตามได้ ถ้ามันหนีไปอย่างเต็มกำลัง ต่อให้เป็นปักษาเทวดาของข้าก็ตามมันไม่ทัน” ท่านอาวุโสเองได้ถอนหายใจ
“นี่จะกลายเป็นภัยในภาคหน้าจริง ๆ ครึ่งมารเมืองหลีในตอนนั้นยังไม่ทันได้จัดการ ผ่านมาไม่นาน เมืองเทียนเซี่ยมีครึ่งมารอีกแล้ว” ผู้อาวุโสถิงพูดขึ้น
พูดจบ ผู้อาวุโสถิงกวาดตามองไปยังผู้อาวุโสเย้เทาวังมารนิรย สายตานี้กำลังกล่าวโทษคนของวังมารนิรย พวกเขาเองที่สร้างปีศาจชั่วร้ายแบบนี้ขึ้น
เย้เทาวังมารนริยในตอนนี้ไม่มีเวลาสนใจสายตาของผู้อาวุโสถิง เขาในตอนนี้กำลังใช้ความคิดอยู่ “ครึ่งมารที่เป็นพวกเดียวกับมังกรจำศีลมรกตในเมืองหลีตอนนั้น คาดว่ามีสติอยู่ ตอนนี้ครึ่งมารในเมืองเทียนเซี่ยนี้มีสติเหมือนกัน หรือว่าจะเป็นครึ่งมารเดียวกัน”
ครึ่งมารอยู่ได้ทั้งนานและไม่นาน โดยปกติ ถ้าไม่นานมักจะเป็นเพราะมนุษย์ไม่สามารถทนต่อความทรมานนั้นได้อีก เลิกต่อต้าน กลายเป็นมาร นี่จะเป็นเวลาต่อสู้ครั้งหนึ่ง
ถ้านานละก็ ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและวิญญาณที่ไม่ดับของมนุษย์นั้น ต่อสู้กับมารมาตลอด วังมารนิรยเคยมีครึ่งมารต่อเนื่องสิบปีอยู่ !
แน่นอนว่า ครึ่งมารไม่ดับนี้ถูกผนึกไว้ตั้งนานแล้ว มิฉะนั้น ทั้งโลกนี้จะไร้ซึ่งความสงบแน่นอน
“ท่านอาวุโส ตอนนี้พวกเรา…” ราชันวิญญาณทั้งหมดเริ่มถามขึ้น
ราชาหลีหงไม่อยู่ในเมืองเทียนเซี่ย อำนาจสูงสุดอยู่ที่เทียนทิง เทียนทิงถูกครึ่งมารจับไป ตอนนี้คนทั้งหมดย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งของท่านอาวุโสที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุด
“ผู้อาวุโสแต่ละคนพาราชันวิญญาณห้าคนกระจายไปตามทิศทั้งแปดของเมืองเทียนเซี่ย ไม่ว่าครึ่งมารจะบุกเข้ามาอีกหรือไม่ หนึ่งเดือนนี้ใครก็ห้ามออกจากตำแหน่งของตัวเอง !” ท่านอาวุโสพูดกับราชันวิญญาณทั้งหมด
ท่านอาวุโสหลิ่วเป็นท่านอาวุโสของตำหนักวิญญาณ ปกติแล้ว น่าจะมีเพียงสมาชิกตำหนักวิญญาณที่ต้องเชื่อฟัง
แต่ว่า หลังจากท่านอาวุโสหลิ่วออกคำสั่ง กลับไม่มีใครกล้าขัดขืนคำสั่งนี้
ผู้แข็งแกร่งยังคงเป็นที่เคารพนับถือมาตลอด พลังของปักษาเทวดาท่านอาวุโสคนเดียวก็เพียงพอที่ควบคุมดวงวิญญาณหมวดปีกของคนทั้งหมดได้แล้ว
ในไม่ช้าเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในเมืองเทียนเซี่ยนี้ได้พาราชันวิญญาณบินไปยังทิศทางทั้งแปดของเมืองเทียนเซี่ย
“ให้คนทำความสะอาดที่นี่ อย่าให้เหลือร่องรอยอะไรก่อนฟ้าสว่าง อย่าให้ภายนอกรู้เรื่องการปรากฏตัวของครึ่งมาร บอกว่ามารนิรยขาวระดับราชันชั้นยอดบุกก็พอ” ท่านอาวุโสกวาดตามองไปยังราชันวิญญาณที่กุมอำนาจเมืองเทียนเซี่ยที่เหลือแล้วพูดกับพวกเขา
“ขอรับ” ราชันวิญญาณเหล่านี้ได้บินลงจากฟ้า เริ่มรวบรวมผู้เฝ้าเมืองในเขตนี้ ให้พวกเขาทำความสะอาดศพที่กระจายในพื้นที่นี้
หลังจากท่านอาวุโสสั่งการคนทั้งหมดแล้ว นั่งอยู่บนหลังปักษาเทวดาแล้วใช้ความคิด
หลังจากผ่านไปสักพัก ท่านอาวุโสหลิ่วเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ กวักมือเรียกคนมา และคนที่มาคือ เจ้าตำหนักหยู่ที่ไม่ได้ไปทำภารกิจเพียงคนเดียว
เจ้าตำหนักหยู่อยู่ด้านหลังกลุ่มใหญ่ ระหว่างนี้ สีหน้าของเจ้าตำหนักหยู่ซับซ้อนมากกว่าคนทั้งหมด เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นครึ่งมารเมืองหลีกับครึ่งมารเทียนเซี่ย !
“เมื่อกี้เจ้ามีเรื่องจะพูดใช่ไหม ตอนนี้พูดมา” ท่านอาวุโสหลิ่วกวาดตามองไปยังเจ้าตำหนักหยู่ แล้วพูดขึ้น
“เขาคือครึ่งมารเมืองหลี” เจ้าตำหนักหยู่พูดอย่างมั่นใจมาก
เจ้าตำหนักหยู่ไม่รู้ว่า ครึ่งมารเหมือนกันหมดไหม แต่จากความรู้สึกของเจ้าตำหนักหยู่แล้ว ครึ่งมารเทียนเซี่ยนี้คือครึ่งมารเมืองหลี ความชั่วร้ายแบบนั้น สายตาดุร้ายเยือกเย็นชาญฉลาด…
ท่านอาวุโสหลิ่วก็เดาได้ หลังจากรอให้คืนนี้สงบลงแล้ว จะปรึกษากับผู้อาวุโสเย้เทาอีกครั้ง
“ยังพบอะไรอีกไหม” ท่านอาวุโสหลิ่วเห็นเจ้าตำหนักหยู่เหมือนจะพูดบางอย่าง จึงถามต่อ
เจ้าตำหนักหยู่ลังเล ไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องนี้หรือไม่
ความจริงเจ้าตำหนักหยู่สงสัยว่า ครึ่งมารเมืองหลีมีความเกี่ยวข้องพิเศษกับชู่มู่ วันนี้ได้เห็นอีกครั้ง การคาดเดาของเขานี้จึงมีความมั่นใจมากขึ้น แต่ว่าวัยหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีนี้กลายเป็นครึ่งมารเองได้ อีกทั้งมีพลังแข็งแกร่งอย่างราชันขั้นสูง นี่ทำให้เจ้าตำหนักหยู่รู้สึกเพ้อเจ้อเกินไป
ในที่สุด เจ้าตำหนักหยู่ยังคงส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีแล้ว”
ท่านอาวุโสหลิ่วพยักหน้า หันกลับมามองเจ้าตำหนักหยู่ ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับเจ้าตำหนักหยู่” ช่วยจัดการเรื่องหนึ่งให้ข้าหน่อย อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้”
“เชิญท่านอาวุโสสั่ง” เจ้าตำหนักหยู่รีบโค้งคำนับ
ท่านอาวุโสหลิ่วได้ส่งคำพูดด้วยร่ายวิญญาณเข้าไปในหัวของเจ้าตำหนักหยู่
เจ้าตำหนักหยู่ตั้งใจฟังตลอด แต่ในตอนที่เขารู้ว่า ทำเรื่องนี้เพื่อใคร ในใจของเจ้าตำหนักหยู่สะเทือนอย่างมาก ในตอนนี้ยิ่งมั่นใจได้ว่า ชู่มู่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับครึ่งมาร !
…
…
“อ๊า !!!”
บนยอดสูงสุดของประตูโลกมรณะ เสียงร้องสะเทือนดังก้องกังวาน ฟังแล้วชวนขนลุกอย่างมาก !
คนที่ส่งเสียงร้องแบบนี้ได้ คือเทียนทิงที่ถูกชู่มู่ครึ่งมารจับตัวเอาไว้
ชู่มู่ไม่ได้ฆ่าเทียนทิงทันที อยากรู้จากปากของเทียนทิงว่า ยังมีใครที่รู้ความลับของตัวเองอีก
โอกาสของครึ่งมารมีจำกัดมาก ถ้ายังมีคนรู้ความลับอีกละก็ ชู่มู่จะพุ่งเข้าไปในเมืองเทียนเซี่ยอีกครั้งแน่ๆ กำจัดคนนี้ ไม่ทิ้งภัยให้กับตัวเองในวันข้างหน้า
“ไม่…ไม่มีแล้ว…เรื่องนี้…เรื่องนี้เจ้าองค์กรบอกให้ข้าทำ…เขาไม่หวัง…เขาไม่หวังให้ใครรู้…แล้วก็…ต่อให้…ต่อให้เป็นข้า…ก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้น…คืออะไรกันแน่….” เทียนทิงพูดติดขัด เห็นได้ชัดว่า อ่อนแอถึงที่สุดแล้ว
ลองคิดดูว่า ถูกไฟปีศาจระดับราชันขั้นสูงทรมานวิญญาณเกือบครึ่งชั่วโมง จะมีใครทนอยู่อีกได้
“ถ้าอย่างนั้น มีใครบ้างที่รู้ว่า คืนนี้ข้ากับเจ้าจะแลกของกันที่ประตูโลกมรณะ” ชู่มู่ถามอีกครั้ง
ชู่มู่เพิ่มการโจมตีจิตกับเทียนทิง การโจมตีจิตแบบนี้ เทียนทิงไม่มีทางโกหกได้
“เฉินหง…เจี่ย…เจี่ยซุ่นติง…ลี่เถิง…หม่า….หม่าอี้หลู่…มี…มีแค่นี้…” เทียนทิงอยู่ระหว่างความเป็นกับตาย ความทรมานแบบนี้ทำให้เขาไม่มีจิตใจที่คิดจะวางแผนโกงแม้แต่น้อย แต่อยากจะจบชีวิตตัวเองให้เร็วที่สุด
บางครั้งเทียนทิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ตัวเองจะมีวันนี้ อีกทั้งยังถูกวัยหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีทรมานแบบนี้
เทียนทิงปิดปากเฉินหงแล้ว เจี่ยซุ่นติง ลี่เถิง หม่าอี้หลู่ ทั้งสามคนนี้ชู่มู่ไม่ปล่อยให้รอดแม้แต่คนเดียว ถูกผนึกสลายฟ้าขยี้เป็นเศษหมดแล้ว ปนอยู่กับศพของสมาชิกกลุ่มองค์กรวิญญาณหมดแล้ว
คนที่รู้การแลกเปลี่ยนระหว่างเทียนทิงกับชู่มู่มีแค่นี้จริง ๆ เพราะเทียนทิงจงใจวางแผนร้าย กลัวว่าท่านอาวุโสกับท่านหญิงจะโทษตัวเอง จึงไม่เปิดเผยเรื่องนี้ออกไป
เทียนทิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า แผนการที่ตัวเองระวังอย่างมากกลับถูกชู่มู่มองออก อีกทั้งยังเป็นการช่วยชู่มู่กำจัดภัยในภายภาคหน้าด้วย ทำให้ชู่มู่ไม่ต้องเสี่ยงกับการล้อมโจมตีของราชันวิญญาณแล้วยังต้องไปฆ่าล้างในตำหนักเทียนทิงอีก
ก่อนหน้านี้ที่ชู่มู่กับท่านอาวุโสหลิ่วเจรจากันคือ จะให้ตัวเองไปคืนของที่ตำหนักเทียนทิงด้วยตัวเอง ดังนั้น ท่านอาวุโสคิดว่า ชู่มู่อยู่ในตำหนักเทียนทิงมาตลอด
ส่วนเจียจิ้งที่ส่งข่าว ชู่มู่กลับไม่ได้ฆ่าปิดปาก แต่ก่อนที่จะออกมา ได้ให้มั่วเย้เสกคาถาเนตรร้ายสะกดวิญญาณ สลายความทรงจำของเธอ
การสลายความทรงจำแบบนี้ทำได้แค่กับคนที่ร่ายวิญญาณอ่อนแออย่างมาก เดิมเจียจิ้งเป็นแค่ศิษย์วิญญาณตัวน้อยคนหนึ่ง ย่อมต้านทานไม่ได้ หลังจากที่ปล่อยทักษะนี้แล้ว เจียจิ้งคงจะป่วยหนักแน่นอน
“ฆ่า…ฆ่าข้าเถอะ…ไม่…ไม่มีใครรู้…ไม่มีใครรู้แล้ว…ขอร้องละ..ฆ่าข้าเถอะ” เทียนทิงอ้อนวอน
เทียนทิงรู้ว่า ถ้ามีคนรู้ความลับนี้อีก ปีศาจนี้จะไม่ปล่อยเขาแน่นอน เทียนทิงเองก็มั่นใจว่า ไม่มีใครรู้อีก…
หลังจากที่ชู่มู่มั่นใจว่า เทียนทิงไม่ได้โกหก ฝ่ามือเปิดออกช้า ๆ ฉีกยิ้มชั่วร้ายแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้ายังลืมให้อะไรกับข้า”
“นี่…นี่เป็นแหวนจับวิญญาณ ในนี้…ในนี้มีดวงวิญญาณ…ดวงวิญญาณราชันตัวอ่อนนั้น…” เทียนทิงพูดอย่างอ่อนแอยิ่ง
ชู่มู่รับแหวนจับวิญญาณนั้นมา ไม่รีบเปิดออก แต่หยิบแหวนช่องว่างในมือของเทียนทิงมาด้วย มิฉะนั้น จะถูกเปลวไฟของตัวเองเผาจนหมด
ราชันวิญญาณที่มีราชันขั้นสูง และเขาระมัดระวังอย่างมากที่จะเก็บของมีค่าไว้ที่ลึกลับกว่านี้ ในแหวนช่องว่างติดตัวจะต้องมีของมีค่าไม่น้อยแน่นอน
ถ้าชู่มู่เป็นครึ่งมารจริง จะไม่เห็นแก่ของพวกนี้ อย่างไรก็ตาม ผลครึ่งมารของตัวเองหายไป จะต้องฝึกอย่างหนักแล้ว และของที่อยู่ในแหวนช่องว่างของเทียนทิงจะต้องเป็นประโยชน์ต่อตัวเองอย่างมากแน่นอน
ภูตพายุฤดูกาลทั้งหมดได้ปล่อยทักษะออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว คิดจะปล่อยทักษะที่มีผลต่อครึ่งมารได้ คาดว่าต้องใช้เวลาหลายวินาทีในการเตรียม
และในตอนนี้ มีเพียงอาศัยความร่วมมือของเหยี่ยวอาทิตย์อัสดง ถึงจะมีความหวังห้ามชู่มู่ได้
ส่วนดวงวิญญาณระดับราชันของหม่าอี้หลู่ เจี่ยซุ่นติง ลี่เถิง ลำพังการโจมตีของดวงวิญญาณพวกเขาไม่อาจทำให้ครึ่งมารที่มีการป้องกันสูงยิ่งได้รับบาดเจ็บแน่นอน เมื่อรวมกับสมาชิกองค์กรวิญญาณนับพันคน ปล่อยทักษะทับซ้อนกันถึงจะเป็นไปได้
เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีเริ่มเตรียมทักษะหมวดปีกตั้งนานแล้ว หลังจากเทียนทิงออกคำสั่ง เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงนับพันตัวเริ่มเคลื่อนไหว
เงาสีทองแต่ละอันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ไขว้กัน ทำให้มองดูลายตาอย่างมาก !
สิ่งที่ชู่มู่ครึ่งมารเห็นเป็นแค่เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงกำลังเข้าใกล้ตัวเอง ประกายสีทองเหล่านั้นมีพลังฉีกขาดที่รุนแรงมาก การพาดผ่านนับพันแบบนี้ จะทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บแน่นอน อีกทั้งอาจขัดทักษะของตัวเอง
ทว่า ชู่มู่ครึ่งมารไม่กังวล ความคิดรุนแรงของเขาเต็มไปด้วยความทรงจำต่อสู้ของครึ่งมาร ทักษะทั้งหมดของครึ่งมารเขารู้เป็นอย่างดี!
เผชิญหน้ากับการโจมตีของเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงนับพันตัว ฝ่ามือของชู่มู่ที่ต้านทานภูตพายุฤดูกาลยื่นออกกะทันหัน
หลังจากที่ชู่มู่ต้านทานทักษะหมวดลมแล้ว ฝ่ามือนี้กำแน่นมาตลอด ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า ระหว่างนิ้วมือของเขามีลมอลวนล้นออกมา
ทันใดนั้น ฝ่ามือของชู่มู่เปิดออก !
หลุมบนฝ่ามือของชู่มู่ไม่ได้หายไป !
“สะท้อนกลับ !”
ฝ่ามือของชู่มู่ครึ่งมารเปิดออกหมด พลังหมวดลมรุนแรงยิ่งทะลักออกจากหลุมกลางฝ่ามือของชู่มู่ทันที นั่นเป็นพายุอลวนที่ถูกชู่มู่สลายไปก่อนหน้านี้ !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!!”
พายุพัดพาอย่างรุนแรง โจมตีไปยังเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงทั้งหมดที่บินเข้ามา !!!
“ทักษะของภูตพายุฤดูกาลถูกเขาตีกลับมาแล้ว !!!” สีหน้าของเจี่ยซุ่นติงซีดขาวทันที นี่เป็นความสามารถสะท้อนกลับของครึ่งมารหมวดลับ เป็นความสามารถลึกลับที่สะท้อนพลังหมวดทั้งหมดได้ !
ความเข้าใจของเจี่ยซุ่นติงที่มีต่อครึ่งมารก็มีอย่างจำกัด จะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อกี้ชู่มู่กำลังสะท้อนทักษะกลับ ตอนนี้เห็นพายุที่เต็มไปด้วยพลังกำลังบุกเข้ามา ดวงตาคู่นั้นของเขาเต็มด้วยความหวาดกลัว !!!
สำหรับราชันวิญญาณที่มีดวงวิญญาณระดับราชันพวกนี้แล้ว ถ้าทักษะหมวดลมกระจายออกละก็ ยังไม่พอที่จะฆ่าพวกเขาในเสี้ยววินาทีได้
และแล้ว เหล่าสมาชิกของกลุ่มองค์กรวิญญาณก็ใช่ว่าจะปลอดภัยได้ โดยเฉพาะภูตพายุฤดูกาลยังยากที่จะปล่อยทักษะป้องกันลมออกมาได้ !
“รวมตัวกัน ! รวมตัวเข้าด้วยกัน !!!” เทียนทิงตะโกนขึ้นทันที !!!
เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงได้กระจายตัวออก ยิ่งกระจายตัว ผลของการโจมตีหมวดลมในพื้นที่กว้างยิ่งดีมากขึ้น หัวหน้าเทียนทิงยังมีสติอยู่
เทียนทิงมีปักษาแปดปีกเป็นหัวหน้า สมาชิกองค์กรวิญญาณเหล่านั้นรีบล้มเลิกการโจมตี รวมตัวไปยังพื้นที่เดิมทันที !
“เก็บปีกครึ่งหนึ่ง” เทียนทิงตะโกนอีกครั้ง !
เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงพันตัวเก็บปีกครึ่งหนึ่งพร้อมกันเป็นระเบียบ ได้รับการฝึกมาอย่างดีจริง ๆ เช่นนี้พวกมันจะรับการโจมตีของแรงลมได้น้อยลงมาก !!!
“โซ โซ โซ โซ โซ !!!”
เสียงของลมเปลี่ยนไปอีกครั้ง กรงเล็บมังกรพายุอลวนพาดผ่าน ทำการกลืนกินกลุ่มสีทองนี้อย่างต่อเนื่อง !!!
“อ๊า อ๊า อ๊า !!!”
สมาชิกองค์กรวิญญาณที่อยู่ด้านนอกสุดถูกพายุพัดออกไปทันที เสียงร้องดังขึ้นกลางอากาศ !
แรงลมที่น่ากลัวแบบนี้ สำหรับสมาชิกกลุ่มองค์กรวิญญาณแล้ว ยิ่งเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง ดังนั้น ทันทีที่ถูกพัดออกไป คาดว่าจะสลายไปกลางอากาศแน่นอน !
เหล่าสมาชิกองค์กรวิญญาณแต่ละคนต่างก้มหน้าลง หมอบอยู่บนตัวเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงของตัวเองอย่างหวาดหวั่น เสียงคำรามแห่งความตายดังขึ้นข้างหูไม่หยุด !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!!”
เสียงลมกลายเป็นเสียงแบบเดิมแล้ว เท่ากับว่าทักษะหมวดลมนี้ได้ลดลงแล้ว
เหล่าสมาชิกที่อยู่ตรงกลางได้ลืมตาในที่สุด แต่ว่าเหล่าสมาชิกที่เหลือสัมผัสได้ว่า กลุ่มลดลงอย่างมาก
ไม่มีใครรู้ว่าเพื่อนในกลุ่มลดลงมากเท่าไร แต่ความหวาดกลัวที่มีต่อความตายได้ครอบงำจิตใจของพวกเขา !
“อย่าสนใจคนเหล่านั้น รีบตั้งกลุ่ม !!!” เทียนทิงเองก็ขี้เกียจสนใจความเป็นความตายของคนที่ถูกพัดออกไป ออกคำสั่งอย่างเลือดเย็น
แม้จะเป็นกลุ่ม แต่พลังของพายุทำให้กลุ่มเกิดการกระจายออกอย่างชัดเจน จะให้ตั้งรูปแบบโจมตีทันทียากมาก
เทียนทิงกวาดตามองไปยังสมาชิกทั้งหมด เห็นพวกเขาชักช้าแบบนี้ จึงตะโกนด่าทันที !
“ไม่ต้องตั้งกลุ่มแล้ว ช้า ๆ หน่อย ยังมีชีวิตรอดไปได้บ้าง ถ้ารวมกัน จะตายหมด !” ในตอนนี้ เสียงบ้าคลั่งของครึ่งมารดังขึ้นในหูของกลุ่มองค์กรวิญญาณแต่ละคน
ชู่มู่ครึ่งมารฉีกยิ้มโหดร้ายออกมา !
เดิมครึ่งมารก็เป็นร่างแห่งการฆ่าล้างอยู่แล้ว อย่าว่าแต่พวกองค์กรวิญญาณ ต่อให้เป็นคนธรรมดา ครึ่งมารที่นองเลือดก็จะไม่ออกมือใด ๆ !
ความชั่วร้ายยังคงเป็นความชั่วร้าย จำต้องกองด้วยศพมหาศาล มิฉะนั้น จะขึ้นไปบนความชั่วร้ายสูงสุดได้อย่างไร
ตอนที่ชู่มู่ปล่อยทักษะพายุสะท้อนกลับ มือที่กำท้องฟ้านั้นไม่ค่อยลดลงมา เท่ากับว่า เมื่อกี้เขาเตรียมทักษะมาตลอด !
“ผนึกสลายฟ้า !”
ในที่สุด ชู่มู่พูดชื่อทักษะนี้ออกมาอย่างเยือกเย็น !!!
ท้องฟ้ากำลังจะถล่ม !!!
เงาทำลายล้างปกคลุมหัวของคนทั้งหมด ราวกับอยู่แค่เอื้อมมือ !
คนทั้งหมดเงยหน้ามองด้วยความสะเทือนใจ ต่อให้บางคนหนีด้วยความกลัว ความจริงหนีไม่หนีก็ไม่มีความหมาย เพราะพลังระดับนี้ปกคลุมพื้นที่นับพันเมตรได้อย่างง่ายดาย ใช้เวลาในการเตรียมทักษะนี้ไม่กี่วินาที ถ้าทักษะนี้พุ่งลงพื้น ดวงวิญญาณต่ำกว่าระดับราชันคงไม่อาจหนีจากผลกระทบของทักษะนี้ได้ !
ท้องฟ้าต่ำลงเรื่อย ๆ ทันใดนั้น รอยแยกสลายฟ้าลึกลับที่เหมือนสายฟ้าพาดผ่านผ่าออก ! สะดุดตาอย่างมาก !
ใบหน้าสีเงินของชู่มู่ครึ่งมารได้กลายเป็นปีศาจ จมูกสีเงินที่เป็นเหลี่ยมชัดเจน มุมปากที่อยู่ในความโค้งดุร้ายที่สุด ดวงตาที่เป็นเนตรลับอันเต็มไปด้วยความโกรธเคืองที่สุด…
เนตรลับของเขามองไปยังรอยแยกนั้น อ้าปากออกช้า ๆ พ่นลำแสงสีขาวออกมา ทะลุฟ้าทั้งผืนนั้น !!!
หลังจากพลังของประกายแสงแล้ว รอยแยกบนฟ้ากว้างและลึกกว่าเดิม !!!
ราวกับมีปีศาจดุร้ายปรากฏบนฟ้าสีดำนับไม่ถ้วน กำลังยื่นกรงเล็บปีศาจอันดุร้ายออก ฉีกเลือดเนื้อออกทั้งเป็น เพื่อเติมเต็มท้องของตัวเอง !
กรงเล็บปีศาจสลายฟ้าปรากฏมากขึ้น เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงกับผู้คุมดวงวิญญาณกลับอ่อนแออย่างมากเมื่ออยู่ใต้พลังนี้ หากแค่สัมผัส ตัวจะสลายแน่นอน !!!
“อ๊า อ๊า อ๊า !!! อ๊า อ๊า อ๊า !!!”
“อ๊า อ๊า !!! อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า !!!”
เสียงโอดครวญดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมาชิกองค์กรวิญญาณเหมือนตกนรกทั้งเป็น ถูกผนึกสลายฟ้านี้ฉีกเป็นเศษทั้งเป็น !
เลือดเนื้อของผู้คุมดวงวิญญาณกระจายบนฟากฟ้า ขนของเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงที่เต็มไปด้วยเลือดสดกระจายออก เศษซากเหล่านั้นลอยลงจากฟ้าราวกับสายฝน เลือดที่ปกคลุมทั่วทั้งเมือง !!!
หยดเลือดตีบนใบหน้าของผู้คน พวกผู้คุมดวงวิญญาณที่มีความกล้าซึ่งกำลังมองไปยังทั้งหมดนี้นิ่งอึ้ง แขนและขา รวมถึงหัวและเครื่องในที่ขาดออกจากกัน รวมถึงน้ำเลือดต่าง ๆ ที่ตกลงมาราวกับสายฝน ได้ปกคลุมทั้งเมือง !
นี่เป็นภาพที่สะเทือนใจมากเพียงใด !!!
คนนับไม่ถ้วนได้สลบไปท่ามกลางนรกบนดินเลือดเนื้อเหล่านี้ คนนับไม่ถ้วนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับหิน คนนับไม่ถ้วนลืมตามองดูท้องฟ้าที่นองเลือดนี้…
หลังจากผนึกสลายฟ้าชั่วร้ายได้ทำลายความถูกต้องในใจของผู้คนอย่างสิ้นเชิง ผู้คนที่เป็นหนี้บุญคุณเล็กน้อยกับองค์กรวิญญาณมาตลอดหลายปีเห็นคนที่ปกป้องพวกเขาได้ตายอย่างอนาถแบบนี้
บนหลังคา ฝนเลือดตีบนใบหน้าของผู้คุมดวงวิญญาณตัวเล็กคนนั้น ทำให้เขานิ่งอึ้งอยู่กับที่ พูดพึมพำอย่างไร้วิญญาณว่า “ยังดี…ยังดีที่ไม่ผ่าน…ไม่ผ่านบททดสอบของกลุ่มองค์กรวิญญาณ”
ถ้าผู้คุมดวงวิญญาณตัวเล็กผ่านบททดสอบของกลุ่มองค์กรวิญญาณ เขาจะเป็นหนึ่งในสมาชิกเหล่านี้ และจะกลายเป็นหนึ่งในคนที่เลือดเนื้อกระจายแบบนี้ !
ผนึกสลายฟ้า เป็นการฆ่าล้างอย่างสิ้นเชิง !
ส่วนผู้สร้างการฆ่าล้างแบบนี้กลับเป็นเพชฌฆาตที่มืดมัวเหมือนราตรี !
กลิ่นไอชั่วร้ายของเขาลอยผ่านฝนเลือดเเหล่านี้ ลอยไปตรงหน้าเทียนทิง
ดวงวิญญาณของเทียนทิงไม่ตายลง ทักษะผนึกสลายฟ้าของชู่มู่เล็งไปยังกลุ่มองค์กรวิญญาณ เป็นที่พึ่งพาสุดท้ายของเทียนทิง ส่วนจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวที่เทียนทิงอัญเชิญออกมาภายหลังกับปักษาแปดปีกที่ถูกผนึกสลายเวหาฉีกปีกไปสามคู่ ไม่สามารถสร้างอันตรายต่อชู่มู่ได้แล้ว
เทียนทิงอยู่บนตัวปักษาแปดปีกที่เหมือนจะตกลงได้ทุกเมื่อ มองดูชู่มู่เดินเข้ามาตัวสั่น
ระหว่างที่กลุ่มองค์กรวิญญาณถูกฆ่าล้าง เทียนทิงได้เสียสติแล้ว ตัวเขาต้องรับผิดชอบต่อแผนร้ายที่ตัวเองคิดไว้ก่อนหน้านี้ ตัวเขาที่อาศัยความอวดดีและความเย่อหยิ่งของราชันขั้นสูงได้หายไปหมดแล้ว !
“เจ้าอยากบอกชื่อของข้าให้พวกเขารู้งั้นหรือ” ชู่มู่เหมือนจะอ่านความคิดของเทียนทิงได้ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
เทียนทิงหุบปากที่สั่นคลอ…
เทียนทิงอยากพูดชื่อของชู่มู่ออกมาจริง เขาจะบอกคนทั้งเมืองเทียนเซี่ย ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณคือครึ่งมารเมืองหลี และเป็นครึ่งมารเทียนเซี่ยนี้ด้วย เมล็ดแห่งหายนะที่กลายเป็นครึ่งมารได้ด้วยตัวเอง !
และแล้ว ตอนนี้เทียนทิงไม่อาจพูดในสิ่งที่อยากพูดได้แล้ว ความกดดันมหาศาลทำให้หัวใจของเขาแทบจะระเบิดออก !
“เจ้า…เจ้า…” เทียนทิงพูดพร้อมร่างที่สั่นไปทั้งตัว เขาอยากพูดอะไรไม่สำคัญสำหรับชู่มู่แล้ว !
“นี่เป็นแค่การเริ่มต้น ในองค์กรวิญญาณมีคนที่สมควรตายอย่างเจ้ามากเกินไป ข้าจะขยี้สมองของพวกเขาทีละคน…” ชู่มู่เดินไปตรงหน้าเทียนทิงแล้ว ใช้มือข้างหนึ่งจับหัวของเทียนทิงไว้ แล้วดึงขึ้นทันที !
ฝนเลือดสงบลงเล็กน้อบ ศพทั้งหมดตกอยู่บนหลังคา ถนน สวน บ่อน้ำ…
กลิ่นคาวปกคลุมครึ่งเมืองเทียนเซี่ย อีกทั้งยังกระจายออกไปเรื่อย ๆ คาดว่าหลังจากนี้ไม่กี่วัน ท่อระบายน้ำของทั้งเมืองเทียนเซี่ยจะเป็นสีแดง รวมถึงแม่น้ำที่ไหลออกไปด้วย…
ผนึกสลายฟ้าไม่ตกถึงพื้นสักเส้น นอกจากหลุมปีศาจร้ายก่อนหน้านี้ที่มีคนได้รับผลกระทบแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือตายลงให้เมืองเทียนเซี่ยมากเท่าไร
และแล้ว ความสะเทือนของการต่อสู้ครั้งนี้กลับทำให้คนนับแสนที่ได้เห็นกับตาเกิดความสะเทือนใจหวาดกลัวอย่างยิ่ง ส่วนสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ ไม่มีใครบอกได้
“ท่านประธาน…ท่านประธาน…เขาถูกปีศาจนั้นจับไว้แล้ว…”
ราชันวิญญาณที่มีความอดทนสูงนั่งนิ่งอยู่กับพื้น มองไปบนฟ้าไกล
ราชันวิญญาณเหล่านี้ไม่มีดวงวิญญาณที่สูงกว่าระดับราชันขั้นกลาง ก่อนที่จะมีกลุ่มผู้คนทรงอำนาจกว่ามาถึง พวกเขาจะไปตายไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนที่แม้แต่ท่านประธานที่นั่งทั้งสี่ยังถูกปีศาจนี้จับไว้ราวกับของตาย
“มี…มีคนมาแล้ว !!!”
บริเวณใจกลางเมืองเทียนเซี่ย เงายักษ์ใหญ่สิบกว่าอันกำลังมุ่งหน้ามายังพื้นที่แห่งนี้ด้วยความรวดเร็ว
“เหมือนจะเป็นผู้อาสุโสอำนาจต่าง ๆ และเหล่าผู้แข็งแกร่งราชันวิญญาณ !!!
เหล่าองค์กรวิญญาณที่กระจายตัวเห็นผู้แข็งแกร่งเมืองเทียนเซี่ยมุ่งหน้ามาทันที หลังจากเกิดหายนะแบบนี้แล้ว ยังกล้ามารับมือกับศัตรู คงมีแค่กลุ่มราชันวิญญาณเหล่านี้แล้ว !!!
ในตอนที่ทั้งเมืองได้รับอันตราย เหล่งอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในวงการวิญญาณอย่างวังมารนิรย ตำหนักวิญญาณ วังดวงวิญญาณ องค์กรการค้า องค์กรวิญญาณ ประตูธาตุจะร่วมมือกัน เพื่อต่อต้านศัตรูภายนอก
ดังนั้น ในบรรดาเงาสิบกว่าอันนั้น มีผู้อาวุโสตำหนักวิญญาณ ผู้อาวุโสวังมารนิรย ผู้อาวุโสวังดวงวิญญาณ เจ้าตำหนักต่าง ๆ เจ้าโลก และราชันวิญญาณที่ควบคุมแหล่งทรัพยากรอื่น ๆ …
ที่บินอยู่ตรงด้านหน้าสุด คือบุคคลระดับท่านอาวุโสเพียงผู้เดียวในเมืองเทียนเซี่ยแห่งนี้ ท่านอาวุโสหลิ่วแห่งตำหนักวิญญาณ !
ด้านหลังท่านอาวุโสคือที่นั่งทั้งสาม ผู้อาวุโสไห่ชิว ผู้อาวุโสเย้เทา ผู้อาวุโสถิง หลังจากที่นั่งสาม คือบุคคลระดับผู้อาวุโสอื่นของอำนาจทั้งสาม นักวิญญาณเฒ่าเต๋อก็อยู่ในนั้นด้วย
หลังจากกลุ่มผู้อาวุโส คือบุคคลระดับเจ้าตำหนักและเจ้าวัง ผู้ใหญ่เหล่านี้มีราชันขั้นกลาง บางครั้งอาจมีราชันวิญญาณที่ขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกบินอยู่รอบกลุ่มเจ้าตำหนักและเจ้าวัง
กลุ่มสุดท้าย คือราชันวิญญาณธรรมดา พวกเขามีราชันวิญญาณขั้นต่ำกับเทียบเท่าราชันวิญญาณ !
ราชันวิญญาณที่อยู่ในเมืองเทียนเซี่ยมีประมาณหนึ่งร้อยคน และครั้งนี้กลับมีราชันวิญญาณเกือบครึ่งปรากฏตัว !!!
และตามที่กลุ่มผู้คนนี้เข้าใกล้ มีราชันวิญญาณที่กระจายอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ของเมืองบินขึ้นฟ้า เข้าร่วมกลุ่มราชันวิญญาณเหล่านี้ !
การต่อสู้สะเทือนโลกนี้ใช้เวลาไม่นานมากนัก เหล่าผู้แข็งแกร่งราชันวิญญาณปรากฏตัวไม่ช้าเกินไป อย่างไรก็ตาม เมืองเทียนเซี่ยนี้กว้างมาก จากบริเวณใจกลางมายังประตูเมืองนี้ต้องผ่านใจกลางเมืองที่รุ่งเรืองที่สุด ด้านในเมือง และสี่เขตนอกเมือง เขตเมืองแต่ละเขตคำนวณจากกิโลเมตร ความเร็วของดวงวิญญาณระดับราชันไวมากเพียงใดก็ไม่อาจมาถึงที่นี่ในเสี้ยววินาทีได้
ส่วนราชันวิญญาณที่กระจายตัวอยู่บริเวณนี้อยู่แล้ว พวกเขาไม่มีความกล้าแม้แต่จะลงมือ อย่าว่าแต่ให้ความช่วยเหลือ
กลุ่มราชันวิญญาณแบบนี้ ไม่ได้พบเห็นมาเป็นสิบปีแล้ว การรวมตัวของผู้แข็งแกร่ง ก็เพื่อครึ่งมารราชันร้ายที่ปรากฏตัวในเมืองเทียนเซี่ยนี้ !
ความเร็วในการบินของท่านอาวุโสหลิ่วไวที่สุด หนวดขาวทั้งสองพลิ้วไปตามสายลมอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาที่กำลังใช้ความคิดจับจ้องไปยังเงาปีศาจลึกลับที่มีก้อนไฟสีขาวลุกโชน
ต่อให้เป็นท่านอาวุโส ตอนที่เผชิญกับครึ่งมารตัวจริงสายตาของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน หายนะเมื่อสิบกว่าปีก่อนของครึ่งมารยังเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานสำหรับท่านอาวุโสหลิ่ว
ดวงวิญญาณที่ท่านอาวุโสขี่อยู่เต็มไปด้วยพลัง เป็นปักษาเทวดาที่เพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับราชันชั้นยอดแล้ว !
เป็นดวงวิญญาณระดับราชั้นชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เป็นชู่มู่ครึ่งมารก็ใช่ว่าจะเป็นศัตรูของมัน อีกทั้งมองออกได้ว่า ท่านอาวุโสไม่ได้มีราชันชั้นยอดแค่ตัวเดียว !
“ทุกคนหยุด !” ทันใดนั้น ท่านอาวุโสหลิ่วใช้ร่ายวิญญาณตะโกนขึ้น สั่งให้ราชันวิญญาณทั้งหมดหยุดลง !
จำนวนของราชันวิญญาณในตอนนี้มีมากถึงหกสิบคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งอำนาจใด หลังจากท่านอาวุโสออกคำสั่ง ไม่มีใครกล้าขัด หลังจากที่บินไปด้านหลังท่านอาวุโส พวกเขาก็ไม่กล้ามุ่งไปข้างหน้าแล้ว
“ท่านอาวุโสหลิ่วงั้นหรือ” ไห่ชิวถามด้วยความสงสัย
ในตอนนี้ห่างจากครึ่งมากแค่พันเมตร สำหรับราชันวิญญาณแล้ว ระยะห่างแบบนี้ไม่เท่าไร
และในระยะห่างแบบนี้ ราชันวิญญาณสามารถมองเห็นเงาของครึ่งมารราชันชั่วร้ายได้ชัดเจน มีราชันวิญญาณไม่น้อยพบว่า ด้านล่างของพวกเขาเต็มไปด้วยศพมากมาย สะเทือนใจยิ่งกว่าเดิม !
“นี่คือครึ่งมาร….”
“บาปของวังมารนิรย”
“ไฟปีศาจ พลังอสูร หมวดลับ สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่สุดไร้จุดอ่อน เทพปีศาจจากอีกโลกหนึ่ง !” เหล่าราชันวิญญาณของวังมารนิรยแต่ละคนพูดด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน
ราชันวิญญาณไม่น้อยไม่เคยเห็นครึ่งมารมาก่อน ตอนนี้ได้เห็นครึ่งมารด้วยระยะที่ใกล้แบบนี้ ยากที่จะบรรยายความสะเทือนใจนี้ได้
“ท่านอาวุโสหลิ่ว ท่านประธานถูกเขาจับเอาไว้ พวกเราไม่กล้าลงมือหรือ” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อถามเสียงเบา
ท่านอาวุโสหลิ่วส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่ต้องพูดถึงเทียนทิง เขาตายแน่นอน !
ครึ่งมารจะฆ่าเขาเมื่อไร ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของครึ่งมารแล้ว ต่อให้ท่านอาวุโสหลิ่วลงมือในตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนนี้ ที่ทำให้ท่านอาวุโสกังวลจริง ๆ คือไฟปีศาจแห่งความตายที่รวมอยู่ในมืออีกข้างของครึ่งมาร
ตอนที่ผู้คนกำลังเข้าใกล้ ไฟปีศาจนี้ได้ลุกโชนบนมือของครึ่งมารแล้ว
ทักษะนี้ถ้าปล่อยมายังพวกราชันวิญญาณ อาจไม่ก่อให้เกิดพวกราชันวิญญาณได้มากเท่าไร
แต่ว่าถ้าเขาโยนทักษะนี้ไปยังเมืองเทียนเซี่ยละก็ ไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมา !
“ครึ่งมารมีความสามารถหมวดลับ ต่อให้ความเร็วปักษาเทวดาของข้าจะไวเพียงใด ก็ไม่ทันห้ามเขาโจมตีไปยังชาวบ้านนับไม่ถ้วนในเมืองเทียนเซี่ยได้” อารมณ์ในใจของท่านอาวุโสหลิ่วเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
สีหน้าของผู้อาวุโสมากมายเคร่งเครียดเช่นกัน
ผู้อาวุโสไห่ชิวพูดขึ้นว่า “เกรงว่าเขาจะโจมตีเมืองเทียนเซี่ย ถ้าปล่อยทักษะออกมาละก็ จะก่อเป็นหายนะในเมืองเทียนเซี่ยแน่นอน !”
พอพูดแบบนี้ออกไป ใจของเหล่าผู้แข็งแกร่งทั้งหมดหน่วงขึ้นทันที
ผู้แข็งแกร่งมากมายอย่างพวกเขาอยู่ในเมืองเทียนเซี่ยแห่งนี้ตลอด สถานการณ์แบบนี้ยังทำให้เกิดหายนะในเมืองเทียนเซี่ยได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเขามีสิทธิได้รับความเคารพคุ้มครองของผู้คนได้อย่างไร จะมีคนนับไม่ถ้วนวิจารณ์พวกเขาแน่นอน !
ในบรรดาผู้อาวุโส สีหน้าของผู้อาวุโสเย้เทาวังมารนิรยซับซ้อนที่สุด เขาลังเลสักพัก ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับท่านอาวุโสหลิ่วว่า “ท่านอาวุโส…เจ้ามองออกหรือยัง”
ท่านอาวุโสพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าซับซ้อนอย่างมากเช่นกัน ผ่านไปสักพักถึงใช้ร่ายวิญญาณพูดขึ้นว่า “ครึ่งมารนี้ มีสติ…”
ครึ่งมารที่มีสติ !
ครึ่งมารที่เต็มไปด้วยการฆ่าล้าง ทันทีที่ปรากฏตัวจะเต็มไปด้วยพายุนองเลือด แทบไม่รู้จักการข่มขู่ !
ครึ่งมารปรากฏตัวอย่างไร เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เป็นท่านอาวุโสกับผู้อาวุโสรู้ดีอย่างมาก นั่นเป็นมารนิรยบางตัวที่กลืนกินวิญญาณของผู้แข็งแกร่งยิ่ง
เพราะความมุ่งมั่นของผู้แข็งแกร่งบางคนที่แข็งแกร่งยิ่ง พวกเขาไม่ยอมให้ตัวเองถูกมารนิรยกลืนกินแบบนี้ ดังนั้น ตอนที่ถูกกลืนกินทีละนิด จะทำการต่อสู้กับวิญญาณของมารนิรย
ส่วนขั้นตอนที่วิญญาณของผู้แข็งแกร่งกำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ก็คือครึ่งมาร !
พูดได้ว่า หากผู้แข็งแกร่งทนต่อความเจ็บปวดที่ถูกกลืนกินวิญญาณทั้งเป็นนั้นได้ อีกทั้งไม่ล้มเลิก ขั้นตอนนี้จะเกิดความแข็งแกร่งขึ้น ชั่วร้ายมากขึ้น พลังเคียดแค้นที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่สุด
ในตอนที่อยู่ในร่างมนุษย์ ความสามารถจะธรรมดาอย่างมาก ในตอนที่อยู่ในภาวะมาร ความสามารถก็จะธรรมดาเช่นกัน มีเพียงตอนอยู่ในภาวะกึ่งมนุษย์กึ่งมารนี้จะแข็งแกร่งที่สุด !
ในตอนเป็นครึ่งมาร มารจะเป็นผู้ควบคุมหลักแน่นอน มิฉะนั้น มารจะไม่กลืนกินวิญญาณของมนุษย์ มนุษย์จะต้องดิ้นรนอย่างมากแน่นอน เมื่อมารจะกลืนกิน ก็ยิ่งไม่สามารถควบคุมร่างกายได้
ดังนั้น ในภาวะครึ่งมาร เท่ากับเป็นปีศาจที่รู้จักแค่การฆ่าล้างอย่างเดียว ไม่มีทางที่จะมีสติแน่นอน
ท่านอาวุโสเป็นคนที่เคยผ่านหายนะครึ่งมารมาก่อน ผู้อาวุโสเย้เทาเองก็รู้เรื่องของมันมาบ้าง พวกเขารู้ว่า ครึ่งมารไม่มีสติ ไม่มีความคิด ไม่มีปัญญา
และแล้ว ที่ทำให้ท่านอาวุโสหลิ่วกับผู้อาวุโสเย้เทาตกใจคือ ครึ่งมารตรงหน้านี้ กลับเป็นครึ่งมารที่มีสติตัวหนึ่ง !!!
เขารู้จักการจับเทียนทิงไว้แต่ไม่ฆ่าทิ้ง เขารู้จักการใช้ชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์ในเมืองเทียนเซี่ยเพื่อข่มขู่กลุ่มราชันวิญญาณแข็งแกร่งอย่างพวกเขา
ครึ่งมารที่แท้จริงไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ระหว่างที่ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดพวกมันแทบไม่มีทางใช้ความคิดแน่นอน อย่าว่าแต่จะทำท่าทีแบบนี้ออกมาได้ !
“ท่านอาวุโสหลิ่ว ท่านลอง…ลองใช้ร่ายวิญญาณสื่อสารกับมัน…” ผู้อาวุโสเย้เทาใช้ร่ายวิญญาณพูดขึ้นเสียงเบา
ครึ่งมารที่มีสตินี่ทำให้ผู้อาวุโสเกิดความสะเทือนใจอย่างมาก ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป เหล่าผู้แข็งแกร่งในเมืองว่านเซี่ยงจะต้องตื่นตระหนกแน่ !
ท่านอาวุโสหลิ่วพยักหน้า ตอนที่เผชิญหน้ากับมัน ได้พยายามใช้ร่ายวิญญาณเจรจากับมัน
“พวกเราจะไม่เข้าไป แต่เจ้าก็อย่าทิ้งทักษะนั้นลงไป” ท่านอาวุโสหลิ่วลองใช้ร่ายวิญญาณส่งเข้าหัวของชู่มู่
ชู่มู่ครึ่งมารยืนอยู่ตรงนั้น มือแห่งไฟปีศาจยังคงจับเทียนทิงเกือบตายอยู่ สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มราชันวิญญาณอลังการ แต่ว่าชู่มู่ครึ่งมารไม่ได้พูดอะไร
ในใจของชู่มู่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความโหดร้าย นองเลือด ขณะเดียวกัน ยังมีสติที่ใจเย็นอยู่ เขาไม่พูด เป็นเพราะกลัวว่าท่านอาวุโสจะจำเสียงร่ายวิญญาณของตัวเองได้ ต่อจากนี้จะรู้ว่าหลานชายที่เพิ่งรู้จักกันคนนี้เป็นครึ่งมาร
ความลับครึ่งมาร ชู่มู่ไม่อยากให้คนรู้มากเกินไป
“เจ้ามีอะไรที่ต้องการ บอกข้าได้ แค่ไม่ทำลายคนบริสุทธิ์ในเมืองเทียนเซี่ยก็พอ” ท่านอาวุโสหลิ่วพูดด้วยความจริงใจ
ท่านอาวุโสหลิ่วเป็นคนชราตำหนักวิญญาณที่มีความซื่อตรงอย่างมากคนหนึ่ง เขาสนใจประชาชนคนทั้งเมืองเทียนเซี่ยจริง ๆ
ในตอนนี้ เขาจำต้องลดท่าทีของท่านอาวุโสลง เพราะชีวิตของคนนับหมื่น คนนับแสน อาจกลายเป็นเถ้าถ่านเพราะคำพูดประมาทของตัวเองได้
ชู่มู่ครึ่งมารมองไปยังคนชราที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองมากลดตำแหน่งของตัวเองลงแบบนี้ ความดุร้ายในใจก็ลดลงเล็กน้อยบ้างแล้ว
ทว่า ชู่มู่ครึ่งมารยังคงไม่พูดอะไร เขาจับหัวของเทียนทิงเอาไว้ ถอยหลังช้า ๆ ทิศทางที่ถอยออกไปคือด้านนอกเมือง
ท่านอาวุโสหลิ่วเห็นครึ่งมารจะถอยออกไป เดินเข้ามาเล็กน้อย
และในตอนนี้ ไฟปีศาจในฝ่ามือของชู่มู่ลุกโชนขึ้นทันที บังคับให้ท่านอาวุโสหลิ่วต้องรีบถอยหลัง
“ข้าจะไม่เข้าไป ข้าจะไม่เข้าไปแน่นอน” ท่านอาวุโสหลิ่วรีบพูดขึ้น
ท่าทีนี้ของครึ่งมาร ทำให้ท่านอาวุโสหลิ่วพิสูจน์ได้ว่า ครึ่งมารราชันชั่วร้ายนี้มีสติอยู่ อีกทั้งอาจเป็นสติที่ดีมากด้วย !
หม่าอี้หลู่ ลี่เถิง เจี่ยซุ่นติงราชันวิญญาณทั้งสามได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโกรธของเทียนทิง ยังคงลังเลเล็กน้อย ถึงออกคำสั่ง อัญเชิญดวงวิญญาณหมวดปีกออกมา !
ดวงวิญญาณของสมาชิกชั้นยอดองค์กรวิญญาณเหมือนกันหมด ต่างเป็นเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงจักรพรรดิขั้นสูงทั้งหมด !
กลุ่มนี้นับว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ชั้นยอดที่สุดของเมืองเทียนเซี่ยและแข็งแกร่งที่สุด ฟังคำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กรวิญญาณ !
หลังจากที่เทียนทิงมาเมืองเทียนเซี่ยแล้ว เขาได้กลายเป็นอำนาจหลักของสมาชิกชั้นยอดเหล่านี้ ดวงวิญญาณหมวดปีกของสมาชิกเหล่านี้ เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งพันพัว ก็เพียงพอที่จะเทียบเท่าพลังกลุ่มที่ต่อต้านดวงวิญญาณราชันขั้นกลางแล้ว บวกกับแต่ละคนยังมีดวงวิญญาณอีกสามตัว เมื่อเทียบกับจำนวนและความสามารถแล้ว พลังต่อสู้ของสมาชิกชั้นยอดองค์กรวิญญาณเหล่านี้เทียบเท่าราชันขั้นสูงแล้ว !
อีกทั้ง เหล่าผู้คุมดวงวิญญาณได้ฝึกความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ผลที่เกิดจากการร่วมมือนี้แข็งแกร่งกว่าราชันขั้นสูงอย่างมาก !
ท่ามกลางถนนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เงาสีทองบินขึ้นฟ้า ราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ทำให้พื้นที่ประตูเมืองนี้เหมือนถูกปกคลุมด้วยแสงอาทิตย์ !
เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงนับพันตัวบินขึ้นฟ้า ภาพนี้เป็นที่จับตามองของคนทั้งหมดทันที
ขนาดของเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงแต่ละตัวมากถึงสิบเมตร ในตอนที่เหยี่ยวแต่ละตัวกางปีกบินขึ้นฟ้า ขนสีทองที่ติดกัน ก่อเป็นกลุ่มหลายกลุ่มที่บินขึ้นฟ้าอย่างเป็นระเบียบ ไร้ความวุ่นวายใด ๆ มองจากบนพื้นขึ้นไป เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงทั้งหมดได้ปิดฟ้าไว้หมดแล้ว เป็นภาพที่อลังการอย่างมาก !
“เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงเยอะมาก !!!” หลายคนไม่เคยเห็นภาพที่สะเทือนใจแบบนี้มาก่อน ต่างส่งเสียงด้วยความตกใจ
“พวกเรามีหวังแล้ว นั่นเป็นกลุ่มขององค์กรวิญญาณ หนึ่งในกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเทียนเซี่ย !!!”
เห็นได้ชัดว่า หลายคนได้ข่าวเกี่ยวกับกลุ่มเหยี่ยวอาทิตย์อัสดง เห็นเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงทั้งฝูงที่ได้รับการฝึกบินขึ้นฟ้า คาดว่านั่นเป็นกลุ่มขององค์กรวิญญาณไร้เทียมทาน พลังที่ใหญ่ที่สุดขององค์กรวิญญาณในเมืองเทียนเซี่ย!
“ถ้าตอนนั้นข้าผ่านการทดสอบสุดท้ายได้ ข้าคงเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มองค์กรวิญญาณ แต่เสียดายที่บททดสอบกลุ่มองค์กรวิญญาณเข้มงวดอย่างมาก แม้แต่เจ้าวิญญาณห้าร่ายอย่างข้ายังถูกคัดออก เพราะควบคุมดวงวิญญาณไม่ได้ ตอนนี้ได้เห็นพวกเขา อิจฉาจริง ๆ เสียดายที่ตอนนั้นทำไมไม่สมัครสอบอีกครั้ง” ผู้คุมดวงวิญญาณตัวเล็กที่มองจากหลังคาพูดขึ้นอย่างเสียดาย
การปรากฏตัวของกลุ่มองค์กรวิญญาณ เหมือนจะทำให้ผู้คนสบายใจขึ้นมาก
สายตาของคนกลุ่มใหญ่ในเมืองธรรมดามาก พวกเขาต่างคาดเดาสถานการณ์ต่อสู้จากบรรยากาศ การปรากฏตัวอย่างอลังการของกลุ่มเหยี่ยวอาทิตย์อัสดง แทบจะปกคลุมทั้งฟ้า กลิ่นไอของมารนิรยร้ายนิรนามนั้นเหมือนจะถูกดับลง จากสายตาของพวกเขา นี่เหมือนเป็นการปะทะระหว่างความชั่วร้ายและความถูกต้อง สุดท้ายกลุ่มองค์กรวิญญาณจะต้องจับปีศาจร้ายที่ทำลายเมืองนี้ได้แน่นอน !
ในที่สุดเทียนทิงเห็นกองทัพอาทิตย์อัสดงปรากฏตัว จึงถอนหายใจยาว ๆ ออกมา รีบขี่ปักษาแปดปีก บินเข้าไปในกองทัพปกปิดทั่วฟ้าของเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงพันตัว !
เดิมขนาดตัวของปักษาแปดปีกไม่ใหญ่กว่าเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงเท่าไร ปีกสีขาวบริสุทธิ์นั้นกลับหรูหรายิ่ง ตอนอยู่ท่ามกลางเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงพันตัว ยิ่งโดดเด่นมากขึ้น หรูหราสง่างาม !
เทียนทิงได้ครองตำแหน่งผู้นำของกลุ่มองค์กรวิญญาณทันที เขากวาดตามองไปยังครึ่งมารชั่วร้ายที่ตามติดมา เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา !
“อัญเชิญภูตพายุฤดูกาล !” เทียนทิงยกมือข้างหนึ่งขึ้น ตะโกนด้วยร่ายวิญญาณ !
ท่าทีของผู้คุมดวงวิญญาณนับพันในกลุ่มแทบจะพร้อมกันหมด ตอนที่เสียงของเทียนทิงเพิ่งจบลง คนทั้งหมดได้ร่ายคาถาขึ้น ร่างกายปกคลุมด้วยลมอลวน !
กลุ่มองค์กรวิญญาณได้กำหนดดวงวิญญาณของผู้คุมดวงวิญญาณอย่างเข้มงวด การต่อสู้ในอากาศ จำต้องมีดวงวิญญาณเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงกับภูตพายุฤดูกาล ดังนั้น สมาชิกของกลุ่มองค์กรวิญญาณแต่ละคนจะมีภูตพายุฤดูกาลจักรพรรดิขั้นสูงอยู่ !
ภูตพายุฤดูกาลจักรพรรดิขั้นสูงพันตัวรวมตัวกัน พลังต่อสู้ของมันไม่ด้อยกว่าราชันขั้นกลางหมวดลมแน่นอน อีกทั้งถ้าภูตพายุฤดูกาลพันตัวปล่อยทักษะหมวดลมออกมาพร้อมกัน ทับซ้อนด้วยทักษะหมวดลมอีก พลังทำลายล้างของธาตุนี้จะสูงมาก แม้แต่ราชันขั้นสูงยังยากที่จะทนรับได้ !
“พัดมันไปยังเนินเขาหิมะตก !!!” เทียนทิงตะโกน ออกคำสั่งโจมตีไปยังสมาชิกกลุ่มองค์กรวิญญาณทั้งหมด !
บริเวณเนินเขาหิมะตกห่างจากประตูเมืองหลายสิบกิโลเมตร ถ้าภูตพายุฤดูกาลทั้งหมดปล่อยทักษะหมวดลมออกมาพร้อมกัน ต่อให้เป็นจักรพรรดิขั้นสูงก็จะถูกพัดออกไปมากกว่าสิบกิโลเมตร !
ในอากาศ ลมพัดอย่างรุนแรง ลมสีดำเริ่มพัดพาในเมืองแห่งนี้ ทำให้เศษต่าง ๆ พัดพาไปตามเมืองนี้ สิ่งที่ทนต่อแรงลมได้ไม่มากเริ่มเอนเอียง บ้านเรือนที่อ่อนแอได้ถูกพัดปลิวออก !!!
ท่ามกลางอากาศ พลังของหมวดลมรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ภูตพายุฤดูกาลนับพันตัวกำลังตระเตรียมทักษะ ผลของสิ่งนี้ทำให้ท้องฟ้ามัวหมองอย่างมาก !
เผชิญหน้ากับทักษะหมวดลมของภูตพายุฤดูกาลพันตัว ชู่มู่ครึ่งมารกลับลอยตัวอยู่กลางอากาศ เงาสีขาวสันโดษนั้นเผชิญกับเงาสีทองมากมายกับเงาลมนับไม่ถ้วน !
เมื่อกี้ตอนที่ใช้ทักษะฆ่าล้างราชันเขี้ยวได้เสียเวลาเขาไปเล็กน้อย ตอนนี้ชู่มู่ยากที่จะพุ่งเข้าไปในกองทัพขององค์กรวิญญาณแล้ว ส่วนตัวเขาในตอนนี้จำต้องรับมือกับทักษะหมวดลมอันรุนแรงของภูตพายุฤดูกาลครั้งหนึ่ง !
ชู่มู่หยุดลงไม่ใช่ว่าจะยอมแพ้ แต่เพื่อทำการรับมือกับทักษะของสมาชิกนับพันคนขององค์กรวิญญาณ !
ลมอลวนดังขึ้นข้างหู ชู่มู่ครึ่งมารยื่นมือขวาออก เปิดฝ่ามือออก !
ไฟปีศาจลุกโชนขึ้น บริเวณฝ่ามือของชู่มู่ครึ่งมาร เกิดหลุมลึกลับบางอย่างขึ้นช้า ๆ !!!
หลุมนี้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สามารถพบเห็นว่า หลุมบนฝ่ามือของชู่มู่ขยายไปรอบ ๆ กลืนกินฟ้าในยามค่ำคืนไปด้วย !!!
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!!”
ในที่สุดภูตพายุฤดูกาลได้ขับร่ายสำเร็จแล้ว ทันใดนั้น พายุนับไม่ถ้วนปรากฏท่ามกลางฟ้าในยามค่ำคืน เกรงว่าความสูงของพายุทั้งหมดนี้มากถึงร้อยเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางมากถึงสิบเมตร !!!
ความจริงเส้นผ่านศูนย์กลางของพายุขั้นเก้ามากถึงห้าสิบเมตรได้ แต่เห็นได้ชัดมากว่า พายุที่จักรพรรดิขั้นสูงทั้งหมดนี้ปล่อยออกมาได้ผ่านการควบแน่นพลังมาก่อน !
ต่อให้มีเส้นผ่านศูนย์กลางแค่สิบเมตร แต่พายุหนึ่งพันอันที่สะเทือนแบบนี้ ถ้าไม่นึกถึงผลรอบนอกของพายุละก็ นี่จะเป็นทักษะที่ปกคลุมพื้นที่หมื่นเมตรได้ !!!
พอจะจินตนาการได้ว่า ทักษะที่ปกคลุมพื้นที่ถึงหมื่นเมตร ตอนที่ยืนมองอยู่บนพื้น ความรู้สึกแบบนั้น เหมือนกำลังอยู่ในโลกแห่งพายุ สิ่งที่รับรู้คือพายุรุนแรงยิ่ง !
ในที่สุด พายุนับพันเริ่มพัดออกไปแล้ว !
ร่องรอยของพายุแต่ละอัน ต่างเล็งไปยังชู่มู่ครึ่งมาร พายุที่อยู่ในเส้นทางเดียวกันจะเกิดการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งทับซ้อนกับพายุที่พัดออกไปบางอัน ก่อเป็นลมที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น !!!
“โครม !!!”
เนื่องจากเสียงของลมดังเกินไป จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหนักหน่วงยิ่ง !
ในที่สุด พายุหนึ่งร้อยอันด้านหน้าสุดได้ทับซ้อนเข้าด้วยกัน มีพลังเพียงพอจะพัดพาภูเขาทั้งลูกปะทะเข้ากับหลุมที่เปิดออกจากฝ่ามือของชู่มู่นั้น !
เรื่องประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว !
หลังจากที่พายุร้อยอันทับซ้อนกันได้สัมผัสกับหลุมนั้น พลังกลับลดลงทันทีเพียงในเวลาไม่กี่วินาที หายไปในหลุมฝ่ามือข้างขวาของชู่มู่หมด !
ส่วนตัวชู่มู่เอง แค่ไถลไปด้านหลังไม่กี่เมตร !
พายุกลุ่มที่สองตามติดมา เกิดเรื่องแบบเดียวกัน พายุทับซ้อนนับร้อยพอเข้าใกล้แล้วเหมือนจะถูกมิติในฝ่ามือของชู่มู่ดูดเข้าไปหมด ทำให้ชู่มู่ถอยหลังไม่กี่เมตรเท่านั้น !
เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องกันสิบครั้ง หลังจากพายุนับพันที่สะเทือนใจนี้พัดผ่านหมด เหลือเพียงพายุสุดท้ายที่พัดพาชู่มู่ออกไปร้อยกว่าเมตร ผลนี้เห็นได้ชัดกว่า พายุอื่นทำให้ชู่มู่ครึ่งมารถอยออกไม่กี่เมตรเท่านั้น !
เสียงดังมากขึ้น ราวกับฝูงสายฟ้าที่ผ่าลง ทักษะหมวดลมที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างกลับสลายได้แบบนี้ !!!
ความรู้สึกนี้เหมือนมีคลื่นยักษ์พัดพา กางเขี้ยวกางเล็บออก จะคลืนกินทุกสรรพสิ่ง และแล้วตอนที่ถึงพื้นดินกลับกลายเป็นแค่คลื่นเล็ก ๆ …
“เนินเขาหิมะตกอยู่ในเมืองเทียนเซี่ยเหรอ” ท่ามกลางฟ้าในยามค่ำคืน ชู่มู่ที่ทรงตัวได้จับต้องไปยังเทียนทิง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นปนเยาะเย้ย
เทียนทิงมองไปยังชู่มู่ครึ่งมาร กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย !
เนินเขาภูเขาหิมะตกนับหลายสิบกิโลเมตรเมื่อเทียบกับไม่กี่ร้อยเมตรที่ชู่มู่ถูกพัดออกไป เป็นความห่างที่มากเกินไปจริง ๆ
เทียนทิงคาดไม่ถึงคือ ความสามารถหมวดลับของครึ่งมารจะกำจัดหมวดลมได้ขนาดนี้ นอกจากหมวดหินที่ต้านทานหมวดลมได้บ้างแล้ว ไม่ว่าหมวดใดที่เผชิญกับการโจมตีของมัน ถ้าไม่ได้รับบาดเจ็บก็จะถูกพัดออกไปในที่ไกลมาก
สีหน้าของสมาชิกองค์กรวิญญาณแต่ละคนแย่มาก เป็นกลุ่มองค์กรวิญญาณมานานขนาดนี้แล้ว แต่พวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกรบพร้อมกัน น้อยครั้งที่จะได้เจอกับการสลายทักษะรวมแบบนี้อย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ตอนอยู่บนพื้น !
“หมวดทั้งสามของครึ่งมารถึงขั้นสุดแล้ว แม้จะเป็นราชันขั้นสูง แม้แต่ราชันชั้นยอดยังไม่อาจเอาชนะมันได้…”เจี่ยซุ่นติงพูดขึ้น จากน้ำเสียงของเขา เห็นได้ชัดว่า กำลังใช้น้ำมันดับไฟ
เทียนทิงจ้องเขม็งไปยังเจี่ยซุ่นจิง ให้เขาหุบปาก ทว่าในใจของเทียนทิงเอาก็สะเทือนอย่างมาก !
“การโจมตีของพวกเจ้าหมดลงแล้ว ถึงรอบของข้าแล้ว !” ใบหน้าลึกลับของชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา !
มืออีกข้างของชู่มู่ยกขึ้นช้า ๆ เปิดฝ่ามือออกเช่นกัน ครั้งนี้กลับยกขึ้นเหนือหัว ฝ่ามือชี้ขึ้นฟ้า คิดจะคว้าฟ้าทั้งผืนไว้ในมือ !
“อย่า…อย่าให้เขาปล่อยทักษะ !!!” สีหน้าของเทียนทิงเปลี่ยนไปทันที ตะโกนขึ้น ให้สมาชิกกลุ่มองค์กรวิญญาณทั้งหมดออกคำสั่งโจมตีกับเหยี่ยวอาทิตย์อัสดง !
หลังจากออกคำสั่ง เทียนทิงได้อัญเชิญราชันขั้นกลางตัวอื่นของตัวเอง ไม่ว่าราชันขั้นสูงพวกนี้จะทำให้ครึ่งมารบาดเจ็บได้หรือไม่ ก็ห้ามให้มันปล่อยทักษะออกมาเด็ดขาด !
“นั่น…นั่นอสูรยักษ์เหยียบฟ้า เต็มไปด้วยเขี้ยว หรือว่าจะ…หรือว่าจะเป็นราชันเขี้ยวของท่านประธาน !!!”ในตอนนี้ หลายคนเห็นว่า ด้านหลังของเงาราชันปีศาจชั่วร้ายนั้น มีอสูรยักษ์เต็มไปด้วยเขี้ยวตัวหนึ่ง
อสูรเขี้ยวยักษ์ตัวนี้ไม่มีความสามารถการบิน กลับอาศัยพลังอันน่ากลัวของมัน เหยียบขึ้นฟ้า ตามติดเงาชั่วร้ายนั้น !
“ราชันเขี้ยวงั้นหรือ นั่นเป็นดวงวิญญาณหลักหมวดอสูรของท่านเทียนทิงไม่ใช่เหรอ ! ได้ข่าวว่ามันมีความสามารถราชันขั้นสูง !”
“ท่านประธานกำลังสู้กับปีศาจร้ายนิรนามตัวนั้นอยู่ !!!” คนที่มีสายตาดีกว่าเห็นเงาของเทียนทิงทันที
ปีศาจร้ายที่มีไฟปีศาจสีขาวลุกโชนทั้งตัวต้องเป็นราชันแข็งแกร่งแน่นอน ส่วนราชันเขี้ยวอยู่ในราชันขั้นสูง นับว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างราชันกับราชันที่ผู้คนจะไม่ได้เห็นง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม พลังทำลายล้างของราชันรุนแรงมากเกินไป
แต่ในตอนนี้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่สองตัวนี้อยู่บนฟ้าที่สูงมาก ผู้คนจะกล้าเงยหน้ามองได้อย่างไร !
…
กลางอากาศ ชู่มู่ที่เพิ่งปล่อยทักษะออกมาเผยความโหดเหี้ยมต่อราชันเขี้ยวที่ไล่ตามมา !
มือขวาของชู่มู่กำแน่น ประกายสีขาวเหมือนแสงดาวรวมตัวกัน !
บนหมัดที่มีไฟปีศาจลุกโชนอยู่ คลื่นพิเศษบางอย่างเคลื่อนตัวบริเวณข้อมือของชู่มู่ !
กลุ่มดาวมารนิรย !
ชู่มู่เหวี่ยงหมัดอย่างแรง !!!
ราวกับท้องฟ้าในยามคำคืนได้แตกสลาย แสงดาวสีขาวกระจายไปรอบ ๆ ราวกับดาวตกนับไม่ถ้วนที่พาดผ่านฟากฟ้า อีกทั้งยังมีกลิ่นไอฆ่าล้างด้วย พุ่งตรงไปยังราชันเขี้ยว !!!
ไฟปีศาจที่ยิงเข้ามาเหมือนแสงดาว แต่ละเส้นได้พาดผ่านท้องฟ้าในยามค่ำคืนเกินกว่าครึ่งฟ้า !
จุดดาวแต่ละจุด มีพลังทำลายล้างที่รุนแรง ร่างกายของราชันเขี้ยวถูกโจมตีต่อเนื่อง อีกทั้งหลายจุดยังถูกทะลุโดยตรง แสงดาวที่ทะลุผ่านไปได้ขนานไปกับพื้น ทะลุภูเขาที่ห่างจากเมืองเทียนเซี่ยที่สุด !!!
ร่างกายของราชันเขี้ยวถูกกลุ่มดาวมารนิรยยิงทุละจนเป็นหลุมนับไม่ถ้วน อีกทั้งหลังจากโจมตีบริเวณเขี้ยวที่แข็งแกร่งที่สุด เขี้ยวของมันได้แตกสลายหมด เห็นได้ชัดว่าทักษะนี้มีพลังแข็งแกร่งมากเพียงใด !!!
“ฮู ฮู ฮู !!! ”
ชู่มู่ใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งกะทันหัน ในตอนที่ราชันเขี้ยวส่งเสียงร้องเจ็บปวดจากการโจมตีของกลุ่มดาวมารนิรย ได้ปรากฏเหนือหัวของราชันเขี้ยวอย่างลึกลับ !
ไฟปีศาจลุกโชนขึ้นราวกับแสงอาทิตย์ ชู่มู่ครึ่งมารถูกไฟปีศาจห่อหุ้มเอาไว้ ตกลงจากบริเวณที่สูงทันที ร่างที่เต็มไปด้วยเปลวไฟฟาดลงหัวของราชันเขี้ยวอย่างแรง !!!
“บึ้ง !!!”
ราชันเขี้ยวถูกโจมตีแบบนี้ ตกลงจากฟ้าสูงร้อยกว่าเมตรทันที !!!
“โคร้ม !!! ”
ร่างใหญ่ของราชันเขี้ยวฟาดลงบริเวณบางแห่งในเมือง บ้านเรือนถล่มไปตามเสียงอันรุนแรงนี้ !!!
“บ่อปีศาจร้าย !”
ชู่มู่ครึ่งมารหยุดอยู่กลางอากาศ เขามองไปยังราชันเขี้ยวที่อยู่บนพื้น ร่ายคาถาขึ้นช้า ๆ !
มือทั้งสองของชู่มู่ยกสูงขึ้น ไฟปีศาจวนรอบตัวชู่มู่ก่อเป็นวงแหวนเปลวไฟยักษ์ใหญ่ !
เส้นผ่านศูนย์กลางของวงแหวนนี้กว้างมาก คนที่อยู่ด้านล่างเงยหน้าขึ้น รู้สึกว่าพวกเขาถูกปกคลุมเข้าไปด้วย !
เดิมพลังของราชันก็เต็มไปด้วยทำลายล้างและฆ่าล้าง เห็นทักษะปีศาจร้ายปกคลุมพวกเขาจากบนฟ้า ผู้คนทั้งหมดในเขตพื้นที่นี้เกิดชุลมุนทันที ร่างอัญเชิญดวงวิญญาณของพวกเขา หนีไปยังนอกพื้นที่ทักษะนี้
คนนับพัน อัญเชิญดวงวิญญาณหนีแทบพร้อมกัน คาดว่าถนนทั้งหมดต้องเบียดมาก เขตพื้นที่นี้ชุลมุนอย่างมาก น่ากลัวถึงที่สุด หลายคนเริ่มเสียดายที่ทำไมตัวเองไม่หนีไปตั้งแต่แรก
“มัน…พื้นที่ทักษะของมันกำลังเล็กลง !”
ในตอนที่ผู้คนกำลังหนี ร่ายวิญญาณหนึ่งดังขึ้นทันที !
เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นร่ายวิญญาณของู้แข็งแกร่งบางคนในฝูงคน อย่างไรก็ตาม ถ้าหนีไปอย่างชุลมุนแบบนี้ จะทำให้เกิดความวุ่นวายมากกว่าเดิม มีเพียงการสลายฝูงคนอย่างเป็นระเบียบ ถึงจะป้องกันการบาดเจ็บและการตายได้
แน่นอนว่า ผู้แข็งแกร่งพวกนี้ไม่ได้พูดโกหกเพื่อให้ทุกคนสงบลง เพราะวงแหวนยักษ์ใหญ่ที่ชู่มู่ครึ่งมารสร้างขึ้นกำลังหดเล็กลงจริง ๆ !
ขั้นตอนการหดตัวนี้ช้ามาก แต่กลับมีพลังพิเศษบางอย่างกำลังกดทับจากฟ้าสูงร้อยกว่าเมตรนี้ ไม่ปล่อยให้ราชันเขี้ยวที่อยู่บนพื้นมีโอกาสลุกขึ้นมาได้ !
เทียนทิงที่หนีไกลออกไปเห็นราชันเขี้ยวของตัวเองถูกกดทับอยู่บนพื้น รู้ว่าทักษะนี้ของครึ่งมารน่ากลัวอย่างยิ่ง รีบออกคำสั่งต่อราชันเขี้ยว
ราชันภูตสายฟ้าที่เทียนทิงภูมิใจที่สุดถูกฆ่าตายไปแล้ว ถ้าราชันเขี้ยวถูกฆ่าตายอีก ต่อให้เขามีชีวิตรอดไปได้ ตำแหน่งของเขาจะตกลงมาแน่นอน !
ประกายสีแดงบนตัวราชันเขี้ยวห่อหุ้มร่างของมันเอาไว้ ในตอนนี้ แรงกดดันที่ราชันเขี้ยวได้รับลดลงอย่างมาก ลุกขึ้นมาได้บ้างแล้ว
บนฟ้า ชู่มู่ครึ่งมารเห็นราชันเขี้ยวลุกขึ้นได้ กลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไปตายซะ !”
คำพูดของชู่มู่เหมือนคำสาป แรงกดดันแข็งแกร่งขึ้นทันที ราชันเขี้ยวพึ่งจะมีแรงเคลื่อนไหว กลับถูกพลังลึกลับชั่วร้ายนั้นกดลงอีกครั้ง !
“บ่อปีศาจร้าย !!!” มือทั้งสองของชู่มู่กดลงอย่างแรง !
ทันใดนั้น วงแหวนชั่วร้ายที่หดตัวฟาดลง ระหว่างที่ฟาดลงเหมือนได้กดทับพื้นที่ทั้งหมดไปด้วย ก่อเป็นพายุมิติอันรุนแรงยิ่ง พลิ้วไหวกลางอากาศ !
พื้นที่ที่วงแหวนร้ายปกตลุมมีหอส่องไฟสองแห่งและสถานที่เก็บดวงวิญญาณความสูงห้าสิบเมตรแห่งหนึ่ง ตามที่วงแหวนร้ายกดทับลง สิ่งก่อสร้างทั้งสองถูกขยี้เป็นเศษทันที อีกทั้งทรุดตัวลงพื้นหลายร้อยเมตร !
ราชันเขี้ยวทรุดตัวลงไปมากที่สุด ยากที่จะรอดไปได้ !!!
“โซ !!! ”
พื้นดินและถนนถล่มทันที หลุมยักษ์ใหญ่ปรากฏท่ามกลางพื้นที่แห่งนี้ !!!
หลุมนี้ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้งของมัน ไม่มีใครรู้ว่ามันทะลุชั้นหินชั้นดินไปมากเพียงใด และแล้วบริเวณรอบ ๆ หลุมนี้ รอยแยกที่เหมือนแผ่นดินไหวคืบคาบอย่างบ้าคลั่ง !!!
รอยแยกเหล่านี้ คืบคายไปตามถนน ซอกซอย ผ่านบ้านเรือน สวน ร้านค้า ตลอดจนมากกว่าพันเมตร ทำลายเขตรุ่งเรืองของเมือง คนนับหมื่นหวาดกลัวอย่างมาก !!!
ผู้คนนับไม่ถ้วน ใต้เท้าของพวกเขากลับเป็นรอยแยกที่ลึกจนไม่เห็นที่สิ้นสุดซึ่งปรากฏบนถนนที่พวกเขาเดินผ่านทุกวัน !
พลังทำลายล้างแบบนี้ สำหรับคนที่ไม่มีดวงวิญญาณแล้ว นับว่าเป็นหายนะอย่างมาก !
“นั่น…นั่น…นั่นเป็นราชันเขี้ยวของท่านประธาน!!!นั่นเป็นราชันขั้นสูง !!!”
เหล่าผู้คุมดวงวิญญาณที่มีความสามารถแข็งแกร่งหน่อยต่างสะเทือนใจอย่างมาก ในเมืองเทียนเซี่ยนี้ดวงวิญญาณระดับราชันมีแค่ไม่กี่ตัว ด้วยความสามารถที่แตกต่างกัน ในสายตาของผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน ราชันเขี้ยวราชันขั้นสูงตัวนี้ของท่านประธานเป็นความแข็งแกร่งที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ !
และแล้วราชันเขี้ยวอันเป็นราชันหมวดอสูรของผู้คน กลับถูกทักษะนี้กดทับลงชั้นหินต่อหน้าต่อตาผู้คน ไม่รู้ความเป็นตายร้ายดี !
ความแข็งแกร่งของปีศาจร้ายในยามค่ำคืนสะเทือนทั้งเมือง เดิมผู้แข็งแกร่งที่คิดว่ามีความแข็งแกร่งอยากจะร่วมมือกับท่านประธานเพื่อต่อต้านสิ่งมีชีวิตนิรนามตัวนี้ กลับถอยกลับทันที !
แม้แต่ราชันขั้นสูงยังถูกขยี้ได้อย่างง่ายดายแบบนี้ คนอย่างพวกเขาเข้าไปเท่ากับหาที่ตายไม่ใช่เหรอ
“นี่พวกเรา…ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม” ข้างบ่อน้ำที่แตกสลาย ชายที่สวมชุดสีเทาคนหนึ่งมองขึ้นฟ้าด้วยความอึ้ง
ชายคนนี้คือหม่าอี้หลู่ที่รออยู่ในตำหนักเทียนทิง แม้แต่เขาในตอนนี้ยังไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
ข้างหม่าอี้หลู่คือลี่เถิง เขามองดูมีอายุน้อยกว่า ดวงตาคู่นั้นของเขาเบิกกว้างจนกว้างกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่คิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอะไรล้มราชันเขี้ยวที่แข็งแกร่งยิ่งของเทียนทิงได้ !
เจี่ยซุ่นติงสังมารนิรยเงยหน้าขึ้น อ้าปากค้างนานมาก !
เป็นถึงสมาชิกของวังมารนิรย เจี่ยซุ่นติงจะไม่เคยเห็นเงาไฟปีศาจบนฟ้านั้นได้อย่างไร !!!
ดังนั้น ในบรรดาทั้งสามคน ความสะเทือนใจของเจี่ยซุ่นติงซับซ้อนอย่างมาก !!!
นั่นเป็นครึ่งมารที่วังมารนิรยเคารพบูชาราวกับพระเจ้า !!! ครึ่งมารที่เพิ่งปรากฏในเมืองหลีตามข่าวลือเมื่อไม่นาน ทำให้ทั้งวังมารนิรยสะเทือนอย่างมาก เรื่องยังไม่ทันได้สงบลง เมืองเทียนเซี่ยนี้กลับมีครึ่งมารปรากฏอีกครั้ง !!! อีกทั้งยังเป็นครึ่งมารที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เอาชนะราชันขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย !!!
“เจี่ยซุ่นติง…นี่มัน…นี่เป็นสิ่งมีชีวิตของวังมารนิรยเจ้าใช่ไหม” หม่าอี้หลู่พูดด้วยความอึ้ง
เจี่ยซุ่นติงสะเทือนอย่างมาก จะตอบคำถามของหม่าอี้หลู่ได้อย่างไร แค่ใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยสีสันคลั่งไคล้จับจ้องไปยังครึ่งมารเทียนเซี่ยนั้น !
ด้านหลังราชันวิญญาณทั้งสามคน มีผู้คุมดวงวิญญาณสวมชุดสีดำประมาณหนึ่งพันคน !
พวกนี้คือกำลังหลักขององค์กรวิญญาณในเมืองเทียนเซี่ย เป็นสมาชิกชั้นยอด ๆ !
ทั้งสามคนทำตามคำสั่งของเทียนทิง ดักรออยู่ที่นี่ การปรากฏตัวของคนเหล่านี้เดิมทำเพื่อหยุดท่านอาวุโสตำหนักวิญญาณเอาไว้ !
แม้พวกเขารู้ว่าคนเหล่านี้ไม่มีทางเป็นศัตรูของท่านอาวุโสตำหนักวิญญาณได้ อีกทั้งเรื่องที่จะดับหมดขึ้นอยู่กับเวลา แต่สมาชิกองค์กรวิญญาณทั้งหมดนี้ ต่อให้ความสามารถของท่านอาวุโสจะแข็งแกร่งมากเพียงใด เขาจะไม่กล้าลงมือกับพลังขององค์กรวิญญาณแน่นอน เพราะนั่นเท่ากับเป็นศัตรูกับทั้งองค์กรวิญญาณ !
ในตอนนี้ สมาชิกชั้นยอดพันคนนี้กำลังมองขึ้นฟ้าด้วยความสะเทือนใจ มองไปยังประธานเทียนทิงที่หนีมาทางนี้อย่างชุลมุน
หลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่พวกเขาเห็นคือท่านประธานที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง ไม่เคยเห็นเขาในสภาพนี้มาก่อน !
“พวกเจ้า !!! พวกเจ้ายังไม่ออกมา!!! อยากให้ข้าตายหรือไร !!!”
ในตอนนี้ เสียงร่ายวิญญาณของเทียนทิงดังขึ้นบนฟ้าด้วยความโกรธ !!!
เทียนทิงหนีมาที่นี่อย่างสุดชีวิต ก็เพื่อให้พลังที่คิดจะขัดขวางท่านอาวุโสลงมืออย่างเต็มที่
ตอนนี้ราชันเขี้ยวถูกฆ่าตายแล้ว ดวงวิญญาณระดับราชันขั้นกลางของเทียนทิงเหล่านั้นแทบไม่สามารถหยุดครึ่งมารได้ !
“ราชันเขี้ยว !!!”
เทียนทิงถอยหลังอย่างรวดเร็ว แทบไม่กล้าเข้าใกล้ชู่มู่ ออกคำสั่งโจมตีไปยังราชันเขี้ยวทันที !!!
ราชันเขี้ยวเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ
ฟ้าสีดำนี้นี้จมลงหลังจากที่เสียงคำรามราชันดับขึ้น ราชันเขี้ยวอ้าปากใหญ่ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวออก เหมือนกับมีความสามารถกลืนกินผืนดิน กลับดูดเมฆดำเข้าปากของมันอย่างบ้าคลั่ง !!!
ทักษะใด ๆ ของราชันขั้นสูง จะต้องสะเทือนทั่วฟ้าดินแน่นอน พวกผู้คนที่ได้ยินเสียงคำรามนี้ได้รวมตัวประตูเมืองต่างเห็นเมฆดำกำลังเข้าปากของสิ่งมีชีวิตบางตัวที่ภูเขาสะท้อนดาบ ต่างส่งเสียงร้องขึ้น !!!
สำหรับคนปกติแล้ว พวกเขาเคยเห็นพลังที่กลื่นกินฟ้าโดยตรงแบบนี้ที่ไหน
“โฮร่ โฮร่ !!!”
ในที่สุดราชันเขี้ยวสะสมพลังสำเร็จแล้ว พ่นพายุเขี้ยวสีดำไปยังชู่มู่อย่างรุนแรง !!!
พายุนี้ปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน แทบจะปกคลุมทั้งภูเขาสะท้อนดาบเข้าไป ท่ามกลางความมัวหมอง เขี้ยวยักษ์ใหญ่ฉีกไปยังภูเขาสะท้อนดาบและท้องฟ้า !!!
เทียนทิงโจมตีไปยังชู่มู่ก่อน เห็นได้ชัดว่า อดทนไม่ไหวแล้ว อย่างไรก็ตาม เทียนทิงรู้ความน่ากลัวของครึ่งมารเป็นอย่างดี !
ส่วนชู่มู่ที่เผชิญหน้ากับการโจมตีของราชันเขี้ยว ร่างกายของเขากลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่างท่ามกลางทักษะฉีกสลายอันดุร้าย ลอยตัวอย่างนุ่มนวล ราวกับวิญญาณ การโจมตีทั้งหมดของราชันเขี้ยวพาดผ่านข้างตัวเขา ไม่ก่อให้เขาได้รับบาดเจ็บใด ๆ
แต่กลับเป็นชู่มู่ที่ลอยร่างเลือนลางนั้น มุ่งหน้าไปยังราชันเขี้ยวระดับราชันขั้นสูง !
ชู่มู่กำมือทั้งสองแน่น เผชิญกับการโจมตีของราชันเขี้ยว ชู่มู่ไม่สามารถมองข้ามได้ทั้งหมด ส่วนในตอนนี้กำลังจะปล่อยทักษะที่คล้ายกับทักษะซ่อนลมของภูตพันวายุ
ครั้งนี้ชู่มู่ในภาวะครึ่งมารหวังว่า ความสามารถจะแข็งแกร่งกว่าตอนอยู่เมืองหลีหลายเท่า แม้ชู่มู่จะไม่แน่ใจว่า ถึงราชันชั้นยอดได้หรือไม่ แต่จะต้องแข็งแกร่งกว่าราชันเขี้ยวของเทียนทิงหลายเท่าแน่นอน !
ทันทีที่กลายเป็นครึ่งมาร สติของชู่มู่จะถูกกระตุ้น แค่คนที่มีความโกรธแค้นในใจ ตอนที่อยู่ในถาวะครึ่งมาร จะถูกทำให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งคนดุร้ายมากยิ่งขึ้น !!!
ดวงตาของชู่มู่จับต้องไปยังเทียนทิงราวกับราชันยมทูต สีหน้าของเทียนทิงเปลี่ยนไปทันที อีกทั้งไม่กล้าสบตากับชู่มู่ในภาวะครึ่งมาร !!!
“นี่เป็นทักษะปลอม ทำลายมัน !!!” เทียนทิงเห็นชู่มู่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาด้วยทักษะปลอม รีบตะโกนใส่ดวงวิญญาณของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ราชันเขี้ยวเป็นราชันขั้นสูง เผชิญกับการก้าวเดินคล้ายวิญญาณของชู่มู่แบบนี้ กลับทำอะไรไม่ได้ !
ในตอนนี้ดวงตาคู่นั้นของราชันเขี้ยวได้ส่องประกายสีแดงออกมา ปลายกรงเล็บส่องประกายสีแดงเช่นกัน !!!
กรงเล็บแสงสะท้อน !!!
ดวงวิญญาณที่อยู่ในระดับราชันแทบทุกตัว จะมีพลังพิเศษเฉพาะหมวด เช่นเดียวกับมั่วเย้ที่มีผนึกแห่งโทษ !
ส่วนพลังที่ราชันเขี้ยวมีคือแสงสะท้อน ! แสงสะท้อนนี้นับเป็นความสามารถหมวดแสง เทียบกับผลึกพลังธาตุได้ในระดับหนึ่ง !
พลังราชันแบบนี้ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราชันแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิอย่างมาก ต่อให้สมรรถภาพทางกายจะห่างกันไม่ถึงสามขั้น แต่ถ้าบวกกับพลังราชันที่ราชันแต่ละตัวมี ความสามารถห่างกันไม่น้อยกว่าสามขั้นแน่นอน !
การโจมตีหมวดอสูรขอราชันเขี้ยวไม่สามารถทำให้ชู่มู่ได้รับบาดเจ็บแน่นอน ส่วนพลังราชัน แสงสะท้อนนี้กลับโจมตีชู่มู่ได้อย่างชัดเจน
ชู่มู่ครึ่งมารรู้ถึงจุดนี้ทันที ร่างเลือนรางรวมกันอย่างช้า ๆ !
หลังจากรวมกันแล้ว ความเร็วของชู่มู่ครึ่งมารไวขึ้นมาก แสงสะท้อนของราชันเขี้ยวได้กลายเป็นเสาแสงอันหนึ่ง ทะลุความมืดโดยตรง พุ่งขึ้นสุดขอบฟ้า สะดุดตาอย่างมาก !!!
ชู่มู่ได้ใช้เงาปีศาจลับหลบทันที ผ่านเสาเลือดอันน่ากลัวแห่งนี้ไป ไฟปีศาจบนไหล่กลับดับลงทันที !
ชู่มู่มองไปยังไหล่ หลังจากไฟปีศาจดับลงสักพัก มันได้ลุกโชนขึ้นอีกทันที เห็นได้ชัดว่า แม้การโจมตีนี้จะรุนแรงมาก แต่ยังไม่พอที่จะสร้างอันตรายให้ชู่มู่ได้ !
มือทั้งสองของชู่มู่กำกริดสีขาวออกสองด้าน เผชิญหน้ากับราชันเขี้ยวดุร้าย ชู่มู่ได้เหวี่ยงมือทั้งคู่ออก !
ฟาดร้าย !!!
ประกายไฟปีศาจสีขาวสองเส้น ไขว้กัน ราวกับประกายสองอันที่อยู่ระหว่างมิติ พาดผ่านความืด ตวัดผ่านร่างของราชันเขี้ยว !!!
ฟาดร้ายสองเส้นนั้นน่ากลัวอย่างมาก มองจากบริเวณใต้ภูเขา ราวกับรอยสีขาวสองเส้นที่ตัดท้องฟ้าสีดำออกเป็น และยากที่จะฟื้นกลับมาได้ !
ราชันเขี้ยวจะไวมากเพียงใด ก็ไม่อาจหลบฟาดร้ายที่ผ่าลงจากมิติโดยตรงนี้ได้ !
“อ๊าว”
ราชันเขี้ยวส่งเสียงร้องโอดครวญขึ้น ผลึกหินสีดำที่หนาแน้นเกิดเป็นรอยไขว้สองเส้นขัดเจน บนแผลยังมีไอสีขาวอยู่ ไฟปีศาจค่อย ๆ ซึมลงไป ทำการแผดเผาวิญญาณของราชันเขี้ยวในระดับหนึ่ง!
เทียนทิงตกใจอย่างมาก การป้องกันและการโจมตีของราชันเขี้ยวตัวเองเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ภาวะครึ่งมารของชู่มู่กลับมีพลังทักษะที่สะเทือนใจแบบนี้ !
“ดักเขาไว้ !” เทียนทิงรู้ว่า ด้วยความสามารถของตัวเองไม่อาจสู้กับครึ่งมารนี้ได้ !
หลังจากพูดจบ คาถาอัญเชิญคู่ของเทียนทิงได้สำเร็จลง มือทั้งสองของเทียนทิงคว้าอากาศ ลายเส้นอัญเชิญในมือซ้ายค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้น !
ท่ามกลางลายเส้น สิ่งที่ปรากฏออกมาก่อนคือ ขนนกสีขาวหิมะ ขนนี้ติดกันอย่างเป็นระเบียบ ราวกับภาพขนนกราคาแพง !!!
นี่เป็นปีกขนนกสีขาวสี่คู่ !!! ปีกทั้งหมดแปดอัน กางออกท่ามกลางลานเส้นอัญเชิญ เผยกลิ่นไอศักดิ์สิทธิ์ผ่านแสงแดด !
เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นดวงวิญญาณหมวดปีกตัวหนึ่ง จากรูปร่างหรูหรานั้นก็มองออกได้ว่า เป็นราชันหมวดปีกตัวหนึ่ง หมวดรองของมันคือพลังหมวดแสง !
ชู่มู่กวาดตามองไปยังดวงวิญญาณหมวดปีกตัวนี้
ชู่มู่ได้รู้เรื่องดวงวิญญาณหลักของเทียนทิงจากถิงหลันแล้ว สิ่งมีชีวิตปีกขาวแปดอันนี้คือดวงวิญญาณหมวดปีกของเทียนทิง ปักษาแปดปีก ระดับราชั้นขั้นกลาง !
แม้ปักษาแปดปีกนี้จะเป็นราชันขั้นกลาง แต่ความเร็วในการบินของมันกลับไวกว่าราชันขั้นสูงมาก เป็นหนึ่งในดวงวิญญาณหลักของเทียนทิง !
ในเมื่อเทียนทิงอัญเชิญปักษาแปดปีกออกมา ย่อมไม่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้ แต่จะถอยออกจากที่นี่ !
ภูเขาสะท้อนดาบใกล้กับเมืองเทียนเซี่ยมาก แค่เขาหลบเข้าเมือง เรียกผู้แข็งแกร่งนับพันขององค์กรวิญญาณ อาศัยการล้อมโจมตีของดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน ต่อให้พลังครึ่งมารจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่อาจจัดการดวงวิญญาณของผู้แข็งแกร่งในเมืองเทียนเซี่ยได้ !
ส่วนอีกมือหนึ่งของเทียนทิง เป็นดวงวิญญาณตระกูลธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดของเทียนทิง ราชันภูตสายฟ้า !
วินาทีที่ราชันภูตสายฟ้าปรากฏตัวขึ้น รอบ ๆ ภูเขาสะท้อนดาบส่งเสียงฟ้าร้องขึ้น แสงต่าง ๆ ไขว้กัน ก่อเป็นสายฟ้านับไม่ถ้วนที่โจมตีมายังพื้นดินกับภูเขาสะท้อนดาบ ยอดเขาสองข้างของภูเขาสะท้อนดาบสั่นสะเทือน ราวกับจะถูกสายฟ้านี้สลายเป็นเศษ !
“ดักมันไว้ !” เทียนทิงออกคำสั่ง กลับกระโดดขึ้นปักษาแปกปีกอย่างรวดเร็ว บินพุ่งตรงไปยังตำแหน่งในเมืองของเมืองเทียนเซี่ย !
ปักษาแปดปีกส่องประกายแสบตาขึ้นบนตัว ระหว่างที่กางปีกได้ ก็กระโดดขึ้นความสูงร้อยกว่าเมตร กลายเป็นประกายดาวตก พาดผ่านท้องฟ้าในความมืดที่มีสายฟ้าไขว้กันอยู่ !
ชู่มู่เห็นเทียนทิงจะหนีไป ในตอนนี้ได้ใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งต่อเนื่อง เหยียบขึ้นฟ้าโดยตรง ไล่ล่าเทียนทิงท่ามกลางความมืด
ดวงวิญญาณสองตัวที่แข็งแกร่งที่สุดของเทียนทิง ราชันเขี้ยวกับราชันภูตสายฟ้ารีบตามมาทันที ทักษะหมวดอสูรกับทักษะหมวดสายฟ้าโจมตีด้านนอกภูเขาสะท้อนดาบอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ภูเขาสะท้อนดาบสะเทือนอย่างรุนแรง !
ชู่มู่ในภาวะครึ่งมารแค่เข้าใกล้ราชันชั้นยอดอย่างมาก แต่ยังไม่สามารถทำถึงระดับฆ่าราชันเขี้ยวกับราชันภูตสายฟ้าพร้อมกันในเสี้ยววินาทีได้
ถ้าเสียเวลาสู้กับราชันขั้นสูงสองตัวนี้ ด้วยความเร็วของปักษาแปดปีก เทียนทิงบินไปถึงเมืองเทียนเซี่ยแล้วแน่นอน ขอความช่วยเหลือผู้แข็งแกร่งในเมืองเทียนเซี่ย ถ้าอย่างนั้นชู่มู่จะฆ่าเขาลำบากขึ้นมาก
ดังนั้น ชู่มู่มองข้ามทักษะของราชันเขี้ยวกับราชันภูตสายฟ้า ไล่ตามติดเทียนทิง !
“หลุมลมครึ่งมาร !”
ระหว่างนิ้วของชู่มู่เกิดเป็นลมวนสีดำช้า ๆ มิติที่เปิดออกอย่างช้า ๆ
ระหว่างที่เปิดออก ไฟปีศาจครึ่งมารลุกโชนขึ้น กลายเป็นหลุมลมครึ่งมารที่มีพลังกระชากอันรุนแรงยิ่ง !!
หลุมลมสีดำกลายเป็นลายเส้นลม แล้วก่อเป็นมิติบิดเบี้ยวอันเลือนลาง กระชากอากาศรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งกระชากเทียนทิงที่ขี่ปักษาแปดปีกกลับมา !
“โจตีหลุมลม!!”เทียนทิงเห็นทั้งหมดนี้ รีบสั่งราชันขั้นสูงสองตัวของตัวเองทันที !
ราชันขั้นสูงสองตัวนั้นต่างเตรียมทักษะขึ้น สายฟ้าสาดส่องบนตัวราชันภูตสายฟ้า กลายเป็นก้อนสายฟ้ายักษ์ใหญ่อย่างรวดเร็ว ส่งเสียง “ซึ ซึ” หนวกหูกลางอากาศ
ถ้าพลังของก้อนสายฟ้านี้ระเบิดออก จะทำลายเขตพื้นที่มหาศาลได้แน่นอน !
ก้อนสายฟ้านี้บินตรงไปยังหลุมลมที่ชู่มู่เปิดออกอย่างแม่นยำภายใต้การควบคุมของราชันภูตสายฟ้า หลังจากถูกหลุมลมครึ่งมารดูดเข้าไป ระเบิดออกในมิติด้านในหลุมลมครึ่งมารทันที !!!
ประกายสายฟ้าสาดส่อง สะดุดตาอย่างมาก ทำให้พื้นที่บริเวณประตูเมืองสะท้อนเหมือนตอนกลางวัน ในที่สุดหลุมลมยังคงสลายไปอย่างง่ายดาย !
เห็นหลุมลมสลายไป สายตาของชู่มู่เยือกเย็นขึ้นมาก กวาดตามองไปยังราชันเขี้ยวกับราชันภูตสายฟ้าอย่างเฉยเมย !
ดวงวิญญาณสองตัวนี้ก่อกวนแบบนี้ ชู่มู่ครึ่งมารยากที่จะตามเทียนทิงได้ทัน !!!
“ฆ่าดวงวิญญาณของเจ้าก่อน !!!” ใบหน้าชั่วร้ายของชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา นั่นเป็นรอยยิ้มที่โหดร้ายอย่างมาก ต่อให้ราชันขั้นสูงเห็นแล้วยังขนลุก !
ชู่มู่ครึ่งมารมีเนตรลับ สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดของราชันเขี้ยวกับราชันภูตสายฟ้าได้ อีกทั้งยังมองเห็นได้ชัดเจนว่า ราชันภูตสายฟ้าที่แข็งแกร่งกว่าราชันเขี้ยวไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่า นี่เกิดจากแผลที่ราชันภูตสายฟ้าได้รับก่อนหน้านี้ไม่นาน !
ชู่มู่เล็งไปยังราชันภูตสายฟ้าอันภูมิใจของเทียนทิง
“ไฟปีศาจมิติที่สอง !”
ลำตัวปรอทของชู่มู่หายไปท่ามกลางไฟปีศาจอย่างช้า ๆ อีกทั้ง ชู่มู่ได้กลายเป็นก้อนไฟปีศาจสีขาว !
ไฟปีศาจขยายจากขนาดเท่าตัวคน กลายเป็นไฟปีศาจสีขาวที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากถึงสิบเมตร !
ระหว่างที่ไฟปีศาจขยายใหญ่ขึ้น เป็นขั้นตอนที่ครึ่งมารกำลังสะสมพลัง ในตอนที่ไฟปีศาจร้อนระอุมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงยี่สิบเมตรแล้ว เป็นช่วงที่เทียนทิงกำลังหนีจากที่นี่สัมผัสได้ถึงพลังด้านในไฟปีศาจได้อย่างชัดเจน !!!
“นี่มัน…” เทียนทิงมองไปยังไฟปีศาจมิติที่สองนั้นอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่านี่เป็นพลังอะไรกันแน่ !
ไฟปีศาจมิติที่สองถูกกดทับมาตลอด จนกระทั่งถูกกดจนเหลือหนึ่งเมตร กลายเป็นขนาดที่เท่าหัวใจของมนุษย์
หัวใจเปลวไฟที่มีไฟปีศาจมิติที่สองงั้นหรือ
เทียนทิงเห็นได้ชัดว่า หัวใจเปลวไฟปีศาจมิติที่สองนี้กำลังเต้นอย่างเป็นจังหวะ มองดูเหมือนไม่มีประโยชน์ใด ๆ แต่เทียนทิงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของไฟปีศาจมิติที่สองนี้ เหมือนขนาดของไฟปีศาจมิติที่สองเล็กลง แต่พลังที่รวมในนั้นยังอยู่…
“สิ่งที่เหมือนดวงจันทร์นั้นคืออะไร พวกเจ้าเห็นไหม”
“เหมือนจะเป็นดวงจันทร์ แต่กำลังลุกโชน !!!”
“ดวงจันทร์อยู่อีกด้าน นั่นเป็นทักษะอะไรแน่ ๆ แต่ห่างไกลเกินไปมองไม่เห็น”
คนนับพันที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองได้มองมาทางนี้แล้ว
การต่อสู้ระหว่างราชัน ทักษะแต่ละอันสะเทือนอย่างมาก ต่อให้ห่างจากประตูเมืองอยู่มาก ต่อให้เป็นกลางอากาศความสูงพันเมตร แต่การต่อสู้นี้ยังคงทำให้คนทั้งพื้นที่สะเทือนอย่างมาก
ในตอนที่ผู้คนกำลังมองว่าสิ่งสีขาวนั้นคืออะไร แสงรุนแรงกว่าแสงอาทิตย์หลายร้อยเท่ากระจายออก ทำให้ผู้คนนับพันที่มองไปบนฟ้าแสบตาอย่างมาก !!!
“โซ !!!”
“โซ!!!”
เสียงมิติที่สองดังขึ้น ไฟปีศาจมิติที่สองระเบิดออกแล้ว !
ไฟปีศาจมิติที่สองที่มีขนาดเท่ากำมือระเบิดออกกลับปล่อยพลังสลายฟ้าดินออกมา ราวกับคลื่นไฟปีศาจยักษ์ที่พัดพาทั่วทั้งฟ้า !
สีขาว ปกปิดทั่วทั้งฟ้าดิน !
ความมืดทั้งหมดกลับถูกไฟปีศาจสีขาวลึกลับนั้นกลืนกิน แม้แต่ดวงจันทร์ที่อยู่ขอบฟ้ายังหมองคล้ำกว่าแสงนี้ ราวกับมีพลังมหาศาลที่ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ร้อยเท่าระเบิดออกท่ามกลางฟ้าในยามค่ำคืนนี้ !!!
ไฟปีศาจ แสงลึกลับนี้ สาดส่องพื้นที่หนึ่งในสี่ของเมืองเทียนเซี่ย ส่วนพลังที่อยู่บนฟ้านั้น ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ภายใต้พลังนี้ แผลของราชันภูตสายฟ้าปลิวออกหมด !!!
เดินราชันภูตสายฟ้าก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ความสามารถของชู่มู่ครึ่งมารเหนือกว่าราชันภูตสายฟ้าอีก ทักษะนี้พุ่งตรงไปยังราชันภูตสายฟ้าเฉพาะ มันจะทนไหวได้อย่างไร
ไฟปีศาจพัดขึ้นฟ้า เหวี่ยงราชันภูตสายฟ้าขึ้นไปบนฟ้าร้อยกว่าเมตร ไฟปีศาจระเบิดแผลของมันออก พุ่งเข้าไปด้านในของร่างกายราชันภูตสายฟ้า แผดเผาวิญญาณของราชันภูตสายฟ้าทันที !!!
“ฮู ฮู ฮู ฮู”
พลังที่พัดพาได้ไปถึงเทียนทิงที่บินไกลออกไปแล้ว วินาทีนี้ เขาไม่มีความกล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง คลื่นไฟปีศาจตีบนหลังของเขา ปักษาแปดปีกบินออกมาไกลขนาดนี้แล้ว ยังคงได้รับผลกระทบจากไฟปีศาจ !
วิญญาณที่ขาดจากกันกระทบเขาทันที ราชันภูตสายฟ้าที่ได้รับบาดเจ็บยังคงไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้ กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางไฟปีศาจบนฟ้าในยามค่ำคืน
สีหน้าของเทียนทิงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นี่ไม่เพียงเพราะสัญญาวิญญาณที่ขาดจากกัน แต่เป็นเพราะเขาทุ่มเทให้กับราชันภูตสายฟ้านับไม่ถ้วน เขาไม่คิดว่า ดวงวิญญาณหลักแข็งแกร่งที่สุดของตัวเองจะกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยการโจมตีเดียวของครึ่งมารน่ากลัวนี้ได้ !
“บิน !!! บินเร็วขึ้นอีก !!!”
ในที่สุด เทียนทิงกัดฟันแน่น ออกคำสั่งปักษาแปดปีกของตัวเอง !!!
เขามั่นใจได้ว่า หลังจากที่ปล่อยทักษะนี้ออกมา ครึ่งมาต้องใช้เวลาพัก มีเพียงอาศัยช่วงเวลานี้ หนีให้ไกลขึ้น เขาถึงจะมีชีวิตรอดไปได้ !!!
บางครั้ง เทียนทิงยังไม่เชื่อว่าครึ่งมารนี้ได้ปรากฏขึ้น และแล้วความกลัวในใจของเขาทำให้เขารู้ว่า อยู่ที่นี่ต่อไป จะต้องตายแน่นอน การจับจ้องด้วยความแค้นของครึ่งมาร แทบไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกใบนี้ พลังที่มันมีเกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ที่มีต่อดวงวิญญาณ
สิ่งมีชีวิตแบบนี้ ต่อให้อยู่ในระดับเดียวกัน ก็ไม่มีทางเอาชนะมันได้ อีกทั้งหากไม่ระวังอาจถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีได้ !!!
เทียนทิงยืนหยัดมาก ต่อให้ดวงวิญญาณถูกฆ่าตาย เขาก็ยืนหยัดที่จะหนีไปยังเมืองเทียนเซี่ย !
ไฟปีศาจมิติที่สองที่ชู่มู่ปล่อยออกมาในครั้งนี้น่ากลัวกว่าตอนอยู่เมืองหลีหลายเท่ามาก ตำแหน่งของเขาในตอนนี้สามารถเห็นว่า เมืองเทียนเซี่ยสว่างด้วยทักษะของตัวเอง
เมืองเทียนเซี่ยกว้างขวางอย่างมาก ต่อให้อยู่บนฟ้าก็ไม่สามารถเห็นสุดขอบของเมืองนี้ได้ แต่ทักษะเดียวกลับสาดส่องบริเวณกว้าง เห็นได้ชัดว่าพลังของมันแข็งแกร่งมากเพียงใด
หลังจากปล่อยไฟปีศาจมิติที่สองออกมา ชู่มู่ต้องการพักผ่อนจริง ๆ ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องไปยังเทียนทิงที่หนีไปยังเมืองเทียนเซี่ยอย่างเยือกเย็น
เดิมชู่มู่คิดจะพุ่งเข้าไปฆ่าเทียนทิง แต่ดวงวิญญาณราชันสองตัวของเขามีความสามารถไม่อ่อน ตอนนี้ทำได้แค่ฆ่าดวงวิญญาณราชันสองตัวของเขาก่อน แล้วค่อยฆ่าเขา
“หนีไปในเมือง ก็แค่ฆ่าลำบากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น !” ทั้งตัวชู่มู่เต็มไปด้วยความอาฆาต ในเมืองเทียนเซี่ย ใครขวางตัวเอง ชู่มู่ครึ่งมารจะฆ่าอย่างไม่ลังเล ไม่ปล่อยให้มีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว !!!
…
“พระเจ้า !!! เงาปีศาจที่ยืนอยู่บนฟ้าคืออะไร !!!”
“เป็นมารนิรยขาวงั้นหรือ แต่เหมือนจะไม่ใช่มารนิรยขาว มารนิรยขาวไม่มีกลิ่นไอแบบนี้ !!!”
ในตอนที่ชู่มู่มุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนเซี่ย คนนับพันบริเวณประตูเมืองส่งเสียงร้องขึ้น เสียงนี้ทำให้เขตพื้นที่รอบเมืองสะเทือนอย่างมาก คนออกจากบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เงยหน้ามองไปยังฟ้าเหนือเมืองเทียนเซี่ย
ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันหรือผู้อ่อนแอระดับศิษย์วิญญาณ การตอบสนองแรกในตอนที่เห็นเงาบนฟ้าต่างรู้สึกเหมือนฝันร้าย ความหวาดกลัวที่มีต่อปีศาจ !!!
นั่นเป็นราชันชั่วร้ายตนหนึ่ง หลุมสีดำเป็นฉากหลังของเขา เปลวไฟสีขาวเป็นสีหลักของเขา ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นไอชั่วร้ายที่ไม่อาจเทียมทานได้ !!!
เขายืนอยู่บนฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวสีดำ เป็นผู้ควบคุมความชั่วร้ายทุกอย่าง !
เพียงพอที่จะทำให้เมืองเทียนเซี่ยอันเต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่งมากมายสะเทือน !!!
เทียนทิงแอบไม่ขยับ เขาได้สั่งเฉินหงไว้แล้วว่า ห้ามฆ่าชู่มู่ อีกทั้งจำต้องนำแหวนช่องว่างบนตัวของชู่มู่มาให้ได้
เวลานี้เป็นช่วงที่ดีมาก ถ้าไปเร็วเกินไป เฉินหงจะสั่งสอนชู่มู่ไม่มากพอ นี่ไม่สามารถระงับความโกรธในใจของเทียนทิงได้ ไปช้าเกินก็ไม่ได้ เฉินหงกับเพื่อนพิเศษของเขาจะจากไปแน่นอน
รอนิ่ง ๆ มาสักพักแล้ว เทียนทิงเริ่มเห็นประกายทักษะบนภูเขาสะท้อนดาบหมองคล้ำลงเรื่อย ๆ
พลังระดับราชันแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะความพิเศษของประตูโลกมรณะ คาดว่าประตูนี้คงสลายเพราะพลังของราชันแล้ว
ดังนั้น ในตอนที่ทุกอย่างเริ่มสงบลง เทียนทิงอดใจที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เดาว่าการต่อสู้น่าจะจบลงแล้ว
ในตอนนี้ เทียนทิงได้ร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญราชันเขี้ยวแข็งแกร่งของตัวเองออกมา !
แม้ราชันเขี้ยวจะเป็นดวงวิญญาณหมวดอสูร แต่ยอดเขาแบบนี้ สำหรับราชันเขี้ยวแล้ว แทบไม่ต้องใช้แรงในการปีนแม้แต่น้อย
ในไม่ช้า เทียนทิงทำท่าทีเหมือนใจร้อนอย่างมาก !
เทียนทิงลงมือโหดมาก เพื่อไม่ให้มีใครรอดไป เขาขี่ราชันเขี้ยวไปยังหน้าประตูโลกมรณะก่อน เล็งไปยังพวกคนที่เป็นแค่ตัวละครเหล่านั้น !
จำต้องกำจัดคนเหล่านี้ เทียนทิงจะไม่เหลือร่องรอยที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองไว้ !
ความสามารถของลูกน้องเฉินยุ่นอยู่ในระดับจักรพรรดิเป็นส่วนใหญ่ และทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้อย่างปลอม ๆ แล้วทิ้งศพไปตามพื้น เพื่อโยนความผิดไปยังคนของวังมารนิรย
เฉินยุ่นฉลาดมาก รู้ว่าชู่มู่ไม่ถูกกับเจียงอี้เถิง ลู่ซานหลี ซิงหยาง ดังนั้น จึงโยนศพของสมาชิกวังมารนิรยไว้ที่นี่ บวกกับสร้างร่องรอยการโจมตีของมารนิรย คนของตำหนักวิญญาณย่อมไม่สงสัยพวกเขา
“พอแล้ว ได้แล้วละ พวกเรากลับได้ละ อย่ารอให้เหล่าผู้เฝ้าเมืองมาถึง” ชายที่สวมหน้ากากสีแดงพูดขึ้น
“อืม ถอยเถอะ พี่ชายน่าจะจัดการได้แล้ละ”หัวหน้าของอีกกลุ่มหนึ่งพูดขึ้น
คนกลุ่มนี้ต่างขี่ดวงวิญญาณทั่วไป ในนั้นยังมีมารนิรยเขียวกับมารนิรยฟ้าไม่กี่ตัว มีไว้เพื่อหลอกตา
ความสามารถเฉลี่ยของดวงวิญญาณอยู่ที่ระดับจักรพรรดิขั้นสูง ส่วนดวงวิญญาณของหัวหน้าทั้งสองอยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอด
“ใคร…ใคร ๆ !” หัวหน้าหน้ากากสีแดงเห็นคนที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทันที
คนนี้ขี่อสูรคลั่งที่แยกเขี้ยวออกมาตัวหนึ่ง ตอนที่กลิ่นไออสูรนั่นพัดพาเข้ามา ทำให้ดวงวิญญาณของคนทั้งหมดเริ่มสั่น !!!
“ราชัน…ระดับราชัน !! นั่นเป็นดวงวิญญาณระดับราชัน !!” คนที่เป็นหัวหน้าและลูกน้องทั้งหมดชะงัดกับพลังนี้ ต่างเผยความหวาดกลัวออกมาบนใบหน้า !!!
เผชิญหน้ากับพวกเด็กอ่อนเหล่านี้ เทียนทิงยิ้มอย่างเยือกเย็น ออกคำสั่งโจมตีต่อราชันเขี้ยวระดับราชันขั้นสูงของตัวเองทันที !!!
ความเร็วของราชันเขี้ยวไวมาก ราชันขั้นสูงนี้แทบไม่ได้ปล่อยทักษะใด ๆ อาศัยแค่การโจมตีด้วยเขี้ยวและกรงเล็บอย่างเดียว ดวงวิญญาณทั้งหมดได้ตายลง เลือดสาดไปทั่ว !!!
ลูกน้องพวกนี้ของเฉินยุ่นแทบไม่มีความสามารถต่อต้านได้ ถูกเทียนทิงฆ่าล้างจนหมด
และในตอนที่ศพต่าง ๆ ล้มลง เหล่าผู้เฝ้าเมืองก็ได้มาถึงในที่สุด ตอนที่หัวหน้าผู้เฝ้าเมืองมาถึง เห็นพวกโจรทั้งหมดตายลง สะเทือนใจอย่างยิ่งเช่นกัน คนเหล่านี้ต่างมีดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นสูง นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว !
“เทียนทิง…ท่านเทียนทิง !” หัวหน้าผู้เฝ้าเมืองจำเทียนทิงได้ทันที
เหล่าผู้เฝ้าเมืองเห็นความแข็งแกร่งของสี่ที่นั่ง ต่างชื่นชมอย่างมาก
“โจรพวกนี้มากจากที่ใดก็ไม่รู้ คิดจะเข้าเขตต้องห้าม ข้าขึ้นเขาไปจับหัวหน้าของโจรเหล่านี้ หัวหน้าทั้งสองมากับข้า คนอื่นตรวจดูรอบ ๆ นี้ !” เทียนทิงพูดด้วยท่าทีแน่นิ่ง
เหล่าผู้เฝ้าเมืองรีบพยักหน้า แบ่งเป็นกลุ่มเล็กย่อย เริ่มสำรวจรอบ ๆ ประตูโลกมรณะ
“เหล่าผู้เฝ้ามาแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคนของตำหนักวิญญาณก็จะมาด้วย” เทียนทิงฉีกยิ้มออกมา ในตอนนี้ก็ไม่ลังเล ขี่ราชันเขี้ยวทรงพลัง มุ่งหน้าไปยังยอดของภูเขาสะท้อนดาบ !
หัวหน้าทั้งสองตามเทียนทิงไปทันที มองไปยังราชันเขี้ยวของเทียนทิงที่วิ่งขึ้นภูเขาราวกับวิ่งบนพื้นราบด้วยความอิจฉา !
…
ตอนที่วิ่งไปถึงยอดเขาสะท้อนดาบ การต่อสู้สงบลงแล้ว บนภูเขามีร่องรอยถูกทำลายอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนมากเกินไป
“ท่าทาง เจ้าเด็กชู่เฉิงไม่ได้ต่อต้านนานเกินไปก็ถูกจับไว้แล้ว ถูกทรมานเยอะหน่อยก็ดี แบบนี้จะดีมาก” เทียนทิงฉีกยิ้ม ปล่อยร่ายวิญญาณออกไป ตามหาตำแหน่งของเฉินหง
ในไม่ช้า เทียนทิงได้เจอกลิ่นไอของเฉินหงบริเวณยอดเขา ยอดเขามืดมัว มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาผ่านหมอก กลับไม่สาดส่องไปยังยอดของประตูโลกมรณะได้
ร่ายวิญญาณของเทียนทิงเจอเงาของเฉินหงกับอีกคนหนึ่ง พบว่าพวกเขาไม่ได้อัญเชิญดวงวิญญาณออกมา ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม
“คาดว่าหลังจากพวกเขาคุมชู่เฉิงได้แล้ว ได้เก็บดวงวิญญาณเอาไว้แล้ว แบบนี้ก็ดี ฆ่าได้ง่ายขึ้น !” เทียนทิงยิ้มออกมา
ในตอนนี้ เทียนทิงเพิ่มความเร็วขึ้น ไม่สนใจมากเท่าไร มุ่งหน้าไปยังเฉินหงกับเฉินยุ่น
จำต้องฆ่าปิดปากสองคนนี้ เทียนทิงกลับไม่ฆ่าพวกเขาทันที จำต้องให้ผู้เฝ้าเห็นว่าตัวเองเป็นคนช่วยชู่มู่
“นั่น…นั่นเหมือนจะเป้นชู่เฉิง วัยหนุ่มเที่ยนเซี่ย เขาเหมือนถูกคนร้ายคุมเอาไว้” หัวหน้าทั้งสองเห็นสถานการณ์บนยอดเขาผ่านความมืดทันที
บนยอดเขา ชู่มู่ถูกพลังจิตของราชันวิญญาณทั้งสองควบคุมเอาไว้ เฉินหงกับเฉินยุ่นได้บังคับให้ชู่มู่อัญเชิญดวงวิญญาณออกมา อีกทั้งส่งมอบแหวนช่องว่าง
ชู่มู่ย่อมไม่อัญเชิญดวงวิญญาณออกมา ส่วนแหวนช่องว่าง ชู่มู่กลับส่งมอบโดยดี
แต่ว่า ในตอนที่เฉินหงพบว่า ในนั้นแทบไม่มีไข่มังกรจำศีลเลือดบริสุทธิ์ที่ตัวเองต้องการ กลับมีเพียงสิ่งแปลกปลอม ยิ่งโกรธมากขึ้น !
“กล้ามาก สร้างกับดักไว้ที่นี่ ทำลายผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มเมืองเทียนเซี่ยข้า ! ไม่เห็นข้าเทียนทิงในสายตาจริง ๆ !!”เทียนทิงเห็นว่า ถึงเวลาแล้ว ตะโกนทันที !
เสียงนี้ได้เพิ่มผลของร่ายวิญญาณ ดังราวกับเสียงสายฟ้า ต่อให้เป็นชาวบ้างที่ประตูเมืองยังได้ยิน !
หัวหน้าทั้งสองคนนี้อึ้งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ถึงเข้าใจว่า เทียนทิงได้ขี่ราชันเขี้ยวระดับราชันแข็งแกร่งยิ่งตัวนั้นพุ่งตรงไปยังคนร้ายสองคนที่มีร่ายวิญญาณขั้นสูงตั้งแต่เมื่อไร !!!
เฉินหงกับเฉินยุ่นไม่คิดว่า ตัวเองกลายเป็นแค่เครื่องมือ ได้ยินเทียนทิงตะโกนแบบนี้ สีหน้าเปลี่ยนทันที ! รีบอัญเชิญดวงวิญญาณ !!!
“ไปตาย !!!” เทียนทิงย่อมไม่ปล่อยให้สองคนนี้มีโอกาสเปิดปาก !!!
ราชันขั้นสูง พลังต่อสู้ของมันแทบไม่ใช่ดวงวิญญาณระดับเทียบเท่าราชันของทั้งสองคนนี้สู้ได้ เฉินหงเพิ่งอัญเชิญเทียบเท่าราชันของเขา ราชันเขี้ยวได้พากลิ่นไอหมวดอสูรอันน่ากลัวมาด้วย กรงเล็บที่พอจะสลายภูเขาทั้งลูกตวัดลง ฟาดไปยังเฉินหงอย่างแรง !!!
เฉินหงรีบให้เทียบเท่าราชันของตัวเองปกป้องตัวเอง และแล้ว ความห่างเก้าขั้นเต็ม ๆ เฉินหงกับดวงวิญญาณของเขายังไม่ทันได้ส่งเสียงขึ้น ได้กลายเป็นเศษระหว่างกรงเล็บวายุสีดำนี้แล้ว!
ใบหน้าของเฉินหงหายไปจากกรงเล็บดุร้ายนี้ในท้ายที่สุด จากใบหน้าเจ็บปวดและตกใจของเขา เห็นได้ว่าต่อให้ตาย เขาก็คิดไม่ถึงว่าเจ้านายเทียนทิงของตัวเองจะลงมือกับตัวเองอย่างโหดร้ายแบบนี้ !!!
เฉินยุ่นเห็นสถานการณ์ไม่ดี ขี่เทียบเท่าราชันจะหนีไป !
ราชันขั้นสูงปรากฏตัวขึ้น ต่อให้เฉินยุ่นจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ต้องตายอยู่ดี ระหว่างที่หนีไป เฉินยุ่นได้ด่าด้วยความโกรธที่ถูกคนอื่นหลอก !
เทียนทิงย่อมไม่สลายศพของเฉินยุ่นไป อย่างไรก็ตาม ต้องให้เขารับโทษทั้งหมด ในตอนนี้เขาได้สั่งให้ราชันเขี้ยวฆ่าเฉิยยุ่น จำต้องเหลือศพเอาไว้
หัวหน้าทั้งสองเห็นประธานที่นั่งทั้งสี่เทียนทิงได้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้แล้ว รีบกระโดดออกจากพุ่มไม้ ไปดูท่านทีของชู่มู่
“อ๊า !!!”
เสียงโอดครวญดังขึ้น เทียนทิงได้ฆ่าเฉินยุ่นท่ามกลางความมืด รีบโยนศพไปยังบริเวณที่เห็นได้ชัด
เทียนทิงฉีกยิ้มออกมา ขี่ราชันเขี้ยวกลับมา เดินไปข้างชู่มู่ที่มีสีหน้าซีดขาว
“ท่านเทียนทิง จิตของชู่มู่แค่อ่อนแอหน่อย ไม่มีอะไรมาก โชคดีที่ท่านเทียนทิงมาถึงได้เวลา มิฉะนั้น ไม่กล้านึกถึงเรื่องหลังจากนี้” ผู้เฝ้าทั้งสองต่างมองไปยังชู่มู่ที่มองดูอ่อนแออย่างมาก พูดกับเทียนทิงด้วยความนอบน้อม
สิ่งที่เทียนทิงต้องการคือรอยยิ้มนี้ พยักหน้า มองไปยังชู่มู่ที่มีใบหน้าซีดขาว พูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ ว่า “ตอนนี้เจ้าก็เป็นบุคคลเลื่องลือ ทำเรื่องโจ่งแจ้งแบบนี้ เท่ากับให้คนร้ายมีโอกาสไม่ใช่เหรอ ถ้าข้ามาช้ากว่านี้อีกหน่อย เจ้าตายแน่ !”
“เจ้าคิดว่า ข้าจะเชื่อสิ่งที่เจ้าพูดเหรอ” ชู่มู่พูดประชด
เทียนทิงไม่สนใจว่า ชู่มู่จะเชื่อหรือไม่ คนอื่นเชื่อก็พอ เขาหยิบแหวนช่องว่างที่ได้จากเฉินหงขึ้นมา พูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ” นำไข่ดวงวิญญาณมาหรือยัง”
“ไม่” ชู่มู่ตอบ
สีหน้าของเทียนทิงแย่ลง รีบตรวจดูในแหวนช่องว่าง พบว่าในแหวนกลับไม่มีอะไร !
เขาไม่คิดว่า เจ้าเด็กนี้กล้าหลอกตัวเอง กลับไม่นำไข่ดวงวิญญาณมาด้วย !
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เทียนทิงจำต้องใช้วิธีนี้แล้ว ถ้าท่านอาวุโสมาขัดขวางอีก เขาจะสั่งผู้แข็งแกร่งองค์กรวิญญาณทันที !!!
“เจ้าเด็ก เจ้ากล้าดีจริง คิดว่าความสามารถของตัวเองประสบความสำเร็จอยู่บ้าง ไม่มีศัตรูในโลกนี้แล้วเหรอ เจ้าโง่พอกับพ่อของเจ้าจริง ๆ สุดท้ายยังคงพ่ายแพ้เหมือนกัน !!!” เทียนทิงพูดอย่างดุร้าย
“ทำให้เจ้าองค์กรโกรธ เท่ากับเป็นศัตรูกับทั้งองค์กรวิญญาณ ! ต่อให้เป็นท่านอาวุโสก็อย่าคิดจะมีชีวิตต่อไปได้ ถามเจ้าครั้งสุดท้าย จะส่งมอบหรือไม่ !!!”
หัวหน้าทั้งสองที่พยุงชู่มู่ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
เทียนทิงในตอนนี้โกรธจริง ๆ เจ้าเด็กนี้เพิกเฉยตัวเองหลายรอบแล้ว คิดว่ามีท่านอาวุโสอยู่จะทำอะไรก็ได้จริงเหรอ ครั้งนี้ต่อให้ท่านอาวุโสมาจริง เขาก็จะไม่ไว้หน้า !!!
ชู่มู่จับจ้องไปยังเทียนทิง เห็นใบหน้าจอมปลอมนั้นของเทียนทิงได้เผยธาตุแท้ออกมาก็ไม่เป็นที่แปลกใจ
ไม่ต้องพูด ทั้งหมดนี้เป็นไปตามสิ่งที่เทียนทิงสั่งแน่นอน ตอนนี้เทียนทิงกำลังจะลงมืออย่างหมดความอดทนจริง ๆ
“ข้าเกลียดคนที่แน่วแน่มากที่สุด ชู่เฉิง ในเมื่อเจ้าอยากเป็นศัตรูกับทั้งองค์กรวิญญาณ เจ้าจะต้องชดใช้ !!!” เทียนทิงเห็นชู่มู่ยังคงเพิกเฉยตัวเอง ยิ่งโกรธกว่าเดิม !
“เป็นศัตรูกับทั้งองค์กรวิญญาณงั้นหรือ” ชู่มู่ลุกขึ้นช้า ๆ
ในตอนนี้ หัวหน้าที่เต็มไปด้วยความงงยังคิดจะไปพยุงชู่มู่ ทว่า พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอเย็นเยียบรุนแรงที่กระจายออกจากตัวชู่มู่ !!!
“ข้าจะเป็นศัตรูกับทั้งองค์กรวิญญาณ แล้วจะทำไม !!!”
เสียงของชู่มู่เหมือนไฟที่เย็นเยียบ พุ่งขึ้นทันที ทันใดนั้น ไฟปีศาจรุนแรงที่สุดถาโถมออกจากร่างกายของชู่มู่ ราวกับพายุร้าย ร้อนรุนแรงยิ่ง พลังน่ากลัวอย่างมาก !!!
หัวหน้าทั้งสองคนนี้แทบไม่ทันได้ทำการโต้ตอบ ไฟปีศาจอันน่ากลัวนี้ได้คืบคลานไปบนตัวพวกเขา กลับเผาเสือปีกของพวกเขาจนเป็นเถ้าถ่านทันที !
หัวหน้าผู้เฝ้าเมืองทั้งสองตกใจยิ่ง ตอนที่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ไฟปีศาจได้คืบคลานบนตัวพวกเขาแล้ว เผาพวกเขาเป็นผงเช่นกัน !
ท่ามกลางความมืด ดวงตาสีดำคู่นั้นของชู่มู่ที่นั่งกับพื้นลืมขึ้นช้า ๆ ในตากลับมีไฟปีศาจลึกลับลึกโชนขึ้น !!!
เพื่อไม่ให้เปิดเผยร่างครึ่งมารของตัวเอง ชู่มู่จำต้องฆ่าปิดปาก !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!!”
ไฟปีศาจอันรุนแรงตึบนหน้าดุร้ายของเทียนทิง เทียนทิงกำลังจะก้าวเข้าไป แต่พลังมหาศาลบนตัวชู่มู่กลับทำให้เขาต้องถอยกลับ แม้แต่ราชันขั้นสูงดุร้ายอย่างราชันเขี้ยวยังไม่กล้าเข้าใกล้ชู่มู่แม้แต่น้อย !!!
“เจ้า !!!” เทียนทิงถูกพลังนี้บังคับให้ต้องถอยหลัง สีหน้าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น !!!
ราชันเขี้ยวระดับราชันขั้นสูงถูกกลิ่นไอนี้ควบคุมเอาไว้ !!!
พลังบนตัวชู่มู่แข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่ !!!
วัยหนุ่มอายุยี่สิบปีคนหนึ่ง ในร่างกายมีพลังที่ทำให้ราชันขั้นสูงถอยกลับได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นพลังที่เทียนทิงไม่เคยเห็นมาก่อน !!!
“นี่…นี่…นี่มัน….” ม่านตาของเทียนทิงขยายเรื่อย ๆ เห็นร่างกายของชู่มู่ถูกไฟปีศาจคลั่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนห่อหุ้มเอาไว้กับตา
ส่วนตัวชู่มู่เหมือนปรอทเหลว นัยน์ตาส่องประกายลึกลับออกมา มองไปแล้วชวนบนลุกอย่างมาก !!!
วินาทีนี้ ในหัวของเทียนทิงเกิดภาพอันสะเทือนใจเมื่อนานมาก ๆ แล้ว !!!
นั่นเป็นปีศาจที่มีเปลวไฟสีขาวเช่นกัน เขาน่ากลัวกว่ามารนิรยขาวหลายร้อยเท่า นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่สุดในโลกที่เกิดจากการรวมตัวของมารนิรยและมนุษย์ !!!
“ครึ่งมาร !!!”
“เป็นไปได้อย่างไร !!! นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอน !!!”
เทียนทิงได้เห็นครึ่งมารกับตาเมื่อนานมากแล้ว และก่อนหน้านี้ ครึ่งมารเมืองหลียิ่งทำให้เทียนทิงสะเทือนใจยิ่ง
นั่นเป็นปีศาจชั่วร้ายที่สุดอันเลื่องลือในทั้งโลกดวงวิญญาณ !!!
สิ่งมีชีวิตแบบนี้ ทันทีที่เติบโตขึ้น จะกลายเป็นหายนะอันหนักหนา !
เทียนทิงเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง วัยหนุ่มคนหนึ่งจะกลายเป็นครึ่งมารได้เอง !!!
“องค์กรวิญญาณ สักวันจะต้องถูกข้าชู่มู่ถอนราก” ดวงตาลึกลับของชู่มู่ส่องประกายชั่วร้ายออกมา จับจ้องไปยังเทียนทิงราวกับคนตาย
“เริ่มจากเจ้าก่อน !!!”
ตอนตกค่ำ ชู่มู่เดินออกจากห้องของตัวเอง ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง เผยให้เห็นไอเย็นเยียบบนตัวชู่มู่
ชู่มู่มีเวลาไม่มาก ดังนั้น หลังจากที่ได้น้ำแข็งเทพดิน เขาใช้ทันที แล้วใช้ร่ายวิญญาณนำมันเข้าไปในวิญญาณ เพื่อควบคุมอุณหภูมิสูงของวิญญาณเอาไว้
โชคดีที่ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่มาก ส่วนผลของน้ำแข็งเทพดินชัดเจนอย่างยิ่ง ถ้ายืดเวลามากเกินไปละก็ ชู่มู่เองจะยากที่จะทำตามแผนของตัวเองได้
หลังจากดูดซึมพลังของน้ำแข็งเทพดินได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ภูตเวหาน้ำแข็งที่มีวิญญาณเชื่อมต่อกับชู่มู่ก็ได้ประโยชน์จากมันไปด้วย
ต่อให้หลังจากที่ชู่มู่ดูดซึมแล้ว ภูตเวหาน้ำแข็งถึงจะได้พลังเล็กน้อยบ้าง แต่อย่างน้อยน้ำแข็งเทพดินนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นดีที่นำมาเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณราชัน ถ้าคนปกติใช้น้ำแข็งเทพดินโดยตรง วิญญาณคงถูกแช่แข็งจนตายได้
หลังจากผลของน้ำแข็งเทพดิน ภูตเวหาน้ำแข็งได้เข้าสู่การหลับใหลทันที จำต้องใช้เวลาที่ค่อนข้างนานเพื่อดูดซึมวัตถุวิญญาณที่มีพลังหมวดน้ำแข็งมหาศาลนี้
คาดว่า หลังจากที่ภูตเวหาน้ำแข็งดูดซึมพลังของน้ำแข็งเทพดินจากวิญญาณของชู่มู่แล้ว พลังต่อสู้จะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน
…
เทียนทิงเองก็จัดการอย่างระมัดระวัง หลังจากรู้ว่า ชู่มู่ต้องการแลกเปลี่ยนที่ประตูโลกมรณะ เขาเลยเดาว่า ชู่มู่มีแผนแน่นอน จงใจให้เย้เทาวังมารนิรยมุ่งหน้าไปตำหนักวิญญาณ ให้เขารั้งท่านอาวุโสไว้ ไม่ปล่อยให้เจ้าแก่นี่มีโอกาส อีกทั้งบอกให้ชู่มู่ไปลำพังเท่านั้น
เทียนทิงระวังมากเพียงใด ยังคงไม่สามารถป้องกันตัวชู่มู่เองได้
ชู่มู่เองก็ใช้ประโยชน์จากความคิดนี้ของเทียนทิง จงใจให้เทียนทิงสนใจอยู่กับท่านอาวุโส แบบนี้เทียนทิงแค่มั่นใจว่าท่านอาวุโสอยู่ในควบคุมของเขา ถ้าอย่างนั้นเขาแทบไม่ต้องกังวลเรื่องแลกเปลี่ยนแม้แต่น้อย
เทียนทิงทำแบบนี้ ทำให้มั่นใจมากขึ้นว่า มีเพียงเทียนทิงคนเดียวที่รู้ความลับเรื่องนี้
เดินออกจากห้อง ชู่มู่อัญเชิญอสูรสายฟ้านิมิตราตรี มุ่งหน้าไปยังทิศทางของประตูโลกมรณะ
ที่ชู่มู่เลือกประตูโลกมรณะ ก็เพื่อให้ผู้คนเกิดภาพลวงตาว่าครึ่งมารนี้มาจากมิติลึกลับ เช่นนี้หลังจากฆ่าเทียนทิงแล้ว องค์กรวิญญาณส่งคนมาก็อยากที่จะสืบถึงตัวเองได้
อย่างไรก็ตาม เดิมครึ่งมารก็เป็นสิ่งที่อันตรายอยู่แล้ว คนขององค์กรสืบอย่างไร ก็ไม่อาจสืบถึงต้นตอของครึ่งมารได้ ยิ่งไม่มีทางสืบได้ว่า ผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มอย่างชู่มู่จะเป็นครึ่งมารได้ !
…
ตอนที่ชู่มู่ไปถึงบริเวณประตูเมือง จงใจรอสักพัก
น่าจะรอได้ไม่นาน ผู้เฒ่าหลีวิ่งจากที่ไกลอย่างรีบร้อนทันที
“นายท่าน ในตำหนักเทียนทิงมีราชันวิญญาณประมาณสามคน ต่างเป็นสมาชิกขององค์กรวิญญาณ หม่าอี้หลู่ ขุนนางหลักเมืองเทียนเซี่ย ผู้แข็งแกร่งอิสระ ลี่เถิง แล้วก็ยังมีเจี่ยซุ่นติงวังมารนิรย ความสามารถของสามคนนี้นับว่าเป็นระดับพื้นฐานในวงการราชัน แต่สำหรับนายท่านกลับเป็นศัตรูตัวฉกาจ” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ผู้เฒ่าหลี เจ้ารู้สึกว่า คนพวกนี้รู้ความลับไหม” ชู่มู่ถามขึ้น
“กำจัดไปก่อนจะปลอดภัยกว่า เพราะต่อให้พวกเขาไม่รู้ความลับ พวกเขาก็รู้ว่าท่านแลกเปลี่ยนกับเทียนทิงที่นี่” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่พยักหน้า ตบมั่วเย้บนไหล่ของตัวเองเบา ๆ
มั่วเย้ในภาวะอาวรณ์กระโดดลงจากไหล่ของชู่มู่ แสงจันทร์สาดส่อง ทำให้ขนของมั่วเย้งดงามยิ่งขึ้น
ชู่มู่เองก็รู้ว่า ถ้าเขาไม่ปรากฏตัว เทียนทิงก็จะไม่ปรากฏตัว ในตอนนี้ชู่มู่ให้มั่วเย้น้อยอยู่ที่บริเวณประตูเมืองนี้ ตัวเองตั้งใจวนไปอีกทาง มุ่งหน้าไปยังประตูโลกมรณะ
ประตูโลกมรณะหรือเรียกว่าภูเขาสะท้อนดาบ ชู่มู่ไม่ได้บอกตำแหน่งที่แน่ชัด แต่เพื่อให้ปกปิดได้ ชู่มู่ยังคงปีนขึ้นยอดเขา รอให้เทียนทิงมาถึง
ด้านตะวันออกของภูเขาสะท้อนดาบ กลุ่มคนที่สวมชุดประหลาดกำลังมุ่งหน้ามายังประตูโลกมรณะอย่างรวดเร็ว
ผู้คนเหล่านี้สวมหน้ากาก สวมชุดสีดำ เห็นได้ชัดว่า ไม่อยากให้คนอื่นรู้ตัวตนของพวกเขา
ดวงวิญญาณที่พวกเขาขี่ธรรมดาอย่างมาก มองดูไม่เหมือนผู้แข็งแกร่งชั้นยอดมาก และแล้ว พวกเขากลับรู้จักซ่อนกลิ่นอายใต้แสงจันทร์ เข้าใกล้ภูเขาสะท้อนดาบอย่างเงียบ ๆ
คนกลุ่มนี้ มีหัวหน้าคือราชันวิญญาณเฉินหง !
เดิมเฉินหงคิดจะร่วมมือกับเพื่อนพิเศษ แล้วหาโอกาสลอบฆ่าชู่มู่ แล้วชิงไข่มังกรจำศีลมรกตบนตัวชู่มู่มา
แต่เทียนทิงบอกเขากะทันหันว่า คืนนี้ชู่มู่จะปรากฏตัวที่ประตูโลกมรณะ ให้เขาพาคนกลุ่มหนึ่งไปจัดการดวงวิญญาณของชู่มู่ เหลือครึ่งชีวิตไว้ อีกทั้งต้องทำให้สะอาด ห้ามทิ้งอะไรไว้
แม้เฉินหงจะเป็นหัวหน้า เขากลับไม่คิดจะลงมือ อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาลงมือ ตำหนักวิญญาณตามสืบจะพบเห็นดวงวิญญาณของเขา เขาเฉินหงจะไม่มีวันสงบแน่
“พี่เฉินยุ่น เจ้าวางใจได้ ฝ่ายตรงข้ามเป็นแค่มือใหม่ที่มีความสามารถเทียนเท่าราชันตัวเดียวเท่านั้น ดวงวิญญาณอื่นเป็นแค่ขยะ ท่านแค่กำจัดเขาไม่กี่ญาณก็พอ เจ้าต้องการวิญญาณ ข้าจะมอบให้ในวันที่สองแน่นอน” เฉินหงพูดกับเฉินยุ่นด้านข้างด้วยรอยยิ้ม
ชื่อเฉินยุ่น เกรงว่าหลายคนในเมืองเทียนเซี่ยต่างรู้ดี อีกทั้งเป็นคนที่พูดถึงแล้วสีหน้าทุกคนจะเปลี่ยนไปทันที
เฉินยุ่นเป็นคนชั่วร้ายที่ทั้งตำหนักวิญญาณ วังดวงวิญญาณ วังมารนิรยทั้งสามอำนาจประกาศจับ เมื่อก่อนตอนยังเป็นเจ้าวิญญาณ ได้ทำชั่วร้ายไว้เยอะ มักฆ่าล้างผู้อ่อนแอ อีกทั้งไม่รักษากฎระเบียบใด ๆ ฆ่าล้างสมาชิกวัยหนุ่มของอำนาจต่าง ๆ ทำเรื่องที่ทำให้ผู้คนโกรธเคืองอย่างมาก
เดิมคนที่ถูกประกาศจับแบบนี้ควรจะยากที่จะเคลื่อนไหวได้ กลับไม่รู้ว่าคน ๆ นี้ได้เจอกับใครกันแน่ ถึงได้วัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่ง ทำให้ได้ดวงวิญญาณระดับราชัน ยิ่งอวดดีทำชั่วมากขึ้น !
ถ้าเฉินยุ่นลงมือละก็ ด้วยชื่อเสียงเลวร้ายของเขา ตำหนักวิญญาณจะไม่สงสัยองค์กรวิญญาณแน่นอน ดังนั้นเรื่องนี้ให้เฉินยุ่นลงมือดีที่สุดแล้ว !
“หึ ก็แค่จับเจ้าคนที่ได้เกียรติสองขั้นก็พอไม่ใช่เหรอ จะอ้าง ๆ อึ้ง ๆ ทำไม !” เฉินยุ่นพูดอย่างไม่พอใจ
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ ที่แท้พี่ชายเฉินยุ่นได้ติดตามด้วย ในเมื่อแบบนี้พี่เฉินยุ่นมั่นใจมากขึ้นไหม” เฉินเถิงถามขึ้น
“เจ้าเด็กไม่รู้จักโต มั่นใจ ไม่มั่นใจอะไรกัน รอเก็บศพก็พอ” นัยน์ตาของเฉินยุ่นดุร้ายอย่างมาก เห็นได้ชัดว่า เป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย !
“นี่…นี่ อย่าฆ่าคนจะดีกว่า ฆ่าดวงวิญญาณก็พอ” เฉินหงพูดเสียงเบา
“ยุ่งยากจริง !” เฉินยุ่นสะบัดมืออย่างรำคาญ
เฉินหงเองก็รีบยิ้มขอโทษ
ฆ่าคนงั้นหรือ เฉินหงไม่กล้ารับแน่นอน โดยเฉพาะในตอนที่ท่านอาวุโสหลิ่วยังอยู่ในเมืองเทียนเซี่ย อย่างน้อยชู่มู่ก็เป็นคนของตำหนักวิญญาณ ฆ่าเขา ท่านอาวุโสหลิ่วจะสืบสาวมาแน่ ๆ
เฉินหงกล้าฆ่าชู่มู่ อย่างมากก็แค่ตามหาร่องรอยชู่มู่จากด้านนอก แล้วส่งคนไปสืบ เรื่องที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองเขาไม่ทำแน่นอน
แน่นอนว่า ถ้าเฉินหงรู้ว่าชู่มู่เป็นบุตรของท่านหญิง หลานชายของท่านอาวุโส เขาจะไม่ทำภารกิจนี้แน่นอน แต่เสียดาย ถ้าจะเล่นแง่ เฉินหงสู้เทียนทิงไม่ได้จริง ๆ ทันทีที่จบเรื่อง เฉินหงยังต้องรับกรรมอยู่ดี
“พวกเจ้า สร้างความวุ่นวาย” เฉินยุ่นสั่งลูกน้องของตัวเอง
หลังจากสิบกว่าคนนั้นได้รับคำสั่ง แบ่งเป็นสองกลุ่ม มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ต่างกันของประตูโลกมรณะ การเคลื่อนที่ประหลาดมาก
…
“น่าแปลก ทำไมมีคนสองกลุ่มสู้กันใต้ประตูโลกมรณะ” ชู่มู่มองจากที่สูง กลับเกิดความสงสัยในใจ
ใต้ประตูโลกมรณะ มีดวงวิญญาณประมาณสิบกว่าตัว ความสามารถของดวงวิญญาณเหล่านี้อยู่ประมานจักรพรรดิ
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างรุนแรง ทักษะต่าง ๆ กระจายออก ในไม่ช้าได้ทำให้เหล่าประชาชนและผู้เฝ้าเมืองบริเวณประตูเมืองตื่นตระหนก
ชู่มู่ไม่เข้าใจอย่างมาก ทำไมจุดนัดที่คุยกันไว้ถึงมีบุคคลไร้ตัวตนสองฝ่าย
“แหะ แหะ เจ้าเด็ก ไม่เข้าใจใช่ไหม ให้พี่ชายมาไขข้อสงสัยให้ไหม” ในตอนที่ชู่มู่กำลังสงสัย เสียงเจ้าเล่ห์ดังขึ้นจากด้านล่างภูเขาทันที
ในไม่ช้า ชายชุดดำที่สวมหน้ากากปรากฏตรงหน้าชู่มู่
ชู่มู่ขมวดคิ้ว ผู้ที่เข้ามาไม่เป็นมิตร เห็นได้ชัดว่า เทียนทิงได้เล่นเกมชั่วร้าย !
ชู่มู่ไม่รุกรน แต่ที่ทำให้ชู่มู่สงสัยคือ หรือว่าเทียนทิงไม่อยากได้ไข่ดวงวิญญาณต้องห้ามเหรอ แต่กลับส่งนักฆ่ามาฆ่าตัวเองงั้นเหรอ
“หรือว่า…เจ้าเทียนทิง ไม่อยู่นิ่งจริง ๆ ด้วย !” ชู่มู่คิดให้ดีแล้ว เข้าใจทั้งหมด !
เจ้าเทียนทิงนี่ น่ากลัวจริง ๆ เกรงว่าต่อให้ตัวเองส่งมอบมั่วเย้ เขาไม่คิดจะให้ตัวเองรอดไปได้ !
“เจ้าเด็ก เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่หรือไร !!!” เฉินยุ่นเห็นเจ้าเด็กนี้กลับเพิกเฉยตัวเอง ตะโกนด้วยความโกรธทันที !!!
“ทั้งสองฝ่ายที่สู้กันด้านล่าง เป็นลูกน้องของเจ้างั้นหรือ” ชู่มู่ถามอย่างใจเย็น
สีหน้าของเฉินยุ่นที่อยู่ใต้หน้ากากแย่มาก
คนกลุ่มด้านล่างเป็นคนที่อยู่ในแผนการของเขา แม้เฉินยุ่นจะเป็นคนชั่วร้าย แต่เขาก็ไม่อยากหาเรื่องคนที่ไม่ควรจะหาเรื่อง
เหล่าลูกน้องพวกนั้นจะทำการต่อสู้ปลอม แล้วโยนศพของอำนาจอื่นไว้ที่นั่น…
ที่ทำให้เฉินยุ่นคาดไม่ถึงคือ เจ้าเด็กนี่มองออกได้เร็วขนาดนี้ การโยนความผิดเป็นเรื่องที่เขาถนัดมาตลอด
…
บริเวณทิศใต้ของประตูโลกมรณะ
เทียนทิงยืนอยู่บนพื้นที่อันกว้างใต้ท้องฟ้าสีดำ มองไปยังประตูโลกมรณะจากที่ไกล
ครั้งนี้เทียนทิงได้วางแผนที่แม้จะมีช่องโหว่ แต่กลับจัดการทุกอย่างได้
เทียนทิงรู้ว่า เฉินหงจะพา “เพื่อนพิเศษ” ไปฆ่าดวงวิญญาณของชู่มู่ รอให้ “เพื่อนพิเศษ” สั่งสอนชู่มู่ได้พอประมาณแล้ว เขาค่อยปรากฏตัว
ถึงตอนนั้น ดวงวิญญาณของชู่มู่คงถูกฆ่าพอประมาณแล้ว และเฉินหงคงได้แหวนช่องว่างของชู่มู่มาแล้ว
สิ่งที่เทียนทิงจะทำ คือปรากฎตัวด้วยผู้ใหญ่ที่เป็นธรรม ฆ่า”เพื่อนพิเศษ”และเฉินหงที่คิดจะขโมยของของผู้ชนะขั้นหนึ่ง !
ตามด้วย ชิงแหวนช่องว่างของชู่มู่จากเฉินหง
เทียนทิงเชื่อว่า ในนั้นมีไข่ดวงวิญญาณต้องห้ามแน่นอน
และต่อให้ไม่มี เทียนทิงก็ไม่กังวล ข่มขู่ต่อไปก็พอ อย่างไรก็ตาม คนที่ลงมือไม่ใช่เขา อีกทั้งถ้าเขาไม่ปรากฏตัว เจ้าเด็กนั่นอาจถูกฆ่าก็ได้ เขายังได้กลายเป็นผู้ช่วยชีวิตของชู่มู่ด้วย !
แผนนี้ดีมาก แต่มีช่องโหว่ และคงต้องให้เจ้าองค์กรอุดช่องโหว่นี้ให้เทียนทิง
“ไฟปีศาจสีขาวงั้นหรือ หรือว่าเจ้าเด็กนั่นอัญเชิญมารนิรยขาวเหรอ ตลกจริง มารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นสูงจะทำอะไรได้” เทียนทิงมองไปยังไฟปีศาจสีขาวที่ลุกโชนบนภูเขาสะท้อนดาบ แล้วพูดพึมพำ
ตอนที่อยู่เมืองหลี ปีศาจขาวอยู่แค่จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเจ็ด บวกกับผลของเลือดศักดิ์สิทธิ์ ก็ฆ่าล้างทุกอย่างได้แล้ว !
ในวันนี้ มารนิรยขาวอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะเก้าแล้ว ร่ายวิญญาณของชู่มู่เข้าใกล้เจ้าวิญญาณแปดร่ายแล้ว ความสามารถของครึ่งมารจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก บวกกับเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกต จะน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม !
ที่สำคัญที่สุดคือ เทียนทิงยังได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งแทบไม่ป้องกันตัวเอง !
ถ้าสามารถลอบสังหารได้ เกรงว่าเขายังไม่ทันได้อัญเชิญดวงวิญญาณแม้แต่ตัวเดียว ก็คงถูกตัวเองฆ่าตายก่อนแล้ว !
“โอกาสสุดท้ายที่เทียนทิงให้มาเป็นคืนนี้ ถ้าอย่างนั้นลงมือในคืนนี้ !”
ชู่มู่แน่วแน่มาก ในเมื่อจะฆ่า ก็ห้ามลังเลใด ๆ !
แทบไม่มีใครรู้ตัวตนครึ่งมาร ชู่มู่ฆ่าเทียนทิงในร่างครึ่งมาร แล้วให้ท่านอาวุโสสร้างข่าวลือบางอย่าง ถ้าอย่างนั้นการตายของเทียนทิง องค์กรวิญญาณจะไม่ตามสืบแน่นอน ไม่มีใครรู้ความลับนี้ ชู่มู่เองก็ลอยนวลต่อไปได้ !
…
“นายท่าน ปริมาณของน้ำแข็งเทพดินมีไม่มาก น่าจะให้นายท่านใช้ภาวะครึ่งมารสองครั้งได้ ทว่า ถ้านายท่านจะฆ่าเทียนทิงละก็ ข้าแนะนำให้นายท่านดูดแค่ส่วนหนึ่งของน้ำแข็งเทพดินก็พอ เพื่อมั่นใจว่า ลดอุณหภูมิหลังภาวะครึ่งมารครั้งนี้ได้ ส่วนน้ำแข็งเทพดินที่เหลือเก็บไว้จะดีกว่า เพื่อใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตเวหาน้ำแข็งของท่าน” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่ก็รู้ดี ถ้าตัวเองใช้น้ำแข็งเทพดินละก็ ประโยชน์หลักก็เพื่อลดอุณหภูมิวิญญาณของตัวเอง แม้ภูตเวหาน้ำแข็งจะได้ประโยชน์ด้วย แต่ก็ได้อย่างจำกัด
และถ้านำมาเพิ่มความแข็งแกร่งภูตเวหาน้ำแข็งโดยตรงละก็ พลังต่อสู้ของภูตเวหาน้ำแข็งจะทะยานขึ้นอย่างมาก !
“น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งภูตเวหาน้ำแข็งจนถึงระดับขั้นใดได้” ชู่มู่ถามขึ้น
“แค่นายท่านเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตเวหาน้ำแข็งเทียบเท่าราชัน แล้วใช้น้ำแข็งเทพดินนี้เพิ่มความแข็งแกร่งต่อ น่าจะอยู่ในระดับราชันขั้นต่ำได้อย่างไม่มีปัญหา สมบัติแบบนี้จะทำให้ราชันวิญญาณเข้าแย่งชิงแน่นอน ไม่รู้ว่าท่านหญิงหาได้จากที่ใด” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ราชันขั้นต่ำ !!!” ชู่มู่ดีใจอย่างมาก
เทียนเท่าราชันกับราชันขั้นต่ำเป็นการก้าวข้ามความสามารถอีกอย่าง เท่ากับว่า แค่ตัวเองหาวัตถุวิญญาณที่เพิ่มความแข็งแกร่งภูตเวหาน้ำแข็งให้อยู่ในระดับราชันได้ ถ้าอย่างนั้นตัวเขาจะใช้น้ำแข็งเทพดินนี้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตเวหาน้ำแข็งอยู่ในราชันขั้นต่ำได้แล้ว !
ตอนนี้ แม้แต่ชู่มู่เองยังรู้สึกอนาคตของตัวเองเต็มไปด้วยความหวัง !
แน่นอนว่า ต้องจัดการปัญหาที่รับมือยากที่สุดนี้ก่อน ไม่ฆ่าเทียนทิงให้ตายพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์
“นายท่าน เพื่อความปลอดภัย เจ้าไปทำความเข้าใจกับดวงวิญญาณหลักทั้งหมดของเทียนทิงก่อน เพื่อจะได้รู้เอาไว้ ท่านจะมีความมั่นใจมากขึ้น” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่พยักหน้า จำต้องคิดวิธีฆ่าเทียนทิงนี้ภายในหนึ่งวัน และวิธีที่ไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ในขณะเดียวกัน !
จะรู้ความสามารถของเทียนทิงไม่นับว่ายากมาก ชู่มู่เองได้ให้ถิงหลันไปตามท่านอาวุโสถิง
ในไม่ช้า ถิงหลันได้บอกสถานการณ์คร่าว ๆ เกี่ยวกับดวงวิญญาณของเทียนทิงให้ชู่มู่ฟัง ในขณะเดียวกันได้นำข่าวร้ายอย่างหนึ่งมาให้ชู่มู่
“ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันการประลองฟ้าดินตัวนั้นถูกกักไว้กับเทียนทิงงั้นหรือ” ชู่มู่รู้สึกแปลกใจ
ที่แท้เทียนทิงมาถึงตำหนักวิญญาณเอง ก็เพื่อเอาดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันไป !
ในคำพูดนี้เป็นการบอกกับชู่มู่ว่า “ถ้าคืนนี้ไม่ส่งมอบให้ตรงเวลา ชู่มู่อย่าคิดจะได้ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันซึ่งเป็นเกียรติสุดท้ายขั้นหนึ่งแล้ว”
…
…
ตำหนักเทียนทิง
เทียนทิงมีลูกน้ององค์กรวิญญาณทั้งหมดเจ็ดคน ลูกน้องทั้งเจ็ดคนนี้ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีดวงวิญญาณระดับราชัน
ผู้แข็งแกร่งราชันวิญญาณทั้งเจ็ดคนนี้อยู่ในเมืองเทียนเซี่ยมาหลายปี เป็นพลังตัวแทนขององค์กรวิญญาณ ทำการควบคุมอำนาจพื้นที่แห่งนี้
ในบรรดาผู้แข็งแกร่งราชันวิญญาณ จะมีคนหนึ่งที่อยู่ข้างเทียนทิงตลอด เป็นผู้แข็งแกร่งองค์กรวิญญาณที่ชื่อว่าหม่าอี้หลู่คนหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งคนนี้ควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตเมืองเทียนเซี่ย รวมถึงแหล่งวิญญาณหนึ่งในสี่ในพื้นที่ใกล้กับเมืองเทียนเซี่ยแห่งนี้ด้วย
ถ้าเปรียบเทียบวิญญาณเป็นเงินทองละก็ ถ้าอย่างนั้นแหล่งวิญญาณนับว่าเป็นเหมืองแร่ทองคำ ว่าจ้างนักวิญญาณขั้นต่ำแต่รู้จักวิธีเก็บวิญญาณมา จะขุดวิญญาณในจำนวนที่มากเพียงพอในแต่ละเดือน เพื่อให้เหล่าราชันวิญญาณเลี้ยงดูดวงวิญญาณราชันของพวกเขา
เมืองเทียนเซี่ยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ก็เพราะมันเป็นหนึ่งในที่ที่มีแหล่งวิญญาณมากที่สุด
บริเวณที่มีบ่อวิญญาณมาก มักแปลว่ามีระบบนิเวศดวงวิญญาณที่สมบูรณ์ จะมีดวงวิญญาณหลากหลายชนิดปรากฏอยู่ ผู้คุมดวงวิญญาณคิดอยากจะได้ดวงวิญญาณที่ดี จำต้องมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีดวงวิญญาณหลากหลาย ดังนั้น แหล่งวิญญาณก็ไม่ต่างจากบริเวณที่มีดวงวิญญาณมากมาย
หม่าอี้หลู่มีดวงวิญญาณหลักเทียบเท่าราชันสามตัว อายุของเขาไม่น้อย ไม่มีความกล้าที่จะเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ดังนั้นจึงปักหลักอยู่ที่เมืองเทียนเซี่ย อาศัยเทียบเท่าราชันสามตัวนี้ และแหล่งวิญญาณที่มั่นคง เขายังคงมีชื่อเสียง ตำแหน่ง อำนาจในเมืองเทียนเซี่ยนี้อย่างมั่นคงได้…
“เจี่ยซุ่นติง ทำไมวันนี้ถึงว่างมาตำหนักท่านเทียนทิงได้” หม่าอี้หลู่พึ่งถวายวิญญาณของเดือนนี้ เห็นเจี่ยซุ่นติงวังมารนิรย จึงอดใจที่จะทักทายไม่ได้
แม้เจี่ยซุ่นติงจะเป็นคนของวังมารนิรย แต่ความจริงมีตำแหน่งอีกอันคือลูกน้องโดยตรงของเทียนทิง
เช่นเดียวกับส่วนในของตำหนักวิญญาณ จะมีผู้แข็งแกร่งองค์กรวิญญาณแบบนี้ นี่เป็นวิธีที่องค์กรวิญญาณใช้ติดตามอำนาจใหญ่เหล่านี้
เจี่ยซุ่นจิงไม่เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ราชันภูตสายฟ้าของท่านได้รับบาดเจ็บแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าพวกโง่คนไหนที่บอกว่าในมือข้ามีวัตถุวิญญาณหมวดสายฟ้า”
พูดถึงตรงนี้ เจี่ยซุ่นติงโกรธอย่างมาก เดิมวัตถุวิญญาณหมวดสายฟ้าเหล่านี้เขาคิดจะนำมาให้ภูตมงกุฎสายฟ้าอลวนของตัวเองใช้ ลองดูว่า ภูตมงกุฎสายฟ้าอลวนจะเพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับเทียบเท่าราชันได้ไหม แม้โอกาสมีเพียงหนึ่งในร้อย วัตถุวิญญาณเหล่านี้เขาใช้เงินไม่น้อยถึงจะได้มา และแล้วตอนนี้จำต้องถวายให้เทียนทิง ให้ราชันภูตสายฟ้าของเขารักษาแผล
“แหะ แหะ เจ้าโชคร้ายจริง ๆ” หม่าอี้หลู่หัวเราะออกมา
“ทำไมเจ้าไม่อยู่ในตำหนักของตัวเอง มาทำอะไรที่นี่” เจี่ยซุ่นติงถามขึ้น
“ข้าก็ไม่รู้ วันนี้จู่ ๆ ท่านก็เรียกข้ากับลี่เถิงมาที่นี่ แต่กลับไม่บอกพวกข้าว่าจะทำอะไร” หม่าอี้หลู่บอก
“ราชันเขี้ยวของเขาก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว ไม่แน่จะให้พวกเจ้ากตัญญูเขาสักหน่อย” เจี่ยซุ่นติงส่งเสียงเยือกเย็น
พูดถึงราชันเขี้ยว สีหน้าของหม่าอี้หลู่แย่ลงมาก
ไม่กี่ปีก่อน หม่าอี้หลู่ไม่รู้ว่า เทียนทิงเป็นผู้แข็งแกร่งองค์กรวิญญาณที่ถูกส่งมาจากเมืองว่านเซี่ยง จงใจหาเรื่องเขา
และในตอนนั้น เทียนทิงได้อัญเชิญราชันเขี้ยวระดับราชันตัวนี้ออกมาตัวเดียว เอาชนะราชันทั้งสามตัวมากประสบการณ์ของเขาหมด
ดังนั้น ตอนที่พูดถึงราชันเขี้ยวตัวนี้ หม่าอี้หลู่ไม่สบายใจทันที อย่างไรก็ตาม พลังต่อสู้ของดวงวิญญาณตัวนั้นน่ากลัวอย่างมากจริง ๆ !
ราชันเขี้ยว ตระกูลภูตวิญญาณ หมวดอสูร กลุ่มราชันเขี้ยว ระดับจักรพรรดิ
เดิมราชันเขี้ยวดุร้ายอย่างมากอยู่แล้ว ลำตัวคล้ายสิงโตและเสือ แต่ส่วนหัวกลับเหมือนหมาป่า มีดวงตาสี่อัน บริเวณไหล่มีกริดกระดูกยักษ์ใหญ่ ตั้งขึ้นได้ นอนราบได้ ต่อให้เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็มีพลังทำลายล้างมหาศาล
จุดเด่นของมันคือ เขี้ยวยักษ์ใหญ่ยาวทั้งสี่นั้น ไม่อาจสลายได้อีกทั้งยังทำลายหินได้อย่างง่ายดาย ราชันเขี้ยวจึงได้ชื่อจากสิ่งนี้
ราชันเขี้ยวเป็นดวงวิญญาณหลักอีกตัวของเทียนทิงที่เพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับราชันขั้นสูง ตอนที่เทียนทิงยังไม่ได้ราชันภูตสายฟ้ามา ก็อาศัยราชันเขี้ยวตัวนี้เอาชนะทุกสรรพสิ่ง
…
“เจี่ยซุ่นติง วัตถุวิญญาณหมวดสายฟ้าที่เจ้าให้มา เหมาะกับราชันภูตสายฟ้าของข้าพอดี ดีมาก ข้ารับความหวังดีของเจ้าไว้แล้ว นอกจากนี้ ข้ามีบางเรื่องจะปรึกษากับเจ้า เจ้าอยู่ในตำหนักของข้าก่อนเถอะ”เทียนทิงนั่งอยู่ในห้องโถง พยักหน้าไปยังเจี่ยซุ่นติงวังมารนิรยอย่างพึงพอใจ
เจี่ยซุ่นติงฉีกยิ้ม แต่ในใจกลับด่าเทียนทิงผู้แสแสร้งนี้ล้านรอบแล้ว ทำไมถึงเก็บวัตถุวิญญาณหมวดสายฟ้าที่กว่าเขาจะเก็บมาได้แบบนี้ !
เจี่ยซุ่นจิงโค้งคำนับแล้วจากไป มีคนรับใช้หญิงเข้ามานำทาง พอเจี่ยซุ่นติงเข้าไปพักในตำหนักเทียนทิง
ในวันปกติ ตำหนักเทียนทิงจะมีราชันวิญญาณร่างอวบกับเฉินหงคอยเดินตาม แต่วันนี้แปลกไป เทียนทิงให้ราชันวิญญาณสามคนอยู่ในตำหนัก
เทียนมิงเองก็ไม่โง่ ถ้าให้ท่านอาวุโสเห็นไข่ดวงวิญญาณที่ต้องห้ามนั้น ท่านอาวุโสจะรู้ว่าดวงวิญญาณที่อยู่ในนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน ถ้าท่านอาวุโสคิดจะครองเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นเทียนทิงเขาจะฆ่าปิดปากแน่นอน
แม้ท่านอาวุโสจะมีโอกาสลงมือกับเขาน้อยมาก ๆ แต่เทียนทิงเองก็ต้องป้องกันไว้ก่อน จึงให้ราชันวิญญาณสามคนนั้นอยู่ในตำหนักของตัวเอง ไม่หวังให้พวกเขาทำอะไร แต่อย่างน้อยก็ให้ท่านอาวุโสรู้ว่าเขาเองก็ตั้งตัวเหมือนกัน
“ท่าน มีคนรับใช้ของตำหนักวิญญาณบอกว่า มาส่งสารแทนชู่เฉิง” ผู้รับใช้คนหนึ่งเข้ามา พูดพร้อมชันเข่า
“พาเข้ามา” เทียนทิงบอก
หลังจากผ่านไปสักพัก หญิงรับใช้ส่วนตัวของชู่มู่เจียจิ้งปรากฏตัวในห้องโถงของตำหนักเทียนทิง หลังจากเห็นเทียนทิง เจียจิ้งเองไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ พูดเสียงเบาว่า “คุณ…คุณชายข้า ให้ข้าส่งสารบอกว่า…ตกดึกแล้วรบกวนท่านมุ่งหน้าไปยังประตูโลกมรณะ เขาจะส่งมอบของกับมือ”
เทียนทิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า “บอกคุณชายเจ้า ให้ส่งมาที่ตำหนักข้าเอง !”
ร่ายวิญญาณของเทียนทิงสูงขนาดไหน น้ำเสียงแบบนี้ ยิ่งทำให้เจียจิ้งหวาดกลัว พูดตอบด้วยใบหน้าซีดขาวว่า “คุณชาย…คุณชายบอกว่า…จะให้ท่านเทียนทิงนำดวงวิญญาณตัวอ่อนราชันการประลองฟ้าดินมาแลก ถ้าท่านเทียนทิงไม่มา…คุณชาย…คุณชายจะเปิดเผยความลับของสิ่งนั้นออกไป”
เทียนทิงตบโต๊ะ ลุกขึ้นทันที !
เจ้าองค์กรสั่งไว้หลายรอบ ในตอนนี้ต้องเก็บเป็นความลับให้ดีมาก ถ้ากระจายออกไป เทียนทิงจะถูกเจ้าองค์กรทำโทษ เทียนทิงไม่คิดว่า เจ้าเด็กนี้กลับใช้สิ่งนี้ขู่ตัวเอง
เจียจิ้งตกใจกับท่าทีนี้ทันที ล้มนั่งกับพื้น ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“หึ !” เทียนทิงส่งเสียงอย่างเยือกเย็น สายตาคู่นั้นจับจ้องไปยังเจียจิ้ง
ผ่านไปเนิ่นนาน เทียนทิงถึงพูดขึ้นว่า “บอกคุณชายเจ้า ข้าจะพาดวงวิญญาณตัวอ่อนไปที่นั่น ถ้าคืนนี้ไม่ส่งมอบ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน !”
เจียจิ้งรีบลุกขึ้น วิ่งออกไปอย่างรีบร้อน
เมื่อก่อนเจียจิ้งยังรู้สึกว่า ประธานที่นั่งทั้งสี่เป็นคนรูปงามสุขุม อีกทั้งยังมีท่าทีของผู้แข็งแกร่ง วันนี้ได้เจอแล้ว เหมือนกับอสูรคลั่งตัวหนึ่ง น่ากลัวอย่างมาก !
หลังจากเห็นหญิงรับใช้หนีไป เทียนทิงยิ้มอย่างเยือกเย็น “เจ้าเด็กที่มีดวงวิญญาณราชันแค่ตัวเดียว ข้าจะดูว่าเจ้าจะเล่นอะไร อย่าหวังว่าท่านอาวุโสจะลงมือ ข้าไม่ให้เขามีโอกาสลงมือแน่นอน !”
คนแก่นั่งคุยกับชู่มู่อย่างอ่อนโยน
ถ้าเป็นปกติ ชู่มู่คงนั่งคุยกับคนแก่เรื่องธรรมดาทั่วไป แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดระดับท่านอาวุโสคนหนึ่ง ชู่มู่แทบไม่เคยได้คุยกับคนในระดับนี้ ระหว่างที่คุยกับท่าน จะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างแน่นอน
แต่แล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ ชู่มู่มองว่ามั่วเย้สำคัญเท่าชีวิตของตัวเอง จำต้องหาวิธีจัดการปัญหานี้ให้ได้
ท่านอาวุโสหลิ่วมองออกว่า ชู่มู่ใจร้อนอย่างมาก สุดท้ายเขาเองได้ถอนหายใจเบา ๆ พูดกับชู่มู่ว่า “ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ สิ่งที่ข้าให้นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอกกับเจ้า เป็นการให้เจ้าทำใจไว้ก่อน”
“ข้ารู้ แต่ถ้าให้ข้าส่งมอบดวงวิญญาณของข้า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน” ชู่มู่เองก็พูดอย่างจริงจัง
“บางครั้งยังต้องการเจรจาสันติ ครั้งนี้พวกเรามีเหตุผล ตอนที่ข้ามอบดวงวิญญาณเจ้าให้องค์กรวิญญาณ ข้าจะเรียกร้องบางอย่างจากองค์กรวิญญาณ เพื่อชดใช้ความเสียหายของเจ้า จะมีค่ามากกว่าดวงวิญญาณตัวนั้นของเจ้ามาก”ท่านอาวุโสหลิ่วบอก
ชู่มู่ส่ายหัว “ต่อให้เป็นดวงวิญญาณที่เกินกว่าราชัน ข้าก็จะไม่ส่งมอบมั่วเย้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะชดใช้ได้หรือไม่ได้”
ท่านอาวุโสหลิ่วอึ้งเล็กน้อย กลับรู้สึกว่า คำพูดของตัวเองตรงเกินไป ทว่า ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริง ๆ สิ่งที่ท่านอาวุโสหลิ่วทำได้มีเพียงเรียกร้องสิทธิให้ชู่มู่มากขึ้นเท่านั้น
“ดวงวิญญาณมีอีกได้ แต่อย่าตัดหนทางของตัวเองเพราะเรื่องนี้” ท่านอาวุโสหลิ่วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
ท่านอาวุโสหลิ่วกลัวตรงที่ว่า เขากังวลอย่างมากที่ชู่มู่จะดื้อดันแบบนี้ต่อไป
ท่านอาวุโสหลิ่วก็มองออกได้ว่าจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเป็นสิ่งที่เจ้าองค์กรต้องการให้ได้ ถ้าเป็นอย่างอื่นละก็ ด้วยจดหมายทรงอำนาจของตำหนักวิญญาณ องค์กรวิญญาณยังคงยอมได้ แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของเจ้าองค์กร เขาไม่มีทางใจอ่อนแน่
“หรือว่าไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอ” ใจของชู่มู่หมองลง
ท่านอาวุโสหลิ่วส่ายหัว”ความสามารถของเจ้าสูงมาก คาดว่าอีกไม่กี่ปี เจ้าจะเป็นผู้แข็งแกร่งคนใดคนหนึ่งของวงการดวงวิญญาณ อีกทั้งก้าวสู่ระดับที่สูงกว่า ถ้าเกิดตายไปเพราะเรื่องนี้ เจ้าแทบไม่มีสิทธิไปพูดเรื่องการต่อต้านกับอำนาจขององค์กรวิญญาณ”
“เจ้าอย่ามองเทียนทิงที่ถอยตลอด ที่ให้โอกาสข้าแบบนี้ ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้ไม่เร่งรีบ เขายิ่งทำแบบนี้ยิ่งแปลว่าเรื่องนี้สำคัญมาก เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของเจ้าองค์กร เขาไว้หน้าคนแก่อย่างข้า ก็เป็นเพราะไม่อยากให้ข้าเปิดโปง พูดให้ใจร้ายหน่อย ถ้าไม่ส่งดวงวิญญาณตัวนี้ออกมา ดวงวิญญาณอื่นของเจ้าอาจรับผลกรรมไปด้วย แม้ข้าเข้าใจได้ว่า ดวงวิญญาณตัวใดก็เป็นเหมือนชีวิตของเจ้า แต่เจ้าน่าจะต้องรู้จักมองในภาพรวม…” ท่านอาวุโสกลัวว่าชู่มู่จะใจร้อน จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“ไม่อยากเปิดโปงงั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเทียนทิงปิดปากมาตลอดเหรอ” ชู่มู่ถามเสียงเบา
“อาจจะเป็นแบบนั้น” ท่านอาวุโสหลิ่วมองไปยังชู่มู่ รู้สึกว่าควรให้ชู่มู่คิดอย่างใจเย็นแล้ว
ในตอนนี้ ท่านอาวุโสหลิ่วได้ตบไหล่ของชู่มู่ แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดให้ดี ตอนเย็นข้าจะไปหาเจ้า ถึงตอนนั้น หวังว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างชาญฉลาดแล้ว”
หลังจากพูดจบ หลังจากท่านอาวุโสมองไปยังชู่มู่แล้ว ได้เดินออกจากสวนทางด้านข้าง
อารมณ์ของชู่มู่ในตอนนี้ซับซ้อนอย่างมาก ในหัวใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง ตามหาความหวังอันริบรี่
และแล้ว ถ้าคิดจะต่อต้านละก็ ดวงวิญญาณอื่นของตัวเอง รวมถึงคนที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเองอาจถูกองค์กรวิญญาณไล่ล่า ชู่มู่ยิ่งเจ็บใจมากขึ้น
“ผู้เฒ่าหลี เจ้าว่าถ้าให้ท่านอาวุโสหลิ่วลงมือฆ่าเทียนทิงทิ้ง เขาจะยอมไหม แล้วก็ได้ยินว่า เทียนทิงได้รับบาดเจ็บตอนสู้กับราชันอสูรเลือดที่เมืองอมตะนั้นด้วย” หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ชู่มู่ได้ถามผู้เฒ่าหลี
“เรื่องนี้ โดยปกติเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ทั้งเมืองเทียนเซี่ย คนที่ฆ่าเทียนทิงได้มีแค่ท่านอาวุโสหลิ่ว เจ้าองค์กรวิญญาณส่งคนมาสืบก็จะรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ ถึงตอนนั้นพวกเจ้ายังต้องรับกรรมอยู่ดี ถ้าจะฆ่าเขาละก็ จำต้องอย่าให้สืบได้ ความสามารถของเทียนทิงเป็นอย่างที่เห็น เจ้าไม่สามารถตามหาผู้แข็งแกร่งคนอื่นที่ยอมเสี่ยงการลงโทษขององค์กรวิญญาณเพื่อฆ่าเทียนทิงแบบนี้ได้” ผู้เฒ่าหลีบอก
ความลับน่าจะอยู่กับเทียนทิงคนเดียว ถ้าบอกว่ากำจัดเทียนทิงได้โดยที่มือตัวเองไม่ต้องเปื้อนเลือด ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่มีใครรู้ !
แต่จะต้องทำอย่างไรถึงจะกำจัดราชันวิญญาณที่มีดวงวิญญาณระดับราชันขั้นสูงได้
ตอนที่เต็มไปด้วยความสงสัย ชู่มู่พบว่า ท่านอาวุโสหลิ่วที่มีหนวดขาวกลับมาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
ชู่มู่มองไปยังท่านอาวุโสหลิ่ว เผยความสงสัยออกมา
“ข้าเกือบลืมอีกเรื่องที่สำคัญมาก” ท่านอาวุโสหลิ่วบอก
…
ตำหนักเทียนทิง
เทียนทิงนั่งที่ห้องโถงกว้างสง่า ใบหน้ามัวหมองอย่างมาก
ชายที่สวมชุดสีเทาสองคนชันเข่าอยู่ตรงนั้น หนึ่งในนั้นคือราชันวิญญาณที่ดักชู่มู่ไว้ก่อนหน้านี้
“ท่าน มีคำสั่งอะไรให้ข้าน้อยรับใช้” ราชันวิญญาณร่างอวบคนนั้นถามเสียงเบา
“พวกเจ้าสองคนเป็นลูกน้องที่ภักดีที่สุดของข้าใช่ไหม” เทียนทิงจับจ้องไปยังสองคนนี้
ราชันวิญญาณสองคนนี้มองหน้ากันทันที สมองของคนที่เป็นราชันวิญญาณได้คงไม่โง่ขนาดนั้น เทียนทิงถามแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าจะให้พวกเขาไปทำเรื่องที่ให้คนอื่นเห็นไม่ได้ อีกทั้งห้ามให้มือตัวเองเปื้อนเลือดเด็ดขาด
“แน่นอนขอรับ !” ราชันวิญญาณร่างอวบตอบ
“ข้าเฉินหงภักดีต่อท่านมาโดยตลอด” ชายที่เรียกตัวเองเฉินหงพูดขึ้น
เทียนทิงมองไปยังราชันวิญญาณร่างอวบ เหมือนรู้สึกว่า คนนี้ไม่น่าเชื่อใจมากเท่าไร ในตอนนี้ได้สะบัดมือแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าออกไปก่อน”
ราชันวิญญาณร่างอวบอึ้งเล็กน้อย แอบคิดในใจ “เรื่องดีหรือร้ายกันแน่ ช่างเถอะ อยู่กับเทียนทิงจะมีเรื่องดีได้อย่างไร อย่ายุ่งเยอะเกินไปจะดีกว่า ให้เฉินหงไปจัดการเถอะ”
เฉินหงอยู่ต่อ สิ่งที่เขาคิดในใจไม่ต่างจากคนที่เพิ่งเดินออกไป กำลังเดาว่า เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
“ข้าอยู่ในเมืองเทียนเซี่ยหลายปีแล้ว รู้ไหมว่าทำไม” เทียนทิงพูดขึ้น
“นี่…ข้าน้อยไม่ทราบ” เฉินหงก้มหน้าพูดขึ้น
“เจ้าไม่จำต้องรู้ทั้งหมดก็ได้ นี่เป็นเรื่องที่เจ้าองค์กรสั่งมา ข้าพูดให้เจ้าฟังเอง…” ตอนที่เทียนทิงพูด ส่องประกายบางอย่างในสายตา
เฉินหงฟังอย่างตั้งใจมาก และแอบดีใจ “เทียนทิงบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับตัวเองได้ นี่เท่ากับว่าวันที่ตัวเองจะได้เป็นใหญ่เป็นโตกำลังจะมาถึงแล้วเหรอ ท่าทางประโยคจริงใจเมื่อกี้ยังได้ผลอยู่ เฉินหงอดใจไม่ไหวที่จะเยาะเย้ยเจ้าอ้วนที่รับมือเรื่องนี้ไม่ได้
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยได้รู้จักกับเพื่อนพิเศษบางคน คาดว่าพวกเขายินดีลงมืออย่างมาก อีกทั้งจะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ”เฉินหงพูดอย่างตั้งใจ
“ดีมาก หลังจากเรื่องนี้สำเร็จด้วยดี จะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไปยังเขตโลกของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าอยากได้พื้นที่นี้มานานมากแล้วละ” เทียนทิงพูดพลางลูบคาง
เฉินหงได้ยิน รีบคุกเข่าขอบคุณ
พื้นที่ที่เทียนทิงพูดถึง มีแหล่งทรัพยากรวิญญาณขั้นสามหนึ่งอัน ปริมาณวิญญาณที่มันผลิตในแต่ละเดือนเพียงพอที่จะให้ราชันขั้นต่ำต่อสู้ต่อเนื่องได้ นี่เป็นทรัพยากรที่มหาศาลมาก เมื่อมีพื้นที่แห่งนี้แล้ว เฉินหงไม่จำต้องหวาดกลัวใด ๆแล้ว ไม่ต้องกังวลปัญหาของดวงวิญญาณแล้ว อีกทั้งเฉินหงยังนำวิญญาณที่เกินมา ไปแลกกับวัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งบางส่วนได้ เพิ่มระดับของดวงวิญญาณ !!!
อยู่ในระดับราชัน หากระดับของดวงวิญญาณเพิ่มขึ้น ตำแหน่งจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง !
“วางใจได้ ข้าน้อยจะชิงไข่มังกรจำศีลเลือดบริสุทธิ์นั้นกลับมาให้ได้ ส่วนเจ้าเด็กชู่เฉิง…” เฉินหงกรอกตา ไม่ได้พูดต่อ
“อืม ออกไปเถอะ” เทียนทิงพยักหน้าอย่างพอใจ
รอยยิ้มของเฉินหงจางลงเรื่อย ๆ ในใจดีใจอย่างมาก
“วัยหนุ่มที่มีความสามารถราชันแค่ตัวเดียวคนหนึ่ง แค่รู้ร่องรอยของเขา จะฆ่าเขาอย่างไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เป็นเรื่องที่ง่ายเหลือเกิน”
แน่นอนว่าเฉินหงก็ไม่โง่ แม้เขาไม่รู้ว่า เบื้องหลังที่แท้จริงของชู่มู่คืออะไร แต่ก็ไม่จำต้องให้เรื่องนี้สืบสาวมาถึงตัวเอง ดังนั้น เขาติดต่อผู้แข็งแกร่ง “เบื้องล่าง” ทันที ให้พวกเขาจัดการเรื่องนี้
“คาดไม่ถึงจริง ๆ ไข่มังกรจำศีลอัมพรมรกตสายเลือดบริสุทธิ์จะอยู่ในมือเจ้าเด็กนี่ นั่นเป็นกลุ่มมังกรระดับราชั้นขั้นสูง พลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าราชันชั้นยอด ถ้าอยู่ในมือข้า เลี้ยงถึงลักษณะสิบ ข้าจะเหยียบเทียนทิงได้อย่างมิดชิดแล้ว ถ้าไม่ระวังอาจทำให้อยู่ในระดับเกินกว่าราชันอย่างมังกรจำศีลอัมพรมรกตได้….คึคึ” เฉินหงยังแอบคิดในใจว่า จะแอบเทียนทิงได้ไหม แล้วเก็บไข่มังกรจำศีลอัมพรมรกตนี้ไว้กับตัวเอง !
ในห้องโถง
เทียนทิงมองดูเฉินหงจากไป กลับฉีกยิ้มออกมา
มีเพียงเจ้าพวกโง่ถึงจะเชื่อว่า มังกรจำศีลอัมพรมรกตจะแยกไข่มังกรจำศีลอัมพรมรกตสายเลือดบริสุทธิ์ออกมา
“รุ่นหลังทั้งหมดของมังกรจำศีลอัมพรมรกตมีเพียงมังกรจำศีลมรกต ผู้สืบทอดที่แท้จริง มาจากการชำระล้างด้วยเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อบรกตเท่านั้น จะมีรุ่นหลังของมังกรจำศีลอัมพรมรกตที่แยกออกมาโดยตรงได้อย่างไร คนโง่ยังคงเป็นคนโง่ แต่จัดการเจ้าเด็กนี้ให้ข้าก็ดี จะได้ไม่เป็นภัยในวันข้างหน้า” เทียนทิงพูดเยาะเย้ย
นึกถึงชู่มู่ที่มีดวงวิญญาณระดับราชันตั้งแต่สมัยรุ่นวัยหนุ่ม นี่ทำให้ใจของเทียนทิงหวาดหวั่น อีกทั้งหลังจากผ่านเรื่องนี้ ชู่มู่จะแค้นเทียนทิงอย่างมากแน่นอน เพื่อไม่ให้ในอนาคตมีปัญหามากมายแบบนี้ จัดการเขาสะตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า !
“ท่านคุณ จัดการเรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวมากเสน่ห์คนหนึ่งเดินมาอย่างช้า ๆ เห็นเทียนทิงเหมือนจะอารมณ์ดีอยู่ รีบแนบร่างหอมเข้าไป
“ประมาณหนึ่งแล้ว” เทียนทิงหัวเราะออกมา ใบหน้าเคร่งขรึมเผยความหื่นออกมา ฝ่ามือแนบไปยังหน้าอกหญิงสาวรักสนุกทันทีในห้องโถงนี้
…
…
สวนตำหนักวิญญาณ
ท่านอาวุโสหลิ่วเดินมาข้างชู่มู่ ส่งแหวนช่องว่างอันหนึ่งให้ชู่มู่พูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าฝากคนนำมาให้ที่นี่ เป็นเทพน้ำแข็งดินก้อนหนึ่ง บอกว่าวิญญาณของเจ้ามีอุณหภูมิสูงมากผิดปกติ ต้องใช้สิ่งนี้เพื่อชะลอ”
“น้ำแข็งเทพดิน !!!”
ดวงตาของชู่มู่เป็นประกายทันที !
น้ำแข็งเทพดินเป็นสมบัติชั้นดีที่ทำให้ระดับพลังต่อสู้ของดวงวิญญาณระดับราชันเพิ่มขึ้นได้ !!!
ชู่มู่คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า หลิ่วปิงฟงได้เจอเทพน้ำแข็งดินหายากยิ่งนี้ได้ ที่สำคัญที่สุด ได้ส่งมาในช่วงเวลาสำคัญที่สุดแบบนี้ด้วย !
ชู่มู่ไม่ได้นำน้ำแข็งเทพดินนี้เพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณของตัวเอง แต่น้ำแข็งเทพดินนี้ลดอุณหภูมิสูงของวิญญาณตัวเองได้โดยตรง !
ทันทีที่อุณหภูมิของวิญญาณละลง ชู่มู่จะใช้พลังที่ไม่กล้าใช้มาตลอดได้ ครึ่งมาร !!!
“เทียนทิง ดูว่าเจ้าจะบ้าเพียงใด อวดดีอีกหรือ ครั้งนี้เจ้าตายแน่ !!!”
พบเจอความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง ทำให้ในใจของชู่มู่ตื่นเต้นทันที !!!
ความจริงชู่มู่ไม่รู้ เทียนทิงเคยสงสัยมั่วเย้หรือไม่ นี่ยังเป็นเพราะคำพูดบังเอิญของท่านอาวุโสนั้น
ในตอนที่ท่านอาวุโสส่งคนมาแอบปกป้องชู่มู่ หลังจากพบว่า ชู่มู่ถูกเทียนทิงจับจ้องได้เข้ามาห้ามทันที อีกทั้งได้บอกว่า ชู่มู่มีตำแหน่งเป็นนายท่านซึ่งเป็นบุตรของท่านหญิง
ตำแหน่งของท่านหญิงในตำหนักวิญญาณไม่ธรรมดาอย่างมาก อีกทั้งยังรับงานในองค์กรวิญญาณ เป็นดาวยอดในสิบหกนักยอด นับว่าเป็นเจ้านายของเทียนทิง
เจ้าองค์กรเพื่อไม่ให้เรื่องนี้เปิดเผยสู่ภายนอก จึงให้เทียนทิงที่ไม่เป็นที่จับตามองมาทำเรื่องนี้ ถ้าเทียนทิงจะลงมือกับชู่มู่จริง ๆ ด้วยนิสัยของดาวยอดแล้ว เกรงว่าจะฆ่าเขาอย่างไม่ลังเล
เรื่องนี้เป็นการรับคำสั่งของเจ้าองค์กร เจ้าองค์กรบอกว่าเรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ เทียนทิงเองบอกได้แค่กับท่านอาวุโสว่า ชู่มู่ได้เก็บสมบัติชิ้นหนึ่งขององค์กรวิญญาณไป จำต้องคืนให้
ตอนที่ท่านอาวุโสถามว่า คือสมบัติอะไร เทียนทิงเองจะตื่นเต้นมากไปไม่ได้ แสร้งทำเป็นนิ่งแล้วบอกว่า เป็นของที่ค่อนข้างสำคัญอย่างหนึ่ง
เทียนทิงรู้ ถ้าตัวเองแสดงท่าทีว่าของสิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่ง เป็นคำสั่งอันสำคัญยิ่งของเจ้าองค์กร ท่านอาวุโสจอมเจ้าเล่ห์จะต้องไปตามสืบอย่างไม่ลังเล ถ้ารั่วไหลละก็ จะเกิดเรื่องยุ่งยากไม่น้อย
และในตอนด่านที่เก้า ชู่มู่ได้อัญเชิญจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด ดวงวิญญาณระดับราชันออกมา
ในตอนนั้น ท่านอาวุโสเข้าใจทันที ในตอนนั้นแอบคิดว่า สิ่งที่เทียนทิงหมายถึงคงเป็นจิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดของชู่มู่ตัวนี้
ความคิดของเทียนทิงกลับไม่เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่า เขาสับสนอย่างมาก ไม่แน่ใจอะไรได้ เขาจำได้ว่า เจ้าองค์กรเคยบอกว่า ไข่ดวงวิญญาณนั้นถูกกักเอาไว้ น่าจะไม่ฟักออกมาในสิบปีนี้ แต่จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดระดับราชันตัวนี้ปรากฏตัวกะทันหันเกินไป
ท่านอาวุโสเป็นบุคคลระดับใด ถ้าจะเล่นสงครามจิต เทียนทิงยังอ่อนไปหน่อย
ดังนั้น ในตอนที่ชู่มู่อัญเชิญจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดออกมา ท่านอาวุโสทำท่าทีแน่นิ่งอย่างมาก อีกทั้งพูดหลอกล่อว่า “อืม ท่าทางดวงวิญญาณตัวนั้นมีพรสวรรค์อย่างมาก”
พอท่านอาวุโสพูดแบบนี้ เทียนทิงรู้ทันที จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้อาจเป็นสิ่งที่ท่านหญิงกับท่านอาวุโสให้ชู่มู่
จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเป็นจักรพรรดิสมบูรณ์แบบ ระดับเจ้าวิญญาณทำสัญญาวิญญาณกับมันได้อีกทั้งจะไม่ทรยศ จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้หายากยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับทั้งวงการราชันแล้ว สำหรับบุคคลระดับเทียนทิงกลับไม่สะดุดตาขนาดนั้น
ในตอนนั้นเทียนทิงได้มองไปยังท่านอาวุโสกับท่านหญิง กล้าแอบนำดวงวิญญาณเหนือธรรมชาติแบบนี้ให้รุ่นเด็กแบบนี้ นี่เท่ากับเป็นการจงใจฝ่าฝืนกฎของฝ่ายจัดการประลองไม่ใช่เหรอ
เทียนทิงเองเป็นประธานของที่นั่งทั้งสี่ ถ้าดวงวิญญาณบางตัวของรุ่นวัยหนุ่มเป็นการต้องห้ามจากรุ่นผู้ใหญ่ รางวัลนั้นจะต้องถูกยึดแน่นอน
แต่เทียนทิงในตอนนี้ไม่อยากล่วงเกินท่านอาวุโสมากเกินไป เดี๋ยวคนแก่เจ้าเล่ห์จะมองอะไรออก ทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน
ในเมื่อจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเป็นสิ่งที่ท่านอาวุโสกับท่านหญิงมอบให้กับชู่มู่ เทียนทิงเองย่อมต้องคัดมั่วเย้ออกไป
ดังนั้น ในตอนที่เทียนทิงบอกให้ชู่มู่ส่งไข่ดวงวิญญาณออกมา ไม่รู้ว่าไข่ดวงวิญญาณที่เจ้าองค์กรจะเอากลับได้ฟักออกมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งอยู่เคียงข้างชู่มู่ตลอด กลายเป็นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องแล้ว !
แน่นอนว่า ชู่มู่เองก็อดทนในเวลาสำคัญได้ ถ้าเทียนทิงข่มขู่แบบนี้ ต่อให้ตายชู่มู่ก็จะไม่ส่งมั่วเย้ออกมาเด็ดขาด ถ้าทำอย่างนั้นเท่ากับเป็นการยอมรับไม่ใช่เหรอ
หลังจากคิดทบทวนอย่างรวดเร็วแล้ว ชู่มู่รู้สึกว่า ต้องยืดเวลาฝ่ายตรงข้ามก่อน พูดกับเทียนทิงว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร ข้ามีแค่ไข่มังกรจำศีล ก่อนหน้านี้ไม่นานมันเพิ่งฟักออกมา”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ อย่าพูดเรื่องไข่มังกรจำศีลกับข้า ส่งไข่ดวงวิญญาณต้องห้ามนั้นออกมา ส่งออกมาทันที มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้าตายอย่างอนาถที่สุด !” เทียนทิงพูดอย่างหมดความอดทน !
“ไข่ดวงวิญญาณต้องห้ามงั้นหรือ ข้าจะมีของแบบนี้ได้อย่างไร !” เวลาที่ควรแสร้งทำชู่มู่แสดงละครได้เป็นอย่างดี ในตอนนี้ เขาได้ทำท่าทีเป็นผู้ถูกต้องออกมา
เทียนทิงโกรธอย่างมากแล้ว คว้าปกเสื้อของชู่มู่ทันที !
สีหน้าของชู่มู่ที่ตกใจในเมื่อกี้ เห็นได้ชัดว่า ของอยู่ในมือของเขา เทียนทิงโง่แค่ไหนก็ดูออก
แต่ในตอนนี้ เจ้าเด็กนี่กลับทำเหมือนไม่รู้ต่อหน้าตัวเอง ไม่ใส่ใจเทียนทิงเกินไปแล้ว หรือว่าเขาคิดว่า ที่นี่เป็นตำหนักวิญญาณเขาจะไม่กล้าลงมือเหรอ !
“เทียนทิง รุ่นหลังไม่รู้เรื่อง สั่งสอนก็พอ ไม่จำต้องใช้ทักษะวิญญาณอะไรหรอก” ในตอนนี้ ชายวัยกลางคนเข้ามาพร้อมเสียงที่แหบเล็กน้อยดังขึ้น
เทียนทิงอึ้งเล็กน้อย หันกลับไป ถึงพบว่าชายวัยกลางคนที่มีหนวดขาวสองเส้นปรากฏตัวในสวนนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ อีกทั้งยังทำลายกำแพงร่ายวิญญาณที่เขาสร้างขึ้นก่อนหน้านั้น แต่เขากลับไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย !
ชายหนวดขาวสองเส้นนี้เกินไปข้างเทียนทิง ใช้มือกดไหล่ของเทียนทิง เป็นการบอกให้เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
สีหน้าของเทียนทิงประหลาดอย่างมาก ได้เก็บความโกรธเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจตัวเอง !
ชู่มู่จับจ้องไปยังชายที่ปรากฏตัวกะทันหันคนนี้ แอบตกใจ อย่างน้อยเทียนทิงก็เป็นถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากราชาในเมืองเทียนเซี่ยนี้ ทำไมประโยคเดียวของชายชราที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน กลับทำให้ความโกรธของเขาหายไปหมด อีกทั้งยังมีท่าทีประหลาดแบบนี้ !
“นายท่าน คนแก่นี่คือ ท่านอาวุโสหลิว ท่าทางเจ้ารอดแล้ว !” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้น
“ท่านอาวุโสหลิว ความสามารถของเขาแข็งแกร่งมากเหรอ” ชู่มู่รีบถามขึ้น
“แข็งแกร่ง ไม่ใช่แข็งแกร่งธรรมดา ! คาดว่าดวงวิญญาณรองของคนแก่นี่ก็ดับเทียนทิงได้แล้ว !” ผู้เฒ่าหลีบอก
รองวิญญาณรองก็ดับเทียนทิงประธานที่นั่งทั้งสี่ได้แล้ว ชู่มู่ตกใจทันที มองไม่ออกว่า ชายชราที่มีใบหน้าใจดีแบบนี้กลับแข็งแกร่งขนาดนี้ !
“เชื่อถือได้ไหม” ชู่มู่ถามอย่างจริงจัง
“เขามีนามสกุลหลิว เจ้ารู้สึกว่าเชื่อถือได้ไหม” ผู้เฒ่าหลีถามกลับ
เมื่อกี้ชู่มู่ตื่นเต้นเกินไป กลับมองข้ามรายละเอียดนี้ไป !
“ตอนนี้เจ้าควรบอกความจริงทั้งหมดให้เขารู้ แบบนี้เขาจะหาวิธีให้เจ้าได้ ถ้าซ่อนไว้มีแต่จะเกิดเรื่องมากกว่าเดิม อย่างไรเสีย เจ้าในตอนนี้ต้องอาศัยเขาถึงจะรักษาจิ้งจอกน้อยไว้ได้ รู้ไว้ว่าเทียนทิงก็ไม่ธรรมดา เขาในตอนนี้อาจไม่รู้ว่าดวงวิญญาณที่มังกรจำศีลมรกตพาออกมาคือจิ้งจอกน้อย แต่ถ้าเจ้าไม่ส่งของที่เหมาะสมออกมา จะเล็งไปยังตัวตนของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดแน่นอน พอสืบแล้ว จะรู้ร่องรอยการแปรเปลี่ยนต่อเนื่องจากในนั้นทันที !” ผู้เฒ่าหลีบอก
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า ในตอนนี้ได้มองไปยังทั้งสองคนนี้โดยไม่พูดอะไร
…
“ท่านอาวุโสหลิว ข้าเองก็ต้องรอให้หลังจากจบการประลองฟ้าดินถึงกลับไปรายงานองค์กรวิญญาณได้ ดังนั้น ข้ารอให้จบการประลองฟ้าดินอย่างสุภาพแล้วถึงกลับมา ท่านอาวุโสออกมาห้ามในตอนนี้ หรือว่าอยากจะครองสิ่งของของเจ้าองค์กรวิญญาณไว้เป็นของตัวเอง” เทียนทิงระงับอารมณ์ พูดกับท่านอาวุโส
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น” ท่านอาวุโสฉีกรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา เดินไปข้างชู่มู่พูดขึ้นว่า “ชู่เฉิง ตอนที่เจ้าอยู่บนเกาะนักโทษได้เก็บสิ่งที่ไม่ใช่ของเจ้าได้ใช่ไหม”
ท่านอาวุโสจงใจเดินไประหว่างชู่มู่กับเทียนทิง ส่วนหนึ่งก็เพื่อปกป้องชู่มู่ อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อใช้ร่ายวิญญาณเจรจากับชู่มู่
“ข้ายังควบคุมเทียนมิงไว้ได้ แต่ถ้าผู้แข็งแกร่งอื่นขององค์กรวิญญาณปรากฏตัว ไม่เพียงแต่เจ้าจะมีปัญหา พวกเราเองก็ปกป้องเจ้าไม่ได้ คืนสิ่งที่เป็นขององค์กรวิญญาณกลับไปให้พวกเขาจะดีกว่า” ท่านอาวุโสพูดอย่างจริงจัง
ความจริงท่านอาวุโสก็พอเดาได้ว่า สิ่งที่เจ้าองค์กรต้องการสำคัญอย่างมาก สิ่งที่ท่านอาวุโสทำได้ก็มีเพียงยืดเวลา แต่ถ้าทำให้เจ้าองค์กรโกรธจริง ๆ ใครก็รับผิดชอบความโกรธนั้นไม่ได้
“ไม่ได้ มันทำสัญญาวิญญาณกับข้าแล้ว !” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณบอกกับท่านอาวุโสหลิวทันที
สีหน้าของท่านอาวุโสหลิวใจเย็นมาก แต่กลับตกใจที่ว่า “หรือว่าจะเป็นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดตัวนั้นจริง ๆ
ท่านอาวุโสไม่พูดกับชู่มู่มากเกินไป ถอนหายใจ หันไปพูดกับเทียนทิงว่า “ข้าคุยกับเขาแล้ว วางใจได้ ของของเจ้าองค์กร จะส่งกลับไปให้แน่นอน”
“รออีกงั้นหรือ ท่านอาวุโส เจ้าทำแบบนี้ไม่รู้สึกว่าไม่ใส่ใจเจ้าองค์กรมากไปหน่อยเหรอ !!!” ครั้งนี้ท่าทีของเทียนทิงแข็งกระด้างขึ้น
เทียนทิงรอไม่ได้อีกแล้ว !
“ชู่เฉิงยังเป็นวัยหนุ่มอยู่ ไม่รู้ความสัมพันธ์และอำนาจในนี้ ข้าจะคอยคุยกับเขา เขาจะรู้เอง แล้วส่งออกมาเอง แบบนี้จะได้ไม่ทำให้โกรธเคืองกัน อีกทั้งตอนนี้สิ่งนี้ก็ไม่อยู่กับเขา ชู่เฉิงรู้ว่า สิ่งนี้มีค่ามาก จึงซ่อนไว้แล้ว ยังต้องไปเอากลับมา ถ้าอย่างนั้น เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะนำไปให้ท่านเอง” ท่านอาวุโสหลิวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“หึ พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของเจ้าองค์กร ถ้าไม่ส่งมอบ ข้าก็ทำได้แค่รายงานเจ้าองค์กร ให้คนแก่เขามาจัดการเอง”เทียนทิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น หันกลับแล้วจากไปทันที
เทียนทิงเองก็ไม่กลัวว่า ชู่มู่กับท่านอาวุโสจะเก็บไว้เอง อย่างไรก็ตาม ของเจ้าองค์กร ใครแตะ คนนั้นก็ต้องตาย รวมถึงท่านอาวุโสตำหนักวิญญาณด้วย !
…
เทียนทิงจากไปทันที แน่นอนว่า จากไปด้วยใบหน้าที่โกรธเคืองอย่างมากแน่นอน
ถ้าไม่ได้เป็นเพราะท่านอาวุโสปรากฏตัวกะทันหัน เรื่องนี้คงจัดการได้ตั้งนานแล้ว จำยืดเวลาถึงตอนนี้ได้อย่างไร !
แอบตัดสินใจว่า หลังจากนี้ถ้ามีโอกาส จะต้องสั่งสอนชู่มู่แน่นอน !
หลังจากเทียนมิงจากไป ท่านอาวุโสยืนอยู่ตรงหน้าชู่มู่ กลับสร้างกำแพงร่ายวิญญาณใหม่อีกอัน
“เจ้าน่าจะชื่อชู่มู่ใช่ไหม” ท่านอาวุโสฉีกยิ้มจาง ๆ ออกมา สามารถมองเห็นความเอ็นดูจากสายตาของเขา และสีหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่า ความจริงเขาเองก็อายุมากแล้ว
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า มองไปยังชายชราที่มีหนวดสองเส้นคนนี้ ไม่รู้ว่า ควรเรียกเขาว่าอย่างไร เพราะความจริงชู่มู่ก็รู้ว่า ตัวตนท่านแม่ของตัวเองก็น่าสงสารอย่างมาก
“ข้าเป็นพ่อบุญธรรมของท่านแม่ของเจ้า ตอนที่เจ้ายังเล็ก ข้าเคยดูแลเจ้าช่วงหนึ่ง” คนแก่ไม่คุยเรื่องสำคัญ แต่กลับพูดเรื่องพวกนี้กับชู่มู่
“นี่…ข้าจำไม่ได้แล้ว ทว่า ในเมื่อเป็นพ่อบุญธรรมของท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นท่านตาของข้า” ชู่มู่มีความรู้สึกอันดีต่อ” ท่านตา”ของตัวเองอย่างมาก
“ตอนนั้นที่เจ้าอยู่ตำหนักวิญญาณ เหมือนจะมีอายุสามสี่ปี หลังจากนั้น ท่านพ่อของเจ้าก็พาเจ้าจากไป ไปยังโลกตะวันตก ที่นั่นค่อนข้างไกล การติดต่อย่อมน้อยลง ถ้าเจ้ารู้สึกว่า จะต้องเรียกคนแปลกหน้าคนหนึ่งว่าท่านตา เรียกข้าว่าท่านอาวุโสก็ได้” ท่านอาวุโสเองก็มองความคิดของชู่มู่ออก
“ไม่ ท่านตาปกป้องข้าขนาดนี้ ข้าซาบซึ้งอย่างมาก” ชู่มู่เองก็ต้องรู้จักมารยาท
ถ้าเขาไม่ปรากฏตัวได้ทันเวลา เกรงว่าตอนนั้นชู่มู่คงเกิดเรื่องอย่างมากแล้ว ชู่มู่เองก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก
ท่านอาวุโสได้ยินชู่มู่เรียกตัวเองท่านตา รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้น ท่าทางคำพูดเมื่อกี้ของเขาคงพูดตามมารยาทเฉย ๆ ความจริงเขายังหวังว่า ชู่มู่จะรับท่านตาอย่างเขา
ชู่มู่ประหลาดใจมาก มองไปยังผู้แข็งแกร่งที่สวมชุดฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินเหล่านี้ เริ่มตกใจเหตุในเทียนทิงถึงหาเรื่องตัวเอง
ชู่มู่ย่อมรู้ว่า ถ้าไม่เชื่อฟัง เจ้าพวกคนที่ดูเหมือนสุภาพเหล่านี้จะลงมือแน่นอน ชู่มู่รู้สึกได้ว่า เจ้าพวกนี้แข็งแกร่งมาก บวกกับคนอื่นแล้ว คาดว่าตัวเองจัดการไม่ได้
ในเมืองเทียนเซี่ย อำนาจของตำหนักวิญญาณใหญ่กว่าองค์กรวิญญาณมาก เมืองเทียนเซี่ยก็ปลอดภัยมาก ดังนั้นชู่มู่ไม่กลัวว่า จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองเทียนเซี่ย ในตอนนี้ได้ถอยกลับไป
ความจริง ก่อนหน้านี้ชู่มู่คิดจะอยู่ในเมืองเทียนเซี่ยสักพัก อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินยังไม่ได้ให้ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันให้ตัวเอง ชู่มู่ไม่ได้กังวลว่าฝ่ายจัดการประลองจะไม่ให้ แต่ถ้าได้ของมาจะสบายใจมากกว่า
แต่ว่าฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินแจ้งว่า ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันอยู่ในขั้นที่เกิดมาได้ไม่นานกำลังปรับตัว ยังไม่สามารถทำสัญญาวิญญาณได้
การเดินทางของชู่มู่ในครั้งนี้ก็เพื่อตามหาทรัพยากร หลังจากได้ทรัพยากรวิญญาณแล้วยังจะกลับมาในเมืองเทียนเซี่ยอีก ถึงตอนนั้นค่อยมารับดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชัน
ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันมีผู้อาวุโสถิงเป็นคนดูแล ชู่มู่ไม่รีบรับไปแล้วจากไป ก็นับว่าเป็นการลดภาระให้ตัวเอง อย่างไรก็ตาม ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันกินวิญญาณเหมือนกัน ถ้ารับมาทันทีจริง ๆ ชู่มู่จะเสียเงินอย่างน้อย สามร้อยล้านต่อวัน ชู่มู่รับไม่ไหวจริง ๆ ดังนั้น เลือกที่จะให้ผู้อาวุโสถิงช่วยตัวเองดูแล
“ได้ ข้ากลับเข้าเมือง ข้าไปไหนในเมืองได้ใช่ไหม” ชู่มู่กวาดตามองไปยังพวกคนเหล่านี้ แล้วถามขึ้น
“ได้ แค่ไม่ออกนอกเมือง ท่านสามารถไปที่ใดก็ได้” ราชันวิญญาณคนนั้นพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชู่มู่พยักหน้า ไม่สนใจคนพวกนี้อีก กระโดดขึ้นหลังอสูรสายฟ้านิมิตราตรี กลับเข้าไปในเมืองเทียนเซี่ย
หลังจากสี่คนนั้นเห็นชู่มู่กลับเข้าเมือง รอยยิ้มของราชันวิญญาณหายไปทันที พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยทันที” ยังขี่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีระดับจักรพรรดิขั้นกลาง ไม่รู้ได้โชคลาภอะไรมา ทำให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งถึงระดับราชันได้…”
…
กลับเข้ามาในเมือง สิ่งแรกที่ชู่มู่จะทำคือไปหานักวิญญาณเฒ่าเต๋อ เพราะถ้าตัวเองถูกสั่งห้ามออกนอกเมือง นักวิญญาณเฒ่าเต๋อจะต้องรู้แน่นอน
ตอนเพิ่งกลับเข้ามาในตำหนักวิญญาณ ชายที่มีรูปร่างธรรมดาแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งนี้เดินออกจากตำหนักวิญญาณ ด้านข้างชายคนนี้ยังมีผู้หญิงอีกสองคน
หนึ่งในนั้นคือ ผู้หญิงที่ชู่มู่รู้สึกเยือกเย็นยิ่งในด่านที่สี่ ที่ฝ่ายจัดการประลองเรียกว่าคุณหญิงซาน
คุณหญิงซานเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นที่หนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุใดถึงไม่ได้เข้าร่วมการประลองฟ้าดิน
คุณหญิงซานเห็นชู่มู่เดินมาพอดี เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ก่อนหน้านี้คุณหญิงซานไม่พอใจต่อชู่มู่ที่ชอบเสนอหน้ามาก แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่า เธอกลับไม่มีท่าทีไม่พอใจนั้นออกมา ตอนที่เห็นชู่มู่เดินมากลับมีสีหน้าแปลกมาก ทำท่าทีเหมือนอยากจะยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่กลับไม่รู้จักการเป็นมิตรสักเท่าไร
เห็นท่าทีก่อนและหลังที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงของคุณหญิงซาน ชู่มู่เองก็แอบตลก ท่าทางผู้หญิงคนนี้ห่วงศักดิ์ศรีไม่เบา
คุณหญิงซานไม่เป็นที่ใส่ใจของชู่มู่ แต่ชายที่ท่าทีเย่อหยิ่งคนนั้นกลับทำให้ชู่มู่ตกใจ
คนนี้เองที่คุมขังมังกรวายุอลวนเอาไว้ ศัตรูตัวฉกาจของชู่มู่ เทียนทิง !
มังกรวายุอลวนยังอยู่ในแหวนจับวิญญาณของชู่มู่ เดิมชู่มู่คิดว่า หลังจากออกนอกเมืองแล้ว จะปล่อยมันออกมาในที่สงบ
แต่เทียนทิงออกคำสั่งไม่ให้เขาออกนอกเมือง ชู่มู่กังวลว่า
เจ้านี่มาหาเรื่องตัวเองเพราะมังกรวายุอลวน
“พอดี ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า เจ้าตามข้ามา” เทียนทิงกวาดตามองไปยังชู่มู่ หลังจากพูดจบเดินไปยังสวนด้านข้างทันที น้ำเสียงไม่เชิงเป็นการสั่ง แต่ท่าทีแบบนี้เหมือนจะให้ชู่มู่ทำตาม
เทียนทิงเป็นคนรุ่นเดียวกับชู่เทียนหมัง อายุของชู่เทียนหมังไม่น้อยแล้ว ถ้าเทียนทิงอยู่รุ่นเดียวกับเขา คาดว่าคงอายุห้าสิบแล้ว
แต่ชายคนนี้กลับมองดูแค่สามสิบกว่า ท่าทีของเขากลับเยือกเย็นอย่างยิ่ง บนหน้ามีไฝชัดเจน ถ้ายิ้มละก็ คาดว่าจะน่าเกลียดมาก จึงไม่เคยมีใครเห็นเขายิ้มมาก่อน
ที่นี่เป็นตำหนักวิญญาณ ชู่มู่เองก็ไม่กลัวว่าเทียนทิงจะเล่นแง่อะไร ในตอนที่เกิดความสงสัยในใจ แต่กลับเดินตามไปด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“พวกเจ้ารอที่นี่” เทียนทิงเห็นลูกน้องสองคนตามมา พูดขึ้นอย่างราบเรียบ
คุณหญิงซานกับอีกคนอึ้งเล็กน้อย แต่หยุดเดินทันที ไม่กล้าตามมาอีก
หลังจากเดินเข้ามาในสวนแล้ว เทียนทิงได้สร้างกำแพงร่ายวิญญาณ ป้องกันไม่ให้คนอื่นได้ยินเรื่องที่สองคนกำลังจะคุย
เขาหันกลับมา ดวงตาเย่อหยิ่งคู่นั้นมองไปยังชู่มู่ด้วยความเฉยเมย
ชู่มู่ใจไม่นิ่ง แต่ก็ไม่หวาดกลัวอะไร มองไปที่เขา เก็บซ่อนความโกรธที่มีต่อชายคนนี้ไว้ในใจเป็นอย่างดี
“เรื่องมังกรวายุอลวนข้าจะไม่ตาม เจ้าอยากปล่อยก็ปล่อยไป” เทียนทิงพูดเข้าเรื่องทันที
ท่าทีและน้ำเสียงนั้นของเทียนทิง เหมือนจะไม่เคยทำเรื่องเกินเหตุบนผนึกนั้น นี่ทำให้ชู่มู่ไม่พอใจอย่างมาก
ท่าทางฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าตัวเองเป็นบุตรชายของชู่เทียนหมัง ในเมื่อเป็นแบบนี้ ชู่มู่เองก็ไม่จำต้องเกรงใจแล้ว ในตอนนี้ได้ตอบกลับด้วยความเยือกเย็นว่า “นั้นต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก”
“ไข่มังกรจำศีลมรกตอยู่กับเจ้าด้วยใช่ไหม” เทียนทิงทำท่าทีเหมือนรู้ทุกอย่าง
ประโยคนี้กลับทำให้ชู่มู่สะเทือนใจอย่างมาก !!!
เขารู้ได้อย่างไรว่า มังกรจำศีลน้อยอยู่กับตัวเอง !!!
เรื่องมังกรจำศีลน้อยเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือ ในเมื่อเทียนทิงรู้เรื่องมังกรจำศีลน้อย ถ้าอย่างนั้นต้องรู้เรื่องมั่วเย้แน่นอน !
ถ้าอย่างนั้น เท่ากับว่าเทียนทิงรู้ว่า มั่วเย้มีความสามารถแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่อง !
“เห็นแก่ท่านอาวุโส มังกรจำศีลมรกตให้เจ้าด้วยก็ได้” เทียนทิงพูดอย่างเรียบ ๆ เห็นได้ชัดว่า ไม่สนใจไข่มังกรจำศีลมรกตเท่าไร
เทียนทิงกวาดตามองไปยังชู่มู่ เห็นสีหน้าของชู่มู่เปลี่ยนไป ทำท่าทีไม่แยแส แอบคิดในใจว่า “เจ้าคิดว่า เจ้าปิดได้มิดชิดมากเหรอ ตอนที่เจ้าเข้าร่วมการประลองฟ้าดินไม่นาน ข้าก็สืบได้ว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่รอดจากเกาะนักโทษแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะท่านอาวุโสยืดยัดมาตลอดให้จบการประลองฟ้าดินถึงจะให้ข้าเก็บกลับมา ข้าคงจัดการเจ้าเด็กอย่างเจ้าตั้งนานแล้ว !”
ชู่มู่สะเทือนใจอย่างมาก ตลอดที่ผ่านมา ชู่มู่คิดว่าตำแหน่งชู่เฉิงของตัวเองน่าจะไม่ถูกเปิดเผย แต่ไม่คิดว่า เทียนทิงองค์กรวิญญาณกลับรู้เรื่องของโลกตะวันตกเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว หรือว่าเทียนทิงคือผู้แข็งแกร่งองค์กรวิญญาณที่ไล่ล่ามังกรจำศีลมรกตในตอนนั้นงั้นหรือ
ชู่มู่ก้มหน้า ไม่พูดไม่จา
เห็นชู่มู่ไม่พูดอะไร สายตาของเทียนทิงเผยท่าทีเยาะเย้ยออกมา
เทียนทิงไม่รู้ชอบใจชู่มู่จริง ๆ สาเหตุหลักเพราะชู่มู่คือ ลูกของชูเทียนหมัง แล้วยังอวดดีมาตลอด ถ้าไม่ได้เป็นเพราะท่านหญิงและท่านอาวุโสตำหนักวิญญาณ เทียนทิงคงลอบฆ่าชู่มู่ไปแล้ว สิ่งที่ควรเอาไปก็ควรเอาไปได้แล้ว
ตอนที่องค์กรวิญญาณสั่ง จะต้องนำสิ่งที่มังกรจำศีลอัมพรมรกตขโมยไปกลับมาให้ได้ และถ้าไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้ เขาคงไม่อยู่ในเมืองเทียนเซี่ยนี้นานขนาดนี้
ในที่สุด ตอนนี้ก็หาเจอแล้ว กลับถูกท่านอาวุโสตำหนักวิญญาณพบเจอ ด้วยอำนาจของท่านอาวุโส เพื่อไม่ให้ท่านอาวุโสรู้ความลับในนั้น เทียนทิงเองก็ไม่หน้าฉีกหน้าโดยตรง รอให้จบการประลองฟ้าดินก่อน
และความจริงคำสั่งห้ามชู่มู่ออกนอกเมืองนี้มีผลตั้งนานแล้ว แค่ชู่มู่ไม่สังเกตเห็นมาตลอด
ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงในใจของชู่มู่รุนแรงอย่างมาก เขาเข้าใจแล้วว่า ทำไมก่อนหน้านี้นักวิญญาณเฒ่าเต๋อถึงได้เตือนตังเองแบบนั้น ห้ามเป็นศัตรูกับคนขององค์กรวิญญาณเด็ดขาด คาดว่าคงเป็นเพราะเรื่องนี้
ตัวเขาในตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสู้กับองค์กรวิญญาณได้ คาดว่าต่อให้มีท่านอาวุโสลึกลับท่านนั้นกับท่านแม่ของตัวเองคอยคุ้มกัน แต่ด้วยเรื่องของมั่วเย้ องค์กรวิญญาณจะไม่เจรจาด้วยเด็ดขาด อย่างไรมั่วเย้เป็นดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่อง เทียนทิงอาจได้รับการวานจากเจ้าองค์กรวิญญาณโดยตรง นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถเกินกว่าราชันวิญญาณ !
ถ้าตัวเองไม่ส่งมอบมั่วเย้ องค์กรวิญญาณจะใช้ทุกวิธีแน่นอน ถึงตอนนั้นใครก็ช่วยตัวเองไม่ได้
แต่จะให้ชู่มู่ส่งมั่วเย้ออกมา ชู่มู่ยิ่งทำไม่ได้ !!!
โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงมังกรจำศีลมรกตตัวนั้นของลี่ฮวัง มั่วเย้ในตอนนี้อยู่ในลักษณะเก้าแล้ว องค์กรวิญญาณจะต้องใช้หยดแห่งความจำล้างวิญญาณของชู่มู่แน่นอน ถ้าอย่างนั้นมั่วเย้จะกลายเป็นเหมือนศพเดินได้เช่นเดียวกับมังกรจำศีลมรกตของลี่ฮวัง !
ชู่มู่เห็นว่ามั่วเย้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตัวเองแล้ว จะส่งมอบมั่วเย้ได้อย่างไร จะให้มั่วเย้เดินไปในเส้นทางเดียวกับมังกรจำศีลมรกตได้อย่างไร ! ห้ามเด็ดขาด !
ชู่มู่ไม่มีทางส่งมอบมั่วเย้เด็ดขาด !!!
…
เทียนทิงจับจ้องไปยังมั่วเย้ตลอด ในสายตาของเขา ชู่มู่อ่อนแอราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ดังนั้น เขาไม่กลัวว่า ชู่มู่จะเล่นอะไร กลับจับจ้องไปยังสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของชู่มู่ด้วยความเยือกเย็น
แน่นอนว่า เทียนทิงเองก็ไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น ตอนนี้การประลองฟ้าดินจบลงแล้ว เขาจะได้ส่งสิ่งที่ควรได้มาตั้งนานนี้กลับไปยังองค์กรวิญญาณ เรื่องนี้ยืดเวลานานเกินไปแล้ว
ในตอนนี้ น้ำเสียงของเทียนทิงดุร้ายมากขึ้น พูดว่า
“ส่งไข่ดวงวิญญาณออกมา อย่าหวังว่าใครจะช่วยเจ้าได้ บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่เจ้ามีได้ ส่งออกมาให้ไว เจ้าจะพาดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันการประลองฟ้าดิน ไข่มังกรจำศีล แล้วก็ดวงวิญญาณระดับราชันที่เจ้าได้มาจากที่ไหนไม่รู้ไปฝึกอย่างปลอดภัย ถ้าไม่ทำตาม ข้าจะให้เจ้าตายอย่างอนาถ !”
หลังจากพูดจบ ร่ายวิญญาณมหาศาลของเทียนทิงได้ทับเข้ามาทันที นี่เป็นการข่มขู่ชู่มู่ !
ชู่มู่สัมผัสได้ถึงความกดดันมหาศาล เริ่มเวียนหัว !
การกระตุ้นจิตนี้คงอยู่สักพัก ถึงค่อย ๆ เบาลง….
และแล้ว เผชิญหน้ากับความกดันของเทียนทิง ใจของชู่มู่ที่มืดมัวอย่างมากกลับค่อย ๆ ส่องประกายขึ้น !
เพราะจากคำพูดของเทียนทิงรู้ได้ว่า เทียนทิงยังไม่รู้เรื่องการแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่อง และไม่รู้ว่า สิ่งที่มังกรจำศีลอัมพรมรกตพาออกจากองค์กรวิญญาณคือมั่วเย้ !
ชู่มู่ดีใจอย่างมากทันที !
ตัวเองอดทนจนทำให้ตัวเขามีทางออกแล้ว !
“ท่าทาง มีแค่เซี่ยกว่างหาน องค์หญิงจิ่งโหลวที่คอยสนใจดวงวิญญาณของตัวเองถึงรู้ว่ามั่วเย้เป็นดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่อง และเจ้าเทียนทิงนี้รู้แค่ว่าไข่ดวงวิญญาณที่มังกรจำศีลอัมพรมรกตพาออกมาอยู่กับตัวเอง ไม่รู้ว่านั่นคือมั่วเย้ !”
“ยังรอดไปได้ ยังไม่ถึงทางตัน !”
“คนที่มีดวงวิญญาณราชันมีจำกัด จะเพิ่มหรือลดลงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ในภาวะปกติ ราชันวิญญาณจะไม่รับคนใหม่เข้ามาง่าย ๆ เพราะถ้ามีคนเพิ่มเข้ามาแปลว่า ต้องแบ่งมากขึ้น พวกคนที่จากไปเมื่อหนึ่งร้อยคน ความจริงจำหน้าเจ้าได้แล้ว กำลังคิดว่า จะจัดการเจ้าอย่างไร ส่วนคนที่อยู่เพื่อให้คำยินดีกับเจ้า นอกจากเจี่ยซุ่นติงและคนอื่นที่จงใจหาเรื่องแล้ว ราชันวิญญาณยี่สิบกว่าคนน่าจะได้ผ่านนักวิญญาณเฒ่าเต๋อและท่านอาวุโสคนนั้นแล้ว ให้พวกเขารู้ว่า เจ้ามีเบื้องหลังอยู่ ถ้าเจอเรื่องอะไร จะพยายามดูแล เจ้าต้องจำคนเหล่านี้ไว้ ต่อจากนี้คือพันธมิตรของเจ้าแล้ว” ผู้เฒ่าหลีพูดเตือนชู่มู่
ชู่มู่มีความรู้สึกเหมือนได้ก้าวสู่วงการใหม่
ราชันวิญญาณที่เข้ามาหาตัวเองในเมื่อกี้ ชู่มู่เองก็จำได้เป็นอย่างดี จะเรียกว่าเป็นการทำความรู้จักใหม่ก็ไม่เชิง ควรจะเรียกว่าให้ระวังตัวไว้จะดีกว่า
ผู้แข็งแกร่งตำหนักวิญญาณไม่ต้องพูดถึงแล้ว จะดูแลชู่มู่อยู่แล้ว ทว่า ในบรรดาราชันวิญญาณยี่สิบกว่าคนนี้ ราชันวิญญาณตำหนักวิญญาณกลับไม่อยู่ในนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าโลกเขตโลก วังดวงวิญญาณ และราชันวิญญาณทั่วไป
ตำหนักวิญญาณมีสัญลักษณ์ตำแหน่งของตัวเอง ดังนั้น ไม่จำต้องเดินไปตรงหน้าชู่มู่ก็รู้ว่าเป็นพันธมิตรของเขาแล้ว
ส่วนราชันวิญญาณที่จากไปก่อนนั้น ต่อจากนี้ ถ้าชู่มู่เจอกับพวกเขา จะต้องระวังตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตอนอยู่ในป่าเขา ถ้าฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาไม่ดีละก็ จะลงมือกับชู่มู่อย่างไม่ลังเล เข้าชิงทรัพย์สินทั้งหมดของชู่มู่
…
ตอนแรกสุดของการประลองฟ้าดิน เป็นช่วงที่มีคนเยอะที่สุดในเมืองเทียนเซี่ย และตามเวลาที่ดำเนินต่อของการประลองฟ้าดิน มีผู้เข้าแข่งขันถูกคัดออกอย่างช้า ๆ มีหลายคนที่ไม่สามารถรอถึงผลสุดท้ายได้จากไปก่อน
จนถึงพวกคนที่อยู่ถึงตอนสุดท้าย ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองเทียนเซี่ยอยู่แล้ว หรือเป็นผู้คนที่อยู่ในเมืองใกล้กับเมืองเทียนเซี่ย พวกเขาย่อมอยากรู้ผลสุดท้ายของการประลองครั้งนี้แน่นอน
ตอนนี้การประลองได้จบลงในที่สุด คนที่ไม่อยู่ในเมืองเทียนเซี่ยก็ควรเก็บของกลับบ้านแล้ว
ชู่ซิ่งกับชู่หยู่ต้องกลับไป ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะเขียนจดหมายกลับไปที่บ้าน นำข่าวดีอันใหญ่นี้บอกกับทั้งตระกูล สุดท้ายทั้งสองคนรู้สึกว่า ทั้งสองคนก็ต้องกลับบ้านอยู่แล้ว แทนที่จะเขียนเป็นจดหมาย ให้พวกเขากลับไปบอกข่าวนี้ด้วยตัวเองเลยจะดีกว่า
ดังนั้น ทั้งสองคนได้บอกกับชู่มู่ ส่วนชู่มู่เองได้ใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ อยู่กับพี่ชายทั้งสอง แล้วส่งพวกเขากลับตระกูลชู่ ส่วนตัวเขาเองถ้าได้กลับโลกตะวันตกอีก จะกลับตระกูลชู่อีกแน่นอน
ตระกูลชู่ในตอนนี้กำลังเติบโตในเมืองตะวันตก ได้ข่าวว่ามีธุรกิจบางอย่างกระจายถึงเมืองอั่วกู่แล้ว นับว่าเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมานี้ อย่างน้อยโดดเด่นกว่าตอนอยู่เมืองหลัวอีก
เดิมชู่มู่คิดจะตามหาเจ้าโลกตะวันตก ให้เขาช่วยเหลือตระกูลของตัวเอง แต่กลับพบว่า เจ้าโลกตะวันตกเหมือนจะไม่อยู่ในรายการของพันธมิตร อีกทั้งเจ้าโลกหลายเขตโลกที่ค่อนไปทางตะวันตกกลับไม่อยู่ที่นี่ ส่วนหนึ่งพวกเขาไม่คิดจะเสนอชื่อ อีกส่วนเป็นเพราะเหมือนหลายเขตโลกตะวันตกจะเกิดเรื่องขึ้น รายละเอียดชู่มู่ยังไม่รู้เท่าไร
หลังจากบอกลาพี่ชายทั้งสองคน ชู่มู่คิดจะบอกลากับเหล่าวัยหนุ่มของตำหนักวิญญาณ
ชู่มู่ไม่ใช่คนที่ขี้เกียจ และจะไม่ถือตัวเพราะเกียรติการประลองฟ้าดินนี้ เพื่อให้หกปีหลังจากนี้จะจับตัวเด็กสาวทรยศในเมืองว่านเซี่ยงได้ เวลาต่อจากนี้ชู่มู่ต้องพยายามมากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถของตัวเอง
แผนเดิมของชู่มู่คือ หลังจบการประลองฟ้าดินแล้ว จะมุ่งหน้าไปทางตะวันออก มุ่งหน้าไปยังเมืองว่านเซี่ยง
แผนที่มุ่งหน้าไปตะวันออกไม่มีผิด ทว่า ผู้เฒ่าหลีบอกกับชู่มู่ว่าควรอยู่ในเมืองเทียนเซี่ยนี้ก่อน เพิ่มความสามารถดวงวิญญาณทั้งหมดก่อนค่อยคิดเรื่องออกไปจากเมืองเทียนเซี่ยแห่งนี้ อาศัยแค่มั่วเย้น้อยแล้วมุ่งไปทางตะวันออกจะฝืนมากไป
อีกทั้ง ชู่มู่จำต้องเตรียมอาหารของมั่วเย๋ให้เพียงพอ สิ่งที่เหลือไว้ในแหวนช่องว่างของเด็กสาวทรยศ พอให้มั่วเย้กินแค่สองเดือน อีกทั้งนี่เป็นตอนที่ไม่เข้าร่วมการแข่งขัน ถ้าได้เข้าร่วมการแข่งขันละก็ จะต้องเสียไปสิบวิญญาณ ด้วยสถานการเงินของชู่มู่ในตอนนี้ รับไม่ไหวจริง ๆ ดังนั้น ชู่มู่ต้องจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำของระดับจักรพรรดิกับระดับราชันนี้ก่อน อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ได้กระโดดข้ามจากจักรพรรดิขั้นสูงไปยังราชันขั้นต่ำโดยตรง ระหว่างนี้มีช่องว่างอย่างมาก จำต้องปรับให้ดี ไม่เพียงแต่ความแตกต่างของความสามารถระหว่างดวงวิญญาณ อีกทั้งยังมีภาวะด้านการเงินที่มากขึ้นด้วย
ก่อนหน้านี้ชู่มู่คุยกับเย้ชิงจือแล้ว จะไปพร้อมกัน
แต่ต่อมาเย้ชิงจือเปลี่ยนใจแล้ว เธอคิดว่า ยังคงตามเย้หวันเชิงไปจะดีกว่า เพราะในคำสั่งเสียของอาจารย์ยังมีหลายอย่างที่ต้องให้เธอไปตามหา ของเหล่านี้กระจายอยู่ในที่ต่างกัน ที่ ๆ จะไปอาจไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดียวกับชู่มู่ก็ได้
“ตอนนี้เจ้ามีดวงวิญญาณระดับราชัน ถ้าจะไปที่ ๆ พวกเราจะไปละก็ จะกลายเป็นภาระของเจ้า ถ้าเจ้าฝึกเองละก็ อาจสะดวกกว่า” เย้ชิงจือบอก
ชู่มู่ไม่ได้กังวลปัญหาเรื่องเป็นภาระ ผู้คุมดวงวิญญาณหน่วยเสริมอย่างเย้ชิงจือจะเป็นภาระได้อย่างไร แค่ชู่มู่รู้สึกว่าที่ ๆ ตัวเองจะไปต่อจากนี้จะอันตรายมากขึ้น พาเย้ชิงจือไปอาจทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น อีกทั้งดวงวิญญาณของเธอยากที่จะได้รับการฝึก กลับรู้สึกว่าไปกับเย้หวันเชิงแล้วสองพี่น้องจะค่อยๆฝึกได้มากกว่า
“ไม่ต้องห่วง หลังจากได้คำสั่งเสียอาจารย์ ความสามารถของพวกเราจะเพิ่มขึ้นไวมาก”เย้ชิงจือยิ้มด้วยความขี้เล่นออกมา
“ข้าไม่อยากให้เจ้าไป” ชู่มู่ดึงมือเล็ก ๆ ของเย้ชิงจือ มองไปที่ตาของเธอ มักรู้สึกว่า ถ้าเย้ชิงจือไม่อยู่แล้วจะขาดอะไรไป
เย้ชิงจือได้ยินแบบนี้ ตกใจทันที แอบมองไปรอบ ๆ พบว่า ไม่มีใครได้ยิน แก้มแดง ๆ จึงค่อย ๆ จางหายไป เขาพูดเสียงเบาว่า “ทุกเมืองที่ข้าผ่าน ข้าจะฝากคำไว้ที่ตำหนักวิญญาณ เจ้าคอยสังเกตก็จะรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหนแล้วละ”
“ได้ ข้าจะคอย” ชู่มู่พยักหน้า
…
เดิมชู่มู่คิดว่า ตัวเองจะเก็บของจากไปก่อน และแล้วเย้ชืงจือกับเย้หวันเชิงไวกว่า กลับบอกลาชู่มู่ตั้งแต่วันที่สองหลังจบเรื่องการประลองฟ้าดินแล้ว
ชู่มู่เองได้ถามเรื่องคำสั่งเสียของอาจารย์จากเย้ชิงจือมาบ้างแล้ว เย้ชิงจือบอกว่า นั่นเป็นสูตรยาที่ซับซ้อนอย่างหนึ่ง วัตถุวิญญาณที่สร้างจากมันจะมีประโยชน์ต่อการเพิ่มความสามารถของดวงวิญญาณ อีกทั้งยังต้องเป็นดวงวิญญาณเฉพาะ ดังนั้น ต่อจากนี้ตอนที่พวกเขาเลือกดวงวิญญาณ จำต้องเลือกตามที่กำหนดไว้แล้ว
ชู่มู่ฟังแล้วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาฝึกดวงวิญญาณตามคำสั่งเสียของอาจารย์พวกเขาละก็ ความสามารถจะพุ่งทยานแน่นอน
“ชิงจือ รีบไปแบบนี้ไม่ดีเท่าไรหรอก เจ้าดูตอนที่ชู่มู่มาส่งเจ้า เสียใจแค่ไหน” เย้หวันเชิงขี่ปีศาจลูกม้าประกายดาวป่า มองไปยังเย้ชิงจือที่อยู่ด้านข้าง
“อยู่อีกวัน เขาก็จะรู้…” เบ้ชิงจือหันกลับไปมองเมืองเทียนเซี่ยที่หายไปจากสายตาอย่างช้า ๆ
“เห้อ ช่างเถอะ ไปเถอะ ไปเถอะ พี่ชายจะหาวิธีแก้ให้เจ้าเอง” เย้หวันเชิงถอนหายใจ ขี่ปีศาจลูกม้าประกายดาวป่าด้วยความเร็วที่สูงขึ้น
ในหัวของเย้ชิงจือยังนึกถึงชู่มู่อยู่ แต่ยังคงเลือกที่จะจากเมืองเทียนเซี่ยนี้ให้เร็ว ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
…
หลังจากเย้ชิงจือจากไป ชู่มู่อ้างว้างอย่างมาก โดยเฉพาะเย้ชิงจือจากไปอย่างเร่งรีบไม่ให้ชู่มู่มีโอกาสได้อยู่กับเธอแม้แต่น้อย
ในเมื่อคนงามไปแล้ว ชู่มู่ก็พูดอะไรไม่ได้ เขาเองก็เริ่มเก็บของ คิดจะใช้ชีวิตฝึกของตัวเองต่อไป
ตามที่ผู้เฒ่าหลีบอก ภารกิจแรกในตอนนี้คือตามหาแหล่งทรัพยากรของวิญญาณ ระหว่างที่ตามหา ให้เพิ่มความสามารถดวงวิญญาณอื่นของตัวเองด้วย
เจ้าวิญญาณร่ายสูงควบคุมเทียบเท่าราชันลักษณะสิบก็เป็นขีดจำกัดแล้ว ดังนั้น ถ้าชู่มู่ยังเพิ่มไม่ถึงระดับราชันวิญญาณ มั่วเย้ที่เป็นจักรพรรดิขั้นต่ำคาดว่าคงยากจะเพิ่มจากลักษณะเก้าเป็นลักษณะสิบได้
ความสามารถของชู่มู่เองก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ต้องเพิ่มขึ้นให้รวดเร็ว
ชู่มู่ในตอนนี้ห่างจากเจ้าวิญญาณแปดร่ายไม่ไกล อีกไม่นานน่าจะอยู่ในเจ้าวิญญาณแปดร่ายได้แล้ว ส่วนชู่มู่เองมีดวงวิญญาณระดับราชันแล้ว ช่องว่างระหว่างเจ้าวิญญาณกับราชันวิญญาณจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น คาดว่าอีกไม่นานคงถึงระดับราชันวิญญาณ
สิ่งเดียวที่ชู่มู่กังวลคือ วิญญาณที่มีอุณหภูมิสูง
ก่อนหน้านี้หลิ่วปิงฟงบอกว่า จะเจอกับชู่มู่ที่เมืองเทียนเซี่ย แต่การประลองฟ้าดินจบลงแล้ว หลิ่วปิงฟงยังไม่ปรากฏตัว นี่ทำให้ชู่มู่เองกังวลอย่างมาก
“น้ำแข็งเทพฟ้าดินคืออะไร หายากขนาดนั้นจริงเหรอ” ชู่มู่ถามผู้เฒ่าหลี
“น้ำแข็งเทพดินเป็นผลึกพลังธาตุน้ำแข็งที่สูงกว่าน้ำแข็งแก้วอัญมณี ถ้าเจอต้นกำเนิดของน้ำแข็งเทพดิน จะทำให้พลังต่อสู้ของดวงวิญญาณระดับราชันเพิ่มขึ้นได้ เจ้าน่าจะรู้ดี ในพาวะที่ทรัพยากรวิญญาณของราชันยังขาดแคลน คิดจะได้สิ่งที่เพิ่มพลังต่อสู้ของพวกมันมา เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก ดังนั้น ราคาของเทพน้ำแข็งดินจึงสูงมาก”
“ส่วนเหนือกว่าน้ำแข็งเทพดิน คือน้ำแข็งเทพฟ้า ซึ่งเป็นผลึกพลังธาตุน้ำแข็งขั้นหก น่าจะเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตเกินกว่าราชันมี อีกทั้งเป็นสมบัติชั้นยอดที่เพิ่มความแข็งแกร่งราชันชั้นยอดหมวดน้ำแข็งให้เกินกว่าระดับราชันได้ ! ด้วยความสามารถของท่านหญิง แทบจะไม่สามารถเจอน้ำแข็งเทพฟ้าได้ แต่น้ำแข็งเทพดินยังมีหวังอยู่” ผู้เฒ่าหลีบอก
ตอนแรกชู่มู่ไม่เข้าใจวงการของระดับราชันเท่าไร พอผู้เฒ่าหลีบอกแบบนี้ ชู่มู่ถึงรู้ว่า น้ำแข็งเทพฟ้าดินเป็นวัตถุวิญญาณที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้สิ่งมีชีวิตระดับราชันได้
อยู่ในระดับราชันแล้ว การเพิ่มขั้นแต่ละครั้ง ตำแหน่งของผู้คุมดวงวิญญาณจะต่างกัน เห็นถึงคุณค่าของน้ำแข็งเทพ !
“ยังดี ร่ายวิญญาณของนายท่านพิ่มขึ้นค่อนข้างไว มิฉะนั้น วิญญาณของท่านที่มีอุณหภูมิสูงแบบนี้ จะเป็นอันตรายต่อชีวิตมาก” ผู้เฒ่าหลีพูดต่อ
…
ควบคุมวิญญาณที่มีอุณหภูมิสูง ชู่มู่ทำได้แค่เริ่มจากการเพิ่มร่ายวิญญาณ นอกจากนี้ ยังต้องอาศัยน้ำแข็งเทพฟ้าดิน นี่ต้องขึ้นอยู่กับว่าหลิ่วปิงฟังจะเจอได้หรือไม่
ชู่มู่ไม่คิดปัญหาเหล่านี้อีก หลังจากเก็บของแล้ว ได้ทำตามที่ผู้เฒ่าหลีสั่ง มุ่งหน้าไปทางตะวันตก
ผู้เฒ่าหลีเองก็มีอายุสองร้อยปีแล้ว คนแก่นี้รู้แหล่งทรัพยากรวิญญาณลึกลับแห่งหนึ่ง อยู่ทางตะวันตกของเมืองเทียนเซี่ย ชู่มู่กลับทางนี้ได้พอดี
และแล้ว ในตอนที่ชู่มู่กำลังจะออกจากเมืองเทียนเซี่ย กลับมีคนกลุ่มหนึ่งดักชู่มู่เอาไว้ !
“ข้าออกจากเมืองเทียนเซี่ยไม่ได้ คำสั่งของใคร” ชู่มู่มองไปยังผู้ชายที่มีความสามารถแข็งแกร่งยิ่งพวกนี้ ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“คำสั่งของหัวหน้าที่นั่งเทียนทิง ดังนั้น ยังขอให้ท่านชู่กลับเรือนเถอะ” ราชันวิญญาณที่เป็นหัวหน้าได้พูดกับชู่มู่อย่างสุภาพมาก
“ชู่มู่ รอถึงตอนที่ชิงบัลลังก์เจ้าฟ้าดินในครั้งหน้า ข้าจะเก็บบัลลังก์เจ้าไว้ ที่นั่งอสูรทั้งสี่จะให้เจ้า” เย้หวันเชิงยักไหล่ ยืนขึ้นแล้วพูดกับชู่มู่ที่ยืนอยู่บนเวทีเกียรติยศสีทองอร่าม
ชู่มู่มองเขม็งไปยังเย้หวันเชิง ยักคิ้วถามขึ้น “คำสั่งเสียอาจารย์ของเจ้าคืออะไรกันแน่ ที่ทำให้เจ้ากล้าพูดจาแบบนี้”
“แหะ แหะ ความลับ !” เย้หวันเชิงยิ้มอย่างลึกลับ เต็มไปด้วยความมั่นใจ
เย้หวันเชิงไม่บอก ชู่มู่ถามเย้ชิงจือก็ได้
“ที่นั่งทั้งสี่ปรากฏตัวแล้ว” ในตอนนี้เย้หวันเชิงพูดกับชู่มู่เสียงเบา
ชู่มู่มองไปยังชายทั้งสี่ที่สวมชุดหรูหราทันที
คนที่มีอายุมากที่สุดในที่นั่งทั้งสี่คือ ไห่ชิววังดวงวิญญาณ ปลายตามีรอยย่นเล็กน้อย รองลงมาคือเย้เทาวังมารนิรย ต่อมาคือ ผู้อาวุโสถิง คนที่อายุน้อยที่สุดคือ เทียนทิง
ทั้งสี่คนไม่ได้เดินเข้ามาทันที แต่กลับเดินไปยังฝูงผู้คนที่มีตำแหน่งสูงส่งเช่นกันอีกกลุ่ม
“ตำแหน่งของที่นั่งทั้งสี่สูงกว่าผู้ที่มีระดับสิบ คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างเป็นตัวแทนเจ้าโลกในเขตโลกต่าง ๆ ของการประลองเทียนเซี่ยหรือเป็นตัวแทน อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสิบของอำนาจทั้งสี่ พวกเขาแต่ละคนอยู่ในระดับราชันวิญญาณ อีกทั้งมีดวงวิญญาณระดับราชัน” เย้หวันเชิงยืนอยู่บนเวทีกลับไม่นิ่ง แต่พูดคุยกับชู่มู่ตลอด
แน่นอนว่า ระหว่างที่คุย เย้หวันเชิงยังคงเชิดหน้าไปยังลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้คนด้านล่างด้วย
ชู่มู่มองไปยังเหล่าราชันวิญญาณที่นั่งอยู่ในที่สูง นอกจากเจ้าโลกของเขตโลกต่าง ๆ แล้ว เจ้าตำหนักวิญญาณ เจ้าวังมารนิรย เจ้าวังดวงวิญญาณ ทุกคนอยู่ที่นั่นด้วย เห็นได้ชัดว่า คนเหล่านี้เป็นตัวแทนกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเทียนเซี่ยนี้แล้ว
ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมากว่า ทำไมคนเหล่านี้ถึงปรากฏตัวในพิธีเกียรติยศนี้หมด
การประลองฟ้าดินของรุ่นวัยหนุ่มแม้จะอลังการมาก แต่ไม่เป็นจำต้องรวมราชันวิญญาณพวกนี้ด้วย หรือว่าการประลองฟ้าดินยังมีจุดประสงค์อื่นอีกงั้นหรือ
ชู่มู่ย่อมไม่รู้ว่า ผู้แข็งแกร่งระดับราชันวิญญาณที่มารวมตัวที่นี่ ไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีกับความแข็งแกร่งที่สุดของรุ่นวัยหนุ่ม
ความจริงแล้ว คนด้านในต่างรู้ดี หลังจากจบการประลองฟ้าดินรุ่นวัยหนุ่มปีนี้ จะเป็นการเข้าชิงเสนอชื่อบัลลังก์เจ้าฟ้าดินสิบปีคนต่อ !
เย้หวันเชิงเองก็ไม่รู้ได้ข่าวมาจากที่ใด แต่นำเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับบัลลังก์ฟ้าดินบอกให้กับชู่มู่ ทำให้ชู่มู่เข้าใจทันที มิน่าผู้ที่อยู่ในระดับสิบทั้งหมดได้มาที่นี่แล้ว
บัลลังก์ฟ้าดิน นี่ถึงเป็นเกียรติสูงสุดของการประลองฟ้าดิน ส่วนเกียรติสูงสุดที่ชู่มู่ได้ในตอนนี้อยู่ในระดับวัยหนุ่มเท่านั้น !
“ชู่มู่ เจ้ารู้ขั้นตอนการได้มาของบัลลังก์ฟ้าดินไหม” เย้หวันเชิงถาม
ชู่มู่ส่ายหัว เขาจะรู้ได้อย่างไร
“เป็นแบบนี้ แค่มีดวงวิญญาณระดับราชันลักษณะสิบตัวหนึ่ง จะมีสิทธิ์เข้าชิงบัลลังก์ฟ้าดินได้…” ตอนที่เย้หวันเชิงพูด ได้มองไปยังชู่มู่ด้วยสายตาประหลาด
“เข้าชิง ไม่ได้แปลว่ามีสิทธิ์ แต่ได้รับอนุญาตเข้าชิงเท่านั้น ตรงนี้จะมีสิทธิ์เสนอชื่อหนึ่งสิทธิ์ สิทธิ์เสนอชื่อนี้จะแบ่งรายการเสนอชื่อโดยเจ้าในรุ่นก่อน รายการเสนอชื่อนี้จะไม่อยู่ในมือของทุกคน มันเป็นภารกิจอย่างหนึ่ง คนที่ทำภารกิจนี้สำเร็จถึงจะมีสิทธิ์เสนอชื่อขั้นแรกของบัลลังก์”
“หลังจากสิทธิ์เสนอชื่อขั้นแรกของบัลลังก์ ยังต้องผ่านวิธีคัดเลือกอีก อย่างแรกคือ ชื่อเสียง ถ้ามีชื่อเสียงต่ำไป หรือแย่ไป จะไม่มีสิทธิ์รับเสนอชื่อ ต่อมาเป็นพื้นที่ ปัญหาเรื่องพื้นที่มากไป จะไม่มีสิทธิ์เสนอชื่อเช่นกัน ต่อมาคือความสามารถ หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดแล้ว ถึงจะได้สิทธิ์เสนอชื่อ ผู้ที่ได้รับเสนอชื่อจะมีรูปปั้นปรากฏอยู่ใต้ขั้นบันไดตำหนักเจ้าบัลลังก์ เป็นตัวแทนของเกียรติยศอย่างหนึ่งที่ได้รับการเข้าคัดเลือกสิบปีครั้ง”
“อย่ามองว่าเป็นแค่การเสนอชื่อ เหล่าราชันวิญญาณหลายคนได้หาทุกวิธีทางสิบกว่าปี แต่กลับไม่มีสิทธิเข้าเสนอชื่อแท้จริง”
“หลังจากได้สิทธิเสนอชื่อ จะเข้าชิงที่นั่งทั้งสี่ได้ ที่นั่งทั้งสี่นี้ ต้องดูว่าค้อนใครมีแรงมากกว่ากัน ก็จะเป็นของคนนั้น”
“เจ้าจะเป็นคนเลือกที่นั่งทั้งสี่เอง แต่อาจมีจุดที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง” เย้หวันเชิงเน้นน้ำเสียง
ชู่มู่ย่อมมีความสนใจต่อบัลลังก์ฟ้าดินอย่างมาก ในตอนนี้จึงตั้งใจฟังมากขึ้น
“แม้เจ้าจะเลือกที่นั่งทั้งสี่ออกมา แต่ว่าถ้าความสามารถของสี่ที่นั่งไม่เป็นที่พอใจ ตำแหน่งบัลลังก์ก็จะว่างลงเช่นกัน เท่ากับว่า ไม่ใช่ว่าจะมีการเลือกคนหนึ่งเป็นราชาจากสี่ที่นั่ง แต่อาจเป็นในเวลาสิบปีนี้ ที่นั่งทั้งสี่จะถูกคัดออก ตามประวัติศาสตร์แล้ว เคยมีปรากฏการณ์บัลลังก์ว่างห้าสิบปี” เย้หวันเชิงบอก
ชู่มู่ไม่คิดว่า จะมีกฎแบบนี้อยู่ นี่ทำให้ชู่มู่นึกถึงสิ่งที่องค์หญิงจิ่งโหลวเคยบอก ที่นั่งทั้งสี่อาจมีความสามารถต่างจากเจ้ามาก
นอกจากนี้ เย้หวันเชิงได้บอกข่าวที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “สิ่งที่เจ้าได้ไม่ได้อยู่ที่เมืองเทียนเซี่ย แต่อยู่ที่เมืองว่านเซี่ยง” พูดถึงเมืองว่านเซี่ยง สติของชู่มู่เริ่มหลุด
บัลลังก์เจ้าฟ้าดิน ยังห่างอีกมาก อย่างน้อยตัวเองในตอนนี้จะได้รับอนุญาตเข้าไปแข่งขัน แต่คิดจะได้สิทธิ์เสนอชื่อแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้
…
บนที่นั่งสูง มีราชันวิญญาณหนึ่งร้อยกว่าคน คนเหล่านี้ต่างเป็นเจ้าของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
และด้านบนราชันวิญญาณร้อยกว่าคนนี้ คือที่นั่งทั้งสี่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของเมืองเทียนเซี่ย ในตอนนี้ที่นั่งทั้งสี่กำลังพูดบางอย่างกับราชันวิญญาณพวกนั้น เนื่องจากพวกเขาใช้ร่ายวิญญาณกันเสียงเอาไว้ ชู่มู่ที่ยืนอยู่บนเวทีแทบไม่ได้ยิน
หลังจากนั้นไม่นาน เหมือนจะแบ่งงานเสร็จแล้ว ราชันวิญญาณส่วนใหญ่ได้เดินจากไป มีบางส่วนที่อยู่ในตำแหน่งของตัวเอง รอให้การประลองฟ้าดินนี้ปิดฉากลงแล้วค่อยจากไป
“พวกเขามาแล้ว คาดว่าน่าจะพูดบางอย่างที่ให้กำลังใจและให้คำอวยพร” เย้หวันเชิงมองไปยังเหล่าราชันวิญญาณที่ยังอยู่ที่นี่ แล้วพูดกับชู่มู่เสียงเบา
และแล้ว ราชันวิญญาณสามสิบกว่าคนลุกขึ้นพร้อมกัน
“เจ้าวังมารนิรยขาว เจี่ยซุ่นติง กล่าวคำอวยพรให้วัยหนุ่มฟ้าดิน !” ตอนที่ราชันวิญญาณคนหนึ่งเดินมาช้า ๆ มีเสียงของฝ่ายจัดการประลองที่มาจากร่ายวิญญาณดังขึ้นทันที
“ท่านเจี่ยที่มีราชันมารนิรยขาวสองตัว !”
“ไม่เห็นเขาพักหนึ่งแล้ว ได้ข่าวว่า เขาเดินทางไปตะวันออก ความสามารถเพิ่มขึ้นมหาศาล ไม่รู้แข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้ว”
“เดิมหมวดของมารนิรยขาวก็แข็งแกร่งมากแล้ว จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้อยู่ในระดับราชันยากกว่าดวงวิญญาณอื่น แต่ถ้าเพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับราชัน พลังต่อสู้ของมันจะแข็งแกร่งอย่างมาก !”
เห็นได้ชัดมากว่า คนนับแสนเคยได้ยินชื่อของเจี่ยซุ่นติงมาก่อน อีกทั้งรู้ว่า ดวงวิญญาณอันมีชื่อเสียงของเขา จากสายตาของแสนคนนี้ได้เห็นความเคารพต่อผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ต่างจากความคลั่งไคล้ที่มีต่อวัยหนุ่มอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเสียงต่อท้าย ไม่มีการยกย่องที่ไร้เหตุผล ยิ่งไม่มีความคึกคะนองที่ปกปิดความอิจฉาเอาไว้ แต่เป็นความเคารพนับถือที่มีต่อผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง !
ชู่มู่ยืนอยู่ตรงนั้น มองไปยังเจี่ยซุ่นติงที่เดินมาทีละก้าว ชายคนนี้มองดูไม่แก่เท่าไร อีกทั้งยังทำให้ชู่มู่รู้สึกว่าเพิ่งพ้นจากรุ่นวัยหนุ่ม
เจี่ยซุ่นติงเดินเข้ามา มองไปยังชู่มู่ด้วยความเย่อหยิ่ง ใช้เสียงที่ได้ยินแค่สองคนพูดขึ้นว่า “วัยหนุ่มที่มีดวงวิญญาณระดับราชัน ตามธรรมเนียมแล้วจะไม่ได้รับการปกป้อง เท่ากับว่า เจ้าไม่นับว่าเป็นวัยหนุ่มแล้ว เตือนเจ้าไว้ก็ดี อย่าป่าวประกาศมากเกินไป”
หลังจากพูดจบ เจี่ยซุ่นติงจากไปทันที ไม่พูดอะไรอีก
คำพูดนี้ทำให้ชู่มู่ไม่เข้าใจอย่างมาก แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้คือ เจี่ยซุ่นติงไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ดวงตาเย่อหยิ่งนั้นไม่มีการปกปิดใด ๆ
คาดว่าเจี่ยซุ่นติงมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยที่พ่ายแพ้ให้กับตัวเอง
“เจ้าโลกฟ้า จ้าวฉิงเหอ…” เสียงดังขึ้นอีกครั้งจากประกาศราชันวิญญาณที่เดินมา
โลกฟ้าเป็นเขตโลกใหญ่ที่สุดของด่านฟ้าดินมาตลอด ส่วนตำแหน่งของเจ้าโลกฟ้านี้ก็สูงกว่าเจ้าโลกอื่นอย่างมาก !
ชู่มู่จำได้ว่า จ้าวเฉิงเป็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่มาจากโลกฟ้า ส่วนเจ้าโลกฟ้านามสกุลจ้าวเหมือนกัน คาดว่าทั้งสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องแบบเครือญาติ
เจ้าโลกฟ้าเป็นมิตรกับชู่มู่อย่างมาก ตรงกันข้ามกับเจี่ยซุ่นติง ดวงตาคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อชู่มู่
“หลานชายของข้าเคยบอกว่า เจ้าเป็นหัวหน้าของเขา คึ คึ ต่อจากนี้มีเรื่องอะไร มาหาข้าจ้าวฉิงเหอได้ สำหรับเรื่องที่ไม่เข้าใจในวงการราชัน มาถามข้าได้ อาชีพรองของข้าเป็นถึงนักปราชญ์เชียว” เจ้าโลกฟ้าจ้าวฉิงเหอตบไหล่ของชู่มู่เบา ๆ
“นายท่าน เจ้าโลกฟ้านี่ไม่ธรรมดา อย่างน้อยดวงวิญญาณหลักทั้งห้าเป็นราชัน เจี่ยซุ่นติงเมื่อเทียบกับเขาก็เป็นแค่เศษขยะ” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้นช้า ๆ
ชู่มู่แอบประหลาดใจ ไม่คิดว่าความสามารถของเจ้าโลกฟ้าที่หน้าเหมือนพ่อค้าใจดีคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ จะไม่รับก็ไม่ได้ จึงพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ขอขอบคุณเจ้าโลกฟ้าล่วงหน้า”
เจ้าโลกฟ้ายิ้ม พยักหน้าเล็กน้อย แล้วจากไปช้า ๆ ให้คนอื่นขึ้นมาแสดงความยินดี
…
ผู้คนต่างมองออกได้ ผู้ได้เกียรติครั้งนี้จะได้รับการตอบแทนต่างจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง
ที่ผ่านมา จะมีราชันวิญญาณซึ่งเป็นตัวแทนเข้าไปให้คำอวยพร แต่ในครั้งนี้ กลับมีผู้แข็งแกร่งราชันวิญญาณหลายคนเข้าไปแสดงความยินดี !
ต่อให้ราชันวิญญาณแต่ละคนไม่มีตำแหน่ง ก็เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด ส่วนราชันวิญญาณที่มีตำแหน่งอยู่ แทบจะคุมอำนาจความเป็นความตายของคนนับพันล้านอยู่
ในตอนนี้มีราชันวิญญาณมากมายแสดงความเป็นมิตรต่อวัยหนุ่มคนหนึ่ง ไม่ต้องพูดใคร ๆ ก็รู้ว่า อนาคตของชู่เฉิงตำหนักวิญญาณไกลมาก เรียกได้ว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ได้รับเขาเข้าไปด้วยแล้ว !
“นายท่าน ราชันวิญญาณพวกนี้ไม่มองว่า เจ้าเป็นวัยหนุ่มแล้ว แต่เริ่มลากเข้าวงการราชันวิญญาณ รอให้หลังจากนี้เจ้าเข้าใจมากกว่านี้แล้ว จะรู้ว่าพวกวงการราชันจะมีกฎและการแข่งขันลับ ๆ มากมายอยู่” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่เองก็สัมผัสได้ ตอนอยู่ตำหนักวิญญาณ ชู่มู่ได้เจอบุคคลระดับนี้อยู่บ้าง ในตอนนั้น สายตาของพวกเขาเหมือนเป็นการชื่นชม ให้กำลังใจรุ่นหลัง พวกที่เยือกเย็นหน่อยก็จะยิ้มเล็กน้อย ไม่ใส่ใจเท่าไร
แต่ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า คนเหล่านี้กำลังลากและแสดงความเป็นมิตร ต่อให้เป็นคนที่เป็นมิตรอยู่แล้ว กลับมีท่าทีต่างจากก่อนหน้านี้ ขาดกำแพงพิเศษระหว่างรุ่นก่อนกับรุ่นหลัง แต่เป็นการแสดงความเป็นมิตรแบบพวกเดียวกัน
ในภาวะปกติ หนึ่งวิญญาณเป็นปริมาณอาหารหนึ่งวันของระดับเทียบเท่าราชัน ที่น่าตกใจคือ ราคาของหนึ่ง วิญญาณไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้าน ที่สำคัญที่สุดผู้คุมดวงวิญญาณน้อยคนที่จะนำทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดอย่างวิญญาณไปแลกเป็นเงินทอง
ในเวลาปกติ จะใช้วิญญาณแลกเป็นเงิน ส่วนเงินแทบไม่สามารถซื้อวิญญาณได้ ราคาของมันจะทวีคูณขึ้น อีกทั้งตามที่ทรัพยากรวิญญาณที่ไม่มั่นคง ราคาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ในตอนที่ขาดตลาด เคยเกิดเหตุการณ์ที่แม้แต่พันล้านก็ซื้อหนึ่งวิญญาณไม่ได้
หลังจากได้ยินตัวเลขอันน่ากลัวนี้ ชู่มู่นิ่งอึ้งทันที ถ้าอย่างนั้นในการให้อาหารมั่วเย้ชู่มู่จำต้องใช้เงินหนึ่งร้อยล้านทุกวัน อีกทั้งยังไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ทันที !
ชู่มู่นับว่าเป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่ค่อนข้างมั่งคั่งหลังผ่านการประลองฟ้าดิน ในเวลาปกติตัวเขาไม่มีโอกาสไปได้เงินทุนมหาศาลขนาดนั้น อีกทั้งยังต้องใช้หนึ่งวิญญาณทุกเดือน !
“นี่ยังเป็นแค่การจ่ายเพื่อไม่ให้ดวงวิญญาณระดับราชันหิว ถ้าต่อสู้บ่อยครั้ง หรือคิดจะให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้น ต้องใช้เงินมากกว่านี้อีก ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกกับเจ้าไว้ ผู้คุมดวงวิญญาณหลายคนจะถูกดวงวิญญาณระดับราชันรั้งเอาไว้ อยู่ในระดับเดิมทั้งชีวิต ไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้” ผู้เฒ่าหลีบอก
พอผู้เฒ่าหลีพูดแบบนี้ ชู่มู่เหงื่อตกทันที
ต้องรู้ว่าตัวเขาจะมีดวงวิญญาณระดับราชันสามตัวในไม่ช้านี้แล้ว ถ้าอย่างนั้น ดวงวิญญาณเหล่านี้ไม่ต่อสู้ ชู่มู่ก็ต้องเสียเงินสามร้อยล้านทุกวัน ! ก่อนหน้านี้ไม่นานชู่มู่ยังสู้เพื่อเก็บเงินหลายร้อยล้านนี้ ตอนนี้กลับกลายเป็นค่าใช้จ่ายรายวันในพริบตา !
“นายท่านไม่ต้องห่วง ผู้คุมดวงวิญญาณต้องผ่านเรื่องแบบนี้ ค่าใช้จ่ายสูงจริง แต่จากไหวพริบของนายท่าน คาดว่าจะมีรายได้มหาศาลเช่นกัน แหวนช่องว่างของผู้หญิงคนนั้นมีวิญญาณประมาณหกสิบอัน ในสองเดือนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องวิญญาณ หลังจากสองเดือนแล้ว นายท่านต้องจัดการเรื่องอาหารของดวงวิญญาณก่อน” ผู้เฒ่าหลีบอก
หลังจากระดับราชัน ทรัพยากรหายากยิ่ง นี่ทำให้เห็นภาวะปกติที่สุดหลังจากความสามารถแข็งแกร่งขึ้น มิฉะนั้น ไม่ว่าใคร ๆ ก็มีดวงวิญญาณระดับราชันได้ แล้วจะเกิดช่องว่างระหว่างจักรพรรดิกับราชันได้อย่างไร
…
ผู้เฒ่าหลีพูดเยอะนาดนี้ นับว่าเป็นการเตือนสติชู่มู่
ในเมื่อยังจัดการปัญหาเรื่องอาหารได้ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นวัตถุวิญญาณบางอย่างที่จะเพิ่มความสามารถดวงวิญญาณระดับราชันนี้ จะมีโอกาสน้อยกว่าเดิม คาดว่าต่อจากนี้ ชู่มู่จะเพิ่มความแข็งแกร่งมั่วเย้ให้อยู่ในราชันขั้นกลาง ราชันขั้นสูงจะยากขึ้นมาก อีกทั้งการแข่งขันเป็นเรื่องที่โหดร้ายยิ่ง อย่างไรสิ่งที่ชู่มู่จะต้องเผชิญคือผู้แข็งแกร่งมนุษย์และในป่า เจ้าแห่งพื้นที่ !
ปัญหาเหล่านี้ ชู่มู่ไม่คิดก่อน
เพราะประกาศเกียรติของด่านที่สิบจะมาถึงแล้ว
เรื่องที่ชู่มู่ได้รางวัลเกียรติสุดท้ายนี้ ยังเกิดเรื่องอยู่บ้าง บางคนในฝ่ายจัดการประลองคิดจะห้ามชู่มู่เข้าแข่งขัน ไม่ให้เกียรตินี้กับเขา
หลังจากด้วยอำนาจของตำหนักวิญญาณ พวกเขาก็ไม่กล้าไม่ให้ ทั้งหมดนี้เป็นบุญคุณของท่านอาวุโสที่ชู่มู่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
เกียรติสุดท้ายของการประลองฟ้าดิน คือคนที่เป็นตัวแทนแข็งแกร่งที่สุดของวัยหนุ่ม ตอนที่เหยียบบนเวทีอันเป็นที่จับตามองของคนนับหมื่นนี้ มองไปยังลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้คน มองไปยังสีหน้าคลั่งไคล้ของผู้คนนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นชู่มู่ที่มีความนิ่งผิดปกติยังรู้สึกสะเทือนใจบ้าง
ด่านฟ้าดิน เขตโลกสิบกว่าแห่ง ทุกเขตโลกมีเขตเมืองสิบกว่าอัน และภายใต้เขตเมืองนี้ มีเมืองขั้นแปดนับหมื่น
ส่วนตัวเองกลับมาจากเมืองขั้นแปดที่ไม่เป็นที่สนใจที่สุด ค่อย ๆ ก้าวมาจนมีวันนี้ อยู่ในจุดสูงสุดของรุ่นวัยหนุ่มนี้ มีใครจะไม่สะเทือนใจบ้าง
เขาสามารถเป็นที่โดดเด่นในรุ่นวัยหนุ่มได้ ถ้าอย่างนั้นในอนาคต จะก้าวไปในตำหนักสีทองนั้นได้หรือไม่ ชิงบัลลังก์ราชานั้น !
เสียงโห่ร้องราวกับฟ้าร้องดังขึ้นข้างหูชู่มู่ ชู่มู่ได้ยินเสียงของคนนับแสนที่วิพากย์วิจารย์ตัวเอง !
“ชู่เฉิงเป็นใครกันแน่ ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีใครรู้เหรอ หรือว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่มาจากเมืองว่านเซี่ยง”
“ข้าได้ยินมาว่า ชู่เฉิงไม่มีเบื้องหลังอะไร ดวงวิญญาณราชันของเขามาจากเมืองต้องห้ามหมด ตอนอยู่ด่านที่สองได้ยินว่าชู่เฉิงได้บุกเข้าโลกอลวนด่านที่หนึ่งที่มีความยากสูงยิ่ง ได้สมบัติชั้นยอดที่เพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิให้เป็นระดับราชันอันหนึ่ง…เดิมเขามีเวลามากกว่านี้ที่ทำให้ดวงวิญญาณอื่นของเขาแข็งแกร่งขึ้นผ่านดวงวิญญาณระดับราชันตัวนี้ แต่ว่าเป็นเพราะการประลองฟ้าดินที่เร่งรีบ ทำให้เขาต้องรีบกลับมา สุดท้ายจึงนำไม้ตายนี้ออกมา !”
“พูดเพ้อเจ้อไป วัยหนุ่มไม่มีทางเดินไปมาในพื้นที่ของระดับราชันได้ อีกทั้งวัตถุวิญญาณราชันหายากยิ่ง ต่อให้มีก็จะมีดวงวิญญาณระดับราชันเฝ้าอยู่ ชู่เฉิงไม่มีทางได้มาแน่นอน ต่อให้ดักรอกี่ปีก็ไม่มีทาง ดวงวิญญาณระดับราชันนี้เขาได้มาเพราะมีรุ่นก่อนช่วยเขาเพิ่มความแข็งแกร่งแน่นอน”
เรื่องที่ชู่มู่มีดวงวิญญาณระดับราชัน กลายเป็นเรื่องราวที่แตกต่างกันในเมืองนี้ อีกทั้งมีคนไม่น้อยที่แต่งตำนานให้ชู่มู่ แม้แต่ดวงวิญญาณทั้งหมดของชู่มู่ยังอยู่ในตำนานนี้ด้วย สมจริงจนชู่มู่เองยังตกใจ
ส่วนใหญ่เป็นข่าวลือในเมือง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคนธรรมดาอาศัยอยู่ ส่วนเหล่าวัยหนุ่มของวังมารนิรย วังดวงวิญญาณ วังดวงวิญญาณและตำหนักวิญญาณ พวกเขาต่างมีเบื้องหลังที่ทรงอำนาจอยู่ ความสามารถแข็งแกร่งมาก สุดท้ายพวกเขากลับไม่ใช่ผู้ได้เกียรติแม้แต่คนเดียว
ในตำหนักวิญญาณ พวกคนที่เคยร่วมมือกับชู่มู่อย่างซ่างเหิง ถิงหลัน จ้าวเฉิง หลีจ่าน พวกคนที่ชื่นชมชู่มู่เหล่านี้ ต่างแสดงความประทับใจออกมาในตอนที่ชู่มู่ยืนอยู่บนเกียรติสุดท้ายของด่านที่สิบ
“ตอนเห็นเขาครั้งแรก ความสามารถของเขาก็ค่อนข้างโดดเด่นในขั้นที่สาม และแล้วกระโดดข้ามขั้นจนอยู่ในขั้นหนึ่ง…” ถิงหลันรู้จักชู่มู่คนแรก ความสามารถที่ข้ามขั้นเกินจริงแบบนี้ของชู่มู่ทำให้เธอตกใจอย่างมากจริง ๆ
“ฮะ ฮะ ตอนแรกข้าไม่คิดว่า ที่แท้หัวหน้าเป็นบุคคลฝ่ากฎธรรมชาติอย่างโอรสของพวกเรา โอรสของพวกเราเป็นถึงตำนานเทพ ครั้งนี้ชู่เฉิงได้เกียรติสุดท้าย สร้างตำนานเทพอีกอันให้ตำหนักวิญญาณของพวกเราแล้ว หลังจากนี้ต้องเอาอกเอาใจหน่อยแล้ว” จ้าวเฉิงหัวเราะออกมา
นายท่านที่แปดตำหนักวิญญาณฟางเจ๋อ เขามีความสามารถผิดปกติเช่นกัน และแล้วเมื่อเผชิญกับชู่มู่ที่อัญเชิญดวงวิญญาณระดับราชันออกมาได้ เขากลับทำสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา
นายท่านฟางเจ๋อเก็บตัวนานมากแล้ว ความจริงความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่าโอรสน้อยวังมารนิรยเจียงอี้เถิงอีก เขาเก็บตัวมาตลอด ก็เพื่อระเบิดความสามารถในด่านที่เก้านี้ แล้วคว้าเกียรติสุดท้ายขั้นสองนี้
และแล้ว เจ้าชู่มู่ปรากฏตัว แม้แต่คนอย่างเขายังต้องถอยออกไป สุดท้ายเกียรตินี้กลับตกอยู่ในมือผู้คุมดวงวิญญาณไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง
“เจ้าชู่เฉิง ต้องผูกมิตรแล้ว” มองดูตำแหน่งเกียรติที่ควรจะเป็นของตัวเองกลับมีคนอื่นยืนอยู่ ฟางเจ๋อเองอัดอั้นเนิ่นนานถึงพูดคำนี้ออกมา
จ่านหงที่ยืนอยู่ข้างนายท่านฟางเจ๋อมีสีหน้าอึดอัดอย่างมาก เห็นได้ชัดว่า เขาเป็นเพราะไม่รู้จักการมองคน ในช่วงแรกเกิดความขัดแย้งกับชู่มู่ ทำให้เขาเริ่มกังวล คิดอยู่ว่าจะเข้าไปขอโทษตอนไหนดี
จ่านหงเย่อหยิ่งมาตลอด นอกจากนายท่านที่แปดฟางเจ๋อแล้วเขาแทบไม่เคารพคนอื่นเท่าไร ตอนนี้แม้แต่นายท่านที่แปดยังต้องนอบน้อม เขาจะกล้าเห็นต่างเรื่องชู่มู่ได้อย่างไร
ส่วนด้านวังมารนิรย หลังจากสามผู้แข็งแกร่งขั้นสองของวังมารนิรยพ่ายแพ้ให้กับชู่มู่แล้ว พวกเขาทั้งสามคนได้รวมหัวกัน คิดจะสั่งสอนชู่มู่หลังจากจบการประลองครั้งนี้
แต่ว่าชู่มู่ในตอนนี้ได้เข้าสู่ขั้นที่หนึ่ง อีกทั้งในขั้นที่หนึ่งแทบไม่มีคนเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ นี่ทำให้เจียงอี้เถิง ซิงหยาง ลู่ซานหลีตบหน้าตัวเอง
“พวกเจ้าจัดการเถอะ ข้าไม่อยากเข้าร่วมแล้ว ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับคนที่มีดวงวิญญาณระดับราชัน” ลู่ซ่านหลีออกจากแผนการนี้ก่อน
ในตอนที่ฝ่ายตรงข้ามมีแค่มารนิรยขาว จัดการลู่ซานหลีได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ลู่ซานหลีแค้นชู่มู่อย่างมาก แต่เขายังรู้ตัวดี
“หน็อยแน่ ด้วยอำนาจของพวกเราในวังมารนิรย คิดว่าพวกเราใช้เจ้าวัง ผู้อาวุโสจัดการเขาไม่ได้เหรอ” เจียงอี้เถิงเกลียดชู่มู่อย่างมากแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นชู่มู่ยืนอยู่บนเวทีแห่งเกียรติยศขั้นที่หนึ่ง จึงรู้สึกโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา !
“โอรสน้อย…นี่ ข้าก็ไม่เข้าร่วมแล้ว” ซิงหยางพูดเสียงเบา
เจียงอี้เถิงเห็นซิงหยางไม่คิดจะเล่นลับหลัง ยิ่งโกรธมากขึ้น “ขี้ขลาดแบบนี้ ยากที่จะเจริญได้ ไม่กำจัดคนแบบนี้ทิ้ง ต่อไปจะเป็นอุปสรรคให้พวกเราแน่นอน !”
ลู่ซานหลีกวาดตามองไปยังเจียงอี้เถิง ผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยที่มีเบื้องหลังไม่มากเท่าไรอย่างซิงหยางอาจกลับเจียงอี้เถิง แต่ตำแหน่งของลู่ซานหลีไม่ต่ำ เขาไม่กลัวเจียงอี้เถิง พูดอย่างเยือกเย็นว่า “อุปสรรคของพวกเรางั้นหรือ เจ้าประเมินตัวเองสูงไปจริง ๆ อีกไม่นาน ไม่กี่ปีเจ้าจะถึงอายุสามสิบแล้ว ตอนนี้วิญญาณของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังมีหวังจะเข้าสู่ราชันวิญญาณหรือได้ดวงวิญญาณระดับราชันก็โชคดีมากแล้ว ส่วนชู่เฉิง เขาไม่มีทางเป็นอุปสรรคของพวกเราแล้ว เพราะพวกเราไม่มีวันจะอยู่ในระดับเดียวกับเขาอีกแล้ว”
ลู่ซานหลีไม่ได้เยาะเย้ยคนอื่นเพื่อเชิดชูตัวเอง แต่เขารู้ดีว่า ความหมายของจักรพรรดิกับราชันต่างกันมาก โดยเฉพาะชู่มู่ในตอนนี้ทะยานขึ้น มีราชันสองตัว เกรงว่าอีกไม่นาน เจ้าโลก เจ้าวัง เจ้าตำหนัก และราชันบางคนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชู่มู่แล้ว ส่วนคนอย่างพวกเขา เกรงว่ายังวนเวียนอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอด
พวกเขาทั้งสามคน จากเกียรติสุดท้ายขั้นสองตกลงก้นเหวทันที อีกทั้งต้องคว้าตำแหน่งขั้นสองกลับมา แล้วมุ่งหน้าสู่ขั้นแข็งแกร่งที่สุดในขั้นที่หนึ่ง แล้วเป็นจุดบอดอันใหญ่ที่สุดและโหดร้ายที่สุดระหว่างราชันกับจักรพรรดิ
ระยะห่างกับชู่มู่มหาศาลแบบนี้ นอกจากชู่มู่จะเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่แล้ว พวกเขาไม่มีทางอยู่ในระดับเดียวกับชู่มู่แน่นอน
ความสามารถที่ต่างกันขนาดนี้ เรื่องแก้แค้น ยังจะกล้าพูดอีกเหรอ
ต่อให้ชู่มู่นำเกียรติขั้นสองให้เย้หวันเชิง ทว่า คนในเมืองเทียนเซี่ยต่างรู้ดี วัยหนุ่มผิดธรรมชาติชู่เฉิงตำหนักวิญญาณยังคงเป็นเจ้าของเกียรติสุดท้ายทั้งสอง
เย้หวันเชิงเองก็หน้าด้าน ไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเขาก็เพื่อรับฟังคำสั่งเสียของอาจารย์ คนอื่นจะพูดอะไรก็ตาม เขาก็ไม่สนใจแล้ว
แน่นอนว่า เย้หวันเชิงได้ตัดสินใจแล้ว หลังจากได้คำสั่งเสียของอาจารย์ จะเริ่มฝึกอย่างหนักแล้ว โดยเฉพาะทุกครั้งที่เห็นชู่มู่ สายตาเจ็บปวดของเขา แสดงให้เห็นถึงอารมณ์อิจฉาอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ตอนที่ตัวเองเจอชู่มู่ในวันข้างหน้าแล้วเขาดูไร้ค่าแบบนี้ ดังนั้น เขาจะสู้สักตั้ง
ชู่มู่เองก็ไม่รู้ว่า คำสั่งเสียอาจารย์ของเย้ชิงจือกับเย้หวันเชิงคืออะไร คาดว่าน่าจะเป็นสมบัติอันล้ำค่า อีกทั้งเย้หวันเชิงเองก็เคยพูดไว้ว่า แค่ได้คำสั่งเสียของอาจารย์มา ไม่แน่อีกไม่กี่ปี ชู่มู่จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว
ประโยคนี้ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมาก อย่างน้อยเย้หวันเชิงก็รู้ความสามารถของตัวเอง ความสามารถของคนปกติจะยิ่งห่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่ทำให้ชู่มู่ไม่แน่ใจว่า เจ้าเด็กนี่พูดเพ้อเจ้อเกินจริงหรือมีที่พึ่งพาจริง ๆ
เกียรติใหญ่ทั้งสองประกาศในเวลาเดียวกัน ในวันที่สิบหลังจบด่านที่สิบ
หลังจากการแข่งขันจบลง ชู่มู่เองก็ได้พักผ่อนเต็มที่ ดวงวิญญาณอื่นก็ได้ปรับตัวแล้ว มังกรวายุอลวนได้กินดีอยู่ดีตลอดสิบวัน มีเนื้องอกออกมาบ้าง ความสามารถฟื้นกลับมาค่อนข้างไว
มีเพียงหลังจากผ่านการต่อสู้ต่อเนื่อง มั่วเย้กลับขี้เซามากขึ้น ออกมาเดินเล่นในภาวะอาวรณ์บ้าง หมอบอยู่บนไหล่ของชู่มู่ด้วยความง่วง
พฤติกรรมนี้ทำให้ชู่มู่แปลกใจ เพราะว่าหลังจากลอกคราบเป็นระดับราชัน มั่วเย้กลับขี้เกียจ ต่างจากตอนปกติที่เจ้านี่เวลาไม่มีอะไรทำจะไปก่อกวนนู่นนี่นั่น
“ผู้เฒ่าหลี เกิดอะไรขึ้น” ชู่มู่ถามขึ้น
“ปกติมาก ดวงวิญญาณระดับราชันขี้เซาหมด ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกกับเจ้าแล้ว แรงกายของดวงวิญญาณระดับราชันไม่ได้ฟื้นได้จากการพักผ่อน พลังของมันแข็งแกร่งอย่างมาก เท่ากับว่าปริมาณอาหารที่มันกินจะเยอะมาก อีกทั้งพวกมันไม่กินของธรรมดา อย่างแรก เศษวิญญาณน่าจะไม่มีประโยชน์ต่อพวกมันแล้ว”ผู้เฒ่าหลีบอก
“เศษวิญญาณไม่มีประโยชน์แล้วงั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นกินอะไร หรือว่ากินผลึกวิญญาณ” ชู่มู่เบิกตาถามขึ้น
เศษวิญญาณเป็นอาหารตลอดกาลของดวงวิญญาณ แต่ทำไมพอถึงระดับราชัน เศษวิญญาณกลับไร้ประโยชน์ และถ้าดวงวิญญาณระดับราชันกินแค่ผลึกวิญญาณ จะรับไหวได้อย่างไร !
ผลึกวิญญาณขั้นเก้าเม็ดหนึ่งมีราคาหลายร้อยล้าน ผลึกวิญญาณขั้นสิบหลายสิบล้าน ส่วนมั่วเย้มีหมวดเยอะขนาดนั้น ยิ่งรับไม่ไหว ราคาของผลึกวิญญาณจะทวีคูณมาก
“หรือว่าเจ้าไม่เห็นว่า วัตถุวิญญาณขั้นสิบ สิ่งของขั้นสิบที่ว่า เจ้าจะได้มาตอนที่อยู่ในระดับจักรพรรดิแล้ว” ตอนที่ผู้เฒ่าหลีพูด มันได้ลูกเคราของตัวเองนั้นด้วย ทำท่าทีกำลังจะสั่งสอน
ประโยคนี้ของผู้เฒ่าหลีเป็นความจริง ตอนที่มั่วเย้อยู่ในจักรพรรดิขั้นกลาง ได้ใช้สิ่งของในขั้นเก้าระดับหนึ่งแล้ว คาดว่าพอถึงจักรพรรดิชั้นยอด น่าจะต้องใช้วัตถุวิญญาณขั้นสิบ สิ่งของขั้นสิบ
“ท่าทางเจ้าจะเข้าใจแล้ว ความจริงการแบ่งขั้นสิบเป็นการแบ่งของระดับที่ต่ำกว่าราชัน ขั้นสิบหมายถึงจักรพรรดิขั้นสูง จักรพรรดิชั้นยอด รวมถึงพลังของทักษะและทักษะด้วย โดยปกติจักรพรรดิขั้นสูงกับจักรพรรดิชั้นยอดจะปล่อยทักษะพลังขั้นสิบออกมาได้ อีกทั้งรวมถึงโลกอลวนก็เป็นแบบนี้ แน่นอนว่า ปกติโลกอลวนขั้นเก้ากับสิบจะมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งถึงระดับราชันอยู่”ผู้เฒ่าหลีบอก
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากระดับราชัน มีการแบ่งแบบอื่นอีกไหม” ชู่มู่ถามขึ้นอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้ย่อมเป็นธรรมดา อย่างแรก ระดับราชันแข็งแกร่งกว่าระดับจักรพรรดิมากเกินไป วัตถุวิญญาณในขั้นสิบก่อนหน้านั้น แทบจะเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณระดับราชันได้เล็กน้อย รวมถึงวัตถุวิญญาณที่ทำให้ดวงวิญญาณเติบโตไวขึ้นเหล่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ขายในสถานแลกเปลี่ยนและอำนาจต่าง ๆ เจ้าไม่ต้องไปดูแล้ว คัดออกได้แล้ว” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างผู้มากประสบการณ์
ชู่มู่จ้องเขม็งไปยังเจ้าแก่นี่แล้วพูดขึ้น “ทำไมถึงไร้ประโยชน์ ข้ามีแค่มั่วเย้เหรอ !”
“แคะ แคะ…เกือบลืมไปแล้ว ดวงวิญญาณอื่นของเจ้ายังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ความสามารถห่างกันมากเกินไปแล้ว” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างอึดอัด” อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยู่ในขั้นสิบ ไม่มีประโยชน์ต่อมั่วเย้มากเท่าไรแล้ว…แน่นอนว่า ผลึกวิญญาณขั้นเก้ากับขั้นสิบนำมากินเป็นข้าวได้…”
“….” ชู่มู่หน้ามืดทันที
ผลึกวิญญาณขั้นเก้ากับสิบล้วนเป็นของที่มีราคาหลายร้อยล้าน เดิมมั่วเย้ก็ชอบกิน ขี้อ้อนอยู่แล้ว ให้มันกินของพวกนี้แทนข้าว อย่างนั้นชู่มู่จะล้มละลายแล้ว !
“ถ้าอย่างนั้นต้องให้ราชันกินอะไรถึงจะเหมาะสม” ชู่มู่ถามขึ้น
“มีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ ความจริงวิญญาณมีหลายรูปแบบ ผลึกเครื่องใน เศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณที่ผ่านการสลายจากธรรมชาติ แล้วกลายเป็นผลึกพลังงานที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าชนิดหนึ่ง ผลึกพลังแบบนี้มีขายในตลาดเหมือนกัน ราคาไม่ต่างจากผลึกวิญญาณขั้นเก้ากับสิบเท่าไร…”
“วิญญาณมีอย่างจำกัด พูดได้ว่า ในเขตโลกที่ค่อนข้างเล็ก จะมีแหล่งผลิตวิญญาณแค่หนึ่งจุด อีกทั้งอาจทำให้ดวงวิญญาณราชันไม่หิวเท่านั้น” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ถ้าวิญญาณไม่พอ ก็กินผลึกวิญญาณแทน…” ชู่มู่ถามต่อ
“ผลึกวิญญาณขั้นเก้ากับสิบกินได้ แต่วิธีนี้เป็นแผนสำรอง ผลึกวิญญาณขั้นเก้ากับสิบเน้นไปทางพลังงาน พูดได้ว่าเหมือนหมันโถที่ทำให้อิ่มถึงอิ่มมากได้ แต่สารอาหารที่ดูดซึมได้จากในนั้นกลับไม่มาก กินเป็นครั้งเป็นคราวไม่เป็นอะไร แต่ถ้ากินเยอะแล้ว จะทำให้พลังของดวงวิญญาณราชันลดลง และดวงวิญญาณราชันแบบนี้ นับว่าเป็นพวกที่แก่แล้ว หรือถ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจะรักษาไม่หาย” ผู้เฒ่าหลีบอก
พลังของผลึกวิญญาณขั้นเก้ากับสิบไม่ใช่ไม่พอ แต่ไม่เหมาะกับนำมาเป็นอาหาร
“หลังจากถึงระดับราชันแล้ว กฎธรรมชาตินี้ยิ่งเผยให้เห็นมากขึ้น หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญที่สุดก็เป็นเพราะการแย่งชิงวิญญาณนี้ ส่วนการแลกเปลี่ยนระหว่างราชันวิญญาณ น่าจะนำวิญญาณเป็นสื่อการแลกเปลี่ยน เพราะสิ่งนี้ไม่มีทางที่จะราคาตก ไม่มีดวงวิญญาณราชันตัวใดไม่ต้องกินข้าว” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ทำไมเป็นแบบนี้ ดวงวิญญาณราชันกลับมีปัญหาเรื่องอาหารมากขึ้น” ชู่มู่พูดอย่างตกใจ
ดวงวิญญาณระดับราชันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านบนสุดของห่วงโซ่อาหาร เหล่าดวงวิญญาณตัวเล็กในป่ากลับจัดการเรื่องอาหารได้ไม่ยาก แต่ดวงวิญญาณระดับราชันกลับต้องกังวลเรื่องอาหาร
ผู้เฒ่าหลีเองก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “กฎของดวงวิญญาณเป็นไปอย่างยุติธรรม สิ่งที่เห็นชัดมากที่สุดคือ ดวงวิญญาณอ่อนแอกินอะไรก็อยู่รอดได้ แต่ดวงวิญญาณราชันกลับไม่ใช่แบบนั้น”
“กฎนี้ทำให้ดวงวิญญาณราชันส่วนใหญ่ครองความเป็นใหญ่ในภูเขาบางแห่ง หรือโลกอลวนของพวกเจ้านั่นเอง”
“อย่างแรก โลกอลวนที่มีดวงวิญญาณระดับราชันอยู่ จะต้องมีทรัพยากรวิญญาณที่สมบูรณ์ ก่อนหน้านี้ข้าบอกแล้ว วิญญาณเกิดจากแหล่งธรรมชาติมากมายของผลึกธาตุ ผลึกเครื่องใน เศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ ผลึกหินต่าง ๆรวมกัน อีกทั้งโอกาสที่จะพบเจอมีไม่มาก เช่นนี้ ระบบนิเวศของโลกอลวนหนึ่งยิ่งสมบูรณ์ยิ่งใหญ่มากเท่าไร โอกาสที่จะมีวิญญาณก็จะมากขึ้นเท่านั้น ปกติดวงวิญญาณราชันจะครอบครองพื้นที่มหาศาล ทำให้กลุ่มดวงวิญญาณอื่นจำยอม แล้วให้กลุ่มเหล่านี้มอบอาหาร และวิญญาณมาให้”
พอผู้เฒ่าหลีพูดแบบนี้ ชู่มู่เข้าใจดวงวิญญาณราชันขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ว่าชู่มู่ประหลาดใจมาก หรือว่าระหว่างดวงวิญญาณราชันจะไม่เกิดการต่อสู้บ่อยครั้งเหรอ มีเพียงการต่อสู้ถึงจะเพิ่มความสามารถ แข็งแกร่งมากขึ้นได้
ในตอนนี้ชู่มู่ได้บอกความสงสัยของตัวเองออกมา
“ดวงวิญญาณราชันก็คือราชัน เป็นเจ้าแห่งเมือง นอกจากจะเกิดการแย่งชิงพื้นที่รุนแรง โดยปกติดวงวิญญาณราชันจะไม่ลงมือ อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นพื้นที่ที่สมบูรณ์มากเพียงใด ก็จะไม่มีราชันตัวใดบอกว่า ทรัพยากรวิญญาณของตัวเองมีมากพอ อีกทั้ง ยิ่งความสามารถแข็งแกร่ง ยิ่งต้องการวิญญาณมากเท่านั้น และการต่อสู้แต่ละครั้ง ต้องใช้แรงกายอย่างมาก ต่อให้แรงกายของดวงวิญญาณราชันมากกว่าดวงวิญญาณอื่นมาก แต่เจ้าคิดดู ถ้าเผชิญหน้ากับศัตรูนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นดวงวิญญาณราชันก็จะหมดลงได้เช่นกัน….พวกมันแข็งแกร่งมาก ขณะเดียวกัน กลับไม่เปลืองแรงกายเพื่อการต่อสู้ที่ไร้ความหมาย อีกทั้งไม่ยอมที่จะได้รับบาดเจ็บ เพราะทันทีที่ได้รับบาดเจ็บ ราชันตัวอื่นอาจอาศัยโอกาสนี้เข้ามายึดพื้นที่ แย่งแหล่งทรัพยากร”
ตอนที่ผู้เฒ่าหลีพูด ชู่มู่ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
“แน่นอนว่า ถ้ามีผู้คุมดวงวิญญาณละก็ ทั้งหมดนี้จะไม่เหมือนกัน มนุษย์ได้ก่อเป็นระบบการแลกเปลี่ยนที่ใหญ่มาก ถ้าราชันวิญญาณมีเงินละก็ จะซื้อวิญญาณได้ อีกทั้งมนุษย์จะคิดวิธีสร้างและเจอวิญญาณได้ง่ายขึ้นด้วย เช่นนี้ดวงวิญญาณราชันที่ทำสัญญาวิญญาณกับมนุษย์จะต่อสู้บ่อยขึ้น…”
“แต่ว่าต่อให้เป็นดวงวิญญาณราชันแบบนี้ก็อาจทำลายการเงินของผู้คุมดวงวิญญาณได้ อีกทั้งมีผู้คุมดวงวิญญาณบางคนรับภาระนี้ไม่ไหว จำต้องปล่อยดวงวิญญาณราชันไปในที่สุด ดังนั้น นายท่านเจ้าต้องทำใจให้ดี สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ ราคาแพงมากจริง ๆ อีกทั้งหายากมาก” ผู้เฒ่าหลีบอก
“แล้วก็ทำไมคนที่มีดวงวิญญาณราชันมักจะได้ตำแหน่งเร็วขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เจ้าโลก ความจริงเจ้าโลกเป็นพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ทรัพยากรวิญญาณจะถูกเจ้าโลกดักไว้หมดอยู่แล้ว เมื่อผ่านการดักไว้แบบนี้ เจ้าโลกมั่นใจได้ว่า ตัวเขาจะเลี้ยงดวงวิญญาณระดับราชันได้แน่นอน นายท่านในตอนนี้ยังไม่รู้ว่า ดวงวิญญาณระดับราชันกินได้ขนาดไหน ผ่านไปสักพักเจ้าจะรู้…แล้วก็ มังกรจำศีลน้อยของท่าน…กินเก่งมากเช่นกัน”
ชู่มู่ยิ้มแบบฝืน ๆ ท่าทางหลังจากนี้ตัวเองต้องหาเงินให้ดวงวิญญาณระดับราชันของตัวเองอย่างบ้าคลั่งแล้ว
สิ่งเดียวที่โชคดีคือ แหวนช่องว่างของเด็กสาวทรยศ ที่มีสิ่งที่คล้ายกับผลึกวิญญาณแต่ก็ไม่ใช่ นั้นคือวิญญาณนั่นเอง วิญญาณเหล่านี้พอจะเป็นปริมาณอาหารของมั่วเย้ได้สองเดือน
เด็กสาวทรยศเห็นมั่วเย้โจมตีอีกครั้ง ไม่หลบอีกต่อไป
เห็นได้ชัดมากว่า เธอรู้ว่าเป็นเพราะความประมาทของตัวเอง ทำให้แผนการหกปีนี้พังทลายหมด อีกทั้งคนที่ทำลายทั้งหมดนี้ กลับเป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่ทำสัญญาวิญญาณกับตัวเองซึ่งเธอไม่เคยนึกถึงแม้แต่น้อย !
สุดท้ายเด็กสาวทรยศไม่หลบอีก แต่ดวงตาเยือกเย็นคู่นั้นยังคงจับจ้องไปยังชู่มู่ เหมือนจะจดจำหน้าตาของชู่มู่เอาไว้ ทั้งหมดนี้ก็มองออกได้ว่า ครั้งนี้เด็กสาวทรยศโกรธอย่างมากจริง ๆ !
“ซัวะ !!! ”
กรงเล็บนี้ของมั่วเย้ เล็งไปยังหัวใจของเด็กสาวทรยศโดยตรง !!!
เด็กสาวทรยศยืนอยู่ตรงนั้น ต่อให้หน้าอกถูกฉีกจนเลือดเนื้อกระจาย กลับไม่เผยท่าทีเจ็บปวดใด ๆ ออกมา ยังคงจับจ้องไปยังชู่มู่ราวกับผีร้าย
เผชิญหน้ากับการจับจ้องของเด็กสาวทรยศก่อนตาย ชู่มู่กลับไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย
…
“พระเจ้า…เจ้าชู่มู่นี่โหดเกินไปแล้ว !”
ที่ไกลออกไปจากเนินเมฆดำ ลี่ฮวังมองไปยังการต่อสู้ด้านหน้าปราสาทโบราณด้วยความตกใจ !
ลี่ฮวังเคยมองผ่านหุ่นเชิดของเด็กสาวทรยศมาก่อน ในตอนนั้นเขาสะพรึงกับลักษณะงดงามของเธออย่างมาก ผู้หญิงแบบนี้ ควรจะบูชาให้พระเจ้า แต่เจ้าชู่มู่สะกัดดาวนั้น กลับไม่คิดแม้แต่จะกะพริบตา ก็ทำให้ร่างกายของดวงวิญญาณสมบูรณ์แบบสลายไป ความสามารถอันโหดร้ายนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเทพ !
หลังจากลี่ฮวังเสียมังกรจำศีลมรกตไป ไม่ได้ล้มเลิกไป เดิมเขาคิดจะมองดูทั้งสองฝ่ายพ่ายแพ้จากที่ไกลและแล้วเป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ต่อให้เป็นผู้หญิงลึกลับคนนั้นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดวงวิญญาณระดับราชันได้
เช่นนี้ ลี่ฮวังยิ่งไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน เขามั่นใจได้ว่าทันทีที่ชู่มู่เจอเขา จะฆ่าเขาทิ้งอย่างไม่ลังเลแน่นอน ก่อนที่ตัวเองจะมีพลังมากพอ ลี่ฮวังจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับชู่มู่เด็ดขาด
…
เลือดสดไหลออก แต่ว่าหลังจากที่เลือดเหล่านี้ไหลไปได้ระยะหนึ่ง จะซึมเข้าดินทันที แล้วหายไปในที่สุด
ส่วนร่างของเด็กสาวทรยศ มองดูเหมือนมีเลือดมีเนื้อ แต่กลับไม่เหมือนมนุษย์เสียทีเดียว ตอนที่หลังจากมั่วเย้ฉีกร่างของเธอ เธอกลายเป็นดอกไม้สีฟ้ายักษ์ใหญ่ที่เหี่ยวเฉาอย่างช้า ๆ
ดอกไม้สีฟ้านี้เป็นร่างหลักของดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศเบิกตากว้าง ต่อให้ตายแล้วยังคงจับจ้องไปยังชู่มู่อยู่ดี
ชู่มู่เดินไปด้านหน้าศพเธอช้า ๆ ลำตัวของเธอกลายเป็นกลีบดอกไม้สีฟ้าเหี่ยวแห้งทันที แต่หัวของเธอยังอยู่ ชู่มู่ได้เดินเข้าไปเปิดผ้าปิดหน้าของเธอออก
เช่นเดียวกับที่ชู่มู่เห็นในความทรงจำตัวเอง หน้าตาเหมือนกับเด็กสาวทรยศ
แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับเด็กสาวทรยศจริง ๆ หุ่นเชิดนี้ยังขาดไปมาก อย่างน้อยไม่มีเสน่ห์ที่ทำให้ชู่มู่คลั่งไคล้มัน เมื่อเผชิญกับศพเดินได้แบบนี้ นอกจากใบหน้าที่งดงามยิ่งแล้ว แทบไม่มีอะไรแล้ว
ส่วนเด็กสาวทรยศที่แท้จริง ใบหน้างดงามของเธอมีเสน่ห์ของความบริสุทธิ์อยู่ จุดนี้กลับตรงกันข้ามกับหุ่นเชิดหน้าตายแบบนี้ ชู่มู่ก็รู้ว่า ต่อให้ตอนนี้ตัวเขาไปแก้แค้นกับเด็กสาวทรยศ ก็เกรงว่าแค่คาถาเสน่ห์อันเดียวของตัวเอง ก็ทำให้เขาลืมการแก้แค้นแล้ว
หลังจากชู่มู่เปิดผ้าปิดหน้าไม่นาน ใบหน้าของหุ่นเชิดเด็กสาวเริ่มเลือนลาง สุดท้ายได้กลายเป็นกลีบดอกไม้ที่แห้งเหี่ยว หายไปในดินอย่างช้า ๆ
หลังจากศพของเด็กสาวทรยศหายไป ชู่มู่จงใจเหยียบบนตัวมันอย่างไม่เกรงใจ
น้อยคนที่จะทำให้ชู่มู่โกรธได้ แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ทำให้ชู่มู่โกรธเคืองอย่างมากคนหนึ่ง ต่อให้เธอตายลงแล้วชู่มู่ก็จะไม่เกรงใจเธอ !
…
มีร่องรอยของหลักฐานที่หนึ่งสักที ตอนนี้ในใจของชู่มู่เริ่มจับต้นชนปลายได้แล้ว ขณะเดียวกัน ความคาดหวังที่จะแข็งแกร่งขึ้นรุนแรงมากยิ่งขึ้น !
ความสามารถของหุ่นเชิดตัวเดียวก็ถึงระดับราชันแล้ว ถ้าอย่างนั้น ตัวเด็กสาวทรยศจะต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน คิดจะให้เธอจำยอม ชู่มู่จำต้องแข็งแกร่งกว่าเธอ ไม่เพียงแต่ในด้านร่ายวิญญาณ ความสามารถของดวงวิญญาณก็ต้องเกินกว่าเธอให้ได้ !
สัญญาวิญญาณของชู่มู่ในตอนนี้มีสิบสองอันแล้ว ถ้าทำให้เด็กสาวทรยศจำยอมได้ ชู่มู่แทบไม่สนใจพื้นที่สัญญาวิญญาณสองอันที่ถูกเด็กสาวทรยศครอบครองเอาไว้ เพราะหลังจากที่เธอจำยอมแล้ว ชู่มู่จะเก็บเธอเข้าช่องว่างดวงวิญญาณแล้วไม่อัญเชิญออกมาอีก ส่วนหนึ่งก็เพื่อคุมขังเด็กสาวทรยศเอาไว้ อีกส่วนก็เพื่อตามหาญาณที่หนึ่งของตัวเอง
“มั่วเย้ มีผลึกเครื่องในไหม” ชู่มู่ถามขึ้น
ชู่มู่กังวลว่า หุ่นเชิดนี้สร้างจากกลีบดอกไม้ของดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอย่างนั้นหุ่นเชิดจะไม่มีผลึกเครื่องในแน่นอน เป็นแค่ของตายเท่านั้น
ที่โชคดีคือ แม้จะเป็นหุ่นเชิด กลับเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ กรงเล็บของมั่วเย้มีผลึกเครื่องในดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์อันหนึ่งอยู่
ชู่มู่ดีใจ รีบทำความสะอาด เก็บผลึกเครื่องในดอกไม้ศักดิ์สิทธินี้เข้าช่องว่างดวงวิญญาณของตัวเอง
แบบนี้ จะช่วยเย้ชิงจือได้แล้ว ชู่มู่เองก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
“ว่าแต่ ถ้าหุ่นเชิดนี้เป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ถ้าอย่างนั้นร่างจริงของเด็กสาวทรยศคืออะไรกัน” ในไม่ช้า เกิดคำถามอีกอย่างขึ้นในใจชู่มู่ทันที
ชู่มู่จำได้ว่า ตอนที่ทำสัญญาวิญญาณกับเด็กสาวทรยศ เธอปรากฏตัวท่ามกลางดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าจริง ๆ แต่หลังจากที่นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพิสูจน์จากกลีบดอกไม้ที่เน่าเปื่อยนั้น นั่นเหมือนจะไม่ใช่ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งมีชีวิตนิรนาม….
“ระดับตระกูลของดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เป็นระดับราชัน ถ้าอย่างนั้นเด็กสาวทรยศก็ต้องเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการเพิ่มความแข็งแกร่งแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระดับสูงกว่าดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังไม่เกินระดับราชันแน่นอน”ชู่มู่เริ่มประเมินความสามารถของเด็กสาวทรยศ
ถ้าเด็กสาวทรยศเกินกว่าระดับราชันละก็ คงไม่ต้องทุ่มเทขนาดนี้แล้ว ดังนั้นชู่มู่คิดว่าเธอมีโอกาสที่จะเป็นระดับราชันขั้นสูงไม่ก็ระดับราชันชั้นยอดมากกว่า
“ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว ตั้งใจเพิ่มความสามารถดีที่สุด” ชู่มู่ไม่คาดเดาอีก
มั่วเย้อยู่ในระดับราชันแล้ว อีกสองปีมังกรจำศีลน้อยจะอยู่ในระดับราชันได้เช่นกัน บวกกับดวงวิญญาณตัวอ่อนของเกียรติขั้นสิบ จะเป็นราชันอีกตัว รูปแบบทั้งหมดนี้ดีอย่างมาก !
นึกถึงมังกรจำศีลน้อย ชู่มู่นึกขึ้นได้ว่าบนตัวเด็กสาวทรยศยังมีบ่อน้ำอมตะทันที !
ในตอนนี้ ชู่มู่รีบตามหาแหวนช่องว่างที่อยู่ข้างศพของเด็กสาวทรยศ
และแล้ว แหวนช่องว่างตกอยู่บนพื้น อีกทั้งยังมีเลือดของเด็กสาวทรยศติดอยู่ ชู่มู่รีบเก็บมันขึ้นมา
ของในแหวนช่องว่างของเด็กสาวทรยศมีไม่มากเท่าไร ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ชู่มู่ไม่เคยเห็น กลับเต็มด้วยพลังวิญญาณเม็ดเล็ก ที่มองดูคล้ายกับผลึกวิญญาณ
ชู่มู่ไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร แต่ก็เก็บเข้าแหวนช่องว่างของตัวเองหมด คาดว่าในเมื่อเด็กสาวทรยศเก็บไว้ น่าจะมีราคาไม่น้อย
“ฮะฮะ นี่น่าจะเป็นบ่อน้ำอมตะแล้ว !” ชู่มู่หัวเราะออกมา และแล้วได้เจอขวดที่มีของเหลวสีน้ำเงินในแหวนช่องว่างเด็กสาวทรยศแล้ว
ชู่มู่อยู่กับเย้ชิงจือช่วงหนึ่งแล้ว จึงรู้จักการประเมินราคาของยาจากขวดยาที่บรรจุ ขวดยานี้มองดูก็รู้ว่า เป็นยาขั้นสิบ เย้ชิงจือเองก็มีไม่กี่อัน
ถ้าในขวดยานี้ไม่ใช่น้ำอมตะ ชู่มู่จะเหยียบบนก้านดอกไม้แห้งเหี่ยวของเด็กสาวทรยศอีก !
“องค์หญิง นี่ใช่น้ำอมตะ…” ชู่มู่กำลังจะให้องค์หญิงจิ่งโหลวประเมิน
และแล้ว ตอนที่ชู่มู่หันไป นอกจากมังกรวายุอลวนที่กำลังฆ่าล้างกับอสูรเหวและสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวอื่นแล้ว กลับไม่เห็นเงาขององค์หญิง
ชู่มู่ตกใจทันที ตลอดที่ผ่านมาชู่มู่สงสัยว่าองค์หญิงจิ่งโหลวเข้ามาในเมืองอมตะนี้มีจุดประสงค์อะไร และเธอหายตัวไปกะทันหันในตอนนี้ น่าจะเข้าไปในปราสาทโบราณนี้แล้ว
“ปีศาจขาว เจ้าอยู่ที่นี่คอยจัดการสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้ากับมังกรวายุอลวน ข้าเข้าไปดู” ชู่มู่ไม่ทันได้ตรวจดูสมบัติของเด็กสาวทรยศ หลังจากทิ้งปีศาจขาวไว้ ได้เดินมุ่งหน้าไปปราสาทโบราณ
หลังจากที่มั่วเย้ฆ่าจักรพรรดิขั้นสูงสี่ตัวและจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่งแล้ว ได้รีบตามมาข้างชู่มู่ มุ่งหน้าไปยังปราสาทโบราณ
พึ่งก้าวเข้าไปในปราสาทโบราณ ชู่มู่สัมผัสถึงบรรยากาศชวนขนลุกทันที เช่นเดียวกับตอนที่ตัวเองได้เจอกับกลิ่นไอที่ดวงวิญญาณหมวดผีปล่อยออกมา
ดวงวิญญาณหมวดผีเป็นที่พบเห็นได้ค่อนข้างยาก ไม่พูดถึงหมวดผี ชู่มู่เองไม่ค่อยได้เจอกับสิ่งมีชีวิตตระกูลวิญญาณแห่งความตาย คาดว่าในปราสาทโบราณนี้น่าจะเคยเป็นที่อยู่ของดวงวิญญาณหมวดผี แต่ตอนนี้ถูกทำความสะอาดไปแล้ว
“ชู่มู่” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านในปราสาทโบราณทันที
“องค์หญิง เจ้าทำอะไรที่นี่” ชู่มู่เห็นองค์หญิงจิ่งโหลวที่สวมชุดสีฟ้าทันที
องค์หญิงจิ่งโหลวไม่ตอบ แต่สังเกตพื้นของห้องโถงปราสาทโบราณตลอด อีกทั้งยังใช้จมูกดมเป็นครั้งคราว แล้วครุ่นคิดต่อ
“องค์หญิง” ชู่มู่ตั้งใจถามขึ้นอีกรอบ รู้สึกว่าท่าทีแบบนี้ขององค์หญิงจิ่งโหลวประหลาดมาก
ตอนนี้องค์หญิงจิ่งโหลวถึงเงยหน้ามองชู่มู่ ดวงตางดงามคู่นั้นจับจ้องไปยังชู่มู่ สายตาของเธอเผยให้เห็นความผิดหวังและเศร้าหมอง ทำให้ชู่มู่ทำตัวไม่ถูก
“วางใจได้ เรื่องนี้จะไม่เป็นเรื่องร้ายสำหรับเจ้า ข้าแค่อยากได้สิ่งที่ข้าอยากได้เท่านั้น” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดเสียงเบา
ชู่มู่มองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลว พบว่าเธอมีท่าทีเสียใจ ยิ่งเกิดความสงสัยในใจ
“เจ้าอยากได้สิ่งเดียวกับผู้หญิงคนนั้นงั้นหรือ” ชู่มู่ถามขึ้น
เด็กสาวทรยศตั้งใจมาปราสาทโบราณแห่งนี้ องค์หญิงจิ่งโหลววิ่งมาที่นี่ในตอนที่ชู่มู่รับมือกับเด็กสาวทรยศ คาดว่าในปราสาทโบราณนี้จะต้องมีของที่คุ้มกับความอยากได้ของพวกเธอ อีกทั้งไม่ใช่สิ่งของธรรมดาแน่นอน
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่มั่นใจ ตอนนี้มั่นใจได้แล้ว แต่จุดเริ่มต้นของพวกเราต่างกัน โปรดอภัยให้กับข้าที่ไม่สามารถบอกความจริงกับเจ้า เพราะเรื่องนี้สำคัญกับข้ามาก อีกทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเจ้า…” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดอย่างจริงใจ
“แล้วเจ้าคิดจะอยู่ที่นี่ต่อ หรือออกจากที่นี่” ชู่มู่ถามขึ้น
ชู่มู่ในตอนนี้ใจร้อนเรื่องเย้ชิงจืออย่างมาก สิ่งที่ควรได้มาก็ได้มาแล้ว ชู่มู่จะจากไปทันที ส่วนสิ่งที่องค์หญิงจิ่งโหลวกับเด็กสาวทรยศอยากได้เหมือนกัน ชู่มู่อยากรู้ก็จริง แต่ในเมื่อองค์หญิงจิ่งโหลวไม่บอกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
“ไปเถอะ ข้าทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดด้วยอารมณ์ที่เศร้าหมอง
ชู่มู่พยักหน้า ไม่เดาสิ่งที่อยู่ในใจเธออีก พาองค์หญิงจิ่งโหลวออกจากปราสาทโบราณ
หลังจากออกจากปราสาทโบราณแล้ว มังกรวายุอลวนยังคงฆ่าล้างกับเหล่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าอย่างสุดกำลัง เห็นได้ชัดว่า การต่อสู้ก่อนหน้านี้ยังไม่เป็นที่สะใจของมังกรวายุอลวน
ชู่มู่ให้มั่วเย้ฆ่าอสูรเหวสองตัวนั้น คว้าผลึกเครื่องในของมัน ฉีกยิ้มออกมาทันที
เกียรติสุดท้ายด่านที่สิบเป็นของตัวเองแล้ว ตัวเขามีดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันตัวหนึ่งแล้ว !
“อู อู อู”
มั่วเย้ได้กลายร่างเป็นภาวะอาวรณ์ กระโดดขึ้นไหล่ของชู่มู่
เห็นได้ชัดว่า ผ่านการต่อสู้เป็นเวลานานขนาดนี้ มั่วเย้ก็เหนื่อยแล้ว จึงหมอบบนตัวชู่มู่อย่างเหนื่อยล้า
ชู่มู่ลูบบนตัวของมัน เพื่อความปลอดภัย ชู่มู่ไม่รีบเก็บมั่วเย้กลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ ให้มันหมอบนอนอยู่บนไหล่ของตัวเอง
ชู่มู่ยังมีแหวนจับวิญญาณอยู่ ไม่กลัวว่าจะพามังกรวายุอลวนออกไปไม่ได้ แน่นอนว่า เส้นทางระหว่างกลับค่อนข้างไกล จำต้องให้มังกรวายุอลวนลากพวกเขาก่อน
“กลับกันเถอะ” ชู่มู่เองก็กังวลว่า จะเกิดเรื่องกับเย้ชิงจือ ไม่กล้ารอช้า เก็บผลึกของดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์กับผลึกของอสูรเหว รวมถึงน้ำอมตะกับแหวนช่องหว่างของหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศด้วย
คาดว่าน้ำอมตะนี้จะทำให้มังกรจำศีลน้อยเพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะสิบในเวลาสองปีได้ ชู่มู่ตื่นเต้นอย่างมาก อดใจไม่ไหวที่จะเห็นมังกรจำศีลน้อยเติบโตอย่างรวดเร็ว !
…
…
เมืองว่านเซี่ยง เรือนหลันหมิง
ผู้หญิงวัยกลางคนใบหน้างดงามคนหนึ่งลอยผ่านทางเดินอย่างช้า ๆ ทำให้พวกคนทำดอกไม้ที่อยู่ด้านล่างเบิกตามองตาม วิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
คนรับใช้ของที่นี่ต่างรู้ดี ในเรือนหลันหมิงมีผู้หญิงที่มีตำแหน่งสองคนอาศัยอยู่ คนหนึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคน อีกคนเป็นเด็กสาววัยอ่อน ปกติเด็กสาวจะไม่ออกไปข้างนอก น้อยคนที่จะพบเห็น ส่วนเด็กสาวคนนี้กลับเดินไปมาบ่อยครั้ง ท่าทีของเธองดงามอย่างมาก มักทำให้เหล่าคนรับใช้หวั่นไหว
ในตอนนี้ เห็นผู้หญิงวัยกลางคนเดินผ่าน เหล่าช่างทำดอกไม้ได้ลืมงานที่ทำอยู่ มองจนสติหลุด จนกระทั่งผู้หญิงวัยกลางคนเดินเข้าไปในห้องนอนชั้นสอง ช่างทำดอกไม้ถึงได้สติกลับมา
“เห้ย ได้เห็นแวบหนึ่งตอนกลางวัน ตอนกลางคืนจะอย่าคิดที่จะหลับฝันดีได้…” ช่างทำดอกไม้ที่แก่ที่สุดพูดขึ้น
“ใช่ไหม แม้แต่ภรรยาของข้ายังบอกว่า ช่วงนี้ข้าสติหลุด” ช่างทำดอกไม้อายุประมาณสามสิบปีพูดขึ้น
“ข้าว่า พวกเจ้าอย่าแม้แต่จะคิด ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเธอเข้าไปในแท่นช้างเอราวัณ ไม่ต้องให้ข้าพูดแล้ว คนที่เข้าไปในนั้นได้ ได้ข่าวว่าล้วนเป็นคนที่อยู่ในระดับราชันวิญญาณ พวกเราเป็นแค่ศิษย์วิญญาณกับนักรบวิญญาณที่เลี้ยงดวงวิญญาณหมวดดอกไม้หมวดหญ้าตระกูลพืช ไม่มีสิทธิ์พูดกับเธอแม้แต่น้อย !” ช่างทำดอกไม้แก่ที่สุดคนนั้นพูดขึ้น
เหล่าช่างทำดอกไม้คนอื่นแสดงสีหน้าตกใจออกมา ระดับราชันวิญญาณ นั่นเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมจริง ๆ
ว่าแต่ ผู้แข็งแกร่งที่มาเมืองว่านเซี่ยงนี้มีเยอะจนนับไม่ถ้วน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะพวกเขามีความสามารถพิเศษ หาเลี้ยงได้บ้าง คงยากที่จะมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปได้
ห้องชั้นสอง
ผู้หญิงวัยกลางคนระดับราชันวิญญาณดันประตูห้องออกช้า ๆ แต่ในไม่ช้า เธอได้เห็นภาพที่ทำให้เธอประหลาดใจทันที
ห้องนี้ใหญ่มากหรูหรามาก เต็มไปด้วยเครื่องประดับราคาแพงมากมาย อีกทั้งบางอย่างได้สร้างจากผลึกวิญญาณราคาแพงยิ่ง ไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับธรรมดาแล้ว เป็นการเผยให้เห็นความมั่งคั่งอย่างหนึ่งแล้ว !
และแล้ว สิ่งของราคาแพงในตอนนี้กลับถูกกระแทกจนแหลก ห้องนอนนี้อนาถอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดยังสมบูรณ์อยู่
ผลึกวิญญาณขั้นสิบ ผลึกธาตุที่ส่องประกายสีสันออกมา ไข่มุกวิญญาณเปลวไฟที่ทำให้ดวงวิญญาณมีพลังของผลึกขั้นสี่ได้ทันที อีกทั้งยังมีเครื่องประดับที่แกะสลักจากผลึกเครื่องในมากมายของดวงวิญญาณระดับราชัน…
ตอนนี้กลับแตกสลายหมด ไร้ซึ่งราคา !
“คุณท่าน นี่คืออะไร” หญิงงามวัยกลางคนเดินไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงลำพัง ถามขึ้นด้วยความหวาดหวั่น
ด้วยความเข้าใจของหญิงงามวัยกลางคน เรื่องใดก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเธอได้ และเป็นเพราะจุดนี้ ทำให้หญิงงามไม่เข้าใจหญิงสาวที่งดงามตรงหน้าคนนี้ได้
แต่ท่าทีของวันนี้ เธอกลับเหมือนเด็กสาวธรรมดา เหวี่ยงสิ่งของทั้งหมดในห้องจนแตกสลายหมด หญิงงามวัยกลางคนแอบตกใจ เรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้หญิงสาวลึกลับที่มีความแน่นิ่งมากกว่าคนปกติโกรธเคืองได้ขนาดนี้
“เรื่องเมืองเทียนเซี่ยจบแล้ว” หญิงสาวหันกลับมาช้า ๆ หลังจากที่เธอระบายแล้ว สงบลงบ้าง แต่ยังคงเห็นความโกรธจากนัยตน์าของเธอได้บ้าง ยากที่จะปกปิด
“มิน่า…” หญิงงามวัยกลางคนพยักหน้า
หญิงสาวส่งเสียงเยือกเย็น ถ้าล้มเหลวเพราะเรื่องอื่น เธอจะไม่โกรธขนาดนี้ แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวของชู่มู่แท้ ๆ รวมถึงคำพูดของชู่มู่ ทำให้เธอควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ !
“เจ้าส่งคนไปเมืองเทียนเซี่ย ตามหาคนที่ชื่อชู่เฉิง ชู่มู่ แล้วรายงานเรื่องทั้งหมดให้ข้า” หญิงสาวพูดขึ้น
“คนนี้เองที่ทำให้คุณท่านโมโห ให้ข้าจัดการเขาไหม” หญิงงามวัยกลางคนถามลองเชิง
“ไม่ต้อง ไปเก็บข่าวเกี่ยวกับเขา แล้วบอกกับข้า” หญิงสาวบอก
หลังจากที่เธอผ่านเรื่องนี้ ชู่มู่จะเก็บตัวผิดปกติแน่นอน การตามหาเขาเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ยิ่งกว่านั้นยังมีคนของตำหนักวิญญาณปกป้องเขาอยู่ ต่อให้ส่งคนไปก็ทำอะไรไม่ได้
“ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ว่าแต่…ท่านควรจะเปลี่ยนชุดหน่อยไหม แม้ท่านเกิดมางดงาม แต่ถ้าไปเจอซวงเซียงละก็ จะทำให้พวกเขาเกิดความกังวลได้” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้น
“อืม เจ้ารอข้าข้างนอกสักครู่” หญิงงามพยายามปรับอารมณ์ของตัวเอง และแล้วนึกถึงคำพูดของชู่มู่ แผนการหกปีของตัวเองกลับล้มเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้ เธอกัดฟันแน่น แอบคิดในใจ “ชู่มู่ ข้ารอเจ้าอยู่ที่เมืองว่านเซี่ยง ! ถึงตอนนั้นจะให้เจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริง !”
…
…
ลานกว้างเทียนเซี่ย
ข่าวที่ชู่มู่กำลังเดินทางกลับได้ส่งจากดวงวิญญาณรับสารไปยังผู้คนอย่างรวดเร็ว
แม้ทุกคนจะไม่เห็นว่า ชู่มู่ได้เกียรติสุดท้ายด่านที่สิบอย่างไร แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่า ชู่มู่ได้สมบัติมากมายกลับมาแน่นอน !
การมีอยู่ของดวงวิญญาณระดับราชัน ใครจะห้ามฝีเท้าของชู่มู่ได้ !
“เกียรติสุดท้ายขั้นสอง เกียรติสุดท้ายขั้นหนึ่งเป็นของชู่มู่หมด นี่น่าจะเป็นผู้เข้าเข่งขันชิงคู่คนแรกในรอบหลายรอยปีเลยใช่หรือไม่”
“จริง ๆ เลย คว้าเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบ รางวัลด่านที่เก้าแทบไม่มีความหมาย เกียรติสุดท้ายของด่านที่เก้าเป็นดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่ง บวกกับวัตถุวิญญาณ ส่วนเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบได้ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันตัวหนึ่ง !!!”
“คาดไม่ถึงจริง ๆ ผลสุดท้ายของการประลองฟ้าดินจะเป็นแบบนี้ คาดว่าเจ้าตำหนักของตำหนักวิญญาณ และพวกผู้อาวุโสยิ้มจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว มีผู้แข็งแกร่งมากความสามารถอีกคน คาดว่าอีกไม่กี่ปี มารนิรยจะล้าหลังแล้ว”
ผู้คนต่างรู้ดี คนที่มีดวงวิญญาณระดับราชันมีจำกัดอย่างมาก อย่าเห็นว่าในรุ่นวัยหนุ่มมีจักรพรรดิชั้นยอดมากมาย แต่นอกจากรุ่นวัยหนุ่มแล้ว ผู้แข็งแกร่งมากมายในอำนาจต่าง ๆ มีดวงวิญญาณจักรพรรดิชั้นยอดไม่น้อยเช่นกัน
และแล้ว จักรพรรดิชั้นยอดกับราชันเป็นช่องว่างที่ยากจะข้ามไปได้
ด้วยสาเหตุสามประการ หนึ่ง คือร่ายวิญญาณของตัวเขาเองไม่สามารถเข้าสู่ระดับราชันวิญญาณได้ สอง คือ ดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันล้ำค่าอย่างมาก ถ้าปรากฏตัวในที่ใดตัวหนึ่ง คาดว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันวิญญาณมุ่งหน้าจากทุกทิศทางแน่นอน เจ้าวิญญาณที่ไม่มีดวงวิญญาณระดับราชันอย่างพวกเขาแทบไม่สามารถจับได้
สาม คือประสิทธิภาพดวงวิญญาณของพวกเขามีจำกัด สำหรับผู้คุมดวงวิญญาณบางคนแล้ว สามารถทำให้ดวงวิญญาณอยู่ในลักษณะสิบได้ก็ไม่ง่ายแล้ว คิดจะเพิ่มความแข็งแกร่งจนอยุ่ในระดับราชันยากยิ่งกว่ายาก ไม่ใช่ใคร ๆ ที่จะโปรยเงินหลายหมื่น หลายล้านเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณอย่างชู่มู่ได้ !
อีกทั้ง ถ้าประเมินขั้นต่ำ ราคาของดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันจะมีค่าหนึ่งล้านล้าน อีกทั้งในตอนที่ต้องให้อาหาร ปรับการฝึก ซื้อวัตถุวิญญาณต่าง ๆ เพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณ รวมถึงในภาวะที่ดวงวิญญาณเกิดตายลง จะมีเจ้าวิญญาณกี่คนที่เก็บเงินไปซื้อดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันได้
ที่สำคัญที่สุดคือ หนึ่งล้านล้านจะซื้อดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันได้หรือไม่ยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันแทบจะถูกควบคุมด้วยอำนาจต่างๆ ไม่มีทางที่จะรั่วไหลออกมาได้
ส่วนดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันที่จับในป่า ยิ่งกว่าฝันอีก จะมีดวงวิญญาณระดับราชันตัวใดไม่มีพื้นที่ของตัวเอง ในพื้นที่นี้มีลูกน้องนับหมื่นเฝ้าดูอยู่ไม่ใช่เหรอ
ดังนั้นอย่าว่าแต่เจ้าวิญญาณที่ไปจับดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชัน ราชันวิญญาณยังไม่กล้าไปจับ !!!
เส้นทางเพิ่มความแข็งแกร่งยากที่จะก้าวเข้าไปได้ วัตถุวิญญาณที่เพิ่มความแข็งแกร่งจักรพรรดิชั้นยอดให้อยู่ในระดับราชันได้อย่างแท้จริง ไม่มีทางที่จะวางขายในรายการห้องโถงอย่างวัตถุวิญญาณเหล่านั้นแน่นอน วัตถุวิญญาณเหล่านี้น้อยยิ่งกว่าน้อยเช่นเดียวกับดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชัน !
ในภาวะที่ขาดดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันแบบนี้ ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณกลับมีดวงวิญญาณระดับราชันสองตัว สำหรับใครก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ตาแดงอย่างมาก แดงจนเขียวได้ !
แน่นอนว่า ถ้าผู้คนรู้ว่า ชู่มู่มีดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันตัวที่สามอย่างมังกรจำศีลน้อยละก็ ไม่รู้จะมีคนที่ติดอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดกี่คนที่กระอักเลือด !
…
เจ้าตัวชู่มู่อารมณ์ดีอย่างมาก เพราะผลึกดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นำกลับมาได้ระงับพิษสำเร็จ สิ่งเดียวที่เสียดายคือ สารพิษบนหน้าของเย้ชิงจือไม่หายไป เย้ชิงจือเองบอกว่า สามารถรักษาได้ทีหลัง ชู่มู่เองก็สบายใจได้
ไม่กี่วันต่อจากนั้น ชู่มู่อยู่ข้างเย้ชิงจือตลอด เป็นเรื่องที่เห็นได้ยากว่า ชู่มู่ไม่ไปฝึกอย่างบ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่า ต้องพิษของเย้ชิงจือครั้งนี้ ทำให้ชู่มู่รู้ถึงความสำคัญของเย้ชิงจือ
สารพิษบนหน้าของเย้ชิงจือยังไม่หายไป หลบ ๆ ซ่อน ๆ ชู่มู่ตลอด กลัวว่าชู่มู่จะเห็นท่าทีน่าเกลียดของตัวเอง
“อีกไม่กี่วันจะเป็นการมอบเกียรติแล้ว” ชู่มู่ไม่คิดจะคว้าเกียรติสองอันนี้อย่างโจ่งแจ้งเกินไป
ดังนั้น เขาคิดจะนำเกียรติสุดท้ายขั้นสองให้เย้หวันเชิง อย่างไรก็ตามเย้หวันเชิงต้องการคำสั่งเสียในเกียรติขั้นสองอยู่แล้ว
ส่วนรางวัลดวงวิญญาณตัวอ่อนจักรพรรดิขั้นสูง ชู่มู่ไม่สนใจแม้แต่น้อย รอให้ฝ่ายจัดการประลองมอบดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันก็พอ !
เด็กสาวทรยศเหมือนจะไม่ตกใจกับน้ำเสียงของชู่มู่ เหมือนว่าชู่มู่ฉีกหน้ากะทันหันแบบนี้อยู่ในการคาดหมายของเธอ
สายตาของเธอเล็งไปยังมังกรวายุอลวนทันที เธอจะไม่ให้มังกรวายุอลวนบินไป เพื่อพาคนของฝ่ายจัดการประลองมาที่นี่ มิฉะนั้น จะทำลายแผนการของเธอ
ที่ทำให้เด็กสาวทรยศประหลาดใจคือ มังกรวายุอลวนไม่ได้บินขึ้น ดวงตาดุร้ายคู่นั้นจับจ้องไปยังอสูรเหวที่เธอปล่อยออกมาด้านข้าง
“ไม่หนี ดี !” สายตาของเด็กสาวทรยศดุร้ายขึ้น ตรงกันข้ามกับท่าทีเมื่อกี้ สายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต !
ชู่มู่ย่อมไม่เชื่อคำพูดสันติของเด็กสาวทรยศกับตัวเอง ก่อนหน้านี้เธอเคยออกคำสั่งฆ่าตัวเองแล้ว เห็นได้ชัดว่าจะกำจัดตัวเอง
ทันทีที่ตัวเองตาย สัญญาวิญญาณจะหายไป แต่จากคำพูดของเด็กสาวทรยศกลับบอกว่าสัญญาวิญญาณของเขายังมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่สามารถเลิกได้ทันที เรื่องที่ขัดแย้งกันแบบนี้ ชู่มู่จะไม่รู้เจตนาของเด็กสาวทรยศได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะหลอกตัวเอง !
“ตรงนี้มีป้ายศิลามากมาย เจ้าเลือกอันหนึ่งเป็นหลุมของตัวเองเถอะ !” เด็กสาวทรยศพูดอย่างเยือกเย็น ผนึกสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนชัดเจน !
สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้ารอบ ๆ ถูกเด็กสาวทรยศควบคุมเอาไว้หมดแล้ว เด็กสาวทรยศได้ซ่อนสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าไว้รอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
ในตอนนี้ เด็กสาวทรยศปลุกสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าขึ้น จักรพรรดิขั้นสูงสิบตัวกับจักรพรรดิชั้นยอดสามตัวปรากฏขึ้น ล้อมชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวเอาไว้ !
ชู่มู่จับจ้องไปยังเด็กสาวทรยศตลอด ในตอนที่เธอปลุกสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าทั้งหมดขึ้น ชู่มู่ออกคำสั่งโจมตีให้มั่วเย้ทันที !
ชู่มู่อาศัยตอนที่เด็กสาวทรยศประหม่าคู่ต่อสู้แล้วโจมตีให้ตายในครั้งเดียว คาดว่าเด็กสาวทรยศคงคาดไม่ถึงว่ามั่วเย้มีความสามารถระดับราชันแล้ว !
“โซ !!!”
มั่วเย้กระโดดลงจากไหลวของชู่มู่อย่างรวดเร็ว สี่เท้าของมันแทบไม่แตกพื้นก็พุ่งออกแล้ว เร็วจนแทบมองไม่เห็น !
ประกายสีเงินพาดผ่าน ระหว่างที่มั่วเย้บินผ่าน มงกุฎเพลิงบนตัวเพิ่มขึ้นมหาศาล ลำตัวเล็กจิ๋วกลายเป็นอัคคีแห่งโทษก้อนใหญ่ทันที !
หลังจากอัคคีแห่งโทษลุกโชนขึ้น ลำตัวทรงพลังของจิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดปรากฏท่ามกลางอัคคีแห่งโทษ เหวี่ยงเปลวไฟไว้ด้านหลัง พุ่งตรงไปยังเด็กสาวทรยศอย่างสง่า !!!
ตอนแรกเด็กสาวทรยศไม่สนใจ แต่ในตอนที่มั่วเย๋ระเบิดความเร็วอันน่ากลัวนี้ออกมา เธอถึงรู้สึกไม่ดีขึ้น !
วินาทีที่เย้กลายเป็นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด ใบหน้าของเด็กสาวทรยศเต็มไปด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้คิดอะไร ร่ายคาถาที่สองออกมาทันที!!
กลีบดอกไม้ที่เหมือนดอกบัวบานออกใต้เท้าเด็กสาวทรยศ ห่อหุ้มร่างกายของเด็กสาวทรยศเอาไว้ ปกป้องเธอเอาไว้ในนั้น
การป้องกันของดอกไม้ศักดิ์สิทธิเป็นระดับชั้นยอด กลีบดอกไม้นี้แม้แต่ทักษะขั้นสิบก็ไม่อาจทำลายได้
อีกทั้ง บนการป้องกันดอกไม้ศักดิ์สิทธิของเด็กสาวทรยศยังมีผนึกพิเศษ นี่เป็นความสามารถของดวงวิญญาณระดับราชันอย่างดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ ความสามารถแบบนี้ทำให้การโจมตีของดวงวิญญาณที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิไม่สามารถทำลายเธอได้ รวมถึงระดับราชันก็ยากที่จะทำลายได้!
ถ้าเผชิญกับดวงวิญญาณอื่น เด็กสาวทรยศยังไม่เกรงกลัว และแล้วเด็กสาวทรยศกลับรู้ว่าจิ้งจอกตัวนี้ของชู่มู่มีพลังคลายผนึก เป็นปรปักษ์กับการป้องกันของดอกไม้ศักดิ์สิทธิของเธอพอดี !
“อู อู อู อู !!!”
มั่วเย้ย่อมรู้ว่า ต้องใช้พลังของคลายผนึก เด็กสาวทรยศคิดจะใช้อสูรเหวรับมือกับมัน แต่อสูรเหวที่เชื่องช้าแบบนี้จะขวางมั่วเย้ได้อย่างไร
มั่วเย้หลบไปด้านหน้าของเด็กสาวทรยศอย่างง่ายดาย กรงเล็บสะดุดตาตวัดผ่านอากาศ ฉีกไปยังซ้ายขวาของเด็กสาวทรยศ !!!
กริดอัคคีแห่งโทษสะดุดตาสองอันนี้ปรากฏกะทันหัน ครั้งนี้ มั่วเย๋ได้รวมพลังไว้ที่ความยาวสิบเมตร !
ความสามารถของมั่วเย้ในตอนนี้ ฆ่าล้างในพันเมตรได้อย่างไม่มีปัญหา กรงเล็บเดียวก็มากถึงพันเมตรได้ แต่ว่านี่ยังจัดการสิ่งมีชีวิตที่มีพลังป้องกันอ่อนแอได้บ้าง สำหรับเด็กสาวทรยศจำต้องรวมพลังของกริดเอาไว้ !
กริดอัคคีแห่งโทษนี้มีพลังของคลายผนึกอยู่ ทำลายการป้องกันของดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์อย่างง่ายดาย เริ่มทำลายกลีบป้องกัน !
เดิมหมวดดอกไม่กลัวไฟอยู่แล้ว ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ยกเว้น กรงเล็บอัคคีแห่งโทษทำลายเด็กสาวทรยศได้ทวีคูณ !
“ซัวะ !!!”
“ซัวะ !!!”
กรงเล็บอัคคีแห่งโทษทั้งสองไขว้กัน หลังจากทำลายการป้องกันแล้ว ได้พุ่งเข้าร่างของเด็กสาวทรยศโดยตรง สายตาเย่อหยิ่งของเด็กสาวทรยศได้หายไปหมดสิ้น เหลือเพียงความหวาดกลัวในตอนนี้ !
ก่อนหน้านี้ไม่นาน จิ้งจอกน้อยของชู่มู่ยังเป็นแค่จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิง ยังไม่ถึงความสามารถระดับจักรพรรดิลักษณะสิบด้วยซ้ำ ทำไมถึงกลายเป็นจิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดแข็งแกร่งยิ่งได้ !!!
เลือดสดกระจายออก รอบตัวเด็กสาวมีกลีบดอกไม้นับไม่ถ้วน ลอยกระจายอกพร้อมกับเลือด
เด็กสาวทรยศปิดร่างเอาไว้ ถอยกลับด้วยสีหน้าซีดขาวอย่างรวดเร็ว เลือดสดไหลออกจากนิ้วมือของเธอไม่หยุด อีกทั้งพุ่งด้วยความเร็วมาก !
“เป็นไปได้อย่างไร !!! ดวงวิญญาณของเจ้า !!!” เด็กสาวทรยศดึงระยะห่างขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังมั่วเย้ด้วยความโกรธ!
“อีกไม่นาน ข้าจะจับตัวจริงของเจ้าในเมืองว่านเซี่ยงออกมา ถึงตอนนั้นเจ้าจะตายอย่างอนาถ!”ชู่มู่พูดอย่างโหดเหี้ยมอเยือกเย็นที่สุด !
ต่อให้ไม่ใช่ร่างจริงของเด็กสาวทรยศ แต่คาดว่าเด็กสาวทรยศทุ่มเทกับหุ่นเชิดนี้อย่างมาก
ชู่มู่เกลียดและโกรธเคืองท่าทีเย่อหยิ่งอวดดีของเด็กสาวทรยศอย่างมากแล้ว ตอนนี้เห็นเธอกลายเป็นแบบนี้ ยิ่งระบายความโกรธได้บ้าง !
ที่สำคัญที่สุดคือ ชู่มู่รู้ตำแหน่งของเด็กสาวทรยศแล้ว ความสามารถที่แท้จริงของเด็กสาวทรยศแข็งแกร่งกว่าหุ่นเชิดนี้อีกแน่นอน ทว่านั่นก็ไม่เป็นปัญหา ชู่มู่ในตอนนี้มีดวงวิญญาณระดับราชันแล้ว อีกไม่กี่ปี จะมุ่งหน้าไปเมืองว่านเซี่ยงได้แล้ว เหยียบผู้หญิงคนนี้เอาไว้ อีกทั้งจะขยี้ให้แหลกด้วย !
เด็กสาวทรยศจับจ้องไปยังชู่มู่ด้วยความโกรธ เธอคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ดวงวิญญาณของชู่มู่จะเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับราชันได้ เธอในตอนนี้แค่เข้าใกล้ลักษณะสิบเท่านั้น มีความสามารถเทียบเท่าระดับราชัน
และแล้ว ต่อหน้าจิ้งจอกราชันสลายอัคคีแห่งโทษทั้งเจ็ด ถ้าเธอฝืนละก็ หมวดของเธอจะถูกควบคุมเอาไว้หมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ประหม่าศัตรูจนได้รับบาดเจ็บสาหัส !
“แปรเปลี่ยน!แปรเปลี่ยนตระกูล !!!” ในที่สุด เด็กสาวทรยศเข้าใจแล้ว !
ชู่มู่ไม่มีทางที่จะมีจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาจะอัญเชิญออกมาตั้งแต่ด่านที่เจ็ดแล้ว จะปล่อยให้ถูกตัวเธอทรมานทำไม สิ่งเดียวที่อธิบายได้คือ จิ้งจอกอัคคีเก้างหางมงกุฎเพลิงของชู่มู่เกิดการแปรเปลี่ยนตระกูลแล้ว แปรเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกราชันสลายอัคคีแห่งโทษทั้งเจ็ด !
โอกาสแปรเปลี่ยนตระกูลต่ำมาก เด็กสาวทรยศรู้ดี หลังจากรู้ความจริงแล้ว หลังจากรู้ความจริงแล้ว ปากของเธอเริ่มมีเลือดไหลออก เลือดส่วนใหญ่นี้ได้พุ่งกระจายเพราะความโกรธ !
ใกล้จะทำแผนสำเร็จแล้ว สุดท้ายด้วยน้ำมือของคนที่ตัวเองขยี้ได้อย่างง่ายดายกลับเกิดเรื่องที่แทบจะเป็นศูนย์อย่างแปรเปลี่ยนตระกูลขึ้น ตัวเองได้วางแผนมานานหลายปี ในตอนที่ความสำเร็จกำลังจะเกิดขึ้น แผนการทั้งหมดกลับล่มสลาย !
เด็กสาวทรยศกลับนิ่งผิดปกติ ถ้าเป็นคนที่ไม่นิ่งหน่อย คาดว่าจะตายเพราะความโกรธแน่นอน !
เด็กสาวทรยศกุมแผลไว้ สายตาจับจ้องไปยังมั่วเย้ ถ้าโจมตีอีกครั้ง เด็กสาวทรยศตายลงแน่นอน เธอไม่คิดว่าเพราะการประหม่าศัตรูของตัวเอง จะทำให้ตกเป็นแบบนี้
“ชู่มู่ ถ้าเจ้ากล้าฆ่าข้าละก็ ต่อให้เจ้าหลบไปที่ใด จะมีสักวันที่ข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นเศษ !” เด็กสาวทรยศกัดปากของตัวเองด้วยใบหน้าซีดขาว ดวงตาคู่นั้นแทบจะพ่นไฟออกมา !
“ประโยคนี้เซี่ยกว่างหานเคยพูดแล้ว และแล้วเขายังคงตายไปอยู่ดี” ชู่มู่จับหู คำข่มขู่แบบนี้แทบไม่มีประโยชน์ต่อชู่มู่ เขาพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
“เจ้าชอบเชิดชูตัวเองไม่ใช่เหรอ มักรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาแล้วอยู่เหนือกว่าคนอื่น แม้ข้าจะไม่รู้ว่า เจ้ามีความรู้สึกเหนือกว่ามาจากที่ใด แต่ข้ากลับไม่เห็นด้วยอย่างมาก ๆ”
“เดิมข้าคิดจะรอให้มีความสามารถมากพอแล้วค่อยฆ่าเจ้าที่เมืองว่านเซี่ยง เพื่อปลดญาณที่หนึ่งของข้า แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว !”
“ข้าจะไม่เลิกสัญญาวิญญาณ ! เป็นเพราะร่ายวิญญาณของข้าต่ำเกินไป ควบคุมเจ้าไม่ได้ แต่จะมีสักวันที่ร่ายวิญญาณของข้าเกินกว่าเจ้า ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นทาส ให้เจ้าลิ้มรสที่ถูกคนอื่นเหยียบย่ำศักดิ์ศรี แค่ข้าไม่ตาย ชาตินี้เจ้าก็ต้องรับใช้ข้า ถึงตอนนั้น ข้าจะดูว่าเจ้ายังทำท่าทีเย่อหยิ่งได้หรือไม่ !”
ชู่มู่เป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่มีจิตวิญญาณคนหนึ่ง เขาไม่เคยทำให้ดวงวิญญาณเป็นทาส
แต่สำหรับเด็กสาวทรยศ มีเพียงวิธีนี้ถึงจะระบายความโกรธทั้งหมดของชู่มู่ได้ !
“เจ้า…อย่าฝัน ! มนุษย์ชั้นต่ำอย่างเจ้า ต่อให้ข้าไม่หยุดเดิน เจ้าฝึกทั้งชีวิตก็ข้ามข้าไปไม่ได้ !” เด็กสาวทรยศโกรธถึงที่สุดเช่นกัน เธอชี้ไปที่ชู่มู่ ปล่อยให้เลือดไหลแล้วพูดว่า “กลัวว่าเจ้าจะไม่กล้าเข้ามาในเมืองว่านเซี่ยง แค่เจ้าเข้าไป ข้าจะดึงวิญญาณของเจ้าออกจากร่าง ให้วิญญาณของเจ้าทนต่อความทรมาน ตายทั้งเป็น !”
“บอกเจ้าไว้ก็ได้ ครั้งนี้ไม่สำเร็จ การประลองฟ้าดินครั้งหน้า ข้ายังคงจะส่งหุ่นเชิดมาที่นี่ ถึงตอนนั้นมอบหัวของเจ้ามาให้ข้า ข้าอาจปล่อยคนกับดวงวิญญาณที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าไปได้ มิฉะนั้น ตายหมด !”
ชู่มู่ยิ้มอย่างเยือกเย็น ถึงตอนนี้แล้วเด็กสาวทรยศยังไม่ลืมที่จะดูถูกตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ชั้นต่ำ
หลังจากหกปี ชู่มู่จะไม่เสียเวลาอยู่กับหุ่นเชิดของเด็กสาวทรยศแน่นอน จะมุ่งหน้าไปเมืองว่านเซี่ยงแน่นอน ตามหาตัวจริงของเด็กสาวทรยศ !
ครั้งนี้ ชู่มู่จะไม่ปล่อยเด็กสาวทรยศไปเด็ดขาด คาดว่าเด็กสาวทรยศแค้นตัวเองอย่างมากเช่นกัน แบบนี้ก็ดี ชู่มู่ไม่คิดจะจัดการเรื่องนี้กับเธอย่างสันติอยู่แล้ว โดยเฉพะกับผู้หญิงที่ชั่วร้ายถึงที่สุด !
“มั่วเย้ ฆ่าเธอซะ !” ชู่มู่ไม่อยากพูดกับเด็กสาวทรยศอีก ได้ออกคำสั่งต่อมั่วเย้อย่างไม่ใจอ่อน !
“เจ้าไม่รู้สึกสมเพชกับความปลอมของตัวเองบ้างเหรอ” ชู่มู่พูดเสียดสี
ให้โอกาสตัวเองมีชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายงั้นหรือ แล้วเรื่องที่เกิดกับเซี่ยกว่างหานในแท่นบูชาอสูรเลือดคืออะไร เซี่ยกว่างหานจะตั้งใจนำแผนที่เมืองอมตะนี้ให้องค์หญิงจิ่งโหลวทำไม
เห็นได้ชัดว่าทั้ งหมดนี้เป็นคำสั่งของเด็กสาวทรยศ มีเพียงเด็กสาวทรยศที่วางแผนมาหลายปีถึงรู้เรื่องทั้งหมดในเมืองอมตะนี้เป็นอย่างดี!
“ข้าไม่เหมือนกับคนอย่างพวกเจ้า ความไม่รู้ของเจ้า พูดกับเจ้ามากไปก็ไร้ประโยชน์” เด็กสาวทรยศบอก
พูดมากไปงั้นหรือ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะอยากหลอกให้ผู้หญิงคนนี้บอกตำแหน่งที่แท้จริง ชู่มู่ขี้เกียจพูดกับผู้หญิงสมองกลวงนี้แม้แต่คำเดียว
ชู่มู่ไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเชิดชูตัวเองขนาดนี้ ครึ่งมนุษย์ครึ่งดวงวิญญาณเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจขนาดนี้เหรอ
หรือว่าเธอมีพลังที่ทำให้ดูถูกคนทั้งหมดได้ แต่ว่าถ้าเธอสามารถดูถูกทุกสิ่งได้ ทำไมถึงต้องทำอะไรลับหลังแบบนี้ ในโลกนี้ แค่มีความสามารถแข็งแกร่งพอ มีเหรอจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
ชู่มู่สูดหายใจเข้า พยายามซ่อนความโกรธและความเกลียดชังที่มีต่อเด็กสาวทรยศเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า
“ข้ามีมังกรวายุอลวน ด้วยความสามารถของเจ้าคงจะจัดการมังกรวายุอลวนได้ยาก นอกจากนี้ ผู้แข็งแกร่งของฝ่ายจัดการประลองหลายคนก็อยู่ในเมืองอมตะแห่งนี้ ต่อให้มังกรวายุอลวนของข้าจัดการเจ้าไม่ได้ แค่ให้มันส่งข่าวไป ก็ทำลายแผนของเจ้าได้อย่างง่ายดายแล้ว….”
“ข้ารู้ว่า ตอนนี้เจ้าเป็นแค่หุ่นเชิด สู้กับหุ่นเชิดไม่มีประโยชน์ ไม่มีค่าเท่าไร ส่วนเจ้าที่ทำให้ข้าโมโห จุดจบของเจ้าก็ไม่สวยแน่ !”
เด็กสาวทรยศไม่ได้พูดอะไร แค่ใช้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังชู่มู่ เธอรู้ว่าชู่มู่ยังมีสิ่งที่จะพูด
“พ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย ไม่ดีต่อข้าเหมือนกัน แต่ว่าเจ้าครองญาณที่หนึ่งของข้านานเกินไป ทำให้เส้นทางฝึกของข้าถูกควบคุมไว้ตลอด ไม่สามารถใช้ญาณที่หนึ่งได้…”
เด็กสาวทรยศเข้าใจความหมายของชู่มู่แล้ว ท่าทางชู่มู่คิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างสันติ
เด็กสาวทรยศคิดทบทวน กังวลว่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงหรือไม่
ความสามารถของชู่มู่เป็นอย่างที่เห็น แม้ข่าวลือของพวกมนุษย์โง่เขลาจะบอกว่าเขาเก่งกาจมากเพียงใดในรุ่นวัยหนุ่ม แต่เด็กสาวทรยศเห็นว่า ต่อให้ผ่านไปสิบปียี่สิบปี ชู่มู่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อเธอแม้แต่น้อย อย่างมากก็ขัดขวางเรื่องในเมืองอมตะนี้
“เจ้าจะเลิกสัญญาวิญญาณกับข้างั้นหรือ” หลังจากเด็กสาวทรยศคิดทบทบวน ได้พูดตต่อจากชู่มู่ทันที
เด็กสาวทรยศคิดในใจ “ถ้าชู่มู่จากไปได้ เรื่องนี้จะง่ายขึ้นมาก อีกทั้งข้ามั่นใจว่า จะเอาชนะมังกรวายุอลวนได้ แต่กลับไม่สามารถจับมังกรวายุอลวนไว้ได้ ถ้าทำให้พวกเทียนทิงตกใจละก็ ที่นี่จะถูกคุมอย่างเข้มงวด เรื่องทั้งหมดนี้จะล้มเหลวหมด….”
เด็กสาวทรยศมั่นใจได้ว่า ชู่มู่ไม่รู้แผนการของเธอ แต่เธอกลัวว่า ชู่มู่มาก่อกวน อาจทำให้เธอต้องรออีกหกปี
“อืม นอกจากนี้ ถ้าเจ้าคิดจะเอาชีวิตขององค์หญิงจิ่งโหลวละก็ ข้าไม่ยอม เธอต้องอยู่อย่างปลอดภัย” ชู่มู่พูดไปตามที่วางแผนไว้ เพิ่มเงื่อนไขสมเหตุสมผลด้วย
เงื่อนไขนี้ต้องเพิ่มเข้ามา มิฉะนั้น ที่ชู่มู่ปกป้ององค์หญิงจิ่งโหลวอย่างดีในด่านที่เจ็ด ตอนนี้กลับส่งไปให้ศัตรู แบบนี้จะดูปลอมเกินไป
“เจ้ามุ่งหน้ามาด่านที่สิบสุดแรงแบบนี้ เพื่อให้เลิกสัญญาวิญญาณกับข้าและรับรองความปลอดภัยของเธองั้นหรือ เจ้าเป็นอะไรกับเธอ” เด็กสาวทรยศถามอย่างสงสัย
หลังจากพูดจบ เด็กสาวทรยศมองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลว พบว่าองค์หญิงจิ่งโหลวตั้งใจหลบสายตา ไม่ไปมองชู่มู่
เด็กสาวทรยศเป็นคนที่ช่างสังเกตเหมือนกัน เข้าใจความหมายนั้นทันที เห็นได้ชัดว่าระหว่างชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบชายหญิงธรรมดา..
ชู่มู่เห็นเด็กสาวทรยศเข้าใจเองแล้ว มองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลว แอบชื่นชมในใจ องค์หญิงคนนี้ฉลาดมากจริง ๆ ตัวเองไม่ต้องบอก เธอก็แสดงละครนี้ไปด้วย…
องค์หญิงแสดงท่าทีความสัมพันธ์ลับ ๆ แต่ไม่อยากถูกเปิดเผยนั้นได้เป็นอย่างดี กำจัดความสงสัยของเด็กสาวทรยศได้บ้าง
“เกียรติสุดท้ายของด่านที่สิบเป็นของข้า ข้าต้องการดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันตัวนั้น นี่เป็นข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง ข้าไม่รู้ว่า เจ้ามีแผนอะไร แต่การหาเรื่ององค์หญิงจิ่งโหลวแบบนี้ ข้าไม่อยากให้เธอได้รับบาดเจ็บอะไร ข้อที่สาม ระหว่างข้ากับเจ้าควรจบกันตั้งนานแล้ว” ชู่มู่บอก
เหตุผลทั้งสาม เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กสาวทรยศเลือกได้อย่างสมเหตุสมผล
ดวงตาของเด็กสาวทรยศเผยความขบขันออกมา พูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ถ้าเจ้าทำท่าทีแบบนี้ ข้าจะคร่าชีวิจของเจ้าทำไม?”
“ข้าไม่อยากให้เจ้ารู้สึกดีอะไรทั้งนั้น ข้าบอกเงื่อนไขแล้ว หลังจากตกลง พวกเราเลิกสัญญาวิญญาณกัน ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก ง่ายแบบนี้”ชู่มู่จะไม่แสดงให้ปลอมเกินไป ยังคงทำท่าทีไม่พอใจออกมา
“เรื่องเลิกสัญญาวิญญาณ ตอนนี้ยังไม่ได้ อย่างน้อยให้ข้าจัดเารเรื่องที่นี่ก่อน เรื่องขององค์หญิง ข้าก็แค่อยากยืมสิ่งหนึ่งบนตัวเธอเท่านั้น จะไม่เอาชีวิตของเธอ เจ้าวางใจได้ ส่วนเกียรติของด่านที่สิบ เจ้าอยากได้ก็ให้เจ้า” ตอนที่พูด เด็กสาวทรยศเดินไปยังป้ายหลุมผนึกอันหนึ่งอย่างช้า
ทันใดนั้น ท่ามกลางป้ายหลุมผนึกนี้ส่องประกายผนึกออกมา ท่ามกลางประกายพิเศษแห่งนี้ อสูรเหวร่างใหญ่ปรากฏตัวขึ้น !
นิสัยของอสูรเหวดุร้ายอย่างมาก ทันทีที่เห็นกลุ่มต่างกันจะโจมตีอย่างบ้าคลั่ง เป็นหนึ่งในดวงวิญญาณที่ฝึกยาก
และแล้ว ที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจคือ หลังจากอสูรเหวที่ไม่ด้อยไปกว่ามังกรวายุอลวนปรากฏตัวขึ้น กลับหมอบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีอารมณ์ดุร้ายใด ๆ เหมือนกลายเป็นทาสรับใช้ของเด็กสาวทรยศ
“นี่เป็นสิ่งมีชีวิตเกียรติสุดท้ายของด่านที่สิบนี้ คว้าผลึกเครื่องในของมัน เกียรติสุดท้ายด่านที่สิบจะเป็นของเจ้า ตอนนี้มันถูกข้าควบคุมเอาไว้ เจ้าแค่มอบเลือดบางส่วนขององค์หญิงให้ข้าก็พอแล้ว เลือดไม่มาก เติมในขวดนี้ให้เต็ม” ตอนที่พูด ในมือของเด็กสาวทรยศมีขวดเพิ่มขึ้น ขนาดของขวดเท่าฝ่ามือ เรียวยาว ผู้คุมดวงวิญญาณให้เลือดมากขนาดนี้คงไม่เกิดอะไรขึ้น
เธอโยนขวดมา แล้วตกอยู่ในมือของชู่มู่
ชู่มู่รับขวดนี้ มองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลว
สีหน้าขององค์หญิงจิ่งโหลวเปลี่ยนเล็กน้อย สายตาซับซ้อนมากขึ้น
ทว่า องค์หญิงจิ่งโหลวยังคงเดินไปข้างชู่มู่ กรีดแขนขาวนั้นออก หยดเลือดลงขวดอย่างรวดเร็ว ท่าทีแน่วแน่อย่างยิ่ง
ชู่มู่มองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลวด้วยความรู้สึกผิด เพื่อให้การแสดงสมจริง จำต้องให้องค์หญิงจิ่งโหลวเสียสละเลือดแล้ว
หลังจากเต็มแล้ว ชู่มู่รีบทายาใช้ภายนอกบนข้อมือขององค์หญิงจิ่งโหลว เพื่อห้ามเลือดเอาไว้ องค์หญิงจิ่งโหลวกรีดเส้นเลือดแดง ถ้าไม่ห้ามละก็เลือดจะไหลไม่หยุด…
หลังจากใส่ขวดเรียบร้อยแล้ว ชู่มู่ไม่รีบให้เด็กสาวทรยศ พูดขึ้นว่า “เรื่องสัญญาวิญญาณ จะจัดการอย่างไร วิญญาณและร่างจริงของเจ้าไม่อยู่ที่นี่หมด”
“หลังจากทั้งหมดจบลง ข้าใช้วิญญาณติดต่อข้าได้ ข้าจะเลิกสัญญาวิญญาณกับเจ้า จะรักษาวิญญาณที่ฉีกขาดของเจ้าด้วย เพื่อให้เจ้าหายไวขึ้น” เด็กสาวทรยศจับจ้องไปยังขวดเลือดในมือของชู่มู่แล้วพูดขึ้น
“ข้าไม่เชื่อเจ้า เจ้ามีวิธีตัดการติดต่อวิญญาณระหว่างพวกเรา” ชู่มู่พูดทันที
“นี่เป็นเพราะร่ายวิญญาณของเจ้าต่ำเกินไปเท่านั้น ข้าอยู่เมืองว่านเซี่ยง” เด็กสาวทรยศบอก
“เมืองว่านเซี่ยงงั้นหรืแ” ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย เรื่องของเมืองว่านเซี่ยง ชู่มู่รู้แค่คร่าว ๆ เท่านั้น ได้ข่าวว่า ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของมนุษย์จะรวมตัวที่เมืองว่านเซี่ยง….อีกทั้ง ตำหนักสูงสุดของตำหนักวิญญาณ วังมารนิรย และวังดวงวิญญาณอยู่ที่เมืองว่านเซี่ยงด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ ที่นั่นเป็นเขตพื้นที่แท้จริงขององค์กรวิญญาณ !
เมืองเทียนเซี่ยเป็นเมืองตั้งต้นในตะวันออก ส่วนเมืองว่านเซี่ยงเป็นเมืองปลายทางของผู้คุมดวงวิญญาณทั้งหมด !
สำหรับผู้คุมดวงวิญญาณมากมายแล้ว การฝ่าน้ำข้ามภูเขา ทะลุผ่านโลกอลวน หากไปถึงเมืองว่านเซี่ยงก็เพียงพอที่จะอวดต่อหน้าคนอื่นแล้ว
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือโกหก” ชู่มู่ถามขึ้น
“ไม่เชื่อ” ตอนที่เด็กสาวทรยศพูด ได้สะบัดมือไปด้วย ทันใดนั้น เกสรดอกไม้สีฟ้าดอกหนึ่งบานออกตรงหน้าชู่มู่อย่างช้า ๆ ท่ามกลางดอกไม้นี้เต็มไปด้วยของเหลวผ่องใสมากมาย ตอนที่สาดส่อง สามารถมองเห็นรูปปั้นได้ !
การปรากฏของรูปปั้นไม่น่าตกใจเท่าไร แต่สิ่งที่ทำให้ชู่มู่สะเทือนใจคือ ชั้นเมฆที่ลอยอยู่ด้านบนสุดของฟ้า ส่วนด้านหลังกลับเป็นเมืองที่เจริญอย่างมาก เมื่อเทียบกับรูปปั้นนี้แล้ว เมืองนี้กลับดูเล็กมาก !
“นี่เป็นภาพตัวตนที่แท้จริงของข้าเห็น วิญญาณของเจ้ากับข้าติดต่อกัน น่าจะรู้ว่าภาพที่เห็นด้วยกันนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก” เด็กสาวทรยศบอก
สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองว่านเซี่ยง คือรูปปั้นช้างเอราวัณที่ใหญ่เท่าภูเขานั้น !
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นจริง ๆ อีกทั้งในวินาทีที่เห็นภาพร่วมกัน ชู่มู่สัมผัสได้ถึงวิญญาณที่เชื่อมต่อกันอันแผ่วเบาระหว่างตัวเองกับเด็กสาวทรยศ เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
ในเมื่อเห็นภาพร่วมกัน ชู่มู่ยิ่งต้องพยายามจำภาพนี้เอาไว้ เพราะมองรูปปั้นช้างเอราวัณนี้จากมุมนี้ จะตามหาตำแหน่งที่เด็กสาวทรยศอยู่ในเมืองว่านเซี่ยงได้ !
“ช่วงปีนี้ข้าจะอยู่ที่เมืองว่านเซี่ยง เจ้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อ หลังจากเจอข้า ข้าจะเลิกสัญญาวิญญาณกับเจ้า ตอนนี้เจ้าก็นับว่ามีตำแหน่งแล้ว ถ้ากลัวว่าข้าโกหก ก็ให้แม่ของเจ้า หรือท่านอาวุโสมาได้ แต่ว่าไม่จำต้องทำแบบนั้น หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว สัญญาวิญญาณของเจ้าไม่มีความหมายกับข้าแล้ว ข้าจะไม่ให้ตัวข้ามีการติดต่อวิญญาณกับผู้ชายคนหนึ่งแน่นอน” เด็กสาวทรยศบอก
น้ำเสียงของเด็กสาวทรยศยังคงเผยท่าทีเย่อหยิ่งของเธอออกมา เหมือนรู้สึกว่า การมีวิญญาณที่เชื่อมกับชู่มู่กลับทำให้ตัวเธอแปดเปื้อน ทำให้ชู่มู่อดใจไม่ไหวที่จะยิ้มอย่างเยือกเย็น
ยิ้มอย่างเยือกเย็นแบบนี้ ไม่ได้เป็นเพราะน้ำเสียงเย่อหยิ่งของเด็กสาวทรยศ แต่เป็นเพราะเขาทำตามสิ่งที่หวังไว้สำเร็จแล้ว !
ในเมื่อเด็กสาวทรยศบอกว่าตัวเองอยู่ที่เมืองว่านเซี่ยง มีหลักฐานแล้ว ถ้าอย่างนั้น ชู่มู่ก็ไม่ต้องแสดงอีกต่อไปแล้ว !
เด็กสาวทรยศเห็นสีหน้าของชู่มู่ กลับรู้สึกไม่สบายใจ แอบคิดในใจ “หรือว่าเขาคิดจะโกง แต่ต่อให้เขารู้ว่าตำแหน่งของตัวเองแล้วจะทำอะไรได้ ในเมื่อได้ควบคุมเรื่องทั้งหมดของเมืองว่านเซี่ยงแล้ว ต่อให้ชู่มู่เป็นนายท่านตำหนักวิญญาณ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเธอแม้แต่น้อย
ส่วนในตอนนี้ เด็กสาวทรยศยิ่งไม่ต้องกังวล มังกรวายุอลวนตัวเดียวไม่ส่งผลกระทบต่อเธอมากเท่าไร อสูรเหวที่มันควบคุมก็จัดการได้แล้ว ตัวชู่มู่ เธอยิ่งไม่กลัว ส่วนดวงวิญญาณพวกนั้นของชู่มู่ ก็จะมีจิ้งจอกน้อยที่คลายผนึกได้จะเป็นอันตรายต่อเธอบ้าง นอกนั้นแทบไม่มีประโยชน์
แต่ว่าชู่มู่ยังคงฉีกยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้กลับทำให้เด็กสาวทรยศรู้สึกไม่ปกติ
ในที่สุด ชู่มู่เอ่ยปากแล้ว !
ชู่มู่พูดด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้ายว่า “ในเมื่อข้ารู้สิ่งที่ควรรู้แล้ว ตอนนี้เจ้าไปตายได้แล้ว !”
เมฆดำเหนือปราสาทโบราณมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว แทบจะปกคลุมครึ่งบนของเนินเมฆดำ พอยืนอยู่ด้านล่างเนิน แทบมองไม่เห็นเหตุการณ์รอบ ๆ ปราสาทโบราณ
ขั้นหนึ่งมีดวงวิญญาณส่งสารมากมายเช่นกัน แต่ว่าดวงวิญญาณส่งสารเหล่านี้ต้องบินไปถึงความสูงระดับหนึ่งเพื่อสำรวจ
อย่างไรก็ตาม การป้องกันของดวงวิญญาณส่งสารอ่อนแออย่างมาก เข้าใกล้สนามต่อสู้มากไปละก็ กลิ่นไอของจักรพรรดิเหล่านั้นจะทำให้ดวงวิญญาณส่งสารสลบได้
และตามที่เมฆดำลอยต่ำลง เหตุการณ์ของเนินเมฆดำถูกปกปิดเอาไว้หมด ดวงวิญญาณส่งสารลอยอยู่แค่ใต้เนินเขา แล้วนำข่าวที่ชู่มู่พามังกรวายุอลนมุ่งหน้าไปยังสถานที่เกียรติสุดท้ายนี้ให้กับผู้ชมลานกว้างรับรู้
ในตอนที่อยู่เจดีย์ป่ามรณะ ดวงวิญญาณส่งสายไม่เห็นขั้นตอนทั้งหมดของเรื่องนี้ ดังนั้น มังกรวายุอลวนที่ปรากฏตัวนี้กลายเป็นหนึ่งในดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่ชู่มู่ซ่อนเอาไว้
มังกรวายุอลวนไร้เทียมทานในจักรพรรดิ ถ้าพาดวงวิญญาณแบบนี้เข้าไปในด่านที่สิบ น่าจะกวาดล้างได้พอสมควร นอกจากจะมีสิ่งมีชีวิตประหลาดพอกับมังกรวายุพันมังกรปรากฏขึ้น แต่สิ่งมีชีวิตผิดปกตินี้ไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ ก็มีได้ หรือจะบอกว่า สิ่งเดียวที่สู้กับมันได้มีเพียงมารนิรยขาวระดับจักรพรรดิชั้นยอดของวังมารนิรยเท่านั้น
ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์บนเนินเขาได้ ผู้คนในลานกว้างใจร้อนอย่างมาก หวังว่าเมฆดำจะรีบ ๆ กระจายตัวออกไป เพื่อให้พวกเขาได้รู้การต่อสู้สุดท้ายของด่านที่สิบนี้ ต่อให้ผู้คนเดาได้พอประมาณแล้ว ไม่มีใครขัดการก้าวเดินของชู่มู่ที่พาจักรพรรดิไร้เทียมทานกับราชันมุ่งหน้าได้…
แน่นอนว่า ทั้งฝ่ายจัดการประลองยังไม่รู้ ศัตรูที่แท้จริงของชู่มู่ในด่านที่สิบไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขัน แต่เป็นผู้หญิงระดับราชันที่วางแผนไว้ตั้งนานแล้ว !
…
ตอนที่ชู่มู่รู้ว่า หุ่นเชิดเด็กสาวอยู่ในตำแหน่งปราสาทโบราณ ได้มุ่งตรงมายังเนินเมฆดำนี้อย่างแน่วแน่
ชู่มู่ยังจำตอนอยู่ด่านที่เจ็ด ใบหน้าสบประหม่าของหุ่นเชิดเด็กสาว ความเย่อหยิ่งอวดดีของเธอนั้น ทำให้อยากจะฆ่าล้างเธอให้สิ้นซากจริง ๆ !
ก่อนหน้านี้ ชู่มู่ยังเห็นใจเด็กสาวทรยศบ้าง รู้สึกว่า เด็กสาวทรยศอาจมีเรื่องลำบากใจ ต่อให้ความลำบากใจของเธอจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเอง แต่อย่างน้อย ตอนที่เห็นตัวเอง เธอน่าจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำบ้าง
และแล้ว ชู่มู่กลับไม่เห็นความรู้สึกผิดแม้แต่น้อยจากใบหน้าของเธอ แต่กลับทำท่าทีสูงส่งเย่อหยิ่งออกมา ไม่ปกปิดสายตาที่ดูถูกคนอื่นแม้แต่น้อย นี่ทำให้ชู่มู่โกรธมากกว่าเดิม !
จิตใจของชู่มู่แน่วแน่มาตลอด ยากที่จะเกิดความโกรธจริง ๆ แต่เผชิญหน้ากับเด็กสาวทรยศ ชู่มู่กลับโกรธเคืองอย่างมาก !
นอกจากนี้ ถ้าไม่เกิดเรื่องผิดพลาด บ่อน้ำอมตะน่าจะอยู่ในมือของหุ่นเชิดเด็กสาวแล้ว สิ่งที่ทำให้มังกรจำศีลน้อยเติบโตจนถึงลักษณะสิบได้ในเวลาสองปีมีความสำคัญต่อชู่มู่อย่างมาก ชู่มู่จำต้องคว้ามาให้ได้
ฆ่าเธอ ชู่มู่จะได้เกียรติสุดท้ายด่านที่สิบพอดี จะได้รางวัลดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชัน
ที่สำคัญที่สุดคือผลึกเครื่องในของเธอ สามารถนำมารักษาเย้ชิงจือได้
เหตุผลทั้งสี่นี้ แต่ละอันทำให้ชู่มู่ฆ่าเธออย่างไม่ลังเลได้ !
“อู อู อู อู”
มั่วเย้เหมือนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของเด็กสาวทรยศ มันที่กลายเป็นภาวะอาวรณ์วิ่งไปด้านหน้าทันที
ชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวอยู่บนหลังของมังกรวายุอลวน พาหนะของพวกเขาทั้งสองคนถูกฆ่าตายในสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างง่ายดาย เพื่อความผลอดภัยของดวงวิญญาณ พวกเขาจึงไม่อัญเชิญออกมา
ส่วนชู่มู่ยังคงอัญเชิญมารนิรยขาวตามติดข้างตัวเอง แม้มารนิรยขาวในตอนนี้เป็นการโจมตีหลักไม่ได้ แต่การปกป้องชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวยังคงเป็นหน้าที่ของมัน
ระหว่างเส้นทางจากเนินเมฆดำมุ่งหน้าไปปราสาทโบราณมีผนึกมากมาย ความสามารถของผนึกเหล่านี้อยู่ระหว่างจักรพรรดิขั้นสูงหรือมากกว่านั้น มังกรวายุอลวนพุ่งชน แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดขวางทางเดินของมันได้ !
ในไม่ช้า โครงสร้างของปราสาทโบราณปรากฏท่ามกลางเมฆหมอกสีดำนี้
“เธออยู่ที่นั่น !” องค์หญิงจิ่งโหลวชี้ไปยังแผ่นดินสีดำด้านนอกปราสาทโบราณ พูดกับชู่มู่
และแล้ว ชู่มู่เห็นเงาของผู้หญิงคนนั้น ถ้าไม่รู้ความเลวร้ายของผู้หญิงคนนี้มาก่อน เห็นแค่เงาเลือนลางอันงดงามนี้ อาจทำให้สติลอยได้
ชู่มู่กระโดดลงจากหลังของมังกรวายุอลวน มั่วเย้น้อยได้กระโดดขึ้นไหล่ของชู่มู่อย่างคล่องแคล่ว มุ่งหน้าไปยังเด็กสาวทรยศคนนี้พร้อมกับชู่มู่
ชู่มู่รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นแค่หุ่นเชิด ไม่ใช่ดวงวิญญาณจริงของตัวเอง ฆ่าเธอโดยตรงไม่มีความหมายเท่าไร จำต้องให้เธอพูดถึงที่อยู่ของเด็กสาวทรยศตัวจริงออกมาให้ได้ !
ชู่มู่พามังกรวายุอลวนเดินไปยังตำแหน่งที่เด็กสาวทรยศอยู่
ส่วนหุ่นเชิดเด็กสาวได้กลิ่นไอของชู่มู่ชัดเจน เธอยืนอยู่ท่ามกลางหมอกที่มัวหมอง ดวงตาอ้างว้างคู่นั้นจับจ้องไปยังตำแหน่งที่ชู่มู่เดินมา เผยความตกใจออกมาเล็กน้อย
หุ่นเชิดเด็กสาวรู้เรื่องทั้งหมดของชู่มู่เป็นอย่างดี รู้ว่าความสามารถของชู่มู่เป็นอย่างไร
เธอมองว่า ชู่มู่คว้าเกียรติสุดท้ายขั้นสองเป็นเรื่องที่เก่งมากแล้ว ไม่น่าจะเข้ามาในขั้นที่หนึ่งนี้ได้ !
ทว่า ในตอนที่หุ่นเชิดเด็กสาวเห็นว่ามีมังกรวายุอลวนตัวหนึ่งตามติดหลังชู่มู่ กลับทำท่าทีใช้ความคิด
“หาที่ตายอยู่เรื่อยแบบนี้ ลำบากเจ้าจริง ๆ” คำพูดของหุ่นเชิดเด็กสาวยังคงไม่น่าฟังเหมือนเดิม
ดวงตาของเธอจับจ้องมายังชู่มู่ ความอ้างว้างนั้นไม่เผยอารมณ์ใด ๆ ออกมา ความจริงหุ่นเชิดนี้ไม่มีอารมณ์ใด ๆ เธอทำตามที่เจ้านายสั่งเท่านั้น พูดในสิ่งที่เจ้านายอยากพูด
ชู่มู่กำลังจะพูดบางอย่าง กลับพบว่ากลิ่นไอของหุ่นเชิดเด็กสาวเปลี่ยนไปแล้ว !
ชุดสีดำของหุ่นเชิดพลิ้วไหว กลิ่นหอมดอกไม้ฟุ้งกระจาย กลิ่นนี้ทำให้หลงใหลได้ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสารพิษ ถ้าสูดเข้าไปจริง ๆ เกรงว่าจะถูกควบคุมไว้
ผ้าปิดหน้าของหุ่นเชิดเด็กสาวพลิ้วไหว ผ้าปิดหน้าของเธอไม่ปกปิดแน่นหนาเหมือนขององค์หญิงจิ่งโหลว ในตอนที่ลมพัดขึ้น ยังเห็นใบหน้าของเธอได้บ้าง
ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาของเธอไร้ที่เปรียบจริง ๆ ความสมบูรณ์แบบนั้นน่าตกใจยิ่ง ถ้าผู้ชายได้เห็นเธอแค่เสี้ยววินาที คาดว่าจะสติหลุดเหมือนวิญญาณออกจากร่าง ซูซาที่ภักดีต่อเธอเป็นตัวอย่างที่ดี
สายตาของหุ่นเชิดเด็กสาวเริ่มเปลี่ยนไป เผยให้เห็นประกายลึกลับ ดวงตาคู่นี้เต็มไปด้วยความเยือกเย็น อีกทั้งเผยให้เห็นความเย่อหยิ่งที่มีมาแต่เกิด และความดุร้ายที่เผยให้เห็นความแน่วแน่เยือกเย็นไร้ปราณีในจิตใจของมัน !
ชู่มู่มองไปยังการเปลี่ยนแปลงของหุ่นเชิดเด็กสาวด้วยความประหลาดใจ นี่เหมือนเปลือกนอกที่มีวิญญาณกะทันหัน กลิ่นไอที่เปลี่ยนไป ราวกับคนละคน !
นี่ไม่ใช่เปลือกกายหยาบแล้ว ไม่มีความงาดที่อ้างว้างแล้ว แต่เป็นความงามที่แท้จริง อีกทั้งเผยความเยือกเย็นที่สุดออกมา เหมือนดอกกุหลาบสีแดงที่เต็มไปด้วยหนาม !
“นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ข้าจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ ทิ้งองค์หญิงจิ่งโหลวเอาไว้ หายไปจากสายตาข้าในสามวินาที !”เด็กสาวทรยศพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่สุด
น้ำเสียงนี้เหมือนเป็นการออกคำสั่ง ทำท่าทีเหมือนกุมชะตาชู่มู่เอาไว้หมดแล้ว สามารถทำลายได้ตามใจ
มองดูเด็กสาวทรยศตรงหน้า ชู่มู่รู้ว่า ในตอนนี้ ผู้หญิงที่ทำท่าทีเหมือนราชินีคนนี้ คือตัวเด็กสาวทรยศเอง ชู่มู่สัมผัสได้ถึงการเชื่อมต่อของวิญญาณอันริบหรี่นั้นได้ !
หลังจากเข้าสู่ปราสาทโบราณมืดมัวแล้ว หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศเดินไปยังห้องโถงที่กว้างเท่าปราสาททั้งหมดแต่กลับมืดมัวอย่างมากช้า ๆ
ความจริงปราสาทนี้เหลือแค่เปลือกนอก ห้องโถงเป็นพื้นที่ด้านใน เมื่อก่อนเคยเป็นที่อยู่ของดวงวิญญาณหมวดผี แต่หลังจากนั้นได้ถูกฝ่ายจัดการประลองกวาดล้างแล้ว
แม้ที่นี่ไม่มีดวงวิญญาณหมวดผีใด ๆ แล้ว แต่ยังคงเต็มไปด้วยความน่ากลัวที่ชวนขนลุก บางครั้งอาจมีใบหน้าผีที่ปรากฏเลือนลาง มักมีดวงตาบางคู่ซ่อนอยู่ในซอกมุม จับจ้องไปยังทุกคนที่เข้ามาในปราสาทโบราณแห่งนี้
ในตอนนี้ ทั้งปราสาทโบราณมีแค่หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศคนเดียว เธอยืนอยู่ตรงกลางของปราสาททั้งหมด ร่ายคาถาขึ้นช้า ๆ
หลังจากร่ายคาถาสำเร็จ ดอกไม้ปรากฏใต้เท้าเธออย่างช้า ๆ ดอกไม้สีฟ้านี้ค่อย ๆ บานออก ที่น่าประหลาดคือบริเวณใจกลางดอกไม้กลับมีของเหลวผ่องใสมากมาย
ของเหลวเหล่านี้เคลื่อนไหวเบา ๆ กลับเผยให้เห็นใบหน้างดงามท่ามกลางการสั่นไหวนั้น
นี่เป็นเงาสะท้อนของโครงหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าไม่เห็นว่า หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศยืนอยู่อีกด้าน อาจทำให้รู้สึกว่านั่นเป็นเงาสะท้อนของหุ่นเชิดเด็กสาวเอง
ใบหน้าของผู้หญิงมัวหมอง ดวงตาผ่องใสคู่นั้นกลับมองข้ามมิติประหลาดนี้ได้ สังเกตปราสาทโบราณแห่งนี้
“น่าจะเป็นที่นี่แล้ว…” หญิงสาวที่อยู่ในเงาสะท้อนพูดขึ้น
“น่าจะเป็นที่นี่แล้ว…” ขณะที่หญิงสาวในเงาสะท้อนพูดขึ้น หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศพูดเหมือนกัน อีกทั้งเกือบจะพร้อมกัน
ในไม่ช้า ของเหลวสีฟ้าของดอกไม้ได้หายไป ดวงตาอ้างว้างของหุ่นเชิดเด็กสาวดุร้ายมากขึ้น กลายเป็นราชินีเยือกเย็นสูงส่งอีกครั้ง
ความจริง หุ่นเชิดเด็กสาวที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ มาจากจิตวิญญาณของเด็กสาวทรยศเอง
ตอนที่สายตาอ้างว้าง แปลว่าเธอเป็นหุ่นเชิด เป็นเปลือกที่เด็กสาวทรยศสร้างขึ้น หุ่นเชิดมีความคิดของตัวเอง มีพลังของตัวเอง แต่แท้จริงแล้ว สำหรับเด็กสาวทรยศนั้น ความสามารถด้านต่าง ๆ ของเธอยังแย่กว่ามาก
ปกติแล้ว หุ่นเชิดหญิงจะทำตามคำสั่งของเด็กสาวทรยศ มีเพียงช่วงเวลาสำคัญ เด็กสาวทรยศจะใช้ความคิดของตัวเองควบคุมหุ่นเชิดหญิงนี้ ในตอนนั้น ท่าทีทั้งหมดของหุ่นเชิดหญิงเหมือนกับด็กสาวทรยศทั้งหมด
“ต่อไปน่าจะง่ายมากแล้ว” หุ่นเชิดเด็กสาวพึมพำ นัยน์ตาเผยท่าทีขบขันออกมา
ตอนที่พูด หุ่นเชิดเด็กสาวร่ายคาถาขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ดอกไม้ขนาดใหญ่ที่เหมือนดอกไม้กินคนปรากฏข้างตัวเธอช้า ๆ กลีบดอกไม้ที่ใหญ่เหมือนปากเปิดออกช้า ๆ ด้านในกลับมีศพที่เหนียวข้นไหลออกมา !
ศพนี้เป็นผู้ชาย เสื้อผ้าถูกกัดกร่อนจนไม่เหลือแล้ว แม้แต่ผิวก็จะถูกย่อยจนหมดแล้ว ไม่เห็นใบหน้าใด ๆ เห็นแล้วชวนขนลุกอย่างมาก
หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศไม่สนใจใด ๆ ในมือมีกิ่งดอกไม้เส้นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่า กิ่งดอกไม้นี้มีความสามารถดูดเลือดพิเศษ ปักลงบริเวณเส้นเลือดลำคอของศพนี้อย่างแม่นยำ
กิ่งดอกไม้เริ่มดูดซึม ในไม่ช้า เห็นได้ชัดว่า ศพนี้แห้งลง สุดท้ายหายจากไปด้วยของเหลวกัดกร่อนเหล่านี้ในที่สุด
หลังจากเก็บเลือดมาแล้ว หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศเริ่มนำเลือดนี้ไปหยดในทุกมุมของปราสาทโบราณ ดูเหมือนเป็นการสาดธรรมดา แต่ถ้ามองจากที่สูง จะพบว่านี่เป็นลายเส้นเลือดอันหนึ่ง !
เด็กสาวทรยศใช้เวลาวาดนานมาก แต่ว่าในตอนที่สำเร็จในตอนท้ายสุด เธอกลับขมวดคิ้วขึ้น
“ไม่ได้ผล” สีหน้าของหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศดูแย่มาก
“เลือดนี้มีปัญหา หึ !” หุ่นเชิดเด็กสาวทำใบหน้าเยือกเย็น ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“กำจัดเลือดทิ้ง อย่าให้คนอื่นสังเกตเห็น เจ้าไปเปิดผนึกด่านที่สิบ ทำท่าเหมือนจะคว้าเกียรติสุดท้าย” หุ่นเชิดเด็กสาวเหมือนกำลังพูดกับตัวเอง
หลังจากพูดจบ สายตาของหุ่นเชิดอ่อนโยนลงช้า ๆ แต่หลังจากอ่อนโยนลงกลับอ้างว้างเหมือนเดิม ราวกับไม่มีวิญญาณ
หลังจากไม่มีวิญญาณแล้ว หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศเหมือนศพเดินได้ เดินไปด้านนอกปราสาทช้า ๆ
เกียรติสุดท้ายของด่านที่สิบคือสิ่งมีชีวิตที่ผนึกไว้ด้านนอกประตูปราสาทโบราณ ซึ่งเป็นป้ายศิลานั้น รอบ ๆ ป้ายศิลานั้นยังมีสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าสิบกว่าตัว
เกียรติสุดท้ายที่ฝ่ายจัดการประลองตั้งไว้มีความยากสูงมา สิ่งมีชีวิตในเกียรติสุดท้ายของด่านที่สิบนี้เป็นจักรพรรดิที่สู้กับกลุ่มมังกรได้ นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าสิบกว่าตัวรอบ ๆ อยู่ในจักรพรรดิขั้นสูง ยังมีระดับจักรพรรดิชั้นยอดด้วย นอกจากผู้เข้าแข่งขันจะมีความสามารถที่เกินคนแล้ว มิฉะนั้น แทบไม่สามารถคว้านด่านที่สิบนี้ได้ลำพังแน่นอน
หุ่นเชิดเด็กสาวไม่ได้มาเพราะเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบนี้ เธอรู้ว่ารอบ ๆ ปราสาทโบราณยังมีกฎต้องห้ามของฝ่ายจัดการประลอง เพื่อไม่ให้ฝ่ายจัดการประลองสังเกตเห็นแผนของตัวเอง เธอได้เปิดผนึกสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าอันหนึ่งขึ้น
สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวแรกที่หุ่นเชิดเด็กสาวปล่อยออกมาคือดวงวิญญาณที่อยู่ระหว่างจักรพรรดิขั้นสูงและจักรพรรดิชั้นยอด
หลังจากดวงวิญญาณเห็นหุ่นเชิดเด็กสาว มันพุ่งเข้ามาอย่างดุร้ายทันที กรงเล็บนั้นกำลังจะฉีกร่างอ่อนแอของเธอ
หุ่นเชิดเด็กสาวหลบได้อย่างง่ายดาย ด้านหลังเธอมีเถาวัลย์ดอกไม้ปรากขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เถาวัลย์ดอกไม้เหล่านี้ปักเข้าผิวของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าอย่างลึกลับ
สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้ายากที่จะต่อต้านได้ ตามที่สารพิษของเถาวัลย์ดอกไม้ซึมเข้า ดวงตาของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ …
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ก่อนที่กลิ่นไอดุร้ายของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าจะหายไปหมด แล้วคลานอย่างช้า ๆ เดินไปตรงหน้าเด็กสาวทรยศ หมอบอยู่ข้างเธอราวกับเป็นทาส !
หลังจากควบคุมสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวนี้ได้แล้ว หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศทำเช่นเดียวกัน เปิดผนึกของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าด่านที่สิบนี้ต่อ ควบคุมสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าทั้งหมดเอาไว้…
…
…
ซูซายืนอยู่บนเนินเมฆดำตลอด เมฆหมอกลอยต่ำลงเรื่อย ๆ แล้ว ตอนนี้เขาแทบไม่เห็นปราสาทโบราณบนยอดเนินนั้นแล้ว ยิ่งมองไม่เห็นเงาของคุณท่านหญิง
ซูซารอที่นี่สักพักแล้ว ระหว่างนี้ซูซาได้ต่อสู้กับผู้เข้าแข่งขันขั้นหนึ่งที่คิดจะเข้ามาในเนินเมฆดำแห่งนี้
ความสามารถของซูซาแข็งแกร่งอย่างมาก ต่อให้เผชิญหน้ากับลี่ฮวัง ฟงหลั่ว เขามั่นใจได้ว่าจะชนะ ส่วนผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้แล้ว
“เจ้าเซี่ยกว่างหาน เรื่องแค่นี้ยังต้องใช้เวลานานขนาดนี้ !” ซูซาบ่น
เพราะเซี่ยกว่างหานไม่ปรากฏตัวสักที ซูซาต้องคอยรออยู่ที่นี่ เขาไม่สามารถขัดคำสั่งของคุณท่านหญิงวิ่งเข้าไปในปราสาทโบราณได้
“เซี่ยกว่างหานไม่มาแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้น !
ซูซาตกใจขึ้น ตัวเองเป็นเจ้าวิญญาณหกร่าย ตามปกติในขั้นที่หนึ่งยากที่จะมีผู้แข็งแกร่งที่สูงกว่าตัวเอง แต่ฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็นตัวเอง อีกทั้งได้ยินเสียงบ่นของตัวเอง แต่ตัวเขากลับไม่สังเกตเห็นอีกฝ่าย
“ใคร !” ซูซาร้องขึ้นอย่างเยือกเย็น กวาดตามองไปยังอีกด้านของเนินเมฆดำ
ตำแหน่งที่ซูซาอยู่เป็นด้านคดโค้งของเนิน เขาในตอนนี้ที่มองไปยังต้นตอของเสียง สิ่งทีเห็นกลับไม่ใช่คนที่พูด แต่เป็นสิ่งมีชีวิตร่างมังกรที่มีความสูงแปดเมตรเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
“นี่มัน…” ซูซานิ่งอึ้ง เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นมังกรวายุอลวนลักษณะสิบตัวหนึ่ง !!!
กลุ่มมังกรขึ้นชื่อว่าเป็นกลุ่มไร้เทียมทานในจักรพรรดิ ดวงวิญญาณของซูซาตัวใหญ่ก็จริง แต่เมื่อเทียบกับมังกรจักรพรรดิแล้ว ใช่ว่าจะเอาชนะมันได้
ตอนนี้ซูซาแอบคิดในใจ เขาจำได้ว่า ในขั้นหนึ่งน่าจะมีแค่ลี่ฮวังที่มีมังกรจำศีลมรกตตัวหนึ่ง มังกรจำศีลตัวนั้นเนื่องจากผ่านการล้างสมองด้วยหยดแห่งความจำ ไม่มีแม้แต่วิญญาณ ความสามารถธรรมดา ไม่น่ากลัว
แต่ว่า สายตาของมังกรวายุอลวนตรงหน้าตัวนี้ เต็มไปด้วยพลัง ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ที่เต็มเปี่ยม ต่อให้ร่างผอมบางติดกระดูก แต่คาดว่า เป็นชั้นยอดของมังกร ดูจากภายนอกก็มั่นใจได้แล้ว !
เป็นจักรพรรดิชั้นยอดเช่นกัน สู้กับจักรพรรดิชั้นยอดสองตัวของเขาละก็ เกรงว่ามังกรวายุอลวนตัวนี้ก็จัดการได้ !
มังกรวายุอลวนถูกผนึกไว้นานแล้ว ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายสักที หลังจากรู้ว่าซูซาคือศัตรู ยิ่งพุ่งตรงไป ก่อพายุสลายขึ้น กลายเป็นพายุสีดำ พัดพาไปยังซูซาและดวงวิญญาณของเขา !
ซูซาได้อัญเชิญจักรพรรดิชั้นยอดออกมาสามตัว และแล้ว เขาเผชิญหน้ากับจักรพรรดิชั้นยอดสามตัวนี้ มังกรวายุอลวนกลับไม่กลัวที่จะพุ่งเข้าไป เผยท่าทีทรงพลังของกลุ่มมังกรออกมาอย่างหมดจด !
ซูซาตกใจยิ่งกว่าเดิม พลังของมังกรวายุอลวนตัวนี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้ !
มังกรวายุอลวนได้เปรียบตรงความสามารถควบคุมหมวดลมและพลังหมวดอสูรที่แข็งแกร่งยิ่ง
ในตอนที่ภูตพันวายุของชู่มู่ต่อสู้ในระยะประชิด ทำได้แค่หลบซ่อน แล้วเว้นระยะห่างออกมาเพื่อปล่อยทักษะหมวดลมต่อสู้ต่อ
ส่วนมังกรวายุอลวนต่างกัน อาศัยร่างเนื้อของกลุ่มมังกร ต่อสู้ระยะประชิดกับดวงวิญญาณจักรพรรดิชั้นยอดหมวดอสูร มังกรวายุอลวนชนะได้แน่นอน
ถ้าต่อสู้ในระยะไกล มังกรวายุอลวนจะให้เจ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงรู้ถึงความน่ากลัวของวายุสลาย !
เช่นนี้ การรวมตัวของหมวดอสูรกับหมวดลม ทำให้มังกรวายุอลวนได้ชื่อว่าเป็รจักรพรรดิไร้เทียมทาน บวกกับพรสวรรค์และหมวดที่โดดเด่ของมังกรวายุอลวนชู่เทียนหมังตัวนี้ เผชิญกับจักรพรรดิชั้นยอดทั้งสามของซูซาได้เหลือเฟือ!
ตอนที่สู้กับมังกรจำศีลมรกต ชู่มู่มั่นใจในความสามารถของมังกรวายุอลวน มองจากตอนนี้ อาจต้องให้ดวงวิญญาณระดับราชันลงมือ ถึงจะจับมังกรวายุอลวนตัวนี้ได้ !
“มั่วเย้ ฆ่าซูซา” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับมั่วเย้
ซูซากำลังร่ายคาถาขึ้น เห็นได้ชัดว่า ไม่อยากผูกมัด จำต้องใช้ควบคุมสี่ถึงจะล้มมังกรวายุอลวนได้
ทว่า ชู่มู่ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสอัญเชิญดวงวิญญาณ !
“โซ โซ”
ความเร็วของมั่วเย้น่ากลัวยิ่งกว่ามังกรวายุอลวน ซูซาที่กำลังจดจ่อกับการต่อสู้แทบไม่สังเกตเห็นราชันตัวหนึ่งที่กำลังเข้าใกล้ !!!
“ซัวะ !!!”
กรงเล็บอัคคีแห่งโทษตวัดลงลำคอของซูซาอย่างลึกลับ ซูซาเบิกตากว้าง ดวงตานั้นเผยให้เห็นความหวาดกลัว !
อัคคีแห่งโทษกระจายจากลำคอของซูซาไปทั่วทั้งตัว ชีวิตของซูซาหายไปอย่างรวดเร็ว !
ดวงตาของซูซาขยายเรื่อย ๆ กระทั่งตอนตายเขาก็ยังไม่เข้าใจ ตัวเองกลับถูกจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งฆ่าตายในการโจมตีเดียว วินาทีก่อนตาย เขายังรู้สึกว่า จิ้งจอกน้อยนั้นน่ารัก ไร้เดียงสา…
มังกรจำศีลน้อยเพิ่งเกิด พลังของมันก็มีจำกัดมาก มันปีนไปปีนมา หลังจากกระโดดไปมาแล้ว ก็เริ่มเหนื่อย หมอบอยู่บนไหล่ของชู่มู่กำลังจะหลับไป
ชู่มู่รู้ว่าให้เจ้าตัวเล็กหมอบอยู่บนไหล่ของตัวเองแบบนี้ไม่ปลอดภัย ในตอนนี้ได้เก็บมันกลับไปยังช่องว่างจับวิญญาณของตัวเอง
เจ้าตัวเล็กยังอยู่ในขั้นของเด็กทารก หลังจากผ่านไปไม่กี่วันจะเข้าสู่ลักษณะขั้นของการลอกคราบ แบบนั้นถึงจะทำสัญญาวิญญาณได้ ดังนั้น ชู่มู่ทำได้แค่เก็บมันไว้ในช่องว่างจับวิญญาณก่อน
ในช่องว่างจับวิญญาณปลอดภัยและสบายมาก เจ้าราชันน้อยนี้นอนได้อย่างสบายใจ สำหรับมันแล้ว ทั้งช่องว่างจับวิญญาณนี้เหมือนเตียงยักษ์ใหญ่ มันผลิกตัวไปมาได้ตามใจ
หลังจากมังกรจำศีลน้อยนอนแล้ว น่าจะอยู่ในลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่งได้ ต่อจากนี้ชู่มู่ต้องคอยดูแลมันอย่างช้า ๆ อีกไม่กี่ปี มังกรจำศีลน้อยจะแข็งแกร่งกว่ามังกรจำศีลมรกตที่เมืองหลีแน่นอน อีกทั้งเข้าใกล้ระดับเดียวกับมังกรจำศีลอัมพรมรกต หรืออาจอยู่ในระดับที่เกินกว่ามังกรจำศีลอัมพรมรกตก็ได้ !
…
“ใช่แล้ว ชู่มู่ ในเมืองอมตะนี้มีวัตถุวิญญาณพิเศษอย่างมากอันหนึ่ง” องค์หญิงจิ่งโหลวนึกบางอย่างขึ้นมาได้ พูดกับชู่มู่
“หืม” ชู่มู่ยักคิ้วขึ้น ในเมื่อองค์หญิงจิ่งโหลวเงินทุนแน่นหนาบอกว่า เป็นของพิเศษ ย่อมเป็นของไม่ธรรมดาแน่นอน !
“บ่อน้ำอมตะ” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
องค์หญิงจิ่งโหลวเองได้รู้เรื่องบ่อน้ำมรกตนี้โดยบังเอิญ ถ้าไม่เห็นมังกรจำศีลน้อย องค์หญิงจิ่งโหลวคงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
“บ่อน้ำมรกตนี้ทำให้การเติบโตของดวงวิญญาณไวขึ้นห้าเท่าได้ เท่ากับว่า เดิมอาจต้องใช้เวลาสิบปีถึงจะลอกคราบเป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะสิบ กลับใช้เวลาแค่สองปีก็พอ ดวงวิญญาณระดับราชันก็ใช้ได้” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดต่อ
ตาของชู่มู่เป็นประกายทันที พูดอย่างตื่นเต้นว่า “มีสมบัติแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ !”
การเติบโตด้วยความเร็วห้าเท่า สำหรับผู้คุมดวงวิญญาณที่เพิ่งได้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งแล้ว เป็นสมบัติอันล้ำค่าอย่างมาก !
ถ้าให้เจ้ามังกรจำศีลน้อยกิน เท่ากับว่าในเวลาหนึ่งถึงสองปีนี้ชู่มู่จะมีดวงวิญญาณราชันลักษณะสิบอีกตัวหนึ่ง !
“เจ้านี่เป็นสิ่งที่มีราคาแพงที่สุดในเมืองอมตะแห่งนี้ ราคาไม่ด้อยไปกว่าดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชัน ทว่า ไม่มีใครรู้ว่าบ่อน้ำอมตะนี้อยู่ที่ใด รวมถึงประธานที่นั่งทั้งสี่ เกรงว่าคนเดียวที่รู้คงมีแค่ราคา หลีหง” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
พอองค์หญิงจิ่งโหลวบอกแบบนี้ ชู่มู่นึกถึงหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศทันที
ชู่มู่ฉลาดมาก มักเชื่อมเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน แล้วทำการวิเคราะห์ออกมาได้
การปรากฏของบ่อน้ำอมตะ ทำให้ชู่มู่รู้สึกว่า นี่อาจเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศ
โดยปกติดวงวิญญาณตัวอ่อนระดับราชันจะอยู่ในระดับเทียบเท่าราชัน สำหรับหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศที่มีความสามารถดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว มีค่าแน่นอน แต่อาจไม่สำคัญมาก ไม่จำเป็นต้องวางแผนนานขนาดนี้
ถ้าบอกว่าในเมืองอมตะแห่งนี้มีวัตถุวิญญาณล้ำค่าอย่างบ่อน้ำอมตะนี้ เหมาะจะเป็นเป้าหมายของหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศอย่างมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถ้าบอกว่าบ่อน้ำอมตะนี้มีผลต่อสิ่งมีชีวิตระดับราชันด้วย ถ้าอย่างนั้นใช้กับราชันขั้นสูง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประโยชน์ของมันแล้ว !
…
…
เนินเมฆดำด่านที่สิบ
เนินเมฆดำนี้คือเขตปราสาทโบราณที่ชู่มู่เห็นจากที่ไกลก่อนหน้านี้
ความจริงพื้นที่นี้กว้างขวางอย่างมาก เนินเมฆดำนี้มีความยาวหลายกิโลเมตร
บนเนินนี้มีศิลามากมายตั้งชันอยู่ราวกับป้ายหลุมศพ ศิลาแต่ละก้อนคือผนึกหนึ่งอัน คิดจะเข้าไปในปราสาทโบราณ จำต้องกวาดล้างสิ่งมีชีวิตที่ผนึกในนี้ก่อน !
ด้านล่างเนินเมฆดำ ผู้หญิงสวนชุดดำขนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลมพัดพาตีบนตัวเธอ เผยให้เห็นความเยือกเย็นดุร้ายของเด็กสาวคนนี้ !
เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาอ้างว้างคู่นั้นจับจ้องไปยังปราสาทโบราณแห่งนั้น มองดูเหมือนรูปปั้น
“คุณท่าน ได้บ่อน้ำอมตะแล้ว” ในตอนนี้ ชายคนหนึ่งชันเข่าต่อหน้าเธอ ก้มหัวด้วยความภักดี
ชายคนนี้คือม้ามืดขั้นหนึ่ง ซูซา เขาเป็นคนที่รับใช้หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศตั้งแต่แรก อีกทั้งเป็นลูกมือแข็งแกร่งที่สุดในขั้นหนึ่งของเด็กสาวทรยศ
ซูซาสามารถผ่านเข้ารอบมาได้ตลอด มีชื่อเสียงค่อนข้างมาก แต่ไม่มีใครรู้ว่า ความจริงเธอกำลังรับใช้ผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีชื่อปรากฏในป้ายเทียนเซี่ย ตอนนี้ซูซากำลังชันเข่าตรงหน้าผู้หญิงคนนี้ เขาที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองทำได้แค่มองไปยังชายกระโปรงสีดำที่พลิ้วไหวไปตามสายลมของคุณท่านหญิง
ในใจของซูซา คุณท่านหญิงเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา นอกจากบ่อยครั้งที่ดูไร้ชีวิตแล้ว สิ่งอื่นแทบไม่อาจใช้คำพูดใด ๆ มาบรรยายความงามได้ เขาภักดีต่อคุณท่านหญิงจนถึงขั้นที่คลั่งไคล้แล้ว
“สิ่งนี้ควรได้มาตั้งแต่หกปีก่อนแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเจ้านั่นมาก่อกวน คงไม่ต้องรอให้ถึงตอนนี้ !” คุณท่านหญิงพูดอย่างเยือกเย็น
ความจริงคุณท่านหญิงรู้เรื่องทั้งหมดของเมืองอมตะแล้ว ปกติเมืองอมตะถูกปิดไว้ตลอด อีกทั้งมีกฎพิเศษชัดเจน หากมีการเคลื่อนไหวอะไร ฝ่ายจัดการประลองจะรู้ทันที มีเพียงรอให้เปิดการประลองฟ้าดิน รอให้ถึงด่านที่เก้ากับสิบ เมืองอมตะถึงจะนับว่า “เปิด” อย่างเป็นทางการ
ส่วนเธออาศัยโอกาสนี้ เข้ามาชิงบ่อน้ำอมตะไปได้อย่างไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ
หกปีก่อน คุณท่านหญิงได้วางแผนชิงบ่อน้ำอมตะนี้แล้ว แต่กลับเป็นเพราะการขัดขวางของคน ๆ หนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่ เธอจำต้องวางกลับไปที่เดิม รอให้ถึงการประลองฟ้าดินครั้งนี้
ในเมื่อเคยเอาไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งที่สองนี้กลับง่ายดายอย่างมาก พูดได้ว่าสิ่งที่เธอขาดเหลือแค่โอกาสที่จะเข้ามาในเมืองอมตะนี้ ทันทีที่เข้ามาที่นี่ บ่อน้ำอมตะนี้ก็อยู่ในมือแล้ว
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผนึกใหญ่บางอย่างถูกเปิดออก เทียนทิงประธานที่นั่งทั้งสี่ปรากฏตัวแล้ว” ซูซาก้มหัวรายงาน
“นั่นเป็นราชันอสูรเลือด ผนึกนั้นไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้ว คนของฝ่ายจัดการประลองยังหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อไปซ่อมโครงสร้างผนึกไม่ได้สักที ตอนนี้ถูกเปิดออก เทียนทิงน่าจะจัดการได้ลำบาก ตัดปัญหาให้พวกเราได้พอดี” คุณท่านหญิงบอก
“ก่อนหน้านี้เทียนทิงเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เผชิญหน้ากับราชันอสูรเลือด ดวงวิญญาณหลักจะได้รับบาดเจ็บอีกแล้ว…” ซูซาบอก
คุณท่านหญิงไม่สนใจเทียนทิงเท่าไร ลูกมือขององค์กรวิญญาณที่โง่เขลาอยู่ในเมืองเทียนเซี่ยมาหลายปี กลับไม่รู้เจตนาของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวเทียนทิงแม้แต่น้อย
เห็นคุณท่านหญิงไม่สนใจเทียนทิง เขาทำได้แค่ถามขึ้นเสียงเบาว่า “ตอนนี้พวกเรา…”
“เจ้ารออยู่ที่นี่ให้เซี่ยกว่างหานพาองค์หญิงจิ่งโหลวมาที่นี่” คุณท่านหญิงบอก
หลังจากพูดจบ คุณท่านหญิงก้าวเท้าออก เดินไปยังตำแหน่งของปราสาทโบราณช้า ๆ
ซูซาโค้งคำนับอีกครั้ง จับจ้องไปยังแผ่นหลังอันงดงามของคุณท่านหญิง ผนึกมากมายที่คุณท่านหญิงเดินผ่าน ต่อให้เข้าใกล้มากเพียงใด ผนึกนี้กลับไม่เกิดปฏิกิริยาใด ๆ ผนึกเนินเมฆดำที่เป็นความยากขั้นสุดของผู้เข้าแข่งขันขั้นหนึ่งนี้กลับเป็นแค่สิ่งประดับเท่านั้น
รอให้มังกรจำศีลมรกตน้อยฟักออกมา ชู่มู่ที่รอมาตลอดเกือบลืมการมีอยู่ของเจ้าตัวเล็กนี้ไปแล้ว !
ไม่คิดว่ามังกรจำศีลมรกตที่สูญเสียวิญญาณตรงหน้าตัวนี้จะปลุกเจ้าตัวเล็กให้ฟื้นขึ้นมาได้ นี่เป็นสิ่งที่ชู่มู่คาดไม่ถึงจริง ๆ !
สำหรับอำนาจฝ่ายใดก็ตาม ผู้ที่มีดวงวิญญาณระดับราชัน คือผู้มีอำนาจ ! มีอำนาจมหาศาลในวงการดวงวิญญาณ ตอนที่อยู่เมืองหลี อำนาจทรงพลังของเจ้าโลกหลีเป็นแบบใดยังอยู่ในความทรงจำของชู่มู่ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะในตอนนั้นเขามีราชันภูตวิญญาณจักรวาลแดงเทียบเท่าราชันตัวหนึ่ง !
ตอนนี้มั่วเย้ได้เปรเปลี่ยนจนอยู่ในระดับราชันแล้ว มีราชันอยู่ ทำให้แย่งชิงทรัพยากรที่หายากให้ดวงวิญญาณอื่นได้ง่ายขึ้นมาก ความสามารถดวงวิญญาณอื่นของชู่มู่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย
บวกกับราชันอีกตัวอย่างมังกรจำศีลน้อยตัวนี้ ต่อให้ต้องใช้เวลาไม่น้อยเพื่อให้อยู่ในลักษณะสิบ แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องของเวลา !
ดวงวิญญาณลักษณะสิบตัวใดก็ตามที่ผ่านการดูแลของผู้คุมดวงวิญญาณให้อยู่ในลักษณะสิบ อีกทั้งหลังจากที่ร่ายวิญญาณอยู่ในระดับที่สูงขึ้นแล้ว จะเลี้ยงดวงวิญญาณให้อยู่ในลักษณะสิบแบบนี้จะลดเวลาได้เกินครึ่ง บวกกับการเสริมจากวัตถุวิญญาณที่มีระดับสูงขึ้น ถ้าอย่างดีจะอยู่ในลักษณะสิบได้ในเวลาเพียงสี่ปี !
และระหว่างที่เพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะสิบ ระดับพลังต่อสู้ของมังกรจำศีลน้อยจะไม่อยู่ในระดับเดิมแน่นอน ชู่มู่จะใช้ทุกวิธีเพื่อเพิ่มความสามารถของมันแน่นอน !
ไม่แน่ หลังจากห้าหรือหกปี ชู่มู่จะมีราชันขั้นกลางตัวหนึ่ง หรืออาจเป็นดวงวิญญาณระดับราชันขั้นสูงก็ได้ !
หลังจากห้าหกปี นั่นเป็นอายุที่ชู่มู่ยังเข้าร่วมการประลองฟ้าดินครั้งต่อไปได้อยู่ ! ในขั้นหนึ่งหากมีเทียบเท่าราชันก็กวาดล้างทุกวิ่งได้แล้ว ถ้ามีราชันขั้นสูงละก็…
ถึงตอนนั้นชู่มู่ยังคิดจะเข้าร่วมการประลองฟ้าดินทำไมกัน จะมุ่งหน้าเข้าชิงบัลลังก์เทียนเซี่ยแล้ว !
ต่อให้ไม่มีความคิดต่อบัลลังก์เทียนเซี่ย การคว้าตำแหน่งประธานที่มั้นคงได้ หรือจะเป็นการคว้าตำแหน่งท่านอาวุโสในตำหนักวิญญาณ หรือวังมารนิรยก็ได้อย่างง่ายดาย !
…
“ซา ซา ซา”
ตอนที่ชู่มู่กำลังดีใจ เสียงของมังกรจำศีลมรกตทำให้ชู่มู่ได้สติกลับมาทันที
ชู่มู่มองไปยังตัวของมังกรจำศีลมรกต กลับพบว่า ร่างแข็งแรงของมังกรจำศีลมรกตกลับค่อย ๆ เหี่ยวแห้งในตอนนี้ !
ชู่มู่นิ่งอึ้ง รีบใช้มือจับเขามังกรของมังกรจำศีลมรกต
พลังชีวิตของมังกรจำศีลมรกตกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ขั้นตอนนี้พิเศษอย่างมาก !
แสงเขียวห่อหุ้มเอาไว้ เกล็ดมังกรเงางามบนตัวมังกรจำศีลมรกตหลุดลงพื้น ร่างแข็งแรงของมันกลับค่อย ๆ แยกจากกันท่ามกลางแสงสีเขียวนี้ กลายเป็นแหล่งพลังสีเขียวนับไม่ถ้วน ซึมเข้าไปในไข่มังกรจำศีลช้า ๆ …
“นี่มัน…” ชู่มู่มองไปยังพลังชีวิตของมังกรจำศีลมรกตที่ค่อย ๆ หมดลง เกิดความสะเทือนใจยิ่ง !
เห็นได้ชัดมากว่า มังกรจำศีลมรกตกำลังย่อยสลายตัวเอง !
การย่อยสลายนี้เป็นวิธีตายพิเศษอย่างหนึ่งของกลุ่มมังกรจำศีลมรกต พวกมันได้ชื่อว่า มังกรจำศีลอมตะ การแก่ตายเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับพวกมัน
ดังนั้น ในตอนที่ชีวิตกำลังจะจบลง พวกมันจะสลายร่างของมันเอง แล้วนำพลังชีวิตที่เหลือเปลี่ยนเป็นประกายสาดขึ้นฟ้า
ในตอนนี้ มังกรจำศีลมรกตกำลังย่อยสลายตัวเอง ที่ต่างกันคือ มันได้มอบพลังชีวิตทั้งหมดของมันให้ไข่มังกรจำศีลของชู่มู่ ใช้วิธีพิเศษนี้ฟักชีวิตใหม่ขึ้นมา !
ชู่มู่รู้ว่า มังกรจำศีลมรกตกำลังเผชิญกับความตาย เดิมคิดจะห้ามมัน แต่เสียง “ซา ซา ซา” อันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง
ประกายสีเขียวงดงามราวกับความฝัน กลิ่นไอพลังชีวิตเข้มข้นก่อเป็นจุดประกายต่าง ๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตตัวเล็กในแรกเริ่มสุดที่วิ่งเล่นท่ามกลางประกายแสงเหล่านี้…
ลำตัวของมังกรจำศีลมรกตค่อย ๆ สลายไปตามประกายเหล่านี้ มันกำลังบอกชู่มู่เป็นครั้งสุดท้ายว่า วิธีนี้เป็นวิธีปลดปล่อยที่ดีที่สุดของมัน
สำหรับสิ่งมีชีวิตมากมาย การแก่ตาย ป่วยตาย เกิดใหม่ เติบโต ลอกคราบ เต็มวัย ชั้นยอด แก่เฒ่า…เป็นแค่วัฏจักรอย่างหนึ่ง สำหรับมังกรจำศีลมรกตเป็นแค่ชะตาชีวิตพิเศษอย่างหนึ่ง
นี่ไม่ใช่การเริ่มใหม่ เพราะหลังจากรุ่นหลังนับไม่ถ้วน ก็จะมีชีวิตใหม่เข้ามาแทนที่ ทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
มังกรจำศีลมรกตนำชีวิตของตัวเองมาเติมเต็มมังกรจำศีลมรกตที่กำลังจะฟักออก มันที่กำลังตายจากไป กลับสร้างสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งขึ้นมาใหม่
และแล้ว นี่เป็นชะตาชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับมังกรจำศีลมรกตที่สูญเสียวิญญาณ เป็นการปลดปล่อยที่ดีที่สุด
ชู่มู่มองไปยังมังกรจำศีลมรกตที่เหนื่อยล้าและจากไป จิตใจของเขาเกิดความเคารพนับถือกลุ่มมังกรจำศีลอีกครั้ง
ในที่สุด มังกรจำศีลมรกตยังคงหายไปอยู่ดี ประกายสีเขียวหมองคล้ำลงเรื่อย ๆ
“กุตง”
“กุตง”
ราวกับชีวิตที่สืบต่อ หลังจากมังกรจำศีลมรกตหายไป มังกรจำศีลน้อยที่อยู่ในไข่มังกรขยับตัวเล็กน้อย เหมือนอดใจไม่ไหวที่จะออกจากไข่ !
“แกร๊ก”
ทันใดนั้น รอยแยกอันหนึ่งปรากฏบนเปลือกไข่แข็งแรงนี้
“แกร๊ก แกร๊ก”
มันเริ่มคืบคลานออกจากรอยแยก จากด้านบนของไข่ เกิดรอยแยกมากขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
“ซา ซา ซา” เสียงเล็กอ่อนนั้นดังขึ้น เจ้าเด็กในนั้นเหมือนจะไม่สามารถทำลายเปลือกไข่นี้ได้ เลยส่งเสียงพร้อมชนด้วยความโกรธ
ชู่มู่ที่ตื่นเต้นอย่างมากรีบยื่นมือออก อยากจะช่วยเจ้าตัวเล็กนี้แกะไข่ออก
“อ๊าว !!!” ในตอนนี้ มังกรวายุอลวนยื่นกรงเล็บออก ขวางไว้ด้านหน้าชู่มู่
มังกรวายุอลวนกำลังบอกกับชู่มู่ว่า ไข่มังกรนี้เป็นบททดสอบด่านแรกของมังกรน้อยที่มาถึงโลกนี้ ต่อให้จะขาดอากาศหายใจในนี้ ก็ห้ามช่วยมันเด็ดขาด เพราะถ้าไม่อาจผ่านบททดสอบชีวิตแรกสุดนี้ได้ ต่อไปคงไม่อาจมีชีวิตรอดในโลกที่โหดร้ายแบบนี้ได้ !
ชู่มู่พยักหน้า ไม่ได้เข้าไปช่วย
“ซา ซา ซา !!!”
เหมือนมังกรจำศีลน้อยหงุดหงิดแล้ว กระแทกมากขึ้น แรงเพิ่มขึ้น !
ในที่สุด รอยแยกที่ใหญ่กว่าได้ปรากฏขึ้นแล้ว มังกรจำศีลน้อยได้พบรูที่ออกมาได้แล้ว กรงเล็บน่ารักเล็กจิ๋วนั้นยื่นออกมา!
“ซา อ๊าว”
เสียงคำรามเล็ก ๆ ดังขึ้นทันที ไข่มังกรที่แข็งแรงยิ่งถูกฉีกออกในที่สุด !
“อ๊าว !!!” เห็นได้ชัดว่า มังกรวายุอลวนอึ้งเล็กน้อย ส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ
จากอารมณ์ของมันพอจะมองออกได้ว่า มังกรวายุอลวนเหมือนจะตกใจมากที่เจ้าตัวเล็กนี้กลับส่งเสียงคำรามมังกรได้ในตอนเกิด ต่อให้ตัวอ่อนมากเพียงใดก็ตาม !
ไข่ถูกฉีกออก หัวสีเขียวเงางามยื่นออกมา ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายเล็ก ๆ มองไปรอบ ๆ แปลกใจ สงสัย อีกมั้งยังเผยความเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าตัวเล็กที่ฉลาด น่ารักตัวหนึ่ง
ระยะแรกของมังกรจำศีลจะมีร่างคล้ายหนอน รูปร่างคล้ายกับมังกรจำศีลอัมพรมรกตที่ชู่มู่ได้พบเจออยู่บ้าง
ที่ต่างกันคือ โดยปกติลำตัวอาอนของมังกรจำศีลจะมีขาหน้าและขาหลังอันเล็ก ๆ บนหลังมีจุดนูนขึ้นสองจุด เห็นได้ชัดว่า เป็นโครงของปีก
ดวงตาของมังกรจำศีลน้อยส่งประกายขึ้น สุดท้ายมองไปยังชู่มู่ แล้วส่งเสียงร้องเล็ก ๆ ไปยังชู่มู่ ทำท่าทีดีใจอย่างมาก
มังกรจำศีลน้อยได้กลิ่นไอของชู่มู่ มังกรจำศีลอยู่ในแหวนช่องว่างของชู่มู่หลายปีแล้ว บวกกับบนตัวชู่มู่ยังมีสายเลือดของมังกรจำศีลอัมพรมรกตอยู่ มันย่อมคิดว่า ชู่มู่เป็นเจ้าของมัน
วินาทีที่เห็นเจ้าตัวเล็กเกิดมา ชู่มู่เข้าใจแล้ว ว่าทำไมต่อให้มังกรจำศีลอัมพรมรกตถูกลบความทรงจำ ต่อให้จิตวิญญาณของมันเหนื่อยล้าอ่างมาก ยังคงคิดจะมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง…
มังกรจำศีลอัมพรมรกตรับรู้ได้แน่นอน ถึงความดีใจที่มีต่อจิตวิญญาณในวินาทีที่มังกรจำศีลมรกตตัวเล็กนี้เกิด ความเจ็บปวดที่ผ่านมาได้หายไปอย่างแท้จริง !
ขอบตาของชู่มู่มีน้ำตาเล็กน้อย ไม่เพียงเพราะการเกิดของมังกรจำศีลนี้ แต่ยังซาบซึ้งกับความยิ่งใหญ่ของกลุ่มและชีวิตด้วย ชู่มู่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้แล้ว แค่มองไปยังมังกรจำศีลตัวน้อยที่กำลังจะกินเปลือกไข่ทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นมื้อแรกของมังกรจำศีลน้อย หลังจากกินอิ่ม มังกรจำศีลน้อยเงยหน้ามองไปยังชู่มู่ ส่งเสียง “ซา ซา ซา” เล็ก ๆ ออกมา
ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา เขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังอ้อนตัวเอง
ชู่มู่ยื่นฝ่ามือออก ให้เจ้าตัวเล็กนี้ปีนขึ้นแขนของตัวเอง
มังกรจำศีลน้อยปีนไปตามฝ่ามือของชู่มู่ด้วยความไวมาก เช่นเดียวกับมังกรจำศีลอัมพรมรกตที่เป็นหนอนในตอนแรก มันปีนขึ้นไหล่ของชู่มู่อย่างคล่องแคล่ว บิดร่างอ้วนท้วมของมัน ท่าทีดีใจแบบนี้ทำให้ชู่มู่นึกถึงมังกรจำศีลอัมพรมรกตที่สูญเสียความทรงจำในตอนนั้น…
หลังจากมังกรจำศีลน้อยบิดตัวเสร็จ เริ่มมองไปยังมั่วเย้ มังกรวายุอลวน องค์หญิงจิ่งโหลวด้วยความสงสัย ไม่กลัวแม้แต่น้อย
องค์หญิงจิ่งโหลวยืนอยู่ข้างชู่มู่ เห็นได้ว่าดวงตาคู่งามของเธอมีน้ำตาเล็กน้อยแล้ว เธอยื่นมือออก ลูบหัวของมังกรจำศีล ฉีกยิ้มเล็กน้อย…
เดิมผู้หญิงจะอ่อนไหวกว่าผู้ชาย แม้แต่ผู้ชายอย่างชู่มู่ยังมีน้ำตา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงจิ่งโหลวแล้ว
“อ๊าว อ๊าว” มังกรวายุอลวนพบว่า เจ้าตัวเล็กนี้กำลังใช้ดวงตากลมโตนี้มองไปยังตัวเอง
ดังนั้น มังกรวายุอลวนได้ทำท่าทีเป็นคนแก่กว่า ส่งเสียงร้องไปยังมังกรจำศีลน้อย บอกกับมันว่า กินให้ดี นอนให้พอ โตมาจะได้มีท่าทีสง่างามทรงพลังแบบมัน !
“อู อู อู” มั่วเย้ที่อยู่ในภาวะอาวรณ์ยืนอยู่บนไหล่อีกข้างของชู่มู่ มันเบิกตาอย่างน่ารัก ใช้หางของมันแหย่เล่นกับมังกรจำศีลน้อย
มังกรจำศีลน้อยเป็นเจ้าตัวเล็กที่นำพาความสุขมาให้จริง ๆ ไม่อยู่นิ่งบนไหล่ของชู่มู่ เห็นมีของนุ่มนิ่มมาแหย่ตัวเอง กระโดดทันที ใช้กรงเล็บไปคว้าหางเล็กของมั่วเย้
และแล้ว มังกรจำศีลน้อยกระโดดได้ไม่ไกล จับหางของมั่วเย้ไม่ได้ ตกลงจากไหล่ของชู่มู่
มั่วเย้เห็นตัวเองเล่นมากไป รีบหมุนตัว ใช้หางม้วนมังกรจำศีลน้อยเอาไว้ ไม่ให้เจ้าตัวเล็กนี้ได้รับบาดเจ็บ
“ซาซา ซาซา”
มังกรจำศีลน้อยไม่รู้จักอันตราย กลับจับหางเล็ก ๆ ของมั่วเย้น้อยไว้แน่นแล้วเหวี่ยงไปมา ส่งเสียงเล็ก ๆ เหมือนกำลังมีความสุขกับการนอน
“อู อู” มั่วเย้ส่ายหางอย่างเอือมระอา เป็นถึงจิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ด เป็นถึงราชันจิ้งจอก กลับต้องเล่นเกมเหวี่ยงหางกับมังกรจำศีลน้อย คอยดูแลมังกรจำศีลน้อย
มังกรวายุอลวนไม่สังเกตเห็นว่า สายฟ้าขุมนรกนั้นมาจากเทียนทิง
ถ้ารู้ว่า เทียนทิงอยู่ในเมืองอมตะแห่งนี้ละก็ คาดว่าด้วยความเย่อหยิ่งของมังกรวายุอลวนนี้ ต่อให้ผ่านไปสิบกว่าปี ตัวมันเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา มังกรวายุอลวนจะพุ่งตรงไปฆ่าเทียนทิงแน่นอน !
ชู่มู่พกยามาไม่น้อย ชู่มู่ได้ตั้งสติ จัดการแผลของมังกรวายุอลวนกับมังกรจำศีลมรกตก่อน
มังกรวายุอลวนให้ความร่วมมืออย่างมาก ชู่มู่ให้อะไร มันก็กินลงไปทันที
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่า มังกรวายุอลวนหิวมากแล้ว กลืนเศษวิญญาณผลึกวิญญาณกองใหญ่ของชู่มู่ทีเดียว นับแล้วก็มีมูลค่าหลายร้อยล้าน
ปริมาณอาหารของกลุ่มมังกรน่ากลัวมากอยู่แล้ว ยังดีที่ชู่มู่ในตอนนี้มีเงินเก็บ มิฉะนั้น กินอาหารนับร้อยล้านในครั้งเดียวแบบนี้ เขาคงรับไม่ไหว
แน่นอนว่า แค่เป็นเพราะมังกรวายุอลวนถูกผนึกไว้นานเกินไป ขาดพลังงาน โดยปกติจะไม่กินอาหารปริมาณน่ากลัวแบบนี้
มังกรจำศีลมรกตหมอบอยู่บนพื้นด้วยแผลเต็มตัว ต่างจากมังกรวายุอลวนที่ต่อสู้อย่างเต็มพลังหลังจากถูกปลดปล่อย ทำท่าทีเหมือนใกล้ตาย
เห็นได้ชัดมากว่า ตอนที่ลี่ฮวังหนีไปและได้เลิกสัญญาวิญญาณ ทำให้มังกรจำศีลมรกตได้รับผลกระทบไม่น้อย
ลี่ฮวังไม่มีทางจะให้มังกรจำศีลมรกตครองญาณหนึ่งของเขาเอาไว้ได้ ดังนั้น หลังจากหนีออกไปได้ไม่ไกล ได้ร่ายคาถาขึ้น เลิกสัญญาวิญญาณกับมังกรจำศีลมรกต
ชู่มู่เองก็ไม่หวังให้มังกรจำศีลมรกตมีความเกี่ยวข้องกับคนอย่างลี่ฮวัง แต่ต้องการให้มังกรจำศีลมรกตเลิกสัญญาวิญญาณกับมัน
หลังจากสัญญาวิญญาณตัดขาด สายตาของมังกรจำศีลมรกตยังคงอ้างว้าง สีหน้าเศร้าหมอง…
เห็นได้ชัดมากว่า มังกรจำศีลมรกตตัวนี้ไม่รู้ว่า ตัวเองคือใคร อีกทั้งไม่รู้ว่า ตัวเองมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร มันกลายเป็นทาสแล้ว ความคิดของมันก็กลายเป็นแค่ทาส หลังจากไม่มีสัญญาวิญญาณแล้ว ไม่มีสิ่งใดทำให้มันมีชีวิตต่อไปได้แล้ว
“อ๊าว” มังกรวายุอลวนเห็นท่าทีไม่เอาไหนของมังกรจำศีลมรกต ได้ส่งเสียงคำรามไปยังมันด้วยความโกรธเคือง !
มังกรวายุอลวนเหมือนกำลังบอกกับมังกรจำศีลมรกตว่า อย่างมันที่ถูกผนึกไว้สิบกว่าปีแล้ว ยังคิดจะใช้ชีวิตต่อไปได้ เป็นมังกรจำศีลอมตะทั้งที กลับทำท่าทีอยากตายแบบนี้ อับอายขายขี้หน้ากลุ่มมังกรจริง ๆ
“ชู่มู่ ผลของหยดแห่งความจำก็เป็นแบบนี้ สำหรับมังกรจำศีลมรกตที่ไม่มีความทรงจำแล้ว เมื่อเลิกความสัมพันธ์นายทาสแล้ว มันก็ไม่รู้ว่า จะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไรแล้ว” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดเสียงเบา
ในตัวชู่มู่มีเลือดศักดิ์สิทธิบ่อมรกตไหลอยู่ เห็นมังกรจำศีลมรกตตัวนี้เหมือนกับเห็นพวกพ้องของตัวเอง
ชู่มู่ยืนอยู่ข้างหัวของมังกรจำศีลมรกต ใช้มือลูบเขามังกรจองมังกรจำศีลมรกตตัวนี้เบา ๆ
ชู่มู่กลับเห็นเงาของมังกรจำศีลอัมพรมรกตจากตัวมังกรจำศีลมรกตตัวนี้
มังกรจำศีลมอัมพรมรกตเป็นสิ่งมีชีวิตสูงส่งที่ถูกหยดแห่งความทรงจำทำร้ายเช่นกัน ตอนที่มันตกต่ำที่สุด ได้กลายเป็นแมลงเขียวที่ไม่ถูกเรียกว่า ดวงวิญญาณ ต้องให้ชู่มู่ที่อ่อนแอเหมือนกันคอยปกป้องมัน
ชู่มู่ยังจำตอนที่มันเป็นหนอนเขียวได้ มันไร้เดียงสาอย่างมาก ต้องการแค่กินกับนอน มันยังคงอยู่กับชู่มู่ที่เมตตามัน
ตอนนั้น เจ้าตัวเล็กไม่ใช่มังกรจำศีลอัมพรมรกตที่แข็งแกร่งจนสะเทือนโลก แต่เป็นแค่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กอ่อนแอที่สูญเสียความทรงจำ
ชู่มู่หวังว่า หลังจากที่มังกรจำศีลมรกตตัวนี้ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ นี้แล้ว จะเริ่มตามหาความทรงจำของตัวเองได้
…
มังกรจำศีลอัมพรมรกตเป็นทาสขององค์กรวิญญาณ แม้แต่รุ่นหลังของมันยังตกเป็นทาสขององค์กรวิญญาณด้วย
ตอนนี้มังกรจำศีลอัมพรมรกตได้หลุดพ้นแล้ว ชู่มู่หวังว่า รุ่นหลังของมังกรจำศีลอัมพรมรกตที่ตกเป็นทาสขององค์กรวิญญาณจะได้รับการปลดปล่อยเช่นกัน
แต่ว่ามังกรจำศีลมรกตของลี่ฮวังกลับไม่มุ่งมั่นอย่างมังกรจำศีลอัมพรมรกต และไม่มีความแน่วแน่ที่จะกลับไปย้อนความทรงจำเหมือนมังกรจำศีลอัมพรมรกต
หยดแห่งความทรงจำได้ล้างความทรงจำของพวกมันไป เท่ากับเป็นการลบล้างวิญญาณของพวกมันด้วย สิ่งเดียวที่มังกรจำศีลมรกตทำได้ก็คือ การเป็นทาสรับใช้ มีกายหยาบในการเป็นทาส ทันทีที่สูญเสียคึความเป็นทาส เท่ากับสูญเสียความหมายของการมีชีวิตอยู่…
รุ่นหลังของของมังกรจำศีลอมตะตัวหนึ่ง กลับกลายเป็นแบบนี้ !
“อ๊าว” มังกรวายุอลวนส่วเสียงร้องขึ้น
มังกรวายุอลวนกลับตรงข้ามกับมังกรจำศีลมรกต มันถูกขังไว้สิบกว่าปี มันกลับมีความตื่นเต้นอย่างมากกับชีวิตใหม่ของมัน มันใช้กรงเล็บจับเขามังกรของมังกรจำศีลมรกตไว้ เหมือนกำลังใช้ภาษามังกรสื่อสารกับมังกรจำศีลมรกต
ชู่มู่ทำได้แค่ฟังสิ่งที่พวกมันพูดอย่างเลือนลาง เหมือนว่ามังกรวายุอลวนกำลังบอกกับมังกรจำศีลมรกตว่า ไม่จำต้องย่อท้อแบบนี้ มันจะพาไปหาที่ ๆ มังกรควรอยู่ เมืองมังกร
ตอนที่พูดถึงเมืองมังกร มังกรจำศีลมรกตถึงเงยหน้าขึ้นมาบ้าง ดวงตาสีเขียวเกิดการเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่มันก็ก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว เหมือนมันจำไม่ได้แม้แต่เมืองมังกร
“อ๊าว !!!” มังกรวายุอลวนเริ่มหงุดหงิดแล้ว เหมือนมันไม่เคยเห็นกลุ่มมังกรที่ไม่มีศักดิ์ศรีแบบนี้ กรงเล็บตะบบลงบนหัวของมังกรจำศีลมรกต !!!
การโจมตีนี้ของมังกรวายุอลวนได้ใช้พลังที่แท้จริงของมัน หลังจากฟาดลงอย่างแรง หัวของมังกรจำศีลมรกตยุบลงพื้นทันที !
ชู่มู่กำลังจะห้าม กลับพบว่า มังกรจำศีลมรกตที่ถูกโจมตีกลับไม่มีการโต้ตอบใด ๆ แต่ดึงหัวจากหลุมนั้นเฉย ๆ แล้วหลับตาลง
บนตัวมังกรจำศีลมรกตยังมีแผลอยู่ แต่มังกรจำศีลมรกตเศร้าหมองแบบนี้ แม้แต่แผลยังไม่สมานเอง แต่กลับมีเลือดไหลออกมาตลอด
มังกรจำศีลมรกตแทบไม่รับการรักษา ปล่อยให้เลือดไหลต่อไปแบบนี้ ต่อให้แข็งแรงแค่ไหน ชีวิตก็จะหมดลงเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่า ท่าทีแบบนี้ของมังกรจำศีลมรกต อยากจะหมอบอยู่ตรงนั้น จนกว่าพลังชีวิตจะหมดสิ้นไป…
ก่อนหน้านี้ชู่มู่ให้ทางเลือกลี่ฮวัง ถ้าลี่ฮวังไม่ทิ้งมังกรจำศีลมรกตแล้วสู้ต่อไป ชู่มู่จะปล่อยให้มังกรจำศีลมรกตกับลี่ฮวังจากไป แต่ว่า หลังจากนั้นเป็นต้นมา มังกรจำศีลมรกตกับลี่ฮวังจะกลายเป็นศัตรูของชู่มู่ ถ้าเจอกันครั้งหน้า ชู่มู่จะฆ่าพวกเขาแน่นอน !
จากที่เห็นในตอนนี้ ต่อให้ลี่ฮวังไร้ความเมตตาใด ๆ แต่มังกรจำศีลมรกตตัวนี้ไม่มีวิญญาณแล้ว ต่อให้เลิกสัญญาวิญญาณกับลี่ฮวังก็ช่วยมันไม่ได้แล้ว
ชู่มู่จำต้องเลือกอันหลัง ต่อให้ชู่มู่เองไม่อยากทำแบบนั้นก็ตาม แต่ชู่มู่รู้ว่า เมื่อไม่มีวิญญาณ มังกรจำศีลมรกตตัวนี้ก็มีแค่กายหยาบ มันกลายเป็นทาสขององค์กรวิญญาณ จะกลายเป็นศัตรูของชู่มู่
แน่นอนว่า ชู่มู่ไม่จำต้องลงมือเอง มังกรจำศีลมรกตไม่มีความกล้าที่จะมีชีวิตต่อไปแล้ว มังกรจำศีลมรกตก็คิดจะจบชีวิตของตัวเองแบบนี้เช่นกัน
ความจริงแล้ว ชู่มู่รู้สึกว่า ยารักษาที่ใส่มากไปก็เป็นแค่ส่วนเกิน เพราะมังกรจำศีลมรกตล้มเลิกที่จะรักษาตัวเองด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่า มันตัดสินใจที่จะตายไปแบบนี้…
“ชู่มู่ พวกเราไปกันเถอะ” องค์หญิงจิ่งโหลวมองการตัดสินใจของมังกรจำศีลออก พูดกับชู่มู่เสียงเบา
ความจริงองค์หญิงจิ่งโหวก็พอเดาออกได้ว่า ชู่มู่มีความเกี่ยวข้องกับมังกรจำศีลอัมพรมรกต อย่างไรก็ตาม ดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องอยู่ในมือชู่มู่
ชู่มู่ไม่ได้จากไปทันที แต่กลับเปิดแหวนช่องว่างออก นำขวดยารักษาไว้ตรงหน้ามังกรจำศีลมรกต พูดขึ้นว่า “นี่เป็นยาที่รักษาตัวเจ้าได้ ข้าจะอยู่ในเมืองอมตะนี้อยู่ ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจแล้ว คิดจะตามหาเมืองมังกรกับมังกรวายุอลวน กินยารักษานี้แล้วมาหาพวกข้า…”
หลังจากพูดจบ ชู่มู่ได้ลุกขึ้น เดินไปข้างองค์หญิงจิ่งโหลว มองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลวแล้วถอนหายใจพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าทำแบบนี้ถูกไหม”
องค์หญิงจิ่งโหลวรู้ว่า ชู่มู่หมายถึงเรื่องที่ให้ลี่ฮวังเลิกสัญญากับมังกรจำศีลมรกต และทำให้มังกรจำศีลมรกตหมดหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ตอนนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกของมัน” องค์หญิงจิ่งโหลวไม่พูดอะไร ความจริงเธอก็ไม่อยากพูดเยอะเกินไป
ชู่มู่พยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก หลังจากมองไปยังมังกรจำศีลมรกตครั้งสุดท้าย ได้พูดกับมังกรวายุอลวน “พวกเราไปกันเถอะ”
แผลของมังกรวายุอลวนหายเร็วมาก อีกทั้งมีท่าทีเต็มไปด้วยพลัง เดินนำหน้าชู่มู่ไปก่อนแล้ว
“ซา ซา ซา”
ในตอนที่ชู่มู่กำลังตัดสินใจจะจากไปแบบนี้ ทันใดนั้น มังกรจำศีลมรกตส่งเสียงร้องพิเศษขึ้น
“เจ้าเปลี่ยนใจแล้ว” ชู่มู่ดีใจ รีบหันกลับมา
มังกรจำศีลมรกตส่ายหัว แต่มันกลับลุกขึ้น ยื่นกรงเล็บยักษ์ใหญ่เข้ามาช้า ๆ แล้วใช้นิ้วเล็บที่ใหญ่กว่าฝ่ามือของชู่มู่ชี้ไปยังมือขวาของชู่มู่
“ซา ซา ซา ซา” ดวงตาของมังกรจำศีลมรกตเกิดอารมณ์เล็กน้อย
“แหวนช่องว่างงั้นหรือ” ชู่มู่ถามขึ้น
มังกรจำศีลมรกตพยักหน้า
“แหวนช่องว่างมีสิ่งที่เจ้าอยากได้เหรอ” ชู่มู่ถามต่อ
มังกรจำศีลมรกตพยักหน้าอีกครั้ง
แหวนช่องว่างของชู่มู่แบ่งเป็นเศษวิญญาณ ผลึกวิญญาณ พวกนี้เป็นอาหารของเหล่าดวงวิญญาณ กินพื้นที่ค่อนข้างมาก
ต่อมาเป็นยา สิ่งที่จำเป็นเวลาออกมาข้างนอก แล้วเป็นของสำคัญ น้ำตาศิลา ไข่มังกรจำศีล…
“ไข่มังกรจำศีล !!!”
ชู่มู่เข้าใจทันที !
ไข่มังกรจำศีลอยู่ในแหวนช่องว่างของตัวเองหลายปีแล้ว ชู่มู่เกือบลืมการมีอยู่ของเจ้าตัวเล็กนี้แล้ว !
โดยปกติหลังจากมังกรจำศีลมรกตแยกจากตัวแม่แล้ว จะฟักออกมาในหนึ่งปี แต่ไข่มังกรจำศีลของชู่มู่นี้ กลับดื้อดันอย่างมาก ชู่มู่นับนิ้วดู ประมาณสามปีแล้ว !
ชู่มู่รีบนำไข่มังกรจำศีลออกจากแหวนช่องว่าง แล้ววางไว้ตรงหน้ามังกรจำศีลมรกต
มังกรจำศีลมรกตก้มหัวลง ดวงตาสีเขียวของมันมองไปยังไข่มังกรจำศีลนี้ตลอด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ดวงตาของมังกรจำศีลมรกตเปียกชื้นทันที น้ำตาไหลไปตามขอบตาที่เศร้าหมองนั้น หยดลงบนไข่มังกรจำศีลนี้
ท่าทีของมังกรจำศีลนี้ทำให้ชู่มู่สะเทือนใจ ท่าทาง ต่อให้ถูกล้างสมองลบความทรงจำหรือไม่ ความสามารถดั้งเดิมของชีวิตจะไม่ถูกลบล้างไป อย่างน้อยมังกรจำศีลมรกตตัวนี้ยังมีความสามารถสืบทอด ปกป้องรุ่นต่อไป
ทันใดนั้น มังกรจำศีลมรกตส่องประกายสีเขียวบนตัว !
ประกายนี้สง่างามมาก สาดส่องทั่วพื้นที่มัวหมองแห่งนี้ !
แสงสีเขียวนี้สาดส่องอย่างต่อเนื่อง จากเข้มไปถึงอ่อนอย่างช้า ๆ แล้วจากสีอ่อนเป็นสีเข้ม กลับทำให้ไข่มังกรจำศีลมรกตนี้เต็มไปด้วยสีสันงดงาม
ที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจคือ กลิ่นไอชีวิตในไข่มังกรจำศีลที่อ่อนแอในตอนแรก กลับรุนแรงขึ้นมาก !
ความรุนแรงนี้ เพียงพอที่จะให้สิ่งมีชีวิตตัวน้อยในนี้ฟักออกจากไข่ได้ !!!
“มังกรจำศีลมรกตตัวน้อยจะฟักออกมาแล้วในที่สุด !!!” ชู่มู่ดีใจขึ้น สะเทือนใจอย่างยิ่ง !!!
ชู่มู่ได้สืบทอดเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกต การสืบทอดแบบนี้เป็นการชำระล้างของมังกรจำศีลมรกต…
เดิมมังกรจำศีลมรกตเป็นจักรพรรดิขั้นสูงอยู่แล้ว ถ้าได้รับการชำระล้างสายเลือดจากเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกตของมังกรจำศีลอัมพรมรกตละก็ จะทำให้อยู่ในระดับราชันได้ อีกทั้งได้สืบทอดสายเลือดที่แท้จริงของมังกรจำศีลอัมพรมรกต !
เท่ากับว่านี่เป็นการเกิดของระดับราชัน !!!
ลานกว้างเทียนเซี่ย
“ดวงวิญญาณราชันของชู่เฉิงตัวนั้นปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว ลี่ฮวังทั้งสามคนแทบไม่มีแรงต่อต้าน จ้าวมู่หลิงปีนหนีไป ลี่ฮวังที่มีความสามารถอยู่ในห้าอันดับแรกของขั้นหนึ่งได้ทิ้งมังกรจำศีลมรกตไว้ หนีอย่างชุลมุน !”
หลังจากที่ข่าวนี้กระจายในลานกว้างเทียนเซี่ยที่มีคนนับแสน ก็เกิดเสียงวิจารณ์ทันที
ไม่เพียงแต่เรื่องที่ผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งอย่างลี่ฮวังพ่ายแพ้ แต่นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า ดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นเป็นของชู่มู่ !!!
“แม้แต่ลี่ฮวังยังไม่มีแรงโต้ตอบ ในขั้นหนึ่งจะมีใครรับมือชู่เฉิงตำหนักวิญญาณได้งั้นหรือ”
“มีดวงวิญญาณระดับราชัน เท่ากับว่าชู่เฉิงจะกวาดล้างขั้นหนึ่งแล้ว ! ท่าทางเขากำลังจะไปคว้าเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบจริง ๆ !!!”
เดิมผู้คนยังสงสัยอยู่ ตอนนี้ทุกคนเชื่อแล้ว วัยหนุ่มคนนี้กำลังท้าสู้กับวัยหนุ่มในการประลองฟ้าดินทุกคน !!!
ว่าแต่ มีดวงวิญญาณระดับราชัน ใครจะทนอยู่ในเกียรติสุดท้ายขั้นสองอันคับแคบ!เขาย่อมมุ่งหน้าเพื่อดวงวิญญาณราชันวัยอ่อนของเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบนี้แน่นอน !!!
“ต้องห้ามเอาไว้ ต้องห้ามเจ้านี่เข้าร่วมการประลอง !!!”
“พาดวงวิญญาณระดับราชันเข้าไปแข่ง นี่เป็นการฝ่าฝืนกฎของการประลองฟ้าดินชัด ๆ !”
ผู้คนที่สนับสนุนชู่มู่ได้ร้องด้วยความดีใจ คนที่ต่อต้านชู่มู่ พวกเขาไม่กล้าโทษชู่มู่ กลับร้องขอให้ฝ่ายจัดการประลองห้ามการแข่งขันนี้ !
วัยหนุ่มที่มีระดับราชันปรากฏตัวขึ้น ดวงวิญญาณระดับราชันตัวอ่อนในด่านที่สิบเท่ากับเป็นการให้เขาตรง ๆ
ถ้าอย่างนั้น ถ้าไม่เกิดเรื่องเกินคาดไว้ เขาจะมีดวงวิญญาณระดับราชันสองตัวแล้ว !
พวกเจ้าโลก เจ้าตำหนัก เจ้าวัง ผู้ที่อยู่ในระดับสิบ พวกเขามีดวงวิญญาณระดับราชันแค่ตัวเดียว ชู่มู่มีดวงวิญญาณระดับราชันถึงสองตัว!เกินไปแล้ว !!!
ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้านี่ยังเป็นสมาชิกขั้นสาม เท่ากับว่าเขายังมีโอกาสเข้าร่วมการประลองฟ้าดินครั้งที่สองอีก ถ้าไม่ห้ามให้เขาเข้าร่วมละก็ เจ้านี่อาจมีราชันถึงสามตัว นี่ยังเป็นการจำลองเหตุการณ์ที่ชู่มู่ไม่ได้ดวงวิญญาณระดับราชันด้วยตัวเอง !
มีดวงวิญญาณระดับราชันสามตัวก่อนอายุสามสิบปี เกรงว่านี่คงเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ !
“เกรงว่าชู่เฉิงจะถูกสั่งห้ามเข้าการแข่งขันจริง ๆ” ซ่างเหิงส่ายหัว
หลายปีก่อน โอรสของตำหนักวิญญาณถูกสั่งห้ามเข้าร่วมการประลองฟ้าดิน และแล้วหลังจากนั้นไม่นาน มีวัยหนุ่มฝืนกฎธรรมชาติคนหนึ่งในตำหนักวิญญาณอีก ยากที่จะหนีคำสั่งห้ามเข้าร่วมการประลอง !
“นักวิญญาณเฒ่าเต๋อ ชู่เฉิงจะถูกสั่งห้ามเข้าร่วมการประลองจริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นที่เขาเข้าไปในด่านที่สิบก็ไม่มีความหมายแล้วไม่ใช่เหรอ จะไม่ได้ดวงวิญญาณระดับราชันตัวอ่อนนั้นแล้วงั้นหรือ” ถิงหลันถามขึ้น
“เรื่องนี้จะถูกสั่งห้ามเข้าการประลองนั้น เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ทว่า น่าจะเป็นการแข่งขันหกปีหลังจากนี้ รางวัลที่ได้ในครั้งนี้ยังมีผลอยู่ มีท่านอาวุโสคนหนึ่งของพวกเราอยู่ที่นี่ ถ้าชู่มู่ได้เกียรติสุดท้ายด่านที่สิบจริง ๆ ถ้าฝ่ายจัดการประลองไม่ให้ละก็ ท่านอาวุโสของพวกเราจะจัดการเอง” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
“แบบนี้ก็ดี อ้อ แล้วก็ เย้ชิงจือเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ถิงหลันรีบถามขึ้น
ไม่กี่วันก่อนเย้ชิงจือถูกส่งกลับมาเพราะต้องพิษอันร้ายแรง ผู้คนเห็นหมด เป็นห่วงเธออย่างมาก
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเองก็เป็นนักวิญญาณเหมือนกัน ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “ต้องขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้วละ”
เรื่องที่ขึ้นอยู่กับตัวเธอนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านอาวุโสจะตามหาผลึกเครื่องในดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ในเวลาสิบวันนี้ได้หรือไม่ แม้นักวิญญาณเฒ่าเต๋อได้ติดประกาศราคาสูงรับซื้อผลึกอวัยวะภายในระดับราชันหมวดรักษาแล้ว แต่ของแบบนี้มักต้องใช้เวลาเป็นเดือนถึงจะรับซื้อได้ เวลาสิบวันเร่งรีบเกินไป
…
เมืองอมตะ เจดีย์ป่ามรณะ
ก้อนเมฆสีดำนี้เหมือนอารมณ์ของมังกรวายุอลวน ก่อนหน้านี้ดุเดือดอย่างมาก เป็นความหงุดหงิดของมังกรวายุอลวน ส่วนตอนนี้ เมฆดำนี้ได้สงบแล้ว ลอยอยู่เหนือเมืองอมตะ อารมณ์ของมังกรวายุอลวนสงบลงมากแล้ว
เดิมกลุ่มมังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงอยู่แล้ว พวกมันใส่ใจการสืบทอดสายเลือดอย่างมาก
ขณะเดียวกัน พวกมันสามารถได้กลิ่นการสืบทอดสายเลือดของมนุษย์ได้เช่นกัน
หลังจากที่สัญญาวิญญาณของมังกรวายุอลวนกับชู่เทียนหมังขาดจากกัน ความทรงจำทั้งหมดได้หายไป แต่ไม่ได้ลืมจนหมด หลังจากที่ชู่มู่สงบอารมณ์ของมังกรวายุอลวนได้แล้ว มันได้กลิ่นสายเลือดของเจ้าของตัวเองอยู่ในตัวชู่มู่ และมั่นใจว่า ชู่มู่คือผู้สืบทอดของชู่เทียนหมัง
ต่อให้มังกรวายุอลวนจะดุร้ายเพียงใด แต่ยังมีสติอยู่ นี่ทำให้ชู่มู่สบายใจเล็กน้อย
แต่ว่าทุกครั้งที่เห็นร่างผอมบางของมังกรวายุอลวน อีกทั้งลำตัวที่เน่าเปื่อยอย่างรุนแรงของมัน ทำให้ชู่มู่ปวดใจอย่างมาก
ตอนต่อสู้ก่อนหน้านี้ มังกรวายุอลวนได้ควบคุมลมสลาย ชู่มู่ไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมัน แต่ในตอนนี้ ชู่มู่ได้เห็นธาตุแท้ของมังกรวายุอลวนแล้ว
ขนาดตัวของมังกรวายุอลวนไม่ใหญ่เท่ามังกรจำศีลมรกต ความสูงของมันไม่ถึงสิบเมตร
ทรงพลังที่ว่า ไม่ปรากฏในตัวมังกรวายุอลวนนี้อีกแล้ว ร่างของมันผอมบางอย่างมาก ร่างที่เหมือนสายลมของมันกลับดูเหมือนคนแก่ชรา !
ที่ทำให้ชู่มู่ตกใจคือ บนตัวมันมีพลังมืดที่กำลังกัดกร่อนอยู่ ทำให้ผิวของมังกรวายุอลวนเน่าเปื่อยบ้างแล้ว !
ในเวลาที่ผ่านมา ชู่เทียนหมังมักพูดถึงความงดงามกล้าหาญของมังกรวายุอลวนให้ชู่มู่ฟังตลอด ทำให้ชู่มู่เกิดความหลงใหลต่อมังกรวายุอลวนเป็นพิเศษ
แต่มังกรวายุอลวนในตอนนี้ต่างจากที่คิดไว้อย่างมาก
นี่ไม่ใช่เพราะชู่เทียนหมังบรรยายมากเกินไป แต่เป็นเพราะการผนึกของเจดีย์ป่ามรณะแห่งนี้ ทำให้มังกรวายุอลวนที่แข็งแรงกลายเป็นแบบนี้
ที่โชคดีคือ จากการต่อสู้ในเมื่อสักครู ทำให้เห็นว่าเวลาสิบกว่าปีนี้ ไม่ทำให้มังกรวายุอลวนตัวนี้สูญเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ !
“ชู่มู่ เจดีย์ป่ามรณะนี้เป็นผนึกลงโทษแห่งหนึ่ง ในนั้นมีพลังมืดแฝงอยู่ จะกัดกร่อนอายุขัยของสิ่งมีชีวิตที่ถูกผนึกเอาไว้ โดยปกติผนึกเป็นแค่การคุมขัง ดวงวิญญาณที่ผนึกไว้จะหลับเรื่อย ๆ จะไม่กลายเป็นแบบนี้ มีคนจงใจวางยาพิษในผนึกนี้ หลังจากยี่สิบปี อายุขัยของมังกรวายุอลวนจะหมดลง…” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดกับชู่มู่เสียงเบา
ชู่มู่ได้ยินจากองค์หญิงจิ่งโหลวว่า เวลาคุมขังของมังกรวายุอลวนคือยี่สิบปี ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่าหลังจากยี่สิบปี มังกรวายุอลวนจะถูกปล่อยออกมา
แต่ว่า ผนึกมืดนี้ เท่ากับเป็นการฆ่ามังกรวายุอลวนตัวนี้ก่อนที่จะปล่อยมันออกมา ทำไมชู่มู่จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงนี้ !
“เทียนทิงองค์กรวิญญาณ !” ชู่มู่กำหมัดแน่น ความแค้นสะสมในใจของชู่มู่
จะต้องมีสักวัน หลังจากมีความสามารถมากพอ ชู่มู่จะฆ่าประธารสี่ที่นั่งคนนี้อย่างไม่ลังเล !
ชู่มู่สูดหายใจเข้า ลูบลำตัวที่ผอมแห้งของมังกรวายุอลวน ไม่รู้ทำไม เห็นดวงวิญญาณของชู่เทียนหมังกลายเป็นแบบนี้ ชู่มู่รู้สึกว่า ได้เห็นความเศร้าโศกของท่านพ่อตัวเองด้วย เจ็บใจอย่างมาก
“โซ โซ โซ !!!”
ทันใดนั้น พื้นดินเมืองอมตะเริ่มสั่นสะเทือน !
ชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวต่างเงยหน้าขึ้น แต่พวกเขาได้เห็นภาพที่สะเทือนใจอย่างมาก !
การแปรเปลี่ยนอันประหลาด !!!
บางที่ในเมืองอมตะ แสงเลือดบางอย่างพุ่งขึ้นฟ้า สะท้อนขึ้น ทำให้ฟ้าสีดำนั้นกลายเป็นสีแดงเลือด !!!
ต่อให้ชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวห่างจากมันไกลมาก แต่หลังจากเห็นฉากสีเลือดนี้ต่างรู้สึกสั่นไปทั้งวิญญาณ !
นั่นเป็นพลังที่แข็งแกร่งมากเพียงใด ถึงทำให้ฟ้าทั้งผืนกลายเป็นสีแดงได้ !!!
“ชู่มู่ นั่น…นั่นเหมือนจะ…เหมือนจะเป็นทิศทางของแท่นบูชาอสูรเลือด !” องค์หญิงจิ่งโหลวตกใจอย่างมาก ผ่านไปเนิ่นนานถึงพูดขึ้น
ก่อนหน้านี้ชู่มูกับองค์หญิงจิ่งโหลวสัมผัสได้ถึงพื้นดินของเมืองอมตะที่สั่นสะเทือนแล้ว เดิมไม่ใส่ใจเท่าไร จนถึงตอนที่แสงเลือดนี้พุ่งขึ้นฟ้า ถึงทำให้พวกเขารู้ว่า บริเวณแท่นบูชาเลือดอสูรมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปรากฏตัวขึ้น !!!
“ฮวาลาลา !!!”
ท่ามกลางแสงเลือดนั้น สายฟ้าสีม่วงผ่าลงกะทันหัน !!!
สายฟ้าที่ผ่ากลางฟ้านั้นดูหนาแน่นอย่างมาก ถ้ามองในระยะใกล้ คงจะน่ากลัวอย่างยิ่ง !!!
“นั่น…นั่นเป็นสายฟ้าขุมนรกระดับห้า อีกทั้งเป็นสายฟ้าขุมนรกขั้นสูง…” องค์หญิงจิ่งโหลวยังตกใจอยู่ กลับทำการประเมินได้อย่างแม่นยำ
ชู่มู่อยู่ในความตกใจเช่นกัน ไม่คิดว่า ในเมืองอมตะแห่งนี้จะมีพลังรุนแรงแบบนี้อยู่ !!!
ต่อให้พลังทั้งสองชนิดจะปรากฏแค่ชั่วคราว แต่ความสะเทือนใจของมันกลับยากที่จะบรรยายด้วยคำพูดได้ !
ไม่เพียงแต่ชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวเท่านั้น พวกผู้เข้าแข่งขั้นขั้นหนึ่งและสองในเมืองอมตะต่างสะเทือนด้วยพลังมหาศาลนี้เช่นกัน !
…
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร องค์หญิงจิ่งโหลวถึงค่อย ๆ สงบสติได้
เธอมองไปยังชู่มู่ที่ยังคงจับจ้องไปยังสุดขอบฟ้า ลังเลว่า จะพูดเรื่องนี้ออกมาหรือไม่
“ชู่มู่…” ในที่สุด องค์หญิงจิ่งโหลวยังคงพูดออกมา
เมื่อชู่มู่ได้สติกลับมา ก็มองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลว
“ทั้งเมืองเทียนเซี่ย มีดวงวิญญาณตัวเดียวที่มีผลึกพลังสายฟ้าขุมนรกขั้นห้านี้ คือราชันภูตสายฟ้า…” องค์หญิงจิ่งโหลวจงใจหยุดเล็กน้อย มองไปยังชู่มู่ เห็นชู่มู่เผยความสงสัยออกมา เธอลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ยังคงพูดต่อว่า “และคนที่มีราชันภูตสายฟ้านี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ชู่มู่เป็นคนที่ชาญฉลาดมีไหวพริบ จะไม่เข้าใจสิ่งที่องค์หญิงจิ่งโหลวจะบอกได้อย่างไร
“เจ้าบอกว่า ดวงวิญญาณราชันที่ปล่อยสายฟ้านี้ออกมาเป็นของเทียนทิงงั้นหรือ” ชู่มู่ถามขึ้น
“อืม เทียนทิงมีราชันขั้นสูง ราชันภูตสายฟ้านี้เป็นดวงวิญญาณหลักของเขา” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดขึ้นเสียงเบา
ประธานที่นั่งทั้งสี่ นอกจากราชาของเมืองเทียนเซี่ยแล้ว มีแค่เทียนทิงองค์กรวิญญาณที่มีความสามารถแข็งแกร่งแบบนี้!!สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่ใช้สายฟ้าโจมตีแสงเลือดนั้นคือราชันภูตสายฟ้าของเทียนทิง !
“ราชันขั้นสูง…” ชู่มู่เสียสติหลุดเล็กน้อย
มั่วเย้เป็นราชันขั้นต่ำ จากที่รู้จากผู้เฒ่าหลี ระหว่างราชันขั้นต่ำกับขั้นสูงห่างกันอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดคือ เทียนทิงไม่ได้มีราชันขั้นสูงแค่ตัวเดียว
“มีคนคาดการณ์ไว้ว่า ในเวลาสิบปี ความสามารถของเทียนทิงจะไม่เพิ่มมากเท่าไร ข้าคิดว่า สิบปีหลังจากนี้เจ้าจะฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย…” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
ความจริงองค์หญิงจิ่งโหลวคาดหวังในตัวชู่มู่อย่างมาก ด้านหนึ่งเป็นเพราะมีมั่วเย้แปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องอยู่ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะตัวชู่มู่เองเป็นผู้แข็งแกร่งที่องค์หญิงจิ่งโหลวนับถือ
ชู่มู่ในอายุเท่านี้ในตอนนี้ได้ข้ามผ่านระดับราชันที่ผู้คุมดวงวิญญาณมากมายไม่สามารถข้ามไปได้ ก่อนอายุสามสิบ ยังมีเวลาเติบโตอีกมาก องค์หญิงจิ่งโหลวเดาว่า ในเวลาสิบปีนี้ ชู่มู่จะฆ่าประธานแห่งที่นั่งทั้งสี่ของเมืองเทียนเซี่ยนี้ได้แน่นอน !
“สิบปีงั้นหรือ” ชู่มู่พึมพำ
เขาไม่คิดว่า ตัวเองต้องใช้เวลานานขนาดนั้น !
ไม่เพียงแต่เพราะภาวะครึ่งมาร ชู่มู่เชื่อว่า ไม่ถึงสิบปี ดวงวิญญาณหลักของตัวเองจะอยู่ในราชันขั้นสูงได้ ส่วนดวงวิญญาณอื่นจะไม่ต่างกันมากเท่าไร !
ถึงตอนนั้น ชู่มู่จะคืนความยุติธรรมให้ท่านพ่อของตัวเองและมังกรวายุอลวนที่ทนทุกข์ทรมานในผนึกนี้ให้หมด !
————————————————————————
ความสามารถของลี่ฮวังแข็งแกร่งที่สุด มีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิชั้นยอดถึงสี่ตัว
จ้าวมู่หลิงยังห่างกับลี่ฮวังอย่างมาก มีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิชั้นยอดแค่สองตัว นอกนั้นเป็นจักรพรรดิขั้นสูง
ส่วนสมาชิกอีกคนหนึ่ง ไม่มีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิชั้นยอดแม้แต่ตัวเดียว !
โดยปกติแล้ว ถ้าความสามารถห่างกันสามขั้นละก็ ห้าต่อหนึ่งยังสู้ได้บ้าง แต่ความห่างระหว่างจักรพรรดิกับราชันไม่ได้มีเพียงเท่านั้น แต่มากกว่าสามขั้นขึ้นไป อีกทั้งราชันปกติยังมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ต้องใช้สิบต่อหนึ่งถึงจะเอาชนะได้ !
ลี่ฮวังไม่มีความสามารถที่คล้ายกับอสูรพายุน้ำแข็งแบบนั้นแน่นอน มั่วเย้ก็ไม่ต้องคอยปกป้องพวกชู่มู่แล้ว สามารถฆ่าล้างดวงวิญญาณของทั้งสามคนนี้ได้อย่างสบายใจ
ในตอนที่ทั้งสามคนยังสะเทือนกับความสามารถแข็งแกร่งของมั่วเย้ มั่วเย้ได้ออกโจมตีอีกครั้ง และครั้งนี้มั่วเย้ได้ปล่อยทักษะฆ่าล้างหมู่ !
ท่ามกลางอัคคีแห่งโทษร้อนระอุนี้ ลำตัวสีเงินหายไปกะทันหัน ตามด้วยมังกรไฟเก้าเส้นที่พุ่งออก แต่ละเส้นมีความยาวมากถึงร้อยเมตร ระหว่างที่ระบำ ได้กวาดล้างเจดีย์ป่ามรณะรอบ ๆ จนล้มลง ต่อให้มีเพียงพื้นที่ลุกเป็นไฟ แต่ยังคงรู้สึกเหมือนเปลวไฟนี้ได้ปกคลุมทั่วฟ้าดิน !!!
มังกรทั้งเก้าเหมือนหางจิ้งจอกแต่ละเส้น ซึ่งมีความยาวมากถึงร้อยเมตร การดิ้นรนที่อลังการแบบนี้ เป็นภาพที่น่ากลัวอย่างมาก !!!
ทักษะฆ่าล้างหมู่นี้ มุ่งตรงไปยังจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่งและจักรพรรดิขั้นสูงของจ้าวมู่หลิง !
จักรพรรดิขั้นสูงสามตัวกับจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่งไม่ได้ทำการโต้ตอบใด ๆ ถูกมังกรเก้าเส้นที่ปกคลุมทั่วทั้งเจดีย์ป่ามรณะนี้กลืนกินในคราวเดียว ลี่ฮวังรู้สึกเหมือนเป็นฝันร้ายอีกครั้ง มองดูดวงวิญญาณสี่ตัวนี้กลายเป็นเถ้าถ่านด้วยการระบำของมังกรเก้าเส้นนี้ !!!
จักรพรรดิขั้นสูงสามตัวนั้นเป็นดวงวิญญาณของผู้คุมดวงวิญญาณคนนั้น ในเวลาอันสั้น ญาณทั้งสามได้รับบาดเจ็บ ทำให้เขาล้มลงบนพื้น พร้อมที่จะสลบได้ทุกเมื่อ
จักรพรรดิชั้นยอดอีกตัวของจ้าวมู่หลิงถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีอีกครั้ง สติของเขาได้แตกกระจายในตอนนี้ ทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลืมที่จะวิ่งหนี
เมื่อเทียบกับจ้าวมู่หลิงและผู้คุมดวงวิญญาณคนนั้น ลี่ฮวังทำการโต้ตอบได้ดีกว่าพวกเขาอย่างชัดเจน
ต่อให้จะสะเทือนใจอย่ามาก ต่อให้จะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่ลี่ฮวังรู้ว่า ไม่ว่าอย่างไร ตัวเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดวงวิญญาณระดับราชันตรงหน้าตัวนี้
ตอนที่อัคคีแห่งโทษมังกรทั้งเก้าปรากฏขึ้น ลี่ฮวังได้กระโดดขึ้นหลังของมังกรจำศีลมรกตแล้ว อาศัยตอนที่มั่วเย้กำลังจัดการเพื่อนร่วมกลุ่ม เลือกที่จะหนีไป !
“รีบบินขึ้น ! เจ้ามังกรโง่ !!!” ลี่ฮวังตะโกน
เรื่องจากเป็นดวงวิญญาณทาส ทุกครั้งที่ลี่ฮวังออกคำสั่ง มังกรจำศีลมรกตมักเชื่องช้าอย่างมาก ทำให้ลี่ฮวังหงุดหงิดไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญถึงชีวิตแบบนี้ เจ้ามังกรโง่นี้ยังชักช้าอีก !
มังกรจำศีลมรกตกระโดดขึ้น พุ่งขึ้นไปในความสูงยี่สิบกว่าเมตร ในตอนที่ถึงจุดสูงสุด มังกรจำศีลมรกตได้กางปีกออก เงาสีเขียวนี้พุ่งขึ้นระหว่างหางจิ้งจอกใหญ่ยักษ์เก้าเส้นร้อยกว่าเมตรนี้ บินขึ้นฟ้าเพื่อหนีไป
ชู่มู่เห็นมังกรจำศีลมรกตหลบการโจมตีของหางเก้าเส้นอันยักษ์ใหญ่ของมั่วเย้ได้ รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ชู่มู่จะปล่อยให้ลี่ฮวังขี่มังกรจำศีลมรกตหนีไปได้อย่างไร ในตอนนี้เขาได้กระโดดขึ้นหลังของมั่วเย้อย่างคล่องแคล่ว
“มั่วเย้ ตามไป !” ชู่มู่ไม่สนใจจ้าวมู่หลิงและผู้คุมดวงวิญญาณอีกคนที่หมอบอยู่บนพื้นด้วยความกลัวอีก ให้มั่วเย้ตามขึ้นฟ้าไป
มั่วเย้เก็บทักษะนี้อย่างรวดเร็ว อัคคีแห่งโทษงดงามลุกโชนขึ้นใต้เท้าทั้งสี่ กระโดดขึ้นฟ้าทันที !
ทักษะเหยียบฟ้าของมั่วเย้ไม่ใช่การบิน แต่เหยียบฟ้าแบบนี้กลับทำให้เกิดความเร็วเช่นเดียวกับที่วิ่งบนพื้นได้ ดวงวิญญาณหมวดปีกที่คิดจะอาศัยความสามารถในการบินหนีไปคงไม่สามารถหนีจากการไล่ล่าของมั่วเย้อย่างง่ายดาย
ระหว่างป่าที่สูงชัน เงาสีแดงเข้มลึกลับนั้นวิ่งพาดผ่าน เช่นเดียวกับอยู่บนพื้น เช้าใกล้มังกรจำศีลมรกตอย่างมาก !
ลี่ฮวังได้เก็บดวงวิญญาณอื่นแล้ว เห็นดวงวิญญาณระดับราชันของชู่มู่กำลังตามมา หน้าซีดทันที ตะโกนไปยังมังกรจำศีลมรกตของตัวเอง !
เกล็ดบนตัวมังกรจำศีลมรกตส่องประกายสีเขียวออกมา รวมไว้บนปีกยักษ์ใหญ่คู่นั้น พลังนี้ทำให้ความเร็วในการบินของมังกรจำศีลมรกตเพิ่มขึ้น จะกระโดดข้ามลายเส้นผนึกสีดำเหล่านี้แล้ว !
“อ๊าว !!!”
“อ๊าว !!!”
ทันใดนั้น ท่ามกลางลายเส้นผนึกสีดำ เสียงคำรามมังกรสะเทือนฟ้าสีดำทั้งหมดนี้ดังขึ้น !!!
เสียงคำรามนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเสียงร้องของมังกรจำศีลมรกต และทรงพลังยิ่งกว่า อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความโกรธที่แทรกอยู่ในเสียงคำรามนี้ เหมือนจะระบายความไม่พอใจทั้งหมดออกมา !!!
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!!”
ลมสลายสีเทานี้พุ่งขึ้นทันที ชั้นเมฆสีดำที่ได้รับผลกระทบจากพลังของลมสลายนี้เริ่มคลุ้มคลั่งแล้ว !
นี่เป็นพลังอันรุนแรงของลม มาจากท่ามกลางลายเส้นผนึกนี้ !
“คือมังกรวายุอลวน !!!” ชู่มู่เงยหน้าขึ้น เห็นลายเส้นสีดำบนเจดีย์ผนึกทันที สิ่งมีชีวิตที่ถูกลมสลายห่อหุ้มเอาไว้ !!!
เงาสีเงินนั้นมีขนาดตัวไม่ใหญ่เท่ามังกรจำศีลมรกต แต่ความเร็วที่บินของมันกลับไวจนน่ากลัว ต่อให้มังกรจำศีลมรกตเพิ่มความเร็วในการบิน กลับมีความเร็วไม่ถึงครึ่งของมังกรวายุอลวน !
ชู่มู่เองยังไม่เห็นเงาของมังกรวายุอลวน เห็นแค่ก้อนเงาสีเทานั้นพุ่งชนมังกรจำศีลมรกตอย่างแรง ก่อเป็นความกดอากาศอันรุนแรงพุ่งลงพื้น พุ่งขึ้นชั้นเมฆสีดำ สะเทือนใจอย่างมาก !!!
ความป่าเถื่อนของมังกรวายุอลวนเกินกว่าที่ชู่มู่จินตนาการเอาไว้ สิ่งมีชีวิตที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาเหมือนสะสมความโกรธมหาศาลเอาไว้ พร้อมที่จะระบายออก มังกรจำศีลมรกตดุร้ายตัวนั้นกลายเป็นเป้าหมายระบายของมัน !
อาศัยความเร็วไร้เทียมทาน มังกรวายุอลวนได้เผยพลังต่อสู้ที่ทำให้ชู่มู่สะเทือนใจออกมาด้วย มังกรจำศีลมรกตกลับดูเชื่องช้า โง่เขลา ไร้พลัง ส่วนมังกรวายุอลวนกลับมากประสบการณ์ คล่องแคล่ว ป่าเถื่อน เป็นดวงวิญญาณหมวดลมที่เต็มไปด้วยความชาญฉลาดระหว่างการต่อสู้นี้ !
ชู่มู่ไม่ตามไปอีก แต่กลับให้มั่วเย้หยุดอยู่บนเจดีย์สีดำอันหนึ่ง จับจ้องไปยังการต่อสู้อันดุเดือดของมังกรจำศีลมรกตกับมังกรวายุอลวน !
“หลบไป !!! หลบไป !!!” ลี่ฮวังร้องขึ้นทันที เดิมเขาคิดว่ามังกรวายุอลวนที่ถูกผนึกสิบกว่าปีนี้ จะมีความสามารถไม่เท่าเมื่อก่อน มังกรจำศีลมรกตของตัวเองจัดการได้ง่าย
ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ ความสามารถของมังกรวายุอลวนตัวนี้เกินกว่าที่เขาคิดไว้ เป็นจักรพรรดิชั้นยอดเหมือนกัน เป็นกลุ่มมังกรไร้เทียบทานเช่นกัน แต่การต่อสู้กลายอากาศ มังกรจำศีลมรกตของเขากลับยากที่จะมีแรงโต้ตอบได้!
“ลี่ฮวัง เจ้าอัญเชิญดวงวิญญาณกี่ตัว ข้าก็จะฆ่าดวงวิญญาณทุกตัวที่เจ้าอัญเชิญออกมา !” ชู่มู่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างมังกรสองตัว แต่เห็นลี่ฮวังกำลังจะอัญเชิญดวงวิญญาณตัวอื่น ชู่มู่ได้เตือนด้วย “ความหวังดี”
สีหน้าของลี่ฮวังแย่กว่าเดิม ไม่รู้ว่าวัยหนุ่มผิดปกติคนนี้จะทำอะไรกันแน่ !
“ชู่เฉิง ข้าไม่มีความแค้นใด ๆ กับเจ้า เหตุใดถึงต้องไล่ต้อนแบบนี้ หรือว่าอยากเป็นศัตรูกับองค์กรวิญญาณพวกข้า!”ลี่ฮวังพูดด้วยความโกรธ
“เหลือมังกรจำศีลมรกตไว้ เจ้าไสหัวไปได้แล้ว !” ชู่มู่พูดอย่างเยือกเย็น
ชู่มู่ยังจำสิ่งที่นักวิญญาณเฒ่าเต๋อสั่งไว้ได้ อย่าเป็นศัตรูกับองค์กรวิญญาณชัดเจน
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีดวงวิญญาณส่งสารไม่น้อยกำลังบินมุ่งหน้ามาทางนี้ บินวนอยู่ในที่ปลอดภัย อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะชู่มู่เองก็ไม่อยากให้มั่วเย้เปลืองแรงกับลี่ฮวังมากขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ศัตรูตัวฉกาจของตัวเองคือหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศ ถ้าเธอได้ใช้วิธีพิเศษบางอย่างทำให้ตัวเองอยู่ในลักษณะสิบในเวลาอันสั้นละก็ มั่วเย้จะเสียเปรียบด้านพลังต่อสู้ทันที
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเคยพูดไว้ การต่อสู้ระหว่างวัยหนุ่ม แค่ไม่ฆ่าตัวจริง คนรุ่นหลังจะไม่กล้ามาหาเรื่อง ส่วนต่อจากนี้ถ้าลี่ฮวังหาเรื่องเขา ชู่มู่จะกลัวเหรอ
ลี่ฮวังย่อมให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองมากกว่า ในตอนนี้ได้กระโดดลงจากหลังของมังกรจำศีลมรกต
“อ๊าว” มังกรจำศีลมรกตเห็นลี่ฮวังหนีไปเอง ได้ส่งเสียงร้องขึ้น
“อย่าเข้าใกล้ข้า !” ลี่ฮวังเห็นมังกรจำศีลมรกตจะตามมา ตะโกนด้วยความโกรธทันที
ลี่ฮวังรู้ว่า เป้าหมายของชู่มู่คือมังกรจำศีลมรกต เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เขาจะให้มังกรจำศีลมรกตตามมาได้อย่างไร
หลังจากตกถึงพื้น ลี่ฮวังอัญเชิญจักรพรรดิชั้นยอดอีกตัวหนึ่งออกมา ไม่กล้าลังเลใด ๆ เห็นชู่มู่ไม่ตามมา รีบขี่จักรพรรดิชั้นยอดตัวนี้หนีไปอย่างชุลมุน !
“อ๊าว !!!”
มังกรจำศีลมรตกเห็นเจ้าของตัวเองหนีไป ได้ส่งเสียงคำรามโศกเศร้ายิ่ง
ต่อให้มังกรจำศีลมรกตจะถูกหยดแห่งความจำล้างสมองแล้ว แต่มันอยู่กับลี่ฮวังเป็นเวลานาน ดังนั้น มังกรจำศีลมรกตยังคงคิดว่า ลี่ฮวังเป็นเจ้าของของมัน ตอนนี้เห็นเจ้าของตัวเองหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง สำหรับมังกรจำศีลมรกตแล้ว เป็นเรื่องที่กระทบจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง !
“อ๊าฮู !!!”
มังกรจำศีลมรกตสติหลุดเล็กน้อย การโจทตีของมังกรวายุอลวนยิ่งดุร้ายขึ้น กรงเล็บวายุอลวน พ่นลมสลาย อุกกาบาตวายุมังกร…
ทักษะต่าง ๆ ตีบนตัวมังกรจำศีลมรกต มันซึ่งได้เปรียบด้านพลังชีวิตและพลังป้องกัน แต่เมื่อเผชิญกับการโจมตีแบบนี้กลับไม่ทันได้ตั้งตัว ถูกโจมตีจากฟ้าสูงลงมาถึงพื้นดิน !
วินาทีนี้ มังกรวายุอลวนได้เผยให้เห็นความแข็งแกร่งของมันอย่างหมดจด ทำให้ชู่มู่รู้ว่า อะไรคือจักรพรรดิไร้เทียมทานที่แท้จริง ถ้าไม่มีดวงวิญญาณราชัน แทบไม่สามารถสู้กับมันได้ !
“มั่วเย้ ห้ามมังกรวายุอลวน อย่าให้มันฆ่ามังกรจำศีลมรกต” ชู่มู่เห็นมังกรวายุอลวนทำเกินไป รีบพูดกับมั่วเย้
“อู อู อู”
อัคคีแห่งโทษลุกโชนใต้เท้าของมั่วเย้อีกครั้ง พุ่งลงจากเจดีย์มรณะ หางเก้าเส้นพุ่งไปตรงหน้าของมั่วเย้ กลายเป็นชั้นเมฆหางนุ่มนิ่มสีเงินทั้งเก้า ปกป้องมังกรจำศีลมรกตบนพื้นไว้ในนั้น
เก้าหางของมั่วเย้ได้สืบทอดผลของจิ้งจอกอัคคีเก้าหาง ความสามารถในการป้องกันแข็งแกร่งกว่าร่างกาย การโจมตีทั้งหมดของมังกรวายุอลวนพุ่งลง มังกรจำศีลมรกตที่อยู่ภายใต้การป้องกันของเก้าหางนี้กลับไม่ได้รับอันตรายอย่างแท้จริง
——————————————————————–
จบภาค 2
“รอให้พวกเขาเปิดผนึกก่อน เจ้าค่อยลงมือเถอะ” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดกับชู่มู่เสียงเบา
ชู่มู่ย่อมรู้วิธีนี้ เขาในตอนนี้จึงคอยสังเกตการณ์เงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง
ชู่มู่มองไปยังมังกรจำศีลมรกตตัวนั้น ขนาดตัวของมังกรจำศีลมรกตแข็งแรง ทั้งตัวเต็มไปด้วยพลัง ดวงตาดุร้ายคู่นั้นได้เผยความไม่เป็นมิตรออกมาต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
มังกรจำศีลมรกตยังคงมีความแตกต่างจากมังกรจำศีลอัมพรมรกตอยู่ ผิวของมังกรจำศีลอัมพรมรกตจะเข้มกว่า เกล็ดมังกรปกคลุมทั่วทั้งตัว เหมือนเกราะที่สร้างจากโลหะสีเขียว ปกคลุมบนร่างอันทรงพลังของมัน เผยให้เห็นโครงของกล้ามเนื้อ บวกกับลำตัวใหญ่โตของมัน ทันทีที่บินขึ้นบนฟ้า เหมือนเป็นผู้บงการสรรพสิ่ง !
ส่วนในด้านพลังและรูปร่างภายนอกของมังกรจำศีลมรกตยังคงด้อยกว่ามังกรจำศีลอัมพรมรกตอยู่ ชู่มู่สังเกตเห็นตอนที่เจอกับมังกรจำศีลมรกตตัวเต็มวัยที่เมื่องหลีตัวนั้น
มังกรจำศีลมรกตเต็มวัยที่เมืองหลีตัวนั้นได้ผ่านการเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยตัวเองจนอยู่ในระดับราชัน ความสามารถเหนือกว่ามังกรจำศีลมรกตของลี่ฮวังอีก มังกรจำศีลมรกตตัวเต็มวัยย่อมเทียบกับมังกรจำศีลอัมพรมรกตไม่ได้ แต่ตอนที่ได้รับบาดเจ็บในเมืองหลีแล้วยังสู้กับราชันแข็งแกร่งทั้งสองและการล้อมโจมตีของจักรพรรดิชั้นยอด พลังแข็งแกร่งนั้น ทำให้ชู่มู่สะเทือนใจไม่น้อย
เมื่อเทียบกับมังกรจำศีลมรกตตัวนี้ของลี่ฮวัง ชู่มู่กลับรู้สึกได้แค่ความดุร้ายเท่านั้น…
“พี่ลี่ฮวัง นี่เหมือนจะเป็นผนึกดาวคู่ ต้องหาจุดดาวอีกสองอันถึงจะเปิดออกได้” ชายเสียงเล็กแหลมก่อนหน้านี้พูดขึ้น
ชายที่มีเสียงเล็กแหลมคนนี้ชื่อจ้าวมู่หลิง เป็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มด้านการควบคุมสิ่งมีชีวิตตระกูลพืช แม้ความสามารถจะไม่อยู่ในสิบอันดับแรกของขั้นหนึ่ง แต่มีชื่อเสียงไม่น้อย
“ตลก ในเมื่อข้ามาที่นี่ได้ จะไม่รู้วิธีเปิดได้อย่างไร” ลี่ฮวังหัวเราะออกมา
ตอนพูด ลี่ฮวังได้เดินไปตรงกลางสุดของเจดีย์ป่ามรณะ เริ่มใช้ร่ายวิญญาณของตัวเองเปิดผนึกใต้เจดีย์ป่ามรณะนี้ พยายามที่จะคลายผนึกออก
ตามที่ร่ายวิญญาณของลี่ฮวังแพร่ลงไป ยอดเจดีย์ระหว่างป่ามรณะแห่งนี้กลับมีพลังสีดำส่องประกายขึ้น พลังเหล่านี้มีแรงดึงดูดบางอย่าง ทำให้พวกมันเชื่อมต่อกัน เริ่มเกิดเป็นลายเส้นผนึกสีดำอย่างหนึ่ง
พลังสีดำชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปไม่นาน โครงของทั้งผนึกนี้ปรากฏด้านบนเจดีย์ป่ามรณะแห่งนี้ ตามที่พลังนี้รวมกัน ลายเส้นผนึกต่าง ๆ รูปภาพต่าง ๆ เริ่มปรากฏขึ้น…
และแล้ว ผนึกถูกลี่ฮวังเปิดออกแล้ว !
ชู่มู่แอบรู้สึกแปลกใจ ทำไมเจ้าลี่ฮวังนี้สามารถเปิดผนึกได้โดยไม่ผ่านจุดดาวคู่ หรือว่าเป็นเพราะตัวเองได้ทำลายจุดดาวคู่แล้ว ลี่ฮวังถึงเปิดผนึกนี้ได้
ผนึกได้เปิดออกแล้ว เห็นประตูมิติพิเศษที่เกิดจากลายเส้นสีดำเหนือเจดีย์ป่ามรณะได้ชัดเจน สิ่งมีชีวิตในผนึกบินออกมาได้ สิ่งมีชีวิตนอกผนึกก็บินเข้าไปได้
“พวกเราเข้าไปเถอะ ข้าได้ยินว่า มังกรวายุอลวนตัวนี้เป็นมังกรชั้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าถูกผนึกไว้นานขนาดนี้แล้ว ฟันหลุดหมดหรือยัง ฮะ ฮะ ฮะ” ลี่ฮวังหัวเราะออกมา
ตอนพูด เขาได้กระโดดขึ้นหลังของมังกรจำศีลมรกตแล้ว จะให้มันกรจำศีลมรกตบิรเข้าไปในผนึกทันที
เห็นสามคนนี้กำลังจะบุกเข้าไปในผนึกของมังกรวายุอลวน ชู่มู่รู้สึกว่าถึงเวลาต้องลงมือแล้ว
“ถ้าไม่อยากตายละก็ ออกจากผนึกนั้นเดี๋ยวนี้ !” ชู่มู่เดินออกจากกำแพงพืชที่อยู่ด้านข้าง ตะโกนห้ามสามคนนี้ที่คิดร้ายกับมังกรวายุอลวน
ลี่ฮวัง จ้าวมู่หลิงและผู้คุมดวงวิญญาณอีกคนกำลังจะขี่ดวงวิญญาณของตัวเองบินขึ้นไป หลังจากได้ยินเสียงนี้ ต่างตกใจขึ้น รีบทำการป้องกัน !
ทั้งสามคนนี้ก็นับว่ามีสติอยู่ ในด่านที่สิบนี้ คาดว่าจะมีผู้แข็งแกร่งมากมาย พวกเขาเองก็อาจถูกคัดออกได้ ดังนั้นหลังจากได้ยินเสียงจึงทำการโต้ตอบทันที
ทว่า ในตอนที่สามคนนี้พบว่าฝ่ายตรงข้ามมีแค่คนเดียว ต่างนิ่งอึ้ง
“น่าแปลก คนนี้คือใคร เหมือนจะไม่เคยเห็นมาก่อน” วัยหนุ่มอีกคนหนึ่งมองไปยังชู่มู่อย่างประหลาดใจ
“เหมือนจะคุ้น…อ้อ ข้านึกออกแล้ว คือคนที่ท้าทายข้ามขั้น เอาชนะโอรสน้อยวังมารนิรย ผู้ที่มีชื่อเสียงในขั้นสอง ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ !” เสียงแหลมของจ้าวมู่หลิงพูดขึ้น จากใบหน้าของเขาพอจะมองเห็นความประหลาดในใจของเขา
ผู้เข้าแข่งขั้นสองมาที่ด่านสิบของพวกเขาได้อย่างไร
ถ้าเดินผิด ก็คงเดินผิดมากไปหน่อย อย่างน้อยเขตของด่านที่เก้าและด่านที่สิบนี้ห่างกันตั้งหลายวัน ระหว่างทางถูกกั้นไว้อย่างแน่นหนา
“เจ้าเด็กตำหนักวิญญาณ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าอะไร” ลี่ฮวังยักคิ้วขึ้น เขาเหมือนจะจำชู่มู่ได้บ้าง แต่กลับไม่สนใจชู่มู่
ชู่มู่รู้ว่าคำพูดของตัวเองไร้ประโยชน์ การตะโกนแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้พวกเขาเข้าไปในมิติผนึกของมังกรวายุอลวน
แน่นอนว่า ชู่มู่รู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แทบไม่ต้องพูดอย่างเกรงใจ” ให้พวกเจ้าไสหัวออกไป !”
มีดวงวิญญาณระดับราชัน ในรุ่นวัยหนุ่ม ชู่มู่ยังต้องเกรงใจใครอีก
“ฮะ ฮะ ฮะ ท่าทางเจ้าเด็กนี้แทบไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน !” จ้าวมู่หลิงหัวเราะออกมาทันที
สามคนนี้ได้ยินน้ำเสียงของชู่มู่ เดาว่าผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มชั้นสองคนนี้ยังคิดว่า ตัวเองอยู่ด่านที่เก้า ยังไม่รู้ว่า ตัวเองเข้ามาในด่านสิบอย่างเง่าเขลา แล้วยังเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งด่านที่หนึ่งอย่างพวกเขา !
“เมืองอมตะมีเส้นทางเดินมากมายขนาดนี้เจ้ากลับไม่เดิน เจ้าเหยียบลายเส้นสีแดงก็ได้ แต่กลับเข้ามาในด่านที่สิบ แล้วยังตะโกนใส่พวกข้าอีก เจ้าหาที่ตายเหรอ !” ผู้คุมดวงวิญญาณที่ไม่รู้ชื่อคนนั้นพูดขึ้น
“ฟังไว้ ที่นี่เป็นด่านที่สิบ เป็นสนามประลองของขั้นหนึ่งพวกข้า!คนที่แข็งแกร่งที่สุดของขั้นสองพวกเจ้า แทบไม่อยู่ในสามสิบอันดับแรกของพวกข้า ดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองของพวกเจ้าเป็นแค่ตัวตลกในสายตาของพวกข้า!”จ้าวมู่หลิงเสียงแหลมพูดเยาะเย้ย
“จ้าวมู่หลิง จัดการเขา อย่าให้ขยะตำหนักวิญญาณคนหนึ่งเสียเวลาของข้า” หลังจากลี่ฮวังรู้ตัวตนของชู่มู่แล้วแทบไม่มองเขา ไม่ปกปิดท่าทีเย่อหยิ่งนั้นแม้แต่น้อย
จ้าวมู่หลิงยิ้มเล็กน้อย แอบคิดในใจ ผู้แข็งแกร่งทุกคนในด่านที่สิบนี้ล้วนแข็งแกร่งมาก ทำให้ช่วงเวลานี้เขาตึงเครียดอย่างมาก ตอนนี้มีผู้เข้าแข่งขันขั้นสองคนหนึ่งโผล่มา ได้จังหวะพอดี ทรมานเจ้าเด็กนี่ ระบายอารมณ์หน่อย
“ให้เจ้ารู้ความแตกต่างของขั้นหนึ่งกับขั้นสอง เจ้าเด็กชู่เฉิง เชื่อไหมว่าดวงวิญญาณตัวเดียวของข้าก็จัดการเจ้าทั้งหมดได้แล้ว” จ้าวมู่หลิงก็ไม่รีบร้อน ดวงวิญญาณหมวดพืชของเขาอยู่ใต้ดิน แค่เขาออกคำสั่ง มันจะพุ่งออกทันที
ชู่มู่ก็ไม่กลัว เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งอย่างแน่นิ่ง
องค์หญิงจิ่งโหลวไม่ปรากฏตัว ยืนดูอยู่ด้านข้าง หลังจากได้ยินคำพูดนั้นของจ้าวมู่หลิง กลับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “น่าจะเป็นชู่มู่ที่ใช้ดวงวิญญาณตัวเดียวจัดการพวกเจ้าทั้งหมด”
…
“มั่วเย้ ต่อสู้ !” ชู่มู่ออกคำสั่ง
“อู อู อู”
มั่วเย้กระโดดลงจากไหล่ของชู่มู่ อัคคีแห่งโทษบนตัวลุกโชนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง พลังลึกลับนั้นกระจายไปทั่ว เมื่อเทียบกับร่างจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงแล้ว พลังนี้รุนแรงกว่ามาก !!!
ฝ่ายตรงข้ามมีดวงวิญญาณตระกูลพืช ดังนั้นมั่วเย่ไม่ได้ใช้ลายเส้นแห่งโทษ แต่ใช้อัคคีแห่งโทษห่อหุ้มทั้งตัวเอาไว้ หลังจากหางเก้าเส้นกางออก มั่วเย้เพิ่มความเร็วทันที ระเบิดออกราวกับลาวาของภูเขาไฟ พุ่งขึ้นด้วยความร้อนและความเร็วสูง !!!
พลังราชันของมั่วเย๋กระจายออกราวกับทะเลเพลิง แผดเผาเจดีย์ป่าสีดำแห่งนี้ พวกลี่ฮวังต่างนิ่งอึ้ง แทบไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น !!!
จักรพรรดิพืชตัวนั้นของจ้างมู่หลิงซ่อนอยู่ใต้ดิน มั่วเย้เองได้เล็งไปยังดวงวิญญาณตัวนี้ มันพุ่งตรงไปยังร่างหลักของดวงวิญญาณพืชตัวนี้ !
จ้าวมู่หลิงแทบไม่ทันได้ทำการโต้ตอบ ก็เห็นอัคคีแห่งโทษสีแดงเข้มปรากฏตัวในตำแหน่งที่ดวงวิญญาณของเขาซ่อนตัวเอาไว้ !!!
“กรงเล็บอัคคีแห่งโทษ !!!”
ลำตัวอัคคีแห่งโทษสีแดงเข้มของมั่วเย้ระเบิดออก เปลวไฟที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นตีบนตัวทั้งสามคน !
ท่ามกลางอัคคีแห่งโทษงดงามนี้ พลังของมั่วเย้กระจายออก หมุนตัวอย่างสง่างาม กรงเล็บดุร้ายตวัดลงพื้นก่อเป็นกริดดวงจันทร์ที่มีเปลวไฟลึกลับสีแดงเข้มลุกโชนอยู่ !!!
“ซ่า !!!”
กริดดวงจันทร์ที่ลุกโชนนี้มีความยาวถึงสองร้อยเมตร พื้นสีดำที่แข็งแรงยิ่งกลับถูกฉีกออกง่ายดายราวกับผิวน้ำ ลึกลงไปยังตำแหน่งร่างหลักของจักรพรรดิหมวดพืชตัวนั้น !!!
จักรพรรดิพืชตัวนั้นแทยไม่สามารถหลบได้ พลังของการฉีกขาดทำลายร่างหลักเถาวัลย์ไม้ของมัน อัคคีแห่งโทษขั้นห้านี้ได้พุ่งเข้าร่างของมัน ทำให้ร่างของมันบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น !!!
การทำลายขั้นหนึ่งของมั่วเย้ระดับราชันก็เพียงพอที่จะฆ่าจักรพรรดิพืชนี้ในเสี้ยววนาทีได้แล้ว อีกทั้งยังมีหมวดไฟเป็นการทำลายเพิ่ม !!!
“ฮู ฮู ฮู ฮู”
รอยแผลรูปจันทร์พาดผ่านทั้งสามคนอย่างน่ากลัว ความร้อนของอัคคีแห่งโทษ ใต้รอยแผลนี้ พลังชีวิตของจักรพรรดิพืชของจ้าวมู่หลิวลดลงอย่างมาก ถูกอัคคีแห่งโทษเผาจนเหลือแค่เถ้าถ่าน ในเวลาอันสั้นนี้ !
การโจมตีนี้ มีพลังมากเพียงใดกัน อุณหภูมิสูงแค่ไหนกัน ผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งทั้งสามที่อยู่ในระยะใกล้นี้สัมผัสได้อย่างชัดเจน !
ในตอนนี้ ลี่ฮวัง จ้าวมู่หลิง และสมาชิกกลุ่มอีกคนหนึ่ง พวกเขาอึ้งอย่างมาก !
เพราะวินาทีที่ดวงวิญญาณเต็มไปด้วยอัคคีแห่งโทษทั้งตัวโจมตี พวกเขารู้ทันทีว่า นั่นเป็นพลังราชัน !!!
สีหน้าของจ้าวมู่หลิงเกิดการเปลี่ยนแปลงชัดเจนจากการฉีกขาดของสัญญาวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถเทียบกับความสะเทือนใจได้…
ในเมื่อกี้จ้าวมู่หลิงยังคิดอยู่ ได้เจอผู้เข้าแข่งขันขั้นสองคนหนึ่ง จะทรมานเขาเพื่อระบายอารมณ์ได้
แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คนที่ถูกทรมานไม่ใช่ฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นตัวเขา !
เผชิญหน้ากับดวงวิญญาณระดับราชัน อารมณ์ของเขาไม่ได้ผ่อนคลายลง แต่แทบจะเป็นบ้า !
เหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริง ๆ ต่อให้เป็นลี่ฮวังก็ไม่นิ่งไปกว่าจ้าวมู่หลิง ต้องรู้ไว้ว่าดวงวิญญาณของชู่เฉิงตำหนักวิญญาณเป็นระดับราชัน แม้แต่มังกรจำศีลมรกตที่ไร้ศัตรูในจักรพรรดิยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของระดับราชันได้ !
แต่ว่าทำไมดวงวิญญาณระดับราชันถึงอยู่ในมือของวัยหนุ่มได้ อีกทั้งยังเป็นตัวละครที่นิรนามแบบนี้ !
…
ตัวตนของซูซาไม่ชัดเจน ในเมื่อไม่ชัดเจน ชู่มู่จะคิดว่า เจ้านี่เป็นลูกน้องของเด็กสาวทรยศไว้ก่อน อย่างไรเสีย เด็กสาวทรยศจะไม่มุ่งหน้าไปด่านที่สิบลำพังแน่นอน
“ผู้หญิงคนนั้นมีความสามารถดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ระดับราชัน ทว่า เห็นได้ชัดว่า เธอยังไม่ถึงลักษณะสิบ ความสามารถน่าจะเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอด มั่วเย้ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าคลายผนึกของเจ้าเป็นตัวสกัดของเธอ ถ้าอย่างนั้นก็ดี แค่หาเธอให้เจอ ฆ่าเธอได้ไม่ยากมาก” ชู่มู่บอก
องค์หญิงจิ่งโหลวเห็นชู่มู่พูดคุยกับมั่วเย้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ชู่มู่ บางทีเจ้าอาจชิงเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบนี้ไปด้วยก็ได้ รางวัลเกียรติสุดท้ายนี้เป็นดวงวิญญาณราชันตัวอ่อน ต้องรู้ไว้ว่า ดวงวิญญาณระดับราชันตัวอ่อนนี้หาได้ยากมาก การประลองฟ้าดินนี้เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง อย่าให้พลาดไป หลังจากนี้แทบจะไม่มีโอกาสได้ดวงวิญญาณระดับราชันมาแล้ว”
ชู่มู่พยักหน้า ฉีกยิ้มออกมา
ถ้ามีเวลาละก็ ชู่มู่จะลองเข้าชิงเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบนี้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นดวงวิญญาณระดับราชัน !
หลังจากทำให้มันถึงลักษณะสิบแล้ว จะมีระดับเท่ากับพวกผู้ที่อยู่ในระดับสิบได้ !!!
…
จุดดาวที่สองเป็นรูปปั้นทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ชู่มู่ปล่อยสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้านี้ออกมาทันที
เช่นเดียวกับที่ชู่มู่คาดการณ์ไว้ สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้านี้เป็นดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่งจริง ๆ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ชู่มู่คงจัดการยากลำบากมาก
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มั่วเย้ไม่ต้องใช้ทักษะ สู้กับมันไม่กี่รอบ ก็ฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าระดับจักรพรรดิชั้นยอดนี้ตายได้ ขั้นตอนนี้ง่ายดายอย่างมาก
“อู อู อู”
ปีศาจจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตในอ้อมกอดขององค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังชู่มู่ด้วยดวงตาที่กลมโต ส่งเสียงร้องอ้อน
ตอนอยู่เมืองอั่วกู่ ความสามารถของปีศาจจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตอยู่เหนือกว่ามั่วเย้แต่ใครจะไปรู้ว่า มั่วเย้เปลี่ยนร่าง กลายเป็นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด เผชิญหน้ากับจักรพรรดิชั้นยอดที่แม้แต่ปีศาจจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตยังไม่กล้าเข้าไปยุ่ง มั่วเย้กลับจัดการได้อย่างง่ายดาย เป็นปีศาจจิ้งจอกเหมือนกัน ความสามารถกลับต่างกันสิ้นเชิง เจ้าจิ้งจอกน้ำแข็งน้อยเสียความมั่นใจจริง ๆ
องค์หญิงจิ่งโหลวลูบขนของปิงอิ๋งน้อย รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังคัดพ้อ
องค์หญิงจิ่งโหลวทำใจไว้แล้วว่า ดวงวิญญาณของชู่มู่จะแปรเปลี่ยนตระกูล แต่ไม่คิดว่า ชู่มู่จะกระโดดข้ามขั้นในช่วงเวลานี้ อาศัยจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้ ที่เหยียดมองวัยหนุ่มทั้งหมดได้
“อย่าเสียใจไป หลังจากลักษณะสิบแล้ว ข้าจะเพิ่มความสามารถของเจ้า เจ้าก็จะมีความหวังอยู่ในระดับราชันได้”องค์หญิงจิ่งโหลวปลอบจิ้งจอกน้อยของตัวเอง
“อู อู” จิ้งจอกน้อยยังคงไม่มีแรง จะเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างไร ก็ไม่ไวเท่าการแปรเปลี่ยนตระกูล
องค์หญิงจิ่งโหลวเห็นชู่มู่จัดการดวงวิญญาณจักรพรรดิชั้นยอดตัวนั้นแล้ว เดินเข้ามาช้า ๆ เปิดแผนที่ออก บอกกับชู่มู่ว่า”พวกเราเดินไปตามเส้นทางนี้จนถึงปราสาทเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบนี้ ระหว่างทางจะผ่านบริเวณที่ผนึกดวงวิญญาณท่านพ่อของเจ้า คือที่นี่ เจดีย์ป่ามรณะ”
“อืม ออกเดินทางเถอะ” ชู่มู่พูดพลางกระโดดขึ้นหลังของอสูรสายฟ้านิมิตราตรี พามั่วเย้น้อยในภาวะอาวรณ์เดินมุ่งหน้าต่อไป
ความจริง ชู่มู่สงสัยอย่างมากว่า องค์หญิงจิ่งโหลวมาทำอะไรที่เมืองอมตะนี้ ตอนที่องค์หญิงจิ่งโหลวเดินอยู่ด้านหน้า ชู่มู่เริ่มคาดเดาจากท่าทีของเธอ
“ชู่มู่…” องค์หญิงจิ่งโหลวหันกลับมา พบว่าชู่มู่กำลังจับจ้องมายังตัวเอง หยุดพูดทันที
ชู่มู่เผยสีหน้าเขินอายออกมา ท่าทางการใช้ความคิดของตัวเองทำให้องค์หญิงจิ่งโหลวคิดว่า กำลังจับจ้องตัวเธอแล้ว
ชู่มู่จำต้องยอมรับว่า องค์หญิงจิ่งโหลวสวยงามมากจริง ๆ สมบูรณ์แบบจนทำให้สติเลื่อนลอยและเผลอจินตนาการไปไกลได้ ใส่ผ้าปิดหน้าไว้แบบนี้ ปกปิดความงามของเธอ ยิ่งทำให้เกิดความอยากที่จะเห็นใบหน้างดงามของเธอ
แต่ว่าตอนนี้ชู่มู่มีเย้ชิงจือแล้ว รู้ว่าเย้ชิงจือต่างหากที่เหมาะกับตัวเอง
ดังนั้น ต่อให้ช่วงนี้ได้อยู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวที่ไม่อาจแตะต้องในตอนแรกบ่อยครั้ง แต่จนถึงตอนนี้ ชู่มู่ก็ไม่มีความคิดล่วงเลยกับองค์หญิงจิ่งโหลวแล้ว
องค์หญิงจิ่งโหลวเองก็ปรับตัวอย่างรวดเร็ว พูดต่อว่า “ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับดวงวิญญาณท่านพ่อของเจ้าที่ถูกผนึกตัวนี้มาบ้าง”
“อืม เจ้าว่ามาเถอะ ข้าก็อยากรู้” ชู่มู่ก็ไม่ปกปิด อย่างไรก็ตาม เมื่อสักครู่ตัวเองไม่ได้คิดไปไกล
องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังชู่มู่ ไม่แสดงอะไรออกมา แต่ความจริงแอบคิดในใจว่า ชู่มู่นี่หน้าด้านจริง ๆ เลย แอบมองอยู่ยังทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือว่าไม่รู้ว่าตัวเองมีผู้หญิงของตัวเองอยู่แล้ว แล้วผู้หญิงของตัวเองยังอยู่ในอันตราย ใจร้ายเหลือเกิน !
“เรื่องที่ชู่เทียนหมังถูกสั่งต้องห้ามนี้ถูกองค์กรวิญญาณปิดไว้เป็นอย่างดี ขั้นตอนทั้งหมดคงมีแค่คนที่อยู่ตรงนั้นถึงจะรู้ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับดวงวิญญาณในเมืองอมตะนี้ ถ้าไม่ผิดละก็ น่าจะเป็นมังกรวายุอลวนของชุ่เทียนหมัง” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
“มังกรวายุอลวน !”
ชู่มู่สะเทือนใจอย่างมาก
เป็นมังกรวายุอลวนจริงด้วย ! เมื่อก่อนตอนที่ได้ยินท่านพ่อของตัวเองพูดถึงดวงวิญญาณต่าง ๆ ชู่มู่พบว่า ทุกครั้งที่ชายแก่คนนี้พูดถึงดวงวิญญาณบางตัว มักจะเผยสีหน้าโศกเศร้าออกมา
เมื่อก่อนชู่มูไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ชู่มู่รู้แล้ว นั่นอาจเป็นดวงวิญญาณที่ชายแก่คนนี้เคยมี เคยเดินทางไปทั่วโลกพร้อมกับเขา !
กลุ่มมังกรที่อ่อนแอที่สุด อยู่ในระดับจักรพรรดิเป็นอย่างน้อย อีกทั้งกลุ่มมังกรส่วนใหญ่ในระดับจักรพรรดิมักเป็นการมีอยู่ที่แข็งแกร่งยิ่ง แม้จะไม่มีชื่อเสียงเท่าจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดจักรพรรดิสมบูรณ์แบบนี้ แต่ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เทียบทานในจักรพรรดิ !
“ตอนแรกมังกรวายุอลวนตัวนี้ควรจะถูกปล่อยไป หลังจากนั้นเทียนทิงองค์กรวิญญาณได้เพิ่มโทษให้มันอย่างไร้สาเหตุ โทษนี้ทำให้มังกรวายุอลวนตัวนี้ถูกผนึกไว้ในเมืองอมตะแห่งนี้ เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
“เทียนทิงองค์กรวิญญาณ…ประธานสี่ที่นั่งแห่งฟ้าดิน เจ้าลองบอกรายละเอียดเกี่ยวกับคนนี้” ชู่มู่ถามขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว
“ที่นั่งแห่งฟ้าดิน นี่เป็นวิธีพูดของเมืองเทียนเซี่ย ความจริงความสามารถของที่นั่งทั้งสี่ยังห่างจากราชาอย่างมาก ไม่พูดเรื่องนี้ก่อน พูดเรื่องของเทียนทิงเถอะ” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดต่อว่า “เทียนทิงเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถโดดเด่นคนหนึ่งที่ต่ำกว่าสิบหกนักยอดขององค์กรวิญญาณ ได้ข่าวว่าเขามีความสามารถที่ประลองกับสิบหกนักยอดได้…”
ชู่มู่รู้ว่า ข่าวที่องค์หญิงจิ่งโหลวบอกเป็นเรื่องจริงที่สุด ต่างจากข่าวที่ตัวเองได้ยินมาจากในเมืองแน่นอน
“เรื่องนั้นก็เป็นแค่ข่าวลือ อย่างน้อยความสามารถของเทียนทิงไม่อาจเทียบกับท่านอาวุโสตำหนักวิญญาณของพวกเจ้าได้ จากที่ข้ารู้มา ความสามารถของเขาอยู่ระหว่างระดับผู้อาสุโสขั้นกลาง เขาถูกส่งมาจากเมืองว่านเซี่ยง เดิมทีมีตำแหน่งพอกับสิบหกนักยอด แต่หลังจากมาถึงเมืองเทียนเซี่ยได้รับตำแหน่งที่นั่งทั้งสี่ นี่อาจมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทะเลเหิง…”
“เทียนทิงเกิดที่เมืองว่านเซี่ยง เขาที่อวดดีมักดูถูกผู้แข็งแกร่งที่มาจากการประลองฟ้าดิน ท่านพ่อของเจ้าชู่เทียนหมังมาจากการประลองฟ้าดินนี้ ได้รับคำท้าทายและดูถูกจากเทียนทิง และชู่เทียนหมังได้ชนะเทียนทิ้งอย่างหมดจด อีกทั้งฆ่าดวงวิญญาณหลักตัวหนึ่ของเทียนทิงด้วยความโกรธ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสองคนนี้มีความแค้นต่อกันอย่างมาก ในตอนที่ชู่เทียนหมังหมดอำนาจลง เขาได้เพิ่มโทษให้กับมังกรวายุอลวนที่ควรจะถูกปล่อยไป สุดท้ายจึงถูกผนึกไว้ในเมืองอมตะแห่งนี้”
หลังจากที่ชู่มู่ได้ฟัง ยิ่งเกิดความสะเทือนใจมากขึ้น เขาไม่คิดว่า ความสามารถของชู่เทียนหมังในตอนนั้นกลับเอาชนะเทียนทิงหนึ่งในสี่ที่นั่งในวันนี้ได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนที่มีหวังจะสืบทอดตำแหน่งสิบหกนักยอดด้วย ถ้าอย่างนั้น ยุคที่ชู่เทียนหมังรุ่งเรืองจะแข็งแกร่งมากเพียงใด
ยากที่จะเจอคนที่เข้าใจท่านพ่อของตัวเอง ชู่มู่ได้ถามความสงสัยในใจออกมา
“ตอนที่ท่านพ่อเจ้ารุ่งเรืองที่สุด…เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้มากเท่าไร โดยหลักเป็นเพราะท่านพ่อของเจ้าทำผิดไม่น้อย องค์กรวิญญาณได้ปิดข่าวเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับเขา ข้าเดาว่า ในรุ่นวัยเดียวกันน่าจะมีไม่กี่คนที่เอาชนะเขาได้” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดพร้อมกับใช้ความคิดไปด้วย
สิ่งที่องค์หญิงจิ่งโหลวรู้มีจำกัด ชู่มู่เองก็ไม่สามารถรู้ความจริงได้ ทำได้แค่รู้เรื่องคร่าว ๆ ของมังกรวายุอลวนก่อน
มังกรวายุอลวนเป็นดวงวิญญาณที่ชู่เทียนหมังได้มาทีหลัง ในตอนที่ถูกผนึกพึ่งจะอยู่ในลักษณะสิบได้ไม่นาน นับว่าเป็นดวงวิญญาณที่มีความสามารถค่อนข้างน้อยในบรรดาดวงวิญญาณของชู่เทียนหมัง แต่กลับมีความสามารถแฝงอย่างมาก เพราะเป็นถึงกลุ่มมังกร !
ชู่มู่เองได้นึกถึงประโยคที่ชู่เทียนหมังพูดเกี่ยวกับมังกรวายุอลวน
“มังกรวายุอลวน ลำตัวเป็นสีเงินเทา สูงใหญ่แข็งแกร่ง….
พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่ง มีเพียงอาหารที่ได้มาหลังการต่อสู้ พวกมันถึงจะกินลงท้อง….
อารมณ์ของพวกมันในตอนที่ดีอ่อนโยนราวกับลมในใบไม้ผลิ ตอนที่ร้ายจะเหมือนกับพายุสร้างมหันตภัย….
พวกมันเหมือนสายลมที่รักอิสระของพวกมัน ชอบเหินระหว่างหุบเขา ยอดเขาสูง บินผ่านชั้นเมฆ….”
…
นึกถึงมังกรวายุอลวนตัวหนึ่งที่สูงส่ง บินเหินอยู่บนท้องฟ้านี้ต้องถูกผนึกไว้ในพื้นที่คับแคบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนั้น ไร้อิสระที่พวกมันต้องการ อีกทั้งการผนึกแบบนี้เป็นเวลาสิบกว่าปี นึกถึงตรงนี้ ชู่มู่ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ
ในตอนนี้ ชู่มู่ก็ไม่รอช้า หวังว่าจะรีบปล่อยมังกรวายุอลวนออกมา ให้มันได้เหินฟ้าอีกครั้ง ท่องไปยังฟ้าอันกว้างใหญ่อย่างอิสระราวกับสายลม…
…
เจดีย์ป่ามรณะห่างออกไปไม่ไกล ตอนที่ถึงวันที่สี่ ชู่มู่ได้ไปถึงที่นั่นแล้ว
ความจริงเจดีย์ป่ามรณะได้ชื่อจากกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่มียอดสีดำมากมาย เจดีย์สีดำแต่ละแห่งมีความสูงถึงสามสิบเมตร ตั้งชันอยู่ในชั้นเมฆเหมือนดาบสีดำ เต็มไปด้วยพลัง !
“อู อู”
ตอนที่ชู่มู่กำลังจะก้าวเข้าไปในเจดีย์แห่งป่ามรณะ มั่วเย้น้อยได้ส่งเสียงเล็ก ๆ ขึ้น เตือนชู่มู่ว่า บริเวณนั้นมีคนอื่นอยู่
ชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวซ่อนตัวทันที แอบสังเกตสถานการณ์ของที่นั่น
หลังจากผ่านไปสักพัก ชู่มู่เห็นผู้คุมดวงวิญญาณที่วนเวียนอยู่บริเวณเจดีย์ป่ามรณะ เหมือนกำลังตามหาบางอย่าง
“พี่ลี่ฮวัง ข่าวของเจ้าไม่มีผิดจริงเหรอ ในเจดีย์ป่ามรณะนี้มีมังกรวายุอลวนถูกผนึกไว้อยู่งั้นหรือ” เสียงเล็กแหลมดังขึ้น
“ไม่ผิดแน่นอน เลือดมังกร หัวใจมังกรของมังกรวายุอลวนนี้ จะเป็นอาหารบำรุงให้มังกรจำศีลมรกตของข้าได้ อาจมีผลึกวิญญาณอยู่ด้วยก็ได้ !”
เสียงของลี่ฮวังดังขึ้น หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ชู่มู่กำหมัดแน่นทันที !
ชู่มู่ยังคิดเรื่องเกี่ยวกับมังกรจำศีลมรกตตัวนั้นอยู่ ไม่คิดว่าลี่ฮวังนั่นได้ปรากฏตัวที่นี่แล้ว อีกทั้งยังมีความคิดต่อมังกรวายุอลวนด้วย ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่จริง ๆ !
ด่านที่สิบ สนามประลองของขั้นที่หนึ่ง ผู้เข้าแข่งขันที่ถูกแบ่งไว้ในด่านที่สองและด่านที่สามจะไม่มีทางเข้าไปที่นั่นเด็ดขาด !
และแล้ว ฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินไม่ได้กำหนดชัดเจนว่า ผู้เข้าแข่งขันขั้นที่สองและสามไม่สามารถเข้าชิงในด่านที่สิบได้ และนี่เป็นสาเหตุที่การฝ่าด่านก่อนหน้านี้เกิดการแย่งชิงในด่านที่ต่างกันได้
กฎระเบียบแบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะแบ่งคนออกเป็นสามขั้น แต่เป็นเพราะผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่มมีอายุที่ต่างกัน ทำให้ความสามารถต่างกัน โดยปกติจะต่างกันสามปี จะเกิดความแตกต่างที่ชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ ผ่านการประลองฟ้าดินหลายรอบแล้ว จึงเกิดการแบ่งขั้นแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นกฎที่ไม่แน่ชัดสำหรับฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินด้วย
หลายปีผ่านมา ไม่ใช่ว่าไม่มีใครท้าทายข้ามขั้น แต่มักมีอัจฉริยะมากมายอยู่ทุกรุ่น
แต่ว่ามักได้เห็นคนท้าทายข้ามขั้นเดียว แต่ยังไม่เคยเห็นผู้เข้าแข่งขันท้าทายข้ามสองขั้น !!!
ความโดดเด่นของชู่มู่ในขั้นสอง ทำให้ผู้คนมากมายจัดให้ชู่มู่อยู่ในรายชื่อผู้แข็งแกร่งขั้นสองแล้ว ชู่มู่เองได้เข้าไปในแท่นบูชาอสูรเลือดอย่างทรงพลัง ไม่แปลกใจที่เกียรติสุดท้ายในด่านที่เก้าจะเป็นของเขา !
จากขั้นสามไปสู่ขั้นสอง แล้วคว้าเกียรติสุดท้ายไว้ได้ นับเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ที่ทำให้คนทั้งหมดสะเทือนคือ เจ้านี่ยังไม่พอใจ จะมุ่งหน้าไปสู่ด่านที่สอบของขั้นที่หนึ่ง !!!
ด่านที่เก้ากับด่านที่สิบของขั้นที่หนึ่งจัดต่อกัน ตามที่ดวงวิญญาณส่งสารมาให้ ในด่านที่เก้าของขั้นที่หนึ่ง มีคนเกินกว่าครึ่งถูกคัดออกแล้ว ตอนนี้ในด่านที่หนึ่งเหลือผู้แข็งแกร่งสามสิบคนกำลังเข้าชิงเกียรติสุดท้ายในด่านที่สิบ !
และสามสิบคนนี้ เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นวัยหนุ่มของทั้งการแข่งขันฟ้าดินนี้ ซือเทียนที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองแทบไม่มีสิทธิไปเทียบกับสามสิบคนนี้
อีกทั้ง ในบรรดาสามสิบคนนี้มีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดรุ่นวัยหนุ่มไม่น้อย นอกจากจะเป็นผู้ที่อยู่ในระดับสิบของตำหนักวิญญาณเจ้าโลก มิฉะนั้น แทบไม่มีใครกล้าสู้กับพวกเขา !
ดังนั้น การที่ชู่มู่เข้าสู่ด่านที่สิบแบบนี้ จึงก่อให้เกิดความสะเทือนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน !
“ถ้าบอกว่า มีคนคว้าเกียรติสุดท้ายในด่านที่สองกับเกียรติสุดท้ายในด่านที่หนึ่ง ถ้าอย่างนั้นถือว่าทำลายสถิติรับร้อยปีนี้แล้ว ! หรือว่าคนนี้จะเป็นชู่เฉิง !!!” จ้าวเฉิงเริ่มพึมพำ
“ถ้าไม่ระวัง…อาจ…อาจเป็นไปได้จริง ถ้าบอกว่า มีดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นอยู่ละก็…” ซ่างเหิงบอก
“ดวงวิญญาณระดับราชันทรยศได้ง่ายที่สุดไม่ใช่เหรอ ชู่มู่ไม่มีทางอยู่ในระดับราชันวิญญาณได้ แล้วเขาควบคุมดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นได้อย่างไร ดังนั้น ข้าคิดว่าดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นไม่น่าจะเป็นของเขา ไม่เห็นเหรอว่าผู้คุมดวงวิญญาณรับสารบอกว่าดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นได้หายไปแล้ว” คนของตำหนักวิญญาณเริ่มพูดคุยกัน
“ใช่ ใช่ ชู่เฉิงจะมีดวงวิญญาณระดับราชันได้อย่างไร ถ้ามีจริงละก็ เขาคงเป็นคนแข็งแกร่งที่สุดในบรรดารุ่นวัยหนุ่มกับรุ่นผู้ใหญ่แล้ว ตำหนักวิญญาณของพวกเราคงมีแค่เจ้าตำหนักที่จัดการเขาได้”
เสียงพูดคุยของเหล่าสมาชิกวัยหนุ่มเข้าหูของนักวิญญาณเฒ่าเต๋อทันที นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเองก็ส่งเสียงหึขึ้น นักวิญญาณเฒ่าเต๋อที่ไม่มีท่าทีของผู้อาวุโสยืนอยู่ท่ามกลางวัยหนุ่มเหล่านี้ พูดขึ้นว่า “เจ้าเด็กอย่างพวกเจ้าจะไปรู้อะไร ความสามารถของดวงวิญญาณตัวนั้นยังถึงระดับราชันแน่นอน แต่ระดับตระกูลอยู่แค่จักรพรรดิเท่านั้น !”
ถ้าอย่างนั้น ชู่เฉิงได้เพิ่มความแข็งแกร่งจนเป็นดวงวิญญาณระดับราชันตัวหนึ่ง” จ้าวเฉิงถามขึ้นทันที
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อส่ายหัวพูดขึ้นว่า “จะเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณระดับราชันตัวหนึ่ง เป็นเรื่องที่พูดง่ายยิ่ง แต่ถ้าข้าเดาไม่ผิดละก็ จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดดวงวิญญาณระดับราชันที่ชู่เฉิงมีตัวนั้น เป็นหนึ่งในดวงวิญญาณที่สมบูรณ์แบบที่สุดของระดับจักรพรรดิ”
“ดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิที่สมบูรณ์แบบที่สุดงั้นหรือ จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดงั้นหรือ” เหล่าผู้เข้าแข่งขันตำหนักวิญญาณมึนงงอย่างมาก ราวกับไม่เคยได้ยินวิธีพูดแบบนี้
“คนอย่างพวกเจ้า ปกติไม่เรียนให้ดี ตอนนี้กลับไม่รู้สักอย่าง !” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเบิกตากว้างแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้ นักวิญญาณเฒ่าเต๋อได้บอกความพิเศษของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดและเรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดิสมบูรณ์แบบที่สุดนี้ให้กับเจ้าพวกเด็กตำหนักวิญญาณนี้ฟัง
หลังจากฟังจบ ผู้คนได้เข้าใจทันที ต่างเผยสีหน้าอิจฉาชู่มู่ออกมา !
เป็นถึงเจ้าวิญญาณ กลับมีดวงวิญญาณระดับราชันได้ นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นยากยิ่ง สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว สามารถทำลายระดับจักรพรรดิไปถึงระดับราชันนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว !
เห็นเจ้าพวกเด็กเหล่านี้อิจฉาชู่มู่จนน้ำลายไหลแล้ว นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเองได้หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ตำหนักวิญญาณของพวกเรามีวัยหนุ่มผิดธรรมชาติอีกคนแล้ว ฮะ ฮะ ฮะ ต่อจากนี้วังมารนิรยจะถูกพวกเราควบคุมเอาไว้แล้ว เจ้าเด็กชู่เฉิงนี้เก่งมากจริง ๆ สมแล้วที่เป็นนายท่านตำหนักวิญญาณของพวกเรา…”
“นายท่านตำหนักวิญญาณของพวกเรา”
“นายท่านอะไร”
“นักวิญญาณเฒ่าเต๋อ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าชู่เฉิงคือใคร”
เหล่าวัยหนุ่มพูดมากทันที แม้แต่ถิงหลัน หลีจ่าน ซ่างเหิง จ้าวเฉิงต่างนิ่งอึ้ง เพราะพวกเขาได้ยินชัดเจนว่า นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอกว่า ชู่เฉิงคือนายท่านตำหนักวิญญาณ
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพบว่า ตัวเองอวดดีจนลืมเรื่องตัวตนของชู่มู่ ทำตัวไม่ถูกทันที
“นายท่านไม่นายท่านอะไร ได้ยินอะไรกัน คนแก่อย่างข้าพูดตอนไหน !” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อใช้วิธีเหมือนเด็ก หลับต่อว่าเด็กพวกนี้เสียงดัง
“ไปฝึกให้ดี ยังมีโอกาสเข้าร่วมการประลองฟ้าดินก็เตรียมตัวไว้ พวกที่ไม่มีโอกาสแล้ว ตั้งสติหน่อย ต้องรู้ไว้ว่าก่อนอายุสามสิบ พวกเจ้าต้องเพิ่มความสามารถของตัวเองให้ถึงระดับหนึ่ง เจ้าเด็กอย่างพวกเจ้าจะคงที่แล้ว รู้ไหม !”เพื่อปกปิดที่ตัวเองหลุดปากพูดออกไป นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเริ่มสั่งสอนเจ้าเด็กพวกนี้เสียงดัง
เจ้าเด็กพวกนี้นับว่าเป็นชั้นยอดของตำหนักวิญญาณ มีระดับเจ็ดขึ้นไป แต่เมื่อเทียบกับระดับผู้อาวุโสอย่างนักวิญญาณเฒ่าเต๋อแล้ว เป็นแค่เจ้าเด็กเท่านั้น คำสั่งสอนของนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ พวกเขาทำได้แค่พยักหน้าอย่างเดียว
“พวกเจ้าต้องเรียนรู้จากชู่เฉิง เจ้านี่ฝึกอย่างไม่คิดชีวิต คนแก่ข้าไม่เคยเห็นเขาว่างอย่างพวกเจ้าที่เอาแต่เที่ยวเล่นวัน ๆ แย่งชิงดีเด่น วัน ๆ เอาแต่คิดเรื่องความรัก…” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดไม่หยุด
“ครับ ครับ ครับ ชู่เฉิงเป็นตัวอย่างของพวกเรา” สมาชิกตำหนักวิญญาณไม่น้อยได้เห็นการต่อสู้ของชู่มู่กับโอรสน้อยวังมารนิรยกับตาแล้ว ต่อให้ไม่เห็นกับตา ก็ได้ยินมาบ้างแล้ว ดังนั้น สำหรับการชิงเกียรติของชู่เฉิงนี้ พวกเขานับถืออย่างมาก
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเห็นเจ้าพวกเด็กนี้ไม่สืบเรื่องที่ตัวเองหลุดปากเมื่อกี้แล้ว ถึงผ่อนคลายลงบ้าง
“เฒ่าเต๋อ เมื่อกี้ท่านบอกว่า ถ้าไม่เพิ่มความสามารถให้สูงสุดก่อนอายุสามสิบปี จะไม่สามารถเพิ่มขึ้นอีก นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ” ถิงหลันถามขึ้น
นักวิญญาณทำท่าทีพร้อมพูด หันหน้าไปทางถิงหลัน เจ้าคนแก่นี้กลับฉีกยิ้มเมตตาออกมา ต่างจากคนที่ต่อว่าเสียงดังเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง “เป็นเช่นนั้นจริง นั่นเป็นความจริงที่โหดร้ายอย่างมาก แต่ผู้คุมดวงวิญญาณทุกคนมักเป็นแบบนี้ นี่เป็นสาเหตุที่ตำหนักวิญญาณของพวกเราใส่ใจประสบการณ์ฝึกของวัยหนุ่มอย่างมาก”
ถิงหลันพยักหน้าเบา ๆ ไม่ถามอีก เหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่
…
เมืองอมตะ
ชู่มู่กับองค์หญิงจิ่งโหลวได้เดินทางไปในส่วนในของเมืองอมตะเป็นเวลาสามวันแล้ว พูดได้ว่า เข้าใกล้พื้นที่ด่านที่สิบอย่างมากแล้ว คาดว่าอีกไม่นานอาจได้เจอกับผู้แข้งแกร่งขั้นที่หนึ่ง
“ชู่มู่ ตรงนี้ใกล้กับตำแหน่งดาวที่สองที่ผนึกดวงวิญญาณท่านพ่อของเจ้าอย่างมากแล้ว แค่ใช้เวลาอีกสองชั่วโมง จะถึงเขตพื้นที่ที่ดวงวิญญาณของท่านพ่อเจ้าถูกผนึกไว้ แบบนี้จะปล่อยมันออกมาได้” องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังแผนที่ของเมืองอมตะ พูดกับชู่มู่เสียงเบา
เย้หวันเชิงได้ทำสัญลักษณ์จุดดาวที่สองไว้บนแผนที่แล้ว ตอนนี้เกียรติสุดท้ายขั้นสองอยู่ในมือแล้ว ต่อไปน่าจะต้องจัดการดวงวิญญาณท่านพ่อของตัวเอง โชคดีที่เรื่องนี้ไม่ต้องใช้เวลามาก มิฉะนั้น ชู่มู่ยังคงให้ความสำคัญกับเย้ชิงจือมากกว่า หลังจากนี้ค่อยคิดวิธีช่วยดวงวิญญาณของชู่เทียนหมัง
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งดาวที่สองของดวงวิญญาณชู่เทียนหมัง
ความยากของดาวที่สองจะยากกว่าดาวที่หนึ่ง ปีศาจขาวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแน่นอน ชู่มู่ต้องให้มั่วเย้ลงมือ
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าหลีได้บอกปัญหาเรื่องที่แรงกายของดวงวิญญาณระดับราชันฟื้นกลับได้ไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าชู่มู่ไม่ใส่ใจเลย แต่มั่วเย้ที่อยู่ในภาวะอาวรณ์แบบนี้ ยังทำให้แรงกายฟื้นกลับมาได้บ้าง ยิ่งกว่านั้น ดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดในจุดดาวที่สองเป็นแค่จักรพรรดิชั้นยอด มั่วเย้สามารถเอาชนะมันได้โดยไม่ใช้ทักษะใด ๆ แบบนี้จะประหยัดแรงกายได้มากขึ้น
“องค์หญิง ขั้นที่หนึ่งมีผู้แข็งแกร่งอะไรบ้าง เจ้ารู้ไหม” ชู่มู่ถามขึ้น
ในเมื่อมุ่งหน้าไปด่านที่สิบ จำต้องรู้เรื่องของด่านที่สิบบ้าง อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ก็รู้ดี ด่านที่หนึ่งไม่ใช่สิ่งที่ใช้ดวงวิญญาณระดับราชันตัวเดียวก็กวาดล้างได้
“อิม” องค์หญิงจิ่งโหลวได้เล่าเรื่องคร่าว ๆ ของด่านที่หนึ่งให้ชู่มู่ฟัง
ความสามารถของฉิงเย้นับว่าเป็นห้าอันดับแรกของด่านที่หนึ่ง ความสามารถของห้าอันดับแรกในด่านที่หนึ่งอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว
ถ้าไม่จัดห้าคนนี้ตามความสามารถ แบ่งเป็นลี่ฮวังองค์กรวิญญาณ พี่ชายแม่เดียวกันต่างพ่อขององค์หญิงจิ่งโหลวสุ่ยเหอฟง บุตรบุญธรรมของผู้อาวุโสตำหนักวิญญาณฟงหลั่ว และซูซาที่มาจากโลกบางแห่งในตะวันออก
ชู่มู่เคยเห็นลี่ฮวังมาก่อน ในตอนที่ชู่มู่มุ่งหน้าไปยังเมืองพันวายุ ได้เจอกับวัยหนุ่มถือตัวที่ขี่มังกรจำศีลมรกตเยี่ยงทาสคนนั้น
ทุกครั้งที่นึกถึงสายตาเจ็บปวดไร้ความรู้สึกของมังกรจำศีลมรกตตัวนั้น ชู่มู่รู้สึกแย่ผิดปกติ ต่อให้มังกรจำศีลมรกตตัวนั้นดุร้ายอย่างมาก ชู่มู่กลับรู้สึกได้ว่า วิญญาณของมังกรจำศีลมรกตตัวนี้กำลังร้องขอความช่วยเหลือจากตัวเอง…
พี่ชายขององค์หญิงจิ่งโหลวสุ่ยเหอฟง เนื่องจากมีความสัมพันธ์เป็นแม่เดียวต่างพ่อ มักไม่ถูกกัน แต่ความสามารถของคนนี้แข็งแกร่งมาก ไม่ด้อยกว่าฉิงเย้ องค์หญิงจิ่งโหลวบอกให้ชู่มู่ระวังตัวให้มาก
ผู้อาวุโสถิงตำหนักวิญญาณ ต่อให้เป็นหนึ่งในสี่ที่นั่ง บุตรบุญธรรมฟงหลั่วมีชื่อเสียงอย่างมาก ความสามารถแข็งแกร่งมากเช่นกัน
ตัวตนของซูซาไม่แน่ชัด ไม่มีใครไปสืบ แค่รู้ว่าความสามารถของเขาน่าตกใจอย่างมาก เป็นม้ามืดแข็งแกร่งที่สุดของขั้นหนึ่ง !
“นายท่าน พกพวกนี้ไปด้วย เกราะวิญญาณขั้นเก้า นอกจากพวกที่อยู่ในรายชื่อแข็งแกร่งที่สุด คนอื่นไม่น่าจะมีเงินมากพอที่จะซื้อได้ ให้ดวงวิญญาณของเจ้าสวมชุดทั้งหมดนี้ ถ้าเจอผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งเหล่านั้น ให้ดวงวิญญาณอื่นของเจ้าจัดการก็พอแล้ว ให้มั่วเย้เก็บแรงไว้ มิฉะนั้น ตอนที่เจอผู้หญิงดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์คนนั้น จะไม่มีพลังต่อสู้แล้ว” ผู้เฒ่าหลีบอก
ตอนที่พูด ผู้เฒ่าหลีได้นำแหวนช่องว่างของฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานและชุดทั้งหมดให้ชู่มู่ ถึงตอนนี้แล้ว ผู้เฒ่าหลีเองก็ไม่กล้าซ่อนของไว้
ชู่มู่พยักหน้า เร่งให้ผู้เฒ่าหลีพาเย้หวันเชิงกับเย้ชิงจือกลับไป
“ชู่มู่ ฝากด้วยละ” เย้หวันเชิงบอก พลางโอบเย้ชิงจือไว้ ขี่ปีศาจลูกม้าวายุ เริ่มกลับไปตามลายเส้นสีเขียว
“แล้วก็ นายท่าน แม้การฟื้นพลังของดวงวิญญาณราชันจะไม่ยาก แต่พวกมันกินเยอะมาก จำต้องเก็บแรงของจิ้งจอกน้อยไว้ มิฉะนั้น เศษวิญญาณไม่สามารถเติมเต็มท้องของราชันได้ และจะไม่สามารถฟื้นพลังของดวงวิญญาณระดับราชันได้…” ก่อนที่ผู้เฒ่าหลีจะจากไป ได้พูดเตือนอีกครั้ง
ชู่มู่พยักหน้า มองดูเย้หวันเชิงกับผู้เฒ่าหลีพาเย้ชิงจือจากไป
หลังจากพวกเขาจากไป ชู่มู่ยังยากที่จะใจเย็นลงได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ปรับอารมณ์ของตัวเอง
“อู อู อู” มั่วเย้เองก็ใช้ภาวะอาวรณ์อย่างฉลาด กลายเป็นราชันอัคคีตัวน้อย รูปร่างไม่ต่างจากอาวรณ์แบบเดิม น่ารักอย่างยิ่งเช่นกัน
มั่วเย้กระโดดขึ้นไหล่ของชู่มู่ ใช้ลิ้นเลียแก้มของชู่มู่ ราวกับเป็นการบอกให้ชู่มู่ไม่ต้องกังวล
ชู่มู่ลูบหางจิ๋วทั้งเก้าเส้นของมั่วเย้ ค่อย ๆ ปรับอารมณ์
“ชู่มู่ เซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้มีเกราะวิญญาณขั้นเก้าทั้งหมดสี่ตัว ชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านขั้นเก้าหนึ่งตัว ให้ดวงวิญญาณของเจ้าใส่เถอะ” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
“แล้วเจ้าละ” ชู่มู่ถามขึ้น
“ข้ากับปิงอิ๋งมีเกราะวิญญาณขั้นเก้าทั้งคู่ ต่อจากนี้พวกเราต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งที่เข้าสู่ด่านที่สิบได้ ในบรรดาดวงวิญญาณของข้ามีเพียงปีศาจจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตกับมารนิรยขาวที่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้บ้าง ดวงวิญญาณอื่นเข้าร่วมการต่อสู้ไม่ได้ ยังต้องให้เจ้าเป็นกำลังหลักในการต่อสู้” องค์หญิงจิ่งโหลวเองก็ไม่ฝืน บอกความต่างของความสามารถตัวเองออกมา
องค์หญิงจิ่งโหลวแทบไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทุน เธอผู้เป็นที่รักของท่านอาวุโส และผู้อาวุโสมักจะได้รับการดูและเป็นพิเศษ สิ่งที่องค์หญิงจิ่งโหลวยังขาดอยู่คือการฝึกดวงวิญญาณ
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า นำเกราะวิญญาณขั้นเก้าของฉิงเย้ เซี่ยกว่างหานเก็บเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ
ความจริงแล้ว ส่วนใหญ่แหวนช่องว่างของฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานเต็มไปด้วยยากับผลึกวิญญาณ เศษวิญญาณ ไม่มีสิ่งที่มีค่าเท่าไร
นี่เป็นเรื่องที่ปกติ ผู้คุมดวงวิญญาณส่วนใหญ่ ถ้ามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งของตัวเอง ตอนที่พวกเขาออกเดินทางหรือมุ่งหน้าไปยังที่อันตรายบางแห่ง โดยปกติจะเก็บของมีค่าของตัวเองไว้ที่นั่น เพื่อป้องกันเวลาที่แหวนสูญหายหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น สมบัติทั้งหลายจะไม่หายไปหมด
จั้นเย้กับมารนิรยขาวมีเกราะวิญญาณขั้นเก้าแล้ว ชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านชู่มู่ได้ให้กับจั้นเย้ ให้จั้นเย้สวมชุดทั้งหมด
จั้นเย้อยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลาง หลังจากได้ชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านแทบไม่ต้องใช้ดวงใจแห่งมังกรหาญ ความสามารถของมันก็เทียบเท่ากับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบได้แล้ว คาดว่าแค่พลังกับความสามารถแตกหักงอกใหม่ของจั้นเย้ฟื้นกลับมาหมด ดวงใจแห่งมังกรหาญของจั้นเย้ระเบิดออกในตอนสุดท้ายจะทำให้มันเข้าใกล้ระดับจักรพรรดิชั้นยอดอย่างมาก
มารนิรยขาวได้สวมชุดทั้งหมดแล้ว พลังฟื้นที่แย่งจากองค์หญิงปีศาจขาวจะหายไปอย่างรวดเร็ว มันจะกลับสู่จักรพรรดิขั้นสูง แน่นอนว่า อาศัยไฟปีศาจเก้าวิญญาณ มารนิรยขาวที่เผชิญหน้ากับจักรพรรดิชั้นยอดที่ไม่มีหมวดรองเหล่านั้นห่างแค่ขั้นเดียว เพียงพอที่จะสู้กับจักรพรรดิชั้นยอดได้
ในบรรดาชุดวิญญาณสี่ตัวนี้ ได้ให้มั่วเย้ใส่เกราะวิญญาณขั้นเก้าตัวหนึ่ง เพิ่มพลังป้องกันให้มั่วเย้เล็กน้อย แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับการป้องกันของราชันแล้ว เกราะวิญญาณขั้นเก้าตัวนี้ก็เป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น
“ชู่มู่เจ้าเองก็ต้องใส่ตัวหนึ่ง มิฉะนั้น ถ้าผู้หญิงคนนั้นโจมตีไปยังเจ้า เจ้าจะไม่มีความสามารถต้านทานได้” องค์หญิงจิ่งโหลวเห็นชู่มู่คิดจะให้ดวงวิญญาณใส่เกราะวิญญาณทั้งหมด ได้เตือนชู่มู่
องค์หญิงจิ่งโหลวเองก็หมดคำพูดกับการกระทำของชู่มู่อย่างมาก ผู้คุมดวงวิญญาณอื่นมีเกราะวิญญาณ จะใส่ให้กับตัวเองก่อน และแล้วชู่มู่ในตอนนี้มีชุดวิญญาณขั้นเก้าหกตัว กลับไม่คิดจะใส่ให้ตัวเองตัวหนึ่ง
ชู่มู่พยักหน้า รู้สึกว่าจำเป็น ในตอนนี้จึงได้หยิบเกราะวิญญาณตัวหนึ่ง ใส่ให้กับตัวเอง
อีกสองตัวที่เหลือ ชู่มู่ได้ใส่ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งใส่ให้กับราชันผีหินผา
การต่อสู้ต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นภูตพันววายุ ภูตเวหาน้ำแข็งหรือปีศาจนักรบไม้ พวกมันล้วนยากที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ได้ และในตอนนี้ ราชันผีหินผาที่มีการป้องกันแข็งแกร่งยิ่งกลับรับมือได้
ราชันผีหินผาในตอนนี้อยู่ในลักษณะเก้าขั้นสอง เดิมการป้องกันก็เพิ่มขึ้นจนอยู่ในขั้นเก้าระยะสุดท้ายแล้ว หลังจากแปรเปลี่ยนผีราชัน จะอยู่ในขั้นเก้าระยะสมบูรณ์ ถ้าสวมเกราะวิญญาณขั้นเก้านี้ด้วย ราชันผีหินผาจะรับมือกับทักษะขั้นสิบได้ !
การสวมชุดแบบนี้ ความสามารถของชู่มู่ได้เพิ่มขึ้นด้วย
ราคาของเกราะวิญญาณขั้นเก้าทุกตัวอยู่ที่ห้าพันล้าน สำหรับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงในขั้นหนึ่งแล้ว พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนเพื่อทำประกาศขั้นเก้าราคาหนึ่งพันล้านให้สำเร็จ อีกทั้งมีโอกาสสำเร็จต่ำมาก
ยิ่งกว่านั้น ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ยังต้องจ่ายเงินเพื่อเลี้ยงดวงวิญญาณและเพิ่มความแข็งแกร่งให้ดวงวิญญาณ มีไม่กี่คนที่จะมีเงินเหลือไปซื้อชุดวิญญาณราคาแพงได้
ดังนั้น ต่อให้อยู่ในขั้นหนึ่ง เกราะวิญญาณขั้นเก้าก็เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมาก ไม่มีใครที่จะสวมชุดทั้งหมดแบบชู่มู่ ชู่มู่จะได้เปรียบด้านชุดอย่างมาก
“จั้นเย้ เจ้ากลับไปพักก่อน ปีศาจขาวเจ้าอยู่สู้ต่อไป” ชู่มู่บอก
ความสามารถแตกหักงอกใหม่ของจั้นเย้หมดแล้ว ต้องพักผ่อนเพื่อให้ฟื้นกลับมา มารนิรยขาวเป็นเพราะได้แย่งพลังฟื้นขององค์หญิงปีศาจขาว พลังต่อสู้ยังเต็มอิ่มอยู่ ต่อไปต้องให้ปีศาจขาวกวาดล้างเส้นทางทั้งหมด
“องค์หญิง พวกเราไปเถอะ” ชู่มู่เดินไปพูดกับองค์หญิงจิ่งโหลว
องค์หญิงจิ่งโหลวอุ้มปิงอิ๋งจิ้งจอกน้อยสีน้ำแข็งในภาวะอาวรณ์ ขี่ปีศาจลูกม้าวายุของวังมารนิรย เดินอยู่ข้างชู่มู่
…
…
ลานกว้างแท่นบูชาอสูรเลือด รันทดอย่างมากแล้ว หลังจากองค์หญิงจิ่งโหลวกับชู่มู่จากไปครึ่งวัน ผู้อาวุโสของวังมารนิรยเย้เทาได้รีบมาถึงที่นี่
ผู้อาวุโสเย้เทามาที่นี่ก็เพื่อลดกำลังของอสูรเลือดที่ถูกผนึกไว้ตัวนั้น แต่ว่า ในตอนที่เขาเห็นผู้เฝ้าหินทั้งหมดในลานกว้างนี้ได้กลายเป็นเศษ ความตกใจบนใบหน้าทวีคูณขึ้น!
“เกิดอะไรขึ้น ! นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ !” ผู้อาวุโสเย้เทาร้องขึ้นอย่างเสียสติ
ผู้อาสุโสเย้เทารู้ดี ถ้าผู้เฝ้าหินทั้งหมดถูกฆ่าตายละก็ จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของผนึกที่สอง
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสเย้เมาเริ่มตรวจดูสถานการณ์ของผนึก ที่ทำให้สีหน้าของประธานเปลี่ยนไปคือ ผนึกที่สองถูกพลังบางอย่างฉีกออกแล้ว !
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดวงวิญญาณระดับราชันที่แข็งแกร่งยิ่งตัวนั้นซึ่งอยู่ด้านล่างผนึกที่สองกำลังจะทำลายผนึก !
เย้เทารู้ความสาหัสของเรื่องนี้ รีบรวมร่ายวิญญาณให้เป็นเสียง ตะโกนขึ้นฟ้าว่า
“ข้าคือประธานเย้เทา ! ผู้เข้าแข่งขันเข้าชิงเกียรติสุดท้ายขั้นสองฟังไว้ รีบออกจากเมืองอมตะนี้ไปตามสัญลักษณ์สีเขียว ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง รับผิดชอบเรื่องหลังจากนี้เอง !!!”
“…รีบออกจากเมืองอมตะนี้ไปตามสัญลักษณ์สีเขียว ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง รับผิดชอบเรื่องหลังจากนี้เอง !!!”
เสียงนี้กระจายไปทั่วทั้งเมืองอมตะ เหล่าผู้เข้าแข่งขันขั้นสองที่ไม่รู้เรื่องยังวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ แท่นบูชาอสูรเลือดอยู่ พยายามเข้าไปที่นั่น แต่หลังจากได้ยินเสียงนี้ ต่างมึนงงอย่างมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะยกเลิกการแข่งขันงั้นหรือ”
“ฝ่ายจัดการประลองหมายความว่าอย่างไร พวกเราทุ่มเททุกอย่างเพื่อมาถึงที่นี่ จะถึงแท่นบูชาอสูรเลือดแล้ว กลับให้พวกเรากลับไปงั้นหรือ”
“ไม่ได้เกียรติสุดท้ายขั้นที่สอง ข้าจะไม่ออกจากเมืองอมตะนี้ !”
“อาจมีเรื่องอันตราย เพื่อความปลอดภัย พวกเราออกจากที่นี่เถอะ”
เสียงดังขึ้นจากตำแหน่งต่าง ๆ ของเมืองอมตะแห่งนี้
คนส่วนใหญ่ได้เชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโสเย้เทา ต่อให้ไม่เข้าใจ ต่อให้ลังเล แต่ก็เริ่มออกจากเมืองอมตะ
แต่ก็ยังมีคนส่วนน้อยที่ดื้อดัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชาอสูรเลือดอย่างมากแล้ว ชัยชนะอยู่ตรงหน้า จะให้พวกเขาจากไปเป็นเรื่องที่ยากมากจริง ๆ
…
ลานกว้างเทียนเซี่ย
“สถานการณ์ของเมืองอมตะในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
สถานการณ์ที่แท่นบูชาอสูรเลือดเป็นสิ่งที่ทุกคนจดจ่อในตอนนี้ แม้แต่ข่าวขั้นหนึ่งก็ไม่น่าสนใจเท่าเรื่องอของชู่มู่
ตอนที่ชู่มู่กับมั่วเย้เข้าสู่ผนึก หายนะกลุ่มยังคงดำเนินต่อ พูดได้ว่า คนทั้งหมดในที่นี่อยู่กับดวงวิญญาณส่งสารบริเวณแท่นบูชาอสูรเลือดอยู่ ได้เห็นขั้นตอนทั้งหมดที่ผู้เฝ้าหินฆ่าล้างกันเองจนเหลือไม่กี่ตัว “กับตา”
จนกระทั่งตอนท้ายที่สุด ผู้คนแทบไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงการคาดเดาจากผู้คุมดวงวิญญาณมากประสบการณ์ นั่นอาจเป็นทักษะภูตวิญญาณที่ดวงวิญญาณระดับราชันของชู่มู่ ทำให้ผู้เฝ้าหินเหล่านั้นฆ่ากันเอง
“เย้หวันเชิงพาเย้ชิงจือที่ได้รับบาดเจ็บออกจากเมืองอมตะ” ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารได้กระจายข่าวของพวกเขา
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณละ ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณเป็นอย่างไรบ้าง ดวงวิญญาณราชันตัวนั้นเป็นของเขา หรือเป็นสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งบางอย่างของเมืองอมตะที่บังเอิญเข้ามาช่วยชู่เฉิง” ยังคงมีหลายคนที่ไม่เชื่อว่าชู่มู่จะมีดวงวิญญาณราชันจริง ๆ
ในรุ่นวัยหนุ่ม ชั้นยอดของขั้นหนึ่งคือจักรพรรดิชั้นยอด ไม่มีทางที่จะมีดวงวิญญาณระดับราชันปรากฏตัวขึ้น !
“ไม่เห็นดวงวิญญาณราชันตัวนั้น แต่ว่า…ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ องค์หญิงจิ่งโหลว พวกเขามุ่งหน้าไปส่วนลึกของเมืองอมตะแล้ว…ทิศทางนี้…ทิศทางนี้ เหมือนจะมุ่งหน้าไปด่านที่สิบ !” ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารบอก
“อะไร !!! ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณกับองค์หญิงจิ่งโหลวมุ่งหน้าไปด่านที่หนึ่งแล้วงั้นหรือ”
ข่าวนี้ทำให้ลานกว้างเทียนเซี่ยระเบิดออกทันที !!!
หายนะกลุ่ม ทั้งลานกว้างมีผู้เฝ้าหินที่มีชีวิตรอดไม่กี่ตัวแล้ว
จนถึงตอนนี้ อัคคีแห่งโทษที่อยู่ในตาของผู้เฝ้าหินถึงหายไปในที่สุด เผิชญกับศพของกลุ่มเดียวกันทั้งลานกว้าง ผู้เฝ้าหินที่ได้สติกลับมาช้า ๆ ถึงพบผลที่ตามมาหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้
และในตอนที่มั่วเย้ปรากฏนลานกว้างนี้อีกครั้ง ผู้เฝ้าหินที่เหลือเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที รีบหนีไกลออกไป
ยากที่จะจินตนาการได้ว่า ผู้เฝ้าหินที่ยากจะเอาชนะได้กลับกลายเป็นผู้พ่ายแพ้แบบนี้ หนีออกไปอย่างชุลมุน
“พวกเจ้าจัดการพวกนี้ทั้งหมดเหรอ” เย้หวันเชิงหุบปากไม่ได้แล้ว มองไปยังชู่มู่ด้วยความอึ้ง
ชู่มู่แค่พยักหน้า ไม่สนใจเท่าไร แค่พูดกับเย้หวันเชิงว่า “ชิงตือต้องพิษอะไร ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”
เย้หวันเเชิงถึงได้สติกลับมา เดินไปข้างชู่มู่ มองไปยังเย้ชิงจือแล้วพูดขึ้นว่า “นี่เป็นทักษะวิญญาณที่เพิ่มความสามารถดวงวิญญาณโดยใช้เลือดของนักวิญญาณเอง ทันทีที่สารพิษปนเปื้อนเส้นเลือดในสมอง ชิงจือก็จะ….”
ตอนที่พูด เย้หวันเชิงได้เดินไปตรงหน้าเย้ชิงจือ เขามองไปยังหน้าของเย้ชิงจือ ในตอนนี้เขาถึงพบว่าใบหน้าซีดขาวของเย้ชิงจือเต็มไปด้วยสารพิษแล้ว !!!
ส่วนเย้ชิงจือได้สลบไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ !
“แย่แล้ว สารพิษเข้าใกล้สมองอย่างมากแแล้ว ! ตอนอยู่เมืองหลีชิงจือเคยใช้ทักษะนี้ครั้งหนึ่ง ตามปกติแล้ว ห้ามใช้ทักษะนี้อีกในสามปี ตอนนี้สารพิษยังกระจายตัวอยู่ อีกไม่นาน…” เย้หวันเชิงหน้าซีดทันที
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่า ชิงจือแค่ต้องพิษมากไปเท่านั้น แต่ในตอนนี้ ทั้งหมดนี้กำลังอันตรายถึงชีวิตของชิงจือ ถ้าไม่รักษาอีก น้องสาวของตัวเองอาจต้องพิษตายทั้งเป็นจริง !
เย้หวันเชิงไม่คิดว่า เรื่องนี้จะร้ายแรงขนาดนี้ มองดูเคร่งเครียดอย่างมาก เหงื่อบนหน้าไหลไม่หยุด !
“มีวิธีรักษาไหม” ชู่มู่เองก็ตกใจ เหมือนจะสูญเสียเย้ชิงจือไป รีบโอบหญิงงามไว้แน่นขึ้น
“มีแค่เย้ชิงจือเองที่รู้ แต่เธอสลบอยู่ในตอนนี้” เย้หวันเชิงมองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลว หวังว่าองค์หญิงจิ่งโหลวจะรู้เรื่องนี้
ทว่า องค์หญิงจิ่งโหลวส่ายหัวเช่นกัน เห็นได้ชัดว่า เธอไม่รู้จะรักษาเย้ชิงจืออย่างไร
“ผู้เฒ่าหลี !!!” ชู่มู่ตะโกนขึ้น ดึงผู้เฒ่าหลีออกจากแหวนช่องว่าง “เลิกนับของบนตัวฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานได้แล้ว บอกวิธีช่วยเย้ชิงจือให้ข้ารู้เดี๋ยวนี้ !”
บนตัวดวงวิญญาณของฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานต่างมีชุดวิญญาณ พวกเองได้สวมเกราะวิญญาณขั้นเก้า คาดว่าผลึกเครื่องในของอสูรเลือดที่ผนึกอยู่ในนี้จะต้องอยู่ในแหวนช่องว่างของพวกเขาแน่นอน เจ้าผู้เฒ่าหลีจอมโลภนี้หลังจากจบการต่อสู้จะเก็บสิ่งเหล่านี้ไปหมด
ส่วนชู่มู่ในตอนนี้แทบไม่มีอารมณ์ไปสนใจว่าบนตัวเซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้จะมีของมากเท่าไร แค่คิดจะคลายพิษให้เย้ชิงจือเท่านั้น
ตอนแรกผู้เฒ่าหลีไม่สนใจเท่าไร รู้สึกว่า สารพิษแบบนี้แค่รักษาก็ฟื้นขึ้นมาได้ แต่ในตอนที่พบว่า สารพิษนี้จะคืบคลานไปถึงสมองของเย้ชิงจือ สีหน้าของผู้เฒ่าหลีเปลี่ยนไปทันที !
“นี่…ทำไมถึงเป็นแบบนี้ !” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างตกใจ
“อย่าพูดมาก รีบหาวิธี !” ชู่มู่พูดอย่างใจร้อน
สารพิษได้ปกคลุมทั่วทั้งใบหน้างดงามของเย้ชิงจือ ชู่มู่ที่เห็นแล้วยิ่งใจร้อนอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไร ชู่มู่จะไม่มองดูเย้ชิงจือเสียชีวิตเพราะสารพิษเหล่านี้แน่นอน !
“นายท่าน วิธีแก้พิษธรรมดาช่วยไม่ได้ เพราะนี่เป็นบาดแผลต่อร่างกายของนักวิญญาณเอง เกรงว่า…เกรงว่ามีเพียงผลึกเครื่องในของดวงวิญญาณระดับราชันถึงจะระงับสารพิษนี้ได้ เจ้าเด็กเย้ ทำไมเจ้าโง่แบบนี้ รู้ว่าน้องสาวของตัวเองต้องพิษแล้ว ยังให้เธอปล่อยทักษะนี้ออกมา !” ผู้เฒ่าหลีต่อว่าทันที
เย้หวันเชิงเองก็เสียใจอย่างมาก ความจริงเขาไม่รู้ว่า เย้ชิงจือต้องพิษตั้งแต่ตอนอยู่เมืองหลีแล้ว ยิ่งไม่คิดว่า เรื่องนี้จะร้ายแรงถึงชีวิตของน้องสาวตัวเอง
“ผู้เฒ่าหลี เจ้าต้องหาวิธีช่วยน้องสาวข้า แค่ช่วยชีวิตน้องสาวข้าไว้ได้ จะให้ข้าทำอะไรก็ยอม !” เย้หวันเชิงคว้าแขนเสื้อของผู้เฒ่าหลีไว้ พูดอ้อนวอนอย่างจริงจัง
“เมื่อกี้ข้าบอกแล้ว จำต้องใช้ผลึกเครื่องในของดวงวิญญาณระดับราชันกลุ่มรักษา !” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างจริงจังมาก
“นี่…จะหาผลึกเครื่องในดวงวิญญาณระดับราชันกลุ่มรักษาจากที่ไหน !” เย้หวันเชิงพูดด้วยความตกใจ
เดิมดวงวิญญาณระดับราชันก็น้อยมากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงวิญญาณระดับราชันกลุ่มรักษาเลย !
เมืองเทียนเซี่ยนี้มีผลึกเครื่องในของระดับราชันขายอยู่ แต่ผลึกเครื่องในระดับราชันนี้น้อยยิ่งกว่าน้อย โดยเฉพาะผลึกเครื่องในของดวงวิญญาณระดับราชันกลุ่มรักษา
“ในบรรดาดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ด ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์มีความสามารถรักษา และดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เป็นดวงวิญญาณระดับราชัน” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดขึ้น
พอองค์หญิงจิ่งโหลวพูดแบบนี้ ผู้เฒ่าหลีเองก็ได้สติ “ใช่ เครื่องในของดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้”
“ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ !” ชู่มู่หนักใจทันที
ชู่มู่รู้ว่า นักวิญญาณเฒ่าเต๋อมีดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่าถ้าจะช่วยเย้ชิงจือก็ต้องใช้ผลึกเครื่องในของดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ เท่ากับว่าต้องฆ่าดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ของนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ นักวิญญาณเฒ่าเต๋อจะไม่เสียสละดวงวิญญาณของตัวเองแบบนี้แน่นอน
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อจะไม่เสียสละแบบนี้ คนอื่นก็จะไม่ทำเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสำคัญของดวงวิญญาณระดับราชันแล้ว ไม่มีทางที่จะซื้อผลึกเครื่องในของดวงวิญญาณระดับราชันได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นจำต้องเข้าไปในเมืองดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปฆ่าดอกไม้ศักดิ์สิทธิตัวหนึ่งจริง ๆ
“นายท่าน นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเคยบอกกับเจ้าไม่ใช่เหรอ มีคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขาคนหนึ่งอยู่ในเมืองเทียนเซี่ย คาดว่าเจ้านี่เป็นท่านอาวุโสของตำหนักวิญญาณ ตอนนี้เจ้ากลับเข้าเมือง ให้ท่านอาวุโสคนนี้มุ่งหน้าไปเมืองดอกไม้ศักดิ์สิทธิ ถ้าดวงดีละก็ บางทีเขาอาจเจอดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ในสิบวันก็ได้” ผู้เฒ่าหลีบอก
“บางที…ถ้าอย่างนั้นชิงจือยังมีอันตรายถึงชีวิตอยู่ดีใช่หรือไม่” ชู่มู่จะไม่ให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้น ต่อให้เป็นมีความไม่แน่นอนเล็กน้อยชู่มู่ก็ไม่ให้ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของเย้ชิงจือ !
“ตอนนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว อย่างไรก็ตาม ต่อให้อยู่ในเมืองดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นความสามารถระดับท่านอาวุโส จะหาดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ในเวลาสิบวันเป็นเรื่องที่ยากมาก แน่นอนว่า จะให้ท่านอาวุโสประกาศก็ได้ รับซื้อผลึกเครื่องในดอกไม้ศักดิ์สิทธิในราคาสูง…ถ้ามีบางคนสะสมไว้ เธอจะได้รับการช่วยเหลือ” ผู้เฒ่าหลีพูดเสียงต่ำ
ชู่มู่เศร้าหมองทันที วิธีที่ผู้เฒ่าหลีบอกเป็นแค่เรื่องที่เป็นไปได้ ถ้าซื้อไม่ได้ละก็ ถ้าท่านอาวุโสไม่สามารถตามหาดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าอย่างนั้นเย้ชิงจือจะหมดหนทางแล้วจริง ๆ
ตอนอยู่เมืองหลี เย้ชิงจือใช้ทักษะทำร้ายตัวเองนี้ก็เพื่อยืดเวลาให้ตัวเองได้ดูดซึมเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกต
ครั้งนี้ก็เป็นเพราะศัตรูของตัวเอง ให้เย้ชิงจือตกอยู่ในอันตราย ทำให้จำต้องใช้ทักษะวิญญาณนี้
ทั้งสองครั้งนี้เป็นเพราะตัวชู่มู่ ไม่ว่าอย่างไร ก็จะปล่อยให้เย้ชิงจือตายแบบนี้ไม่ได้
“ชู่มู่” องค์หญิงจิ่งโหลวเห็นชู่มู่ไม่พูดสักคำ ทำได้แค่ถามขึ้นเสียงเบา
“ผู้เฒ่าหลี เจ้าไปกับเย้หวันเชิง พาชิงจือกลับไปในเมือง บอกกับท่านอาวุโสคนนั้น ขอให้เขาลงมือ แล้วบอกกับนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ ให้เขารับซื้อผลึกเครื่องในหมวดดอกไม้ หมวดน้ำระดับราชัน…” ชู่มู่ไม่ลังเลอีก พูดกับเย้หวันเชิงและผู้เฒ่าหลี
“ชู่มู่ เจ้าจะ…” เย้หวันเชิงมองไปยังชู่มู่ด้วยตาที่เป็นสีแดง ไม่เข้าใจว่าชู่มู่จะทำอะไร
ชู่มู่ไม่ได้ตอบอะไร แต่ใช้มือลูบแก้มของเย้ชิงจือ จับจ้องไปยังใบหน้าของเย้ชิงจือ
ชู่มู่ที่ยังไม่เคยมีเหตุการณ์หวั่นไหวที่แท้จริงกับเย้ชิงจือ ถ้าตัวเขาเองเสียเย้ชิงจือไป คงจะเป็นเรื่องที่เศร้าและทรมานอย่างมากแน่นอน และชู่มู่เองก็ไม่รู้ว่า ชอบเธอตั้งแต่ตอนไหน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
และแล้วในตอนที่ทั้งหมดกำลังจะก่อตัวขึ้น เรื่องทั้งหมดง่ายดายแบบนั้น แต่ชู่มู่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรแบบนี้ เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด ล้ำค่าที่สุด
ที่สำคัญที่สุดคือ ชู่มู่รู้เป็นอย่างดีว่า เย้ชิงจือคือผู้หญิงที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง
ชู่มู่ไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรกับเย้ชิงจือ ห้ามเด็ดขาด !
ตอนที่พูดถึงดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ ในเมืองอมตะแห่งนี้ก็มีดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ และเป็นความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะช่วยเย้ชิงจือได้
เธอคือเด็กสาวทรยศ !
เด็กสาวทรยศเป็นครึ่งดวงวิญญาณครึ่งมนุษย์ หนึ่งในสายเลือดของมันเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ ชู่มู่เคยตรวจสอบกับผู้เฒ่าหลีแล้ว ว่าผลึกของหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศช่วยเย้ชิงจือได้หรือไม่
คำตอบของผู้เฒ่าหลีแน่นอนที่สุด
เดิมชู่มู่ควรจบเรื่องกับหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศแล้ว ส่วนเย้ชิงจือต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ดังนั้น ต่อให้การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ชู่มู่หมดแรงแล้ว ชู่มู่ก็จะเข้าสู่เกียรติสุดท้ายด่านที่สิบให้ได้ ตามหาหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศ !
“ชู่มู่ เจ้าจะไปฆ่าคุณท่านหญิงปิดหน้าคนนั้นหรือ” องค์หญิงจิ่งโหลวรู้ว่าชู่มู่จะทำอะไรทันที จึงพูดขึ้นเสียงเบา
ชู่มู่พยักหน้าจริงจัง พูดขึ้นว่า “มีมั่วเย้อยู่ มีโอกาสฆ่าเธออย่างมาก ตอนนี้ข้ากังวลว่าจะมีเวลาไม่มากพอ”
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา จากตรงที่พวกเราอยู่ไปถึงเกียรติสุดท้ายด่านที่สิบแค่หกวัน หลังจากไปถึงแล้ว ใช้เวลาไม่ถึงวัน เดินตามสัญลักษณ์สีเขียวเหล่านั้นก็จะออกจากเมืองอมตะได้แล้ว แต่ว่า ข้ารู้สึกว่าคุณท่านหญิงปิดหน้าไม่ธรรมดา เกรงว่าในขั้นหนึ่งจะมีผู้แข็งแกร่งที่ทำงานให้เธอ…” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะลองดู องค์หญิง นำแผนที่เมืองอมตะให้ข้าเถอะ” ชู่มู่ไม่อยากเสียเวลา
“เจ้าไม่คุ้นเคยกับเมืองอมตะ ต่อให้มีแผนที่ก็อาจจะเดินอ้อมได้ ใช่ว่าจะกลับมาในสิบวันได้” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
“นี่…” ชู่มู่เผยสีหน้าลำบากใจออกมา
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าไปกับเจ้า ให้เย้หวันเชิงพาเย้ชิงจือกลับไปในเมือง” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
ชู่มู่ยืนอึ้ง จับจ้องไปยังองค์หญิงจิ่งโหลวที่ปิดหน้าตลอด ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“เจ้าช่วยข้าไว้ ตอนนี้ข้าก็ควรช่วยเจ้า ยิ่งกว่านั้น เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าข้ามาในเมืองอมตะแห่งนี้มีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณองค์หญิงอย่างมาก” ชู่มู่เองก็ไม่เสียเวลาอีก ตอนนี้จำต้องให้องค์หญิงจิ่งโหลวที่คุ้นเคยกับเมืองอมตะนี้ช่วยเหลือจริง ๆ ดังนั้น จึงขอบคุณอย่างจริงใจที่สุด
ลายเส้นแห่งโทษสีแดงเข้มลุกโชนขึ้นอย่างสะดุดตา ถูกหางเก้าเส้นที่เต็มไปด้วยลายเส้นแห่งโทษรัดไว้แน่น ภูตวายุสลายแทบไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้แค่ทนต่อความทรมานของอัคคีแห่งโทษนั้น !
เซี่ยกว่างหานในตอนนี้เหมือนกับภูตวายุสลาย ต่อให้ไม่ถูกโจมตี แต่เขาที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บต่อเนื่องเหมือนถูกรัดคอไว้แน่น เส้นเลือดได้นูนออกบนหน้าซีดขาวของเขา ดวงตาทั้งคู่เหมือนจะถลนออกมา !
ในที่สุด ภูตวายุสลายถูกฆ่าตายไปแล้ว !
ตามที่ลำตัวของภูตวายุสลายถูกอัคคีแห่งโทษแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ความทรมานของเซี่ยกว่างหานยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทว่า วัยหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ความอับอายนี้ต่างหากที่เป็นความเจ็บปวดที่แท้จริงของเซี่ยกว่างหาน !
เช่นเดียวกับที่ชู่มู่บอก ตอนนี้ใครเป็นผู้กุมชะตากันแน่ ใครกำลังเล่นกับชะตาชีวิตของใครกันแน่ !
ตอนอยู่เกาะนักโทษกับวังมารนิรย ชู่มู่ยังต้องเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของเซี่ยกว่างหาน แต่หลังจากที่ชู่มู่ออกจากการเป็นวัยหนุ่มอ่อนแอจนกลายเป็นวัยหนุ่มที่มีความแน่วแน่ในทะเลเหิงนั้นแล้ว ชู่มู่เป็นผู้กำหนดชะตาของตัวเองมาตลอด
“หน็อยแน่ !!! หน็อยแน่ !!! มันไม่ควรจบแบบนี้ !!! มันจะไม่จบแบบนี้แน่นอน !!!” เซี่ยกว่างหานร้องขึ้นด้วยเสียงที่ร้อนรนอย่างมาก
อับอาย พ่ายแพ้ เป็นความจริงที่ยอมรับได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะได้พ่ายแพ้ให้กับมดที่เขาขยี้ได้ง่ายในเมื่อก่อน ที่ทำให้เขาไม่อยากยอมรับคือ ตัวเขาเองเป็นคนสร้างผลแห่งกรรมที่เป็นหายนะในวันนี้ !
“ชะตาของข้าอยู่ในมือของข้าตั้งนานแล้ว ส่วนเจ้าเป็นแค่ก้อนหินเล็ก ๆ ในทางผ่านของข้าเท่านั้น” ชู่มู่มองไปยังเซี่ยกว่างหานอย่างเยือกเย็น
วินาทีนี้ ความแค้นในใจของชู่มู่จางหายไปตั้งนานแล้ว เพราะชู่มู่รู้ว่า ถ้าไม่มีเซี่ยกว่างหานที่คอยบีบบังคับตัวเอง เขาคงไม่มีวันนี้ ต่อให้ชู่มู่รู้ว่า ตัวเองยังคงเล็กมากเมื่อเทียบกับโลกดวงวิญญาณอันกว้างใหญ่แห่งนี้ แต่ถ้าตัวเขาท้อแท้ในวันนั้น จนถึงตอนนี้ ชู่มู่จะต้องเสียใจที่ตอนนั้นไม่กล้าที่จะลุกขึ้นสู้แน่นอน ทำให้เขาถูกผู้อื่นทำลายศักดิ์ศรีในวันข้างหน้า แล้วมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ !
“เจ้า…ไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า ! ต่อให้เจ้าฆ่าข้าได้แล้วจะทำไม ก็แค่บอกว่าเจ้าโชคดีเท่านั้น ! ถ้าไม่มีดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องตัวนี้ เจ้าไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ส่วนข้าฆ่าเจ้าได้อย่างง่ายดาย !” ดวงตาคู่นั้นของเซี่ยกว่างหานจับจ้องไปยังชู่มู่ พูดขึ้นด้วยความโกรธ
ชู่มู่จำต้องยอมรับว่า ตัวเขามีมั่วเย้ถึงทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป !
ชู่มู่ยอมรับเช่นกันว่า ตัวเขาเองเป็นคนที่โชคดีคนนั้น
แต่ว่าชู่มู่ไม่เคยคิดว่า ตัวเขาจะล้มเลิกความแน่แน่ที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพราะการแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องของมั่วเย้ ยิ่งไม่เคยมีความคิดที่จะหยุดพัฒนาตัวเอง !
เมื่อมีโอกาสได้ลอกคราบ เขาจะคว้าโอาสนี้เอาไว้ พยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น !
พูดได้ว่า นอกจากเวลาที่สลบไป กลางคืนของชู่มู่เป็นการฝึกตลอด ตอนเช้าเป็นการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เขตเมืองเจริญอย่างมาก เต็มไปด้วยสถานบันเทิง มีที่พักสบายนับไม่ถ้วน ชู่มู่ไม่เคยเข้าไปแม้แต่ครั้งเดียว โลกที่กว้างใหญ่ สถานที่ปลอดภัยนับไม่ถ้วน ชู่มู่กลับเลือกเดินในโลกอลวนที่เต็มไปด้วยอันตรายตลอด !
ต่อให้ออกจากทะเลเหิง ชู่มู่ก็ไม่เคยหยุดต่อสู้ไม่เคยลดความมุ่งหมั่นของตัวเองแม้แต่น้อย
วันนี้ได้กุมชะตาของเซี่ยกว่างหาน ชู่มู่ไม่รู้สึกดีใจ เพราะจากสายตาของชู่มู่ แค่ตัวเองไม่ตาย เซี่ยกว่างหานจะถูกเขาเหยียบอยู่ดี อีกทั้งคนอย่างเขาไม่พอที่จะเป็นศัตรูของตัวเองแม้แต่น้อย !
เซี่ยกว่างหานเป็นเพราะความโลภ ความแค้น ความอิจฉา ทำให้ตัวเขาจมอยู่กับความลุ่มหลง ใช้วิธีร้ายต่าง ๆ ไม่พัฒนาตัวเอง ไม่รู้จักความเชื่อที่ว่า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงมาจากการต่อสู้ของตัวเอง…
มาถึงตอนนี้ เซี่ยกว่างหานที่ยังมีตำแหน่งอยู่ในวังมารนิรยในเมืองเทียนเซี่ยได้กลายเป็นแค่บุคคลนิรนามคนหนึ่งแล้ว แม้แต่ฉิงเย้ที่เป็นวัยหนุ่มขั้นหนึ่งยังมีความสามารถแข็งแกร่งกว่าเขาอีก ! ถ้าเขารู้จักการเพิ่มความแข็งแกร่ง รู้จักความท้าทาย ความสามารถของเขาจะเข้าใกล้ผู้ที่มีระดับขั้นสิบ ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้มั่วเย้แปรเปลี่ยน เขาก็เอาชนะชู่มู่ได้ แต่ว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น…
คนที่ไม่รู้จักการเป็นผู้แข็งแกร่งแบบนี้ สุดท้ายก็เป็นแค่ขยะในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ต่อให้ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องอยู่อย่างหดหู่ อ่อนแอ !
เข้าไม่มีสิทธิ์เป็นศัตรูของข้าแล้ว” ชู่มู่หันกลับไป ออกคำสั่งไปยังมั่วเย้
เซี่ยกว่างหานจำต้องตาย ชู่มู่ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสมีชีวิตรอดต่อไป !
ดวงตาของเซี่ยกว่างหานเยือกเย็นอย่างมาก ตอนที่ชู่มู่เห็นนิสัยน่าสมเพชของเซี่ยกว่างหาน ความแค้นนั้นได้หายไปแล้ว แต่ความแค้นที่สะสมในใจของมั่วเย้ไม่ใช่สิ่งที่สลายได้อย่างง่ายดายแบบนั้น!
มั่วเย้ยกกรงเล็บขึ้น กลายเป็นก้อนอัคคีแห่งโทษ
เซี่ยกว่างหานจับจ้องไปยังมั่วเย้ มองดูเหมือนเสียสติไปแล้ว
และแล้ว ในตอนที่มั่วเย้กำลังจะโจมตี คาถาที่เซี่ยกว่างหานแอบร่ายขึ้นได้สำเร็จลง!
“ฮู”
ร่างกายของเซียกว่างหานเริ่มเลือนลาง หลังจากอัคคีแห่งโทษนั้นของมั่วเย้พุ่งออก ร่างของเซี่ยกว่างหานได้หายไปแล้ว กลายเป็นเหมือนวิญญาณ ลอยขึ้นอย่างลึกลับ !
“ฮะฮะฮะ !!! คิดจะฆ่าข้าเซี่ยกว่างหาน ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น !!!” เซี่ยกว่างหานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ลำตัวที่กลายเป็นวิญญาณลอยไปยังรอยแยกของมิติผนึกอย่างรวดเร็ว !
เผชิญกับทักษะวิญญาณพิเศษของเซี่ยกว่างหานนี้ ชู่มู่แค่มองตามอย่างเฉยเมย ไม่ได้เผยท่าทีประหลาดใจออกมามากเท่าไร
“ปีศาจขาว” ชู่มู่ออกคำสั่งไปยังมารนิรยขาว
มารนิรยขาวปล่อยทักษะเงาปีศาจสลับตำแหน่ง ตามไปด้านหลังร่างวิญญาณของเซี่ยกว่างหานอย่างง่ายดาย !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลางลุกโชนขึ้น พลังแผดเผาวิญญาณอันรุนแรงนี้พุ่งเข้าร่างเลือนลางของเซี่ยกว่างหาน วิญญาณของเซี่ยกว่างหานอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว ไฟปีศาจเก้าวิญญาณคร่าชีวิตนี้แผดเผาร่างกายและวิญญาณของเขาอย่างรวดเร็ว
“อ๊า !!! อ๊า !!!”
เซี่ยกว่างหานร้องด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางไฟปีศาจเก้าวิญญาณ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างมาก จับจ้องไปยังชู่มู่ราวกับผีสาง
ตามที่ไฟปีศาจเก้าวิญญาณแผดเผาร่างกายของเขา เซี่ยกว่างหานได้โห่ร้องไปด้วยว่า “ชู่มู่…ชีวิตของเจ้า…ยังอยู่ในมือผู้หญิงคนหนึ่ง…จะมีสักวัน เธอจะฆ่าเจ้า ! ข้าเซี่ยกว่างหานจะเป็นผีสางรอเจ้าอยู่ข้างใต้นี้ !!!”
ชีวิตที่ถูกมารนิรยขาวแผดเผา จะไม่กลายเป็นผีสางแน่นอน ดังนั้น หลังจากที่เซี่ยกว่างหานพูดจบ เขาได้หายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง !
ทักษะวิญญาณสุดท้ายของเซี่ยกว่างหานเป็นการดิ้นรนก่อนตาย ทักษะหมวดวิญญารนี้อาจทำให้มั่วเย้ไม่ทันตั้งตัว แต่ไฟปีศาจเก้าวิญญาณแผดเผาวิญญาณของมารนิรยขาวกลับเป็นตัวสกัดของหมวดวิญญาณ เซี่ยกว่างหานใช้ทักษะวิญญาณแปลงเป็นวิญญาณได้ เท่ากับว่าจะทำให้ตัวเองตายทรมานมากขึ้นกว่าเดิม !
“ฮู ฮู ฮู ฮู”
ตามที่เซี่ยกว่างหานได้ตายลง การต่อสู้ครั้งนี้ได้จบลงเสียที
เย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลวได้ผ่อนคลายลงบ้าง ทว่า องค์หญิงจิ่งโหลวเหมือนจะสังเกตถึงคำพูดสุดท้ายของเซี่ยกว่างหาน พูดกับชู่มู่เสียงเบาว่า “ผู้หญิงที่เขาหมายถึง…”
“ไม่มีอะไร เป็นคำพูดเพ้อเจ้อก่อนตายของเขา” ชู่มู่ส่ายหัว ไม่ได้พูดอะไร
ความจริงแล้ว ประโยคนี้ของเซี่ยกว่างหานทำให้ชู่มู่ตกใจเล็กน้อย ต่อให้เซี่ยกว่างหานไม่พูดให้ชัดเจน แต่ชู่มู่รู้ว่าผูหญิงที่เขาหมายถึงคนนั้นคือเด็กสาวทรยศแน่นอน
เดิมเซี่ยกว่างหานก็มีความเกียวช้องกับเด็กสาวทรยศอยู่แล้ว ถ้าบอกว่าเซี่ยกว่างหานเป็นลูกน้องของเด็กสาวทรยศด้วย อีกทั้งเซี่ยกว่างหานเป็นคนที่เด็กสาวทรยศส่งมาเพื่อฆ่าตัวเอง ถ้าอย่างนั้นความจริงตัวเขาถูกดวงวิญญาณทรยศตัวเองจับตามองตลอด !
เซี่ยกว่างหานปรากฏตัวในตระกูลชู่เมืองหวั่งหลัว เดิมเป็นเรื่องที่แปลกมากอยู่แล้ว ถ้าบอกว่าเกี่ยวข้องกับเด็กสาวทรยศ ถ้าอย่างนั้นระหว่างสองคนนี้อาจมีความเกี่ยวข้อง !
…
เย้ชิงจือมองไปยังชู่มู่อย่างอ่อนแรง เธอมักจะคิดแทนชู่มู่ด้วยความเคยชิน ถ้าเป็นเวลาปกติ เธอพอเดาได้ว่าผู้หญิงที่เซี่ยกว่างหานหมายถึงคือเด็กสาวทรยศที่ชู่มู่พูดถึง…
แต่ว่าเห็นได้ชัดว่า เย้ชิงจือไม่มีความสามารถที่จะคิดแทนแล้ว เธอรู้สึกว่า ทั้งตัวกำลังถูกแมลงพิษนับไม่ถ้วนกัดกิน ก่อนหน้านี้เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ของชู่มู่ เธอถึงไม่ส่งเสียงตลอด แต่ในตอนนี้ ความเจ็บปวดนั้นกระจายไปทั่วทั้งตัว ทำให้เธอยืนไม่ได้แล้ว
“ชิงจืองั้นหรือ” เย้หวันเชิงพบเห็นสถานการณ์น้องสาวของตัวเอง รีบพยุงเธอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรน
ชู่มู่ได้สติกลับมาทันที สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือพาเย้ชิงจือกลับไปรักษาตัว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเย้ชิงจือ ชู่มู่จะไม่ให้อภัยตัวเอง อย่างไรเซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้มาเพื่อตามหาตัวเอง เย้ชิงจือเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะตัวเอง
“นายท่าน ออกจากมิติผนึกนี้ก่อน มิติแห่งนี้เริ่มสั่นแล้ว ถ้าไม่ออกไป จะเกิดปัญหาใหญ่” ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่พยักหน้า อุ้มเย้ชิงจือขึ้น กระโดดขึ้นตัวมั่วเย้
“อู อู” มั่วเย้เองก็เป็นห่วงเย้ชิงจือ ส่งเสียงร้องขึ้น
เหมือนกลัวว่า เย้ชิงจือจะได้รับบาดเจ็บอีก หางหนึ่งเส้นของมั่วเย้ม้วนมาข้างหน้า หุ้มเย้ชิงจือเอาไว้ ให้เธอนอนได้อย่างสบาย
“มั่วเย้ เปิดผนึกออก” ชู่มู่บอก
ชู่มู่กับมั่วเย้ได้มุดเข้ามาตามรอยแยกของผนึกนี้ รอยแยกนี้มีความสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ นี่เป็นสาเหตุที่ระหว่างมั่วเย้ต่อสู้อยู่ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลว และเย้ชิงจือไม่สามารถออกจากผนึกนี้ได้
กรงเล็บของมั่วเย้ส่องประกายสีเงินขึ้น ผนึกดวงจันทร์บนหน้าผากปรากฏขึ้น พลังคลายผนึกแนบบนกรงเล็บของมั่วเย้ !
ตวัดกรงเล็บลง ผนึกที่ซ่อมแซมเกิดเป็นรอยแยกยักษ์ใหญ่ทันที !
ชู่มู่ให้เย้หวันเชิงกับองค์หญิงจิ่งโหลวออกไปก่อน และให้มารนิรยขาวกับจั้นเย้พุ่งออกจากผนึกนี้พร้อมกันในที่สุด
ในไม่ช้า ชู่มู่กับเย้ชิงจือได้กลับไปในแท่นบูชาอสูรเลือด เขาพบว่า เย้หวันเชิงกับองค์หญิงจิ่งโหลวได้ยืนอยู่กับที่ ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมเหรอ”
“ผู้เฝ้าหินเหล่านั้น…” เย้หวันเชิงกวาดตามองไปยังลานกว้างนี้ด้วยความอึ้ง !
ณ ตอนนี้ ลานกว้างที่ควรจะเต็มไปด้วยผู้เฝ้าหินนี้สิ้นซากหมดแล้ว ที่น่าตกใจที่สุดคือ ศพของผู้เฝ้าหินกระจายไปทั่ว สะเทือนใจยิ่ง !!!
“ฆ่าตายได้สักที !”
อสูรพายุน้ำแข็งไม่สามารถแยกร่างได้ ลายเส้นผนึกแห่งโทษกับอัคคีแห่งโทษได้สลายร่างกายของมันทั้งในและนอก ในที่สุดอสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้ยังคงไม่สามารถต้านทานพลังนรกราชันอัคคีของมั่วเย้ได้ ถูกนรกของมั่วเย้สลายไปในที่สุด แม้แต่วิญญาณของมันยังสลายไปเพราะพลังแข็งแกร่งนี้!
วิญญาณของฉิงเย้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง เขาได้รับบาดเจ็ยสามญาณแล้ว เขาในตอนนี้อ่อนแออย่างมาก หมอบอยู่บนพื้น เหมือนคนพ่ายแพ้ไร้หนทาง สั่นไปทั้งตัว
นรกราชันอัคคีไม่ได้หายไปเพราะการตายของอสูรพายุน้ำแข็ง มั่วเย้ควบคุมอัคคีแห่งโทษและลายเส้นอัคคี ทำการโจมตีไปยังดวงวิญญาณสองตัวที่เหลือ !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
กรงเล็บนับไม่ถ้วนบิดตัวสีแดงเข้มราวกับมังกรยักษ์ท่ามกลางนรกแห่งนี้ แต่ละตัวเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายของลายเส้นแห่งโทษ อีกทั้ง เริ่มทำการสลายผนึกทั้งหลาเหล่านี้ ทำให้ผนึกนี้อ่อนแอมากยิ่งขึ้น
“นายท่าน ให้มั่วเย้หยุดนรกราชันอัคคี” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้น
“ทำไมหรือ” ชู่มู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย ฆ่าพวกมันผ่านนรกราชันอัคคีนี้ประหยัดเวลาได้มากกว่าไม่ใช่เหรอ
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้า นี่เป็นผนึกคู่อันหนึ่ง ผนึกที่สองสร้างขึ้นด้านหลังผนึกที่หนึ่งนี้ จิ้งจอกน้อยของเจ้ามีความสามารถคลายผนึก อัคคีแห่งโทษของมันจะทำลายผนึกด้านล่าง ข้ารู้สึกได้ว่าผนึกด้านล่างนั้นไม่มั่นคงอย่างมากแล้ว ถ้าปล่อยสิ่งมีชีวิตในผนึกนั้นออกมา เกรงว่าจิ้งจอกน้อยของเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่ตกใจทันที ไม่คิดว่า ด้านล่างแท่นบูชาอสูรเลือดจะมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวยิ่งกว่าผนึกอยู่
ชู่มู่กวาดตามองไปยังฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานที่ทรมานอย่างยิ่ง หลังจากปล่อยนรกราชันอัคคีออกมา ทั้งสองคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงวิญญาณสองตัวที่เหลือไม่เป็นอันตรายแล้ว
ในตอนนี้ ชู่มู่ให้มั่วเย้หยุดการปล่อยนรกราชันอัคคีแล้ว
“อู อู” ดวงตาที่มีอัคคีแห่งโทษลุกโชนของมั่วเย้หมองคล้ำลงอย่างช้า ๆ ในตอนนี้ลายเส้นแห่งโทษทั้งหมดก็ค่อย ๆ หายไป กลับไปยังลำตัวสีเงินของมั่วเย้
เปลวไฟที่ระบำเริ่มหายไป นรกแห่งอัคคีแห่งโทษกับลายเส้นแห่งโทษนี้ได้หายไปอย่างช้า ๆ กลับไปยังโลกในดวงตาของมั่วเย้
หลังจากนรกสีแดงเข้มหายไป ผู้คนยังอยู่ในผลของภาพลวงตานั้น จนกระทั่งนรกนี้หายไปเนิ่นนานถึงได้สติกลับมา
“จบแล้วเหรอ” องค์หญิงจิ่งโหลวเหมือนฟื้นจากความฝัน มองไปยังมั่วเย้ด้วยสายตาอ้างว้าง
ความสะเทือนใจของเย้หวันเชิงยากที่จะสงบลงได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสพลังของราชันในระยะใกล้แบบนี้ พลังที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ยิ่งทำให้เย้หวันเชิงสะเทือนใจอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นพลังแข็งแกร่งที่เขาปรารถนามาตลอด !
ชู่มู่เองก็สะเทือนใจกับนรกราชันของมั่วเย้เช่นกัน ระหว่างราชันกับจักรพรรดิไม่ได้มีความแตกต่างแค่พลัง การป้องกันและหมวด เห็นได้ชัดว่า ราชันส่วนใหญ่จะมีความสามารถพิเศษของตัวเอง หลังจากผ่านการค้นพบนับร้อยพันครั้ง หรือเป็นพรสวรรค์ขั้นสูงที่มีมาตั้งแต่เกิดของกลุ่ม !
“ฮู ฮู ฮู !!!”
อัคคีแห่งโทษบนตัวมั่วเย้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง สีแดงเข้มอันแสบตานั้นได้นำพาความสยองแห่งความตาย
ทุกครั้งที่มั่วเย้ก้าวเท้าออก จะมีอัคคีแห่งโทษลุกโชนขึ้น เต็มไปด้วยพลัง บ้าคลั่งอย่างยิ่ง เผชิญหน้ากับจักรพรรดิชั้นยอดสองตัวที่ถูกนรกราชันอัคคีทรมาน เมื่อเทียบพลังแล้ว มันได้เผยราชันจิ้งจอกรุ่นใหม่ออกมาอย่างหมดจด !
มั่วเย้เดินไปตรงหน้าแมลงทองคำร้ายอย่างช้า ๆ พลังชีวิตของแมลงทองคำร้ายตัวนี้ดื้อดันอย่างมาก อัคคีแห่งโทษกับลายเส้นแห่งโทษนี้ไม่ได้รวมโจมตีไปที่มันทำให้มันไม่ได้รับบาดเจ็บมากเท่าไร
และแล้วในตอนนี้ แมลงทองคำร้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าจิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดนี้ ได้กลายเป็นแมลงตัวเล็กที่แท้จริง ไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะต่อต้าน ถูกหางของมั่วเย้ม้วนขึ้นอย่างช้า ๆ !
หางเก้าเส้น หางแต่ละเส้นล้วนมีพลังของลายเส้นแห่งโทษ ลายเส้นแห่งโทษเหล่านี้ได้ซึมเข้าร่างของแมลงทองคำร้าย ทำลายร่างกายของแมลงทองคำร้ายช้า ๆ !
ฉิงเย้หมอบอยู่บนพื้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาในตอนนี้ทำได้แค่มองไปยังแมลงทองคำร้ายที่ถูกลายเส้นแห่งโทษทำลายชีวิตทีละนิด !
“ข้า…ข้าเป็น…ข้าเป็นบุตรแห่งฉิงอู่ สิบหกนักยอด เจ้า…เจ้าฆ่า..ฆ่าดวงวิญญาณทั้งหมดของข้าได้…แต่…ห้าม…ห้ามฆ่าตัวข้า มิฉะนั้น เพื่อนของเจ้า ญาติของเจ้า รวมถึงคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า จะต้องตายไปพร้อมกับข้า !” ฉิงเย้กัดฟันแน่น พูดด้วยน้ำเสียงดูถูกและข่มขู่ !
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ของฉิงเย้ องค์หญิงจิ่งโหลวขมวดคิ้วทันที เธอรู้ระบบขององค์กรวิญญาณอย่างมาก ตำแหน่งของสิบหกนักยอดสูงมาก มีอำนาจควบคุมเขตโลกต่าง ๆ รวมถึงการกำหนดชะตา !
“องค์หญิง สิบหกนักยอดฉิงอู่คือใคร” ชู่มู่มองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลวแล้วถามขึ้น
“ระบบขององค์กรวิญญาณ ไม่เหมือนกับวังมารนิรยและตำหนักวิญญาณ พวกเขาไม่มีชื่อเรียกตำแหน่ง ถ้าพูดถึงอำนาจหลักละก็ คือ หนึ่งเจ้า สองราชินี สี่วีรบุรุษ แปดขุนนาง สิบหกนักยอด ความสามารถของคนเหล่านี้ล้วนอยู่ในชั้นยอดของมนุษยชาติพวกเรา ดวงวิญญาณที่พวกเขามียิ่งแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้ หากมองแค่ด้านความสามารถ ความสามารถของสิบหกนักยอดแข็งแกร่งกว่าท่านอาวุโสของพวกเราอีก” เสียงขององค์หญิงจิ่งโหลวทุ้มต่ำมาก
“แข็งแกร่งกว่าท่านอาวุโสอีกเหรอ” ชู่มู่เกิดความประหลาดใจขึ้น จำได้ว่า ผู้เฒ่าหลีเคยบอกกับตัวเอง ท่านอาวุโสจำต้องมีดวงวิญญาณระดับราชันชั้นยอด การที่ยืนอยู่บนชั้นยอดของมนุษยชาติ ถ้าอย่างนั้นต่อให้สิบหกนักยอดไม่มีดวงวิญญาณเกินกว่าระดับราชัน เกรงว่าคงมีดวงวิญญาณระดับราชันชั้นยอด อีกทั้งคงไม่ได้มีแค่ตัวเดียว !
“รู้ไว้ก็ดี การต่อสู้…ระหว่าง…ระหว่างรุ่นวัยหนุ่ม ท่านพ่อข้า…ท่านพ่อข้าจะไม่สืบ แต่ว่า…ถ้าพวกเจ้าฆ่าข้า…ฆ่าข้าละก็ ต่อให้เจ้าเป็นองค์หญิง นายท่าน ก็ต้องรับเคราะห์ !” ฉิงเย้เองก็ฉลาดมาก หลังจากข่มขู่แล้ว ได้ใช้เรื่องการต่อสู้รุ่นวัยหนุ่มจะไม่ถูกสืบเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตรอด มิฉะนั้นบีบบังคับแบบนี้ ฉิงเย้เองก็ต้องตายอยู่ดี !
ฉิงเย้จงใจสังเกตชู่มู่ พบว่าชู่มู่เผยความลังเลออกมาแล้ว คิดในใจว่า แค่รอดไปได้ ต่อให้ต้องใช้พลังขององค์กรวิญญาณก็ต้องชำระล้างความอับอายในวันนี้ให้ได้ !
“องค์หญิง ข้าเชื่อเจ้าได้ไหม” ชู่มู่หันไปถาม
“เจ้าคิดว่าอย่างไร” องค์หญิงจิ่งโหลวเหมือนจะเข้าใจความหมายของชู่มู่ หางตาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ชู่มู่พยักหน้า หันกลับไป เดินตรงไปยังตำแหน่งที่เซี่ยกว่างหานอยู่
ฉิงเย้เห็นชู่มู่จากไป เหมือนยกภูเขาออกจากอก หัวเราะเย้ยที่ชู่มู่ไม่ใจเด็ดมากพอเช่นกัน ถ้าเป็นเขาละก็ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร เพื่อไม่ให้เป็นภัยของตัวเองในภายหน้า เขาจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามตายโดยที่ไม่เกรงใจ ต่อให้เป็นบุตรของเจ้าองค์กรก็ตาม !
และแล้ว ในตอนที่ฉิงเย้ยังไม่ทันได้คิดวิธีออกจากที่นี่ เขารู้สึกได้ว่า มีบางสิ่งปีนขึ้นตัวเขา
ฉิงเย้รีบก้มหน้าลง พบว่าลายเส้นแห่งโทษสีแดงเข้มอันหนึ่งปีนไต่ขึ้นตัวเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ คืบคลานไปตามขาของเขา ตลอดจนหน้าท้อง แล้วหน้าอก และบริเวณหัวในที่สุด !
ฉิงเย้ยืนนิ่ง ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของเขาจับจ้องไปยังชู่มู่ พูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคืองที่สุดว่า “ชู่มู่ เจ้ากล้าฆ่าข้าละก็ !!! เจ้า…”
“บึ้ง !!!”
ฉิงเย้ยังไม่ทันได้พูดจบ ลายเส้นแห่งโทษได้สลายร่างกายของเขา เลือดเนื้อกระจายออก !
สภาพการตายของฉิงเย้อนาถอย่างมาก นับว่าเป็นการตายอย่างไร้ซาก !
ฉิงเย้ไม่รู้ว่า ชู่มู่แค้นองค์กรวิญญาณเพราะท่านพ่อของตัวเองอย่างมากแล้ว อย่าบอกว่าต่อให้ฆ่าในผนึกนี้จะไม่มีใครรู้ ต่อให้ฉิงอู่สิบหกนักยอดคนนั้นรู้ ชู่มู่ก็จะฆ่าฉิงเย้อยู่ดี ชู่มู่ไม่ใช่คนใจอ่อนอยู่แล้ว !
ศพของฉิงเย้ถูกลายเส้นแห่งโทษนี้ตัดอย่างละเอียดมาก สภาพการตายชวนขนลุก โดยเฉพาะสำหรับเซี่ยกว่างหาน
“โจมตี !!! โจมตีพวกเขา !!! โจมตีพวกเขาเดี๋ยวนี้ !!!” เซี่ยกว่างหานพบว่า ชู่มู่กับมั่วเย้กำลังเดินตรงมาที่นี่ กลัวจนร้องอย่างบ้าคลั่ง
เซี่ยกว่างหานเหลือแค่ภูตวายุสลายตัวสุดท้ายนี้แล้ว ภูตวายุสลายตัวนี้ร่ายคาถาหมวดลมอย่างเร่งรีบมาก พัดพาพายุสลายขั้นสิบไปยังชู่มู่ !
ลมสลายขุ่นมัว ดูเหมือนจะปกคลุมทั่วฟ้าดิน และแล้วทุกครั้งที่พัดผ่านมั่วเย้ จะถูกหางของมั่วเย้ฟาดออกไป แล้วทักษะหมวดลมนี้หายไปทันที !
ดวงตาเยือกเย็นของมั่วเย้จับจ้องไปยังเซี่ยกว่างหาน มันเดินอยู่ข้างชู่มู่อย่างไม่รีบร้อน เดินไปยังเซี่ยกว่างหานพร้อมชู่มู่อย่างช้า ๆ
“จิ้งจอกแสงจันทร์ยังคงเป็นจิ้งจอกแสงจันทร์ ไม่มีทางจะเป็นคู่ต่อสู้ของมารนิรยขาวได้ ต่อให้มดจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ยังคงถูกสิงโตเหยียบตายได้…”
ชู่มู่มองไปยังเซี่ยกว่างหาน พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำมากกับเซี่ยกว่างหานที่ใบหน้าบิดเบี้ยวถึงที่สุด
ประโยคนี้ เซี่ยกว่างหานเคยพูดกับชู่มู่ในตอนนั้น ชู่มู่จำได้เป็นอย่างดี
ในตอนนั้น เซี่ยกว่างหานไม่รู้ว่า มั่วเย้เป็นดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่อง ในตอนนั้น เซี่ยกว่างหานเหมือนยืนอยู่ในที่สูงมาก สามารถกำหนดชะตาของชู่มู่ได้ตามใจ !
ส่วนชู่มู่กลับเวียนวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ทนต่อการทำลายจิตวิญญาณ เขาไม่เคยล้มเลิก ไม่เพียงแต่เพราะความคิดถึงที่มีต่อท่านพ่อของตัวเอง อีกทั้งได้สาบานว่า จะออกจากชะตาที่ถูกคนอื่นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแบบนี้ด้วย
วินาทีนี้ ได้มาถึงแล้วในที่สุด เมื่อเทียบกับหลายปีก่อน ตำแหน่งของชู่มู่กับเซี่ยกว่างหานเหมือนจะสลับกัน คนที่ควบคุมชะตาของเซี่ยกว่างหาน กลายเป็นชู่มู่แล้ว !
มั่วเย้เข้าใกล้ภูตวายุสลายอย่างมากแล้ว ทักษะของภูตวายุสลายในตอนนี้ไร้ประโยชน์อย่างมาก ถูกมั่วเย้ปัดออกอย่างง่ายดาย
ยังคงใช้หางม้วนภูตวายุสลายขึ้น ไม่มีอสูรพายุน้ำแข็งแล้ว จักรพรรดิชั้นยอดแทบไม่มีแรงต่อต้านเมื่ออยู่ต่อหน้าจิ้งจอกราชันอัคคีสลายแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้
“ตอนนี้ ใครเป็นผู้กุมชะตากันแน่” ชู่มู่มองไปยังเซี่ยกว่างหาน แล้วพูดขึ้น
ครั้งนี้ การคืบคานของลายเส้นแห่งโทษรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เริ่มปกคลุมมิติผนึกทั้งหมดนี้แล้ว ต่อให้เป็นภูตวายุสลายที่หลบไกลออกไปที่สุดและเซี่ยกว่างหานยังถูกลายเส้นแห่งโทษนี้ปกคลุมไปด้วย
และตามที่ดวงตาของมั่วเย้ที่เปลี่ยนไป ลายเส้นแห่งโทษเหล่านี้ได้กลายเป็นเหมือนโครงสร้างที่คล้ายกับลาวา เกิดเป็นเผลวไฟร้อนระอุยิ่ง !!!
ความสามารถที่ปล่อยของภูตวิญญาณที่ปล่อยนรกจากนัยน์เตาออกสู่โลกภายนอกนี้ ราวกับทั้งหมดเป็นผลจากภาพลวงตา
แต่ตอนที่ลาวาเหล่านั้นกระเซ็นขึ้น เปลวไฟที่เคลื่อนไหวราวกับมังกร ประกายสีแดงที่สะท้อนเป็นทั่วทั้งมิติแห่งนี้ ทำให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ภาพลวงตา พวกมันมีความร้อนอยู่จริง และผลการแผดเผาที่รุนแรง !!!
ลายเส้นแห่งโทษของราชันอัคคีสลายได้นำนรกที่อยู่ในตาของชู่มู่สะท้อนออกเป็นนรกเพลิงในความเป็นจริง อัคคีแห่งโทษพุ่งขึ้นระหว่างรอยแยกของมิติอย่างบ้าคลั่ง !
ดวงวิญญาณสามตัวของฉิงเย้ ดวงวิญญาณสามตัวของเซี่ยกว่างหาน รวมถึงดวงวิญญาณทั้งหมดของเย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในตอนนี้ถูกนรกเพลิงของมั่วเย้ปกคลุมเอาไว้ !
ใบหน้าของเย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลวสะท้อนเป็นสีแดง ในใจของพวกเขาในตอนนี้สะเทือนอย่างมาก !
ทักษะนี้ของมั่วเย้ได้ปกคลุมทั้งพื้นที่มิติแห่งนี้แล้ว ราวกับเป็นมิตินรกที่ถูกสร้างขึ้น ขังดวงวิญญาณและคนทั้งหมดไว้ในนรกราชันอัคคีแห่งนี้ !
ทว่า ลายเส้นแห่งโทษและอัคคีแห่งโทษของอัคคีพิเศษอย่างมาก คนและดวงวิญญาณที่มั่วเย้ยอมรับ ต่อให้พลังของอัคคีแห่งโทษและลายเส้นอัคคีจะรุนแรงมากเพียงใด ต่อให้มีพลังทำลายล้างมากเพียงใด ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อพวกเขา พวกเขาเหมือนอยู่ในมิติภาพลวงตาแห่งหนึ่ง มีเพียงภาพสีแดงแสบตาเหล่านี้
พวกชู่มู่ไม่ถูกอัคคีแห่งโทษและลายเส้นอัคคีนี้ส่งผลกระทบเท่าไร ส่วนเซี่ยกว่างหาน ฉิงเย้และดวงวิญญาณของพวกเขาไม่สบายขนาดนั้นแล้ว
พลังของระดับราชันนี้แทบไม่อาจต้านทานได้ เดิมอัคคีแห่งโทษเป็นเปลวไฟระดับที่ห้าอยู่แล้ว นอกจากอสูรพายุน้ำแข็งที่มีความสามารถเข้าใกล้มั่วเย้แล้ว ดวงวิญญาณอื่นต่างทนต่อความทรมานอันเจ็บปวดที่สุดจากอัคคีแห่งโทษ !!!
อัคคีแห่งโทษกำลังแผดเผาเนื้อตัวร่างกาย ท่ามกลางความร้อนของมันยังมีพลังลึกลับอย่างหนึ่ง เพียงพอที่จะทำให้ดวงวิญญาณที่มีการป้องกันขั้นต่ำกลายเป็นเถ้าถ่าน !!!
ไม่เพียงเท่านี้ พลังของอัคคีแห่งโทษนี้มีอยู่เช่นเดียวกัน !
ลายเส้นแห่งโทษที่เป็นสีแดงเข้มลึกลับเข้าไปในร่างกายของดวงวิญญาณโดยไม่รู้ตัว เริ่มกระจายอย่างบ้าคลั่ง ทำลายระบบร่างกายของพวกมัน !
พูดได้ว่า อัคคีแห่งโทษเข้าสู่ด้านในด้วยความร้อน ส่วนลายเส้นแห่งโทษทำลายจากด้านใน ทั้งสองรวมกันแล้ว ความเจ็บปวดนี้มากกว่าการโจมตีของทักษะหลายเท่า !!!
เสียงร้องดังขึ้น เริ่มจากจักรพรรดิภูตวิญญาณของฉิงเย้ที่มีการป้องกันอ่อนแอที่สุดก่อน ตอนที่จักรพรรดิภูตวิญญาณตัวนี้สู้กับอสูรนกสวนสงคราม ถูกพลังมืดกัดกร่อนตลอด พลังโจมตีลดลงอย่างมาก
ตอนนี้ เผชิญหนัากับความทรมารจากนรกราชันอัคคีนี้ ภูตวิญญาณตัวนี้สูญเสียความสามารถต้านทานก่อน !
ลายเส้นแห่งโทษสีแดงเข้มแต่ละอันฉีกออกจากด้านในร่างกายของจักรพรรดิภูตวิญญาณตัวนี้ ตามด้วยอัคคีแห่งโทษที่มุดเข้าไปในลายเส้นแห่งโทษเหล่านี้อย่างบ้าคลั่ง แผดเผาร่างกายของจักรพรรดิภูตวิญญาณตัวนี้ !!!
ร่างของจักรพรรดิภูตวิญญาณเป็นเลือดเนื้อ แต่ด้วยพลังสองอันนี้ กลับแยกออกจากกันเหมือนหินที่ถูกไฟเผาจนเกิดรอยแยก ร่างกายค่อย ๆ หลุดออกด้วยอัคคีแห่งโทษนี้…
ท้ายที่สุด จักรพรรดิภูตวิญญาณนี้หลุดออกจากกันจนไม่เหลือชิ้นดี กลายเป็นกองดินสีดำไหม้กระจายไปตามพื้นของนรกราชันอัคคีแห่งนี้ !
ด้านในสุดของนรกราชันอัคคีนี้ ใบหน้าภูมิใจของเซี่ยกว่างหานและฉิงเย้ได้หายไปแล้ว แทนที่ด้วยความกลัวจากส่วนลึกของวิญญาณ !
ด้านในนรกแห่งนี้ มั่วเย้เป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ต่อให้เป็นอสูรพายุน้ำแข็งก็ต้องตายลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิชั้นยอดตัวอื่นแล้ว !
มารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานเป็นตัวที่สองที่ถูกอัคคีแห่งโทษกับลายเส้นแห่งโทษทำลายร่างกาย !
เดิมมารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานได้รับบาดเจ็บจากปีศาจขาวแล้ว เผชิญกับพลังที่แข็งแกร่งแบบนี้ ไฟปีศาจเก้าวิญญาณบนตัวมันไม่ก่อผลต้านทานใด ๆ แต่กลับทำให้ลายเส้นแห่งโทษนี้เข้าสู่ร่างกายไปตามบาดแผลสาหัส !
ทันทีที่พลังสีแดงเข้มของลายเส้นแห่งโทษกระจายไปทั่วร่างกาย ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการป้องกันแข็งแกร่งมากเพียงใดก็จะล้มลงอยู่ดี !
หลังจากเกิดรอยแยกบนตัวมารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานแล้ว อัคคีแห่งโทษได้บุกเข้าไปอีกครั้ง ในและนอกสลับกัน มารนิรยขาวตัวนี้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา ไฟปีศาจเก้าวิญญาณได้ดับลงทั้งหมด หายไปจากนรกราชันอัคคีนี้ !
“ฆ่าได้ดี !!! เจ้าจิ้งจอกน้อย ฆ่าพวกเขาให้หมด !!!” เย้หวันเชิงเห็นมารนิรยขาวจักรพรรดิชั้นยอดถูกฆ่าตายไปแล้ว ตอนนี้ได้ร้องขึ้นทันที
สำหรับผู้เข้าแข่งขันขั้นสองแล้ว จักรพรรดิชั้นยอดเป็นการมีอยู่ที่ไม่อาจเอาชนะได้ ก่อนหน้านี้ได้เผชิญกับจักรพรรดิชั้นยอดมากมาย เย้หวันเชิงไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว แต่ตอนนี้เห็นจักรพรรดิชั้นยอดของคนชั่วร้ายสองคนนี้ถูกฆ่าล้างแบบนี้ ได้ตะโกนด้วยความสะใจ !
จะให้ดีต้องฆ่าให้ไม่เหลือสักตัว ฆ่าฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานไปด้วย !!!
หลังจากองค์หญิงจิ่งโหลวเห็นมั่วเย้ปล่อยทักษะที่แข็งแกร่งแบบนี้ออกมา ได้ฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย การต่อสู้ครั้งนี้ ลำบากอย่างมาก องค์หญิงจิ่งโหลวไม่เคยเจอศัตรูที่แข็งแกร่งแบบนี้ และการข่มขู่ที่ไร้ทางสู้แบบนี้ ในตอนนี้เห็นฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานต้องทนต่อความทรมานต่าง ๆ ของนรกราชันอัคคี ย่อมไม่มีความสงสารใด ๆ หวังว่ามั่วเย้จะกำจัดพวกเขาได้ !!!
มั่วเย้กับชู่มู่ต่างแค้นเซี่ยกว่างหานอย่างมาก ดังนั้น การปล่อยนรกราชันอัคคีออกมาแบบนี้จะไม่ให้เซี่ยกว่างหานรอดไปได้ !
หลังจากฆ่ามารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานแล้ว พลังของอัคคีแห่งโทษได้รวมไปยังตัวของหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดที่หวาดกลัวตัวนั้น !
หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดนับว่าอ่อนแอที่สุดในบรรดาจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว ไม่มีความสามารถพิเศษอย่างมารนิรยขาว อสูรพายุน้ำแข็งแบบนั้น ถ้าเผชิญซึ่งหน้ากัน กรงเล็บผนึกแห่งโทษอันเดียวของมั่วเย้ก็ฆ่ามันได้แล้ว
และในตอนนี้หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดตัวนี้กำลังเผชิญกับความทรมานจากผลึกพลังราชันสองชนิด ยากที่จะรอดชีวิตไปได้ !
ใบหน้าของเซี่ยกว่างหานซีดขาว ดวงตาของเขาถูกนรกนี้ย้อมเป็นสีแดง หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดห่างจากเขาไม่ไกล เขาในตอนนี้มองดูหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดตัวนี้ถูกอัคคีแห่งโทษกับลายเส้นแห่งโทษแผดเผาจนเป็นเศษผง !!!
ความเจ็บปวดนี้ทำให้เซี่ยกว่างหานแทบจะเป็นบ้า และแล้วเขาเองก็กำลังทนต่อการแผดเผาของนรกราชันอัคคี ถ้าไม่ได้เป็นเพราะการป้องกันของเกราะวิญญาณขั้นเก้าและทักษะวิญญาณ เขาคงกลายเป็นเถ้าถ่านตั้งนานแล้ว
“มั่วเย้ ฆ่าอสูรพายุน้ำแข็ง !” ชู่มู่รู้ว่า เซี่ยนกว่างหานที่เสียดวงวิญญาณไปสองตัวจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองแล้ว สิ่งที่จำกัดมั่วเย้ได้มีเพียงอสูรพายุน้ำแข็งตัวนั้น
พลังของนรกราชันอัคคีไม่มีทางที่จะไม่หมดลง ดังนั้น จำต้องฆ่าอสูรพายุน้ำแข็งให้ตาย !
เดิมความสามารถของอสูรพายุน้ำแข็งก็อยู่ระหว่างจักรพรรดิชั้นยอดและเทียบเท่าราชันอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้รับการเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยทักษะวิญญาณของฉิงเย้ พูดได้ว่าสมรรถภาพทางกายของดวงวิญญาณตัวนี้อ่อนแอกว่าเทียบเท่าราชันแค่ขั้นเดียว
มั่วเย้เป็นลักษณะเก้าขั้นกลาง แม้จะเป็นจักรพรรดิขั้นต่ำ แต่ความสามารถโดยรวมไม่ต่างจากเทียบเท่าราชันลักษณะสิบ ดังนั้น ความสามารถที่แท้จริงของมันสูงกว่าอสูรพายุน้ำแข็งหนึ่งถึงสองขั้น บวกกับความสามารถฟื้นคืนชีพหมวดน้ำแข็งของอสูรพายุน้ำแข็ง ทำให้เกิดการขัดขวางต่อมั่วเย้อย่างมาก
ทว่า ราชันยังคงเป็นราชัน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะมีดวงวิญญาณที่มีพลังทำลายล้างในพื้นที่กว้างนี้อย่างภูตวายุสลายอยู่ ต่อให้มีอสูรพายุน้ำแข็งอยู่มั่วเย้ก็กำจัดมันได้ !
และในตอนนี้ ความสามารถฟื้นคืนชีพของอสูรพายุน้ำแข็งกลับเชื่องช้าลงอย่างมากด้วยนรกแข็งแกร่งของมั่วเย้นี้
เห็นอสูรพายุน้ำแข็งทนต่อการทำลายจากนรกนี้ต่อเนื่อง ฉิงเย้ยังจะฝืนยิ้มพูดขึ้นว่า “ต่อให้เป็นทักษะนี้ก็ไม่อาจฆ่าอสูรพายุน้ำแข็งของข้าได้ !!!”
ประโยคนี้ของฉิงเย้ฝืนมาก เพราะเขารู้ว่า การฟื้นชีพน้ำแข็งของอสูรพายุน้ำแข็งไม่ใช้ทักษะฟื้นชีที่แท้จริง
การฟื้นชีพน้ำแข็งนี้ต้องแลกด้วยการป้องกัน ในตอนที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรง จะผ่านการสลายตัวเพื่อต้านทานการโจมตีเหล่านี้
เท่ากับว่า นี่ไม่ใช่การคืนชีพที่แท้จริง หรือเป็นทักษะคืนชีพ ถ้าฝ่ายตรงข้ามรู้ทฤษฎีของทักษะนี้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำลายมันได้
ดังนั้น ทันทีที่ก้อนน้ำแข็งของอสูรพายุน้ำแข็งถูกโจมตีละก็ จะทำให้อสูรพายุน้ำแข็งได้รับบาดเจ็บที่แท้จริง !!!
“แบบนี้นี่เอง นี่เป็นทักษะที่อ่อนตัวเพื่อรับแรง มิน่าถึงเกิดใหม่ได้ตลอด ราวกับเป็นอมตะ !” ผู้เฒ่าหลีเข้าใจทันที
เห็นร่างกายแตกสลายของอสูรพายุน้ำแข็งกำลังจะคลี่คลาย ชู่มู่ได้เข้าใจในที่สุด ทำไมไม่ว่าโจมตีอสูรพายุน้ำแข็งกี่ครั้งก็ไร้ประโยชน์ เห็นได้ชัดว่า ตัวเองกำลังถูกชักจูงไปในทางที่ผิดกับคำว่า “ฟื้นชีพ” !
อสูรพายุน้ำแข็งไม่มีทักษะฟื้นชีพ และทุกครั้งตอนที่มั่วเย้โจมตีด้วยพลังมหาศาล สิ่งมีชีวิตนี้จะกระจายร่างของตัวเอง
เหมือนกองทราย ใช้หมัดต่อยอย่างเต็มแรง ทรายนี้จะกระจายออก กลับไม่เกิดความเสียหายใด ๆ !
“มั่วเย้ กำจัดมัน !!!” หลังจากเข้าใจเคล็ดลับของมัน ชู่มู่ได้ฉีกยิ้มออกมา
ในเมื่อรู้การ “ฟื้นชีพ” ของอสูรพายุน้ำแข็ง ถ้าอย่างนั้นจะฆ่าอสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้ก็ง่ายมากแล้ว !
“อู อู อู อู !!!”
มั่วเย้ถูกอสูรพายุน้ำแข็งรั้งเอาไว้ อัดอั้นมานานมากแล้ว ในตอนนี้ได้ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธเคือง !
หางแห่งลายเส้นแห่งโทษทั้งเก้าเส้นนี้ได้ยืดออกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยืดไปยังอสูรพายุน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยความทรมาน !
หางเก้าเส้นของราชันอัคคีสลายไม่ได้เป็นรูปร่างของหางเก้าเส้นแล้ว มั่วเย้สามารถทำให้มันไขว้กันได้ แล้วขังอสูรพายุน้ำแข็งไว้ในนั้น !
ระหว่างหางนุ่มนิ้มนี้ยังมีช่องว่างอยู่บ้าง มั่วเย้ได้ปล่อยลายเส้นแห่งโทษบนหางออก ให้ลายเส้นแห่งโทษนี้ก่อเป็นมิติผนึกอย่างหนึ่ง ไม่ให้อสูรพายุน้ำแข็งมีโอกาสกระจายตัว !
“อู อู อู อู อู อู !!!”
มั่วเย้ส่งเสียงร้องเหมือนออกคำสั่ง ทันใดนั้น ดอกไม้ลายเส้นแห่งโทษงดงามบานออกจากตัวอสูรพายุน้ำแข็ง ทำลายร่างกายของอสูรพายุน้ำแข็งอย่างบ้าคลั่ง !
อสูรพายุน้ำแข็งไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ทำได้แค่ปล่อยให้พลังลายเส้นแห่งโทษนี้ทำลายร่างกายของตัวเอง !!!
ถึงตอนนี้ฉิงเย้ยิ้มไม่ออกแล้ว หน้าทั้งใบบิดเบี้ยวอย่างมาก ทำท่าทีเจ็บปวดถึงที่สุด
ชู่มู่มองไปยังมั่วเย้มั่วเย้
มั่วเย้กำลังจะทำการโจมตีไปยังหมาป่าพิฆาตกระหายเลือด แต่ทักษะของภูตวายุสลายได้โจมตีอีกครั้ง มั่วเย้จำต้องถอยกลับอย่างรวดเร็ว ทำลายพลังของลมสลายนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ทุกคน
ชู่มู่รู้ว่า ถ้ายืดเวลาต่อไปจะทำให้ตัวเองเสียเปรียบอย่างมาก อีกทั้งเย้ชิงจือต้องการรักษาตัวโดยเร็ว
ในตอนนี้ ชู่มู่ได้ร่ายคาถาขึ้น
คาถาสั้นมาก ชู่มู่ร่ายสำเร็จทันที ดวงตาของเขาเกิดประกายลึกลับขึ้น
เนตรลับ !
ดวงตาของชู่มู่ส่องประกายลึกลับออกมา อีกทั้งความเร็วในการหมุนนั้นเชื่องช้าจนผิดปกติ
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ดวงตาเห็นนั้นเชื่องช้าอย่างมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอสูรพายุน้ำแข็งหรือหมาป่าพิฆาตกระหายเลือด พวกมันอยู่ห่างแค่ก้าวเดียวของชู่มู่
ร่ายคาถาขึ้นอีกครั้ง ชู่มู่ใช้ทักษะหมวดลับขั้นแปด เนตรลับ มอบพลังที่ได้เปรียบอย่างมากนี้ให้ดวงวิญญาณของตัวเอง !
จั้นเย้อยู่ใกล้กับชู่มู่มากที่สุด ดวงตาสีดำคู่นั้นของมันเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน ความเร็วของแมลงทองคำร้ายเชื่องช้าอย่างมากในสายตาของมัน จั้นเย้สามารถมองการเคลื่อนไหวต่อไปของมันได้อย่างง่ายดาย
ความสามารถของจั้นเย้ห่างกับแมลงทองคำร้ายขั้นหนึ่ง สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือพลังโจมตีและความเร็ว พูดได้ว่า จั้นเย้ยากที่จะหลบการโจมตีของแมลงทองคำร้ายได้ ส่วนแมลงทองคำร้ายกลับหลบการโจมตีของจั้นเย้ได้
หลังจากผลของเนตรลับ จั้นเย้สังเกตเห็นเจนการของแมลงทองคำร้ายทันที ได้หลบตั้งแต่ตอนที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ออกโจมตี
ค้อนแห่งความตายยักษ์ใหญ่ของแมลงทองคำร้ายส่องประกายลึกลับออกมา พุ่งตรงไปยังจั้นเย้ ส่วนจั้นเย้ได้กระโดดหลบตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังออกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง !
หนามเกราะหมึก !!!
หนามเกราะหมึกที่เพิกเฉยการป้องกันได้ปักเข้าร่างกายของแมลงทองคำร้าย สารพิษกัดกร่อนการป้องกันสีดำนี้เริ่มกระจายเข้าร่างของแมลงทองคำร้าย !
แมลงทองคำร้ายส่งเสียงร้องด้วยความโกรธ ตวัดหางขึ้น ก่อเป็นคลื่นสีดำ ฟาดไปยังจั้นเย้ !
จั้นเย้ไหวตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากการโจมตีครั้งเดียว กระโดดขึ้นทันที หลบการโจมตีระยะใกล้นี้อย่างสง่างาม เตรียมแสงสลายไว้ในปาก !
“โซ !!!”
แสงสลายระเบิดออกบนตัวแมลงทองคำร้ายในระยะประชิด ทำให้มันถูกระเบิดออกไปร้อยกว่าเมตรทันที เกราะทองคำบนตัวมันเกิดการเน่าอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่า ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
อีกฝั่งหนึ่ง หลังจากปีศาจขาวได้เนตรลับ ยิ่งเผยด้านดุร้ายที่สุดออกมา ในระยะประชิด ได้ใช้กรงเล็บของมันฉีกไปยังร่างของมารนิรยขาวเซี่ยกว่างหานอย่างแรง
แล้วยกมารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานขึ้น ปล่อยเมฆไฟเก้าวิญญาณออกมานับไม่ถ้วน ทำให้มารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานปลิวอกไป
“ปีศาจขาว !” จุดประสงค์ที่ชู่มู่ปล่อยเนตรลับออกมาไม่ได้ให้จั้นเย้กับปีศาจขาวเอาชนะศัตรูของพวกมัน อย่างไรก็ตาม ปีศาจขาวจะฆ่าศัตรูที่มีความสามารถเทียบเท่ากันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ชู่มู่ต้องการรวมทักษะกับปีศาจขาว !
“เนี๊ย” ปีศาจขาวเข้าใจเจตนาของเจ้าของ อาศัยตอนที่มารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานปลิวออกไปนี้ ได้ใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งลอยไปตรงหน้าชู่มู่อย่างรวดเร็ว
“สิบสามอัคคีร้าย !” ชู่มู่ร่ายคาถาขึ้นอีกครั้ง !
เจ้าวิญญาณเจ็ดร่าย ถ้าปล่อยสิบสามอัคคีร้ายด้วยร่ายวิญญาณของชู่มู่ละก็ มีพลังมากถึงขั้นเก้าระยะสุดท้าย บวกกับไฟปีศาจเก้าวิญญาณทรงพลังของชู่มู่ ถ้าชู่มู่ปล่อยสิบสามอัคคีร้ายออกมาในตอนนี้ จะมีพลังถึงขั้นเก้าระยะสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เขาในตอนนี้เป็นเจ้าวิญญาณร่ายสูงแล้ว
ส่วนปีศาจขาวในตอนนี้เป็นจักรพรรดิชั้นยอด มีไฟปีศาจเก้าวิญญาณ พลังสิบสามอัคคีร้ายที่มันปล่อยออกมาจะอยู่ในขั้นสิบแน่นอน !
เช่นนี้ การรวมสิบสามอัคคีร้ายแบบนี้ จะสร้างพลังทำลายล้างต่อดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิชั้นยอดได้แน่นอน !
ปีศาจขาวเตรียมสิบสามอัคคีร้ายรวดเร็วมาก แต่ยังคงช้ากว่าการร่ายคาถาของชู่มู่ แต่กลับสำเร็จพร้อมกับชู่มู่ !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นบนตัวชู่มู่ ไฟปีศาจเก้าวิญญาณบนตัวปีศาจขาวรุนแรงพอกัน ปีศาจขาวได้คัดลอกโครงร่างของชู่มู่ ตอนที่ยืนอยู่ข้างกัน สะท้อนร่างมนุษย์และร่างปีศาจออกมา !
ฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานกำลังจดจ่อกับการจัดการมั่วเย้มั่วเย้พวกเขาทั้งสองคนไม่มีทางที่จะแบ่งความสนใจได้ ทันทีที่มีช่องโหว่ ราชันอัคคีแข็งแกร่งยิ่งตัวนี้จะทำให้พวกเขาแพ้ในเสี้ยววินาที !
ส่วนพวกเขากลับมองข้ามชู่มู่ และทำให้ชู่มู่เตรียมทักษะสิบสามอัคคีร้ายนี้ได้สำเร็จโดยปราศจากการขัดขวางใด ๆ !
ในไม่ช้า ด้านบนมิติผนึกแห่งนี้มีก้อนเมฆไฟปีศาจสีซีดขาวปรากฎขึ้น หล่อรวมไฟปีศาจคู่ของชู่มู่กับปีศาจขาวไว้ด้วยกัน เกรงว่าพลังของไฟปีศาจเก้าวิญญาณนี้เข้าใกล้พลังของไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นสูงแล้ว !
“โซ โซ โซ โซ โซ !!!”
สิบสามอัคคีร้าย เล็งไปยังอสูรพายุน้ำแข็งทั้งหมด ฟาดไปยังร่างของอสูรพายุน้ำแข็ง ทุกครั้งที่ระเบิดออกบนตัวอสูรพายุน้ำแข็ง จะทำให้ร่างของมันเกิดรอยแยกขึ้น !
สิ่งที่ก่อกวนมั่วเย้อย่างแท้จริงคือ อสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้ หลังจากมั่วเย้เห็นสิบสามอัคคีของชู่มู่โจมตีไปยังอสูรพายุน้ำแข็ง ได้เข้าใจเจตนาของชู่มู่ทันที หลับไปยังด้านหลังอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
อัคคีแห่งโทษที่แทบจะดับลงทั้งหมดได้ลุกโชนขึ้น !
พลังอัคคีแห่งโทษและพลังลายเส้นแห่งโทษของมั่วเย้ปล่อยออกมาพร้อมกันไม่ได้ ทันทีที่อัคคีแห่งโทษลุกโชนขึ้น ลายเส้ยแห่งโทษจะผนึกบนตัวมั่วเย้เหมือนลายเส้นปีศาจธรรมดา
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ในตอนที่อัคคีแห่งโทษลุกโชนขึ้น ลายเส้นแห่งโทษได้กระจายไปทั่วทั้งตัวเช่นกัน !
สิ่งที่มั่วเย้เตรียมอยู่คือทักษะแข็งแกร่งที่สุดของราชันอัคคีสลาย นรกราชันอัคคี !
ลายเส้นอัคคีแห่งโทษหมวดอสูรกระจาย กลิ่นไอลึกลับของหมวดภูตวิญญาณ ความร้อนระอุของลายเส้นแห่งโทษหมวดไฟ หมวดทั้งสามของราชันอัคคีสลายเริ่มรวมตัวกัน !
“มันจะปล่อยทักษะราชัน รีบห้ามมันเร็ว !” สีหน้าของฉิงเย้เปลี่ยนไปทันที
สิบสามอัคคีร้ายทำให้อสูรพายุน้ำแข็งของเขากลายเป็นเศษไปแล้ว ไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์ในเวลาอันสั้นได้ ในตอนนี้ฉิงเย้ได้สั่งให้แมลงทองคำร้ายที่พุ่งตรงไปยังมั่วเย้ !
เซี่ยกว่างหานเองก็ตกใจจนเหงื่อตก ถ้าให้ราชันอัคคีสลายนี้ปล่อยทักษะราชันออกมาละก็ ดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิของพวกเขาอาจถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีได้ ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร ต้องห้ามให้มันปล่อยออกมาสำเร็จ !
ในตอนนี้เซี่ยกว่างหานไม่คิดอะไรอีกแล้ว สั่งให้ดวงวิญญาณสามตัวของตัวเองพุ่งตรงไปยังมั่วเย้ !
มารนิรยขาว ภูตวายุสลาย หมาป่าพิฆาตกระหายเลือด ดวงวิญญาณทั้งสามตัวเล็งไปยังมั่วเย้ !!!
ถ้าถูกโจมตี การเตรียมการของมั่วเย้จะถูกขัดแน่นอน
หางเก้าเส้นของมั่วเย้ยังเคลื่อนไหวได้ เห็นหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดพุ่งตรงมา หางลายเส้นแห่งโทษของมั่วเย้กวาดผ่านอย่างแรง ก่อเป็นความกดอากาศบางอย่าง ปัดหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดออกไป
หางของมั่วเย้ต้านการโจมตีของหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดได้ แต่ยากที่จะต้านทักษะของมารนิรยขาวและภูวายุสลายได้
“เนี๊ย !!!”
มารนิรยขาวส่งเสียงร้องขึ้น มันเล็งไปยังภูตวายุสลายของเซี่ยกว่างหานตั้งนานแล้ว พื้นที่โจมตีของภูตวายุสลายกว้างมาก ถ้าให้มันปล่อยทักษะออกมาไม่ได้มีเพียงทักษะของมั่วเย้ที่ถูกขัด คนอื่นจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปด้วย !
ด้วยเงาปีศาจสลับตำแหน่งคู่ มารนิรยขาวเคลื่อนที่ไปยังระยะห่างที่โจมตีภูตวายุสลายได้ ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโขนขึ้นในมือของมัน กลายเป็นก้อนไฟปีศาจเก้าวิญญาณสองก้อนอย่างรวดเร็ว ปาไปยังภูตวายุสลาย !
“โซ !!!”
ไฟปีศาจสองก้อนระเบิดออกข้างกายภูตวายุสลาย ในตอนที่ภูตวายุสลายกำลังจะปล่อยทักษะหมวดลมอันต่อไปสำเร็จกลับถูกขัดทันที !
หลังจากปีศาจขาวห้ามภูตวายุสลายปล่อยทักษะออกมา ด้วยเนตรลับของมัน สังเกตเห็นว่า เซี่ยกว่างหานกำลังเตรียมทักษะวิญญาณอีกอันหนึ่งทันที !
ปีศาจขาวเกลียดเซี่ยกว่างหานเข้ากระดูกตั้งนานแล้ว อาศัยโอกาสนี้ มันได้ใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่ง ลอยไปยังเซี่ยกว่างหาน ท่าทีทรงพลังแบบนั้นกำลังจะกลืนกินวิญญาณของเซี่ยกว่างหานทั้งเป็นอย่างเห็นได้ชัด !
เซี่ยกว่างหานเตรียมทักษะวิญญาณได้ถึงครึ่ง พบว่าปีศาจขาวกำลังเข้าใกล้ด้วยความเร็วสูง
เซี่ยกว่างหานรีบหยุดการปล่อยทักษะ แล้วเพิ่มความเร็วขึ้น หนีไปข้าง ๆ ภูตวายุสลาย ทำได้แค่ออกคำสั่งให้มารนิรยขาวขัดขวางให้มั่วเย้ปล่อยทักษะ !
…
มั่วเย้ยากที่จะต้านทานมารนิรยขาวได้ เห็นทักษะที่มารนิรยขาวกำลังจะแตกโดนตัวมั่วเย้มั่วเย้ชู่มู่ยิ่งใจร้อนมากขึ้น
ถ้าถูกมารนริยขาวโจมตีเข้า ทักษะของมั่วเย้จะถูกขัด ทำให้ทุกอย่างเสียเปล่าหมด
และแล้ว ในตอนนี้ เงาสีหมึกอันหนึ่งพุ่งตรงมา วิ่งมาตรงหน้ามั่วเย้ได้ทันเวลา ใช้ร่างกายรับการโจมตีของมารนิรยขาวแทนมั่วเย้ !
“จั้นเย้ !” ชู่มู่กวาดตามองไปยังแมลงทองคำร้าย พบว่าบนค้อนของแมลงทองคำร้ายกลับมีขาหลังข้างหนึ่งของจั้นเย้อยู่ !
ชู่มู่ถึงพบว่า จั้นเย้เสียสละขาหลังข้างหนึ่งเพื่อมาปกป้องมั่วเย้
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณมีพลังแผดเผาวิญญาณโดยตรง พลังชีวิตของจั้นเย้แข็งแกร่งมากแต่ยากที่จะทนต่อการแผดเผาวิญญาณนี้ได้ ในไม่ช้า ชู่มู่รู้สึกได้ว่า วิญญาณของจั้นเย้กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส !
ทันทีที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส จั้นเย้จะไม่มีทางใช้แตกหักงอกใหม่นี้เยียวยาได้ !
“อู อู อู !!!” มั่วเย้เห็นจั้นเย้ที่ถูกไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลางนี้แผดเผาร่างกายและวิญญาณ ได้ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธขึ้น !
ความโกรธนี้กระตุ้นพลังของราชันอัคคีสลายได้มากขึ้น !
ด้วยการป้องกันต่าง ๆ ในที่สุดทักษะของมั่วเย้ได้สำเร็จแล้ว !!!
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!!”
ทันใดนั้น อัคคีแห่งโทษดุร้ายนั้นได้กระจายไปรอบด้านโดยมีมั่วเย้เป็นใจกลาง อัคคีแห่งโทษนี้พาดผ่านร่างกายของจั้นเย้ พุ่งตรงไปยังไฟปีศาจเก้าวิญญาณ !
คนและดวงวิญญาณที่มั่วเย้ยอมรับ จะไม่ถูกความร้อนของอัคคีแห่งโทษ แต่คนกับดวงวิญญาณที่ทำให้มั่วเย้โกรธ กลับรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของพลังนี้ !!!
นรกราชันอัคคี !!!
ในดวงตาของมั่วเย้มีโลกอีกใบหนึ่ง ในโลกนี้ไม่ได้เป็นการลุกโชนของอัคคีแห่งโทษในตอนแรกสุดแล้ว แต่กลับเกิดอัคคีแห่งโทษนับไม่ถ้วน ร้อนระอุนยิ่ง ราวกับนรกที่น่ากลัวที่สุด !
ขณะเดียวกัน ลายเส้นแห่งโทษได้กระจายไปทั่วทั้งมิติผนึกนี้อย่างบ้าคลั่ง…
ที่น่ากลัวคือ การคืบคานของลายเส้นแห่งโทษนี้ ดวงตาของมั่วเย้กลับสะท้อนไปนรกแห่งนี้มายังความจริงในมิติแห่งนี้ !
ร่างของอสูรพายุน้ำแข็งเพิ่งก่อตัวเสร็จ หางเก้าเส้นของมั่วเย้พัดขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ เพียงแค่ความกดอากาศที่มัมพัดขึ้นก็เพียงพอที่จะก่อผลของทักษะหมวดลมขั้นเก้าได้แล้ว !
และในตอนที่หางลายเส้นแห่งโทษทั้งเก้าเส้นนี้ฟาดลงบนตัวอสูรพายุน้ำแข็ง ร่างของอสูรพายุน้ำแข็งได้ขาดออกจากกันหลายท่อน ปลิวออกไปทันที !
“ถ้าพลังนี้ฟาดลงบนจักรพรรดิชั้นยอดธรรมดาละก็ กระดูกจะสลายไปทันที !” เย้หวันเชิงพูดด้วยความจำใจยิ่ง
เมื่อเทียบกับจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิง พลังบริเวณหางของมั่วเย้ในร่างจิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดนี้แข็งแกร่งถึงขั้นสุด ตอนที่หางเก้าเส้นนี้กวาดผ่าน ทั้งมิติผนึกนี้ได้เกิดการสั่นสะเทือนไปด้วย !
“ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะโจมตีกี่ครั้ง ก็ไม่มีทางฆ่าดวงวิญญาณของข้าได้ !” ฉิงเย้หัวเราะออกมา หลังจากพูดจบ ฉิงเย้ได้หันไปพูดกับเซี่ยกว่างหานว่า “ให้ภูตวายุสลายของเจ้าปล่อยทักษะ ข้าไม่เชื่อว่า มันปกป้องคนมากมายขนาดนี้ได้ !”
เซี่ยกว่างหานเห็นอสูรพายุน้ำแข็งควบคุมสถานการณ์ได้บ้าง สีหน้าผ่อนคลายลง
ในตอนนี้ เซี่ยกว่างหานได้ออกคำสั่งไปยังภูตวายุสลาย ให้เริ่มเตรียมทักษะหมวดลมใหม่ !
สายตาของมั่วเย้เยือกเย็นยิ่ง มันในตอนนี้อยากฆ่าเซี่ยกว่างหานมากที่สุด แต่ยังมีฉิงเย้ขวางอยู่ที่นี่ ทำให้มั่วเย้ยิ่งโกรธมากขึ้น !
“ตง ตง ตง ตง”
ร่างกายของอสูรพายุน้ำแข็งฟื้นกลับมาอีกครั้ง เหมือนมีพลังเกิดใหม่นับไม่ถ้วน กำจัดยากจริงๆ!
“ชู่มู่ ละออกเกสรพิษของกระดิ่งแก้วตาข้าจะกำจัดความสามารถเกิดใหม่ทั้งหมด แค่ให้อสูรพายุน้ำแข็งตัวนั้นต้องพิษ มันจะไม่เกิดใหม่อีก”เย้ชิงจือใช้ร่ายวิญญาณบอกกับชู่มู่
ชู่มู่หันกลับไป กำลังจะพูดบางอย่าง กลับพบเห็นเส้นเลือดสีดำแต่ละเส้นที่ซึมออกใบหน้าของเย้ชิงจือ สิ่งดุร้ายเหล่านี้กำลังจะทำลายความงดงามของเธอ
“ชิงจือ นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น!”ชู่มู่มองไปยังเย้ชิงจือด้วยความตกใจ
เมื่อกี้ลมสลายได้ก่อกวนสายตา ชู่มู่ไม่เห็นว่าเย้ชิงจือกลายเป็นแบบนี้ ตอนนี้ทำให้ชู่มู่เจ็บใจอย่างมาก
เย้ชิงจือในตอนนี้ถึงพบว่าเส้นเลือดบนหน้าตัวเองแปดเปื้อนด้วยสารพิษแล้ว เธอไม่อยากให้ชู่มู่เห็นตัวเองที่น่ากลัวแบบนี้ รีบหันหน้ากลับไป
“มั่วเย้ เจ้าจัดการพวกเขาก่อน!”ชู่มู่รีบกระโดดลงจากตัวมั่วเย้ วิ่งไปตรงหน้าเย้ชิงจือ คว้าไหล่ของเธอไว้
“ชิงจือ เจ้าเป็นอะไร !” ชู่มู่โอบเย้ชิงจือไว้อย่างใจร้อน
“ฮะฮะ เธอใช้ทักษะวิญญาณทำลายนักวิญญาณเองเพื่อเพิ่มความสามารถดวงวิญญาณของตัวเอง นี่เป็นการลงโทษที่เจ็บปวดที่สุด อีกไม่นานเธอจะตายไป!”เสียงอันน่ารำคาญของเซี่ยกว่างหานดังขึ้น และในตอนนี้ ภูตวายุสลายของเซี่ยกว่างหานได้ขับร่ายหมวดลมเสร็จแล้ว ทักษะหมวดลมขั้นสิบได้สำเร็จลงอีกครั้ง !
พลังขั้นสิบของทักษะหมวดลมอาจไม่ทำให้มั่วเย้ได้รับบาดเจ็บมากเท่าไร แต่กลับเป็นการโจมตีคร่าชีวิตคนอื่น อสูรพายุน้ำแข็งเกิดใหม่ต่อเนื่อง อาศัยความสามารถหมวดน้ำแข็งนี้ยื้อมั่วเย้เอาไว้ และถ้าภูตวายุสลายของเซี่ยกว่างหานปล่อยทักษะหมวดลมออกมาต่อเนื่อง มั่วเย้ยังต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของคนอื่น ยากที่จะข้ามอสูรพายุน้ำแข็งเพื่อไปฆ่าดวงวิญญาณสองตัวที่เหลือได้ !
“ชู่มู่ เจ้าเสียเวลาอยู่กับพวกเราที่นี่ต่อเถอะ ยิ่งยืดเวลานานเท่าไร พิษของเธอจะแปดเปื้อนมากขึ้น ทันทีที่เส้นเลือดทั้งหมดต้องพิษนี้แล้ว ผู้หญิงคนนี้จะตายแน่นอน !” เซี่ยกว่างหานบอก
หลังจากพูดจบ ทักษะหมวดลมของภูตวายุสลายของเซี่ยกว่างหานได้โจมตีเข้ามา ครั้งนี้ ลมสลายอันรุนแรงนี้ได้ครองพื้นที่หนึ่งในสี่ของมิติผนึกแห่งนี้ ค่อย ๆ ขยับมาที่นี่อย่างน่ากลัว !
ด้วยการป้องกันของดวงวิญญาณทุกคน ต่อให้เข้าใกล้บริเวณขอบเขต ใจกลางของลมสลายนี้จะทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บถึงชีวิตได้ !
มั่วเย้จะไม่ปล่อยให้ลมหมุนนี้พัดไปยังบริเวณที่พวกชู่มู่อยู่แน่นอน มันเริ่มวิ่งด้วยความเร็ว ลำตัวที่เต็มไปด้วยลานเส้นแห่งโทษสีเงินปรากฏตรงหน้าภูตวายุสลายอย่างรวดเร็ว !
ขนทั้งตัวถูกพัดกระจาย เผชิญหน้ากับทักษะหมวดลมขั้นสิบแบบนี้ มั่วเย้แทบไม่เกรงกลัว กรงเล็บแห่งโทษนั้นกางออก สร้างรอยผนึกแห่งโทษอันน่ากลัวบนลมหมุนสลายนี้ ลายเส้นแห่งโทษนี้กลับเริ่มกระจายไปตามลมหมุนนี้ !!!
“ฮู ฮู ฮู”
ตามที่รอยแยกลายเส้นผนึกนี้ปรากฏขึ้น ลมหมุนทั้งหมดเหมือนถูกสลายจากด้านใน ลดลงอย่างรวดเร็ว พลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในไม่ช้า ลมหมุนสลายขั้นสิบนี้ได้กระจายออกไปตามกรงเล็บเดียวของมั่วเย้ !
“ลายเส้นแห่งโทษนี้…กลับสลายพลังได้ !” เซี่ยกว่างหานตกใจยิ่ง นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความสามารถบางอย่างที่สลายพลังหมวดลมได้โดยที่ยังไม่แตะต้องตัวพลังนั้น !
ฉิงเย้ยิ้มอย่างเยือกเย็น กลับไม่สนใจพลังของลายเส้นแห่งโทษ ตอนที่มั่วเย้ตกถึงพื้น ได้ออกคำสั่งไปยังอสูรพายุน้ำแข็ง
ร่างกายของอสูรพายุน้ำแข็งได้สลายไปเอง ทันใดนั้น ก้อนน้ำแข็งนับไม่ถ้วนได้ลอยไปยังมั่วเย้ ลอยอยู่รอบตัวมั่วเย้
ทันใดนั้น ก้อนน้ำแข็งทั้งหมดได้เริ่มรวมตัวกัน !
การรวมตัวของอสูรพายุน้ำแข็งในตอนนี้ จะให้มั่วเย้ถูกแช่แข็งในร่างของอสูรพายุน้ำแข็ง ผนึกมั่วเย้ไว้ในน้ำแข็งนี้ !
เศษร่างของอสูรพายุน้ำแข็งก่อตัวอย่างรวดเร็ว ในเวลาอันสั้นนี้ อสูรพายุน้ำแข็งสูงเจ็ดเมตรได้ก่อเป็นร่างสมบูรณ์ขึ้น ส่วนมั่วเย้ถูกแช่แข็งไว้ในท้องของอสูรพายุน้ำแข็ง ราวกับถูกน้ำแข็งกลืนกิน รวมถึงหางเก้าเส้นก็ถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็ว !
แค่ชู่มู่ไม่ตั้งตัว จะทำให้ฉิงเย้มีโอกาสทันที เซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้เจ้าเล่ห์อย่างมาก อีกทั้งมีประสบการณ์ในการควบคุมดวงวิญญาณอย่างมาก
“อู อู อู อู !!!”
มั่วเย้ที่อยู่ในท้องของอสูรพายุน้ำแข็งร้องขึ้นด้วยความโกรธเคือง !
ราชันอัคคีสลายระดับราชันขั้นต่ำจะถูกควบคุมง่ายดายได้อย่างไร ตามที่วิญญาณของมั่วเย้ส่งเสียงร้องขึ้น ลายเส้นแห่งโทษบนตัวมันได้จางลงไป แต่กลับคืบคลานไปยังร่างของอสูรพายุน้ำแข็ง !
พลังลายเส้นผนึกของระดับจักรพรรดิขั้นต่ำนี้เพียงพอที่จะทำลายร่างกายของอสูรพายุน้ำแข็งนี้ได้อย่างง่ายดาย ในไม่ช้า ตอนที่ลายเส้นแห่งโทษทั้งหมดกระจายไปทั่วทั้งตัวของอสูรพายุน้ำแข็ง ร่างกายของอสูรพายุน้ำแข็งเกิดรอยแยกนับไม่ถ้วนอีกครั้ง !
บริเวณหางของมั่วเย้ที่ไม่ถูกแช่แข็งสะบัดเล็กน้อย ทันใดนั้น อสูรพายุน้ำแข็งที่มีขนาดเจ็ดเมตรถูกลายเส้นแห่งโทษสลายเป็นเศษอีกครั้ง
หลังจากทำลายอสูรพายุน้ำแข็งได้แล้ว มั่วเย้ได้รับอิสระอย่างรวดเร็ว และแล้วในตอนนี้ หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดของเซี่ยกว่างหานได้แอบเข้ามาด้านข้างมั่วเย้ตั้งแต่ตอนใดก็ไม่รู้ !
หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดของเซี่ยกว่างหานได้ปล่อยเงาหมาป่าเลือดสิบกว่าอันออกมาอย่างรวดเร็ว ทำการโจมตีไปยังมั่วเย้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการแช่แข็งอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของมั่วเย้เพิ่งคลายความเย็น จำต้องเผชิญกับการโจมตีอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่า ยากที่จะป้องกันได้ ในไม่ช้า บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนสิบกว่าเส้นจากเงาเลือดของหมาป่าพิฆาต !
“กลับมา !”
เซี่ยกว่างหานชั่วร้ายอย่างมาก เขารู้ว่าถ้าหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดของตัวเองเผชิญหน้ากับมั่วเย้ละก็ แค่ลายเส้นแห่งโทษอันเดียวของมั่วเย้ก็กำจัดหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดได้แล้ว ดังนั้น หลังจากโจมตีครั้งหนึ่งได้แล้วให้หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดหนีออกให้ไกลทันที รอให้ตอนที่มั่วเย้โจมตี อสูรพายุน้ำแข็งได้ปรากฏตัวอีกครั้ง !
“ชู่มู่ พิษเหล่านี้ไม่ถึงชีวิต ฆ่าพวกเขาก่อน ถ้ายืดเวลาแบบนี้ต่อไป จะทำให้พวกเขาคุมสถานการณ์ได้ !” เย้ชิงจือเห็นมั่วเย้ได้รับบาดเจ็บ จึงรีบพูดกับชู่มู่ทันที
เห็นได้ชัดว่า เซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้ไม่ได้จัดการง่ายแบบนี้ พวกเขาคุมดวงวิญญาณได้คล่องแคล่วอย่างมาก !
วารีจันทรา กระดิ่งแก้วตาและภูตไม้หมุนของเย้ชิงจือมีระดับค่อนข้างต่ำ ทำให้ผลการรักษาของมั่วเย้ไม่เห็นผลมากเท่าไร อีกทั้งพวกมันต่างได้รับบาดเจ็บแล้ว ทำให้ปล่อยทักษะยากลำบากมาก
สีหน้าของชู่มู่ในตอนนี้ค่อนข้างเคร่งเครียด อสูรพายุน้ำแข็งเป็นดวงวิญญาณที่กำจัดยากยิ่ง อีกทั้งยังมีหมวดที่เป็นปรปักษ์กับมั่วเย้
หากกำจัดปัญหาอสูรพายุน้ำแข็งไปได้ ดวงวิญญาณอื่นของเซี่ยกว่างหานและฉิงเย้ก็เป็นแค่ขยะ !
“กระดิ่งแก้วตาของข้าตัวค่อนข้างเล็ก ให้มั่วเย้ของเจ้าใช้หางซ่อนมันเอาไว้ รอให้อสูรพายุน้ำแข็งใช้น้ำแข็งกลืนกินมั่วเย้อีกครั้ง ละออกเกสรพิษของกระดิ่งแก้วตาจะซึมเข้าร่างกายของอสูรพายุน้ำแข็ง จะฆ่ามันได้” เย้ชิงจือพูดกับชู่มู่
ชู่มู่ส่ายหัว ไม่ใช่ว่าวิธีนี้ของเย้ชิงจือใช้ไม่ได้ แต่ถ้าทำตามละก็ กระดิ่งแก้วตาจะตายแน่นอน
มั่วเย้เป็นดวงวิญญาณระดับราชัน หลังจากถูกน้ำแข็งกลืนกินจะได้รับบาดเจ็บ ส่วนหางของมั่วเย้ไม่ก่อให้เกิดผลต้านน้ำแข็งมากเท่าไร ถ้าใช้อัคคีแห่งโทษจะเผากระดิ่งแก้วตาตาย ดังนั้น วิธีที่เย้ชิงจือบอกคือ การเสียสละกระดิ่งแก้วตา
เย้ชิงจือรักดวงวิญญาณของตัวเองเช่นกัน ชู่มู่จะให้เย้ชิงจือเสียสละดวงวิญญาณของตัวเองได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น เย้ชิงจือในตอนนี้อ่อนแออย่างมากแล้ว ถ้าวิญญาณได้รับบาดเจ็บอีก จะทำให้เย้ชิงจือได้รับผลกระทบถึงชีวิตแน่นอน
“มั่วเย้ เจ้าควบคุมนรกราชันอัคคีแล้วใช่ไหม” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับมั่วเย้
ต่อให้เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว แต่ชู่มู่ยังคงจำเรื่องที่ชู่เทียนหมังบอกกับตัวเองได้ ทักษะวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดที่จิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดมีไม่ใช่ลายเส้นอัคคีแห่งโทษ ไม่ใช่กรงเล็บลายเส้นแห่งโทษ แต่เป็นการรวมพลังตัวของพลังสองชนิดที่ไม่อาจรวมกันของอัคคีแห่งโทษและลายเส้นแห่งโทษ นรกราชันอัคคี !
“อู อู อู อู”
มั่วเย้แสดงท่าทีบอกว่า ในการสืบทอดจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดของมันมีทักษะนี้อยู่
ถ้าปล่อยทักษะราชันอัคคีที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นหมาป่าพิฆาตกระหายเลือด ภูตวายุสลาย หรืออสูรพายุน้ำแข็งจะถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม นี่เป็นทักษะขั้นสุดของจิ้งจอกราชันอัคคีแห่งโทษทั้งเจ็ด !
แต่ว่า ทักษะขั้นสุดนี้ต้องใช้เวลาปล่อยถึงสองวินาที
มั่วเย้ต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิชั้นยอดสามตัวพร้อมกัน บางครั้งหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดจะลอบโจมตี มีภูตวายุสลายที่โจมตีไปยังพวกชู่มู่เป็นครั้งคราว อีกทั้งยังมีการก่อกวนของอสูรพายุน้ำแข็งที่ฆ่าไม่ตาย ดังนั้น มั่วเย้แทบไม่มีเวลาสองวินาทีในการเตรียมทักษะนี้
“ชิงจือ มียาที่เพิ่มพลังวิญญาณชั่วคราวหรือไม่” ชู่มู่โอบเย้ชิงจือพลางถามขึ้น
เย้ชิงจือพยักหน้าเบา ๆ พูดขึ้นว่า “มีสองเม็ด แต่ห้ามกินต่อเนื่องในเวลาสิบวัน”
“เพิ่มพลังวิญญาณได้มากเท่าไร” ชู่มู่ถามขึ้น
“ถ้าเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายละก็ น่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละสามสิบได้” เย้ชิงจือพูดจบได้เปิดแหวนช่องว่างออก หยิบยาสีแดงไว้ในฝ่ามือ
การแปรเปลี่ยนตระกูลของมั่วเย้ วิญญาณของชู่มู่ที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่ทำลายถึงเจ้าวิญญาณแปดร่าย แต่พลังวิญญาณกลับเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละสามสิบ บวกกับยานี้ของเย้ชิงจือ เท่ากับว่ามีร้อยละหกสิบแล้ว !
ฝ่ามือของเย้ชิงจือถูกย้อมเป็นสีดำเช่นกัน ชู่มู่มองไปรู้สึกเจ็บใจอย่างมาก
หลังจากรับยาเพิ่มพลังวิญญาณ ชู่มู่ได้กลืนเข้าไปทีเดียว มองไปยังเย้ชิงจือด้วยสายตาแน่วแน่และเป็นห่วงยิ่งว่า “ชิงจือ ข้าจะฆ่าพวกมันให้เร็วที่สุด แล้วพาเจ้ากลับไปรักษาตัว”
“โฮร่ โฮร่ !!!”
“เนี๊ย”
ปีศาจขาวกับจั้นเย้ส่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน เห็นได้ชัดมากว่ามพวกมันไม่อยากอยู่เฉย ๆ แต่จะสู้ต่อไป !
ปีศาจขาวได้ชิงพลังขององค์หญิงปีศาจขาวา ความสามารถของมันเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอด เผชิญหน้ากับมารนิรยขาวกลุ่มเดียวกันของเซี่ยกว่างหาน ปีศาจขาวจะไม่แสดงท่าทีอ่อนแอกว่าแน่นอน ต่อให้มั่วเย้แปรเปลี่ยนตระกูลแล้ว ก็จะไม่ให้มันแย่งมารนิรยขาวกับเซี่ยกว่างหานแน่นอน!!
จั้นเย้ได้รับการรักษาจากเย้ชิงจือต่อเนื่อง พลังชีวิตคงที่ ความสามารถเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงแล้ว!
จักรพรรดิขั้นสูงห่างจากจักรพรรดิชั้นยอดถึงสองขั้น จั้นเย้อาศัยพลังชีวิตแข็งแกร่งของมัน สู้กับแมลงทองคำร้ายระดับจักรพรรดิชั้นยอดถึงที่สุด!
ชู่มู่เชื่อความสามารถของดวงวิญญาณตัวเองอยู่แล้ว ในตอนนี้ได้พยักหน้า พวกมันได้แยกตัวไปต่อสู้กับศัตรูที่พวกมันเพ่งเล็งไว้!
“ถ้าอย่างนั้นจะเหลือแค่สี่ตัว…”ชู่มู่กวาดตามองไปยังจักรพรรดิชั้นยอดอีกสี่ตัวของเซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้!
“อูอูอูอู!!!!”มั่วเย้ก้าวเท้าออก อัคคีแห่งโทษทั้งร้อนระอุอันงดงามปรากฏใต้เท้าทั้งสี่ พลังที่แข็งแกร่งพุ่งตรงไปยังดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิชั้นยอดทั้งสี่ของฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานอีกครั้ง !
จักรพรรดิชั้นยอดทั้งสามตัวของเซี่ยกว่างหานคือ มารนิรยขาว หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดและภูตพายุสลาย !
การตายของมั่วเย้ราชวงศ์ ทำให้ญาณหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ฉิงเย้ได้อัญเชิญดวงวิญญาณจักรพรรดิชั้นยอดออกมาเช่นกัน คือแมลงทองคำร้าย จักรพรรดิภูตวิญญาณที่ควบคุมอสูรนกสวนสงครามอยู่ และอสูรพายุน้ำแข็งที่มีความสามารถอยู่ระหว่างจักรพรรดิชั้นยอดกับเทียบเท่าราชันตัวหนึ่ง !
หลังจากที่ฉิงเย้อัญเชิญอสูรพายุน้ำแข็งออกมา ก็ถูกเงาแห่งความตายของอสูรนกสวนสงครามชนออกไป สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ชั่วขณะ
หลังจากเคลื่อนที่ใหม่ได้ อสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้ได้ทำการโจมตีไปยังอสูรนกสวนสงครามที่ถูกทักษะควบคุมเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง ทำให้อสูรนกสวนสงครามได้รับบาดเจ็บ !
“โฮร่ !!!”
อสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือไม่ได้แสดงท่าทียอมแพ้แต่อย่างใด ดวงตาแห่งความตายคู่นั้นของมันจับจ้องไปยังจักรพรรดิภูตวิญญาณมาตลอด พลังดุร้ายไม่ได้ลดลงไปเพราะบาดแผลบนตัวของมัน !
“ท่าทาง เหลือแค่สามตัวแล้ว” ชู่มู่ยิ้มมุมปาก อสูรนกสวนสงครามคิดจะสู้ต่อไปเช่นกัน อีกทั้งมีภูตวิญญาณตัวนั้นเป็นเป้าหมาย !
ฉิงเย้จับจ้องไปยังมั่วเย้ตลอด ทันใดนั้น ราวกับว่า ฉิงเย้พบเห็นบางอย่าง ใบหน้าที่เคร่งเครียดผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ที่แท้เป็นราชันที่ยังไม่ถึงลักษณะสิบตัวหนึ่ง !” ฉิงเย้บอก
ดวงวิญญาณราชันลักษณะเก้าขั้นกลาง ความสามารถของมันคงเทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอด อย่างไรก็ตาม จากลักษณะเก้าขั้นกลางถึงลักษณะสิบยังห่างกันสามขั้น !
ในตอนนี้ เซี่ยกว่างหานก็พบว่ามั่วเย้ของชู่มู่ยังไม่ถึงลักษณะสิบ ความสามารถของระดับราชันที่ยังไม่ถึงลักษณะสิบจะลดลงเกินครึ่ง ยิ่งกว่านั้น ฉิงเย้ยังมีอสูรพายุน้ำแข็งหมวดน้ำแข็งอีกตัวหนึ่งอยู่ !
อสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้ของฉิงเย้เป็นจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบแล้ว อีกทั้งห่างจากราชันแค่ขั้นเดียว ในภาวะที่มีหมวดปรปักษ์กัน บางทีอสูรพายุน้ำแข็งตัวเดียวก็จัดการดวงวิญญาณระดับราชันตัวนี้ได้แล้ว !
ฉิงเย้ร่ายคาถาขึ้น กลิ่นไอเย็นเยียบบางอย่างก่อตัวไปตามตัวเขาเป็นน้ำแข็ง ค่อย ๆ หล่อรวมบนตัวอสูรพายุน้ำแข็งตัวนั้น !
เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นทักษะวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งหมวดน้ำแข็งของฉิงเย้ น้ำแข็งที่ควบแน่น กลิ่นไอของอสูรพายน้ำแข็งเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้ความสามารถเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง !
ความสามารถของอสูรพายน้ำแข็งเพิ่มขึ้น บวกกับหมวดที่เป็นปรปักษ์กัน ฉิงเย้รู้สึกมีแรงขึ้นมาบ้าง
ออกโจมตีก่อน ฉิงเย้ได้ออกคำสั่งโจมตีให้อสูรพายุน้ำแข็งก่อน อสูรพายุน้ำแข็งที่มีความสามารถเข้าใกล้ระดับเทียบเท่าราชันส่งเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งหิมะ ร่างกายน้ำแข็งที่แข็งแกร่งนั้นก้าวเท้าออก พุ่งตรงไปยังมั่วเย้ !
มั่วเย้จับจ้องไปยังอสูรพายุน้ำแข็งที่พุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูงนี้อย่างเยือกเย็น ราวกับรู้ว่า อัคคีแห่งโทษของตัวเองจะถูกพลังหมวดน้ำแข็งนั้นจำกัดไว้ อัคคีแห่งโทษบนตัวมั่วเย้หมองคล้ำลงช้า ๆ !
อัคคีแห่งโทษหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อปราศจากการปกปิดของเปลวไฟ ร่างกายสีเงินของมั่วเย้ที่พลิ้วไหวตามสายลมทำให้อัคคีแห่งโทษโดดเด่นยิ่งขึ้น !
ทันใดนั้น อัคคีแห่งโทษได้ส่องประกายลึกลับขึ้น ลายเส้นแห่งโทษเหล่านี้ได้สลายไปอย่างช้า ๆ ทุกครั้งที่ลายเส้นแห่งโทษสลายไป กลิ่นไอลึกลับของมั่วเย้จะเพิ่มมากขึ้น !
ทันใดนั้น มั่วเย้หายไปจากที่เดิม ความเร็วของมันไวจนแทบมองไม่เห็นว่า มันพุ่งตัวออกไปตอนไหน !
“โซ โซ โซ โซ โซ !!!”
หลังจากผ่านไปสักพัก เงาของราชันอัคคีทั้งหกได้ปรากฏขึ้นกะทันหัน เงาร่างเหล่านี้ไม่ต่างจากร่างจริงของมั่วเย้มากเท่าไร อีกทั้งแม้แต่กลิ่นไอยังมีความคล้ายคลึงด้วย เหมือนมีราชันจิ้งจอกร้ายหกตัวปรากฏขึ้น !!!
พลังโจมตีของร่างแยกมั่วเย้แต่ละตัวจะมีความคล้ายกับร่างจริงของมั่วเย้ถึงร้อยละเจ็ดสิบ พลังร้อยละเจ็ดสิบนี้ก็มากถึงขั้นที่สิบแล้ว !
เท่ากับว่าการโจมตีนี้เป็นทักษะพลังขั้นสิบจำนวนหกอัน !!!
อัคคีแห่งโทษเป็นแค่หมวดรองของมั่วเย้ ความน่ากลัวที่แท้จริงของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้คือ พลังหมวดอสูรอันแข็งแกร่งของพวกมัน พลังของเล็บเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พื้นดินแยกจากกันได้ !
ร่างแยกทั้งหกโจมตีด้วยอัคคีแห่งโทษพร้อมกัน กรงเล็บอันลึกลับได้เกิดการเสียดสีกับอากาศ ราวกับว่าได้ทิ้งรอยสีแดงเข้มอันน่ากลัวไว้กลายอากาศ !!!
กรงเล็บสีแดงเข้มลายเส้นแห่งโทษนี้ได้สลายมิติแห่งนี้ อีกทั้งทำให้ผนึกทั้งหมดนี้เกิดรอยแยกอย่างชัดเจน ลายเส้นแห่งโทษสะดุดตานั้นได้ลากยาวจากตรงกลางของมิติผนึกแห่งนี้ไปยังปลายสุดของมิติ !!!
“ซัวะ ซัวะ ซัวะ!!!”
อสูรพายุน้ำแข็งพึ่งจะกระโดดขึ้น หลังจากที่กรงเล็บลายเส้นแห่งโทษอันดุร้ายนี้ปรากฏขึ้นในมิติแห่งนี้ อสูรพายุน้ำแข็งกลับตกลงจากกลางอากาศอย่างไร้สิ่งกีดขวาง !
แขนยักษ์ใหญ่ที่ราวกับค้อนน้ำแข็งยกขึ้นสูง อสูรพายุน้ำแข็งกำลังจะฟาดพลังน้ำแข็งนี้ลง
แต่ว่าอสูรพายุน้ำแข็งกลับไม่พบว่า ร่างหิมะสีขาวของมันมีรอยสีแดงเข้มอยู่ รอยสะดุดตานี้นอกจากแขนและหัวของมันแล้ว กลับกระจายไปทั่วทั้งร่างของมัน !
ถ้าอสูรพายุน้ำแข็งไม่ปล่อยพลังละก็ ร่างกายของมันจะไม่เกิดความผิดปกติ ทันทีที่ปล่อยพลังออกมา รอยลายเส้นแห่งโทษเหล่านี้จะกระจายออกอย่างน่ากลัวมากขึ้น ทำลายร่างกายของอสูรพายุน้ำแข็งอย่างบ้าคลั่ง !
ในที่สุด อสูรพายุน้ำแข็งยังคงฟาดแขนยักษ์ใหญ่ของมันลง แต่ว่าก่อนที่พลังน้ำแข็งนั้นจะตกลงมา ร่างกายของอสูรพายุน้ำแข็งกลับระเบิดออก !!!
“บึ้ง !!!”
ร่างกายที่เป็นก้อนน้ำแข็งของอสูรพายุน้ำแข็งกลายเป็นเศษนับไม่ถ้วนที่กระจายไปทั่ว ร่างกายของมันกลับอ่อนแอจนไม่สามารถทนต่อพลังที่ปล่อยออกจากตัวเองได้ !
“ทันทีที่พลังของลายเส้นแห่งโทษซึมเข้าส่วนในของร่างกาย จะทำให้ผิว กล้ามเนื้อ โครงกระดูกของมันสลายไป ! ถึงตอนนี้ จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดไม่ใช่ดวงวิญญาณที่ถูกผนึกอีกต่อไปแล้ว แต่สามารถนำพลังของลายเส้นแห่งโทษมาเป็นพลังของตัวเองได้ !” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้น
“ฮวา”
ร่างของอสูรพายุน้ำแข็งแตกสลายหมด วินาทีนั้น เห็นได้ชัดว่า ลายเส้นแห่งโทษที่ลึกลับไร้ระเบียบนั้นยังคงอยู่ที่นั่น ราวกับลายเส้นดอกไม้แห่งโทษ !
ลายเส้นดอกไม้แห่งโทษนี้มีกลีบทั้งหมดหกกลีบ เกิดจากรอยเล็บทั้งหกของร่างแยกทั้งหกอัน หลังจากลายเส้นแห่งโทษดอกไม้นี้หายไป อสูรพายุน้ำแข็งได้สูญเสียชีวิตอย่างสิ้นเชิง !
“ลึกลับมาก พลังที่น่ากลัวมาก !” เย้หวันเชิงที่อยู่ด้านข้างได้เห็นลายเส้นดอกไม้แห่งโทษนี้ปรากฏขึ้นและหายไป ขั้นตอนทั้งหมดนี้ลึกลับอย่างมาก อีกทั้งเขาแทบไม่รู้ว่า อสูรพายุน้ำแข็งถูกพลังอะไรของกรงเล็บจนแตกสลายไป หรือสลายไปเพราะพลังของลานเส้นแห่งโทษนี้ !
“นี่…นี่…” เซี่ยกว่างหานอึ้งมาก !
อย่างน้อยอสูรพายุน้ำแข็งก็เป็นดวงวิญญาณระดับเทียบเท่าราชัน ทำไมถึงทนต่อการโจมตีเดียวแบบนี้ไม่ได้ !
“ราชันขั้นต่ำ ! พลังของลายเส้นแห่งโทษทำให้พลังโจมตีของมันอยู่ในระดับราชันขั้นต่ำได้ !” ในที่สุด เซี่ยกว่างหานได้สติกลับมา !
ราชันขั้นต่ำ !
สำหรับพวกเขาแล้ว เทียบเท่าราชันยังยากที่จะจัดการได้ ตอนนี้มีราชันขั้นต่ำที่แข็งแกร่งกว่าเทียบเท่าราชันถึงสามเท่าปรากฏตัวขึ้น…
เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นดวงวิญญาณที่มีระดับตระกูลเป็นจักรพรรดิ ทำไมถึงก้าวข้ามจักรพรรดิได้ อีกทั้งมีพลังถึงระดับราชันขั้นต่ำ !
“อัคคีแห่งโทษกับลายเส้นแห่งโทษ จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเป็นการมีอยู่ที่เกินกว่าราชันตามตำนาน ต่อให้สิ่งมีชีวิตที่ผนึกไว้จะมีขั้นต่ำกว่า ถ้าอยู่ในระดับของมั่วเย้ก็ไร้เทียมทานอยู่ดี อสูรน้ำแข็งโง่เขลาแบบนั้นจะสู้กับจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดได้อย่างไร น่าสมเพชจริง !” ผู้เฒ่าหลีบอก
ผู้เฒ่าหลีแทบจะคลั่งไคล้จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดอย่างมาก น้อยครั้งที่จะเห็นเจ้าแก่นี่ชื่นชมดวงวิญญาณแบบนี้ตลอดเวลา !
ผนึกแห่งโทษ !
จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดได้สืบทอดพลังสองแบบจนถึงตอนนี้ และเป็นการบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่มันได้ผ่านตลอดมา การชำระบาปของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้ กำลังจะจบลงแล้ว !
สีหน้าของฉิงเย้แย่มาก ทว่า เขากลับไม่ถูกวิญญาณกลับกินพลัง !
“คิดจะฆ่าอสูรพายุน้ำแข็งของข้าง่ายดายขนาดนี้ เจ้าสิน่าสมเพช !” ฉิงเย้พูดอย่างเยือกเย็น จากท่าทีของเขาบอกได้ว่า สัญญาวิญญาณของเขากับอสูรพายุน้ำแข็งไม่ได้ขาดจากกัน เท่ากับว่า อสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้ยังไม่ตายลง !
“ตง ตง ตง ตง”
ทันใดนั้น ซากศพของอสูรพายุน้ำแข็งบนพื้นได้เกิดการสั่นสะเทือน ตามด้วยการเคลื่อนไหว ราวกับเศษน้ำแข็งเหล่านี้มีชีวิตบางอย่าง เริ่มรวมตัวไปยังบางที่ !
“ตง ตง ตง ตง ตง ตง”
ก้อนน้ำแข็งรวมตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มจากขาล่างอันแข็งแรงของอสูรพายน้ำแข็งก่อน ก้อนน้ำแข็งที่รวมตัวกลับเริ่มก่อเป็นลำตัวของอสูรพายุน้ำแข็ง !
ในเวลาสั้น ๆ นี้ ก้อนน้ำแข็งทั้งหมดได้หล่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว กลายเป็นอสูรพายุน้ำแข็งที่สมบูรณ์แบบตัวหนึ่ง !
อสูรพายุน้ำแข็งที่ถูกมั่วเย้ตีจนแตกสลายกลับฟื้นขึ้นแล้ว ต่อให้บนตัวจะมีรอยแยกมากเพียงใด แต่กลับมองดูเหมือนตอนแรก !
“อย่าคิดว่ามีแค่ดวงวิญญาณของเจ้าที่มีความสามารถพิเศษ ต่อให้อสูรพายุน้ำแข็งของข้าจะสลายไปกี่ครั้ง ก็จะรวมตัวกันได้ ความสามารถราชันอัคคีของเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ฆ่ามันไม่ได้ !” ฉิงเย้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง !
ชู่มู่ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่า อสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้จะมีความสามารถรวมตัวแบบนี้ได้ !
“นายท่าน นี่เป็นการฟื้นชีพของหมวดน้ำแข็ง โดยปกติจะเกิดกับดวงวิญญาณตระกูลธาตุหมวดน้ำแข็ง หมวดของอสูรพายุน้ำแข็งตัวนี้ผิดปกติอย่างมาก มิฉะนั้น จะไม่มีทักษะนี้แน่นอน !” ผู้เฒ่าหลีบอก
“บึ้ง !!!”
ระหว่างที่พูด มั่วเย้ได้โจมตีอีกครั้ง !
ครั้งนี้ มั่วเย้ได้ใช้หางลายเส้นแห่งโทษ พลังของหางนั้นเพียงพอที่จะผ่าภูเขาหินออกจากกันได้ และการกวาดล้างครั้งนี้ ราวกับมังกรเก้าตัวที่บินไปทั่ว ด้วยพลังแข็งแกร่งนี้ ทำให้มิติผนึกทั้งหมดนี้สั่นสะเทือนไปด้วย !
รวมตัวใหม่กี่ครั้งก็ได้ มั่วเย้ก็จะสลายมันตามนั้น จนกว่ามันจะกลายเป็นเศษซาก !!!
พลังของพายุสลาย เพียงพอที่จะฉีกสิ่งมีชีวิตที่มีการป้องกันต่ำกว่าขั้นสิบให้เป็นเศษได้
เย้หวันเชิงสวมแค่เกราะวิญญาณขั้นแปดเท่านั้น การป้องกันที่อาจถึงขั้นเก้านี้เมื่อเผชิญกับพายุสลายแบบนี้ต้องตายแน่นอน แม้แต่เขาเองที่หลังจากถูกม้วนเข้าไปในพายุสลายนี้ก็ล้มเลิกที่จะต่อต้านแล้ว
ทว่า ในตอนที่เขารู้สึกว่า ร่างตัวเองกำลังจะถูกฉีกออก มีบางสิ่งที่นุ่มนิ่มม้วนเขาเอาไว้ ปกป้องเขาไว้
พลังของพายุสลายไม่สามารถทำให้สิ่งนุ่มนิ่มนี้เสียหายได้ เย้หวันเชิงเองก็ไม่คิดว่า ตัวเองจะรอดไปได้อย่างประหลาด
และในตอนที่พลังสลายนี้ลดลงไป เย้หวันเชิงลืมตาขึ้น กลับเห็นภาพที่สะเทือนใจยิ่ง !
สิ่งมีชีวิตที่เหมือนมังกรยาวนุ่มนิ่มสีเงินตัวหนึ่งอยู่ตรงหน้า หางแต่ละเส้นมัดดวงวิญญาณแต่ละตัวเอาไว้ ปกป้องพวกมันไว้
แมลงดาบ หางอัคคี ราชันสายฟ้านรก ดวงวิญญาณทั้งสามตัวของเย้หวันเชิงถูกหางยาวนี้มัดเอาไว้ บนตัวพวกมันมีแค่บาดเจ็บเล็กน้อย กลับไม่ถูกพลังของแรงลมนี้ฉีกขาดโดยตรง !!!
ดวงวิญญาณสามตัวของเย้ชิงจือ วารีจันทรา ภูตไม้หมุน กระดิ่งแก้วตา เดิมพวกมันที่อ่อนแออยู่แล้วน่าจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยภายใต้ทักษะหมวดลมขั้นสิบนี้ ในตอนนี้ถูกขนสีเงินนุ่มนิ่มของสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งปกป้องเอาไว้เช่นกัน!
สิ่งมีชีวิตขนสีเงินนี้มีทั้งหมดเก้าตัว อีกทั้งยังมีอีกตัวหนึ่งรัดปีศาจจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตขององค์หญิงจิ่งโหลวเอาไว้ !
เท่ากับว่า สิ่งมีชีวิตสีเงินทั้งเก้างดงามนี้ได้ปกป้องคนและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเอาไว้ พายุสลายรุนแรงที่ฆ่าพวกเขาในเสี้ยววินาทีกลับไม่มีพลังทำลายล้างใด ๆ !!!
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น !” เย้หวันเชิงมองไปยังสิ่งนุ่มนิ่มนี้ด้วยความอึ้ง สัมผัสได้ว่า มีความคล้ายกับหางจิ้งจอก !
เย้ชิงชือลืมตาขึ้นเช่นกัน เธอยอมรับความตายแล้ว กลับไม่คิดว่าความเจ็บปวดไม่มาถึงสักที กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“ยังไม่ตายเหรอ” เย้ชิงจือพูดเสียงเบา
“ผนึกเปิดออกแล้ว !” ใบหน้าซีดขาวขององค์หญิงจิ่งโหลวมีรอยยิ้มเล็กน้อย
วินาทีที่พายุสลายมาถึง ผนึกถูกเปิดออก องค์หญิงจิ่งโหลวที่ไม่ถูกพายุสลายพัดพาไปได้เห็นเงารูปงามขี่สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งจนมองข้ามพลังของวายุสลายกระโดดเข้ามา !
แล้วปกป้องพี่น้องตระกูลเย้และดวงวิญญาณทั้งหมดอย่างสง่างาม !
“ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร มาที่นี่เท่ากับหาที่ตาย พวกเราจะทำให้สมปรารถนาเจ้า !!!” สีหน้าของเซี่ยกว่างหานแย่มาก เขาไม่คิดว่า ในตอนที่กำลังจะฆ่าล้างดวงวิญญาณพวกนี้ สมาชิกฝ่ายจัดการประลองได้มาถึงที่นี่แล้ว
ทว่า แม้เซี่ยกว่างหานจะหงุดหงิดมาก แต่กลับไม่เกรงกลัวใดๆ นอกจากจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสิบปรากฏตัว ด้วยความสามารถของพวกเขาในตอนนี้สามารถฆ่าสมาชิกฝ่ายจัดการประลองได้ !
ฉิงเย้เป็นคนที่ไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว ต่อให้เป็นสมาชิกฝ่ายจัดการประลองเขาก็กล้าที่จะฆ่า !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ในที่สุด ความขุ่นมัวของพายุสลายได้ลดลง เซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้ได้เห็นสักทีว่าสมาชิกฝ่ายจัดการประลองหาที่ตายคนนี้คือใคร
แล้แล้ว ในตอนที่พวกเขาเห็นใบหน้าของคนนี้ ม่านตาขยายมากขึ้น ใบหน้าตกใจอย่างยิ่ง !
“ชู่…ชู่มู่ !!! ชู่มู่ !!!”
เย้หวันเชิงเป็นคนที่อยู่ใกล้ชู่มู่มากที่สุด เขาร้องขึ้นก่อน!
เย้ชิงจือรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นชู่มู่ตั้งนานแล้ว เธอยากที่จะบรรยายความรู้สึกของเธอในตอนนี้ได้ ทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองไปยังแผ่นหลังสง่างามนั้น…
องค์หญิงจิ่งโหลวอ้าปากเล็กน้อย ทำท่าเหลือเชื่อออกมา !
ชู่มู่ยังมีชีวิตอยู่ !!!
ชู่มู่มีชีวิตรอดจากฝูงผู้เฝ้าหินจักรพรรดินับพันตัวได้แล้ว !!!
ไม่ว่าจะเป็นเย้ชิงจือ เย้หวันเชิง หรือองค์หญิงจิ่งโหลว วินาทีแรกที่พวกเขาเห็นชู่มู่ต่างคิดว่า นี่คือภาพลวงตา
แต่ว่าชู่มู่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้จริง ๆ มีชีวิตอยู่ตรงหน้าพวกเขา !
มองดูชู่มู่ที่มีชีวิตอยู่ตรง ทั้งสามคนดีใจอย่างมาก ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก !
“เนี๊ย”
ปีศาจขาวพบว่า เจ้าของตัวเองปรากฏตัว ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น ใช้เงาปีศาจ ลอยไปตรงหน้าชู่มู่อย่างรวดเร็ว
“โฮร่ โฮร่ !!!”
จั้นเย้เห็นชู่มู่ปรากฏตัว ความสามารถกลับเพิ่มขึ้นอีก บังคับให้แมลงทองคำร้ายถอยกลับไป กระโดดต่อเนื่อง ไปยังข้างกายชู่มู่
“พวกเจ้าทำดีมาก ต่อไปปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้ากับมั่วเย้เถอะ” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น
ตอนที่ชู่มู่พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา จั้นเย้กับปีศาจขาวพบว่า เปลวไฟบนตัวมั่วเย้ต่างจากเมื่อก่อนแล้ว กลิ่นไอรุนแรงนั้น ถ้าไม่ได้เป็นเพราะมั่วเย๋ลดเปลวไฟลง พวกมันคงยากที่จะเข้าใกล้ได้!
“ชู่มู่ มั่วเย๋ของเจ้า…”
ในตอนนี้ ในที่สุดทั้งสามคนถึงพบว่าดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งจนเพิกเฉยพลังของพายุสลายและปกป้องพวกเขาทั้งสามคนได้ คือมั่วเย๋ของชู่มู่
แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอเดิมของมั่วเย้ได้ !
อีกทั้งเมื่อเทียบกับมั่วเย้แล้ว ดวงวิญญาณที่ชู่มู่กำลังขี่อยู่ในตอนนี้ เต็มไปด้วยพลังและกลิ่นไอของราชัน แตกต่างจากจิ้งจอกอัคคีเก้าหางอย่างสิ้นเชิง !
ลำตัวที่เกิดจากการรวมตัวอันสมบูรณ์แบบของพลัง ความงดงาม ความลึกลับ แม้สีหลักจะเป็นสีเงิน แต่ลายเส้นแห่งโทษสีแดงเข้มอันงดงามที่ลากจากใบหน้าไปยังร่างกายจนเป็นหน้ากากอลังการ หางเก้าเส้นเปี่ยมพลังนี้ยิ่งทำให้ดูเหมือนโซ่ที่ล่ามนักโทษเอาไว้ เผยให้เห็นความชั่วร้าย ลึกลับ และอิสระของดวงวิญญาณตัวนี้ !
ถ้าบอกว่าจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงเป็นเชื้อราชวงศ์ละก็ ถ้าอย่างนั้นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดในตอนนี้เป็นราชันชั่วร้ายที่ทำให้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนจำนน เคารพนับถือยิ่ง !
“นี่…นี่เป็น…นี่เป็นมั่วเย้จริง ๆ เหรอ !” เย้หวันเชิงอึ้งมาก !
ดวงวิญญาณแบบนี้ แค่มองจากภายนอกก็รู้ได้ว่า แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เป็นราชันที่แท้จริง ยากที่จะคิดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างมันกับจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นกลางจริง ๆ
…
ในตอนนี้ หลังจากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของราชันจิ้งจอกอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ด เซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้อึ้งอย่างมาก !
จากพลังระดับจักรพรรดิและราชันแล้ว ดวงวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ทำให้จักรพรรดิชั้นยอดของพวกเขากลายเป็นแค่แมลง หกหู่อย่างมาก ไม่กล้าแม้แต่คิดจะสู้ตรงหน้า หลบอยู่ข้างพวกเขาด้วยความกลัว…
“เป็นไปได้อย่างไร !!! เป็นไปได้อย่างไร !!! เป็นไปได้อย่างไร !!!” ในที่สุด เซี่ยกว่างหานที่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นได้ร้องขึ้นทันที
ชู่มู่ยังมีชีวิตอยู่ ความจริงนี้ทำให้เซี่ยกว่างหานตื่นเต้นเช่นเดียวกับพวกเย้ชิงจือ !
และแล้ว ในตอนที่เซี่ยกว่างหานยังไม่ทันได้ตกใจ เรื่องที่ทำให้เขาแทบเป็นบ้าได้เกิดขึ้นแล้ว !!!
แปรเปลี่ยนตระกูล !!!
จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงได้แปรเปลี่ยนตระกูลในตอนนี้ !!!
การแปรเปลี่ยนตระกูลนับว่า เป็นการข้ามขั้นอย่างหนึ่ง!ระดับทาส ระดับแม่ทัพ ระดับผู้นำอาจไม่เผยให้เห็นความหมายที่แท้จริงของแปรเปลี่ยนตระกูล
แต่หลังจากระดับจักรพรรดิแล้ว การแปรเปลี่ยนตระกูลครั้งหนึ่งจะทำให้ความสามารถทวีคูณขึ้นสิบเท่า !!!
ถ้าแปรเปลี่ยนต่อไปละก็ อาจทวีคูณหลายสิบเท่า นั่นเป็นพลังที่ไร้ที่สิ้นสุด อีกทั้งเป็นดวงวิญญาณเหนือทุกสรรพสิ่ง !!!
“เซี่ยกว่างหาน นี่มันอะไรกัน !!!เ จ้าบอกว่าดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดของเขาจะไม่เกินกว่าจักรพรรดิขั้นสูงไม่ใช่เหรอ !!! แล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่คืออะไร ! หรือว่าเจ้านี่จะเป็นจักรพรรดิขั้นสูงเหรอ !!!” ฉิงเย้ร้องขึ้นอย่างบ้าคลั่งแล้ว !!!
ฉิงเย้จะไม่รู้สึกได้อย่างไร นี่เป็นกลิ่นไอระดับราชันที่ตีเข้าหน้าตัวเอง อีกทั้งทำให้ดวงวิญญาณทั้งหมดของเขาหวาดกลัว !
ฉิงเย้ชอบแย่งชิงดวงวิญญาณสมบูรณ์แบบของคนอื่น แต่เขาจะไม่มีความรู้แม้แต่น้อยได้อย่างไร เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าดวงวิญญาณระดับราชันตัวนี้ จักรพรรดิชั้นยอดของเขาได้กลายเป็นเศษขยะไปแล้ว !
ฉิงเย้ตะคอกไปยังเซี่ยกว่างหานแบบนี้ เซี่ยกว่างหานเองก็แทบจะเป็นบ้า เมื่อได้ยินฉิงเย้พูดข้างหูอย่างหงุดหงิดแบบนี้ ก็ได้โต้กลับด้วยความโกรธว่า “เจ้าตาบอดเหรอ หรือว่ามองไม่ออกว่า นี่เป็นการแปรเปลี่ยนตระกูล ! อย่ามาตะคอกข้า รีบหาวิธีจัดการดวงวิญญาณระดับราชันตัวนี้ ! มิฉะนั้น พวกเราจะตายกันหมด !!!”
“แปรเปลี่ยนตระกูล !!! เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร !!!” ฉิงเย้มึนงงทันที !
เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจว่า โอกาสในการแปรเปลี่ยนตระกูลต่ำว่าการเจอดวงวิญญาณระดับราชันในป่าอย่างมาก !
ลองคิดดูว่า ถ้าพาดวงวิญญาณระดับทาสตัวเล็กลักษณะหนึ่งถึงสองออกไปฝึกด้านนอก แล้วเจอกับดวงวิญญาณระดับราชันลักษณะสิบดุร้ายตัวหนึ่ง จะมีความรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกของฉิงเย้ก็เป็นแบบนั้นในตอนนี้ !
ส่วนเซี่ยกว่างหาน ถ้าจะให้บรรยายคงแย่กว่าฉิงเย้อีก นั่นเป็นความรู้สึกที่กำลังจะจับดวงวิญญาณระดับทาสมาทำสัญญาวิญญาณด้วย ในตอนที่กำลังจะสำเร็จลง ดวงวิญญาณระดับทาสตัวนี้ได้กลายเป็นระดับราชันลักษณะสิบที่แข็งแกร่งยิ่ง คำที่หยาบคายที่สุดก็ไม่อาจบรรยายอารมณ์แย่ที่สุดของเซี่ยกว่างหานในตอนนี้ได้ !
“ฮู ฮู ฮู ฮู”
พายุสลายที่ยังเหลืออยู่ได้พัดขนงดงามของมั่วเย้ ดวงตาของมั่วเย้จับจ้องไปยังเซี่ยกว่างหานที่มีใบหน้าซีดขาวราวกับยมทูต !
ต่อให้เซี่ยกว่างหานกลายเป็นเถ้าถ่าน มั่วเย้ก็จำเขาได้ !
ในตอนที่อยู่บ้านแห่งภูตวิญญาณ เขาใช้ปีศาจเถาวัลย์เวหามัดมั่วเย้เอาไว้ แล้วใช้ภาพลวงตายังคับมันเลิกสัญญากับชู่มู่ !
ในตอนนั้น มั่วเย้ที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองคาดหวังในพลังอย่างมาก มันไม่เคยหวังจะได้พลังแบบนั้นมาก่อน !
ในตอนนั้น ตอนที่ถูกมัดตายเอาไว้ มั่วเย้ได้ลองพยายามกระตุ้นพลังในสายเลือดของตัวเอง ให้ทำการแปรเปลี่ยนตระกูล
และแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ทำให้มันได้แปรเปลี่ยนที่เมืองเจี่ยครั้งหนึ่ง ต่อให้ตัวมันเองจะคาดหวังในพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ก็ไม่อาจทำการแปรเปลี่ยนตระกูลในเวลาอันสั้นนี้ได้ โดยเฉพาะในตอนที่พลังต่อสู้ก้าวข้ามจากระดับจักรพรรดิไปยังระดับราชัน !
วันนี้ พลังที่หวังไว้ได้มาถึงแล้ว ! และศัตรูที่คิดจะฆ่าล้างได้อยู่ตรงหน้าแล้ว !
ตอนนี้มีเพียงเลือดของเซี่ยกว่างหาน ถึงจะระงับความโกรธที่สั่งสมมาของมั่วเย้ในร่างราชันจิ้งจอกอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดนี้ได้ !
…
“ชู่มู่…พวกเขามีจักรพรรดิชั้นยอดหกตัว…” องค์หญิงจิ่งโหลวเตือนชู่มู่
“ต่อหน้าราชัน จักรพรรดิหกตัวของเขาก็เป็นแค่แมลง !” ชู่มู่พูดขึ้น !
ปีศาจขาวของชู่มู่ทำได้แค่ยื้อมารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานเป็นอย่างมาก
จั้นเย้ได้รับการรักษาของวารีจันทรา หลังจากไล่พลังมืดในตัวออก ทำการแตกหักงอกใหม่อีกครั้ง แม้ความสามารถจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ยังคงทำได้แค่รับมือกับการโจมตีของจักรพรรดิชั้นยอดได้แค่ตัวเดียว !
ดวงวิญญาณของเย้ชิงจือ องค์หญิงจิ่งโหลว เย้หวันเชิงที่เต็มไปด้วยบาดแผลรวมตัวกันแล้ว ถ้าจะจัดการหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดและแมลงทองคำร้ายตัวนั้น ในเวลาไม่กี่นาทีคงจะพ่ายแพ้อย่างอนาถมาก
และในตอนนี้ ฉิงเย้ได้อัญเชิญจักรพรรดิชั้นยอดอีกตัวหนึ่ง เซี่ยกว่างหานได้อัญเชิญจักรพรรดิชั้นยอดเช่นกัน จักรพรรดิชั้นยอดสองตัวนี้ใช้เวลาครึ่งนาทีก็ฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้แล้ว !!!
องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังเย้ชิงจือ เธอในตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ทำได้แค่ดูว่า เย้ชิงจือมีวิธียืดเวลาอันสั้นให้ทุกคนได้หรือไม่
“ชิงจือ ครั้งก่อนที่เมืองหลีเจ้าเคยใช้ไปแล้ว…” เย้หวันเชิงส่ายหัวไปยังเย้ชิงจือ เป็นการบอกให้เย้ชิงจืออย่าใช้ความสามารถนี้ง่ายดาย
เย้ชิงจือในตอนนี้ไม่สนอะไรแล้ว ตัดสินใจถอยไปด้านหลังดวงวิญญาณ เริ่มร่ายคาถาขึ้น !
เย้ชิงจือหลับตาลง เริ่มร่ายคาถาขึ้น และทุกครั้งที่เธอร่ายคาถาออกมา หัวใจของเธอจะเต้นรุนแรงขึ้น อสูรนกสวนสงครามที่มีวิญญาณเชื่อมต่อกับเธอเกิดใจเต้นเช่นเดียวกัน
ตอนที่เผชิญกับร้อยแม่ของตว้านซิงเหอในเมืองหลี เย้ชิงจือเคยใช้ทักษะนี้ อสูรนกสวนสงครามที่มีความสามารถอ่อนแอกว่าร้อยแม่มากได้เพิ่มความสามารถจนสู้กับมันได้ !
ตามที่เย้ชิงจือร่ายคาถา ขนสีดำค่อย ๆ สยายขึ้น อสูรนกสวนสงครามที่ให้ความรู้สึกเยือกเย็นนี้ได้เผยกลิ่นไอป่าเถื่อนออกมา กลิ่นไอนี้เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่หัวใจเต้น และการเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งเหมือนจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า !!!
เดิมขนของอสุรนกสวนสงครามเป็นแนวดิ่ง แต่ว่าตามหัวใจที่เต้นไปพร้อมกับวิญญาณ ขนสีดำของอสูรนกสวนสงครามกลับตั้งชันขึ้นทีละเส้น !!!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ในตอนที่ขนของมันตั้งชันขึ้น พลังสีดำบางอย่างได้ปกคลุมบนตัวมันราวกับวิญญาณลึกลับบางอย่าง!
วินาทีนี้ อสูรนกสวรสงครามไม่ใช่อสูรนกสวนสงครามธรรมดาแล้ว ภายใต้การปกคลุมของเงาแค้นสีดำลึกลับนั้น อสูรนกสวนสงครามได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตควบคุมความตายที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอความมืด !!!
เริ่มเพิ่มขึ้นจากลักษณะเก้าขั้นกลาง ด้วยทักษะพิเศษของเย้ชิงจือนี้ อสูรนกสวรสงครามได้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบโดยตรง !
กลิ่นไอความมืดนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่ามั่วเย้ราชวงศ์ตัวนั้นหลายเท่า อีกทั้งทำให้แมลงทองคำร้ายตัวนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ !!!
จักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบ !!!
นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมาก เย้ชิงจือปล่อยทักษะลึกลับนี้ออกมาอีกครั้ง !
“โฮร่ โฮร่ !!!”
อสูรนกสวนสงครามกลายเป็นเงาวิญญาณแห่งความตาย พุ่งตรงไปยังจักรพรรดิชั้นยอดที่ฉิงเย้อัญเชิญออกมาทันที !!!
“บึ้ง”
จักรพรรดิชั้นยอดตัวนี้เพิ่งถูกอัญเชิญออกมา ถูกอสูรนกสวนสงครามกระแทกอย่างแรง ปลิวออกไปทันที !
ความเร็วและพลังของอสูรนกสวนสงครามไวมาก เมื่อเทียบกับหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดของเซี่ยกว่างหานกลับรุนแรงและดุร้ายยิ่งกว่าอีก !
หลังจากทำให้จักรพรรดิชั้นยอดตัวนั้นปลิวออกไปแล้ว อสูรนกสวนสงครามได้ใช้ทักษะตัวอันแข็งแกร่งนั้น ปรากฏตรงหน้าแมลงทองคำร้ายอย่างรวดเร็ว !!!
กรงเล็บแห่งความตายเงื้อมขึ้น แสงสีดำเข้มข้นรวมที่แขนของอสูรนกสวนสงคราม ตะบบไปยังแมลงทองคำร้ายอย่างแรง !!!
แม้พลังป้องกันของแมลงทองคำร้ายจะน่ากลัวอย่างมาก แต่เมื่อเจอหมวดมืดของอสูรนกสวนสงคราม การป้องกันของมันกลับทนไม่ได้ กรงเล็บนี้ได้ทำให้เกราะของแมลงทองคำร้ายสลายทันที ทำให้พลังโจมตีอันน่ากลัวของมันลดลงมาก !
ฉิงเย้กับเซี่ยกว่างหานเห็นอสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือระเบิดความสามารถอันน่ากลัวแบบนี้ออกมา ทั้งสองคนต่างตกใจมาก !
ปีศาจขาวที่อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดก็จัดการยากมากแล้ว และตอนนี้ยังมีดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่อยู่ระหว่างจักรพรรดิชั้นยอดเทียบเท่าราชันอีก ถ้าไม่ใช้ความสามารถที่แท้จริง คงยากที่จะฆ่าสามคนนี้ได้
“ดวงวิญญาณที่ดุร้ายมาก!”องค์หญิงจิ่งโหลวเห็นความดุร้ายของอสูรนกสวนสงคราม ได้ฉีกยิ้มออกมา
เธอกวาดตามองไปยังเย้ชิงจือ คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ที่ทำให้เธอตกใจอย่างมากคือ เย้ชิงจือเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ ใบหน้าซีดขาวอย่างมาก !
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ !” องค์หญิงจิ่งโหลวตกใจอย่างมาก มองไปยังเย้ชิงจืออย่างเหลือเชื่อ
บริเวณลำคอซีดขาวของเย้ชิงจือ เหมือนมีสิ่งที่คล้ายกับเถาวัลย์สีดำกำลังคลานไปตามใบหน้าของเย้ชิงจือ !
ความจริง นั่นเป็นเส้นเลือดของเย้ชิงจือ !
ในตอนนี้ เส้นเลือดของเย้ชิงจือแปดเปื้อนด้วยสารสีดำบางอย่าง ราวกับต้องพิษร้ายแรง และด้วยผิวขาวผ่องใสราวกับหิมะของเธอทำให้เส้นเลือดสีดำนี้ปรากฏออกมาจากผิว ชัดเจนอย่างมาก กำลังทำลายร่างกายของเย้ชิงจืออย่างบ้าคลั่ง…
เย้หวันเชิงยืนอยู่ข้างเย้ชิงจือ สีหน้าแย่มากถึงที่สุด
เย้หวันเชิงรู้พลังนี้ของเย้ชิงจือเป็นอย่างดี ถ้าจะใช้พลังแข็งแกร่งนี้ก็ต้องแลกด้วยการตอบแทนมหาศาล และทันทีที่เลือดสีดำนี้เติมเต็มเส้นเลือดทั้งหมดของเย้ชิงจือ เธอจะตายไป !
องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังท่าทีของเย้ชิงจือ เกิดความสะเทือนใจอย่างยิ่ง เธอในตอนนี้ถึงได้สติกลับมา ทำไมก่อนหน้านี้เย้ชิงจือถึงบอกว่า “ให้พวกเจ้ามีชีวิตรอด” แต่ไม่ได้รวมถึงตัวเอง !
พลังแบบนี้ กำลังทำลายชีวิตของตัวเอง !
“ผู้หญิงคนนี้เป็นนักวิญญาณ นี่เป็นคาถาลับทำลายชีวิตตัวเธอเองแน่นอน !” เซี่ยกว่างหานบอก
“แล้วจะทำไม ภูตวิญญาณของข้าจะควบคุมมัน ให้ภูตพายุสลายของเจ้าจัดการพวกเขา ข้าทนขยะพวกนี้ไม่ไหวแล้ว !” ฉิงเย้บอก
ระหว่างที่พูด ภูตวิญญาณของฉิงเย้พุ่งตัวออกอย่างลึกลับ ดวงตาที่ส่องประกายสีดำจับจ้องไปยังอสูรนกสวนสงคราม !
อสูรนกสวนสงครามสังเกตเห็นความสามารถจิตอันแข็งแกร่งของภูตวิญญาณทันที อาศัยควาสามารถต่อสู้คล่องแคล่วของตัวเอง หลบการโจมตีและหลีกเลี่ยงการสบตากับภูตวิญญาณตัวนี้ !
อสูรนกสวนสงครามเป็นดวงวิญญาณหมวดอสูร เพิ่มความสามารถด้วยทักษะของเย้ชิงจือ ถ้าถูกภูตวิญญาณควบคุมไว้ได้ละก็ พลังทั้งหมดของมันจะเสียเปล่าทันที!!
ดวงวิญญาณตัวที่สมที่เซี่ยกว่างหานอัญเชิญออกมาคือภูตพายุสลายตัวหนึ่ง !
พายุสลายเป็นผลึกธาตุขั้นที่สี่ ภูตพายุสลายนี้เป็นดวงวิญญาณธาตุลมจักรพรรดิที่สูงกว่าภูตพายุฤดูถึงขั้นหนึ่ง!
ภูตพายุสลายตัวนี้ของเซี่ยกว่างหานถูกเพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอด เดิมพลังทำลายล้างของดวงวิญญาณหมวดลมก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว พื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่ง ถ้าไม่ถูกควบคุมไว้ละก็ หลังจากทักษะหนึ่งผ่านไป จะทำให้ผู้คนได้รับบาดเจ็บถึงชีวิตได้ !!!
ในตอนนี้ ไม่มีดวงวิญญาณตัวใดต้านทานภูตพายุสลายของเซี่ยกว่างหานได้
ร่ายคาถาหมวดลมขึ้น พายุสลายวนอยู่บนตัวภูตพายุสลายตัวนี้ กลายเป็นพลังสีเงินเทาเข้มข้นอย่างหนึ่ง ทำให้ในผนึกนี้เกิดความกดอากาศลึกลับ !
อากาศถูกพัดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ตามการเตรียมทักษะหมวดลมนี้ ทำให้ทุกคนหายใจลำบากขึ้น !
เห็นได้ชัดมาก ภูตพายุสลายกำลังเตรียมทักษะหมวดลมขั้นสิบ !
ทันทีที่พัดพาขึ้น ดวงวิญญาณของทั้งสามคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจะตายแน่นอน !
“ไปตายให้หมด !” เซี่ยกว่างหานพูดอย่างโหดเหี้ยม
ในที่สุด ภูตพายุสลายยังคงร่ายคาถาสำเร็จแล้ว ลมที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างก่อตัวขึ้นในมิติผนึกนี้แทบทั้งหมด ผู้คนสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอความตายที่กระจาย !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!!”
พายุสลายสีเงินราวกับอสูรคลั่งสีดำ ลำตัวขนาดใหญ่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง !!!
แรงลมที่รุนแรงนี้ยากที่จะต้านทานได้ ในไม่ช้า ดวงวิญญาณของเย้หวันเชิงและองค์หญิงจิ่งโหลวถูกม้วนเข้าไป และด้วยพลังป้องกันดวงวิญญาณของพวกเขา เกรงว่าอีกไม่กี่วินาที จะถูกพายุนี้ฉีกเป็นเศษ !!!
เย้หวันเชิงโอบเย้ชิงจือที่อ่อนแอถึงที่สุดเอาไว้ สีหน้าของเขาในตอนนี้ซีดขาวอย่างมากเช่นกัน บางทีเขาก็รู้ว่าแบบนี้แทบไม่สามารถป้องกันเย้ชิงจือให้มีชีวิตรอดจากพลังของวายุสลายนี้ได้ แต่ว่า ในฐานะพี่ชาย ต่อให้มีความหวังเล็กน้อย เย้หวันเชิงก็จะปกป้องน้องสาวของตัวเองเอาไว้
“พี่…” เย้ชิงจือไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“พี่ชายอย่างข้าใช้ไม่ได้มากขึ้นทุกวัน ครั้งนี้ถ้ารอดไปได้ ข้าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าอีก ! ใครก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้ !!!”เย้หวันเชิงกัดฟันพูด
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่พูดจบ ร่างของเย้หวันเชิงถูกพลังของวายุสลายกระชากออกไป หายไปจากสายตาของเย้ชิงจือทันที
เย้ชิงจือแทบไม่สามารถคว้าเย้หวันเชิงเอาไว้ได้ มองไปยังแมลงดาบของเย้หวันเชิงที่บังพลังลมให้ตัวเองอย่างดื้อดัน เย้ชิงจือรู้สึกเหมือนมีดาบนับล้านกำลังทิ่มแทงหัวใจของตัวเอง…
ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร ยังคงไม่สามารถต้านทานดวงวิญญาณของสองคนนี้ได้ ความสามารถของเซี่ยกว่างหานกับฉิงเย้แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากไป !
ในตอนนี้ เย้ชิงจือที่ชีวิตกำลังลดลงรู้สึกหมดแรง หลับตาลงพร้อมกับความเสียดาย ยอมรับการมาถึงของความตาย
…
มองดูทั้งสามคนนี้และดวงวิญญาณของพวกเขาที่ถูกพายุสลายปกคลุมไว้ ฉิงเย้ได้เผยสีหน้าเยือกเย็นออกมา
สำหรับฉิงเย้แล้ว การตายของคนเหล่านี้ไม่พอที่จะชดเชยมั่วเย้ราชวงศ์ของเขา ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาตายไป ฉิงเย้จะทำร้ายพวกเขาอีก !!!
เซี่ยกว่างหานยืนอยู่ข้างภูตพายุสลาย ต่อให้คนทั้งหมดนี้ตายไป ความแค้นในใจของเขายังอยู่ อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ไม่อยู่ในนี้ โดยเฉพาะจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงตัวนั้น ได้ตายไปในกองทัพผู้เฝ้าหิน ทำให้เซี่ยกว่างหานเจ็บใจอย่างมาก
“อย่าฆ่ามารนิรยขาวไปด้วย มิฉะนั้น พวกเราจะเสียหายอย่างมาก !” ฉิงเย้เห็นมารนิรยขาวกับหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดของเซี่ยกว่างหานเริ่มควบคุมปีศาจขาวของชู่มู่ได้แล้ว รีบเตือนเซี่ยกว่างหาน
“การตายของพวกเขา เป็นแค่ที่ระบายอารมณ์เท่านั้น ! ข้าจะไม่ฆ่ามารนิรยขาว !” เซี่ยกว่างหานพูดอย่างเยือกเย็น
ทักษะของภูตพายุสลายเซี่ยกว่างหานเล็งไปยังเย้ชิงจือกับเย้หวันเชิง เห็นได้ชัดว่า องค์หญิงจิ่งโหลวได้รับการโจมตีที่อ่อนกว่า เซี่ยกว่างหานต้องพาองค์หญิงจิ่งโหลวไปให้คุณท่านหญิงด้วย ดังนั้น องค์หญิงจิ่งโหลวห้ามตาย
ส่วนการตายของเย้ชิงจือกับเย้หวันเชิงไม่สำคัญอยู่แล้ว เซี่ยกว่างหานฆ่าพวกเขาได้โดยไม่กะพริบตา !
…
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ให้ความตายของพวกเจ้า เป็นที่ระบายอารมณ์ของข้าเหมือนกัน !!!”
ทันใดนั้น เสียงที่เยือกเย็นราวกับปีศาจดังขึ้นท่ามกลางพายุสลายขุ่นมัวนี้ ดังขึ้นในหูของเซี่ยกว่างหานและฉิงเย้ !!!
เซี่นกว่างหานอึ้งเล็กน้อย พบว่าท่ามกลางพายุสลายที่เบาลงช้า ๆ นี้ มีเงาบ้าคลั่งปรากฏในนั้น !
ที่น่าตกใจที่สุดคือ เงานี้มีหางเก้าเส้น ราวกับมังกรทั้งเก้า กางออกอย่างทรงพลัง !!!
“ฉิงเย้ เซี่ยกว่างหาน วันตายของพวกเจ้ามาถึงแล้ว !!!” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เต็มไปด้วยความอาฆาต ดุร้ายถึงที่สุด !!!
บนแท่นบูชาอสูรเลือด
ชู่มู่ในตอนนี้ใจร้อนอย่างมาก เพราะเขาไม่คิดว่า หลังจากผนึกปิดลง จะต้องใช้ความสามารถคลายผนึกของมั่วเย้เพื่อเปิดออก กลับต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง
ชู่มู่รู้ความสามารถของฉิงเย้และเซี่ยกว่างหานพอควร คาดว่าทั้งสองคนนี้จะต้องมีดวงวิญญาณจักรพรรดิชั้นยอดแน่นอน อีกทั้งไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แม้จั้นเย้กับมารนิรยขาวของเขาจะผนึกอยู่ในนี้ แต่เมื่อเทียบกับดวงวิญญาณจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว เห็นได้ชัดว่าความสามารถยังห่างกันมาก !
ถ้าพวกเขาเกิดอุบัติเหตุขึ้น ชู่มู่จะสลายวิญญาณของสองคนนั้นไปด้วย !!!
“ผู้เฒ่าหลี ผนึกนี้ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรถึงจะเปิดออกได้ !” ชู่มู่ถามอย่างใจร้อน
“เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นผนึกคู่ ผนึกที่มีอสูรเลือดนี้มั่นคงอย่างมาก โดยปกติแล้ว ด้วยพลังของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด แค่การโจมตีเดียวก็ทำให้ผนึกจักพรรดิขั้นสูงนี้เปิดออกได้…ตามความแข็งแรงของผนึกนี้แล้ว น่าจะต้องใช้เวลาสองนาที” ผู้เฒ่าหลีบอก
“สองนาที…พวกเจ้าต้องทนให้ได้ !!!” ชู่มู่คิดในใจ
…
ในผนึก
องค์หญิงจิ่งโหลวร่ายคาถาขึ้น ใช้ร่ายวิญญาณของตัวเองปลุกพลังของมารนิรยขาวที่หลับใหลอยู่
องค์หญิงจิ่งโหลวเลี้ยงดูมารนิรยขาวตัวนี้ของเธอตั้งแต่ลักษณะหนึ่งขั้นหนึ่ง แม้มารนิรยขาวตัวนี้กินไม่มาก แต่ในตอนหลังลักษณะขั้นของมันเพิ่มขึ้นช้ามาก
ปกติแล้ว จากเวลาที่องค์หญิงจิ่งโหลวเลี้ยงมารนิรยขาวตัวนี้ ตอนนี้มันควรจะอยู่ในลักษณะสิบแล้ว ตอนนี้อยู่แค่ลักษณะเก้าขั้นสูง นี่เป็นเพราะมารนิรยขาวตัวนี้ขององค์หญิงจิ่งโหลวได้นำพลังส่วนหนึ่งให้กลายเป็นภาวะหลับใหล !
ดวงวิญญาณที่หลับใหลเป็นดวงวิญญาณพิเศษชนิดหนึ่ง การหลับใหลนี้ไม่มีการแบ่งกลุ่ม เท่ากับว่าอาจเกิดได้กับสิ่งมีชีวิตทุกตัว
จุดเด่นของดวงวิญญาณที่หลับใหลคือ ความเร็วในการเติบโตตอนท้ายของมันจะช้ามาก และแล้ว ต่อให้เป็นแบบนี้ยังคงมีผู้คุมดวงวิญญาณมากมายมองว่าดวงวิญญาณหลับใหลแบบนี้เป็นสมบัติชิ้นดี
การเติบโตที่เชื่องช้าไม่ได้แปลว่าไม่เติบโต และหากดวงวิญญาณเติบโตถึงลักษณะสิบ พลังที่หลับใหลจะตื่นขึ้นทั้งหมด ความสามารถจะเพิ่มขึ้นมหาศาล
และต่อให้ยังไม่ถึงลักษณะสิบ สิ่งมีชีวิตนี้ก็ทำการปลุกพลังได้ชั่วคราว ซึ่งต้องแลกกับการไม่เติบโตในตลอดสามเดือนหลังจากนี้…
เดิมไฟปีศาจบนตัวองค์หญิงปีศาจขาวที่หมองคล้ำลงแล้ว เป็นเพราะถูกหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดจักรพรรดิชั้นยอดตัวนั้นโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ
หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดจักรพรรดิชั้นยอดนี้มีความสามารถสูงกว่าองค์หญิงปีศาจขาวถึงห้าขั้น เกราะวิญญาณขั้นเก้าราคาแพงทำการป้องกันให้ได้บ้าง ทำให้ความสามารถที่ห่างกันลดเหลือแค่สองขั้น
แต่ถ้าองค์หญิงปีศาจขาวถูกหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดโจมตีซึ่งหน้าอีกครั้ง องค์หญิงปีศาจขาวจะตายแน่นอน !
…
“ฆ่ามัน !” เซี่ยกว่างหานออกคำสั่งไปยังมารนิรยขาวของเขา
มารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานสู้กับปีศาจขาวเป็นเวลานานแล้ว มารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานเป็นจักรพรรดิชั้นยอด ความสามารถแข็งแกร่งกว่าปีศาจขาวถึงสองขั้น
จากมุมมองของเซี่ยกว่างหาย การต่อสู้นี้ควรจบลงตั้งนานแล้ว กลับไม่คิดว่ามารนิรยขาวตัวนี้ของชู่มู่จะทนถึงตอนนี้ได้ !
มารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานลอยไปตรงหน้าปีศาจขาว มือที่มีไฟปีศาจเก้าวิญญาณคว้าหัวของปีศาจขาวเอาไว้ !
“บึ้ง !!! ”
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลางระเบิดออกในฝ่ามือของมารนิรยขาวเซี่ยกว่างหานทันที ปีศาจขาวปลิวออกไป เห็นได้ชัดว่า ใบหน้าที่เหมือนปรอทของปีศาจขาวนั้นถูกระเบิดออกไปเกินครึ่ง !
ไฟปีศาจบนตัวปีศาจขาวดับลงมากขึ้นทันที มันนอนอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด เนตรลับที่แทบจะถลนออกมาคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธเคืองถึงที่สุด !
“ข้าเป็นผู้มอบชีวิตให้เจ้า ในตอนนั้น ข้าจะให้เจ้าตาย เจ้าจำต้องตาย ข้าให้เจ้ามีชีวิตรอดมาได้ เจ้าควรจะสำนึกบุญคุณของข้า!ตอนนี้ ข้าจะให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย !!!” เซี่ยกว่างหานพูดอย่างดุร้าย
ประโยคนี้ของเซี่ยกว่างหานไม่ได้พูดกับปีศาจขาวอย่างเดียว เขาหมายถึงชู่มู่ด้วย
ในตอนนั้น เซี่ยกว่างหานแค่มีความคิดบางอย่าง ชู่มู่กับมารนิรยขาวก็ต้องตายทั้งคู่ และในตอนนี้ จุดจบของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ !
“เนี๊ย !!!”
มุมปากของปีศาจขาวฉีกขาด มันยังคงส่งเสียงร้องด้วยความโกรธ พยายามดันตัวขึ้น
ในบรรดาดวงวิญญาณทั้งหมด ปีศาจขาวอยู่กับชู่มู่นานที่สุด เช่นเดียวกับตอนที่ชู่มู่ออกจากการควบคุมของเซี่ยกว่างหาน ปีศาจขาวเองได้ออกจากเงื้อมมือของมนุษย์ที่กำหนดชะตากรรมของมันไปด้วย
มันในตอนนั้นอ่อนแออย่างมาก ตอนนี้ได้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว ปีศาจขาวที่ดื้อดันจะไม่จำนนแบบนี้แน่นอน !!!
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
และในตอนนี้ พลังหลับใหลขององค์หญิงปีศาจขาวที่อยู่ไม่ไกลออกไปกำลังฟื้นขึ้น พลังของไฟปีศาจวิญญาณที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสได้ถึงความสามารถขององค์หญิงปีศาจขาวที่กำลังเพิ่มขึ้น !
“เนี๊ย !!!”
ปีศาจขาวกวาดตามองไปยังองค์หญิงปีศาจขาว กลับส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น !!!
เงาปีศาจสลับตำแหน่ง !!!
ปีศาจขาวที่ได้รับบาดเจ็บปล่อยทักษะหลบซ่อนออกมากะทันหัน ลอบไปตรงหน้าองค์หญิงปีศาจขาวที่กำลังเพิ่มความสามารถอย่างลึกลับ
“ปีศาจขาว เจ้าจะทำอะไร !” องค์หญิงจิ่งโหลวอึ้งเล็กน้อย เธอนึกขึ้นทันที ปีศาจขาวตัวนี้ของชู่มู่อาจคิดจะกลืนกินมารนิรยขาวของตัวเองเพื่อเพิ่มความสามารถให้ตัวมันเอง !!!
ตอนที่ปีศาจขาว “อัปมงคล” ตัวนี้ลอยไปตรงหน้าศัตรูฉกาจ มันจะกลืนกินแม้แต่วิญญาณของเจ้าของมันเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มอื่น ดังนั้น ตอนที่เห็นปีศาจขาวลอยไปด้านหลังองค์หญิงปีศาจขาว องค์หญิงจิ่งโหลวเผยความตกใจออกมาทันที
แม้วิธีนี้จะทำให้ความสามารถของปีศาจขาวเพิ่มขึ้นได้ ทำให้ผู้คนมีโอกาสรอดมากขึ้น แต่หลังจากที่องค์หญิงปีศาจขาวหลับใหลฟื้นขึ้นมา อาจอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงเข้าใกล้จักรพรรดิชั้นยอด…
ในภาวะที่เพิ่มความสามารถได้เช่นกัน องค์หญิงจิ่งโหลวจะปล่อยให้องค์หญิงปีศาจขาวของตัวเองถูกกลืนกินได้อย่างไร อย่างไรมันกับปีศาจจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตเป็นดวงวิญญาณที่ตัวเองเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก
“เนี๊ย !!!”
ปีศาจขาวไม่สนใจเสียงร้องขององค์หญิงจิ่งโหลว มันยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงปีศาจขาว มือหนึ่งคว้าไปที่หัวขององค์หญิงปีศาจขาว…
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
พลังขององค์หญิงปีศาจขาวฟื้นขึ้น เดิมไฟปีศาจบนตัวลุกโชนรุนแรงขึ้น และแล้วในตอนที่ปีศาจขาววางมือบนหัวของของมัน พลังที่ฟื้นขึ้นมาเหมือนจะเข้าไปในร่างของปีศาจขาวผ่านมือนี้ !
ส่วนไฟปีศาจที่หมองคล้ำของปีศาจขาวในตอนแรกกลับพุ่งขึ้นทันที รุนแรงยิ่งขึ้น !!!
“การแย่งชิงพลัง !!!” องค์หญิงจิ่งโหลวเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที !
การแย่งชิงพลัง นี่เป็นความสามารถที่กลุ่มมารนิรยขั้นสูงถึงจะมี!ทำไมถึงเกิดกับมารนิรยขาวตัวหนึ่งได้ !!!
หลังจากดูดพลังที่ฟื้นขึ้นมาขององค์หญิงปีศาจขาว สีของไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นต่ำของปีศาจขาวเข้มขึ้น อยู่ในระดับไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลาง !!!
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลาง!!เท่ากับว่าปีศาจขาวในตอนนี้อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดเช่นกัน ความสามารถเทียบเท่ากับมารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหาน !
หลังจากที่เซี่ยกว่างหานเห็นฉากนี้ก็นิ่งอึ้งเช่นกัน ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้สติกลับมา “เป็นไปได้อย่างไร !!!”
“เนี๊ย !!! เนี๊ย !!!”
หลังจากได้พลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ปีศาจขาวบ้าคลั่งขึ้นมาก มันเหวี่ยงองค์หญิงปีศาจขาวที่อ่อนแอยิ่งไว้ด้านหลังองค์หญิงจิ่งโหลว พัดพาไฟปีศาจเก้าวิญญาณ พุ่งตรงไปยังมารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานอีกครั้ง !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!!”
ปีศาจขาวบ้าคลั่งอย่างมาก วิธีการโจมตียิ่งไม่เป็นระเบียบ ! ไฟปีศาจเก้าวิญญาณปะทะเข้ากับไฟปีศาจเก้าวิญญาณ ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด ปีศาจขาวก็ไม่สนใจ ราวกับมีพลังที่ไม่มีวันสิ้นไป ทำการโจมตีไปยังมารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานอย่างต่อเนื่อง !
ในด้านพลัง มารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานก็ด้อยกว่ามากแล้ว ในไม่ช้า ไฟปีศาจของมันถูกปีศาจขาวตัวนี้ทับถม เซี่ยกว่างหานที่เต็มไปด้วยความตกใจจำต้องเรียกหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดกลับมา ให้หมาป่าพิฆาตกระหายเลืดทำการรับมือกับปีศาจขาว !
“เนี๊ย !!!”
ความแค้นในร่างของปีศาจขาวอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว กลายเป็นพลังถาถมเข้ามาในร่างของปีศาจขาว ไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลางของปีศาจขาวลุกโชนขึ้นอีกครั้ง กลับทำให้หมาป่าพิฆาตกระหายเลือดไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว !!!
หลังจากทำให้หมาป่าพิฆาตถอยไป ดวงตาลึกลับคู่นั้นของปีศาจขาวเล็งไปยังเซี่ยกว่างหานทันที !
หลังจากใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งถึงสองครั้ง ปีศาจขาวได้ปรากฎตรงหน้าเซี่ยกว่างหานทันที ไฟปีศาจขั้นกลางบนตัวนั้นเต็มไปด้วยความโกรธของปีศาจขาว พัดไปยังร่างของเซี่ยกว่างหาน !!!
เซี่ยกว่างหานกลัวจนหน้าซีด ถอยกลับไปด้วยความรุกรน ให้มารนิรยขาวของมันมาปกป้องพร้อมกัน !!!
มารนิรยขาวของเซี่ยกว่างหานใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งลอยมาเช่นกัน บังอยู่ตรงหน้าเซี่ยกว่างหาน บังคับให้ไฟปีศาจเก้าวิญญาณของปีศาจขาวลดลง
เซี่ยกว่างหานถอยหลังต่อเนื่อง ไม่กล้าดูถูกปีศาจขาวอย่างอวดดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อกี้อีกนิดเดียว เขาจะตกอยู่ในไฟปีศาจอันน่ากลัวนั้นแล้ว เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า สถานการณ์ที่ควรจะอยู่ในการควบคุม จะเกิดการผลิกผันแบบนี้!
“ฉิงเย้ อย่าเก็บแรง ฆ่าพวกเขาให้หมด !!!” เดิมเซี่ยกว่างหานก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแล้ว ตอนนี้ถูกปีศาจขาวไล่ต้อน ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น
เขาไม่มีความอดทนที่จะเสียเวลากับดวงวิญญาณขยะเหล่านี้แล้ว !!!
ร่ายคาถาขึ้น เซี่ยกว่างหานได้อัญเชิญดวงวิญญาณหลักของเขาอีกครั้ง !!!
วิญญาณของเซี่ยกว่างหานยังไม่หายดี เขามีแค่สามญาณ และเขาในตอนนี้มีแค่ดวงวิญญาณหลักที่เขาถนัดที่สุดจากเมื่อก่อนแค่สามตัว ล้วนอยู่ในระดับเข้าใกล้จักรพรรดิชั้นยอด!
ทันทีที่อัญเชิญทั้งสามตัวออกมา จะฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย !!!
เซี่ยกว่างหานเองก็ไม่ชอบเรื่องให้ใหญ่โต แต่ครั้งนี้เขาโกรธจริง ๆ !!!
ฉิงเย้เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง หลังจากมั่วเย้ราชวงศ์ตายลง ฉิงเย้ได้ทำการอัญเชิญ !!!
“พวกเขาจะอัญเชิญดวงวิญญาณทั้งหมดแล้ว !” เสียงของเย้หวันเชิงทุ้มต่ำมาก
สถานการณ์ในตอนนี้ ทั้งสามคนทนได้อีกแค่ไม่กี่นาที ทันทีที่พวกเขาอัญเชิญดวงวิญญาณทั้งหมดออกมา หลังจบการโจมตีครั้งแรก พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ! แทบทนไม่ถึงตอนที่คลายผนึก !
“ฉิงเย้ ฆ่ามันให้ตาย อย่าให้มันมีโอกาสเพิ่มความสามารถอีก !” เซี่ยกว่างหานสังเกตเห็นจั้นเย้ที่กำลังเพิ่มความสามารถ
เซี่ยกว่างหานเป็นคนที่ระมัดระวังอย่างมาก เขาไม่ชอบให้ศัตรูมีโอกาสพักหายใจ ส่วนเซี่ยกว่างหานในตอนนี้ได้อัญเชิญดวงวิญญาณออกมาสองตัวแล้ว ตัวหนึ่งคือ มารนิรยขาวระดับจักรพรรดิชั้นยอด อีกตัวหนึ่งเป็นหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดระดับจักรพรรดิชั้นยอด
“ตกใจอะไรกัน” ฉิงเย้ไม่แยแส เขากวาดตามองไปยังมั่วเย้ราชวงศ์ของตัวเอง แล้วมองไปยังจั้นเย้ที่มีพลังต่อสู้ดื้อดัน พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นว่า “ลองได้เห็นพลังที่แท้จริงของมั่วเย้ราชวงศ์เถอะ ให้เจ้ารู้ว่าใครคือราชาที่แท้จริง !”
หลังจากพูดจบ กลิ่นไอความมืดบนตัวมั่วเย้ราชวงศ์เข้มข้นมากขึ้น ลำตัวสีดำทั้งหมดราวกับจมอยู่ในพลังความมืดนี้ !
ทันใดนั้น มั่วเย้ราชวงศ์ได้หายไป มีเพียงกลิ่นไอความมืดเข้มข้นนั้นที่กลายเป็นค้อนสีดำด้ามหนึ่ง เล็งไปยังมั่วเย้
“แตกหักงอกใหม่ไม่ใช่ทักษะเกิดใหม่ ทันทีที่อยู่ในภาวะใกล้ตาย ร่างกายที่อ่อนแอยิ่งก็ไม่อาจฟื้นกลับมาได้…”
ฉิงเย้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “วางใจได้ ข้าจะไม่ให้เจ้าตาย แต่จะให้เจ้าตกอยู่ในภาวะใกล้ตาย ให้เจ้าสัมผัสพลังที่แท้จริงของมั่วเย้ !”
ระหว่างที่ฉิงเย้พูด ค้อนที่เกิดจากพลังสีดำนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แทบจะถึงด้านบนสุดของผนึก !
“โฮร่ โฮร่ !!!”
มั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ส่งเสียงคำรามขึ้น ทันใดนั้น ค้อนสีดำยักษ์ใหญ่นี้ได้ผ่าลงจากด้านบนอย่างน่ากลัว ประกายสีดำแห่งความตายสาดส่องบนค้อนนี้ แทบจะผ่ามิตินี้ออก !!!
พลังนี้รุนแรงอย่างมาก ปีศาจเสือลายที่เต็มไปด้วยบาดแผลด้านข้างแทบจะถูกพลังสีดำของค้อนนี้ผ่าเป็นสองท่อน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเย้หวันเชิงเก็บปีศาจเสือลายกลับมาได้ทันเวลา เกรงว่าปีศาจเสือปีกจะถูกค้อนนี้ตัดเป็นเศษแล้ว !
ส่วนตรงกลางของพลังนี้ จำต้องทนต่อพลังที่มากกว่าปีศาจเสือลาย ในตอนนี้ลายเส้นปีศาจบนเกราะอสูรของจั้นเย้ส่องประกายขึ้น รวมไว้บนกรงเล็บของจั้นเย้ !
จั้นเย้ไม่ได้ทำการป้องกันใด ๆ !
ตอนที่มั่วเย้กลุ่มราชวงศ์กำลังรวมพลัง จั้นเย้ก็กำลังรวมพลังเช่นกัน !
ในตอนที่พลังความมืดรุนแรงนี้ผ่าลง จั้นเย้ได้ตวัดกรงเล็บของตัวเองไปยังค้อนพลังมืดนั้นด้วย !!!
พลังของความมืดปะทะเข้าด้วยกัน พลังที่จั้นเย้ปล่อยออกมาคือกริดแสงยมทูต !
ประกายแสงแห่งความตายได้ปล่อยออกท่ามกลางพลังความมืดเข้มข้น สอดส่องไปทั่วทั้งมิติผนึกแห่งนี้ ราวกับแสงแรกในยามเช้า !
“เพ้ง !!!”
ค้อนสีดำฟาดจากบนลงล่าง จากหัวของจั้นเย้ไปยังบริเวณเอวของจั้นเย้ แผลที่น่ากลัวนี้แทบจะผ่าร่างของจั้นเย้ออกจากกัน พลังมืดเข้มข้นนี้ซึมเข้าร่างกายของจั้นเย้ กัดกร่อนเลือดและอวัยวะภายในของมันอย่างบ้าคลั่ง…
การโจมตีนี้น่ากลัวอย่างมาก มองได้จากแผลกัดกร่อนอันน่ากลัวบนตัวจั้นเย้ได้ ถ้าเป็นดวงวิญญาณอื่นที่มีภาวะชีวิตปกติละก็ เกรงว่าจะต้องตายแล้วเกิดใหม่หลายครั้ง !
ขณะที่จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บสาหัส มั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ก็ไม่รอด แสงนั้นได้ผ่าความมืดออก ตวัดลงบริเวณใต้คางของมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ !
จั้นเย้อาศัยอยู่ในป่ามั่วเย้ ตอนที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ จั้นเย้ได้สู้กับมั่วเย้กลุ่มเดียวกันนับครั้งไม่ถ้วน การเอาชีวิตรอดด้วยความโหดร้ายแบบนี้ทำให้จั้นเย้รู้ถึงจุดอ่อนการป้องกันของกลุ่มตัวเอง
จุดอ่อนการป้องกันนี้แทบไม่เป็นที่พบเห็น อีกทั้งตัวกลุ่มมั่วเย้เองก็จะไม่สังเกตเห็นด้วย มีเพียงจั้นเย้ที่ประสบเหตุการณ์บาดแผลเต็มตัวนับไม่ถ้วนถึงรับรู้ได้
จุดอ่อนของการป้องกันคือบริเวณคาง ! คางของมั่วเย้มีแรงกัดที่แข็งแรง แต่เพื่อให้เส้นเอ็นบริเวณคางเคลื่อนไหวได้ เกราะด้านล่างคางนี้จะอ่อนแอที่สุด !
มั่วเย้ถูกหุ้มด้วยเกราะหมึกแข็งแรงทั้งตัว มีเกราะอ่อนแค่ใต้คางเท่านั้น !
ระหว่างการต่อสู้ มั่วเย้ราชวงศ์ตัวนี้ระวังบริเวณหัวอย่างมาก จั้นเย้เองก็ไม่มีโอกาสมาตลอด แต่ครั้งนี้ในตอนที่ค้อนผ่าลงจากที่สูง กลับเผยให้เห็นใต้คาง !!!
แสงสาดส่องอันโหดร้ายนั้น มุ่งตรงไปยังคางของมั่วเย้ราชวงศ์ !!!
“บึ้ง !!!”
มั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตกจากฟากฟ้า คางแทบจะหลุดออกจากกัน เลือดสดพุ่งออกจากปากอย่างบ้าคลั่ง !
การโจมตีของจั้นเย้ด้อยกว่ามั่วเย้ราชวงศ์อย่างมาก แต่การโจมตีไปยังจุดอ่อนนี้ ทำให้มั่วเย้ราชวงศ์ล้มลงทันที อีกทั้งทำให้มั่วเย้ราชวงศ์ตัวนี้อยู่ในจุดที่ใกล้ตาย !
พลังมืดมหาศาลที่ผ่าลงบนตัวจั้นเย้จนเป็นแผลลึก ทำให้จั้นเย้ไม่สามารถใช้แตกหักงอกใหม่ได้ และตามการกัดกร่อนของพลังมืด พลังชีวิตของจั้นเย้แทบจะตกเป็นศูนย์
แต่ว่าอย่างน้อยด้วยความดื้อดันของจั้นเย้ ที่ตายก่อนต้องเป็นมั่วเย้ราชวงศ์ตัวนั้นแน่นอน !
ฉิงเย้ยืนนิ่งอึ้ง มองไปยังมั่วเย้ราชวงศ์ที่ภูมิใจของตัวเองด้วยความเหลือเชื่อ…
มั่วเย้ราชวงศ์ของเขาเบิกตากว้าง แทบมองไม่เห็นลูกตา ร่างกายกระตุกอย่างแรง คางได้หลุดออกจากกัน พลังชีวิตอ่อนแอถึงที่สุด!
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร !!!” ฉิงเย้มองด้วยความตกใจ !
เซี่ยกว่างหานชายตามองไปยังมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ที่ใกล้ตาย พูดด้วยความหงุดหงิดว่า “บอกให้เจ้าจัดการแล้ว เจ้าทำอะไรอยู่ !”
ฉิงเย้เหมือนเป็นบ้า ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังจั้นเย้ที่ใกล้ตายเช่นเดียวกัน !
“เจ้า รักษามั่วเย้ให้ข้า ! เร็ว มิฉะนั้น ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดและดวงวิญญาณของพวกเจ้าด้วย !!!” ฉิงเย้ชี้ไปยังเย้ชิงจือทันที พูดด้วยน้ำเสียงสั่งให้ทำด้วยความโกรธ
ฉิงเย้ในตอนนี้ต่อให้เก็บมั่วเย้ราชวงศ์กลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณก็ทำอะไรไม่ได้ ยารักษาขั้นสิบก็ไม่อาจหยุดพลังชีวิตที่สูญหายไปได้ มีเพียงทักษะการรักษาของดวงวิญญาณถึงจะช่วยชีวิตของมั่วเย้ราชวงศ์ได้
ดวงวิญญาณของเย้ชิงจือมีกระดิ่งแก้วตา วารีจันทรา ภูตไม้หมุน อสูรนกสวนสงคราม ดวงวิญญาณสามตัวในนี้สามารถช่วยดวงวิญญาณจากภาวะใกล้ตายกลับมาได้ และเป็นเพราะการมีอยู่ของดวงวิญญาณสามตัวนี้ เผชิญหน้ากับฉิงเย้และเซี่ยกว่างหาน ทั้งสามคนถึงทนอยู่ตอนนี้ได้ มิฉะนั้น วิญญาณของพวกเขาคงได้รับบาดเจ็บสาหัสตั้งนานแล้ว
“ได้ยินหรือยัง รักษามั่วเย้ของข้าเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น เจ้าจะตายอย่างไร้ศพ !!!” ฉิงเย้พูดอย่างดุร้าย !
“ได้ ข้าจะรักษาให้เจ้า !” เย้ชิงจือยิ้มอย่างเยือกเย็น
หลังจากพูดจบ เย้ชิงจือสั่งให้กระดิ่งแก้วตาปล่อยทักษะออกมาทันที !
กระดิ่งแก้วตาร่ายคาถาขึ้นราวกับขับร้อง ละอองเกสรพิเศษลอยขึ้นรอบกาย ละอองเกสรเหล่านี้ลอยไปยังตำแหน่งของมั่วเย้ราชวงศ์อย่างช้า ๆ
ละออกเกสรเหล่านี้สาดลงบนตัวมั่วเย้ เข้าไปในร่างของมัน
วินาทีต่อมา พลังชีวิตของมั่วเย้คงที่บ้าง อยู่ในภาวะที่อ่อนแออย่างมาก
เห็นพลังชีวิตมั่วเย้ของตัวเองคงที่แล้ว สีหน้าของฉิงเย้อ่อนลงเล็กน้อย เขากวาดตามองไปยังเย้ชิงจือแล้วพูดขึ้นว่า “ดีมาก เจ้ามีชีวิตต่อไปได้”
“อ้อ” เย้ชิงจือตอบเสียงราบเรียบ “ทว่า มั่วเย้ราชวงศ์ของเจ้าตายแน่”
เพิ่งพูดจบ พลังชีวิตคงที่ของมั่วเย้ราชวงศ์พุ่งลงอย่างรวดเร็ว ไวกว่าก่อนหน้านี้ถึงสิบเท่า !!!
ละอองเกสรที่เข้าไปในร่างกายของมั่วเย้ไม่ได้ช่วยพลังชีวิตของมัน แต่กำลังทำลายอวัยวะภายในทั้งหมดของมั่วเย้ราชวงศ์ !
นี่ไม่ใช่ละอองเกสรรักษา แต่เป็นลอองกเกสรพิษร้ายแรง !
ทันทีที่ต้องละอองเกสรพิษนี้ ต่อให้เป็นดวงวิญญาณที่มีทักษะเกิดใหม่ก็ต้องตาย !!!
ในไม่ช้า พลังชีวิตของมั่วเย้ราชวงศ์ได้กระจายออกไปแล้ว กลายเป็นศพเย็นเยียบ นอนอยู่ตรงหน้าฉิงเย้
ส่วนสีหน้าของฉิงเย้ซีดขาวขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่า เกิดจากสัญญาวิญญาณที่ตัดขาดจากกัน !!!
“เจ้า !!!” เส้นเลือดของฉิงเย้ปูดขึ้น เห็นได้ชัดว่า โกรธถึงที่สุด !!!
“ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งหมดตายไปด้วย !!!” ฉิงเย้ร้องขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ! กลับร่ายคาถาขึ้นในตอนที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บ เริ่มอัญเชิญดวงวิญญาณอีกตัวหนึ่ง !!!
วินาทีที่ฉิงเย้ร่ายคาถาขึ้น กลิ่นไอที่รุนแรงยิ่งกว่าได้กระจายออก !
กลิ่นไอนี้ แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิชั้นยอดหนึ่งถึงสองขั้น เห็นได้ชัดว่า เป็นดวงวิญญาณที่เข้าใกล้ระดับเทียบเท่าราชันแล้ว !!!
ดวงวิญญาณของทั้งสามคนรวมกันถึงจะสู้กับหมาป่าพิฆาตกระหายเลือดจักรพรรดิชั้นยอดของเซี่ยกว่างหายและแมลงทองคำร้ายระดับจักรพรรดิชั้นยอดของฉิงเย้ได้บ้าง ในภาวะแบบนี้แทบทนได้ไม่กี่นาที เกรงว่าคนทั้งหมดจะพ่ายแพ้
และในตอนนี้ ถ้ามีจักรพรรดิชั้นยอดอีกตัวหนึ่งปราฏตัว ในเวลาหนึ่งนาที พวกเขาจะถูกฆ่าตายหมดแน่นอน !
“ข้ารู้สึกว่า มีคนกำลังทำลายผนึก อาจเป็นเพราะฝ่ายจัดการประลองสังเกตเห็นความผิดปกติที่นี่แล้วเข้ามาช่วยเหลือ พวกเราแค่ทนถึงตอนที่ผนึกถูกเปิดออกก็พอ ตอนนั้นเราจะมีชีวิตออกไปได้ !” ช่วงเวลาสำคัญ องค์หญิงจิ่งโหลวใช้ร่ายวิญญาณพูดกับพี่น้องตระกูลเย้
เย้ชิงจือพยักหน้าด้วยความฝืน เย้หวันเชิงได้กวาดตามองไปยังจักรพรรดิชั้นยอดที่กำลังจะถูกฉิงเย้อัญเชิญออกมา ใช้ร่ายวิญญาณพูดขึ้นว่า “พวกเราอาจทนไม่ถึงหนึ่งนาที ผนึกนี้จะเปิดออกได้ในหนึ่งนาทีไหม”
“ไม่ได้ ข้าคาดว่าฝ่ายจัดการประลองต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองนาที อีกทั้งถ้าเซี่ยกว่างหานรู้ว่ามีคนจะทำลายผนึกละก็ เขาจะอัญเชิญดวงวิญญาณแน่นอน จะฆ่าพวกเราทั้งหมดเพื่อปกปิดทุกอย่าง…ข้าจะอัญเชิญพลังหลับใหลของมารนิรยขาวข้า ขอให้พวกเจ้าเอาพลังทั้งหมดออกมา พวกเรายังมีหวัง” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
องค์หญิงจิ่งโหลวไม่รู้ว่า พี่น้องคู่นี้จะมีพลังที่แข็งแกร่งที่สุดหรือไม่ ถ้าไม่มีละก็ พวกเขาจะต้องตายที่นี่แน่นอน
“องค์หญิง ข้าอาจทำให้พวกเจ้ามีชีวิตต่อไปได้…” เย้ชิงจือใช้ร่ายวิญญาณพูดกับองค์หญิงจิ่งโหลว
“ข้ารู้ แค่มีชีวิตรอดไปได้ ข้าจะให้สองคนนี้ตายอย่างไม่มีที่ซ่อน !” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดอย่างจริงจัง
สองคนนี้ได้วางกับดักเอาไว้ ทำให้พวกเขาทั้งหมดตกอยู่ในกับดักนี้ ที่น่าโมโหที่สุดคือ ชู่มู่เองก็ตายในลานกว้างเพราะแผนการของพวกเขา
ดังนั้น ครั้งนี้จะต้องมีชีวิตรอดออกไปให้ได้ องค์หญิงจิ่งโหลวจะไม่ปล่อยให้สองคนนี้รอดไปได้แน่นอน !!!
“ผู้เฝ้าหินเริ่มฆ่ากันเอง !!!”
ข่าวนี้กระจายไปยังลานกว้างเทียนเซี่ย ทั้งลานกว้างดุเดือดขึ้นอีกครั้ง !!! ตอนนี้แทบไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในที่นั่น !!!
“ฆ่าล้างกันเอง หรือว่าดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นมีพลังจิตอันแข็งแกร่งของภูตวิญญาณหรือให้ดวงวิญญาณส่งสารตัวนั้นบรรยายให้ละเอียดกว่านี้ !” ผู้อาวุโสไห่ชิวพูดขึ้น
ดวงวิญญาณส่งสารบรรยายลักษณะของดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นจากที่ไกลออกไปทันที รายงานความสามารถให้ผู้อาสุโสไห่ชิว
“นี่…เปลวไฟสีแดงเข้ม…เหมือนจะมีแค่ชนิดเดียวใช่ไหม” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อลูปเครา
“อืม อัคคีแห่งโทษ !” ไห่ชิวและผู้อาวุโสทั้งสี่ของตำหนักวิญญาณต่างพยักหน้า
“ดวงวิญญาณที่มีอัคคีแห่งโทษ หางผนึกโทษทั้งเก้าเส้น ลักษณะคล้ายราชันจิ้งจอก อีกทั้งยังทำให้เหล่าดวงวิญญาณฆ่าล้างกันเองได้…ทำไมไม่เคยได้ยินดวงวิญญาณแบบนี้มาก่อน” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเองก็มากความรู้ แต่เขาคาดเดาไม่ออกว่านั่นคืออะไรในตอนนี้
“หรือว่าจะ…เป็นสิ่งที่อยู่ในตำนานที่สร้างหายนะกลุ่มได้ จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด !!!” ไห่ชิวพูดขึ้น
ตอนที่ไห่ชิวพูดประโยคนี้ออกมา เบื้องบนของฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินต่างเผยสีหน้าตกใจออกมา !!!
และในตอนนี้ ผู้อาวุโสวังดวงวิญญาณและตำหนักวิญญาณที่เป็นหนึ่งในสี่ที่นั่งได้สบตากัน สีหน้าซับซ้อนอย่างมาก !!!
“ไห่ชิว ถ้าข้าจำไม่ผิดละก็ เหล่าผู้เฝ้าหินนับพันตัวเป็นสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าที่ลึกเข้าไปของแท่นบูชาอสูรเลือด…”
“ถ้าบอกว่าตรงนั้นมีราชันอัคคีจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดปรากฏขึ้นละก็ ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่าจะทำให้ผู้เฝ้าหินที่อยู่ตรงนั้นฆ่าล้างกันเองจนหมดสิ้นได้ ทันทีที่ไม่เหลือผู้เฝ้าหินแม้แต่ตัวเดียวละก็…”
ในตอนนี้สีหน้าของไห่ชิวเคร่งเครียดอย่างมาก เดิมดวงวิญญาณระดับราชันแทบไม่สามารถฆ่าผู้เฝ้าหินทั้งหมดให้ตายได้ และแล้วพวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ราชันแข็งแกร่งที่ชู่มู่อัญเชิญออกมาจะมีความสามารถน่ากลัวแบบนี้อยู่ !
“อันตรายมาก เจ้ารีบไปแจ้งประธานเถอะ !” ในตอนนี้ ผู้อาวุโสที่รู้ความลับของเมืองอมตะกังวลอย่างมาก !
…
ไห่ชิวได้นำข่าวนี้ส่งไปยังประธานเทียนทิงอย่างรวดเร็ว เทียนทิงได้ขมวดคิ้วทันที เพราะเขาไม่คิดว่า ชู่มู่จะมีจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดตัวหนึ่ง !
“หลีหงมุ่งหน้าไปตะวันออกแล้ว ตอนนี้คนที่ควบคุมราชันอสูรเลือดตัวนั้นมีแค่เจ้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่ลงมือ เมืองอมตะจะตกอยู่ในหายนะที่ไม่อาจระงับได้” ไห่ชิวพูดอย่างจริงจัง
“ใครเป็นผู้ตั้งว่าเกียรติสุดท้ายของขั้นสองเป็นแท่นบูชาอสูรเลือด โง่เง่าอย่างยิ่ง !!!” สีหน้าของเทียนทิงแย่มาก
บุคคลภายในของการประลองฟ้าดินต่างรู้ดี ความจริงในแท่นบูชาอสูรเลือดมีผนึกสองอัน ผนึกอันแรกเป็นผนึกของจักรพรรดิขั้นสูงธรรมดา สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าก็เป็นแค่ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำหกตัว
และแล้ว ด้านล่างผนึกนี้ ยังมีผนึกที่ใหญ่กว่า สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าของผนึกนี้คือผู้เฝ้าหินนับพันตัวของทั้งลานกว้างแห่งนี้ !!!
จำนวนของผู้เฝ้าหินมีนับพัน นอกจากว่าจะถึงระดับราชันขั้นกลาง มิฉะนั้น ต้องใช้แรงกายอย่างมากเพื่อฆ่าพวกมันทั้งหมด
แต่ว่า ทักษะหายนะกลุ่มเป็นทักษะที่พิเศษอย่างมาก ทำให้เหล่าผู้เฝ้าหินฆ่าล้างกันเอง หากเช่นนี้ ในเวลาอันสั้น ผู้เฝ้าหินทั้งหมดจะตายหมด !
ทันทีที่หลังจากสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าทั้งหมดถูกฆ่าตาย ผนึกจะไม่มั่นคงอย่างมาก ราชันอสูรเลือดที่ถูกผนึกเอาไว้อาจอาศัยพลังของตัวเองทำลายผนึกนี้ !
“เย้เทากล้าไปแท่นบูชาอสูรเลือดแล้ว ทว่า เย้เทาคนเดียวอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชันอสูรเลือดตัวนั้น เผื่อว่า… “ไห่ชิวพูดอย่างเคร่งเครียด
“ข้าไปเอง !” เทียนทิงพูดอย่างเยือกเย็น เขาเกลียดเรื่องที่นอกเหนือการควบคุมที่สุด โดยเฉพาะยังเป็นเรื่องที่เขาต้องลงมือเอง
…
ด้านในผนึก
ฉิงเย้มองไปยังจั้นเย้ของชู่มู่ด้วยความเหยียบหยาม
จากสายตาของฉิงเย้ โลกนี้ไม่มีอสูรเกราะตัวใดที่แข็งแกร่งกว่ามั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ของเขาแล้ว ต่อให้เป็นจั้นเย้ที่มีพลังชีวิตหกเท่าตรงหน้าตัวนี้ก็ไม่อาจเทียบกับมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ของตัวเองได้ !
การโจมตีของมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตัวนี้จะมีผลความมืดที่เข้มข้นอยู่ ผลความมืดนี้จะทำให้พลังโจมตีของมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ทวีคูณขึ้นมาก และพลังกัดกร่อนของความมืดยังมีผลต่อการป้องกันอย่างมาก เกราะวิญญาณขั้นเก้าและเกราะหมึกของจั้นเย้ยากที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ได้
“โฮร่ โฮร่ !!!”
เกราะหมึกของจั้นเย้ถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรงแล้ว หมวดมืดของมันอ่อนแอกว่าฝ่ายตรงข้าม ยากที่จะก่อให้เกิดภูมิต้านทานได้
มันลุกขึ้นยืนพร้อมกับขาที่สั่นเล็กน้อย ดวงตาสีดำคู่นั้นจับต้องไปยังมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์แน่น !
นี่เป็นการต่อสู้กับมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ครั้งที่สองแล้ว ครั้งก่อนที่อยู่ทะเลทราย การโจมตีเดียวของมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและความอับอายที่สุด โดยเฉพาะยังเป็นกลุ่มเดียวกัน อีกทั้งยังอยู่ในลักษณะขั้นเดียวกันด้วย !
“โฮร่ !!!” จั้นเย้ส่งเสียงร้องทุ้มต่ำไปยังเย้ชิงจือ
เสียงโฮร่ร้องนี้ของจั้นเย้กำลังบอกกับเย้ชิงจือว่า มันแทบไม่ต้องการรักษา ไม่ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้พลังชีวิต มันจะใช้ความสามารถของตัวเองเอาชนะมั่วเย้ราชวงศ์ตัวนี้ !
“จั้นเย้…” เย้ชิงจือสัมผัสได้ถึงความดื้อดันของดวงวิญญาณตัวนี้
ความจริงเย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลวต่างต่อสู้อย่างยากลำบากมาก พวกเขาใช้ดวงวิญญาณสี่ตัวสู้กับดวงวิญญาณหลักของเซี่ยกว่างหานและฉิงเย้ อีกทั้ง ในเวลาสั้น ๆ นี้ดวงวิญญาณของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาคงตายไปตั้งนานแล้ว
เมื่อเทียบกับจั้นเย้ที่แตกหักงอกใหม่ ดวงวิญญาณอื่นของทั้งสามคนต้องการให้เย้ชิงจือรักษาแผลให้มากกว่า
แผลบนตัวของจั้นเย้ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของมันอย่างมากแล้ว ร่างกายเริ่มขับของเหลวแมลงออกมา ของเหลวเหล่านี้ซ่อมแซมร่างกายของจั้นเย้อย่างรวดเร็ว ให้จั้นเย้กลับสู่ภาวะที่สมบูรณ์แบบที่สุด !
และตามผลของแตกหักงอกใหม่ พลังของดวงใจแห่งมังกรหาญได้เผยออกมาด้วย ความสามารถของจั้นเย้เริ่มทวีคูณขึ้น เพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสูง !
“ความสามารถเพิ่มขึ้นแล้วงั้นหรือ” ฉิงเย้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ฉิงเย้รู้ว่า มั่วเย้ของชู่มู่ตัวนี้มีความสามารถแตกหักงอกใหม่หกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าระหว่างที่ต่อสู้จะเพิ่มความสามารถได้ด้วย
อีกทั้งฉิงเย้สนใจจั้นเย้ก็เป็นเพราะหลังจากที่เห็นความสามารถแตกหักงอกใหม่หกครั้ง บวกกับเขาคิดจะฝึกให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น แต่ที่ทำให้ฉิงเย้ประหลาดใจอย่างมากคือ มั่วเย้ตัวนี้ของชู่มู่มีทักษะเพิ่มความสามารถอยู่แล้ว !!!
“ลักษณะเก้าขั้นสูง ที่แท้เป็นมั่วเย้ชั้นยอดตัวหนึ่ง!”ฉิงเย้เผยท่าทีดีใจออกมา
นี่ไม่ใช่งานศิลปะไม่สมบูรณ์ แต่เป็นอสูรสงครามที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว !!!
“อสูรสงครามสมบูรณ์แบบ ดีมาก !!! ดีมากจริง !!! สิ่งนี้เป็นของข้าแล้ว ! แม้เทียบกับมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ของข้ายังด้อยกว่าเล็กน้อย แต่สมบูรณ์แบบมากแล้ว !” ฉิงเย้ทำท่าทีบ้าคลั่งออกมา !
สายตาของจั้นเย้เฉยเมย ไม่สนใจท่าทีบ้าคลั่งของฉิงเย้แม้แต่น้อย มันในตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้กับมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์
เมื่อเทียบกับมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ยังด้อยกว่าเล็กน้อย
จั้นเย้เข้าใจได้ว่า ฉิงเย้กำลังจะพูดอะไร ส่วนประโยคนี้ของฉิงเย้ ยิ่งทำให้จั้นเย้ฮึกเฮิม !
จั้นเย้จะทำให้ฉิงเย้รู้ว่า มั่วเย้ราชวงศ์ของมันเป็นแค่ขยะ !!!
…
ผลของดวงใจแห่งมังกรหาญของจั้นเย้แทบไม่มีขั้นที่จะติดขัด ในตอนที่ปล่อยความสามารถแตกหักงอกใหม่ด้วยความโกรธเป็นครั้งที่สองนี้ ความสามารถของจั้นเย้ได้เพิ่มขึ้นถึงลักษณะเก้าขั้นเก้าแล้ว จะเข้าสู่ลักษณะสิบในไม่ช้า !
มั่วเย้ราชวงศ์ได้กระตุ้นความมุ่งมั่นในการต่อสู้ทั้งหมดของจั้นเย้ ในตอนที่อยู่ในช่วงสูงสุด จั้นเย้เคยเพิ่มขึ้นจากจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะแปดขั้นเก้าเป็นลักษณะสิบชั้นยอด !
และในตอนนี้ เดิมความสามารถของจั้นเย้เองก็อยู่ในจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นกลางอยู่แล้ว มั่วเย้ราชวงศ์จักรพรรดิขั้นสูงลักษณะเก้าขั้นสูงแบบนี้ แทบไม่อยู่ในสายตาของมัน !
พลังกัดกร่อนมืดของมั่วเย้ราชวงศ์ทำให้พลังป้องกันของจั้นเย้ลดลงอย่างมาก ในตอนที่แตกหักงอกใหม่ครั้งแรก จั้นเย้ทำได้แค่ต้านทานการโจมตีสามครั้งเท่านั้น
หลังจากแตกหักงอกใหม่ครั้งที่สอง มั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ต้องโจมตีเต็มกำลังสี่ครั้งถึงจะทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในตอนที่แตกหักงอกใหม่ครั้งที่สอง ความสามารถของจั้นเย้เพิ่มขึ้นจนถึงลักษณะสิบ ในตอนนี้ การโจมตีของจั้นเย้ก่ออันตรายกับมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ได้ระดับหนึ่งแล้ว !
เห็นความสามารถของจั้นเย้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ฉิงเย้เองก็อยู่ในความตกใจตลอด เพราะเขาไม่คิดว่า ความสามารถของจั้นเย้ตัวนี้จะเพิ่มขึ้นไวขนาดนี้ !
การต่อสู้ดำเนินไม่นานเท่าไร เดิมมั่วเย้ตัวนี้ที่ห่างกันสี่ขั้นเริ่มมีความสามารถเทียบเท่ามั่วเย้ราชวงศ์ของเขาแล้ว !
“โฮร่ โฮร่ !!!”
จั้นเย้หายใจหอบ ส่งเสียงคำรามไปยังฉิงเย้ !
เสียงคำรามของจั้นเย้นี้ ทำให้สีหน้าของฉิงเย้แย่กว่าเดิม
ฉิงเย้เองก็อยู่กับมั่วเย้ราชวงศ์เป็นเวลานานแล้ว เขาเข้าใจภาษาของมั่วเย้อยู่บ้าง เสียงคำรามของจั้นเย้ในตอนนี้กำลังดูถูกมั่วเย้ราชวงศ์อันภูมิใจของเขาอยู่ !
“ความสามารถจั้นเย้ของชู่มู่เพิ่มขึ้นไวมาก !” หลังจากที่เย้หวันเชิงเห็นการต่อสู้ตรงนี้แล้ว ถึงพบว่า จั้นเย้อยู่ในลักษณะสิบแล้ว !
องค์หญิงจิ่งโหลวที่กำลังสั่งการต่อสู้ดวงวิญญาณของตัวเองได้สังเกตเห็นดวงวิญญาณตัวนี้เช่นกัน
ความสามารถของจั้นเย้ที่แตกหักงอกใหม่เพียงสามครั้งก็อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบแล้ว ตามความสามารถของมั่นที่เพิ่มขึ้น หมวดต่าง ๆ ของจั้นเย้จะแข็งแกร่งขึ้นด้วย การต่อสู้ยิ่งดำเนินนานเท่าไร ความสามารถของมันจะเพิ่มมากขึ้นด้วย !
ในตอนนี้ องค์หญิงจิ่งโหลงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดตอนที่จั้นเย้ตัวนี้ตกลงไปในเหวตะขาบถึงมีชีวิตรอดมาได้ ความสามารถที่เพิ่มขึ้นมหาศาลแบบนี้ เกรงว่ามีเพียงตะขาบหมื่นขาถึงจะฆ่ามันให้ตายได้ !
…
และแล้ว ความสามารถของจั้นเย้เพิ่มขึ้นไวกว่าปกติมาก นี่เป็นเพราะความมุ่งมั่นในการต่อสู้อันเยือกเย็นและความโกรธเคืองที่สุดของจั้นเย้ !!!
พลังจิตของจั้นเย้อ่อนกว่าชู่มู่ที่เป็นเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายมาก ดังนั้น ในผนึกแห่งนี้ จั้นเย้แทบไม่สามารถเชื่อมจิตกับชู่มู่ได้…
ชู่มู่อาจตายแล้วก็ได้ ! นี่เป็นสาเหตุความโกรธเคืองในใจของจั้นเย้ !
สำหรับจั้นเย้แล้ว เขาจะไม่ลืมสัญญาที่ชู่มู่บอกจะไม่ให้มันถูกทอดทิ้งอีก และมนุษย์ที่อยากได้ตัวเขาตรงหน้าคนนี้ไม่มีวันเข้าใจความสำคัญของชู่มู่ที่อยู่ในใจของจั้นเย้ได้ !
จั้นเย้จะไม่แสดงอารมณ์ของตัวเองออกมา
แต่ว่าเขากลับเปลี่ยนความเศร้าโศกและความโกรธในใจของตัวเองให้เป็นพลังในการต่อสู้ !!!
สิ่งที่มันจะทำไม่ได้มีเพียงเอาชนะมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์น่าสมเพชตัวนี้อย่างเดียว สิ่งที่มันจะทำคือ ฆ่าฉิงเย้ ฆ่าดวงวิญญาณทั้งหมดที่เขามี !!!
ดอกบัวอัคคีงดงามเบิกบานทั่วทั้งลานกว้าง นำพาเปลวไฟที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างอย่างต่อเนื่อง กระแทกลานกว้างนี้อย่างบ้าคลั่ง
ลานกว้างนี้สร้างขึ้นจากหินดำที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าหินธรรมดาหลายร้อยเท่า ถ้าคำนวนเป็นพลังป้องกัน พื้นดินนี้มีพลังป้องกันอยู่ที่ขั้นเก้า
แต่ว่าลายเส้นอัคคีแห่งโทษของมั่วเย๋ และพลังของดอกบัวอัคคีขั้นสิบนี้ ทำให้พื้นนี้ระเบิด แตกสลาย บุบอย่างสิ้นซาก นำพาอัคคีแห่งโทษที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองแผดเผาทุกสิ่ง พลังแห่งความร้อนนี้ได้กระจายออกไปด้านนอกลานกว้าง ทำให้กำแพงไม้ดำเหล่านั้นลุกโชนไปด้วย!!
นี่เป็นทักษะพลังขั้นสิบ!!
ชู่มู่ยืนอยู่ตรงกลางของดอกบัวอัคคีทั้งหมด ใบหน้าที่ตกใจนั้นสะท้อนเป็นสีแดง ดวงตาสะท้อนเปลวไฟสีแดงเข้มงดงามออกมา!
ชู่มู่เองก็ไม่รู้ว่าทักษะนี้อยู่ได้นานเท่าไร แค่เห็นผู้เฝ้าหินทั้งฝูงถูกกลืนกิน สลายไป กองทัพจักรพรรดิไร้เทียมทานในตอนนั้นกลับสลายไปอย่างอ่อนแอ ยากที่จะจินตนาการได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นดวงวิญญาณจักรพรรดิที่เมื่อก่อนตัวเองทำได้แค่แหงนหน้ามอง!
“โครม”
เสียงเปลวไฟยังคงดังก้องข้างหูชู่มู่ เขากวาดตามองไปรอบๆ พบว่าผู้เฝ้าหินในรัศมีสองร้อยเมตรของตัวเองได้กลายเป็นเศษฝุ่นและเถ้าถ่านไปแล้ว
เกรงว่าคงมีแค่ผู้เฝ้าหินสองร้อยกว่าตัว ทักษะเดียวกลับทำให้ผู้เฝ้าหินสองร้อยกว่าตัวนี้สลายไปได้ แม้แต่ชู่มู่เองก็ไม่เชื่อว่าพลังสลายที่แข็งแกร่งนี้จะมาจากมั่วเย๋ของตัวเอง
“อูอูอูอู!!!!!”
การป้องกันของผู้เฝ้าหินแข็งแกร่งมาก ถ้าสิ่งที่อยู่ในลานกว้างแห่งนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ ทักษะนี้ของมั่วเย๋จะฆ่าล้างนับพันตัวในเสี้ยววินาทีได้แน่นอน!
ผู้เฝ้าหินสองร้อยกว่าตัวสลายไป ผู้เฝ้าหินเจ็ดร้อยกว่าตัวที่เหลือได้รับบาดเจ็บบ้าง ทำท่าทีพ่ายแพ้ออกมา!
ทว่า เหมือนพลังทำลายล้างนี้ยังไม่เป็นที่พอใจของมั่วเย๋!
จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดไม่ใช่ดวงวิญญาณตระกูลธาตุ ถ้าบอกว่าดวงวิญญาณธาตุเป็นผู้ที่ปล่อยดอกบัวอัคคีสลายโลกนี้ออกมา จะฆ่าล้างผู้เฝ้าหินครึ่งหนึ่งในเสี้ยววินาทีได้แน่นอน!
เห็นได้ชัดว่าการตายของผู้เฝ้าหินสองร้อยกว่าตัวนี้ไม่อาจระงับความโกรธของมั่วเย๋ได้!
ทันใดนั้น เงาของมั่วเย๋หายไปในอัคคีแห่งโทษ ความเร็วของมันไวจนถึงขั้นที่ชู่มู่ไม่อาจจับตามองได้!
วินาทีต่อมา มั่วเย๋ปรากฎตัวท่ามกลางกองทัพผู้เฝ้าหิน หางราชันจิ้งจอกแห่งโทษเก้าเส้นนั้นยืดลำตัวออกราวกับสิ่งมีชีวิตที่บ้าคลั่งทั้งเก้า เริ่มโจมตีไปยังผู้เฝ้าหินอย่างบ้าคลั่ง!!
หางจิ้งจอกแห่งโทษแต่ละเส้นมีลายเส้นแห่งโทษพิเศษอยู่ ลายเส้นเหล่านี้เป็นพลังที่บริสุทธิ์ที่สุด แค่ฟาดโดนตัวผู้เฝ้าหิน ต่อให้เป็นการป้องกันขั้นเก้าระยะกลางก็จะกลายเป็นเศษได้!!
“ป้าบ!!!!ป้าบ!!!!!!ป้าบ!!!!!!!!!!”
มั่วเย๋ไม่ได้ปล่อยทักษะใดๆ ทันทีที่กรงเล็บของมันตวัดผ่าน คาดว่าจะมีหัวของผู้เฝ้าหินถูกตัดออก หางทั้งเก้าเส้นของมันราวกับมีชีวิต โจมตีไปยังผู้เฝ้าหินรอบๆ ตามอำเภอใจ
การฆ่าล้างผู้เฝ้าหินของมั่วเย๋ก่อให้เกิดการโต้ตอบที่แตกต่างกันอย่างมาก ก้อนหินสีเทา เป็นลำตัวของผู้เฝ้าหิน ภาพที่เห็นในตอนนี้นับว่าเลือดเนื้อกระจัดกระจาย!!
“อูอูอู!!!!!”
ทันใดนั้น หางลายเส้นแห่งโทษทั้งเก้าของมั่วเย๋ร่ายรำ สะบัดยุ่งเหยิง!
บริเวณที่อัคคีแห่งโทษพาดผ่าน ก่อเป็นประกายเงางาม แล้วกลายเป็นแส้อัคคีแห่งโทษ!
แส้อัคคีแห่งโทษ!
หางของมั่วเย๋สะบัดไปรอบด้านพร้อมกับแส้อัคคีแห่งโทษอย่างรุนแรง!
หางของราชันจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเก้าเส้นนี้ได้กลายเป็นแส้อัคคีแห่งโทษ แต่ละเส้นมีความยาวถึงร้อยกว่าเมตรอันน่ากลัว หลังจากสะบัดออกแล้ว ผู้เฝ้าหินทั้งฝูงได้กลายเป็นเศษด้วยพลังเหล่านี้!!
ชั่วพริบตา ผู้เฝ้าหินนับร้อยได้กลายเป็นเศษภายใต้การโจมตีของมั่วเย๋อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิขั้นต่ำขั้นกลาง หรือจักรพรรดิขั้นสูง ก็ยากที่จะรอดจากชะตาแห่งความตายนี้ ทั้งลานกว้างแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยกลิ่นไอทำลายล้างแน่นหนา!
“นายท่าน!!”เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้นในหัวของชู่มู่กะทันหัน
“อย่าร้อง มีอะไรรีบพูด”ชู่มู่เองก็ทนผู้เฒ่าหลีไม่ไหวแล้ว
หลังจากมั่วเย๋แปรเปลี่ยน ผู้เฒ่าหลีร้องไม่หยุด ราวกับเป็นบ้า
“จิ้งจอกน้อยตอนนี้ได้กลายเป็นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด เดิมสติปัญญาของผู้เฝ้าหินเหล่านี้ก็ไม่สูงมากอยู่แล้ว แทบไม่มีผู้นำที่แท้จริง เพียงแค่เฝ้าอยู่ที่นี่เฉยๆ”ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกถึงความตื่นเต้นของมัน
“เจ้าอยากบอกอะไร?”ชู่มู่ยังคงไม่เข้าใจคำพูดของผู้เฒ่าหลี
“พลังของจิ้งจอกน้อยในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไป ต่อให้ผู้เฝ้าหินมีจำนวนนับพัน เป็นถึงจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด แทบไม่ต้องเสียเวลาไปขยี้เหล่าสิ่งอ่อนแอนี้ ให้มั่วเย๋ใช้หายนะแห่งกลุ่ม เจ้าจะเห็นภาพที่สะเทือนยิ่งกว่า!”ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างตื่นเต้นมาก
“หายนะกลุ่ม?”แค่ชื่อของทักษะนี้ก็ทำให้เห็นถึงพลังของทักษะนี้แล้ว ชู่มู่เองก็ตื่นเต้นอย่างมาก
“มั่วเย๋ ใช้หายนะกลุ่ม สลายพวกมัน!”แม้ชู่มู่เองจะไม่รู้ว่าหายนะกลุ่มคืออะไร แต่ในเมื่อผู้เฒ่าหลีบอกว่านี่เป็นการแก้สถานการณ์ให้ตัวเอง ถ้าอย่างนั้นมันจะต้องมีพลังที่แข็งแกร่งมากแน่นอน!
“อูอูอูอู!!!!!!!”
การโจมตีทั้งหมดของมั่วเย๋หยุดลงทันที ดวงตาที่เต็มไปด้วยเปลวไฟนั้นส่องประกายมากยิ่งขึ้น!!
ปรากฎการณ์ลึกลับเกิดขึ้นอีกครั้ง อัคคีแห่งโทษบนตัวมั่วเย๋ได้ปกคลุมทั้งตัวของมัน กลายเป็นก้อนอัคคีแห่งโทษร้อนระอุ
และท่ามกลางอัคคีแห่งโทษนี้ เนตรดุร้ายเรียวยาวของมั่วเย๋ปรากฎขึ้นกะทันหัน ดวงตาคู่นี้โตกว่าปกติหลายเท่า อีกทั้งตอนที่สบตากับมัน จะรู้สึกว่าอัคคีแห่งโทษที่ปกคลุมทั้งตัวมั่วเย๋นี้เกิดจากดวงตาของราชันจิ้งจอกอัคคีแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้ ซึ่งเป็นเปลวไฟที่สลายโลกทั้งใบนี้!
เนตรที่อ้างว้างยิ่งนี้ได้กลายเป็นอัคคีแห่งโทษซึ่งเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ลุกโชนขึ้นในลานกว้างแห่งนี้ แสงไฟของอัคคีแห่งโทษนี้ที่สาดส่องราวกับดวงตาชั่วร้ายลึกลับนับไม่ถ้วนที่กำลังจับจ้องไปยังทุกสรรพสิ่ง!!
ดวงตาของผู้เฝ้าหินเป็นสีเขียว แต่ตามที่มั่วเย๋ปล่อยทักษะหายนะกลุ่มนี้สำเร็จ ดวงตาของผู้เฝ้าหินที่อยู่รอบๆ ได้กลายเป็นสีแดงเข้มดุร้ายอย่างช้าๆ!
ยิ่งสีของดวงตาผู้เฝ้าหินเปลี่ยนแปลงมากเท่าไร ถ้ามองอย่างละเอียดละก็ ดวงตาของผู้เฝ้าหินนี้สะท้อนอัคคีแห่งโทษก้อนเล็กไว้ในนั้น!
“นายท่าน ให้จิ้งจอกน้อยของเจ้าฆ่าผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงเหล่านั้น หลังจากนั้น เจ้ากับจิ้งจอกน้อยของท่านนั่งจิบชาพูดคุยอยู่ด้านข้างก็พอแล้ว”ผู้เฒ่าหลีบอก
แม้ชู่มู่จะไม่เข้าใจ แต่ยังคงให้มั่วเย่ตามหาผู้เฝ้าหินระดับจักรพรรดิขั้นสูงทั้งหมด
ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงมีไม่ถึงสิบตัว ในไม่ช้าก็ถูกมั่วเย๋เพ่งเล็งทันที!!
“โซโซโซ!!!!”
มั่วเย๋เหมือนอยู่ในมิติที่ไร้เทียมทาน ผู้เฝ้าหินนับร้อยแทบไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนไหวใดๆ ของมั่วเย๋ได้!
คิดจะฆ่าผู้เฝ้าหินขั้นสูงแบบนั้นแค่ให้มั่วเย๋ออกแรงมากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ชู่มู่เห็นแสงไฟสีแดงเข้มงดงามพาดผ่านฝูงผู้เฝ้าหินสีเทาเหล่านั้น…
“บึ้ง!!!!!!!!”
ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงตัวที่หนึ่งถูกกรงเล็บอัคคีแห่งโทษของมั่วเย๋ฉีกเป็นเศษ!
“บึ้ง!!!!!!!!”
ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงตัวที่สองถูกหางจิ้งจอกของมั่วเย๋บดขยี้!
“อูอูอูอู!!!!!!!!”
ราวกับรู้สึกว่าฆ่าพวกมันทีละตัวเป็นการเสียเวลา ลำตัวของมั่วเย๋ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง แยกร่างออกเป็นเงาหกร่าง!
“นายท่าน นี่ไม่ใช่ทักษะเงาลวงตาธรรมดาแล้ว นี่เป็นทักษะเข้าใกล้แยกร่างแล้ว!”ผู้เฒ่าหลีร้องขึ้นทันที
ชู่มู่รีบใช้ร่ายวิญญาณตามการเคลื่อนไหวของมั่วเย๋ เขาในตอนนี้ถึงพบว่าเงาทั้งหกที่มั่วเย๋แยกออกมานี้ต่างปรากฎในตำแหน่งที่ต่างกันของผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูง!
“แม้ร่างแยกเหล่านี้จะมีระยะเวลาปรากฏตัวสั้นมาก แต่กลับสร้างพลังโจมตีที่เหมือนร่างจริงของจิ้งจอกน้อยมากถึงร้อยละ 70 นี่เพียงพอที่จะฆ่าจักรพรรดิขั้นสูงในเสี้ยววินาทีได้แล้ว!”ผู้เฒ่าหลีบอก!
“บึ้ง!!!!บึ้ง!!!!บึ้ง!!!!!!!บึ้ง!!!บึ้ง!!!บึ้ง!!!!!”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้เฒ่าหลีพูดจบ ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงหกตัวในตำแหน่งที่ต่างกันของลานกว้างนี้ถูกโจมตีจนกลายเป็นเศษ!!
“จักรพรรดิขั้นสูงถูกฆ่าตายหมด ต่อไปจะได้เห็นความสามารถน่ากลัวที่สุดของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดแล้ว!”ผู้เฒ่าหลีบอก
ชู่มู่อยากรู้ว่าหายนะกลุ่มที่ว่าคืออะไรกันแน่
“อูอูอูอูอูอู!!!!!!!!!”
มั่วเย๋กลับไปอยู่ข้างๆ ชู่มู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มันหยุดการโจมตีทั้งหมด แต่กลับส่งเสียงร้องสะเทือนใจขึ้น!
หลังจากเสียงราชันนี้ดังขึ้น ร่างกายของผู้เฝ้าหินทั้งหมดเกิดการสั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด ตามด้วยดวงตาของผู้เฝ้าหินที่สะท้อนเปลวไฟอัคคีแห่งโทษสีแดงเข้มนั้นได้ลุกโชนขึ้น!
ในตอนนี้ สามารถมองเห็นความดุร้ายในดวงตาของพวกมันได้ ที่น่ากลัวที่สุดคือ ดวงตาของพวกมันจับจ้องไปยังกลุ่มเดียวกันที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด!
นั่นเป็นความอาฆาตอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังมีความโกรธที่ไม่อาจระงับได้!
“จิ้งจอกน้อยแปรเปลี่ยนเป็นราชันจิ้งจอกแห่งความโกรธ มันจะแพร่ความโกรธนี้ไปทั่วทั้งกลุ่มราวกับเชื้อโรค แล้วให้กลุ่มนี้ฆ่าล้างกันเองด้วยความโกรธนี้!”ผู้เฒ่าหลีบอก
“ฆ่าล้างกันเอง…”ในใจของชู่มู่สะเทือนอย่างมาก ถ้ากระจายความโกรธนี้ไปยังอาณาจักรดวงวิญญาณนับล้าน ทำให้ทั้งกลุ่มฆ่าล้างกันเอง นี่เป็นหายนะกลุ่มจริงๆ!
“อ๊าว!!!!!”
“อ๊าว!!!!!!!”
ผู้เฝ้าหินที่ถูกแพร่ในตอนแรกสุดเริ่มบ้าคลั่งแล้ว พวกมันยกดาบหินขึ้น ฟาดไปยังกลุ่มของตัวเองด้วยความโกรธยิ่ง!
ผู้เฝ้าหินที่ได้รับโจมตีถูกกระตุ้นด้วยความโกรธจากกลุ่มเดียวกันทันที หลังจากถูกกระตุ้น จึงโต้กลับด้วยความโกรธที่สุด!
เปลวไฟสงครามจากส่วนน้อยในตอนแรกเริ่มคืบคลานออกไป กลายเป็นสงครามของผู้เฝ้าหินทั้งหมด!
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งลานกว้างนี้ได้กลายเป็นสนามรบฆ่าล้างของผู้เฝ้าหินเหล่านี้!
ลองคิดดู ศัตรูแข็งแกร่งที่ชู่มู่กับมั่วเย๋แทบไม่สามารถเอาชนะก่อนหน้านี้ ในตอนนี้แค่ยืนอยู่ข้างชู่มู่กับมั่วเย๋ ก็เท่ากับว่ากลุ่มนี้จะสลายไปเอง!
การแปรเปลี่ยนครั้งนี้ของมั่วเย๋เกินกว่าที่ชู่มูจินตนาการเอาไว้ นึกถึงเหตุการณ์ที่ผนึกเอาไว้ ดวงตาของชู่มู่ยิ่งส่องประกายขึ้นมาทันที จากใบหน้าตื่นเต้นของชู่มู่นั้นมองออกได้ว่าเขาจะพูดอะไร
“เซี่ยกว่างหาน ฉิงเย้ พวกเจ้าจะไม่ตายได้อย่างไร?”
อัคคีแห่งโทษเป็นสีแดงเข้ม เป็นการผสมระหว่างเลือดกับความมืด อีกทั้งมีความร้อนที่พร้อมจะแผดเผาทุกสรรพสิ่ง!
ลำตัวของมั่วเย๋ถูกอัคคีแห่งโทษนี้แผดเผาเอาไว้ ราวกับลำตัวทั้งหมดได้หล่อหลอมเข้าไปในเปลวไฟ มีเพียงดวงตาสูงส่งเยือกเย็นที่เห็นได้ชัดเจน!
“ฮูฮูฮูฮูฮู”
กลิ่นไอของอัคคีแห่งโทษนี้ได้ปล่อยพลังออกมาพร้อมกัน กดทับในพื้นที่รัศมีร้อยเมตรซึ่งมีมั่วเย๋เป็นศูนย์กลาง
ที่น่าตกใจคือ พื้นสีดำที่อยู่ใต้เท้ามั่วเย๋ กลายเป็นลายเส้นอัคคีแห่งโทษยักษ์ใหญ่ ลายเส้นนี้ได้ซ่อนพลังแข็งแกร่งที่สุดที่ทำให้จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดทำลายโลกนี้ได้ อีกทั้งยังผนึกความสามารถไร้ที่สิ้นสุดของพวกมันเอาไว้!!
ลายเส้นที่ผนึกไว้มีพลังสะเทือนอย่างมาก เหล่าผู้เฝ้าหินแทบไม่กล้าก้าวเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว ต่างถอยไปด้วยความหวาดกลัว
ส่วนมั่วเย๋ที่ยืนอยู่ใจกลางลายเส้นอัคคีแห่งโทษนี้ ลำตัวสีเงินสูงส่งปรากฎท่ามกลางอัคคีแห่งโทษร้อนระอุนี้อย่างช้าๆ!
สิ่งที่ปรากฎออกมาก่อนคือหัวของมั่วเย๋ เมื่อเทียบกับจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงแล้ว ลักษณะเปลี่ยนไปไม่มากเท่าไร แต่ในหางตาเรียวยาวนั้นกลับมีลายเส้นอลังการปรากฎขึ้น ลายเส้นนี้คืบคลานไปยังใบหน้าและลำคอของมั่วเย๋ ราวกับเป็นหน้ากากเยือกเย็น!
ลายเส้นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำลายความงดงามของราชันจิ้งจอกของมั่วเย๋ แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งของราชันมากขึ้น!
ลำตัวของจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงเป็นการรวมตัวของพลังและความงาม ส่วนราชันจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้ หลังจากที่มั่วเย๋แปรเปลี่ยนตระกูลแล้ว ร่างของมันเต็มไปด้วยความสมดุลระหว่างพลัง ความงาม ความลึกลับ และความป่าเถื่อน นับว่าเป็นท่าทีสมบูรณ์แบบที่สุดของสิ่งมีชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนของรูปร่าง โครงร่างของกล้ามเนื้อ ความยาวของสี่ขา แทบจะหาจุดบกพร่องไม่เจอ แม้แต่ขนสีเงินแต่ละเส้นยังสร้างขึ้นอย่างตั้งใจ ตอนที่พลิ้วไหวไปตามสายลม จะทำให้ผู้คุมดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนต้องคลั่งไคล้ต่อลักษณะภายนอกสมบูรณ์แบบนี้!
หางเก้าเส้นที่เต็มไปด้วยพลังของมั่วเย๋ไม่ได้หายไป แต่กลับกระจายไปตามลายเส้นอัคคีแห่งโทษนี้ ลากลงพื้น กางออกอย่างกลังการ อีกทั้งยังพลิ้วไหวไปตามอัคคีแห่งโทษอย่างบ้าคลั่ง ก่อเป็นลายเส้นหางจิ้งจอกที่ทรงพลัง!!
ผู้คุมดวงวิญญาณแต่ละคนต่างรู้ดี อย่าสนใจภายนอกของดวงวิญญาณมากเกินไป แต่ว่า ด้วยมุมมองความงามของมนุษย์แล้ว ต่อให้เป็นผู้คุมดวงวิญญาณมากประสบการณ์ ในตอนที่พวกเขาเห็นดวงวิญญาณ มักถูกลักษณะภายนอกของดวงวิญญาณดึงดูดได้ เพราะลักษณะภายนอกของดวงวิญญาณตัวหนึ่งมักบ่งบอกถึงภาวะเติบโตของมัน เป็นตัวตัดสินพลังที่มันมี!
ดังนั้น ลายเส้นกล้ามเนื้อทรงพลังอันงดงาม ขนงดงามบริสุทธิ์ เกราะที่เป็นนทรงเลี่ยมเงางาม ขาทั้งสี่ที่ทรงพลัง..สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมุมมองความงามที่มีต่อดวงวิญญาณหมวดอสูร
และในตอนที่จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเกิดท่ามกลางอัคคีแห่งโทษ ทำให้ชู่มู่ได้รับรู้ถึงความสมบูรณ์แบบราวกับผลงานศิลปะที่แท้จริง ยากที่จะจินตนาการได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่งดงามแบบนี้ในโลกของสิ่งมีชีวิตจะถูกมนุษย์เรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของบาปทั้งหลาย!
ความสมบูรณ์แบบของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดนี้ไม่ได้มีเพียงลักษณะภายนอกของพวกมัน พลังที่พวกมันมีสมบูรณ์แบบยิ่งกว่า อีกทั้งสมบูรณ์แบบเกินกว่าระดับตระกูลของตัวพวกมันเอง!!
เช่นเดียวกันที่ผู้เฒ่าหลีร้องขึ้นก่อนหน้านี้ เดิมจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเป็นจักรพรรดิสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว พลังหมวดอสูรกับพลังหมวดภูตวิญญาณของพวกมัน ทำให้พลังต่อสู้ของมันที่มีมาตั้งแต่เกิดเกินกว่าจักรพรรดิแล้ว อยู่ในระดับเทียบเท่าราชัน!
บวกกับอัคคีแห่งโทษที่ตามตำนานบอกไว้ว่าจะแผดเผาโลกทั้งใบนี้ ระดับพลังต่อสู้ของมั่วเย๋อยู่ในระดับราชันขั้นต่ำทันที!!
ความสามารถระหว่างเทียบเท่าราชันกับราชันขั้นต่ำห่างกันถึงสามขั้น เท่ากับว่า มั่วเย่ในตอนนี้ปล่อยทักษะใดๆก็จะฆ่าตะขาบหมื่นขาลักษณะสิบในเหวตะขาบนั้นได้ในเสี้ยววินาที!!
ในตอนที่อยู่ด่านที่เจ็ด ชู่มู่ที่เผชิญหน้ากับตะขาบหมื่นขาทำได้แค่เผยใบหน้าหวาดกลัวออกมา ตอนนี้ตะขาบหมื่นขากลับกลายเป็นแมลงน่าสงสารตัวหนึ่งไปแล้ว!
ที่สำคัญที่สุดคือ ศัตรูทั้งหมดที่ชู่มู่เผชิญอยู่ในตอนนี้ กองทัพจักรพรรดิที่ทำให้สิ่งมีชีวิตระดับราชันหวาดกลัวได้ แต่ในตอนนี้กลับอึ้งกับพลังราชันของมั่วเย๋ ไม่มีผู้เฝ้าหินตัวใดกล้าโจมตีไปยังมั่วเย่ จักรพรรดิขั้นสูงที่โจมตีมั่วเย๋ก่อนหน้านี้เหมือนกับรูปปั้นในตอนนี้ ยืนนิ่งอยู่กับที่ เห็นได้ชัดมากว่า ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ก็คิเไม่ถึงว่าจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงตัวนี้จะแปรเปลี่ยนแบบนี้ได้!
ต่อหน้าราชันจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดมั่วเย๋นี้ ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงอ่อนแออย่างมาก อีกทั้งไม่มีความกล้าแม้แต่จะหนีไป!
หางยาวที่เหมือนมังกรนี้ยืนออกไปด้านหน้า มั่วเย๋ยืนอยู่กับที่ หางราชันจิ้งจอกเส้นนี้กลับลอยไปตรงหน้าผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ช้าๆ ม้วนจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้เอาไว้
ผู้เฝ้าหินแทบไม่มีความสามารถต้านทานได้ หางของราชันจิ้งจอกมีพลังรัดกุม พลังของผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงแทบไม่สามารถสลัดออกได้!
ดวงตาของมั่วเย๋เยือกเย็นสูงส่ง ราวกับเป็นราชันดุร้ายที่กำลังจับจ้องไปยังขุนนางไร้ความสามารถของตัวเอง พร้อมที่จะฆ่ามันให้ตายในทันที!
“บึ้ง!!!!!!!!!!”
ทันใดนั้น ร่างของผู้เฝ้าหินสลายเป็นเศษด้วยพลังของหางราชันจิ้งจอกมั่วเย๋!!!
พลังป้องกันของผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงอยู่ในขั้นเก้าระยะสมบูรณ์ มีเพียงพลังขั้นสิบถึงจะฆ่ามันตายได้ และแล้วจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเหมือนแทบจะไม่ได้ใช่แรงใดๆ ก็บีบขยี้จักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ให้สลายได้!!
ผู้เฝ้าหินมีสติปัญญาของพวกมันเอง พวกมันล้อมรอบมั่วเย๋เป็นร้อยๆ แต่ในตอนที่พวกมันเห็นผู้นำของตัวเองถูกฆ่าตายเหมือนมด ผู้เฝ้าหินทั้งหมดต่างสั่นคลอ!
…
ความเยือกเย็นของมั่วเย๋ เกิดจากความโกรธของมัน!
ในตอนนี้ เผชิญหน้ากับผู้เฝ้าหินที่นำความตายมาให้มั่วเย๋ก่อนหน้านี้ มั่วเย๋ที่โกรธเคืองอย่างมากจะทำให้พวกมันสัมผัสถึงความตายอันสิ้นหวังเหมือนกัน!
“อูอูอูอูอูอูอู!!!!!!!!!”
มั่วเย๋ส่งเสียงร้องทรงพลังยิ่ง
เสียงนี้ราวกับเปลวไฟ พุ่งเข้าไปในฟ้ายามค่ำคืน!
ลายเส้นอัคคีแห่งโทษด้านล่างมั่วเย๋หมองค้ำลงอย่างช้าๆ ตามเสียงร้องด้วยความโกรธของมั่วเย๋ ลายเส้นอัคคีแห่งโทษนี้ทยานขึ้นฟ้าช้าๆ
สุดท้าย ลายเส้นอัคีแห่งความโกรธนี้ได้สะท้อยบนฟ้าสีดำ ปกคลุมทั่วทั้งลานกว้างแท่นบูชา!
ลานกว้างแท่นบูชานี้มากถึงพันเมตร จินตนาการได้ว่าลายเส้นอัคคีแห่งโทษนี้ยิ่งใหญ่มากเพียงใดที่จะปกคลุมทั้งลานกว้างนี้ได้ เท่ากับว่าได้ปกคลุมฟ้าทั้งผืนนี้เอาไว้!!
ลายเส้นอัคคีแห่งโทษ ดอกบัวอัคคีสลายโลก!
ตามข่าวลือ ตอนที่ยังไม่มีผนึก ทักษะนี้เองที่ทำให้จิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ดนี้แผดเผาโลกนี้จนสิ้นซาก!
ต่อให้เป็นต้นเรื่องของบาปทั้งหมด ต่อให้พลังถูกผนึกเอาไว้ พลังของอัคคีสลายโลกนี้ยังเพียงพอที่จะแผดเผาพื้นที่แห่งนี้ได้!
หยดไฟสีแดงเข้มตกลงจากลายเส้นอัคคีแห่งโทษอย่างช้าๆ มองดูไม่ต่างจากเปลวไฟธรรมดาเท่าไร อีกทั้งระหว่างที่ตกลงยังเงียบสงัดมาก…
ทันใดนั้น ตอนที่หยดไฟสีแดงเข้มตกถึงพื้น บริเวณของอัคคีแห่งโทษนั้นได้ก่อเป็นดอกบัวอัคคีสีเลือดเข้ม!!
ดอกบัวอัคคีนี้ได้กลืนกินผู้เฝ้าหินรอบตัวมันในเสี้ยววินาที ผู้เฝ้าหินไม่มีแม้แต่โอกาสจะดิ้นรน กลายเป็นเถ้าถ่านด้วยพพลังนี้!
ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำมีพลังป้องกันน่ากลัวมากเพียงใด แต่หยดแห่งดอกบัวอัคคีเพียงหยดเดียว ก็พอที่จะฆ่าพวกมันในเสี้ยววินาทีได้แล้ว!
ในไม่ช้า หยดดอกบัวอัคคีหยดจากลายเส้นอัคคีแห่งโทษมากขึ้นเรื่อยๆ จะมีดอกบัวอัคคีสีแดงเข้มซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายปรากฎขึ้น สลายผู้เฝ้าหินรอบๆมัน!
“โคร้มโคร้ม!!โคร้ม!!!!!!!!”
ลายเส้นอัคคีแห่งโทษกลายเป็นคำพิพากษาวันสิ้นโลก ผู้เฝ้าหินจักรพรรดินับพันตัวต้องทนต่อการชำระล้างของราชันอัคคีผู้เกรี้ยวกราด ลานกว้างแท่นบูชาเต็มไปด้วยดอกบัวอัคคีร้อนระอุยิ่ง งดงามแต่โหดร้ายยิ่ง!
…
“จิ๊ดจิ๊ดจิ๊ดจิ๊ด”
ในที่ไกลออกไป ดวงวิญญาณส่งสารพิเศษตัวนั้นส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว
สายตาของมันร่วมกับผู้คุมดวงวิญญาณรับสาร ในระยะห่างแบบนี้ ผู้คุมดวงวิญญาณรับสารแทบไม่อาจรู้ว่ามั่วเย๋ได้เกิดการแปรเปลี่ยนตระกูลขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขาได้เห็นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดที่มีอัคคีแห่งโทษตัวหนึ่งปรากฎขึ้น ตามด้วยหายนะที่พัดพา ทำให้ดวงวิญญาณส่งสารอ่อนแอตัวนั้นเกือบถูกกลิ่นไอของเปลวไฟเผาเป็นเถ้าถ่าน!
ผู้คุมดวงวิญญาณรับสารเองก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผ่านไปเนิ่นนานถึงประกาศข่าวนี้ให้ลานกว้างเทียนเซี่ยรับรู้
…
ก่อนหน้านี้ทั้งเมืองเทียนเซี่ยยังตกอยู่ในความเงียบ ความจริงคนทั้งหมดกำลังรอข่าวความตายของชู่เฉิงตำหนักวิญญาณและดวงวิญญาณของเขา
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ…เขา…เขายังไม่ตาย ไม่รู้ว่ามีดวงวิญญาณหมวดไฟระดับราชันปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อไร!!!”
“ดวงวิญญาณหมวดไฟระดับราชันตัวนี้กำลังฆ่าล้างผู้เฝ้าหิน ผู้เฝ้าหินฝูงใหญ่กำลังถูกดอกบัวอัคคีนี้ฆ่าในเสี้ยววินาที!!”
ดวงวิญญาณหมวดไฟระดับราชัน?
ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำถูกฆ่าตายในเสี้ยวินาที?
นี่เป็นตรรกะอะไร?วัยหนุ่มขั้นสองคนหนึ่งมีดวงวิญญาณที่มีความสามารถระดับจักรพรรดิขั้นต่ำลักษณะสิบตัวหนึ่งก็เพียงพอที่จะเข้าสู่ลำดับแข็งแกร่งที่สุดในด่านที่เก้าได้แล้ว!!
และแล้วในตอนนี้ ในลำดับแข็งแกร่งที่สุดของขั้นสองนี้กลับถูกฆ่าในเสี้ยววินาที อีกทั้งยังถูกฆ่าเป็นหมู่!
“ข่าวนี้เป็นเรื่องจริง!”ในตอนนี้ ไห่ชิวหนึ่งในสี่ที่นั่งได้รวมร่ายวิญญาณเป็นเสียง ส่งไปยังลานกว้างเทียนเซี่ย ส่งเข้าหูของทุกคน
“สมาชิกฝ่ายจัดการประลองที่อยู่เมืองอมตะของพวกเราสัมผัสได้ถึงพลังเปลวไฟมหาศาลที่ส่งมาจากตำแหน่งของแท่นบูชาอสูรเลือก!”
ผู้คุมดวงวิญญาณรับสารอาจโกหกได้ แต่ประธานฝ่ายจัดการประลองฟ้าดิน ไห่ชิวที่มีตำแหน่งสูงส่งในสมาคมผู้อาวุโสจะโกหกเหรอ?
วินาทีนี้ คนทั้งหมดในลานกว้างถึงรู้ว่าสิ่งที่ผู้คุมดวงวิญญาณรับสารพูดไม่ใช่เรื่องแต่ง!!
ถ้าบอกว่านี่เป็นความจริง ถ้าอย่างนั้นดวงวิญญาณระดับราชันที่ฆ่าล้างผู้เฝ้าหินในเสี้ยววินาทีนี้ มีอยู่จริง!!
แม้แต่สมาชิกฝ่ายจัดการประลองนอกเมืองอมตะยังสัมผัสได้ถึงพลังไฟที่คืบคานออกมา พอจะรู้ว่าหมวดไฟที่ปรากฎในลานกว้างนั้นเป็นหายนะที่สาหัสมากเพียงใด!!
“ระดับราชัน…พระเจ้า!!”จ้าวเหิงร้องขึ้น
“ชู่เฉิงอยู่ที่นั่น เห็นได้ชัดว่าดวงวิญญาณระดับราชันตัวนั้นกำลังช่วยชู่เฉิงต่อสู้กับผู้เฝ้าหินนับพันตัว…หรือว่า…”สมาชิกตำหนักวิญญาณแต่ละคนต่างเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ถ้าพูดต่อไป พวกเขาเองก็แทบไม่เชื่อ!
“หรือว่า นั่นถึงจะเป็นดวงวิญญาณหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของชู่เฉิง การมีอยู่ของระดับราชัน!”
“ดวงวิญญาณหลักระดับราชัน…ชู่เฉิงนี่ผิดปกติเกินไปแล้ว!!!เจ้าเด็กนี่ควรถูกห้ามเข้าแข่งขันตั้งแต่แรกแล้ว!!”แม้แต่นักวิญญาณเฒ่าเต๋อที่อยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกก็ทนไม่ไหวแล้ว ร้องขึ้นทันที!
…
สิบปีก่อน
…
“ชู่มู่ วันนี้พวกเราจะพูดเรื่องดวงวิญญาณที่มีความสูงส่งอย่างมาก” ชู่เทียนหมังเดินด้วยเท้าเปล่า ม้วนกางเกงขึ้น เหยียบลงบนหินอ่อนในแม่น้ำ
ชู่มู่อายุเจ็ดขวบม้วนกางเกงขึ้นเหยียบลงน้ำเช่นกัน ทว่า ตัวของเขาเล็กกว่า น้ำในแม่น้ำนี้แทบจะถึงขาอ่อนของเขาแล้ว
“ดวงวิญญาณอะไรเหรอ เก่งมากไหม ข้าจะได้มันมาไหม” ใบหน้าละอ่อนของชู่มู่เผยความดื้อดันออกมา ทำท่าทีจะไม่ถูกแม่น้ำซัดออกไป
และแล้ว เขายังคงเหยียบบนหินที่ลื่นอันหนึ่ง ล้มลงในน้ำทั้งคน
เห็นว่าจะถูกแม่น้ำซัดออกไป มือใหญ่ของชู่เทียนหมังคว้าลงในน้ำ หิ้วชู่มู่ที่เปียกชุ่มไปทั้งตัวขึ้นจากน้ำ มองดูท่าทีไม่จำยอมของเขา กลับหัวเราะออกมา
“พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกลงโทษ เจ้าในตอนนี้เล็กจนไม่อาจทนแรงของแม่น้ำได้ จะได้มันมาได้อย่างไร พวกมันแค่จามก็ทำให้เจ้าปลิวขึ้นฟ้าได้” ชู่เทียนหมังยิ้มแล้วหิ้วชู่มู่ที่เปียกทั้งตัวไปไว้ด้านหลัง แบกชู่มู่เดินทวนสายน้ำไปตามแม่น้ำ
“สิ่งมีชีวิตที่ถูกลงโทษ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น” ชู่มู่ถามด้วยความสงสัย
“การเกิดของพวกมันเป็นความผิดอย่างหนึ่ง” ชู่เทียนหมังพูดพร้อมรอยยิ้ม
“การเกิดเป็นความผิดอย่างหนึ่งงั้นหรือ” ชู่มู่ยิ่งไม่เข้าใจ การเกิดเป็นวัฎจักรใหม่ของสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงบอกว่าเป็นความผิดละ
ต่อให้ชาติก่อนพวกมันจะทำบาปเอาไว้ แต่หลังจากเกิดใหม่เท่ากับว่าความผิดทั้งหลายถูกลบล้างแล้วไม่ใช่เหรอ
“สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ มีกฎระเบียบเข้มงวดในการควบคุมสิ่งมีชีวิตในแต่ละขั้น แต่พวกมันแข็งแกร่งมากเกินไป การเกิดของพวกมัน อาจก่อเป็นหายนะอย่างหนึ่งได้” ชู่เทียนหมังบอก
ชู่มู่หมอบอยู่บนหลังของชู่เทียนหมัง เบิกตากว้าง เห็นได้ชัดว่า เขาเกิดความสนใจต่อเรื่องนี้อย่างมากแล้ว
“ตามตำราโบราณว่า สิ่งมีชีวิตมีโทษเจ็ดอย่าง กลุ่มหรือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงส่งหลายตัวจะถูกโทษเหล่านี้หลอกล่อ การเกิดขึ้นของความผิดซึ่งเป็นต้นกำเนิดของโทษนี้จะนำไปสู่สงครามที่ไร้ที่สิ้นสุด มีสงครามก็ย่อมมีความตาย โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มที่ใหญ่โตแล้ว ถึงตอนนั้น เลือดจะไหลเป็นลำธาร ฟ้าดินไร้แสงใด ๆ …”
“และท่ามกลางกองซากศพ สายเลือดที่ไหลเป็นลำธาร และบนซากปรักหักพังนับไม่ถ้วนนั้น มักจะมีราชันจิ้งจอกสูงส่งตัวหนึ่ง มันจะมองดูโลกของสิ่งมีชีวิตที่ไม่เหลือชิ้นดีนี้ด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง เฉยเมยไร้เยื่อใย…
“ราชันจิ้งจอกตัวนี้ คือต้นตอของเรื่องทั้งหมดนี้ มันนำพาหายนะมาให้”
คางของชู่มู่วางอยู่บนไหล่กว้างของชู่เทียนหมัง กะพริบตา ใช้ความคิดเนิ่นนานถึงพูดขึ้นว่า “เป็นสิ่งมีชีวิตที่นำพาหายนะมาให้เหรอ สงครามระหว่างกลุ่มควรเกิดจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของพวกมัน ทำไมต้องโทษที่ราชันจิ้งจอกตัวนี้ด้วย”
“คึคึ นี่คงเป็นโทษที่แปดของชีวิตแล้ว พวกมันไม่เคยสนใจปัญหาของตัวเอง เจ้าพูดไม่ผิด ราชันจิ้งจอกตัวนี้ไม่ใช่ต้นตอของเรื่องทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่กำลังจะจบหายนะ พวกมันจะปรากฏตัว ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันปรากฏตัวทำไม…”
“เจ้าก็ไม่รู้เหรอ” ชู่มู่ถามขึ้น
ชู่เทียนหมังส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม พูดต่อว่า “ในสมัยก่อน ผู้คนโทษความผิดทั้งหมดไว้ที่มัน ดังนั้น มันมีความผิด อีกทั้งผู้คนได้ใช้ผนึกแข็งแกร่งยิ่ง ผนึกพลังของราชันจิ้งจอกโทษทั้งเจ็ดนี้ไว้ เพื่อให้มันชดใช้โทษจากการสร้างหายนะนี้ จำต้องผ่านไปหนึ่งพันรุ่นถึงจะลบล้างความผิดทั้งหมดได้…”
“หนึ่งพันรุ่น อายุขัยของราชันจิ้งจอกยาวกว่ามนุษย์มาก ต้องใช้เวลากี่ปีเหรอ” ชู่มู่พูดอย่างตกใจ
“ใช่ จนถึงตอนนี้ราชันจิ้งจอกเจ็ดชนิดยังชดใช้โทษอยู่…” ชู่เทียนหมังถอนหายใจ พูดต่อว่า “แต่ว่า ต่อให้เป็นการชดใช้โทษ ต่อให้พลังถูกผนึกเอาไว้ พวกมันยังคงแข็งแกร่งอย่างมาก !”
“แข็งแกร่งกว่ามังกรวายุที่เจ้าพูดถึงครั้งก่อนอีกเหรอ” ชู่มู่ถามขึ้น
“มังกรวายุ…” ตอนที่ได้ยินชื่อนี้ ชู่เทียนหมังสติเลื่อนลอยเล็กน้อย
หลังจากยิ้มฝืน ๆ แล้ว ชู่เทียนหมังพูดอย่างจริงจังว่า “แข็งแกร่งกว่า ! แม้จะเป็นจักรพรรดิเหมือนกัน แต่พวกมันแข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรวายุ พวกมันเป็นวีรบุรุษในจักรพรรดิ ! ต่อให้พวกมันกำลังชดใช้โทษอยู่ ยังคงมีพลังสลายฟ้าดินอยู่ !”
ชู่มู่กำไหล่ของชู่เทียนหมังแน่น อดใจไม่ไหวที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่ต้องชดใช้โทษจากชู่เทียนหมัง !
ชู่เทียนหมังยิ้มอย่างเมตตาพูดขึ้นว่า “จำไว้ให้ดี พวกมันชื่อว่าจิ้งจอกโทษทั้งเจ็ด ! มีความสามารถเจ็ดชนิดที่แตกต่างกัน เป็นต้นตอของบาปทั้งเจ็ดชนิด”
“จิ้งจอกโทษทั้งเจ็ด !!!” ตอนที่ได้ยินชื่อนี้ ชู่มู่สัมผัสได้ว่า จิตวิญญาณของตัวเองสั่นคลอนเล็กน้อย เขาในตอนนี้อยากเห็นท่าทีสูงส่งของจิ้งจอกโทษทั้งเจ็ดนี้อย่างมาก
“จิ้งจอกโทษทั้งเจ็ดจะมีชื่อที่แตกต่างกัน หนึ่งในชื่อของมันซึ่งบันทักไว้ในตำราโบราณ มีชื่อว่า จิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ด !”
…
…
บนฟ้าเหนือเมืองอมตะ
ฟ้าสีดำที่เชื่อมกับพื้นดินพลิกตัวราวกับคลื่นสีดำ ความกดอากาศยุ่งเหยิงนี้ทำให้เศษในเมืองอมตะม้วนเข้าไปกลางอากาศ คืบคลานเหนือเมืองอมตะแห่งนี้ ทำให้ฟ้าด้านบนนี้ขุ่นมัวอย่างยิ่ง !
บริเวณพื้นที่ที่มีความกดอากาศรุนแรงมากที่สุดปรากฏท่ามกลางลานกว้างแท่นบูชาอสูรเลือด !
บริเวณที่อยู่ของเมืองแห่งนี้ ราวกับระยะห่างระหว่างฟ้ากับดินแค่ไม่กี่เมตร ฟ้าที่อยู่แค่เอื้อมมือทำให้ผู้เฝ้าหินทั้งหมดในสนามรู้สึกถึงความกดดันมหาศาล !
วินาทีนี้ผู้เฝ้าหินนับพันตัวตกอยู่ในความหวาดกลัว ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงเหล่านั้นเหมือนจะรู้ว่า มีบางอย่างจะปรากฏในแท่นบูชาแห่งนี้ ร่างกายเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย ส่งเสียงคำรามอย่างหวาดระแวง !
“อู อู อู อู อู อู อู !!!ช”
เสียงร้องของมั่วเย้สะเทือนไปทั่วฟ้าดิน ขนสีเงินพลิ้วไหวอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีเงินคู่นั้นเผยให้เห็นไฟที่ร้อนระอุ !!!
นี่เป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยพลังลึกลับบางอย่าง !!!
มองผ่านดวงตาคู่นี้ ราวกับจะได้เห็นโลกอีกใบหนึ่ง โลกที่เป็นหนึ่งเดียว !!!
“จิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ด ควบคุมพลังเปลวไฟ ผู้คนเรียกเปลวไฟของมันว่า เป็นอัคคีแห่งโทษ นั่นเป็นพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าผลึกเปลวไฟระดับที่ห้าอันแข็งแกร่ง ได้ข่าวว่ามันมีพลังมหาศาลที่แผดเผาโลกทั้งใบได้ !”
ชู่มู่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ด้านหลังมั่วเย้ คำพูดของชู่เทียนหมังที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับจิ้งจอกโทษทั้งเจ็ดดังก้องกับวานอยู่ในหัวของเขา !
และแล้วในตอนนี้ สิ่งที่ชู่มู่เห็นคือ อัคคีแห่งโทษที่ลุกโชนขึ้นในลำตัวสีเงินของมั่วเย้ ผลึกอัคคีระดับที่ห้าซึ่งแข็งแกร่งกว่าไฟปีศาจเก้าวิญญาณระดับที่สี่ !
“จิ้งจอกโทษทั้งเจ็ด !!! มั่วเย้กำลังแปรเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกโทษทั้งเจ็ด !!!”
ชู่มู่รู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นอย่างแรง !
จิ้งจอกโทษทั้งเจ็ด นั่นเป็นตำนานที่เป็นเหมือนเทพนิยายในวัยเด็กของตัวเอง โดยเฉพาะเป็นนิทานที่ต้องผ่านการปิดผนึกพันรุ่นถึงจะชำระล้างบาปได้ ยิ่งทำให้หัวใจของชู่มู่ในวัยเด็กสะเทือนอย่างยิ่ง !
ต่อให้เป็นการชำระบาปโทษ ต่อให้เป็นพลังที่ถูกผนึกไว้ แต่ยังคงเป็นวีรบุรุษของจักรพรรดิ นี่เป็นพลังที่แข็งแกร่งมากเพียงใด !!!
“นาย…ท่าน !!! นาย…ท่าน !!! จิ้งจอกน้อยของเจ้า…มัน…มันแปรเปลี่ยนอีกแล้ว !!!”
เสียงของผู้เฒ่าหลีที่ไม่ได้หนีไปดังก้องกังวานในหัวของชู่มู่ !!!
ผู้เฒ่าหลีแฝงตัวในโลกตะวันตกเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาที่คอยสืบเรื่องต่าง ๆ ได้รู้เรื่องที่จิ้งจอกน้อยของชู่มู่แปรเปลี่ยนจากปีศาจจิ้งจอกหกหางอัคคีร้ายเป็นจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงตอนอยู่เมืองเจี่ยเช่นกัน
การแปรเปลี่ยนตระกูลได้เกิดขึ้นกับดวงวิญญาณของชู่มู่ นับว่าเป็นบุญที่ฟ้าส่งมาให้กับชู่มู่ อย่างไรก็ตาม ถ้ามั่วเย้ไม่ได้อยู่ในระดับจักรพรรดิ ชู่มู่แทบไม่สามารถทำให้ดวงวิญญาณอื่นเข้าสู่ระดับจักรพรรดิได้ไวขนาดนี้
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าหลีเหลือเชื่อคือ จิ้งจอกน้อยที่เคยผ่านการแปรเปลี่ยนตระกูลมาก่อนกลับแปรเปลี่ยนอีกครั้งแล้ว !!!
แปรเปลี่ยนต่อเนื่อง !!!
ผู้เฒ่าหลีรู้ว่า พรสวรรค์จิ้งจอกน้อยตัวนี้ของชู่มู่แข็งแกร่งอย่างมาก แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า จิ้งจอกน้อยกลับแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องได้ !!!
“พระเจ้า !!! จิ้งจอกน้อยจะแปรเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด !!! นี่…นี่เป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มจักรพรรดิ !!! พลังต่อสู้ที่มีตั้งแต่เกิดอยู่ในระดับราชันแล้ว !!!” เสียงร้องของผู้เฒ่าหลีก็เพียงพอที่จะบอกถึงความหวาดกลัวของเจ้าปีศาจอายุสองร้อยกว่าปีที่มีต่อการปรากฏตัวของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด !!!
ผู้เฒ่าหลีมากประสบการณ์ จะไม่รู้ตำนานของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดได้อย่างไร ! อีกทั้งถ้าตามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ชำระบาปให้จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดได้ละก็ ผนึกของจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดจะถูกคลี่คลายออก กลายเป็นการมีอยู่ที่เกินกว่าราชัน !
“เดิมจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดเป็นจักรพรรดิสมบูรณ์แบบ มีความสามารถที่เทียบเท่าราชัน บวกกับอัคคีแห่งโทษที่เป็นพลังระดับห้า…ระดับพลังต่อสู้ของมันเทียบเท่าระดับราชันขั้นต่ำได้ ! นายท่าน…นายท่าน นี่เป็นพลังต่อสู้ระดับราชันขั้นต่ำ บางที…บางทีท่านอาจไม่ต้องตายแล้ว !!!” ผู้เฒ่าหลีร้องขึ้นราวกับเป็นบ้า !
จิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด ระดับราชัน อีกทั้งยังเป็นระดับราชันขั้นต่ำ !!!
แม้แต่ชู่มู่เองก็ไม่คิดว่ามั่วเย้จะกลายเป็นจิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษซึ่งเป็นหนึ่งในจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ดในเวลาที่สำคัญนี้ !
จิ้งจอกราชันอัคคีสลายโทษทั้งเจ็ด นี่เป็นดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ในหัวของชู่มู่ตั้งแต่เจ็ดขวบ ชู่มู่ไม่คิดว่า จะมีวันนี้ ตัวเองจะมีจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด !!!
มองไปยังมั่วเย้ วินาทีนี้ ชู่มู่ไม่รู้จะใช้คำใดเพื่ออธิบายความสะเทือนใจของตัวเอง…
อีกทั้ง ในดวงตาสีดำของชู่มู่ เริ่มมีน้ำตาไหลออกมาอย่างช้า ๆ
แค่หยดเดียวเท่านั้น แต่น้ำตาหยดเดียวนี้ได้อธิบายอารมณ์ทั้งหมดของเขาแล้ว !
น้ำตาใสนี้ไหลอาบแก้มของชู่มู่ ชู่มู่ที่จดจ่ออยู่กับมั่วเย้แทบไม่สังเกตเห็น ในตอนที่น้ำตาหยดนี้ไหลลง เกิดเป็นความประหลาดบางอย่างกลางอากาศ หายไปอย่างไร้ร่องรอย…
ส่วนขวดยาพิเศษที่ชู่มู่เก็บไว้ในแหวนช่องว่าง น้ำตาแห่งศิลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ความจริงชู่มู่ไม่เคยได้สังเกตเห็นมาตลอด น้ำตาแห่งศิลากำลังเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ทุกครั้งที่วิญญาณของชู่มู่กับวิญญาณของดวงวิญญาณมีปฏิสัมพันธ์กันก็จะทำให้น้ำตาแห่งศิลาเพิ่มขึ้น
ตอนที่เห็นความทรงจำของภูตพันวายุ ตอนที่ปีศาจขาวกลายเป็นจักรพรรดิขั้นสูง ตอนที่จั้นเย้ยึดครองภูเขาซากศพ…น้ำตาแห่งศิลาได้แอบสะสมน้ำตาแห่งวิญญาณอย่างลับ ๆ
และในครั้งนี้ ตอนที่มั่วเย้แปรเปลี่ยนตระกูลเป็นหนึ่งในจิ้งจอกแห่งโทษทั้งเจ็ด กลับเป็นตอนที่น้ำตาแห่งศิลาเพิ่มขึ้นมากที่สุด !!!
ด้านในมิติผนึก
เซี่ยกว่างหานยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งคนถูกห่อหุ้มด้วยไอเย็นเยียบ มองออกได้ว่า ผิวซีดขาวบนหน้าเขากำลังกระตุกอยู่ ดวงตาคู่นั้นเผยความโกรธมากมายออกมา!
“เจ้าบ้าไปแล้ว เปิดผนึก ผู้เฝ้าหินนับพันจะถาถมเข้ามา หรือว่าเจ้าจัดการได้ !” ฉิงเย้เห็นเซี่ยกว่างหานทำท่าทีประหลาด ตะโกนด่าด้วยความโกรธทันที !
เซี่ยกว่างหานกำลังพยายามจะเปิดผนึกจริง ๆ เขาไม่สนใจความเป็นอยู่ของชู่มู่ แต่จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงตัวนั้นคือ สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุด !
“ก็แค่จิ้งจอกอัคคีเก้าหางระดับผู้นำสมบูรณ์แบบตัวหนึ่ง ใช้เงินก็ซื้อมาได้ ต่อให้จะพิเศษมากเพียงใด จะมีค่ามากกว่ามารนิรยขาวกับมั่วเย้ตัวนี้เหรอ” ฉิงเย้พูดขึ้น
“เจ้าไม่เข้าใจ !” อารมณ์ของเซี่ยกว่างหานแย่มาก พูดอะไรก็ไม่เกรงใจทั้งนั้น
ฉิงเย้ไม่รู้แม้แต่น้อย ว่านั่นเป็นดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่อง และเดิมทีดวงวิญญาณตัวนี้ควรตกอยู่ในมือเซี่ยกว่างหาน แต่เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า วางกับดักไว้ กลับจับมันไม่ได้ !!!
ผลสรุปนี้ทำให้เซี่ยกว่างหายปวดหัวอย่างมาก ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า !!!
เขากวาดตามองไปยังทั้งสามคนอย่างเยือกเย็น นัยน์ตาดุร้ายขึ้น !
“พวกเจ้าไปตายให้หมด !!!”
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นบนตัวเซี่ยกว่างหาน ไอเย็นเยียบปกคลุมมิติผนึกคับแคบนี้ทันที พลังนี้เกินกว่าพลังของปีศาจขาวกับเจ้าหญิงปีศาจขาวทันที !
นี่เป็นมารนิรยขาวที่มีไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลางตัวหนึ่ง !!!
สีหน้าของเซี่ยกว่างหานดุร้ายอย่างมาก ความโกรธของเขาในตอนนี้ลุกโชนขึ้นเช่นเดียวกับไฟปีศาจเก้าวิญญาณ !!!
ในที่สุด มารนิรยขาวปรากฏตัวแล้ว เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นมารนิรยขาวลักษณะสิบระดับจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่ง !
“จักรพรรดิชั้นยอด !!!”
เย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลวต่างเผยสีหน้าตกใจออกมา พวกเขาจัดการดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นสูงก็ยากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารนิรยขาวระดับจักรพรรดิชั้นยอด !!!
“เนี๊ย !!!”
ปีศาจขาวที่ยืนอยู่ข้างเย้ชิงจือส่งเสียงร้องดุร้ายออกมาทันที !
อารมณ์ของเซี่ยกว่างหานแย่มาก อารมณ์ของปีศาจขาวแย่ยิ่งกว่าอีก โดยเฉพาะมนุษย์ตรงหน้าคนนี้เป็นตัวการที่ทำให้ชู่มู่ต้องตายลง ความแค้นในใจมันเริ่มทวีคูณมากขึ้น !
ไอร้อนบนตัวปีศาจขาวเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ต่อให้อยู่แค่จักรพรรดิขั้นสูง เผชิญหน้ากับมารนิรยขาวระดับจักรพรรดิชั้นยอดของเซี่ยกว่างหาน ปีศาขาวกลับเต็มไปด้วยกลิ่นไอดุร้าย เนตรลับจับจ้องไปยังดวงวิญญาณกลุ่มเดียวกันตัวนี้ ไม่มีท่าทีอ่อนน้อมใด ๆ !!!
“เจ้าตัวเล็ก เจ้ารอดมาได้ ยังต้องขอบคุณข้าเซี่ยกว่างหาน ตอนนี้คิดจะปฏิวัติต่อหน้าข้าเหรอ” เซี่ยกว่างหานจับจ้องไปยังปีศาจขาว พูดอย่างรังเกียจและหงุดหงิด
หลังจากพูดจบ เซี่ยกว่างหานได้ออกคำสั่งโจมตีไปยังมารนิรยขาวของตัวเอง !
พลังของไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลางแข็งแกร่งยิ่งกว่าไฟปีศาจเก้าวิญญาณของปีศาจขาว ตอนที่ไฟปีศาจสองชนิดปะทะกันในมิติผนึกแห่งนี้ สัมผัสได้ว่าไฟปีศาจของปีศาจขาวลดลงอย่างชัดเจน
และในไม่ช้า ไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นกลางได้พุ่งผ่านบนตัวปีศาจขาว แผดเผาแขนของปีศาจขาว ทิ้งรอยลึกสีเข้มเอาไว้
ปีศาจขาวไม่แยแสใด ๆ นำความแค้นที่อยู่ในร่างกายของตัวเองเปลี่ยนเป็นพลังเพื่อเพิ่มความสามารถของตัวเองอย่างต่อเนื่อง !
…
ฉิงเย้เห็นเซี่ยกว่างหานลงมือแล้ว ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังมั่วเย้สีดำทั้งตัวทันที แล้วฉีกยิ้มออกมา
จากมุมมองของจั้นเย้ ที่ฉิงเย้ให้ดวงวิญญาณตัวนั้นแสดงท่าทีท้าสู้นั้น เท่ากับว่ากำลังท้าทายตัวมันเอง ท้าทายมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตัวนั้น !
“ยังคิดจะประลองสักตั้งไหม มีเวลามากมายอยู่แล้ว จะทำให้สมปรารถนาของเจ้า แต่หวังว่า เจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ถ้าทำให้ข้าผิดหวัง ชีวิตของเจ้าคงหมดสิ้นไป” ฉิงเย้ร่ายคาถาขึ้นเช่นเดียวกัน !
กลิ่นไอความมืดเริ่มคืบคานกระจายออก พลังนี้ยังเข้มข้นกว่ากลิ่นไอความมืดของดวงวิญญาณตระกูลธาตุบางตัวอีก ถ้าไม่ได้เป็นเพราะบนสัญญาอัญเชิญมีสัญญาวิญญาณหมวดอสูรอยู่ คนที่เห็นพลังหมวดมืดนี้จะคิดว่า สิ่งที่ฉิงเย้อัญเชิญเป็นดวงวิญญาณธาตุหมวดมืดตัวหนึ่ง !
ท่ามกลางลายเส้นดวงวิญญาณ มั่วเย้ที่มีรูปร่างแข็งแรงปรากฏขึ้นช้า ๆ เกราะของมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตัวนี้เงางามและดำยิ่งกว่า ยืนรอยู่ตรงหน้าจั้นเย้ ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนจากลักษณะภายนอก !
มั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ที่แข็งแกร่ง เกราะสีดำเงางามถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่า ดวงวิญญาณแบบนี้มีสายเลือดชั้นเยี่ยมตั้งแต่เกิด พลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่ามั่วเย้ธรรมดาอย่างมาก !
หมวดคู่หลัก หมวดมืดกับหมวดอสูร อีกทั้งยังมีพรสวรรค์หมวดมืด !
สำหรับดวงวิญญาณตัวหนึ่งแล้ว สามารถเผยให้เห็นพรสวรรค์ของหมวดบางอย่างออกมาได้ นับว่าเป็นชั้นยอดของชั้นยอดแล้ว ดวงวิญญาณแบบนี้มักจะได้เปรียบระหว่างการต่อสู้อย่างมาก
และถ้าเป็นหมวดหลักคู่ละก็ เท่ากับว่าระหว่างที่ปรับการฝึกของมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตัวนี้ต้องใช้เงินทุนสามเท่าของวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งธรรมดา เพื่อเพิ่มหมวดคู่ทั้งสองชนิดในเวลาเดียวกัน ความสามารถของดวงวิญญาณหมวดคู่มักสูงกว่าระดับพลังต่อสู้ที่มันเป็นอยู่สองถึงสามขั้น !
เห็นได้ชัดมากว่า จากกลิ่นไอของมั่วเย้ตัวนี้เป็นแค่จักรพรรดิขั้นกลางตัวหนึ่ง ผลของหมวดคู่กลับทำให้พลังต่อสู้ของมันเทียบเท่ากับจักรพรรดิขั้นสูงได้ บวกกับมันยังมีพลังหมวดมืดพิเศษบางอย่าง ต่อให้เป็นจักรพรรดิขั้นกลางก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของมัน !
แค่ด้านระดับพลังต่อสู้ ความสามารถของมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตัวนี้ก็สูงกว่าจั้นเย้สามขั้นแล้ว !
โชคดีที่ว่า มั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตัวนี้ยังไม่ถึงลักษณะสิบ แต่อยู่ในลักษณะเก้าขั้นสูง สูงกว่าจั้นเย้ขั้นหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่า มั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตัวนี้ของฉิงเย้สวมเกราะวิญญาณขั้นเก้าราคาแพงอยู่ เช่นนี้ เมื่อมองภาพรวมแล้ว หากประเมินความสามารถของมั่วเย้กลุ่มราชวงศ์ตัวนี้ในภาพรวมแล้ว จะสูงกว่าจั้นเย้ถึงสี่ขั้น !
“ไม่ตายในสิบนาที เจ้าจะมีชีวิตรอดได้” ฉิงเย้พูดอย่างราบเรียบ
หลังจากพูดจบ เขากวาดตามองไปยังดวงวิญญาณของคนอื่นที่พร้อมจะต่อสู้ ฉีกยิ้มอย่างไม่แยแสแล้วพูดขึ้นว่า “ดวงวิญญาณของพวกเจ้า เป็นเหมือนขยะชัด ๆ ไม่จำต้องรีบหาที่ตายขนาดนั้น ข้าจะอัญเชิญดวงวิญญาณหลักของเจ้า ค่อย ๆ เล่นกับพวกเจ้าเอง !”
…
…
ลานกว้างแท่นบูชา
เวลาสิบวินาทีสั้นมาก ชู่มู่สัมผัสได้ว่า มีพลังหมวดหินที่ทำให้บางอย่างสั่นคลอนแล้วพุ่งตรงมา
ความกดอากาศที่ขุ่นมัวจมลงเรื่อย ๆ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าชู่มู่คือผู้เฝ้าหินแต่ละแถวที่ยกดาบหินขึ้น
ผู้นำคือผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงที่ขวางทางชู่มู่กลับไปยังตำแหน่งผนึกตัวนั้น !
ผู้เฝ้าหินตัวนี้สูงกว่าผู้เฝ้าหินตัวอื่น ดาบหินในมือนั้นใหญ่โตมาก ตอนที่ลากบนพื้นจะส่งเสียงเสียดสีอันหนวกหู ทิ้งรอยลึกไว้บนพื้น !
“อ๊าว !!!”
ทันใดนั้น ผู้เฝ้าหินระดับจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ยกดาบหินในมือขึ้น ส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำขึ้น
วินาทีที่ยกดาบหินนี้ขึ้น ผู้เฝ้าหินทั้งหมดได้หยุดเดินกะทันหัน ดวงตาสีเขียวที่เป็นระเบียบนั้นจับจ้องไปยังชู่มู่กับมั่วเย้
วินาทีนี้ ผู้เฝ้าหินรอบ ๆ มากมายยืนอยู่ตรงนั้นราวกับอัศวิน ล้อมชู่มู่กับมั่วเย้ไว้ในพื้นที่หนึ่งร้อยเมตร !
“กลัวว่าพลังจะโดนคนของตัวเองเหรอ” ชู่มู่เข้าใจแผนการของผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงตัวนั้นทันที
ทั้งลายกวางเต็มไปด้วยผู้เฝ้าหิน ถ้ารวมพลังทั้งหมดกวาดล้าง จะทำให้เพื่อนพ้องบาดเจ็บไปด้วย เห็นได้ชัดว่า ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงรู้ว่า ชู่มู่กับมั่วเย้หนีไปไม่ได้แล้ว เพื่อไม่ให้เพื่อนพ้องตัวเองได้รับบาดเจ็บ ผู้เฝ้าหินตัวนี้จะลงมือเอง!
“บึ้ง!!!บึ้ง!!!!!!”
ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงก้าวเท้าหนักอึ้งออก ดวงตาสีเขียวจับจ้องไปยังมั่วเย้ !
ผลของเชิญปีศาจจันทรายังอยู่ แต่ว่าต่อให้เป็นแบบนี้ความสามารถของมั่วเย้กับผู้เฝ้าหินตัวนี้ยังคงห่างกันสามขั้น !
“อ๊าว !!!”
ผู้เฝ้าหินระดับจักรพรรดิขั้นสูงส่งเสียงคำรามขึ้น ดาบหินชี้ลงพื้นทันที !
พื้นดินแยกออกกะทันหัน ลูกธนูหินสีดำปรากฏจากด้านล่างทันที พุ่งขึ้นอย่างลึกลับ บินไปยังข้างกายชู่มู่กับมั่วเย้ !
“อู อู อู อู !!!”
หางเก้าเส้นของมั่วเย้สะบัดอย่างบ้าคลั่ง ลูกศรสีดำพุ่งออกราวกับสายฝน อีกทั้งมีพลังโจมตีรุนแรง ทำลายการป้องกันของมั่วเย้อย่างง่ายดาย แทงเข้าไปในร่างกายและหางจิ้งจอกเก้าเส้นของมั่วเย้
ด้วยความสามารถในการหลบซ่อนของมั่วเย้ หลบการโจมตีแบบนี้ได้ มันกางหางออกก็เพื่อปกป้องชู่มู่เท่านั้น
เห็นลูกศรหินสีดำนี้แทงเข้าไปในร่างกายของมั่วเย้ ชู่มู่สูดหายใจเข้า ดวงตาสีดำคู่นั้นจับจ้องไปยังมั่วเย้ที่เต็มไปด้วยบาดแผลทันที
“ต่อให้ต้องตาย พวกเราก็ต้องให้ผู้เฝ้าหินเหล่านี้ตายไปพร้อมกับพวกเรา !!!” ทันใดนั้น ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นบนตัวชู่มู่ !
นี่เป็นพลังวิญญาณสุดท้ายของชู่มู่ ต่อให้พลังวิญญาณนี้กลายเป็นการโจมตีที่ไร้ความหมาย ชู่มู่จะไม่ให้มันอยู่ในร่างของตัวเองโดยที่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย !
ส่วนมั่วเย้ได้เข้าสู่ระยะแปรเปลี่ยนตระกูลแล้ว สายเลือดพิเศษบางอย่างที่ฝ่าฝืนกฎของสิ่งมีชีวิตจะไม่ปล่อยให้มันตายไปอย่างไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้ !!!
“มั่วเย้ แปรเปลี่ยนตระกูล !!! ให้ศัตรูที่คิดจะฆ่าพวกเราต้องแลกด้วยชีวิตของพวกมัน !!!”
มีเพียงการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่อาจชนะได้ สายเลือดแปรเปลี่ยนในตัวของมั่วเย้ถึงดุเดือดขึ้นมาได้
เดิมชู่มู่คิดจะให้มั่วเย้จัดการอสูรเลือดในแท่นบูชาเลือดอสูรนี้ลำพัง แบบนั้นจะทำให้มั่วเย้เกิดการแปรเปลี่ยนระหว่างต่อสู้ได้ ก้าวสู่ระดับเทียบเท่าราชันอย่างแท้จริง
แต่ศัตรูที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าหลายร้อยเท่า และเขารู้ว่า ต่อให้มั่วเย้แปรเปลี่ยนก็ยากที่จะเอาชนะพวกมันได้ แต่ชู่มู่กลับไม่สิ้นหวังด้วยเหตุนี้ สามารถเข้าสู่ระดับเทียบเท่าราชันได้ สามารถทำให้จักรพรรดินับไม่ถ้วนตายไปพร้อมกับตัวเองและมั่วเย้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณบนตัวชู่มู่กลายเป็นวงแหวนไฟปีศาจอย่างหนึ่ง โดยมีชู่มู่เป็นใจกลาง กระจายไปรอบข้างอย่างบ้าคลั่ง !
ผู้เฝ้าหินนับร้อยตัวรอบ ๆ กระจายไปบนตัวผู้เฝ้าหินแต่ละตัว ไฟปีศาจเก้าวิญญาณของชู่มู่นี้แทบไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้แม้แต่น้อย แต่วงแหวนไฟปีศาจนี้กลับทำให้ผู้เฝ้าหินเหล่านี้มองไม่เห็นในชั่วคราวได้ !
“อู อู อู อู !!! อู อู อู อู !!!”
มั่วเย้ที่เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด ได้เงยหน้าขึ้นในวินาทีที่ไฟปีศาจซีดขาวนี้กระจายออก ส่งเสียงร้องจิ้งจอกจากส่วนลึกของวิญญาณ !!!
“อู อู อู อู อู อู อู !!!”
เสียงจากวิญญาณนี้ก้องกังวานบนฟ้าเหนือเมืองอมตะนี้เนิ่นนาน ราวกับมีพลังชั่วรายบางอย่าง ตอนที่เสียงนี้ส่งขึ้นฟ้าในยามค่ำคืน กลับทำให้เกิดการบิดเบี้ยวอย่างลึกลับ !!!
…
วิญญาณของชู่มู่กำลังทยานขึ้น นี่เป็นลางก่อนการแปรเปลี่ยนตระกูลของมั่วเย้ !!!
…
ลานกว้างแท่นบูชา ดาบหินที่เต็มไปด้วยพลังแต่ละด้ามยกขึ้น ผู้เฝ้าหินนับสิบกว่าตัวเล็งไปยังชู่มู่หมด พลังที่รวมกันแข็งแกร่งอย่างมาก กลายเป็นความกลัวที่พอจะฉีกทุกอย่างได้ !
ในที่สุด พวกมันจะโจมตีแล้ว !!!
ชู่มู่ที่ตกอยู่ท่ามกลางผู้เฝ้าหิน จับหน้าอกของตัวเอง เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
พลังของจักรพรรดิขั้นสูงตีบนตัวชู่มู่ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะร่างกายของชู่มู่ผ่านการชำระล้างด้วยเลือดศักดิ์สิทธิ์บ่อมรกตมาก่อน การโจมตีนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างของชู่มู่สลายแล้ว !
ชู่มู่ฝืนลุกขึ้นยืน การโจมตีของเหล่าผู้เฝ้าหินไม่นับว่าไวมากเท่าไร สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอหมวดหินมหาศาลที่พัดพาจากรอบด้านนั้น ชู่มู่ไม่กล้าลังเลใด ๆ ร่ายคาถาขึ้น !
“โครม !!!”
ดาบหินสิบกว่าด้ามฟาดจากรอบด้าน พลังที่ผ่านฟ้าดินปรากฏขึ้นกะทันหัน แทบไม่ปล่อยให้ชู่มู่มีที่หลบซ่อนได้ !
พลังสิบกว่าอันเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน พลังมากถึงขั้นสิบแน่นอน ! ถ้าเปลี่ยนเป็นอยู่ในภาพแวดล้อมที่อื่น ทุกสิ่งในรัศมีพันเมตรนี้จะสลายไปแน่นอน !!!
วินาทีที่พลังเหล่านี้ถาถมเข้ามา ไฟปีศาจลุกโชนขึ้นบนตัวชู่มู่อย่างรวดเร็ว !
ไฟปีศาจแผดเผาร่างของเขา ทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นเถ้าถ่านทันที
“ฮู ฮู ฮู”
วินาทีต่อมา ชู่มู่ได้ปรากฏตัวในตำแหน่งหนึ่งร้อยกว่าเมตรออกไป ออกจากใจกลางการรวมตัวของพลัง
และแล้ว พลังเหล่านี้กลับส่งผลกระทบพันกว่าเมตรได้ การหลบของชู่มู่แค่ทำให้เขาออกจากพื้นที่ที่มีพลังรุนแรงที่สุดเท่านั้น
ในไม่ช้า แรงกระแทกของหมวดหินอันรุนแรงได้พัดพาเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ ร่างกายของชู่มู่ที่ปรากฏท่ามกลางไฟปีศาจเมื่อครู่กลับถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้าสูง เกิดรอยแผลลึกน่าหวาดกลัวบนร่างกายอีกครั้ง ราวกับกำลังฉีกร่างกายของเขา !!!
“อู อู อู อู !!!”
มั่วเย้ร้องด้วยความโกรธเคือง มันที่มีประกายสีเงินทั่วทั้งตัวก้าวเท้าออก สี่เท้าที่มีมงกุฎเพลิงพาดผ่านหัวของผู้เฝ้าหินนับไม่ถ้วน มุ่งตรงไปด้านหน้าชู่มู่…
“ซัวะ !!! ซัวะ !!!”
วินาทีที่มั่วเย้พุ่งเข้ามา มีมีดหินนับไม่ถ้วนไขว้กันกลางอากาศ เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่ามั่วเย้จะทยานขึ้นสูงเท่าไร พวกมันก็โจมตีถึงได้
มั่วเย้วิ่งหลบกลางอากาศ แต่แผลบนตัวกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ราวกับเดินอยู่ท่ามกลางฝนแห่งใบมีด ยิ่งความเร็วเพิ่มขึ้นมากเท่าไร แผลยิ่งมากขึ้นเท่านั้น…แต่ว่า มันยังคงวิ่งไปยังชู่มู่เต็มแรง
ที่โชคดีคือ พลังที่อยู่ในระดับขั้นสิบก่อนหน้านี้มีแรงกระแทกต่อพวกผู้เฝ้าหินระดับหนึ่ง มั่วเย้อาศัยแรงกระแทกนี้ทำให้พวกผู้เฝ้าหินถอยกลับบินผ่านหัวของพวกมัน ถ้าเป็นภาวะปกติ ด้วยความสามารถของมั่วเย้ ทันทีที่กระโดดไปครึ่งอากาศจะถูกผู้เฝ้าหินนับไม่ถ้วนฆ่าแน่นอน
“อู อู อู อู”
ในที่สุด มั่วเย้ยังคงบินไปตรงหน้าชู่มู่ ตอนที่ชู่มู่กำลังจะล้มลงกลางฝูงผู้เฝ้าหินมันได้ใช้หางม้วนชู่มู่ที่เต็มไปด้วยบาดแผลเอาไว้
สัมผัสได้ถึงความนุ่มของหางนั้น ต่อให้ลืมตาไม่ได้ ชู่มู่ก็รู้ว่ามั่วเย้ได้วิ่งมาแล้ว
แต่ว่า ชู่มู่ในตอนนี้กลับรู้สึกขมขื่นและไร้หนทาง
“มั่วเย้ กลับไปยังใจกลางของแหล่งพลัง ตรงนั้นจะปลอดภัยกว่าเล็กน้อย” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับมั่วเย้
ชู่มู่รู้ว่า อยู่กลางอากาศแบบนี้จะถูกผู้เฝ้าหินนับร้อยตัวโจมตีแน่นอน แบบนั้นเท่ากับหาที่ตายเอง
“อู” มั่วเย้พุ่งลงอย่างรวดเร็ว หลบการโจมตีระยะไกลของผู้เฝ้าหินจำนวนหนึ่ง มุ่งไปยังใจกลางของพลังก่อนหน้านั้น
พลังขั้นสิบยังไม่ทันได้หายไป ยังคงมีพลังหมวดหินมหาศาลออกมา ทว่า เพื่อให้ได้พักหายใจ มีเพียงมุ่งหน้ามาตรงนี้เท่านั้น มิฉะนั้น การโจมตีครั้งต่อไปของผู้เฝ้าหินจะทำให้พวกเขาตายแน่นอน
“ฮู ฮู ฮู” ขนสีเงินของมั่วเย้ถูกความกดอากาศเหล่านั้นพัดพาจนยุ่งเหยิง พลังหมวดหินที่ยังเหลืออยู่ได้ฉีกร่างกายของมั่วเย้ออก…
ในที่สุด มั่วเย้ยังคงตกอยู่ใตกลางพลังขั้นสิบ ตำแหน่งนี้กลับมีแรงกระแทกพัดพาไปรอบด้าน ตรงกลางมีช่องโหว่ค่อนข้างใหญ่ปรากฏขึ้น พลังทั้งหมดต้องใช้เวลาประมาณสิบวินาทีเพื่อให้มันสงบลง ส่วนการโจมตีครั้งต่อไปของเหล่าผู้เฝ้าหินคงเป็นวินาทีที่สิบนี้
ปีศาจขาวถูกผนึกไว้ในแท่นบูชาอสูรเลือดแล้ว ต่อให้ชู่มู่คิดจะใช้ภาวะครึ่งมารก็ไม่อาจทำได้ ถ้าเลือกที่จะทำให้เป็นภาวะครึ่งมารในตอนนี้เท่ากับเป็นการแผดเผาวิญญาณของตัวเอง…
“อู อู”
หลังจากตกถึงพื้น มั่วเย้ได้วางชู่มู่ลงพื้น
มั่วเย้รู้ว่า ไม่ว่าการโจมตีใด ๆ ก็ไม่อาจทำให้กองทัพผู้เฝ้าหินมหาศาลนี้ได้รับบาดเจ็บ มันยืนอยู่ข้างกายชู่มู่ ใช้ลิ้นของมันเลียไปยังบาดแผลบนแขนของชู่มู่ ราวกับจะลดความเจ็บปวดให้ชู่มู่
ชู่มู่ใช้มือลูบหน้าผากของมั่วเย้ ดวงตาคู่นั้นกลับไม่เผยความหวาดกลัวหรือสิ้นหวังต่อความตาย แต่กลับเต็มไปด้วยความขมขื่นและความรู้สึกโชคดี
“เจ้าเชื่อฟังมากที่สุด แต่ก็ดื้อที่สุดเหมือนกัน” ชู่มู่จะพูดอะไรได้อีก จะโทษความบ้าบิ่นแบบนี้ของมั่วเย้ก็ไร้ความหมายใด ๆ
ชู่มู่รู้ว่า ในตอนที่ตัวเองตกอยู่ในอันตราย ดวงวิญญาณทุกตัวของเขาก็พร้อมที่จะเสียสละชีวิตเพื่อเขา
พวกมันมีเหตุผลที่จะสละชีวิตเพื่อชู่มู่ ความชื่นชมของจั้นเย้ การมีอยู่ของปีศาจขาว การพึ่งพาของนิ้ง ความซื่อสัตย์ของปีศาจไม้ เสียงประสานของเย้…
มีเพียงมั่วเย้ ไม่ว่าตัวเองจะทำอะไร จะไม่มีเหตุผลใด ๆ และไม่ต้องมีเหตุผลใด ๆ
เช่นเดียวกับตอนนั้น มังกรจำศีลอัมพรมรกตแข็งแกร่งยิ่งที่ปกป้องมั่วเย้ได้จะพามั่วเย้จากไป มั่วเย้กลับกลับนอนหมอบอยู่บนไหล่ของมนุษย์ผู้อ่อนแออย่างชู่มู่ เช่นเดียวกับตอนที่อยู่บ้านแห่งภูตวิญญาณ ต่อให้สัญญาวิญญาณขาดจากกันแล้ว มั่วเย้ยังคงไม่ทอดทิ้งเขาไป…
“อู อู อู”
มั่วเย้พึมพำพร้อมกับความเศร้าโศกเล็กน้อย
โดยปกติตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรู มั่วเย้มักยืนอยู่ตรงหน้าชู่มู่
แต่ว่าตอนนี้มีศัตรูอยู่รอบด้าน มั่วเย้ทำได้แค่ยืนอยู่ข้างชู่มู่
“เจ็บใจใช่ไหม อีกไม่กี่ปี ต่อให้จักรพรรดิขั้นต่ำนับพันหมื่นก็จะไม่อยู่ในสายตาของพวกเราแล้ว” ชู่มู่ไม่มีท่าทีจะบ่น
ผู้คุมดวงวิญญาณทุกคนจะต้องเจอกับวันที่ไม่อาจเอาชนะศัตรูได้ ชู่มู่เองก็ไม่อาจโชคดีตลอดไป ชู่มู่ไม่ได้บ่นอะไร แค่เจ็บใจเท่านั้น เพื่อตัวเอง และเพื่อมั่วเย้…
“อู อู” มั่วเย้เงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเงินคู่นั้นจับจ้องไปยังชู่มู่ เผยประกายแน่วแน่ที่สุดออกมา
“แน่นอน” ในตอนนี้ชู่มู่ได้ฉีกยิ้มออกมา พูดด้วยสายตาแน่วแน่เช่นกันว่า “พวกเราจะสู้ต่อไป !”
ชู่มู่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ยืดตัวขึ้น
ชุดสีดำของเขาขาดจนไม่เหลือชิ้นดี ผมกระชายออก คล้ายคลึงกับคนป่าที่มีชีวิตบนเกาะนักโทษอย่างมาก
ขนสีเงินบนตัวมั่วเย๋แปดเปื้อนด้วยเลือดสีแดงฉาน เผยให้เห็นจิ้งจอกนองเลือดที่คลั่งเลือด !
ตอนที่ชู่มู่อยู่เกาะนักโทษ ต้องใช้พลังเพื่อเอาชีวิตรอด ในตอนนั้น ความมุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้ฝังลงในส่วนลึกในใจของชู่มู่แล้ว
ชะตาของมั่วเย้เหมือนกับชู่มู่ ในตอนที่มันเป็นแค่จิ้งจอกตัวเล็กระดับทาส ต้องการเติบโต ลอกคราบ แปรเปลี่ยนต่อเนื่อง
ในตอนนั้น ในป่าที่เต็มไปด้วยซากศพ ในตอนท้ายที่สุดมักมีเงาสีเงินกับสีดำที่จากไปอย่างสันโดษ…
ในตอนนี้ ยังคงเป็นคนเดียวกับจิ้งจอกตัวเดียว
เผชิญกับศัตรูในลานกว้างพันเมตรนี้ ต่อให้ผู้เฝ้าหินจะดุร้ายเดียงใด ไม่ว่าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่อาจปิดบังประกายที่สาดส่องออกจากตาของคนนี้และจิ้งจอกตัวนี้ได้ !
…
ดวงวิญญาณส่งสารวนรอบภายใต้เมฆสีดำ ในสายตาของดวงวิญญาณตัวเล็กนี้ กำลังเห็นภาพที่น่าสะเทือนใจยิ่ง
“ชู่มู่กับดวงวิญญาณของเขา ตกอยู่ในลานกว้างที่มีผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำพันตัว…”
ตอนที่ดวงวิญญาณส่งสารนำข่าวนี้ไปยังผู้คนที่อยู่ในลานกว้างเทียนเซี่ย คนเกือบแสนคนในลานกว้างนี้ส่งเสียงขึ้นทันที !!!
ข่าวนี้กระจายออกต่อเนื่อง ราวกับพายุที่กำลังพัดพา !
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร !!!”
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณกับดวงวิญญาณของเขาตายแบบนี้เหรอ”
“พวกเขาในตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ !!!”
เสียงร้องสะเทือนต่อเนื่อง ผู้คนมากมาย ทำให้ลานกว้างเทียนเซี่ยเกิดความสะเทือนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน !!!
ซ่างเหิง ถิงหลัน จ้าวเฉิง และสมาชิกตำหนักวิญญาณมากมายนั่งอยู่บนที่นั่งของพวกเขา จากสายตาของพวกเขามองออกได้ว่า พวกเขายากที่จะรับความจริงนี้ได้
“ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสาร พวกเขายังไม่ตายใช่ไหม”
“ตอนนี้ละ ถูกฆ่าหรือยัง”
เสียงตั้งคำถามดังขึ้นเรื่อย ๆ แม้ผู้คนทั้งหมดรู้ว่า ชู่มู่ไม่อาจมีชีวิตรอดแล้ว แต่พวกเขาอยากรู้ว่าผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มสะเทือนทั้งเมืองเทียนเซี่ยนี้จบลงเมื่อไร…
คนที่เคารพ นับถือชู่มู่ จะต้องรู้เวลาที่เขาพ่ายแพ้ให้ได้ !
…
ดวงวิญญาณส่งสารที่บินวนอยู่เหนือลานกว้างอสูรเลือดจะเห็นเช่นเดียวกับเจ้าของมัน ดังนั้น ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารจะเห็นสถารการณ์ตรงนั้นได้
แต่ว่าในตอนที่ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารเห็นได้ด้วยกับตา ได้อึ้งไปหลายวินาที ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรเพื่อบรรยายสิ่งที่ตัวเองเห็นในตอนนี้
ในที่สุด ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารยังคงกระจายข่าวออก
“พวกเขากำลังต่อสู้”
ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารทำได้แค่บรรยายด้วยคำว่าพวกเขากำลังต่อสู้ หรือบางทีเขาเองยังฝืนใจใช้คำนี้ แต่ว่าเขารู้สึกว่า พวกเขากำลังต่อสู้จริง ๆ !
พวกเขากำลังต่อสู้ !
นี่เป็นคำบรรยายที่ง่ายดายเพียงใด [PP1] จะมีผู้คุมดวงวิญญาณคนใดที่ต่อสู้ไม่บ่อย
แต่ว่าเผชิญกับศัตรูจำนวนมากที่ไม่อาจเอาชนะได้แบบนี้ ความหมายที่ว่าพวกเขากำลังต่อสู้ได้เปลี่ยนไปทันที !
“พวกเขากำลังต่อสู้”
แม้แต่ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองที่ส่งสารยังกดเสียงให้ต่ำ เสียงทุ้มต่ำนี้ดังขึ้นในหูของคนทั้งหมดในลานกว้างแห่งนี้
และแล้ว วินาทีนี้ ทั้งลานกว้างเทียนเซี่ยเงียบสงัด !
ชู่มู่ที่สวมชุดดำไม่เหลือชิ้นดี จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงที่เต็มไปด้วยเลือด พวกเขากำลังต่อสู้ท่ามกลางกองทัพผู้เฝ้าหินมหาศาล…
ต่อให้ผู้คนมองไม่เห็น แต่พวกเขาสามารถจินตนาการภาพสะเทือนใจในหัวนี้ได้ !!!
มิติด้านในผนึกไร้เดือนและตะวัน ราวกับถ้ำไร้ที่สิ้นสุดปราศจากแสงใด ๆ สิ่งที่เห็นนี้กลับเป็นความมืดและความเยือกเย็นที่ขุ่นมัว พื้นที่ที่เคลื่อนไหวได้กลับมีจำกัดอย่างมาก
ไฟปีศาจบนตัวปีศาจขาวกับองค์หญิงปีศาจขาวสาดส่อง ทำให้มองเห็นโครงร่างประหลาดของมิตินี้ได้บ้าง
ทั้งมิตินี้เหมือนโลกครึ่งวงกลม พื้นที่เล็ก ๆ แบบนี้ก็มีแค่เท่าที่ประกายไฟปีศาจสาดส่องเท่านั้น
มิติผนึกนี้อึดอัดอย่างมาก เย้ชิงจือ เย้หวันเชิง และองค์หญิงจิ่งโหลวรวมถึงดวงวิญญาณของพวกเขาต่างอยู่ในความเงียบ ทำให้มิตินี้ดูอ้างว้างลึกลับกว่าเดิม
ในตอนนี้ พวกเขาต่างรู้ว่าชู่มู่กับมั่วเย้ไม่มีทางมีชีวิตรอดแน่นอน ที่ทำให้พวกเขาผวาไม่ได้เป็นแค่ชู่มู่ที่ตกอยู่ในความตายเท่านั้น ยังมีมั่วเย้ที่ลุกโชนความสามารถพุ่งเข้าไปในกองทัพร้อยพันนั้นลำพังด้วย
ต่อให้มั่วเย้ลักษณะเก้าขั้นกลางจะมีผลต่อเนื่องของเชิญปีศาจจันทรา ความสามารถก็เทียบเท่าแค่กับผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำตัวเดียวเท่านั้น
อย่างมาก มันทำได้แค่รับมือกับผู้เฝ้าหินแค่ตัวเดียว แต่พื้นที่ที่มันพุ่งออกไป กลับมีผู้เฝ้าหินแบบนี้หนึ่งพัน ตัว !
นี่เป็นพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ ด้วยสติปัญญาของมั่วเย้ มันไม่มีทางไม่รู้ว่าการพุ่งออกไปแบบนี้ไร้ความหมายใด ๆ อีกทั้งมันอาจยากที่จะพุ่งไปตรงหน้าชู่มู่ก็ได้
แต่ว่ามันยังคงพุ่งออกไป เหมือนไม่มีเหตุผลใด ๆ !
ริมฝีปากขององค์หญิงจิ่งโหลวจะกัดขาดแล้ว เธอเป็นคนเดียวที่รู้ว่ามั่วเย้เป็นดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่อง
ความจริง สิ่งมีชีวิตที่แปรเปลี่ยนต่อเนื่องได้อย่างมั่วเย้ เป็นการมีอยู่ที่เกินกว่ามนุษย์แล้ว ต่อให้ตอนนี้มันเป็นดวงวิญญาณของชู่มู่ แต่จากสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่แล้ว สิ่งมีชีวิตสูงส่งแบบนี้ได้กลายเป็นดวงวิญญาณของชู่มู่ ก็เป็นแค่การพึ่งพาเท่านั้น หลังจากร้อยปีผ่านไป ในตอนที่ผู้คุมดวงวิญญาณอย่างชู่มู่แก่ชราแล้วตายจากไป มันกลับยังมีชีวิตอยู่ เริ่มก้าวสู้เส้นทางชีวิตที่สูงส่งกว่าเดิม
ดังนั้น องค์หญิงจิ่งโหลวเข้าใจเป็นอย่างดี มองจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตนี้ มนุษย์อาจเป็นเจ้าของดวงวิญญาณ แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตสูงส่งแล้ว มนุษย์เป็นแค่เครื่องมือที่ช่วยให้มันเติบโตได้เร็วขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีราชันอายุนับพันปี อีกทั้งยังมีการมีอยู่ซึ่งสูงกว่าราชันอยู่ การเป็นดวงวิญญาณของมนุษย์แบบนี้ อาจเป็นแค่ขั้นแรกของสิ่งมีชีวิตแบบนี้เท่านั้น…
ความสัมพันธ์ระหว่างดวงวิญญาณกับมนุษย์ไม่ใช่นายกับทาส องค์หญิงจิ่งโหลวเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ไม่มีชู่มู่แล้ว มั่วเย้ที่ฝ่าฝืนกฎของสิ่งมีชีวิตยังเติบโตต่อไปได้ กลายเป็นการมีอยู่สูงสุดของสิ่งมีชีวิต มันจะแปรเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับราชัน หรืออาจเกินกว่าราชัน อีกทั้งกลายเป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เป็นการมีอยู่เช่นเดียวกับพระเจ้า…
สติปัญญาเติบโตเต็มที่ อีกทั้งเป็นจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงที่รู้ว่าตำแหน่งของตัวเองควรตัดสินใจอย่างไร
แต่ว่ามั่วเย้ยังคงตัดสินใจอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ นี่กลับทำให้ในใจคนอื่นไม่เข้าใจอย่างมาก
หลังจากสัญญาวิญญาณตัดขาด ต่อให้ดวงวิญญาณจะสนิทสนมกับผู้คุมดวงวิญญาณมากเพียงใด ยังคงมีชีวิตต่อไปได้ ส่วนการกระทำแบบนี้ของมั่วเย้เท่ากับว่าหลังจากผู้คุมดวงวิญญาณตายไป จะจบชีวิตสูงส่งยิ่งของตัวเองไปพร้อมกับผู้คุมดวงวิญญาณ !
…
“ในนี้น่าจะมีอสูรเลือดเกียรติสุดท้ายผนึกอยู่ ทำไมไม่มีอะไรเลย” เสียงของเย้หวันเชิงได้ทำลายความเงียบในที่สุด
เย้หวันเชิงก็รู้ว่า ครั้งนี้ชู่มู่ตายแน่นอน
เย้หวันเชิงเองก็เป็นคนที่มีสติคนหนึ่ง รู้ว่าตอนนี้เศร้าเรื่องชู่มู่กับมั่วเย้ไปก็ไร้ความหมาย อย่างไรเสีย พวกเขาควรคิดว่า ชู่มู่แลกโอกาสนี้ด้วยชีวิตของเขา ก็ควรจะคว้ามันเอาไว้
เย้หวันเชิงได้สำรวจรอบ ๆ แล้ว เขาไม่พบเห็นอสูรเลือดที่ถูกผนึกตัวนั้น เห็นได้ชัดว่า ประหลาดอย่างมาก
เย้ชิงจือเริ่มปิดจมูกที่ส่งเสียงพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาแล้ว เธอในตอนนี้จะสนใจว่า ในนี้มีอสูรเลือดผนึกอยู่หรือไม่ไปทำไม เธอเหมือนคนที่ตกอยู่ในความเศร้าหมอง จากสีหน้าของเธอก็มองออกว่าเธอกำลังบังคับสติของตัวเอง ยิ่งยังคับเท่าไรเธอก็ทนไม่ได้มากเท่านั้น
“ง่ายมาก ถูกพวกเราฆ่าแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงเยือกเย็นดังขึ้นในมิติอ้างว้างแห่งนี้
เสียงนี้โดดเด่นอย่างมาก ทำให้ทั้งสามคนตื่นตัวทันที ทั้งสามคนต่างนิ่งอึ้ง แล้วจับจ้องไปยังบริเวณมุมของมิติผนึกแห่งนี้
ในตอนนี้ มิติผนึกแห่งนี้มีเงาสองอัน อันหนึ่งผอมสูง ไฟปีศาจสีขาวที่สาดส่องทำให้เขาซีดขาวอย่างมาก ราวกับศพที่ถูกแช่แข็ง
อีกคนหนึ่งกลับมีสายตาที่อ้างว้าง สีหน้าเยือกเย็นเฉยเมย แต่กลับให้ความรู้สึกทรงพลังบางอย่าง เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลอันตรายคนหนึ่ง !
“เจ้าโง่ซือเทียนกลับทำให้ผู้เฝ้าหินทั้งหมดฟื้นขึ้นมา หาที่ตายเองชัด ๆ โชคดีที่พวกเจ้าก็ไม่โง่ รู้ว่าต้องหลบเข้ามาในมิติแห่งนี้” เสียงเยือกเย็นดังขึ้นจากชายผู้เยือกเย็นคนนั้น
ตอนที่เย้ชิงจือเห็นชายคนนี้ กลับรู้สึกหนาวไปทั้งตัว !
คนนี้คือ ผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งที่ทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าตัวเองกับชู่มู่ในด่านที่แปด ฉิงเย้ !
เย้ชิงจือคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ฉิงเย้จะปรากฏตัวที่นี่ได้ อีกทั้งให้ความรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเขา !
“เซี่ยกว่างหาน !!!”
องค์หญิงจิ่งโหลวยักคิ้วขึ้น ดวงตาเยือกเย็นคู่นั้นของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี เซี่ยกว่างหานปรากฏข้างกายองค์หญิงจิ่งโหลว ในตอนนั้นองค์หญิงจิ่งโหลวคิดว่าเขาเป็นคนภักดีต่อตัวเอง แต่หลังจากนั้นมา พบว่าเซี่ยกว่างหานเป็นคนที่โลภมาก เกี่ยวโยงกับอำนาจต่าง ๆ อีกทั้งปรากฏต่อหน้าตัวเองก็เป็นแค่แผนการของเขา
การปรากฏตัวแบบนี้ของเซี่ยกว่างหายทำให้องค์หญิงจิ่งโหลวรู้สึกหวาดกลัว ในตอนที่อยู่เมืองเจี่ย องค์หญิงจิ่งโหลวได้บอกกับชู่มู่ว่า คนที่เป็นองครักษ์ต่างเป็นคนที่มาจับตามองตัวเอง องค์หญิงจิ่งโหลวเองก็ไม่รู้ว่า คนข้างกายตัวเองถูกเซี่ยกว่างหานควบคุมไว้ตั้งแต่ตอนไหน
จนถึงปีสองปีนี้ หลังจากที่องค์หญิงจิ่งโหลวสังเกตเห็นความโลภของเจ้านี่แล้ว ถึงสลัดเจ้านี่ได้เสียที ไม่คิดว่าเขายังคงปรากฏตัวที่นี่ !
“องค์หญิง ข้าเป็นคนให้แผนที่เมืองอมตะกับเจ้า เจ้าพาพวกเขาเข้ามาในมิติที่ไม่อาจหนีออกไปได้นี้แล้ว ไม่ต้องแสดงอีกต่อไปแล้ว พวกเขาได้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือแล้ว” ใบหน้าซีดขาวของเซี่ยกว่างหานฉีกยิ้มออกมา
คำพูดนี้ของเซี่ยกว่างหานทำให้สีหน้าของเย้ชิงจือกับเย้หวันเชิงเปลี่ยนไปทันที พวกเขาต่างมองไปยังองค์หญิงจิ่งโหลว เผยท่าทีไม่เป็นมิตรออกมา
สองพี่น้องนี้คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า นี่เป็นแผนร้ายที่เซี่ยกว่างหานกับองค์หญิงจิ่งโหลวคิดขึ้นมา เธอจงใจหลอกล่อให้พวกเขาเข้ามาในมิติผนึกแห่งนี้ !
คำพูดนี้ของเซี่ยกว่างหานทำให้องค์หญิงจิ่งโหลวนิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว นัยน์ตาเผยสีแห่งความโกรธเคืองออกมา
องค์หญิงจิ่งโหลวคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า เซี่ยกว่างหานจะเชี่ยวชาญด้านการวางแผนถึงระดับนี้ จงใจให้คนอื่นบอกเรื่องแผนที่เมืองอมตะกับตัวเอง แล้วเดาว่าตัวเองจะไปหาชู่มู่ แล้วตกในกับดักของเขา…
ไม่แปลกที่ผนึกมีร่องรอยถูกเปิดออกมาก่อน ไม่แปลกที่องค์หญิงจิ่งโหลวแทบไม่ต้องใช้ร่ายวิญญาณ ผนึกก็หมุนตัวได้ ทั้งหมดนี้มีสาเหตุอยู่ !
“เห็นพวกเจ้าเต็มไปด้วยความสงสัย อย่างไรมีเวลาอีกมาก จะอธิบายให้พวกเจ้าฟัง แผนที่ที่ให้พวกเจ้า เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเจ้ามาถึงแท่นบูชาอสูรเลือดก่อนได้ ข้าได้ทำบางอย่างกับผนึกของแท่นบูชานี้ก่อนแล้ว ไม่ว่าใครในพวกเจ้าเป็นคนเปิดผนึกนี้ จะทำให้ผนึกนี้ดูดคนนั้นเข้ามา ทันทีที่หนึ่งในบรรดาพวกเจ้าตกอยู่ในมิติผนึกนี้ ข้าคิดว่าคนอื่นจะไม่ปล่อยให้คน ๆ นั้นตกอยู่ในผนึกนี้แน่นอน บวกกับองค์หญิงจงใจบอกกับพวกเจ้าว่า ผนึกนี้ไม่แน่นอน สามารถทำลายจากด้านในได้ แบบนี้ พวกเจ้าจะเข้ามาในผนึกนี้อย่างไม่ลังเล และแล้วคนทั้งหมดจะตกอยู่ในกับดักที่ข้าเซี่ยกว่างหานวางไว้…”
เซี่ยกว่างหานยิ้มอย่างเย่อหยิ่งออกมา แล้วพูดต่อว่า “แน่นอนว่า พวกเจ้ามาช้ากว่าที่พวกข้าคิดไว้ และแล้ว ซือเทียนกับเจ้านั่นกลับได้ปะทะกัน ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวมหาศาลแบบนั้นอยู่ด้านนอก”
“ทว่า ไม่ว่าอย่างไร พวกเจ้ายังคงกระโดดเข้ามาในกับดักนี้” เซี่ยกว่างหานหัวเราะออกมา
ก่อนที่คุณท่านหญิงได้บอกเซี่ยกว่างหานว่าจะพาเขาเข้ามาในเมืองอมตะแห่งนี้ เขาได้วางแผนไว้ก่อนแล้ว
และในมิติผนึกแห่งนี้ เซี่ยกว่างหานสามารถอัญเชิญได้ตามใจ บวกกับมีฉิงเย้เป็นผู้ช่วย จัดการพวกเขาได้ง่ายเกินไปจริง ๆ ส่วนชู่มู่กับมั่วเย้เองก็ไม่อาจพ้นจากหายนะได้ง่าย !
“อย่ามองข้าแบบนี้ เขาจงใจสร้างความแตกแยกระหว่างพวกเรา ถ้าข้าคิดจะดึงพวกเจ้าเข้ามาในกับดักนี้ คงไม่บอกเรื่องที่ดวงวิญญาณท่านพ่อของชู่มู่ถูกผนึกไว้ให้ชู่มู่รู้แล้ว และจะไม่มาสายด้วย” องค์หญิงจิ่งโหลวสังเกตได้ว่า พี่น้องตระกูลเย้เผยท่าทีไม่เป็นมิตรออกมา พยายามพูดอย่างใจเย็น
หลังจากได้ยินคำพูดขององค์หญิงจิ่งโหลว เซี่ยกว่างหานเองก็อึ้งเล็กน้อย ไม่คิดว่า คำพูดอวดดีที่สร้างความแตกแยกของเขาจะล้มเหลว อดใจไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ทว่า ไม่เป็นไรแล้ว พวกเขาทั้งหมดจะตกอยู่ในกับดักของเขา !
“ชู่มู่ ข้าเซี่ยกว่างหานเคยพูดว่า จะคืนให้สิบเท่า จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน ตอนนี้เจ้าคงนึกเสียดายที่เป็นศัตรูกับข้าเซี่ยกว่างหานแล้วใช่ไหม !” เซี่ยกว่างหานหัวเราะออกมา กวาดตามองไปยังทั้งสามคนและดวงวิญญาณสิบกว่าตัวนั้น…
มิติผนึกมืดมัวอย่างมาก แม้เซี่ยกว่างหานก็ไม่เห็นชู่มู่ แต่รู้ว่า ชู่มู่ถูกดวงวิญญาณบางตัวบังไว้
“ชู่มู่ ทำไมตอนนี้ถึงหลบ ๆ ซ่อน ๆ ละ ตอนนี้ข้าให้โอกาสเจ้าท้าสู้ข้าอีกครั้ง…” เซี่ยกว่างหานตะโกนด้วยรอยยิ้ม
ความแค้นในตอนนั้น เซี่ยกว่างหานไม่มีวันลืม ถ้าไม่ได้เป็นเพราะชู่มู่ละก็ หลังจากโครงสร้างดวงวิญญาณใหม่ของเขา ตำแหน่งของเขาในตอนนี้คงเข้าใกล้เจ้าวังอย่างมากแล้ว และได้เข้าสู่ใจกลางของวังมารนิรยอย่างแท้จริงแล้ว ไม่ต้องมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้แล้ว !
วันนี้ ไม่ว่าอย่างไร เขาเซี่ยกว่างหานต้องทำให้ชู่มู่ทนต่อความเจ็บปวดมหาศาลให้ได้ !
“ชู่มู่ไม่อยู่ที่นี่” เย้ชิงจือพูดอย่างเยือกเย็น
ในตอนนี้เย้ชิงจือไม่ถูกความเศร้าปกคลุม แต่ดวงตาของเธอกลับเผยให้เห็นความแค้นจากใจ !
“ไม่อยู่งั้นหรือ แล้ว…แล้วจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกฎเพลิงตัวนั้นละ !” เซี่ยกว่างหานเผยท่าทีตกใจออกมา
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นบนตัวชู่มู่ ห่อหุ้มร่างของชู่มู่เอาไว้
เงาปีศาจลับ !
เงาของชู่มู่กระพริบ หลังจากเหลือเพียงเงาไฟสะดุดตาอยู่กับที่ ได้หายไปจากที่เดิมทันที เหลือเพียงเงาของไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่ไถลไปตามบันได มุ่งหน้าเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวนั้นอย่างรวดเร็ว !
“ชู่มู่ !” เย้ชิงจือจะไว้ใจให้ชู่มู่ไปฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวนั้นลำพังได้อย่างไร ในตอนนี้เขาได้ก้าวออกจากใจกลางของลายเส้นผนึก
“อย่าไป เชื่อเขา !” เย้หวันเชิงดึงเย้ชิงจือเอาไว้
ต่อให้เย้ชิงจือออกไปก็ไร้ความหมายใด ๆ พวกเขาในตอนนี้ทำได้แค่เชื่อใจว่า ชู่มู่จะจัดการสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าในเวลาอันสั้นแล้วกลับมาได้ทันเวลา
ชู่มู่ในตอนนี้เป็นเจ้าวิญญาณเจ็ดร่าย ยิ่งร่ายวิญญาณสูงเท่าไร ผลทักษะมารนิรยขาวที่เขาปล่อยออกมายิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น อาศัยความสามารถรับรู้อันเฉียดแหลมนั้น ร่างลึกลับของชู่มู่ทะลุผ่านระหว่างผู้เฝ้าหิน !
“บึ้ง !!! บึ้ง !!!”
ดาบหินน้ำหนักมหาศาลในมือของผู้เฝ้าหินกระแทกลงอย่างแรง การฟาดลงแต่ละครั้งมีน้ำหนักมากถึงพันกิโลกรัม ทิ้งรอยลึกไว้บนบันไดของแท่นบูชา
แท่นบูชานี้ได้สร้างขึ้นจากโครงสร้างชั้นหินพิเศษ ทำให้มันเกิดเป็นรอยได้ด้วยการกระแทกเพียงครั้งเดียวเท่ากับว่าพลังทั้งหมดนี้เกินกว่าขั้นเก้าแล้ว ถ้าสิ่งนี้กระแทกลงบนตัวศัตรูโดยตรง กระดูกจะแตกสลายเป็นเศษแน่นอน !
ชู่มู่หลบการโจมตีของผู้เฝ้าหินนี้อย่างเฉียดฉิว ลอบไปยังด้านหลังของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้านี้อย่างลึกลับ !
มือที่ยังมีไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนของชู่มู่คว้าไหล่ของผู้เฝ้าหินไว้แน่น นิ้วมือแทบจะเข้าไปในร่างของผู้เฝ้าหินสีฟ้านี้
ผู้เฝ้าหินสีฟ้านี้ถูกซือเทียนทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ชู่มู่ควบคุมมันได้อย่างง่ายดายมาก
แน่นอนว่า ชู่มู่รู้ว่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะฆ่าผู้เฝ้าหินสีฟ้านี้ไม่ได้แน่นอน ในตอนนี้ชู่มู่ได้ยื่นมือไฟปีศาจเก้าวิญญาณเข้าไปด้านหลังบริเวณหัวใจของผู้เฝ้าหินสีฟ้า !
ดับดวงใจ !!!
ทักษะเดียวของชู่มู่ในภาวะแบบนี้ที่จะได้ผล !
ถ้าไม่สำเร็จละก็ ผนึกจะเปิดออกไม่ได้ ผู้เฝ้าหินที่ถล่มขึ้นมายังแท่นบูชาอสูรเลือดนี้จะฆ่าคนทั้งหมด !
“ท่าทีแบบนี้ของชู่มู่…เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…” เย้หวันเชิงจับจ้องไปยังชู่มู่ที่เต็มไปด้วยไฟปีศาจเก้าวิญญาณทั้งตัว
เขารู้สึกว่า พลังลึกลับนี้ของชู่มู่ให้ความรู้สึกคล้ายกับครึ่งมารที่สะเทือนทั้งเมืองหลีนี้อยู่บ้าง
แน่นอนว่า ชู่มู่ในตอนนี้ยังคงภาวะร่างมนุษย์ไว้อยู่ แต่กำลังใช้พลังวิญญาณในการปล่อยทักษะของมารนิรยขาว ความสามารถในการต่อสู้ พลัง แรงกายของเขาไม่อาจเทียบเท่าภาวะครึ่งมารได้
ผู้เฝ้าหินสีฟ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ทักษะนี้ของชู่มู่เกิดผลได้อย่างดี ในไม่ช้า ได้ควักผลึกหินเครื่องในของมันออกมาได้แล้ว !
“ชู่มู่ กลับมาเร็ว ผนึกกำลังทำงาน !!!” องค์หญิงจิ่งโหลวรีบใช้ร่ายวิญญาณพูดกับชู่มู่
หลังจากที่ผลึกเครื่องในออกจากร่างของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้า พลังชีวิตของมันลดลงทันที ผนึกจะเปิดออกในเสี้ยววินาที!
“อู อู อู !!!” มั่วเย้ก็ส่งเสียงร้องไปยังชู่มู่ กลัวว่าจะถูกขังไว้ในนี้
ในมือชู่มู่ยังกำเครื่องในของสิ่งมีชีวิตอยู่ เดิมเขาคิดว่า ต้องขยี้เครื่องในของสิ่งมีชีวิตนี้ถึงจะนับว่าได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตนี้แล้ว ผนึกถึงจะเปิดออก
และเขาเองก็อาศัยเวลาหนึ่งวินาทีนี้ได้ แต่ไม่คิดว่า ทันทีที่พลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าลดลง ผนึกจะทำงานทันที เท่ากับว่าเขาในตอนนี้มีเวลาแค่วินาทีเดียว
“พวกเจ้ายืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ !” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับทุกคน
ไม่ว่าตัวเขาจะกลับไปได้ในหนึ่งวินาทีหรือไม่ ชู่มู่ก็ไม่หวังว่า จะมีใครก้าวออกจากลายเส้นผนึกแม้แต่ก้าวเดียว อย่างไรก็ตาม ผู้เฝ้าหินได้เข้ามาในพื้นที่โจมตีแล้ว มีผู้เฝ้าหินไม่น้อยได้ยกดาบเล่มใหญ่ในมือขึ้นแล้ว พร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
คนที่ออกจากลายเส้นผนึกก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้าตัวเขาไม่สำเร็จ คนที่ออกมามีแต่จะตายพร้อมกับตัวเองเท่านั้น !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นบนตัว ร่างกายของชู่มู่กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางไฟปีศาจสีขาวนี้
เงาปีศาจสลับตำแหน่ง !
เงาปีศาจสลับตำแหน่งของชู่มู่สามารถเคลื่อนที่ในระยะหนึ่งร้อยเมตรในเสี้ยววินาทีได้ และในเวลาแทบจะศูนย์วินาทีนี้ ยังมีระยะอีกหนึ่งร้อยเมตร ชู่มู่แค่ใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งของทะลุผ่านไปได้แล้ว
ถ้าในระยะห่างนี้ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ เวลาเพียงครึ่งวินาทีก็เพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหวในระยะหนึ่งร้อยเมตรแล้ว
และแล้ว ในตอนที่ชู่มู่ปรากฏตัวบริเวณลายเส้นผนึกหนึ่งร้อยเมตร ผู้เฝ้าหินตัวหนึ่งที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าตัวอื่นซึ่งอาจอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูง ได้จับเส้นทางเคลื่อนที่ของชู่มู่ ดาบหินในมือฟาดไปยังชู่มู่อย่างแรง !
ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูง !!!
ชู่มู่ยังไม่ทันได้ใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่ง ดาบกินนี้ได้พัดพาพลังหมวดหิน หมวดอสูรมุ่งมาทางชู่มู่ !
ชู่มู่ในตอนนี้อยู่ในภาวะมนุษย์ ในภาวะที่ไม่ได้ใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งยากที่จะหลบการโจมตีของจักรพรรดิขั้นสูงอย่างมาก
“โซ !!!”
ดาบนี้ฟาดลงอย่างแรง ระเบิดออกในขั้นบันไดแท่นบูชา พลังมหาศาลเหวี่ยงชู่มู่ขึ้นโดยตรง จนปลิวออกไป
ทั้งสามคนเห็นชู่มู่ถูกโจมตี สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ท่ามกลางฝูงผู้เฝ้าหินนับไม่ถ้วน ผู้คนไม่ทันรู้ว่า จะมีผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นสูงอยู่ด้วย !!!
และในตอนนี้ ลายเส้นสีแดงเข้มได้พุ่งขึ้นจากลายเส้นใต้เท้าของพวกเขา !
ลายเส้นสีแดงเข้มนี้สลับทับซ้อนตรงหน้าทั้งสามคนและดวงวิญญาณของพวกเขา วาดเป็นลายเส้นผนึกสีแดงกลางอากาศ !
ลายเส้นเหล่านี้ห่อหุ้มพวกเขาไว้อย่างรวดเร็ว คล้ายกับเป็นมิติพิเศษอย่างหนึ่ง กันพวกเขาออกจากโลกภายนอก ต่อให้พวกเขาห่างจากแท่นบูชาเลือดอสูรแค่ก้าวเดียว แต่กลับก้าวออกไปไม่ได้ตลอดกาล !
นี่เป็นการผนึก ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างถูกกันไว้ในมิติที่ไม่เชื่อมกับโลกภายนอก ไม่ฆ่าพวกมัน แต่กลับทำให้พวกมันไม่เห็นตะวันใด ๆ !
ชั่ววินาทีที่ถูกผนึก ทั้งสามคนต่างนิ่งอึ้ง สายตาที่มองผ่านลายเส้นผนึกสีแดง พวกเขามองเห็นได้ว่า ชู่มู่ที่มีไฟปีศาจเก้าวิญญาณกระแทกลงท่ามกลางผู้เฝ้าหินที่ถล่มเข้ามาราวกับน้ำ !
สายตาของผู้เฝ้าหินที่เพ่งเล็งไปยังผู้คนทั้งหมดได้เปลี่ยนไป ทันทีที่ผนึกปรากฏขึ้น พวกเขาเหมือนได้หายไปจากแท่นบูชาอสูรเลือดแห่งนี้ สายตาของผู้เฝ้าหินทั้งหมดหันไปยังผู้บุกรุกเพียงคนเดียว ชู่มู่ !
“ชู่มู่ !!!”
เย้ชิงจือเริ่มจะก้าวเท้าออก จะพุ่งออกไปนอกผนึก ให้เธอมองดูชู่มู่ถูกฉีกเลือดเนื้อท่ามกลางผู้เฝ้าหินแบบนั้น เธอทำไม่ได้
และแล้วพลังของผนึกไม่สามารถทำลายได้ ไม่ว่าเย้ชิงจือจะพุ่งออกไปอย่างไร รวมถึงเหล่าการโจมตีของดวงวิญญาณ ก็ไม่อาจทำให้ผนึกนี้สะเทือนแม้แต่น้อย เธอถูกกันออกจากโลกภายนอกแล้ว ผ่านไปอีกหนึ่งวินาทีพวกเธอทั้งหมดจะถูกผนึกไว้ในแท่นบูชาเลือดอสูรแห่งนี้
เย้หวันเชิงกับองค์หญิงจิ่งโหลวก็นิ่งอึ้ง พวกเขาเลือกที่จะเชื่อชู่มู่ เชื่อว่าเขาจะกลับมาได้ทันเวลา แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ผู้เฝ้าหินนับร้อยพัน กองทัพจักรพรรดิมหาศาล !!!
ทั้งสนามเต็มไปด้วยพลังอาฆาตของผู้เฝ้าหินที่ราวกับพายุ ชู่มู่ที่ไร้ซึ่งดวงวิญญาณใด ๆ ได้ตกอยู่ในนั้น จุดจบเป็นที่คาดเดาได้ง่ายมาก !
ส่วนพวกเขาที่ถูกผนึกเอาไว้ในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้แค่มองดูชู่มู่ถูกผู้เฝ้าหินล้อมเอาไว้…
ลายเส้นผนึกสีแดงเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ปิดกั้นสายตาของพวกเขา วินาทีต่อมา พวกเขาได้หายไปจากแท่นบูชาเลือดอสูรแห่งนี้ เข้าไปยังมิติส่วนใน…
“เนี๊ย !!!” ไฟปีศาจเก้าวิญญาณบนตัวปีศาจขาวลุกโชนอย่างดุเดือด
มันใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะเคลื่อนที่ออกไปนอกพื้นที่ผนึก ทว่า ไม่ว่าปีศาจขาวจะปล่อยออกมาอย่างไร ก็ไม่อาจทำลายการปิดกั้นของพื้นที่แห่งนี้ได้
“โฮร่ !!!”
กรงเล็บของจั้นเย้โจมตีอย่างบ้าคลั่ง คิดจะทำลายพลังพิเศษที่กีดขวางตัวเอง
แต่ผลยังคงเหมือนเดิม การโจมตีของจั้นเย้ไม่อาจทำลายพลังผนึกนี้ได้…
เมื่อเทียบกับจั้นเย้และปีศาจขาว มั่วเย้กลับใจเย็นอย่างมาก…
ร่างกายของมันจมลงเล็กน้อย ดวงตาสีเงินคู่นั้นจับจ้องไปยังผนึกสีแดงเข้ม ผนึกพระจันทร์สีเงินบนหน้าผากที่ถูกมงกุฎเพลิงซ่อนไว้ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ
“มั่วเย้ อย่าออกมา ต่อให้เจ้าแปรเปลี่ยนตระกูลก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้เฝ้าหินมากมายขนาดนี้ !”
ตอนที่ชู่มู่ตกอยู่ในฝูงผู้เฝ้าหินนี้ สัมผัสได้ถึงท่าทีของมั่วเย้
ในลานกว้างมีผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำแปดร้อยกว่าตัว ในบรรดาผู้เฝ้าหินเหล่านี้ยังมีจักรพรรดิขั้นกลางร้อยกว่าตัว ในนั้นยังมีจักรพรรดิขั้นสูงด้วย ต่อให้มั่วเย้แปรเปลี่ยนเป็นระดับเทียบเท่าจักรพรรดิ ก็ไม่อาจเป็นศัตรูของกองทัพผู้เฝ้าหินมากมายขนาดนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ยังไม่ถึงลักษณะสิบ !
เทียบเท่าระดับราชัน ลักษณะเก้าขั้นกลาง ความสามารถที่แท้จริงของมั่วเย้เทียบเท่าจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบ บวกกับผลของแสงจันทร์อาจเพิ่มขึ้นขั้นหนึ่งได้บ้าง
ความสามารถแบบนี้ถ้าเผชิญกับผู้เฝ้าหินหนึ่งร้อยตัว อาจทำลายการล้อมได้อย่างง่ายดายบ้าง แต่ในลานกว้างนี้มีผู้เฝ้าหินพันตัว ต่อให้เป็นระดับเทียบเท่าราชันก็อาจล่วงได้ !
การตายของชู่มู่คือ สัญญาวิญญาณที่ตัดขาด มั่วเย้ยังมีชีวิตอยู่ได้ ยังแปรเปลี่ยนตระกูลได้ ขึ้นไปยังชั้นยอดสุดของดวงวิญญาณได้ แทบไม่ต้องให้ตัวเองออกมาฝึกให้…
“อู อู อู อู !!!”
ทันใดนั้น มั่วเย้ส่งเสียงร้องแหลมขึ้น !
สายตาของมั่วเย้แน่วแน่อย่างมาก ประกายแสงจันทร์สีเงินบนตัวมันปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง พลังคลายผนึกของจิ้งจอกดวงจันทร์สีเงินนี้ได้กลายเป็นดาบแสง รวมอยู่บนกรงเล็บของมัน
คลายผนึก !!!
ในที่สุด มั่วเย้ยังคงออกโจมตี กรงเล็บได้กลายเป็นดาบแหลม ฉีกผนึกสีแดงเข้มที่อยู่ตรงหน้าของมั่วเย้ กลายเป็นช่องว่างมิติพิเศษแห่งนี้!
“อู อู อู อู !!!”
ขนสีเงินพลิ้วไหว ร่างอันเต็มไปด้วยพลังงดงามของมั่วเย้กลายเป็นประกายสีเงิน พุ่งออกจากช่องว่างนี้อย่างรวดเร็ว !
และในวินาทีนี้ ผนึกทั้งหมดได้สำเร็จลงแล้ว !
เย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลว จั้นเย้ ปีศาจขาวและดวงวิญญาณของพวกเขาทั้งสามคนได้หายไปในลายเส้นสีแดงเข้มนี้ในเสี้ยววินาที หายไปจากลานกว้างแห่งนี้
และสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาเห็นคือ เงาสีเงินที่พุ่งออกของมั่วเย้ จมอยู่ในกองทัพผู้เฝ้าหิน…
จากแผ่นหลังสีเงินของมั่วเย้ พวกเขาได้เห็นความแนวแน่ เป็นความแน่วแน่ที่ไม่มีเหตุผลใด ๆ
ในที่สุด เจ้าของดวงตาสีเขียวเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว มือทั้งสองของพวกมันได้ถือดาบยักษ์ใหญ่สร้างจากหินพิเศษบางอย่าง ยกขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยพลังอาฆาตทันที !!!
พลังของจักรพรรดิขั้นกลางตัวนี้กระจายไปทั่ว วินาทีนี้ซือเทียนถึงพบว่า ตัวเองถูกจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบหลายตัวล้อมรอบตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และพวกมันกำลังโจมตีมายังตัวเขาเอง !!!
พลังของผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นกลางน่ากลัวเพียงใด โดยเฉพาะตอนที่โจมตีพร้อมกัน ต่อให้บนตัวซือเทียนมีเกราะวิญญาณขั้นเก้า ถ้าไม่มีการป้องกันอื่นแล้วยังถูกโจมตีแบบนี้ จะกลายเป็นเศษแน่นอน !!!
“เป็นไปได้อย่างไร !!! พวกมันจะเห็นข้าได้อย่างไร !!!” ซือเทียนเหงื่อตกทันที ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว !
ตอนนี้ซือเทียนอยู่ในใจกลางสุดของลานกว้างนี้ รอบตัวเขามีผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นกลางอย่างน้อยสิบตัว!
ซือเทียนตกใจจนใบหน้าซีดขาว รีบร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญอสูรเชิญหงส์ออกมาตรงหน้าตัวเอง !
ซือเทียนอัญเชิญไวมาก ในตอนที่การโจมตีมาถึง อสูรเชิญหงส์ได้ปรากฏข้างเขา และรับการโจมตีแรกแทนตัวเขา
และแล้ว ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นกลางสิบตัวนี้ ต่อให้ความสามารถของอสูรเชิญหงส์จะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่อาจเผชิญกับผู้เฝ้าหินมากมายลำพังได้
ที่สำคัญที่สุดคือ ทันทีที่อสูรเชิญหงส์ปรากฏตัวขึ้น ผู้เฝ้าหินที่เล็งไปยังแท่นบูชาอสูรเลือดเหล่านั้นกลับหันกลับมา ดวงตาที่เต็มไปด้วยอาฆาตจับจ้องไปยังอสูรเชิญหงส์ของซือเทียน !
รอบตัวมีจักรพรรดิขั้นต่ำอย่างน้อยยี่สิบตัว ถ้ายี่สิบตัวนี้ออกโจมตีพร้อมกันละก็ จะน่ากลัวมากเพียงใด !!!
ซือเทียนอึ้งอยู่กับที่ เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า จะทำให้ผู้เฝ้าหินเหล่านี้ฟื้นขึ้นมา แล้วตัวเองจะตกอยู่ในลานกว้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายนี้ด้วย
ทันใดนั้น ซือเทียนเข้าใจแล้ว ตอนที่เห็นตัวเองกับอสูรเชิญหงส์จะถูกฝังไว้ในฝูงผู้เฝ้าหิน ซือเทียนตะโกนไปยังบางแห่งด้วยความโกรธเคืองยิ่งว่า “ฉิงเย้ !!! แม้แต่ข้า เจ้ายังคิดจะวางแผนด้วย !!! เจ้าไม่ตายดีแน่ !!!”
“โครม”
เสียงคำรามของซือเทียนถูกผู้เฝ้าหินเหล่านี้ทับทมทันที ในตอนนี้ ต่อให้ซือเทียนจะอัญเชิญดวงวิญญาณอย่างไร เขาก็ไม่อาจรอดจากลานกว้างผู้เฝ้าหินได้…
หลังจากนั้นไม่นาน ใจกลางของลานกว้างมีเลือดสดกระจายไปทั่ว สีแดงเหล่านั้นสาดลงบนตัวผู้เฝ้าหินสีเทา ทำให้ผู้เฝ้าหินเหล่านี้ดูดุร้ายนองเลือดมากยิ่งขึ้น
ชู่มู่และทั้งสี่คนอยู่บนแท่นบูชาอสูรเลือด พวกเขาได้เห็นการตายของซือเทียนอย่างชัดเจน
ทั้งลานกว้างมีผู้เฝ้าหินเกือบพันตัว ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าตกอยู่ในนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน
ตอนนี้พวกเขาสี่คนแทบไม่มีอารมณ์ไปตกใจกับความตายของซือเทียน เพราะพวกเขาในตอนนี้อยู่ใจกลางสุดของลานกว้างแห่งนี้ ผู้เฝ้าหินทั้งหมดกำลังถาถมเข้ามายังแท่นบูชาอสูรเลือดแห่งนี้ !!!
เย้ชิงจือกับองค์หญิงจิ่งโหลวกลัวจนเสียโฉม ผู้เฝ้าหินจำนวนมหาศาลแบบนี้ ถ้าพวกมันโจมตีพร้อมกันละก็ ทั้งแท่นบูชาอสูรเลือดจะต้องพังทลายแน่นอน !
“ชู่มู่” เย้ชิงจือกำแขนของชู่มู่แน่น ฝ่ามือมีเหงื่อออกมาบ้างแล้ว
ผู้เฝ้าหินนับร้อยพัน นี่ไม่ใช่พลังที่ต้านทานได้ !
“จุดจบของพวกเราจะเหมือนกับซือเทียน…” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดด้วยเสียงที่สั่นคลอ
“ตายแล้ว ตายแล้ว คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ข้าเย้หวันเชิงจะตายที่นี่ !” เย้หวันเชิงพูดพร้อมเหงื่อที่ท่วมตัว
เพียงแค่ผู้เฝ้าหินสิบตัวปรากฏพร้อมกัน พวกเขาสี่คนก็จัดการยากมากแล้ว ตอนนี้มีผู้เฝ้าหินนับร้อยตัว !!
“องค์หญิง เจ้ารู้วิธีใช้ผนึกของแท่นบูชาอสูรเลือดนี้ไหม” เสียงของชู่มู่ดังขึ้น
“อืม” องค์หญิงจิ่งโหลวพยักหน้า เธอผู้เฉลียวฉลาดเข้าใจว่า ชู่มู่จะทำอะไรในทันที จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้าหมายความว่าผนึกพวกเราเข้าไปเองงั้นหรือ”
ผนึกตัวเอง ! วิธีเดียวในตอนนี้คือ ผนึกพวกเขาเองไว้ในมิติของแท่นบูชาอสูรเลือด แบบนี้ถึงจะรอด!
ชู่มู่พูดขึ้นว่า “พวกเราไม่รู้จะจัดการผู้เฝ้าหินมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ทำได้แค่ผนึกตัวพวกเราเองไว้ในแท่นบูชาอสูรเลือดนี้ ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าผนึกอย่างไร พวกเราคงต้องเจอกันในโลกหน้าแล้ว”
“การผนึกเหมือนกับการคลายผนึก ต้องเริ่มลงมือจากสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าก่อน หลังจากฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าแล้ว ใช้ร่ายวิญญาณหมุนลายเส้นผนึกนี้ จะทำให้เกิดผลผนึกได้ แต่สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวสุดท้ายนั้นได้หลบไปใต้บันไดแล้ว” องค์หญิงจิ่งโหลวชี้ไปยังสิ่งมีชีวิตเจ้าเล่ห์ตัวนั้น
สิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าเป็นผู้เฝ้าหินเช่นกัน ผู้เฝ้าหินตัวนั้นทั้งตัวเป็นสีน้ำเงิน อีกทั้งแบ่งแยกได้ง่ายดาย ก่อนหน้านี้ซือเทียนได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าห้าตัวที่เหลือแล้ว ตอนที่กำลังจะฆ่าตัวสุดท้ายนี้ ชู่มู่ได้พุ่งเข้ามา ตอนนี้เพียงแค่จัดการผู้เฝ้าหินตัวนี้ พวกเขาก็จะเข้าไปในผนึกได้
“โครม โครม โครมโครม !!!”
“โครม โครม โครม โครม โครม !!!”
พลังมหาศาลของหมวดหินทำให้เศษหินเล็กของพื้นที่ทั้งหมดนี้ปลิวขึ้นกลางอากาศ ราวกับพื้นดินได้พลิกผัน สิ่งของทั้งหมดกำลังตกจากฟากฟ้า !
ลำตัวแข็งแรงกำลังมุ่งหน้ามายังแท่นบูชาอสูรเลือด แต่ละก้าวของผู้เฝ้าหินเหล่านี้ ทำให้ทั้งสนามนี้สั่นสะเทือนอย่างชัดเจน !
ดวงตาสีเเขียวแต่ละคู่กำลังจับจ้องไปยังทั้งสี่คนที่อยู่บนแท่นบูชาอสูรเลือด กลิ่นไออาฆาตพัดพาเข้ามาราวกับพายุ !!!
ผู้เฝ้าหินเหล่านี้ได้คุ้มกันแท่นบูชาแห่งนี้ พวกมันไม่กล้าทำการทำลายแท่นบูชาอสูรเลือดแห่งนี้ เช่นนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ผู้เฝ้าหินเหล่านี้รวมพลังสลายแท่นบูชาอสูรเลือดพร้อมสี่คนนี้
แต่ว่าผู้เฝ้าหินเหล่านี้กำลังเข้าใกล้แท่นบูชาอสูรเลือดทีละก้าว อีกไม่นาน ทั้งสี่คนจะถูกล้อมรอบ ถึงตอนนั้นพวกมันจะใช้หินดาบยาวในมือของพวกมันฟาดพวกเขาเป็นเศษได้
“จึ จึ จึ จึ”
บนฟ้าสีดำ ดวงวิญญาณส่งสารคล่องแคล่วตัวหนึ่งบินผ่านด้วยความหวาดกลัว เดิมทีมันคิดจะเก็บข่าวสารในลานกว้างแห่งนี้ แต่เพิ่งจะเข้าใกล้ ก็ถูกกลิ่นไอหมวดหินนั้นพัดออกไป เข้ามาแทบไม่ได้ ทำได้แค่มองจากที่ไกล แล้วส่งสารนี้ไปให้ผู้คุมดวงวิญญาณรับสารอย่างเงียบ ๆ
“พระเจ้า ผู้เฝ้าหินทั้งลายกว้างได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว !!!”
“ผู้เฝ้าหินระดับจักรพรรดิ ตัวใดก็สามารถสลายดวงวิญญาณทั้งหมดของพวกเราได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจำนวนเกือบพันนี้ ในเมืองอมตะมีสถานที่น่ากลัวแบบนี้ได้อย่างไร !!!”
ทั้งลานกว้างดุเดือดทันที พวกเขาไม่ได้ข่าวการต่อสู้ระหว่างชู่เฉิงกับซือเทียนนานแล้ว แต่ในตอนที่ข่าวนี้กระจายอีกครั้ง สถานการณ์ทั้งหมดได้เปลี่ยนไปแล้ว
ต่อให้เป็นแค่คำบอกเล่า คนทั้งลานกว้างเหมือนจะสัมผัสได้ถึงภาพอันน่ากลัวในสนามอสูรเลือดแห่งนั้นได้ !
“พวกชู่เฉิงตายแน่นอนไม่ใช่เหรอ” หลังจากซ่างเหิงรู้เรื่องนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“จบแล้ว จบแล้ว พวกหัวหน้าจบแล้ว…ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ นี่ไม่ใช่การแข่งขันปกติ !” จ้าวเฉิงร้องขึ้น
ถิงหลันกัดริมฝีปากไม่พูดอะไร สถานการณ์แบบนั้นอย่าว่าแต่ผู้เข้าแข่งขันขั้นสอง ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้าตำหนักยังอาจพลาดได้ !
ชู่ชิ่งกับชู่หยู่ทั้งสองคนต่างนิ่งอึ้ง พวกเขาได้เห็นผลงานของชู่มู่ที่เขาก้าวทีละก้าวในวันนี้ อีกทั้งพวกเขาเตรียมส่งจดหมายบอกเกียรตินี้ให้ตระกูลรับรู้แล้ว คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า จะเกิดหายนะอันน่ากลัวแบบนี้ในเมืองอมตะได้ !
…
ลานกว้างแท่นบูชา
“ชู่มู่ ผนึกเหมือนเคยถูกเปิดออก ขั้นตอนบางอย่างละได้แล้ว ตอนนี้แค่ฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวนั้น มิติในผนึกจะเปิดออก” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดกับชู่มู่ทันที
“แต่ว่า ถ้าพวกเราถูกผนึกในนั้นแล้ว เท่ากับว่าทั้งชีวิตนี้ก็ออกมาไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ” เย้หวันเชิงบอก
“ไม่ แค่มีคนเปิดออก พวกเราก็ออกมาได้แล้ว นอกจากนี้ ผนึกนี้เหมือนจะเคยถูกคนทำลายมาก่อน ถ้าบอกว่าด้านในมีพลังที่แข็งแกร่งกว่า ยังมีหวังจะทำลายมิติผนึกนี้จากด้านในได้” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
“แต่ว่า…วินาทีที่ฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้านั้น ผนึกจะปรากฏขึ้น ทันทีที่ผนึกปรากฏขึ้น พลังผนึกนั้นจะกันโลกภายนอกกับมิติในผนึกออกทันที เท่ากับว่า หลังจากฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้า จำต้องไปยังตรงกลางของแท่นบูชาให้ไวที่สุด มิฉะนั้น จะติดอยู่ด้านนอก” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
ประโยคนี้ชัดเจนมากแล้ว จำต้องมีดวงวิญญาณตัวหนึ่งฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้า และอาจกลับมาไม่ได้…
ไม่ว่าจะเป็นชู่มู่ เย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลว พวกเขาต่างเห็นดวงวิญญาณเป็นชีวิตของตัวเอง ให้พวกเขาตัดดวงวิญญาณตัวหนึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ยิ่งกว่านั้น ความสามารถของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าไม่อ่อน ไม่ใช่ดวงวิญญาณใดจะรับภารกิจนี้ได้
หรือจะบอกว่า ในตอนนี้มีแค่จั้นเย้ ปีศาจขาว มั่วเย้ และมารนิรยขาวขององค์หญิงจิ่งโหลวที่ฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าได้รับบาดเจ็บตัวนั้นลำพังได้
“หลังจากฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าแล้ว จะมีเวลานานเท่าไรที่ผนึกจะปรากฏขึ้น” ชู่มู่ถามขึ้น ทำลายความเงียบนี้
ผู้เฝ้าหินกำลังใกล้เข้ามา พวกเขาแทบไม่มีเวลาไปคิด
“หนึ่งวินาที” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
ชู่มู่กวาดตามองไปยังสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าสีน้ำเงินที่กำลังจะเข้าไปยังตรงกลางลานกว้าง สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
“พวกเจ้าไปยืนตรงกลางผนึก รวมถึงดวงวิญญาณของพวกเจ้าด้วย” ชู่มู่พูดกับทั้งสามคน
“ชู่มู่…” เย้ชิงจือมองไปยังชู่มู่ เธอไม่รู้ว่า ชู่มู่จะทำอะไร แต่เย้ชิงจือมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“ชู่มู่ เจ้าจะทำอะไร” เย้หวันเชิงรู้สึกถึงความผิดปกติของชู่มู่เหมือนกัน
“อย่าพูดมาก ทำตามที่ข้าบอก” ชู่มู่ทวนคำสั่งอีกรอบอย่างจริงจัง
ทั้งสามคนเห็นน้ำเสียงจริงจังของชู่มู่ ไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบรวมตัวไปยังใจกลางของผนึก ให้ดวงวิญญาณของพวกเขากลับมาข้างกายในขณะเดียวกัน
“มั่วเย้ จั้นเย้ ปีศาจขาว พวกเจ้ายืนเข้าไปด้วย” ชู่มู่พูดกับดวงวิญญาณหลักทั้งสามของตัวเอง
“อู อู อู” มั่วเย้ส่งเสียงไม่ยอมทันที
มั่วเย้บอกว่า ให้มันไปฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวนั้น ความเร็วของมันอาจกลับมาทันก็ได้
“เนี๊ย เนี๊ย” ปีศาจขาวเองก็เสนอตัว เงาปีศาจกับเงาปีศาจสลับตำแหน่งของมันสามารถเคลื่อนที่ในระยะไกลได้
“ยืนเข้าไป !” ชู่มู่ไม่ให้เหล่าดวงวิญญาณของตัวเองพูดมาก ออกคำสั่งโดยตรง
ตอนที่ชู่มู่ให้ดวงวิญญาณหลักทั้งสามเข้าไปในลายเส้นตรงกลางผนึก เย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลวถึงเข้าใจว่า ชู่มู่กำลังจะไปฆ่าสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวนี้ด้วยตัวเขาเอง !
“โครม”
พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน ฝุ่นบนตัวผู้เฝ้าหินยี่สิบกว่าตัวเริ่มหลุดออก เผยให้เห็นลำตัวแข็งแรงราวกับเกราะ ดวงตาสีเขียวของพวกมันส่องประกายขึ้น เริ่มจับจ้องไปยังมั่วเย้ที่หลุดเข้ามาในแวดวงของพวกมัน พลังบางอย่างกระจายกะทันหัน !!!
“อู อู อู !!!”
มั่วเย้ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน รีบใช้เงาลวงตา แยกร่างออกเป็นสี่ร่าง เพื่อทำให้สายตาของผู้เฝ้าหินเหล่านี้สับสน
อาศัยตอนที่ผู้เฝ้าหินถูกเงาอีกสี่อันก่อกวน มั่วเย้เพิ่มความเร็วทันที !!!
“มั่วเย้ หนีไปทางซ้าย !!!” ร่ายวิญญาณของชู่มู่ปกคลุมรอบ ๆ ใช้เวลาอันสั้นที่สุดในการหาตำแหน่งที่มีผู้เฝ้าหินน้อยที่สุด
สี่เท้าของมั่วเย้แทบไม่ตกถึงพื้น ตอนที่วิ่งออก มีผู้เฝ้าหินถูกมั่วเย้ปลุกมากขึ้น !
หลังจากเข้าใกล้ผู้เฝ้าหินหนึ่งวินาที ผู้เฝ้าหินเหล่านี้จะฟื้นขึ้นมาทันที หลังจากฟื้นขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะใช้ดวงตาสีเขียวนี้จับจ้องไปยังสิ่งมีชีวิตที่ทำให้พวกมันฟื้นขึ้นมา สะบัดหินบนตัวแล้วไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว !
ดังนั้น ไม่ว่าอย่าไร มั่วเย้จะไม่หยุดในพื้นที่หนึ่งร้อยเมตรนี้แม้แต่หนึ่งวินาทีเด็ดขาด
โชคดีที่ในเวลาหนึ่งวินาทีมั่วเย้วิ่งได้อย่างน้อยสองร้อยเมตร นอกจากผู้เฝ้าหินยี่สิบตัวแรกที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ผู้เฝ้าหินตัวอื่นไม่ได้ฟื้นขึ้นมาจริง ๆ
อีกทั้ง ความเร็วของผู้เฝ้าหินไม่ไวเท่ามั่วเย้ ก่อนที่พวกมันจะฟื้นขึ้นมา มั่วเย้ได้ใช้ความเร็วที่ไวที่สุดสิ่งผ่านพื้นที่ของพวกผู้เฝ้าหินเบาบางนั้นแล้ว ทะลุผ่านระหว่างรูปปั้นเหล่านี้อย่างคล่องแคล่ว กลับไปยังขั้นบันไดแท่นบูชาอสูรเลือดอย่างเฉียดฉิว
เย้ชิงจือที่อยู่ไม่ไกลออกไปเห็นชู่มู่กับมั่วเย้วิ่งกลับมาได้เหงื่อตกไปด้วย หากช้าลงอีกเล็กน้อย เกรงว่าจะถูกผู้เฝ้าหินนับร้อยล้อมโจมตีแล้ว !
“แบบนี้ก็หนีออกมาได้ ถือว่าเจ้าดวงดีละกัน !” ซือเทียนส่งเสียงอย่างเยือกเย็น
เมื่อครู่ถ้าไม่ได้เป็นเพราะดวงวิญญาณของเขาถูกเย้ชิงจือก่อกวน ซือเทียนจะไม่ปล่อยให้ชู่มู่หนีออกจากผู้เฝ้าหินขึ้นมายังลานกว้างแท่นบูชารวดเร็วแบบนี้
ซือเทียนกวาดตามองไปยังการต่อสู้บริเวณเย้หวันเชิงกับองค์หญิงจิ่งโหลว
ซือเทียนไม่โง่ ถ้าสองคนนี้จัดการผู้เฝ้าหินสองตัวนั้นแล้ว เข้าร่วมการต่อสู้ที่นี่ละก็ เขาไม่มีทางจะใช้พลังของเขาคนเดียวสู้กับทั้งสี่คนได้แน่นอน
แต่ซือเทียนก็ไม่อาจจัดการดวงวิญญาณของชู่มู่ในเวลาอันสั้นได้ ถ้าทำแบบนี้ต่อไป คนที่แพ้จะเป็นเขา
และแล้ว ตามการต่อสู้ที่ดำเนินต่อไป องค์หญิงจิ่งโหลวกับเย้หวันเชิงได้จัดการผู้เฝ้าหินสองตัวนั้นแล้ว ต่างพาดวงวิญญาณสี่ตัวพุ่งขึ้นมายังแท่นบูชาอสูรเลือด
“ฮะฮะ เกียรติสุดท้ายจะเป็นของพวกเราแล้ว !” เย้หวันเชิงมองไปยังซือเทียน พูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
ความสามารถของซือเทียนแข็งแกร่งมากจริง อีกทั้งหมวดของดวงวิญญาณได้ควบคุมชู่มู่เอาไว้ ถ้าให้ชู่มู่จัดการคนเดียวยังยากเกินไปหน่อย
แต่ในตอนนี้ เย้ชิงจือ เย้หวันเชิง องค์หญิงจิ่งโหลวได้เข้ามายังแท่นบูชาอสูรเลือดแล้ว ความสามารถของซือเทียนแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสี่คนนี้
ซือเทียนถอยไปยังขอบของแท่นบูชาอสูรเลือดทันที ในตอนที่เย้หวันเชิงกับองค์หญิงจิ่งโหลวกำลังจะจบการต่อสู้ เขาได้ถอยไปยังขอบ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะเตรียมหนีไป
“ลำดับที่หนึ่งอย่างเป็นทางการ สุดท้ายยังคงถูกพวกข้าทารุณอยู่ดี !” เย้หวันเชิงไม่เกรงใจ ชี้ไปยังซือเทียนแล้วหัวเราะเย้ย
ตอนที่พูด เย้หวันเชิงได้ให้ดวงวิญญาณของตัวเองเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว ไล่ต้อนดวงวิญญาณของซือเทียนอย่างรวดเร็ว
ซือเทียนเองก็กัดฟันแน่น ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่คิดว่า ชู่มู่จะมีมารนิรยขาวที่มีความสามารถแข็งแกร่งยิ่งแบบนี้ตัวหนึ่ง และสามารถเข้ามาในแท่นบูชาอสูรเลือดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้กำลังถูกทั้งสี่คนนี้ล้อมโจมตี จะพ่ายแพ้แน่นอน
…
…
ด้านนอกลานกว้างแท่นบูชา
“มองเร็ว นั่นชู่เฉิงกับซือเทียน !” สมาชิกคนหนึ่งของวังดวงวิญญาณชี้ไปยังแท่นบูชาแล้วพูดขึ้น
ลานกว้างของแท่นบูชานี้พิเศษอย่างมาก ก่อนหน้านี้เส้นทางเสาที่ชู่มู่ทั้งสี่คนมีรูปปั้นแค่สิบห้าอัน หลังจากถูกพวกชู่มู่จัดการแล้ว กลับมีรูปปั้นสิบห้าอันมาเติมเต็มอย่างรวดเร็ว
เท่ากับว่า เส้นทางที่ชู่มู่ได้เดินก่อนหน้านี้มีผู้เฝ้าหินสิบห้าตัวเฝ้าอยู่อีกครั้ง ตอนที่คนของวังดวงวิญญาณมาถึงที่นี่ คิดจะเข้าใกล้แท่นบูชาอสูรเลือดก็ต้องจัดการผู้เฝ้าหินสิบห้าตัวนี้
กลุ่มของวังดวงวิญญาณมีอู๋ชิ่งเป็นหัวหน้า เขาจับจ้องไปยังชู่มู่กับซือเทียน พูดขึ้นว่า “ท่าทางซือเทียนเสียเปรียบอย่างมากแล้ว”
“อืม ซือเทียนตัวคนเดียว ว่าแต่ พลังของมารนิรยขาวของชู่มู่รุนแรงมาก ถูกดวงวิญญาณหมวดแสงควบคุมเอาไว้ยังปล่อยทักษะมารนิรยแข็งแกร่งแบบนั้นออกมาได้ !” หนึ่งในสมาชิกพูดขึ้น
อู๋ชิ่งมองไปยังมารนิรยขาวของชู่มู่ทันที เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างช้า ๆ ผ่านไปเนิ่นนานถึงพูดขึ้นว่า “มารนิรยขาวตัวนี้เป็นจักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะเก้าขั้นสูง มันยังมีชุดขั้นเก้า ความสามารถเทียบเท่าจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบแล้ว !!!”
“จักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบ เป็นไปได้อย่างไร !!!” สมาชิกวังดวงวิญญาณคนอื่นต่างเบิกตากว้าง จับจ้องไปยังมารนิรยขาว
“แน่นอน อสูรเชิญหงส์ตัวนี้ของซือเทียนข้าเคยเจอมาก่อน มันเป็นดวงวิญญาณหมวดคู่อสูรและแสง พลังต่อสู้ของมันเทียบเท่ากับจักรพรรดิขั้นสูง เห็นได้ชัดว่า อสูรเชิญหงส์ตัวนี้ถึงลักษณะสิบแล้ว ในภาวะแบบนี้มารนิรยขาวตัวนั้นยังสู้อย่างสูสีได้…” อู๋ชิ่งบอก
“ซือเทียนมีจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบเช่นกัน…ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณก็ด้วย สองคนนี้ผิดปกติอย่างมาก แค่ดวงวิญญาณตัวเดียวก็กวาดล้างขั้นสองของพวกเราทั้งหมดได้แล้ว !” สีหน้าของคนอื่นก็ประหลาดอย่างมาก คนเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ สองคนนี้กลับมีจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบแล้ว ความแตกต่างของความสามารถชัดเจนเกินไปแล้ว !
“ท่าทางซือเทียนจะแพ้แล้ว หัวหน้า ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร” หนึ่งในสมาชิกกลุ่มถามขึ้น
“ดูก่อน” อู๋ชิ่งไม่ได้พุ่งเข้าไปทันที แค่มองอยู่ด้านข้าง
…
บนแท่นบูชาอสูรเลือด ดวงวิญญาณสี่ตัวของซือเทียนเกิดบาดแผลอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ซือเทียนเองจำต้องถอยออกจากด้านนอกแท่นบูชาอสูรเลือด
“เจ้าไสหัวไปได้แล้ว !” ชู่มู่พูดกับซือเทียนอย่างเยือกเย็น
ชู่มู่ไม่มีความเยื่อใยใด ๆ ต่อคนขององค์กรวิญญาณ ซือเทียนก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น จะไม่มีความเกรงใจในคำพูดใดๆ
สีหน้าของซือเทียนแย่มาก ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องไปยังชู่มู่ พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “พวกเจ้าคิดว่าตัวเองจะคว้าเกียรติสุดท้ายมาได้เหรอ ฝันไปเถอะ !!!”
“ทำไม เจ้าคิดว่า เจ้าคนเดียวจัดการพวกข้าได้” เย้หวันเชิงเองก็ชอบรังแกคนอื่น โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามยังเป็นซือเทียนที่ชื่อเสียงเลื่องลือ
ทำให้คนที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองหมดทางสู้ เย้หวันเชิงรู้สึกสะใจอย่างมาก
ซือเทียนยิ้มอย่างเยือกเย็น กลับถอยเข้าไปยังลานกว้างที่เต็มไปด้วยรูปแกะสลัก
“ในเมื่อข้ามีวิธีไม่ทำให้ผู้เฝ้าเหล่านี้ฟื้นขึ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีวิธีทำให้ผู้เฝ้าเหล่านี้ฟื้นขึ้นมาได้ ผู้เฝ้าเหล่านี้เฝ้าแท่นบูชาแห่งนี้อยู่ ตอนนี้พวกเจ้าแค่ออกจากลานกว้างแห่งนี้ จะต้องฆ่าผู้เฝ้าอย่างน้อยสิบห้าตัว ดังนั้น พวกเจ้าตายแน่ !” ซือเทียนถอยหลังเรื่อย ๆ ระหว่างที่ถอยหลังได้เก็บดวงวิญญาณสามตัวที่เหลือกลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ เหลือเพียงอสูรเชิญหงส์
อสูรเชิญหงส์ไม่สู้กับมารนิรยขาวอีกต่อไป กลับไปข้างซือเทียนอย่างรวดเร็ว
“โฮร่ โฮร่ !!!”
ทันใดนั้น อสูรเชิญหงส์ของซือเทียนส่งเสียงคำรามขึ้น !!!
เกราะแสงแต่ละเกล็ดส่องประกายร้อนระอุออกมา แสบตาขึ้นเรื่อย ๆ !!!
ในไม่ช้า แท่นบูชาอสูรเลือดทั้งแห่งถูกปกคลุมด้วยแสงนี้ แสบตายิ่ง แม้แต่ลืมตายังลำบาก !
“เดิมคิดจะได้ผลึกเครื่องในของอสูรเลือดตัวนั้นก่อน แล้วค่อยจัดการพวกเจ้าอย่างช้า ๆ ในเมื่อพวกเจ้าหาที่ตายเอง ก็อย่าโทษข้า !!!” เสียงของซือเทียนดังขึ้นในก้อนแสงนี้กะทันหัน !
ประกายสีขาวนี้ทะยานขึ้นฟ้าช้า ๆ พอถึงจุดสูงสุดได้รวมตัวเป็นก้อน ทันใดนั้น ท่ามกลางก้อนแสงมีประกายที่เหมือนดาบแสงกระจายออก สาดลงลานกว้างแห่งนี้ !
“โครม”
วินาทีที่ประกายสาดส่อง ทั้งลานกว้างกลับเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กลิ่นไอหมวดหินมหาศาลกระจายทั่วลานกว้าง !!!
“เกิด…เกิดอะไรขึ้น !!!” เหล่าผู้เข้าแข่งขันวังดวงวิญญาณที่อยู่ด้านนอกร้องขึ้น
แสงอันแสบตานี้ ทำให้พวกเขาเห็นว่ารูปปั้นในลานกว้างเริ่มเคลื่อนไหว !
“ผู้เฝ้าหิน…พวกนี้…ผู้เฝ้าหินพวกนี้ฟื้นขึ้นมาแล้ว !” คนของวังดวงวิญญาณร้องขึ้น
และแล้ว ในตอนที่ผู้เฝ้าหินเหล่านี้ลืมตาสีเขียวขึ้น ตอนที่กระจายไปทั่วลานกว้างนี้ราวกับแสงดาว สิ่งที่เห็นในสนามนี้ทำให้ทุกคนลืมหายใจ !
นี่เป็นผู้เฝ้าหินนับร้อยพัน พวกเขาในตอนนี้กำลังฟื้นขึ้นมา !!!
ความสามารถของผู้เฝ้าหินแต่ละตัวอยู่ในจักรพรรดิขั้นต่ำลักษณะสิบ จักรพรรดิขั้นต่ำนับร้อยพัน นี่เป็นภาพที่น่ากลัวเพียงใด !!!
“เร็ว !!! พวกเราออกจากที่นี่ให้ไว อย่าถูกผู้เฝ้าหินเหล่านั้นเพ่งเล็ง มิฉะนั้น พวกเราตายแน่ !” อู๋ชิ่งเห็นภาพนี้แล้วสีหน้าเปลี่ยนไปทันที !!!
ความสามารถผู้เฝ้าหินทุกตัวไม่ด้อยกว่าดวงวิญญาณของพวกเขา ทั้งสนามนี้มีผู้เฝ้าหินไม่แปดร้อยก็พันตัว นี่เป็นกองทัพผู้เฝ้าหินที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างที่สุด ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งมากเพียงใดก็ต้านทานไม่ได้ !
“ฮะฮะ รอให้พวกเจ้าตายหมด ข้าค่อยกลับมาเก็บศพพวกเจ้า !” ซือเทียนหัวเราะออกมา เก็บอสูรเชิญหงส์กลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังกองทัพผู้เฝ้าหินที่มุ่งหน้านี้ !
มองดูผู้เฝ้าหินที่ฟื้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซือเทียนยิ้มมุมปาก แอบขอบคุณฉิงเย้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะฉิงเย้บอกเรื่องเกี่ยวกับผู้เฝ้าหินและแท่นบูชาอสูรเลือดนี้ให้ตัวเองรู้ อีกทั้งได้บอกวิธีไม่ถูกผู้เฝ้าหินโจมตีด้วย เขาคงไม่อาจทำการโต้ตอบสวยงามแบบนี้ได้ !
ดังนั้น ถ้าได้เกียรติสุดท้าย ซือเทียนจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับฉิงเย้ที่ชี้แนะตัวเอง
ทว่า ตอนที่ซือเทียนเดินมุ่งหน้าเหมือนจะไม่พบเห็นว่า ผู้เฝ้าหินที่มีร่างแข็งแรงกว่าบางตัว กำลังใช้ดวงตาสีเขียวของพวกเขาจับจ้องไปยังเขา
และเขายังคงเดินไปยังระหว่างผู้เฝ้าหินโดยไม่คิดว่า จะถูกโจมตี และแทบไม่สังเกตเห็นดวงตาพิเศษเหล่านั้น…
“เชิญปีศาจจันทรา !”
แสงงดงามของวารีจันทรากลายเป็นแสงจันทร์สีเงินลึกลับช้า ๆ สาดลงจากท้องฟ้าที่มืดมน กระทบบนตัวของมั่วเย้
ขนสีเงินของมั่วเย้เริ่มพลิ้วไหว พลังของปีศาจจิ้งจอกอัคคีเก้าหางที่รุนแรงกระจายออก ทำให้พลังของมั่วเย้เพิ่มขึ้นหลายเท่า !
ด้วยผลของการเชิญปีศาจจันทรา มงกุฎเพลิงที่รุนแรงขึ้นลุกโชนบนกรงเล็บยาว ตวัดผ่านดวงวิญญาณของซือเทียน !
เดิมที การโจมตีของมั่วเย้ยังยากที่จะทำลายจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นสูงที่สวมเกราะวิญญาณขั้นแปดนี้ได้ แต่ด้วยผลของเชิญปีศาจจันทรา ทำให้พลังของมั่วเย้เพิ่มขึ้น เพียงพอที่จะทำลายการป้องกันของสิ่งมีชีวิตนี้แล้ว อีกทั้งผลของการแผดเผามงกุฎเพลิงนี้ก่อผลอย่างชัดเจนมาก ทำให้ปีศาจงูสี่ปีกลักษณะเก้าขั้นสูงนี้ต้องถอยกลับ
หลังจากทักษะเสริมหลายอันแล้ว วารีจันที่กับภูตไม้หมุนของเย้ชิงจือต่างเริ่มใช้ทักษะเยียวยา ภูตไม้หมุนรักษาให้มั่วเย้ วารีจันทรารักษาตัวให้จั้นเย้ ในไม่ช้า สถานการณ์ต่อสู้ก็ไม่อนาถเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ซือเทียนกวาดตามองผ่านดวงวิญญาณเสริมของเย้ชิงขือ กลับขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่า การรวมตัวของชู่มู่กับผู้คุมดวงวิญญาณเสริมคนนี้แข็งแกร่งมากจนเอาชนะคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรยได้ ตอนนี้หลังจากดวงวิญญาณของเย้ชิงจือปล่อยทักษะทั้งหมดออกมา ความได้เปรียบก่อนหน้านี้ของซือเทียนได้หายไปหมดแล้ว
“จัดการจิ้งจอกอัคคีเก้าหางของเขาก่อน !” ซือเทียนรู้ว่า ต่อให้ใช้อสูรเชิญหงส์ของตัวเองก็ยากที่จะจัดการจั้นเย้ของชู่มู่ในเวลาอันสั้นนี้ได้
ในเมื่อฆ่าไม่ตาย เขาจึงให้ภูตวิญญาณของตัวเองควบคุมจั้นเย้เอาไว้ ให้จักรพรรดิขั้นกลางอีกตัวหนึ่งโจมตีมั่วเย้ !
จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ ดวงวิญญาณแบบนี้มีหมวดรองเช่นกัน ความสามารถแข็งแกร่งกว่ามั่วเย้สองขั้น ยิ่งกว่านั้น ยังมีดวงวิญญาณที่มีความสามารถเทียบเท่ามั่วเย้อีกตัวหนึ่ง มั่วเย้จะจัดการดวงวิญญาณสองตัวนี้ลำพังย่อมมีความยากระดับหนึ่ง
“ชิงจือ ให้อสูรนิมิตของเจ้าช่วยจั้นเย้ของข้าสลัดการควบคุมจิต” ชู่มู่พูดกับเย้ชิงจือ
“แต่ว่า มั่วเย้ในตอนนี้ต้องการเสริมมากกว่าไม่ใช่หรือ” เย้ชิงจือถามอย่างไม่เข้าใจ
มั่วเย้ในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นสูงกับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ โดยเฉพาะแมลงร้ายร้อยกริดที่สูงกว่ามั่วเย๋ถึงสองขั้น การโจมตีของดวงวิญญาณหมวดแมลงแบบนี้ดุร้ายอย่างมาก ถ้าไม่ระวังอาจถูกตัดเป็นเศษได้ !
“ไม่เป็นไร มั่วเย้จัดการได้ !” ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง
“อู อู อู อู”
มั่วเย้ส่งเสียงร้องพร้อมสู้ขึ้น
จะแปรเปลี่ยนตระกูลก็ต้องมีการกระตุ้นด้วยการต่อสู้ มีเพียงการต่อสู้ที่น่าท้าทายจริง ถึงจะทำให้มั่วเย้กระตุ้นสายเลือดแปรเปลี่ยนตระกูลในร่างกายของตัวเองได้ !
“มั่วเย้ วนรอบพวกมันก่อน !” ชู่มู่บอก
การโจมตีกับการป้องกันของมั่วเย้ด้อยกว่าดวงวิญญาณสองตัวนี้ แต่จะได้เปรียบด้านความเร็วแน่นอน บวกกับความสามารถหลบซ่อนของมั่วเย้แล้ว ดวงวิญญาณสองตัวนี้อย่าคิดที่จะโจมตีมั่วเย้ในเวลาอันสั้นได้
เย้ชิงจือเห็นชู่มู่ยืดยัดแบบนี้ ไม่พูดอะไรอีก ให้อสูรนิมิตชุดม่วงลอยไปยังตำแหน่งที่จั้นเย้อยู่ ช่วยเหลือจั้นเย้ต่อสู้กับภูตวิญญาณตัวนั้น
ซือเทียนกวาดตามองไปยังชู่มู่อย่างเยือกเย็น
ในไม่ช้า พบว่าชู่มู่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ดวงวิญญาณตัวหนึ่งโจมตีได้ ในตอนนี้ ซือเทียนได้เปลี่ยนแผนการต่อสู้ ให้แมลงร้ายร้อยกริดแสร้างทำเป็นโจมตีมั่วเย๋ แล้วเปลี่ยนทิศทางโจมตีไปยังชู่มู่
ชู่มู่เห็นแมลงร้ายร้อยกริดพุ่งตรงมา เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ตอนที่ต่อสู้ ชู่มู่ใส่ใจตำแหน่งของตัวเองอย่างมาก ตำแหน่งนี้โดยปกติจะไม่ถูกดวงวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามโจมตี และต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีตัวเอง ก็ต้องใช้เวลาหน่อย
ทว่า เนื่องจากใต้แท่นบูชาอสูรเลือดเต็มไปด้วยผู้เฝ้าหิน ตำแหน่งที่ชู่มู่เคลื่อนไหวได้มีอย่างจำกัด ประมาทเล็กน้อยกลับถูกเจ้านี่มองออก !
“อู อู อู อู”
มั่วเย้สังเกตเห็นแมลงร้ายร้อยกริดที่พุ่งมาโจมตีชู่มู่ทันที หลังจากส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแล้ว หางเก้าเส้นเริ่มหมุนตัว !
เก้าหางอลวน !!!
ผลของเก้าหางอลวนคล้ายกับเงาปีศาจสลับตำแหน่ง แต่ในเงาอลวนสามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ ปรากฏไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของมั่วเย้ไวกว่าแมลงร้ายร้อยกริดมาก หลังจากสลัดจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นกลางแล้ว วิ่งไปตรงหน้าชู่มู่ทันที
เพื่อให้สั่งการต่อสู้มั่วเย้ได้ดีขึ้น ชู่มู่ได้กระโดดขึ้นหลังของมั่วเย้ ย่อตัวลง หลบกริดของแมลงร้ายร้อยกริดอย่างเฉียดฉิว !
“ซัวะ !!!”
ขนสีเงินไม่กี่เส้นกระจาย การโจมตีของแมลงร้ายร้อยกริดน่ากลัวอย่างมาก การป้องกันของมั่วเย้ หากโดนโจมตีอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสขั้นกลางได้ !
หลังจากแมลงร้ายร้อยกริดโจมตีไม่โดน รีบก้าวขายาวที่ปกคลุมด้วยเกราะทั้งหกออก ไล่ขึ้นมาตามขั้นบันไดบนแท่น
ส่วนปีศาจงูสี่ปีกลักษณะเก้าขั้นสูงอีกตัวหนึ่งได้ปิดเส้นทางของมั่วเย้ตาย ไม่ปล่อยให้มั่วเย้มีพื้นที่เคลื่อนไหวมากพอ
เดิมมั่วเย้ยังคิดว่า จะผ่านทะลุระหว่างการโจมตีของดวงวิญญาณสองตัวนี้ได้ หลังจากซือเทียนเห็นจุดบอดของชู่มู่ ได้จำกัดพื้นที่เคลื่อนไหวของมั่วเย้ไว้หมดแล้ว
“จะดูว่าเจ้าจะหนีไปที่ไหนได้ !” ซือเทียนฉีกยิ้มออกมา
ออกคำสั่ง แขนแหลมคมของแมลงร้ายร้อยกริดเริ่มเคลื่อนไหว กลายเป็นกริดแหลมที่ไขว้กัน ก่อเป็นพายุร้อยกริดอย่างรวดเร็ว พัดไปยังมั่วเย้ แทบไม่ปล่อยให้มั่วเย้มีโอกาสหลบซ่อนไปได้
แท่นบูชาที่ชู่มู่กับมั่วเย้อยู่นี้ถูกปิดตายอย่างสิ้นเชิง กรงเล็บแหลมคมแต่ละเส้นมีความยาวถึงร้อยเมตร แม้แต่พื้นกระเบื้องสีดำที่แข็งแรงยังเกิดรอยแยกอันน่ากลัว ถ้าดวงวิญญาณยืนอยู่บริเวณรอยแยกนั้น จะถูกตัดเป็นสองท่อนแน่นอน !
“มั่วเย้ ลงไป !” ชู่มู่กวาดตามองไปยังลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้เฝ้าหินมากมาย สั่งให้มั่วเย้พุ่งลงไปยังลานกว้างนั้น !
ลานกว้างแท่นบูชาเต็มไปด้วยผู้เฝ้าหิน จำนวนของผู้เฝ้าหินเหล่านี้มากกว่าเส้นทางเสามาก ทันทีที่เข้าใกล้จะมีผู้เฝ้าหินอย่างน้อยห้าตัวฟื้นขึ้นมา !
เผชิญกับพายุของกริดแมลง มั่วเย้เองก็ไร้ที่หลบ กระโดดลงไปยังลานกว้างทันที ร่างกายกลายเป็นเงาไฟงดงาม พาดผ่านขอบลานกว้าง !!!
“ฮู ฮู ฮู”
มงกุฎเพลิงทิ้งไว้บนลานกว้าง เส้นทางการหลบนี้ได้กระทบพื้นที่ปลุกผู้เฝ้าหินหลายตัว หลังจากแสงไฟพาดผ่าน ฝุ่นบนตัวผู้เฝ้าหินเริ่มสั่น ดวงตาสีเขียวนั้นส่องประกายขึ้น หัวที่แข็งทื่อยิ่งหันกลับมา จับจ้องไปยังมั่วเย้ที่ทำให้พวกมันสะดุ้งตื่น !
ซือเทียนเองก็ควบคุมดวงวิญญาณได้อย่างแม่นยำ หลังจากที่แมลงร้ายร้อยกริดโจมตีแล้ว ปีศาจงูสี่ปีกลักษณะเก้าขั้นสูงเริ่มโจมตีไปยังมั่วเย้ หางบางตวัดลงบนตัวมั่วเย้ ทำให้ชู่มู่กับมั่วเย้ปลิวออกไป กวาดไปยังลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้เฝ้าหินโดยตรง !
“อู อู อู !!!”
มั่วเย้ชนกับผู้เฝ้าหินแล้วลุกขึ้นมาทันที ใช้หางม้วนชู่มู่กลับขึ้นหลัง
“มั่วเย้ รีบหนีไป ผู้เฝ้าหินเหล่านี้จะฟื้นขึ้นมาแล้ว !” ชู่มู่กวาดตามองไปรอบ ๆ
ในลานกว้างมีผู้เฝ้าหินนับร้อยพัน ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรนี้ของมั่วเย้ มีผู้เฝ้าหินอย่างน้อยยี่สิบตัว !!!
ผู้เฝ้าหินยี่สิบตัวนี้อย่างน้อยก็เป็นจักรพรรดิขั้นต่ำ ! ความสามารถของผู้เฝ้าหินตัวใดก็ไม่ด้อยไปกว่ามั่วเย้ !!!
มีปีกสีดำเล็ก ๆ ดวงวิญญาณตัวเล็กที่เหมือนทั้งค้างคาวและนกบินวนอยู่เหนือเมืองอมตะ
ดวงวิญญาณเล็ก ๆ เหล่านี้เป็นดวงวิญญาณส่งสาร พวกมันไม่มีพลังโจมตีใด ๆ เป็นดวงวิญญาณนักสืบที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด ปัญญาของพวกมันต่ำมาก กลับสามารถเชื่อมกับจิตของผู้คุมดวงวิญญาณนำสิ่งที่เห็นทั้งหมดส่งไปยังผู้คุมดวงวิญญาณรับสารได้
ในตอนนี้ บนแท่นบูชาอสูรเลือดก็มีดวงวิญญาณส่งสารแบบนี้ตัวหนึ่ง พวกมันลงจอดบนเสาอย่างแผ่วเผา ดวงตาสีดำจับจ้องไปยังชู่มู่กับซือเทียน
“ชู่มู่ตำหนักวิญญาณได้เจอกับซือเทียนองค์กรวิญญาณที่แท่นบูชาอสูรเลือดแล้ว !”
ดวงวิญญาณส่งสารได้ส่งข่าวนี้ไปยังผู้คุมดวงวิญญาณรับสารแล้ว ส่วนผู้คุมดวงวิญญาณนี้ได้ประกาศข่าวนี้ไปยังลานกว้างเทียนเซี่ย ทำให้ผู้คนทั้งหมดได้รับรู้สถานการณ์ในเมืองอมตะนี้ !
“ทั้งสองคนนี้ได้เจอกันในที่สุด ! น่าตื่นเต้นเหลือเกิน !!!”
“การต่อสู้ระหว่างแข็งแกร่งที่หนึ่งกับแข็งแกร่งที่สอง ส่วนผู้ชนะจะได้เกียรติสุดท้ายของขั้นสองในเมืองเทียนเซี่ยแห่งนี้ อยากให้ตัวเองอยู่ในสนามจริง ๆ อยากเห็นดวงวิญญาณที่พวกเขามี จะมีความสามารถควบคุมดวงวิญญาณเหนือผู้อื่นอย่างไร !”
การต่อสู้ระหว่างชู่มู่กับซือเทียนเป็นสิ่งที่ทุกคนตื่นเต้นมากที่สุด และเป็นที่ทุกคนจับตามองที่สุด อยากรู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่เพียงแต่มีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีความสามารถควบคุมดวงวิญญาณเหนือกว่าผู้อื่น ถ้าได้เห็นกับตา เป็นเรื่องที่พวกเขาคาดหวังมากที่สุดแล้ว !
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณซ่อนความสามารถมาตลอด ไม่แน่อาจจัดการซือเทียนได้จริง ๆ !!” ผู้คนเริ่มวิจารณ์
“ชู่เฉิงจะเป็นคู่ต่อสู้ของซือเทียนได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น เขาทำหายไปหนึ่งญาณตอนอยู่ด่านที่เจ็ด สี่ต่อสาม ชู่เฉิงต้องแพ้แน่นอน” หม่าหงองค์กรวิญญาณพูดอย่างสบประหม่า
หม่าหงคือสมาชิกองค์กรวิญญาณที่อยู่กับเซิ่นอีเฉิงในตอนนั้น ซึ่งในตอนนั้นชู่มู่ได้ส่งคนล้อมรอบเอาไว้ ทำให้เขาหายไปสองญาณ เดิมยังหวังจะได้รางวัลต่าง ๆ จากการประลองฟ้าดินนี้ แต่กลับเป็นเพราะสองญาณที่หายไป ไม่มีสิทธิแม้แต่จะเข้าร่วมการประลองฟ้าดิน เรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก
หม่าหงรู้จักกับซือเทียนบ้าง เขาได้บอกกับซือเทียนไว้แล้ว ทันทีที่เจอชู่เฉิงต้องจัดการเขาให้ได้ มิฉะนั้น ยากที่จะระบายความโกรธในใจของเขาได้ !
โลกด้านนอก ดุเดือดขึ้นเพราะการปะทะของชู่มู่กับซือเทียนแล้ว เหล่าผู้คุมดวงวิญญาณมากมายที่ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไรกลับตื่นเต้นขึ้น เริ่มรวมตัวกันที่ลานกว้าง
ตามข่าวที่กระจายออก หลังจากผ่านไปไม่นาน ทั้งลานกว้างกลับเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อมองออกไป กลับยากที่จะหาที่ว่างในลานกว้างนี้ได้ !
…
“น่าแปลก ทำไมผ่านไปนานขนาดนี้ยังไม่มีข่าวใด ๆ”
“สถานการณ์ต่อสู้เป็นอย่างไรกันแน่ ผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารทำไมไม่ส่งดวงวิญญาณส่งสารไปที่นั่นเยอะ ๆหน่อย”
เหล่าผู้เข้าแข่งขันยิ่งตื่นเต้นมากเท่าไร ยิ่งรีบร้อนมากเท่านั้น กลับพบว่า ข่าวการต่อสู้ระหว่างชู่เฉิงกับองค์กรวิญญาณไม่ประกาศสักที
ดังนั้น เสียงด่าผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารเริ่มมากขึ้น เสียงนี้เพียงพอที่จะเทียบกับทักษะคลื่นเสียงบางอย่างแล้ว !
เหล่าผู้คุมดวงวิญญาณแต่ละคนเต็มไปเหงื่อ ไม่ใช่พวกเขาไม่รับข่าว แต่พวกเขาไม่รู้ทำไม ดวงวิญญาณส่งสารที่ควรอยู่ในแท่นบูชาอสูรเลือดกลับมองไม่เห็นกะทันหัน อาจเป็นเพราะความสามารถพิเศษของสิ่งมีชีวิตบางอย่างในเมืองอมตะ
…
แท่นบูชาอสูรเลือด
ชู่มู่ได้อัญเชิญมั่วเย้กับจั้นเย้ออกมาแล้ว กำลังสู้กับซือเทียนบนแท่นบูชาอสูรเลือด
ความสามารถของซือเทียนเกินกว่าที่ชู่มู่คาดเอาไว้ เขากลับมีดวงวิญญาณที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่งเหมือนกัน !
ดวงวิญญาณที่เทียนเท่าจักรพรรดิขั้นสูงของซือเทียนเป็นอสูรเชิญหงส์ หนึ่งในดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดของตำหนักวิญญาณ !
อสูรเชิญหงส์ปกคลุมด้วยเกราะแสง ลำตัวเท่าสิงโต แข็งแกร่งยิ่ง ทั้งตัวเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง !
อสูรเชิญหงส์มีหมวดรองเป็นหมวดแสง อสูรเชิญหงส์ตัวนี้ของซือเทียนไม่ธรรมดาแน่นอน พลังหมวดแสงของมันแข็งแกร่งกว่าอสูรเชิญหงส์ที่ชู่มู่เคยเจอก่อนกน้านี้หลายเท่า เท่ากับว่านี่เป็นดวงวิญญาณที่มีหมวดหลักคู่ อีกทั้งพรสวรรค์ของหมวดหลักคู่นี้สูงมากด้วย !
ระดับตระกูลของอสูรเชิญหงส์เป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ส่วนพรสวรรค์เกิดปกติของหมวดคู่นี้ทำให้ต่อให้ไม่ผ่านการเพิ่มความแข็งแกร่งใด ๆ พลังต่อสู้ของมันคงอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงได้ แน่นอนว่าเป็นที่หายากยิ่งในดวงวิญญาณ เป็นกลุ่มราชวงศ์ในอสูรเชิญหงส์ !
ศัตรูที่ชู่มู่เจอในตอนนี้เป็นวัยหนุ่มชั้นยอดของทั้งเมืองเทียนเซี่ย ส่วนดวงวิญญาณของคนนี้กลับมีพรสวรรค์ยิ่งกว่าผิดปกติอีก !
ที่ทำให้ชู่มู่ขมวดคิ้วแน่นคืด อสูรเชิญหงส์กลับมีความสามารถหมวดแสงที่แข็งแกร่งยิ่ง ถ้าอย่างนั้น จั้นเย้กับมารนิรยขาวที่มีหมวดมืดจะเป็นปรปักษ์แน่นอน
ดังนั้น ต่อให้ความสามารถของมารนิรยขาวในตอนนี้อยู่ในระหว่างจักรพรรดิขั้นสูงกับจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว แต่ด้วยดวงวิญญาณหมวดแสงแล้ว ความสามารถของมารนิรยขาวจะลดลงขั้นหนึ่ง เช่นนี้ ปีศาจขาวจะมีความสามารถเท่ากับอสูรเชิญหงส์ตัวนี้ !
ชู่มู่อาศัยมารินรยขาวมาตลอด ถ้ามารนิรยขาวไม่สามารถปล่อยพลังแข็งแกร่งของมันออกมาได้ ถ้าอย่างนั้น ชู่มู่ที่มีการควบคุมสามจะต้องเสียเปรียบด้านการต่อสู้แน่นอน
“มารนิรยขาวของเจ้าแข็งแกร่งก็จริง แต่ดวงใจไม่ดี อีกทั้งดวงวิญญาณของเจ้าจำเจเกินไป” ซือเทียนยิ้มออกมา
หลังจากพูดจบ ซือเทียนได้สั่งให้อสูรเชิญหงส์ออกโจมตีไปยังมารนิรยขาวทันที !
ภายใต้การเสริมของพลังแสง ความเร็วของอสูรเชิญหงส์เพิ่มขึ้นหลายเท่า เกราะแสงบนตัวกะพริบเล็กน้อย กลายเป็นประกายแสง ปรากฏตัวตรงหน้ามารนิรยขาว !
มารนิรยขาวก็ไม่หาดกลัวต่อสิ่งใด เผชิญกับอสูรเชิญหงส์ที่มีหมวดปรปักษ์กัน มารนิรยขาวไม่เพียงแต่ไม่ถอยกลับ แต่ยังพัดพาไฟปีศาจเก้าวิญญาณขึ้น พลังของมันปะทะเข้ากับพลังหมวดแสงและหมวดอสูรของอสูรเชิญหงส์ !
“ปีศาจขาว ระวังตัว หลบทักษะหมวดแสงของมันด้วย !” ชู่มู่พูดกับปีศาจขาว
นิสัยของปีศาจขาวดื้อดันอย่างมาก ถ้าใช้วิธีสู้แบบมัน จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพลังหมวดแสงแน่นอน ทักษะหมวดแสงจะแผดเผาปีศาจขาวรุนแรงขึ้นหลายเท่า ดังนั้น ต่อให้ในตอนนี้จะมีความสามารถเท่ากัน แต่ด้วยการปะทะของทักษะแล้ว มารนิรยขาวยังคงเสียเปรียบกว่า
หมวดมืดของปีศาจขาวนับว่าอ่อนกว่า จะถูกจำกัดความสามารถหนึ่งขั้น ถ้าเป็นดวงวิญญาณที่มีหมวดมืดมากกว่านี้ อาจถูกลดลงถึงสองขั้นก็ได้
ดังนั้น ผู้คุมดวงวิญญาณจำต้องพัฒนาให้รอบด้าน ด้านหนึ่งเพื่อพัฒนาความสามารถของดวงวิญญาณหลัก ถ้าเจอทักษะและหมวดที่ตรงกันข้าม ต่อให้ความสามารถของดวงวิญญาณจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไร้ค่า
หมวดที่ตรงกันข้ามเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริง ๆ ไม่มีปัญหาด้านหมวดละก็ ชู่มู่จะอาศัยความเร็วของมารนิรยขาวจัดการคนที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองได้แน่นอน…
มารนิรยขาวในตอนนี้ทำได้แค่รั้งอสูรเชิญหงส์เอาไว้ ความสามารถแตกหักงอกใหม่ของจั้นเย้ก็ถึงสี่ครั้งแล้ว เท่ากับว่าจั้นเย้ในตอนนี้มีแตกหักงอกใหม่แค่สี่ครั้ง อีกทั้งจากการระเบิดความสามารถก่อนหน้านี้ การจะเพิ่มความสามารถของจั้นเย้ในตอนนี้อาจยากขึ้นมาก
สิ่งที่เป็นอุปสรรคของจั้นเย้คือหมวดภูตวิญญาณ ทันทีที่ถูกหมวดภูตวิญญาณจำกัดการเคลื่อนไหวและทักษะแล้ว ต่อให้จั้นเย้มีความสามารถแตกหักงอกใหม่มากเพียงใดก็ทำอะไรไม่ได้
ที่โชคร้ายคือ หนึ่งในจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวของซือเทียนมีภูตวิญญาณตัวหนึ่ง !
การใช้ดวงวิญญาณของซือเทียนเกินกว่าที่ชู่มู่คาดไว้ โดยปกติแล้ว ต่อให้จั้นเย้เจอภูตวิญญาณ ยังปล่อยทักษะออกมาได้บ้าง เป็นอันตรายต่อดวงวิญญาณอื่นได้
และแล้ว ความสามารถควบคุมจิตของภูตวิญญาณตัวนี้กลับแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณที่ชู่มู่เคยเจอมาก่อน กลับทำให้จั้นเย้ไม่สามารถปล่อยทักษะแม้แต่อันเดียว !
ในภาวะแบบนี้ จั้นเย้จำต้องเผชิญกับดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่า จั้นเย้อยู่ในภาวะถูกโจมตีตลอด ถ้าไม่ได้เป็นเพราะมีเกราะวิญญาณขั้นเก้า คงเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งตัวแล้ว
ส่วนมั่วเย้ ตอนนี้อยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลาง เมื่อเทียบความสามารถกับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นสูงอีกตัวของซือเทียนแล้ว จัดการได้ยากเช่นกัน
“มารนิรยขาวกับจั้นเย้ถูกควบคุมแล้ว !” ชู่มู่กัดฟันแน่น
สิ่งเดียวที่รู้สึกโชคดีคือ ซือเทียนไม่มีดวงวิญญาณตระกูลพืช
ดวงวิญญาณหมวดอสูรจะถูกตระกูลพืชควบคุมไว้ในระดับหนึ่ง ส่วนมั่วเย้เมื่อเผชิญหน้ากับดวงวิญญาณตระะกูลพืชจะใช้ความสามารถหมวดไฟรับมือได้
แน่นอนว่า ชู่มู่เองก็รู้ว่า หมวดที่เป็นปรปักษ์กับมั่วเย้คือ หมวดน้ำแข็งกับหมวดน้ำ อีกทั้งถ้ามั่วเย้ได้เจอกับดวงวิญญาณตระกูลพืชที่มีหมวดน้ำ ต่อให้ความสามารถของมั่วเย๋จะแข็งแกร่งกว่าสามขั้นก็ไม่มีประโยชน์
“มารนิรยขาวตัวหนึ่ง ความสามารถแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่เป็นอันตรายกับข้า อสูรมั่วเย้ของเจ้าไร้ค่าแล้ว จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงอีกตัวหนึ่งอยู่แค่ลักษณะเก้าขั้นสี่ อ่อนแอมาก ดวงวิญญาณแบบนี้เพิกเฉยได้” ซือเทียนควบคุมสถานการณ์ต่อสู้อย่างง่ายดาย ทำให้ชู่มู่ไม่มีโอกาสโต้กลับแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ชู่มู่กังวลว่า หมวดของดวงวิญญาณหลักตัวเองจะน้อยเกินไป จะถูกดวงวิญญาณหมวดอื่นของคนอื่นควบคุมเอาไว้ ตอนนี้เรื่องที่เขากังวลเกิดขึ้นจริง ๆ
“ชิงจือ ตรงนี้ให้พวกข้าจัดการ เจ้าไปช่วยชู่มู่เถอะ” เย้หวันเชิงพบว่า หมวดดวงวิญญาณหลักของชู่มู่กำลังจะเกิดเรื่องไม่ดี มองไปยังเย้ชิงจือกับองค์หญิงจิ่งโหลว พูดกับองค์หญิงจิ่งโหลวว่า “พวกข้าจัดการได้ เจ้าไปช่วยชู่มู่เถอะ”
เย้ชิงจือพยักหน้า ขี่อสูรนิมิตชุดม่วงไป หลังจากให้กระดิ่งแก้วตาช่วยสองคนนี้ในการต่อสู้แล้ว ตัวเองได้พาวารีจันทรากับภูตไม้หมุนไปด้วย พุ่งไปยังแท่นบูชาอสูรเลือด
“เกราะไม้ธรรมชาติ !”
เย้ชิงจือร่ายขึ้นอย่างแผ่วเบา รอบตัวภูตไม้หมุนเกิดประกายสีเขียวขึ้น กลายเป็นกิ่งเล็กที่เหมือนต้นอ่อนอย่างช้าๆ ปรากฏบนตัวจั้นเย้
บนตัวจั้นเย้มีเกราะวิญญาณขั้นเก้า บวกกับพลังชีวิตแข็งแกร่งของมัน ต่อให้ถูกควบคุมเอาไว้และยังถูกจักรพรรดิขั้นกลางตัวหนึ่งโจมตี แต่จะไม่ล้มลงในเวลาอันสั้นนี้แน่นอน ส่วนการเพิ่มทักษะของภูตไม้หมุน ทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด อีกทั้งจักรพรรดิขั้นกลางของซือเทียนตัวนั้น ถ้าไม่ปล่อยทักษะแข็งแกร่งที่สุดออกมา คงยากที่จะทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บจริง ๆ ได้
การป้องกันกับพลังชีวิตของจั้นเย้ทำให้ซือเทียนแอบกัดฟัน นึกในใจว่า “ความสามารถฟื้นฟูแข็งแกร่งยิ่ง การป้องกันแข็งแกร่งยิ่ง ถูกโจมตีหลายครั้งแบบนี้ กลับยังไม่ตาย หนังหนาจริง !”
เดิมซือเทียนอยากควบคุมจั้นเย้เอาไว้ แล้วให้จักรพรรดิขั้นกลางอีกตัวหนึ่งฆ่ามันอย่างรวดเร็ว และแล้วทักษะของจักรพรรดิขั้นกลางของเขาปล่อยออกมาทั้งหมดรอบหนึ่งแล้ว อสูรมั่วเย้ตัวนี้กลับยังยืนนิ่งอยู่ได้ เป็นดวงวิญญาณผิดปกติจริง ๆ !
ตอนนี้มีเกราะไม้ธรรมชาติคลุมอยู่ นอกจากจักรพรรดิขั้นกลางตัวนั้นของซือเทียนจะมีความสามารถกัดกร่อนการป้องกัน มิฉะนั้น ถ้าจะฆ่าจั้นเย้ เกรงว่าตัวมันจะหมดแรงก่อน !
ปีศาจเสือลายของเย้หวันเชิงอยู่แค่ลักษณะเก้าขั้นกลาง ความสามารถต่ำกว่าจักรพรรดิขั้นต่ำถึงสองขั้น ผู้เฝ้าหินตื่นตัวเดียวยังไม่เท่าไร แต่ถ้ามีผู้เฝ้าหินสองตัวตื่นขึ้นมาละก็ จะต้องตายแน่นอน
เย้หวันเชิงด่าออกมา หลังจากไล่ตามซือเทียนแล้ว รีบขี่ปีศาจเสือปีกหนีกลับมาอย่างอนาถ
“ให้ตายสิ สิ่งที่เจ้านี่บอกจริงด้วย เข้าใกล้รัศมีหนึ่งร้อยเมตร พวกมันจะฟื้นขึ้นมา !” เย้หวันเชิงพูดขึ้น
ในตอนนี้ซือเทียนเดินได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เขาหยุดลงกะทันหัน มองไปยังพวกชู่มู่ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พวกเจ้าจัดการผู้เฝ้าหินเหล่านี้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองชั่วโมง ถึงตอนนั้น ข้าได้นำผลึกอสูรเลือดจากไปแล้วละ ดังนั้น แนะนำให้พวกเจ้าอย่าเสียเวลาจะดีกว่า ออกจากที่นี่โดยดีเถอะ…”
หลังจากพูดจบ ซือเทียนหัวเราะด้วยความสะใจออกมา แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาอสูรเลือดต่อไป ไม่ว่าผู้เฝ้าหินจะใกล้กับเขามากเพียงใด ผู้เฝ้าหินเหล่านั้นก็ไม่ฟื้นขึ้นมา
“ทำอย่างไรดี เกรงว่าเจ้านั่นจะมีความสามารถท้าสู้อสูรเลือดเกียรติสุดท้ายลำพังจริง ๆ ถ้าพวกเราเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไป เกียรติสุดท้ายด่านที่เก้าจะถูกเขาเอาไปจริง ๆ !” เย้หวันเชิงพูดอย่างหงุดหงิด
“ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ทำได้แค่พุ่งเข้าไป” ชู่มู่บอก
“ชู่มู่ เจ้าไม่ลองเดินไปโดยไม่มีดวงวิญญาณ ไม่แน่อาจเป็นเพราะดวงวิญญาณที่ทำให้พวกมันตื่นขึ้นมา” เย้หวันเชิงดันชู่มู่แล้วพูดขึ้น
“ทำไมเจ้าไม่ไปเองละ !” ชู่มู่พูดอย่างเบื่อหน่าย
ไม่พาดวงวิญญาณเดินเข้าไปในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรของผู้เฝ้าหิน ถ้าโดนโจมตีละก็ จะมีอันตรายอย่างมาก
“แฮะแฮะ เจ้าหน้าด้านจริง ๆ” เย้หวันเชิงยิ้มเล็กน้อย
เมื่อกี้ชู่มู่สังเกตเห็นว่า ซือเทียนเดินเข้าไปโดยไม่มีดวงวิญญาณ บางทีผู้เฝ้าหินตื่นขึ้นมาเพราะดวงวิญญาณก็ได้
ในตอนนี้ ชู่มู่ลองเดินเข้าไปโดยไม่มีดวงวิญญาณ
ในไม่ช้า ชู่มู่ได้เข้าไปในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร…
แต่ว่า ผู้เฝ้าหินยังคงขยับตัว อีกทั้งดวงตาสีเขียวคู่นั้นจับจ้องไปยังชู่มู่ !
“ต่อสู้เถอะ !” ชู่มู่รู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล คงทำได้แค่ต่อสู้เท่านั้น !
ชู่มู่ถอยกลับทันที ให้ราชันผีหินผาอยู่แถวหน้า
ไฟผีลุกโชนขึ้นจากตัวราชันผีหินผา ลำตัวสองเมตรเพิ่มขึ้นจนถึงสี่เมตรทันที เผชิญหน้ากับผู้เฝ้าหินที่ฟื้นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ราชันผีหินผาออกโจมตีก่อน ดาบราชันผีในมือฟาดไปยังผู้เฝ้าหินอย่างแรง !!!
“โซ”
ประกายดาบที่มีกลิ่นไอผีกระจายออก กระแทกบนตัวผู้เฝ้าหินอย่างแรง !
ผู้เฝ้าหินไม่ได้ถอยกลับเพราะพลังนี้ ขาทั้งคู่อันแข็งแรงเหยียบลงบนพื้นหินอย่างมั่นคง ทรงตัวเอาไว้ !!!
“ไม่ได้รับบาดเจ็บ…การป้องกันของเจ้านี่แข็งแกร่งมาก !” ชู่มู่ตกใจทันที !
แปรเปลี่ยนผีทำให้พลังของราชันผีหินผาทวีคูณหลายเท่า การฟาดด้วยดาบนี้ พลังมากถึงขั้นเก้าระยะกลาง การโจมตีแบบนี้กลับทิ้งแค่รอยตื้นบนตัวผู้เฝ้าหิน นี่เท่ากับว่า ในภาวะที่พลังของราชันผีหินผาทวีคูณขึ้นยังไม่สามารถทำลายการป้องกันของมันได้ !
ดวงวิญญาณหมวดหินจะได้เปรียบเรื่องการป้องกันอย่างมาก พลังโจมตีของพวกมันอาจไม่เท่าไร แต่หมวดหินจักรพรรดิขั้นต่ำยิ่งตายยาก ถ้าจะฆ่าทีละตัวละก็ เท่ากับพวกชู่มู่ต้องฆ่าดวงวิญญาณที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งแบบนี้สิบห้าตัว
“รีบจัดการพวกนี้เถอะ”องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
พูดไป องค์หญิงจิ่งโหลวได้ร่ายคาถาขึ้นแล้ว อัญเชิญมารนิรยขาวของเธอออกมา
มารนิรยขาวขององค์หญิงจิ่งโหลวอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสูงแล้ว จัดการผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำเหล่านี้ง่ายขึ้นมาก
องค์หญิงปีศาจขาวที่มีไฟปีศาจวิญญาณขาวลุกโชนทั้งตัวใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่ง เข้าไปในสนามต่อสู้ในวินาทีแรก ทำการโจมตีผู้เฝ้าหินทันที !
องค์หญิงปีศาจขาวเป็นแนวหน้า ดวงวิญญาณอื่นเป็นฝ่ายเสริมการต่อสู้ ฆ่าผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำตัวนี้ได้ไม่ยากมาก แต่ที่น่าหงุดหงิดคือ การป้องกันของผู้เฝ้าหินที่ทำให้ทุกคนเสียเวลา
หลังจากสองนาที ดวงวิญญาณของทุกคนได้จัดการผู้เฝ้าหินตัวแรกแล้ว !
“สองนาทีจัดการได้หนึ่งตัว นับแล้วแทบไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมง !” เย้หวันเชิงบอก
ชู่มู่ในตอนนี้กลับไม่คิดแบบนี้ เพราะในตอนที่เขาทำให้ผู้เฝ้าหินตัวที่สองตื่นขึ้นมา ตัวที่สามได้ตื่นขึ้นมาด้วย !
ถ้าจัดการทีละตัวละก็ ดวงวิญญาณได้รวมทักษะกัน แบบนี้การต่อสู้จะไวขึ้นมาก แต่การปรากฏตัวพร้อมกันแบบนี้ จะทำให้เวลาในการต่อสู้ยืดออกไป อีกทั้งเพิ่มความอันตรายของการต่อสู้ด้วย !
“ผู้เฝ้าหินสองตัวฟื้นพร้อมกัน เย้หวันเชิง ให้แมลงดาบของเจ้าเป็นหน่วยโจมตีหลัก” ชู่มู่พูดกับเย้หวันเชิง
แมลงดาบของเย้หวันเชิงอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสูงแล้ว คิดจะเผชิญหน้ากับผู้เฝ้าหินตัวหนึ่งได้ไม่มีปัญหา ส่วนอีกตัวหนึ่งย่อมต้องให้มารนิรยขาวขององค์หญิงจิ่งโหลวควบคุมไว้
หลังจากหกนาที พวกชู่มู่ทั้งสี่คนถึงฆ่าผู้เฝ้าหินการป้องกันสูงยิ่งนี้ตาย !
เย้ชิงจือเงยหน้ามองไปยังแท่นบูชาอสูรเลือดตรงกลางสุด พบว่าซือเทียนเริ่มต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าแล้ว คาดว่าอีกไม่นาน เขาจะเปิดผนึกอสูรเลือดตัวนั้น !
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เกียรติสุดท้ายจะถูกเขาชิงไปแน่นอน” เย้ชิงจือพูดอย่างใจร้อน
ชู่มู่กวาดตามองไปยังซือเทียน เหมือนสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้านี้จะไม่เป็นอันตรายต่อซือเทียนเท่าไร อีกไม่นานเขาจะฆ่าสิ่งมีชีวิตนี้ได้จริงๆ ส่วนตัวเองกลับถูกผู้เฝ้าหินเหล่านี้รั้งเอาไว้
“ปีศาจขาว !”
ชู่มู่ไม่เก็บแรงต่อไปแล้ว ได้ร่ายคาถาขึ้น ไฟปีศาจเก้าวิญญาณเย็นเยียบลุกโชนขึ้นบนตัว !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณเริ่มกระจายออกไปทั่วทุกทิศ พลังแข็งแกร่งนี้กลับทำให้ผู้เฝ้าหินสามตัวฟื้นขึ้นพร้อมกัน !!!
ฝุ่นบนตัวผู้เฝ้าหินหลุดออก ร่างกายแข็งแรงนี้เคลื่อนที่เล็กน้อย ดวงตาสีเขียวส่องประกายขึ้น จับจ้องไปยังปีศาจขาวแข็งแกร่งยิ่งด้วยสายตาเยือกเย็น !
มารนิรยขาวเป็นจักรพรรดิขั้นสูง พลังย่อมแข็งแกร่งยิ่ง ผู้เฝ้าหินทั้งสามเป็นจักรพรรดิขั้นต่ำ แทบไม่อยู่ในสายตาของปีศาจขาว !
“ฮู ฮู ฮู ฮู”
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นในฝ่ามือของปีศาจขาว ส่งพลังแผดเผาวิญญาณเหล่านี้ลงพื้น บนพื้นหินสีดำนี้มีไฟปีศาจเก้าวิญญาณสิบกว่าอันลุกโชนขึ้นทันที ลุกโชนขึ้นรอบตัวผู้เฝ้าหินทั้งสาม !!!
ผู้เฝ้าหินทั้งสามถูกไฟปีศาจเก้าวิญญาณของปีศาจขาวควบคุมไว้ทันที ส่งเสียงร้องที่เหมือนหินถล่มท่ามกลางเปลวไฟด้วยความโกรธ !
“ทำได้ดี จัดการตัวซ้ายก่อน !” ชู่มู่ให้ปีศาจขาวใช้ไฟปีศาจเก้าวิญญาณแยกผู้เฝ้าหินทั้งสามออก แล้วให้ดวงวิญญาณของคนอื่นปล่อยทักษะไปยังผู้เฝ้าหินตัวซ้าย !
“บึ้ง !!! บึ้ง !!!”
ทักษะสีสันต่าง ๆ กระแทกลง พลังของทักษะใด ๆ เกินกว่าขั้นเก้าหมด ถ้าไม่ได้เป็นเพราะโครงสร้างพิเศษของเมืองอมตะแห่งนี้ เกรงว่าหลังจากทักษะทั้งหมดนี้โจมตีออกมา ลานกว้างแห่งนี้อาจสลายเป็นเศษไปแล้ว !
“ชู่มู่ ทำไมปีศาจขาวของเจ้าถึงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้” องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังปีศาจขาวของชู่มู่ด้วยความตกใจ
ปีศาจขาวเป็นจักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะเก้าขั้นสูง ความสามารถน่าจะสูงกว่าจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบขั้นหนึ่ง
และแล้ว ความสามารถที่ปีศาจขาวเผยอกมาในตอนนี้กลับอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบแล้ว อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่าอีกเล็กน้อย ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำเหล่านั้นแทบไม่มีความสามารถต้านทานทักษะของปีศาจขาว
“เกราะวิญญาณขั้นก้า ชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านขั้นเก้า แค่ชุดก็หนึ่งหมื่นห้าพันล้านแล้ว ความสามารถแบบนี้เข้าใกล้จักรพรรดิชั้นยอดอย่างมาก แล้วจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร !” เย้หวันเชิงตอบแทนชู่มู่ พร้อมทำหน้าอิจฉาออกมา
ชุดทั้งสองทำให้ปีศาจขาวเพิ่มขึ้นจากลักษณะเก้าขั้นสูงไปยังลักษณะสิบได้อย่างไม่มีปัญหา บวกกับพลังต่อสู้ของมารนิรยขาวเองก็แข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่งแล้ว เท่ากับว่าความสามารถของปีศาจขาวในตอนนี้อยู่ระหว่างจักรพรรดิขั้นสูงกับจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำเหล่านี้แทบไม่อยู่ในระดับเดียวกับปีศาจขาว
หลังจากปีศาจขาวเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว ผู้เฝ้าหินทั้งสามตัวแทบอยู่ไม่ถึงสองนาที ก็ถูกจัดการหมด !
…
ต่อจากนี้ ผู้เฝ้าหินไม่ขัดขวางปีศาจขาวมากเท่าไรแล้ว เวลาไม่ถึงห้านาที ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นต่ำถูกคนทั้งหมดจัดการหมดแล้ว เหลือแค่ผู้เฝ้าหินจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวสุดท้ายแล้ว
“ชู่มู่ เจ้าขึ้นไปดูก่อน ผู้เฝ้าหินสองตัวนี้ให้พวกเราจัดการ” เย้หวันเชิงบอก
ชู่มู่กวาดตามองไปยังซือเทียนที่กำลังต่อสุ้กับสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าตัวสุดท้าย พยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกเจ้าระวังตัวด้วย”
หลังจากพูดจบ ชู่มู่พาปีศาจขาว ราชันผีหินผาพุ่งขึ้นแท่นบูชาอสูรเลือด
ความสามารถของสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าไม่อ่อน ซือเทียนจดจ่ออยู่กับสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าหมด จึงไม่สังเกตเห็นการต่อสู้ของพวกชู่มู่
ในตอนที่ชู่มู่พาดวงวิญญาณทั้งสามตัวพุ่งขึ้นบันได ซือเทียนองค์กรวิญญาณเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา !
“เป็นไปได้อย่างไร เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร !!!” ซือเทียนจับจ้องไปยังชู่มู่ !
ในตอนนี้ ซือเทียนพบว่า เพื่อนร่วมกลุ่มอีกสามคนของชู่มู่กำลังสู้กับผู้เฝ้าหินขั้นกลางสองตัวสุดท้าย แต่ว่าต่อให้ยังมีผู้เฝ้าหินสองตัว พวกเขาก็ไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้ไวขนาดนี้ !
ตามการคาดการณ์ของซือเทียน พวกชู่มู่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงถึงจะจัดการผู้เฝ้าหินที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งเหล่านั้นหมดได้ และเวลาเหล่านี้เพียงพอที่จะให้เขาจัดการสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแท่นบูชาอสูรเลือดแล้ว
แต่นี่ผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที ชู่มู่กลับพุ่งเข้ามาแล้ว !!!
นี่ทำให้ซือเทียนองค์กรวิญญาณคาดไม่ถึงจริง ๆ !
“เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว !” ชู่มู่ยืนอยู่ตรงหน้าซือเทียน พูดขึ้นอย่างไม่แยแส
ตลอดที่ผ่านมา ซือเทียนองค์กรวิญญาณเป็นคนที่ผู้คนยอมรับว่า แข็งแกร่งที่สุดขั้นสอง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้แข็งแกร่งแบบนี้เกรงว่าชู่มู่ยังไม่อาจสู้ดวงวิญญาณรองของเขาได้
แต่จากการผ่านการประลองฟ้าดินแล้ว ความสามารถของชู่มู่เพิ่มขึ้นมหาศาล ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ว่า ก็ไม่อยู่ในสายตาของชู่มู่ !
เวลาสิบนาที ดับหมด !!!
การต่อสู้ดุเดือด กินใจงั้นหรือ
สีหน้าของผู้คนที่ใช้คำว่า “คู่ต่อสู้สูสี” เหล่านั้นต่างแข็งทื่ออยู่กับที่
ส่วนผู้คนที่สนับสนุนเซียวอาน เชื่อว่าเซี่ยวอานอาจ “ดักโจมตี” แล้วทำให้พวกชู่เฉิงออกจากการแข่งขัน สีหน้าของพวกเขาประหลาดอย่างมาก !!!
การต่อสู้แบบหมู่ เพราะจำนวนของดวงวิญญาณมีมาก ทำให้การต่อสู้เปลี่ยนต่อเนื่อง เวลาในการต่อสู้จะเข้าใกล้หนึ่งชั่วโมง อีกทั้งนี่ยังไม่มีการเปลี่ยนดวงวิญญาณด้วย
จบการต่อสู้ในสิบนาที เป็นการบอกว่า ความสามารถของทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว !!!
อย่างน้อยเซี่ยวอานก็เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับที่ห้า สู้กับชู่มู่ครั้งเดียว กลับดับหมด ผลนี้ทำให้คนฟังสะเทือนมากเกินไปแล้ว!!
“ชู่เฉิงในตอนนี้จะกวาดล้างขั้นสองจริง ๆ แล้ว ผู้แข็งแกร่งที่พวกเราต้องแหงนหน้ามองยังถูกเขาขยี้ตายอย่างง่ายดาย” ซ่างเหิงพูดอย่างสะเทือนใจ
“ไม่แน่ เจ้านี่อาจซ่อนดวงวิญญาณหลักอะไรอยู่” จ้าวเฉิงพูดขึ้น
“เป็นไปไม่ได้แล้วงั้นหรือ ยังมีดวงวิญญาณหลัก ดวงวิญญาณพวกนี้ของชู่มู่ก็ผิดปกติมากพอแล้ว !” เหล่าสมาชิกตำหนักวิญญาณพูดด้วยสีหน้าตกใจ
สมาชิกตำหนักวิญญาณในลานกว้างตอนนี้มีไม่น้อยที่ได้เห็นการต่อสู้ของชู่มู่กับเจียงอี้เถิงกับตา บุคคลระดับผู้อาวุโสในตำหนักวิญญาณส่วนในไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ชู่มู่มีมารนิรยขาว พวกเขาที่เป็นสมาชิกธรรมดาจะพูดอะไรได้ อย่างไรพลังต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งที่ชู่มู่เผยออกมาให้เห็นทำให้สมาชิกตำหนักวิญญาณตื่นตาตื่นใจ ยังหวังว่าชู่มู่จะคว้าเกียรติสุดท้ายขั้นสองนี้มาอย่างสมเกียรติ
“ฮะฮะ ข้าพูดเฉย ๆ จะซ่อนดวงวิญญาณอีกได้อย่างไร” จ้าวเฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
…
ห้องโถงฝ่ายจัดการประลอง
“จากสถานการณ์ที่การผนึกไม่มั่นคงแล้ว ความสามารถของอสูรเลือดตัวนี้อาจเพิ่มขึ้นก็ได้ !” ชิวไห่หนึ่งในสี่ที่นั่งพูดขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว
“ก่อนที่จะถูกผนึก เป็นแค่จักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกว่า ตอนนี้อาจเพิ่มขึ้นจนอยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดแล้วงั้นหรือ”
“อาจเป็นไปได้มาก เมื่อกี้ข้าได้ไปตรวจดู พบว่ากลิ่นเลือดค่อนข้างหนาแน่น” เย้เทาที่กลับจากเมืองอมตะพูดขึ้น
“เรื่องนี้ทำไมไม่บอกให้ไวกว่านี้ พวกคนที่ตรวจเรื่องนี้ ทำพลาดได้อย่างไร !” ไห่ชิวพูดอย่างหงุดหงิด
“ถ้าบอกว่าจักรพรรดิชั้นยอด จะมีผู้เข้าแข่งขันกี่คนไปถึงที่นั่น ก็ต้องตายหมด ไปตอนนี้อาจจะยังทัน ข้าไปเองเถอะ ไปลดความสามารถของอสูรเลือดตัวนั้นลงบ้าง” เย้เทาบอก
จักรพรรดิชั้นยอด ดวงวิญญาณระดับนี้นับว่าเป็นยมทูตของขั้นสอง จะมีดวงวิญญาณกี่ตัวถูกฆ่าในเสี้ยววินาที
โดยปกติแล้ว ความยากของเกียรติสูงสุดขั้นสองจะอยู่ที่จักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบ อีกกทั้งปกติจะต้องให้ผู้เข้าแข่งขันมากมายล้อมโจมตีถึงจะฆ่าตายได้ ถ้าความสามารถของอสูรเลือดเพิ่มขึ้นสองขั้น แทบไม่มีใครจะคว้าเกียรติสุดท้ายนี้ได้
“โดยปกติผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งต้องใช้เวลาสิบวันถึงจะไปถึง เย้เทาเจ้าเร็วหน่อย ทำให้จักรพรรดิชั้นยอดนั้นได้รับบาดเจ็บ แล้วให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันปล่อยออกมา น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” ชิวไห่บอก
เย้เทาพยักหน้า ในตอนนี้ได้ออกจากห้องโถงฝ่ายจัดการประลอง มุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะอีกครั้ง
ดวงวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ ส่วนใหญ่ความสามารถจะอ่อนลงเพราะขาดการต่อสู้ในระยะยาว แต่จะมีดวงวิญญาณที่มีพลังชีวิตดื้อดันอย่างมากบางพวก พวกมันสามรถหล่อหลอมร่างกายของพวกมันผ่านสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้ แล้วหลังจากผ่านเวลาอันยาวนั้น จะทำลายความสามารถในระดับเดิมได้ !
…
“ชู่มู่ เจ้าพยายามเก็บพลังต่อสู้เถอะ โดยเฉพาะดวงวิญญาณหลัก เกียรติสุดท้ายในด่านที่เก้าไม่ได้ได้มาง่าย ๆ” เย้ชิงจือพูดกับชู่มู่
ชู่มู่พยักหน้า ในตอนนี้ได้ร่ายคาถาขึ้น อัญเชิญราชันผีหินผากับภูตพันวายุออกมาตรงหน้าตัวเอง
ราชันผีหินผาอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสองแล้ว ด้วยผลของเกราะวิญญาณขั้นแปด ถ้าใช้แปรเปลี่ยนราชันผีอีก ต้านทานการโจมตีของจักรพรรดิขั้นกลางได้ไม่มีปัญหา ส่วนพลังต่อสู้หลักต่อจากนี้ ย่อมต้องมอบให้กับเย้หวันเชิงและองค์หญิงจิ่งโหลวแล้ว
เส้นทางที่องค์หญิงจิ่งโหลวเลือกนับว่า มุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาอสูรเลือด ระหว่างทาง แม้ทั้งสี่คนจะเดินอ้อม แต่ใช้ไม่กี่วัน เริ่มตามผู้เข้าแข่งขันคนอื่นทันแล้ว
ตามการคาดคะเนก่อนหน้านี้ น่าจะใช้เวลาอีกแค่สองวัน ก็จะไปถึงแท่นบูชาอสูรเลือดแล้ว
เส้นทางที่องค์หญิงจิ่งโหลวเลือกก่อนหน้านี้น่าจะใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เพราะระหว่างทางได้เจอกับการขัดขวางของสิ่งมีชีวิตและผู้เข้าแข่งขัน ทำได้แค่ไปถึงในวันที่แปดหรือเก้า
จั้นเย้ของชู่มู่เองก็ไม่อาจต่อสู้เวลานานขนาดนั้นได้ ดังนั้น หลังจากสู้กับเซียวอานแล้ว ชู่มู่ได้เก็บจั้นเย้กลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ ให้มันพักผ่อนในนั้น รอให้ความสามารถแตกหักงอกใหม่ฟื้นกลับมา
…
วันที่แปด
พวกชู่มู่ทั้งสี่คนได้เข้าใกล้แท่นบูชาอสูรเลือดในที่สุด
ใต้แท่นบูชาอสูรเลือด ยังมีลานกว้างบูชาอยู่ ทั้งลานกว้างนี้เป็นรูปร่างที่มีสิบสองมุม ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองอมตะ
จากขอบลานกว้างไปยังใจกลางสุดของแท่นบูชา มีเสาหินที่แกะสลักด้วยลายเส้นปีศาจประหลาดมากมาย เสาเหล่านี้มีความสูงเกือบสามสิบเมตร ถูกย้อมเป็นสีเทาขาว บนนั้นมีฝุ่นและคราบตามกาลเวลา
บริเวณขอบทั้งสิบสอง แบ่งเป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่แท่นบูชา เส้นทางนี้คั่นด้วยเสาที่เรียงราย ที่น่าสะเทือนใจคือ แม้ฐานของแท่นบูชานี้จะกว้างเหมือนลานกว้าง แต่นอกจากเส้นทางที่ก่อตัวจากเสาแล้ว กลับเต็มไปด้วยรูปปั้นประหลาดมากมาย รูปปั้นเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตดุร้าย พวกมันยืนอยู่ตรงนั้นราวกับมีชีวิต ราวกับว่าถ้ากล้าเหยียบเข้าไปในพื้นที่ของมัน พวกมันจะ “ฟื้นชีพ” ทันที !
และบนเส้นทางหินสีดำสิบสองทางที่มุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาสูงสุดนี้ มีรูปปั้นมากมายตั้งอยู่เช่นกัน เมือเทียบกับรูปปั้นที่นับไม่ถ้วนนอกเสาเหล่านั้นแล้ว เส้นทางนี้น้อยลงกว่ามาก
“ข้าเข้าไปดูให้ก่อน !”
เย้หวันเชิงรวมความกล้า ขี่ปีศาจเสือลานที่อยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลางมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่กั้นด้วยเสาอย่างช้า ๆ
ท่ามกลางเส้นทางที่เต็มไปด้วยเสานั้น มีรูปปั้นวางอย่างเป็นระเบียบ กวาดตามองไป เหมือนจะมีประมาณสิบห้ารูป รูปปั้นเหล่านี้ยืนเหมือนมนุษย์ บนตัวพวกมันมีเกราะเกล็ดทีละชิ้น โครงร่างแข็งแรงกว่ามนุษย์มาก ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่คลานตัวขึ้น
บนหัวของรูปปั้นมีเขาอยู่ ใบหน้าโดดเด่น ให้ความรู้สึกเต็มไปด้วยพลัง ที่พิเศษคือ มันมีหางยาวเหมือนสัตว์เลื้อยคลานอยู่
ทั้งสี่คนไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตนี้มาก่อน จึงไม่รู้ชื่อเรียกของมัน หรือนี่อาจเป็นรูปปั้นศิลปะของเมืองอมตะ
“ว่าแต่ สิ่งมีชีวิตที่ถูกผนึกไว้ในแท่นบูชาอสูรเลือดจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ไม่มีทางเป็นจักรพรรดิขั้นกลางแน่นอน ถ้าอย่างนั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นจักรพรรดิขั้นสูงใช่ไหม” เย้หวันเชิงหันกลับมาถาม
“น่าจะอยู่ระหว่างจักรพรรดิขั้นสูงกับจักรพรรดิชั้นยอด”องค์หญิงจิ่งโหลวได้บอกขอบเขตความสามารถที่แน่ชัดออกมา
“หวังจะเป็นแบบนั้น…” เย้หวันเชิงพึ่งจะพูดขึ้น นึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วหยุดลงทันที !
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ปีศาจเสือปีกของเย้หวันเชิงเปลี่ยนทิศทางทันที วิ่งกลับมาด้วยความรวดเร็ว ทำท่าทีเต็มไปด้วยเหงื่อ !!!
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” ทั้งสามคนต่างถามด้วยความสงสัย
ชู่มู่ เย้ชิงจือ องค์หญิงจิ่งโหลวต่างตามอยู่ด้านหลังเย้หวันเชิง พวกเขาแทบไม่เห็นอะไร
“พระเจ้า รูปปั้นนั้น…มีชีวิต !” เย้หวันเชิงด่าออกมา!
สายตาของทั้งสามคนมองไปยังรูปปั้นทันที คอยสังเกตอย่างละเอียด
แต่ว่า ไม่ว่าจะมองไปทางใด รูปปั้นยังคงเหมือนรูปปั้นทั่วไป ไม่มีท่าทีของสิ่งมีชีวิตใด ๆ อีกทั้งถ้าบอกว่ารูปปั้นมีชีวิต ในระยะที่ใกล้แบบนี้ พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่รู้กลิ่นไอใด ๆ
“นี่เป็นผู้เฝ้ารูปปั้นหิน ดวงวิญญาณที่รวมจากหมวดหินและหมวดอสูร มีพลังและการป้องกันที่แข็งแกร่ง พื้นที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ไม่มีดวงวิญญาณตระกูลธาตุแบบนี้” ในตอนนี้ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังช้า ๆ
ก่อนหน้านี้ชู่มู่ก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวด้านหลังแล้ว ในตอนนี้ได้หันกลับไปมองคนที่พูด
ส่วนสามคนที่เหลือได้เผยสีหน้าหวาดระแวงออกมาตอนเสียงนี้ดังขึ้น สายตาจับจ้องไปยังแขกไม่รับเชิญคนนี้
ชายคนนี้เดินมาคนเดียว ด้านข้างกลับไม่มีดวงวิญญาณตัวใด ราวกับคาดว่าพวกชู่มู่จะไม่โจมตีเขา เขาไม่ได้หยุดเดิน แต่กลับเดินมุ่งหน้ามายังทั้งสี่คนต่อไป
“ผู้เฝ้าหินเหล่านี้อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นต่ำหมด ที่อยู่ใกล้แท่นบูชาจะเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง โดยปกติผู้เฝ้าหินเหล่านี้จะไม่เผยกลิ่นไอสิ่งมีชีวิตออกมา จะเหมือนเป็นรูปปั้น ทันทีที่มีคนเข้าใกล้พื้นที่ร้อยเมตร พวกมันจะฟื้นชีพ เท่ากับว่า ในเส้นทางนี้มีผู้เฝ้าหินทั้งหมดสิบห้าตัว มีเพียงกวาดล้างพวกมัน พวกเจ้าถึงจะไปยังแท่นบูชาอสูรเลือด และเปิดผนึกแท่นบูชาอสูรเลือดได้” ชายคนนี้พูดต่อ
ระหว่างที่พูด ชายคนนี้ไม่ได้หยุดเดิน เขามุ่งหน้าต่อไป เดินผ่านทั้งสี่คน มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่มีผู้เฝ้าหินสิบห้ารูปนั้น
“ซือเทียนองค์กรวิญญาณ” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดกับชู่มู่เสียงเบา
ก่อนหน้านี้ชู่มู่ก็จำคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่บุกเมืองอมตะนี้ลำพังได้แล้ว แต่ว่าที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมากคือ เจ้านี้แทบไม่มีความสนใจจะจัดการคู่แข่งขันก่อน แต่กลับบอกข้อมูลเกี่ยวกับผู้เฝ้าหินให้พวกเขาทั้งสี่คนรู้
ซือเทียนมุ่งหน้าต่อไป เข้าใกล้หนึ่งร้อยเมตรของรูปปั้นที่หนึ่งอย่างมากแล้ว…
และแล้ว สิ่งที่ทำให้ชู่มู่ทั้งสี่คนประหลาดใจคือ ผู้เฝ้าหินไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ !
ผู้เฝ้าหินไม่ได้ฟื้นชีพ ซือเทียนองค์กรวิญญาณเดินมุ่งหน้าต่อไป ต่อให้ผ่านรูปปั้นที่สอง ผู้เฝ้าหินก็ไม่ได้ตอบสนองใด ๆ
“ลืมบอก ข้ารู้ว่าทำอย่างไรไม่ให้พวกมันฟื้นขึ้นมา ดังนั้น ข้าไปก่อนละ” ซือเทียนหันกลับมาพูดพร้อมฉีกยิ้มออกมา
หลังจากพูดจบ ซือเทียนเดินไปยังแท่นบูชาอสูรเลือดต่อไป !
“คนโกหก ! ชั่วร้ายมาก ! ”เย้หวันเชิงด่าทันที
เย้หวันเชิงไม่เชื่อคำที่ซือเทียนบอก ขี่ปีศาจเสือลายพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
แต่ว่า ในตอนที่เย้หวันเชิงเข้าใกล้หนึ่งร้อย เมตร รูปปั้นที่หนึ่งสะดุ้ง ฝุ่นบนตัวนั้นกลับเริ่มหลุดออก !!!
ฟื้นขึ้นมาแล้ว !!!ผู้เฝ้าหินตัวนี้ฟื้นขึ้นมาจริง ๆ !!!
“กลุ่มที่ชู่เฉิงเป็นหัวหน้าได้เจอกับกลุ่มที่เซียวอานเป็นหัวหน้า !”
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ ได้เจอกับกลุ่มของเซียวอานอันดับที่ห้า !!!”
พวกชู่มู่ในตอนนี้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งหมดแล้ว และตอนนี้ได้เจอกับเซียวอานอันดับที่ห้า ยิ่งก่อให้เกิดความดุเดือดขึ้น
ผู้คนอยากรู้มากว่า ระหว่างผู้แข็งแกร่งสองคนนี้จะเกิดการปะทะกันหรือไม่ !
เกียรติสุดท้ายมีเพียงผู้เดียว จัดการผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก่อนที่จะเข้าสู่แท่นบูชาอสูรเลือดเป็นขั้นตอนที่จำเป็นยิ่ง !
…
“ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองแยกออกจากกัน ไม่ได้เกิดการต่อสู้กัน”
…
หลังจากข่าวนี้กระจายออก ผู้คนได้ส่งเสียงร้องขึ้น
การปะทะระหว่างผู้เข้าแข่งขันเป็นสิ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด โดยเฉพาะผู้เข้าแข่งขันที่มีหวังอย่างมากจะได้เกียรติสุดท้ายอย่างชู่มู่กับเซียวอาน การปะทะระหว่างพวกเขาจะต้องดุเดือดอย่างมากแน่นอน
แต่น่าเสียดาย กลุ่มทั้งสองได้เลี่ยงจากกัน ไม่ได้ทำการต่อสู้ทันที
“เซียวอานทำถูกแล้ว ต้องรู้ก่อนว่า ชู่มู่ได้ใช้มั่วเย้ตัวเดียวจัดการจักรพรรดิขั้นกลางสองตัว คาดว่าชู่เฉิงคนเดียวก็พอจะกวาดล้างทั้งกลุ่มของพวกเขาได้แล้ว ถ้าเกิดการปะทะกัน พวกเซียวอานตายแน่”
“เหมือนเซียวอานจะมีจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบตัวหนึ่งเหมือนกัน…”
เหล่าผู้ชมเริ่มวิจารณ์
“ว่าแต่ เหล่าผู้เข้าแข่งขันในเมืองอมตะน่าจะไม่รู้สถานการณ์ของกันและกันใช่ไหม” ซ่างเหิงพึมพำ
“แน่นอนอยู่แล้ว ดวงวิญญาณส่งสารจะบอกกับผู้คุมดวงวิญญาณส่งสารโดยตรง แล้วส่งมาโลกนอกของพวกเรา ระหว่างผู้เข้าแข่งขันย่อมไม่รู้สถานการณ์ของกันและกัน”จ้าวเฉิงบอก
“เอ่อ เหล่าผู้เข้าแข่งขันในนั้นน่าจะยังไม่รู้ นอกจากมารนิรยขาวของชู่มู่แล้ว ยังมีมั่วเย้ลักษณะสิบที่จัดการจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบจำนวนสองตัวได้ในห้านาทีอีกตัวหนึ่ง !!” ซ่างเหิงบอก
“คึคึ คาดว่าผู้เข้าแข่งขันคนใดคันไม้คันมือ จะหาเรื่องชู่มู่ละก็ พวกเขาจะต้องรับกรรมแล้ว ว่าแต่ มั่วเย้ของชู่มู่เหมือนจะเพิ่มพลังต่อสู้เรื่อย ๆ เท่ากับว่า ยิ่งต่อสู้นานเท่าไร ความสามารถยิ่งแข็งแกร่ง จะว่าไป จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบก็ใช่ว่าจะเป็นความสามารถของมัน”ถิงหลันพูดพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ของถิงหลัน เหล่าสมาชิกตำหนักวิญญาณที่อยู่ในที่นั่งตรงนั้นต่างสูดหายใจเเข้า !
ถ้าบอกว่านี่เป็นเรื่องจริง ความสามารถของดวงวิญญาณหลักตัวหนึ่งอาจถึงจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบ เท่ากับว่าชู่มู่ควบคุมเดี่ยวรับมือกับสิ่งมีชีวิตผนึกในเกียรติสุดท้ายนี้ได้อย่างเหลือเฟือ !
…
ในเมืองอมตะ
กลุ่มของเซียวอานมีทั้งหมดสี่คน ความสามารถของเซียวอานอยู่อันดับที่ห้า คนที่เหลือเป็นอันดับที่เจ็ด สิบเอ็ด และสิบสาม นับว่าเป็นกลุ่มชั้นยอดในบรรดากลุ่มผู้เข้าแข่งขันแล้ว
หลังจากพวกเขาทั้งสี่คนเฉียดผ่านกับกลุ่มของชู่มู่แล้ว กลับไม่ได้เดินตามเส้นทางที่พวกเขาจะเดินก่อนหน้านี้ แต่กลับหยุดลงแล้วปรึกษากัน
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ จำต้องจัดการทิ้ง เขาเป็นอันตรายต่อพวกเราค่อนข้างมาก โดยเฉพาะมารนิรยขาวที่แข็งแกร่งยิ่งของเขา เขาใช้มารนิรยขาวตัวนั้นล้มเจียงอี้เถิง เมื่อกี้พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ดวงวิญญาณอื่นของพวกเขาไม่เท่าไร”เซียวอานพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ตอนที่ผ่านกับกลุ่มของชู่มู่ เซียวอานได้มองไปยังดวงวิญญาณของพวกเขา
รวมถึงชู่มู่ ความสามารถเฉลี่ยของดวงวิญญาณพวกเขาอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลาง ความสามารถแบบนี้เทียบเท่ากับความสามารถเฉลี่ยของผู้เข้าแข่งขันในด่านที่เก้านี้
ดังนั้น วินาทีที่รู้ความสามารถของกลุ่มชู่มู่ เซียวอานมีท่าทีจะลงมือแล้ว
ทว่า เซียวอานเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะซึ่งหน้าอย่างชาญฉลาด แม้ดวงวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามเฉลี่ยอยู่ที่จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลาง แต่ถ้าสู้กันจริง พวกเขาอาจเสียหายอย่างมาก พวกเขามีผู้คุมดวงวิญญาณเสริม สามารถฟื้นพลังชีวิตระหว่างต่อสู้อย่างรวดเร็วได้
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะดักโจมตีเหรอ” เลี่ยวเจี๋ยอันดับที่เจ็ดของโลกซานพูดขึ้น
“ต้องดักโจมตีอยู่แล้ว ถ้าจะให้ดี อย่าให้ชู่เฉิงมีโอกาสอัญเชิญมารนิรยขาวตัวนั้นออกมา ดังนั้น จำต้องให้คนหนึ่งคอยควบคุมการอัญเชิญของชู่เฉิง ! มิฉะนั้น ถ้ามารนิรยขาวปรากฏตัวละก็ พวกเราจะมีปัญหาอย่างมาก” เซียวอานบอก
“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ภูตวิญญาณของข้าเถอะ มันอยู่ในลักษณะเก้าขั้นแปดแล้ว ควบคุมเขาได้ง่ายมาก เพียงแค่พวกเจ้าจัดการดวงวิญญาณของคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ผู้คุมดวงวิญญาณเสริมคนนั้น จำต้องจัดการดวงวิญญาณเสริมของเขาในวินาทีแรก” เลี่ยวเจี๋ยวบอก
“ได้ ตามนี้”
…
ชู่มู่ เย้หวันเชิง เย้ชิงจือ องค์หญิงจิ่งโหลวต่างควบคุมคู่ ดังนั้น รูปแบบดวงวิญญาณจึงดูไม่แข็งแกร่งเท่าไร โดยเฉพาะในตอนที่จั้นเย้ถูกอสูรนิมิตชุดม่วงอำพรางมาแล้ว
“ชู่มู่ ความสามารถของจั้นเย้เจ้ากำลังลดลง” เย้หวันเชิงมองไปยังมั่วเย้ของชู่มู่
หลังจากที่จั้นเย้หยุดการต่อสู้ประมาณครึ่งชั่วโมง ความสามารถจะลดลงอย่างช้า ๆ หลังจากสองชั่วโมง จะกลับมาอยู่ในลักษณะขั้นเดิม
“มีคนคิดจะใช้ดวงวิญญาณของพวกเขาเพื่อเติมเต็มความสามารถของจั้นเย้ข้าพอดี” ชู่มู่มองไปยังด้านหลัง ฉีกยิ้มมุมปากออกมา
ชู่มู่เป็นเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายคนหนึ่ง ต่อให้อยู่ในขั้นหนึ่ง เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่จะมีร่ายวิญญาณสูงกว่าชู่มู่ ส่วนพวกคนที่คิดจะโจมตีพวกเขาจากด้านหลัง การกระทำของพวกเขาน่าสมเพชอย่างมก
“จั้นเย้ เตรียมฆ่าล้างได้แล้ว !” ชู่มู่พูดกับจั้นเย้
ความสามารถของจั้นเย้ลดลงเหลือลักษณะเก้าขั้นเก้าแล้ว เชื่อว่าหลังจากสู้กับคนกลุ่มนั้นแล้ว ความสามารถของจั้นเย้จะเพิ่มขึ้นอีกขั้นแน่นอน
เย้ชิงจือเองก็สังเกตเห็นท่าทีของคนเหล่านั้นแล้ว จึงร่ายคาถาขึ้นทันที เสริมหมวดให้ชีวิตของจั้นเย้ ให้พลังขีวิตของจั้นเย้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
และแล้ว ภูตวิญญาณที่ซ่อนตัวอย่างระมัดระวังหลายตัวปรากฎด้านหลังสี่คนนี้ เข้าใกล้พวกชู่มู่อย่างช้า ๆ ดวงตาที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางกำแพงพืชสีดำนี้จับจ้องไปยังดวงวิญญาณของเหล่าผู้คน
ชู่มู่ไม่รีบร้อน รอให้ดวงวิญญาณทั้งหมดของผู้ดักโจมตีปรากฏตัวหมดก่อน ถึงออกคำสั่งต่อจั้นเย้
ภูตวิญญาณตัวหนึ่งเล็งไปยังจั้นเย้ที่ถูกอสูรนิมิตซ่อนความสามารถเอาไว้ มันคลานไปด้านหลังจั้นเย้อย่างเชื่องช้า กรงเล็บแหลมคมยื่นออกช้า ๆ คิดจะฉีกจุดสำคัญของจั้นเย้
“มั่วเย้ลักษณะเก้าขั้นสองตัวหนึ่ง หึหึ ถูกภูตวิญญาณของข้าดักโจมตี จะต้องตายด้วยการโจมตีเดียวแน่นอน…”เลี่ยวเจี๋ยที่ซ่อนอยู่ในความมืดหัวเราะออกมา !
“ซัวะ !!!”
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่เลี่ยงเจี๋ยออกคำสั่งต่อภูตวิญญาณของเขา กรงเล็บเย็นเยียบตวัดผ่าน !!
เลือดสดกระเซ็นทันที สีแดงฉานกระจายบนกำแพงพืชสีดำ
หัวอันหนึ่งตกลงบนพื้น นั่นไม่ใช่หัวของมั่วเย้ชู่มู่ แต่เป็นหัวของภูตวิญญาณเลี่ยวเจี๋ย !
“เป็นไปได้อย่างไร !!” เซียวอานที่อยู่ด้านข้างเบิกตากว้าง มองไปยังบริเวณที่เลือดสดพุ่งออกด้วยความหวาดกลัว !!
ดวงตาสีดำเยือกเย็นคู่หนึ่งจับจ้องมายังที่นี่ นั่นเป็นมั่วเย้ลักษณะเก้าขั้นสองตัวนั้น และแล้ว กลิ่นไอความมืดที่กระจายออกจากตัวของมันกลับเข้าใกล้ลักษณะสิบอย่างมาก !
“นี่เป็นมั่วเย้ลักษณะสิบตัวหนึ่ง !!!” สีหน้าของเซียวอานเปลี่ยนไปทันที ในตอนนี้เข้าก็ไม่กล้าเก็บความสามารถไว้ ได้อัญเชิญดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดของเขาออกมาทันที !
คนอื่นต่างเผยสีหน้าตกใจออกมา เมื่อกี้ตอนที่พวกเขาสังเกต เห็นว่ามั่วเย้ตัวนั้นอยู่แค่ลักษณะเก้าขั้นสอง ทำไมถึงกลายเป็นลักษณะสิบในเสี้ยววินาที !
การต่อสู้ระเบิดขึ้นทันที ดวงวิญญาณของพวกชู่มู่ได้ทำการโจมตีโต้ตอบทันที ปล่อยทักษะสีสันต่าง ๆ ออก โจมตีไปยังดวงวิญญาณของพวกเซียวอานอย่างบ้าคลั่ง
ผู้คนเหล่านี้เตรียมตัวดักโจมตี จะไปรู้ได้อย่างไรว่าฝ่ายตรงข้ามรับมือไว้ตั้งนานแล้ว หลังจากการโจมตีของทักษะเหล่านี้ พวกเขาตื่นตูมทันที
“โฮร่ โฮร่ โฮร่ !!!”
จั้นเย้กล้าหาญยิ่งขึ้น ไม่ต้องให้ดวงวิญญาณอื่นช่วยเหลือหรือคุ้มกัน ร่างของมันกลายเป็นแสงสีเข้ม พุ่งเข้าไปในวงดวงวิญญาณของพวกเซียวอานทันที !
เซียวอานได้อัญเชิญจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบออกมารับมือกับจั้นเย้ แต่ว่าต่อให้ความสามารถลักษณะขั้นเดียวกัน จั้นเย้ก็อาศัยพลังชีวิตพลังฟื้นฟูเจ็ดเท่าของตัวเอง และความได้เปรียบของเกราะวิญญาณขั้นเก้า จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบของเซียวอานแทบไม่สามารถทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
อีกทั้ง ต่อให้ดวงวิญญาณของคนทั้งหมดได้ล้อมโจมตีจั้นเย้ จั้นเย้ก็แค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่กลับเป็นดวงวิญญาณของพวกเซียวอานที่ถูกจั้นเย้ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส !
“ทำไมทำลายการป้องกันไม่ได้แม้แต่น้อย !!! เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่นอน มั่วเย้ตัวนี้แข็งแกร่งถึงระดับนี้ได้อย่างไร !!!” เพิ่งรับมือกันไม่กี่รอบ ดวงวิญญาณของพวกเซียวอานเริ่มแพ้แล้ว และทั้งสนามต่อสู้ราวกับเป็นการแสดงของมั่วเย้ ดวงวิญญาณลักษณะเก้าขั้นกลางเหล่านั้นถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีอย่างต่อเนื่อง !!!
“พระเจ้า ความสามารถของมันกำลังเพิ่มขึ้น !!!” เลี่ยวเจี๋ยร้องขึ้นด้วยสีหน้าซีดขาว
ความสามารถของจั้นเย้เข้าสู่ลักษณะสิบ ทำให้ผู้เข้าแข่งขันรู้สึกราวกับเป็นฝันร้าย มั่วเย้ตัวนี้กลับใช้ทักษะภาวะคลั่งเลือด เพิ่มความสามารถอีกขั้นหนึ่ง !!!
จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบก็น่ากลัวมากพอแล้ว ใช้ภาวะคลั่งเลือดอีก เป็นการฆ่าล้างฝ่ายเดียว โดยเฉพาะดวงวิญญาณตัวนี้แทบจะมองข้ามทักษะทั้งหมดของดวงวิญญาณพวกเขา !
ไม่เพียงแต่ผู้เข้าแข่งขันสามคนนั้น แม้แต่เซียวอานอันดับที่ห้าในตอนนี้ก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง !
ดวงวิญญาณอื่นของพวกชู่มู่ไม่ต่างจากดวงวิญญาณของพวกเขาเท่าไร ถ้าสู้กันด้วยจำนวนของดวงวิญญาณ ท้ายที่สุดชัยชนะก็ยังเป็นของพวกเขา
และแล้ว ความกล้าของมั่วเย้ตัวนี้น่ากลัวเหลือเกิน ทำให้สถานการณ์ต่อสู้เอนเอียงไปทางเดียว !!!
…
…
“กลุ่มของเซียวอานดักโจมตีกลุ่มชู่เฉิง ทั้งคู่เข้าสู้การต่อสู้ชุลมุน”
ข่าวนี้กระจายในลานกว้างเทียนเซี่ยในไม่ช้า ผู้คนที่ผิดหวังก่อนหน้านี้ เริ่มตาสว่างขึ้นมาทันที เสียงร้องดังไปทั่ว
การปะทะระหว่างผู้แข็งแกร่ง และความดุเดือดของการต่อสู้ถึงเป็นที่น่าสนใจของเหล่าผู้ชม !
“การต่อสู้ครั้งนี้น่าจะเป็นที่จับตามองอย่างมาก อย่างไรเสีย ความสามารถของเซียวอานก็แข็งแกร่งมาก !”
“ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้น ชู่เฉิงอัญเชิญมารนิรยขาวออกมา ใครก็สู้กับเขาไม่ได้”
“เซียวอานก็มีดวงวิญญาณหลักที่แข็งแกร่งมากอยู่ ยากที่จะตัดสินได้”
คนทั้งหมดเริ่มคาดเดาผลการต่อสู้ คนเหล่านี้อยากให้ตัวเขาเป็นดวงวิญญาณส่งสาร จะได้มองดูการต่อสู้ระหว่างแข็งแกร่งอันดับสองและ อันดับห้านี้กับตา
…
หลังจากผ่านไปสิบนาที
ในตอนที่คนทั้งหมดกำลังคาดเดาการต่อสู้นี้อย่างดุเดือด ได้มีข่าวส่งมาแล้ว
ตอนแรก ผู้คนต่างคิดว่า เป็นข่าวสำคัญเกี่ยวกับขั้นตอนการต่อสู้ ตั้งใจส่งมาให้คนทั้งหมดรับรู้
และแล้ว หลังจากที่ข่าวนี้กระจายออก ลานกว้างเทียนเซี่ยนี้กลับเงียบลงหลายวินาที !!!
“กลุ่มเซียวอาน ดับหมด !!!”
ลานกว้างเทียนเซี่ย
ผ่านไปสามวันแล้ว ในเมืองอมตะ มีข่าวออกมาสู่ด้านนอกบ้างแล้ว และในเวลาสามวันนี้ กลับมีคนถูกคัดออกมากถึงสี่สิบคนแล้ว
ตามข่าวที่ฝ่ายจัดการประลองแจ้งมา ในเวลาสามวันนี้ ไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนใดเข้าสู่ครึ่งทางของจุดหมายสุดท้าย
ใครก็รู้ว่ายิ่งเดินเข้าไปมากเท่าไรยิ่งอันตรายเท่านั้น และเดินไม่ถึงครึ่งทางของเส้นทางทั้งหมด ก็มีคนสี่สิบคนถูกคัดออกแล้ว จำนวนตัวเลขนี้น่ากลัวอย่างมาก !
“กลุ่มสามคนที่มีบันถัวเป็นหัวหน้า ได้เปิดผนึกสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าโดยบังเอิญ ถูกจักรพรรดิขั้นต่ำลักษณะสิบจำนวนสองตัวโจมตี !”
ผู้คุมดวงวิญญาณส่งข่าวได้บอกข่าวนี้ให้กับสมาชิกฝ่ายจัดการประลอง แล้วให้สมาชิกฝ่ายจัดการประลองบอกเรื่องนี้ให้กับคนที่คอยติดตามในลายกว้างเทียนเซี่ยแห่งนี้
“จักรพรรดิขั้นต่ำลักษณะสิบจำนวนสองตัว ต่อให้เป็นเหล่าผู้เข้าแข่งขันที่มีความสามารถเฉลี่ยก็ยังอยู่แค่ผู้นำชั้นยอดลักษณะสิบเท่านั้น นี่ห่างกันสองขั้นเต็ม ๆ อีกทั้งยังปรากฏทีเดียวสองตัว นี่พวกเขาตายแน่นอนไม่ใช่เหรอ !” เสียงวิจารณ์ดังขึ้นทันที
เหล่าผู้เข้าแข่งขันอำนาจต่าง ๆ มาจากเขตโลก เขตเมืองต่าง ๆ รวมถึงเหล่าผู้คุมดวงวิญญาณที่ไม่ใช่วัยหนุ่มซึ่งติดตามการประลองฟ้าดินมาตลอด ตามข่าวที่มีดวงวิญญาณแข็งแกร่งปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้คนแทบจะอยู่ในภาวะตกใจตลอดเวลา !
จักรพรรดิขั้นต่ำ ลักษณะสิบ วัยหนุ่มที่มีดวงวิญญาณระดับนี้จัดว่าอยู่ในวัยหนุ่มชั้นยอดแล้ว !
และแล้ว นี่เหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นมากที่สุดในเมืองอมตะแห่งนี้ ได้ยินการต่อสู้ระหว่างบางกลุ่มกับสิ่งมีชีวิตนี้ตลอดเวลา
หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที เหมือนจะมีข่าวอีกอันกระจายออก เป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มสามคนที่มีบันถัวเป็นหัวหน้า
“สามคนฆ่าจักรพรรดิขั้นต่ำตัวหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้…ดับหมด !”
หลังจากผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองกระจายข่าวนี้ออก เกิดเสียงตกใจขึ้นอีกครั้ง ดับหมดแปลว่าดวงวิญญาณไม่รอด ผู้คุมดวงวิญญาณก็ไม่อาจรอดไปได้ !
…
“บนเส้นทางความตายชุลมุนเมืองอมตะ มีจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง !!!”
ในไม่ช้า ผู้คุมดวงวิญญาณส่งข่าวได้รับข่าวสารที่น่าตกใจยิ่งขึ้น !
จักรพรรดิขั้นกลาง !!! ไม่ต้องบอก ก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตในเมืองอมตะนี้ จะต้องอยู่ในลักษณะสิบแน่นอน !!!
นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฆ่าดวงวิญญาณของเหล่าผู้เข้าแข่งขันด่านที่เก้านี้ได้ในเสี้ยววินาที!หลังจากได้ยินข่าวนี้ ทั้งลานกว้างเทียนเซี่ยนี้ได้ระเบิดออก !!!
“ใคร…ใครอยู่ตรงนั้น”
“ไม่ว่าใครอยู่ตรงนั้น มีเพียงคำเดียว ตาย !”
และแล้ว ข่าวกระจายออกอย่างรวดเร็ว กลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งได้เข้าสู่เส้นทางแห่งความตายชุลมุนนี้โดยไม่รู้ตัว ผ่านไปไม่กี่นาที ข่าวการตายของคนกลุ่มนี้ได้กระจายออก
“เมืองอมตะน่ากลัวมากจริง ๆ ไม่รู้ว่า พวกชู่เฉิงเป็นอย่างไรบ้าง ผ่านไปสามวันแล้ว ทำไมไม่มีดวงวิญญาณส่งข่าวตัวใดรับรู้สถานการณ์ของพวกเขา” ซ่างเหิงบอก
“พวกเขาเดินผิดทางหรือเปล่า มิฉะนั้น ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่มีข่าวเกี่ยวกับพวกเขา” ถิงหลันพูดด้วยความกังวล
ในเมืองอมตะน่าจะมีดวงวิญญาณหมวดปีกส่งข่าวมากมายที่มีจิตเชื่อมกับผู้คุมดวงวิญญาณอยู่ ดวงวิญญาณเล็ก ๆ เหล่านี้จะไม่ถูกโจมตีแน่นอน อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้แทบไม่มีกลิ่นไออะไร ดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งมองว่าพวกมันเป็นเหมือนยุงแมลงวันหมด
“เห้ย ตรงนั้นมีข่าวเกียวกับชู่เฉิงส่งมาแล้ว !” จ้าวเฉิงร้องขึ้นทันที
ถิงหลัน ซ่างเหิง จ้าวเฉิงต่างเป็นคนที่มีตำแหน่งในตำหนักวิญญาณ พวกเขาต่างจากพวกผู้เข้าแข่งขันที่ยืนรอข่าวในลานกว้างเทียนเซี่ย พวกเขามีที่นั่งของตัวเอง อีกทั้งจะได้รับรู้สถานการณ์ในด่านที่เก้าจากผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองในวินาทีแรก
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณปรากฎตัวในเส้นทางแห่งความตายชุลมุน ท่าทางจะกวาดล้างเส้นทางความตายชุลมุน !!!”
หลังจากข่าวกระจายออก เหล่าผู้คนตื่นเต้นขึ้นทันที !
ข่าวของเหล่าผู้เข้าแข่งขันสิบอันดับแรกเป็นที่นิยมมากที่สุด โดยเฉพาะผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ในดันดับสองอย่างชู่มู่
ทันทีที่ชื่อของ “ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ” ปรากฏขึ้น เสียงผู้คนในลานกว้างเทียนเซี่ยดังสนั่นทันที
“บนเส้นทางความตายชุลมุนมีจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวไม่ใช่เหรอ หรือว่าเขาคิดจะบุกเข้าไป”
“มารนิรยขาวของเขาเติบโตถึงลักษณะเก้าขั้นสูงแล้ว ความสามารถเทียบเท่าจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ น่าจะจัดการจักรพรรดิขั้นกลางได้ไม่มีปัญหา”
ผู้คนเริ่มคาดเดาว่า ชู่มู่จะจัดการจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวในเส้นทางความตายชุลมุนนี้ได้หรือไม่ !
ในไม่ช้า ข่าวกระจายอีกครั้ง
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ ฆ่าจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวนั้นตายแล้ว กลยุทธ์ดวงวิญญาณของเขา…”
“พระเจ้า ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ เขากลับเอาชนะจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวด้วยควบคุมเดี่ยว !!!”
หลังจากผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองกระจายข่าวนี้ออก ทั้งลานกว้างเทียนเซี่ยสะเทือนทันที !!!
จักรพรรดิขั้นต่ำตัวหนึ่งก็เพียงพอที่จะให้กลุ่มบางกลุ่มของผู้เข้าแข่งขันดับหมด ส่วนจักรพรรดิขั้นกลางเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งทำลายล้างมากขึ้น เดิมผู้คนคิดว่าต่อให้ความสามารถของชู่เฉิงจะแข็งแกร่งมากเพียงใด อย่างน้อยก็ต้องสู้กับจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวนี้หลายร้อยรอบ
และแล้ว ที่ทำให้คนทั้งหมดสะเทือนใจคือ เขากลับฆ่าจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวนี้ที่ในบรรดาขั้นสองที่ไม่มีใครต้านทานได้นี้ด้วยการควบคุมเดี่ยว !!!
“กลับไม่ได้อัญเชิญมารนิรยขาวออกมา ! ดวงวิญญาณของชู่มู่เกินไปแล้ว !!!” จ้าวเฉิงเองยังรู้สึกว่าตัวเองฟังผิด !
ตำหนักวิญญาณมีผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเข้าสู่ด่านที่เก้าเช่นกัน จ้าวเฉิงก็รู้จักคนไม่น้อย สำหรับพวกเขาแล้วจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบคือจุดจบของพวกเขา !!!
แต่ก่อนที่จะมีข่าวว่าชู่มู่ได้เจอกับจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวนั้น ใช้เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที นั่นหมายความว่าเวลาห้านาทีก็เพียงพอที่จะให้ชู่มู่จัดการสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าที่ทำให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันหวาดกลัวสองตัวนั้นได้ หรือนี่ไม่พอที่จะอธิบายทุกอย่างเหรอ !
“เป็นไปได้อย่างไร มั่วเย้ของชู่เฉิงอยู่แค่ลักษณะเก้าขั้นกลางไม่ใช่เหรอ ข่าวที่ผู้ส่งสารกลับบอกว่าความสามารถของมั่วเย้ตัวนี้อยู่ในลักษณะสิบ จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ !!!”
“จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ ชู่เฉิงมีดวงวิญญาณแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าเขายังซ่อนดวงวิญญาณหลักอีกตัวหนึ่ง ความสามารถของดวงวิญญาณหลักตัวนี้ไม่ด้อยไปกว่ามารินรยขาวไร้เทียมทานของเขาตัวนั้นแม้แต่น้อย !!!”
วินาทีนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างคิดว่า ชู่มู่มีมั่วเย้สองตัวแน่นอน ตัวหนึ่งอยู่ที่ลักษณะเก้าขั้นกลาง มีความสามารถแตกหักงอกใหม่ ส่วนอีกตัวหนึ่ง คือจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะสิบ !!!
เสียงคึกคะนองนี้ดังนานมาก ๆ !!!
ใครก็ไม่คิดว่า ชู่มู่ที่ปรากฏตัวอย่างน่าสะเทือนใจด้วยมารนิรยขาวยังซ่อนจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบไว้ตัวหนึ่ง
เท่ากับว่าต่อให้ถึงด่านที่แปด ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณยังไม่ได้เผยดวงวิญญาณหลักทั้งหมดของเขาออกมา !!!
ในที่นั่งตำหนักวิญญาณ ซ่างเหิง ถิงหลัน จ้าวเฉิงทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จ้าวเฉิงถึงทำลายความเงียบพูดขึ้นว่า “ชู่มู่น่าจะมีมั่วเย้แค่ตัวเดียวใช่ไหม”
“อืม มั่วเย้ลักษณะสิบ…น่าจะเป็นตัวเดียวกัน” ถิงหลันบอก
“เป็นตัวเดียวกันแน่นอน ตอนที่สู้กับเซิ่นอีเฉิง มั่วเย้ตัวนั้นของชู่มู่ได้เพิ่มความสามารถจากลักษณะแปดขั้นต่ำจนถึงลักษณะแปดขั้นสูงมาตลอด ตอนนี้มั่วเย้ตัวนี้อยู่ในลักษณะสิบ คาดว่ามั่วเย้ลักษณะเก้าขั้นกลางของชู่มู่ได้เพิ่มความสามารถด้วยทักษะกลุ่มบางอย่างแน่นอน !” ซ่างเหิงพูดด้วยความตกใจ
“มั่วเย้ของเขายังสวมเกราะวิญญาณขั้นเก้า ตอนอยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลาง ปีศาจแมลงตะกละจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบยังยากที่จะทำลายการป้องกันของมันได้ และในตอนนี้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ เท่ากับว่าแม้แต่จักรพรรดิขั้นสูงก็ยากที่จะทำลายการป้องกันของมันแล้ว !!!”
มีเพียงซ่างเหิงกับถิงหลันที่เคยเห็นความสามารถพิเศษของมั่วเย้ชู่มู่ มีเพียงพวกเขาที่รู้ว่า ชู่มู่มีมั่วเย้แค่ตัวเดียว เมื่อมันระเบิดความสามารถออกมา จะกวาดล้างข้ามขั้นได้ !
…
ในเมืองอมตะ
จั้นเย้ที่เต็มไปด้วยเลือดคลานกลับมาจากศพยักษ์ใหญ่ของจักรพรรดิขั้นกลางสองตัว ยืนนิ่งอยู่ข้างดวงวิญญาณของเย้ชิงจือ ให้เย้ชิงจือรักษาแผลให้มัน
จะเข้าสู่วันที่สี่แล้ว หลังจากพวกชู่มู่จัดการสิ่งมีชีวิตผู้เฝ้าดาวที่หนึ่งได้ ก็เดินทางกลับสู่เส้นทางหลักทันที แล้วเริ่มไล่ตามผู้เข้าแข่งขันอื่นอย่างบ้าคลั่ง
ระหว่างทาง จั้นเย้ได้ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ความสามารถเพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะสิบแล้ว !
อีกทั้งบนตัวมั่วเย้ยังมีเกราะวิญญาณขั้นเก้าอยู่ แม้แต่ดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นสูงยังต้องใช้เวลาอย่างมากในการทำลายการป้องกันของมั่วเย้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวนี้แล้ว
ดังนั้น จั้นเย้จัดการดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นกลางสองตัวนี้ได้ไม่ยาก บวกกับการเสริมของเย้ชิงจือ พูดได้ว่าง่ายดายอย่างมาก
“ชู่มู่ กลิ่นไอของมั่วเย้เจ้าในตอนนี้รุนแรงเกินไปแล้ว อาจล่อให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งล้อมโจมตี ข้าให้อสูรนิมิตของข้าเก็บกลิ่นไอของมั่วเย้เจ้าหน่อย” เย้ชิงจือบอกกับชู่มู่
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า
ในภาวะปกติ หลังจากที่จั้นเย้ใช้พลังหมดลง ไม่ว่าดวงใจแห่งมังกรหาญเพิ่มขึ้นถึงระดับใด ความสามารถจะลดลงทันที
ทว่า เย้ชิงจือได้ปรุงยาเสริมกำลังให้จั้นเย้พอดี และได้รักษาแผลให้จั้นเย้ต่อเนื่อง ทำให้กำลังของจั้นเย้คงอยู่ต่อไป
เดิมความอดทนของจั้นเย้ก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ต่อสู้ พักผ่อน ต่อสู้พักผ่อน การโคจรแบบนี้ ความสามารถของจั้นเย้เพิ่มขึ้นและลดลงต่อเนื่อง ในภาวะปกติยังทำให้จั้นเย้อยู่ในระหว่างลักษณะเก้าชั้นยอดกับลักษณะสิบได้
ที่ชู่มู่ได้อัญเชิญให้จั้นเย้ต่อสู้ต่อเนื่องตั้งแต่เข้ามาในเมืองอมตะ ก็เพื่อเพิ่มความสามารถของจั้นเย้ก่อน รอให้ถึงตอนที่ต้องต่อสู้จริง ๆ ด้วยผลของลายเส้นปีศาจอสูรเกราะเขา ภาวะคลั่งเลือดและดวงใจแห่งมังกรหาญ จะทำให้จั้นเย้ระเบิดพลังต่อสู้จนอยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบได้ !
แน่นอนว่า ชู่มู่รู้ดีว่า คิดจะให้จั้นเย้คงอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โอกาสที่จั้นเย้จะระเบิดความสามารถมีแค่ครั้งเดียว หลังจากระเบิดออกมาแล้ว ความสามารถจะลดลงทันที ดังนั้น ต้องคุมโอกาสนี้ให้ดี !
“ที่แท้เขาคือซือเทียน เจ้าคนลึกลับได้ปรากฏตัวสักที !” เย้หวันเชิงมองไปยังซือเทียน พูดพร้อมลูบคาง
เย้หวันเชิงฝ่าด่านอย่างราบรื่น ด่านที่เขาผ่านมาคล้ายกับชู่มู่อย่างมาก ด่านก่อน ๆ ได้รางวัลเกียรติสูงสุดอย่าบ้าคลั่ง เพิ่มความสามารถระหว่างการประลองฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่า ตอนที่เขาได้เกียรติสูงสุดได้ใช้ดวงวิญญาณหลักด้วย แต่ในด่านหลังกลับได้เกียรติสูงสุดยากขึ้นมากแล้ว ส่วนในด่านหลัง ๆ เขาได้เลือกที่จะจัดการทุกอย่างเงียบ ๆ อย่างฉลาด ไม่ได้เกียรติสูงสุด แต่กลับเข้าสู่ด่านที่เก้าได้สำเร็จ
ดังนั้น กลุ่มฝ่าด่านที่เก้าในครั้งนี้มีทั้งหมดสี่คน ชู่มู่ ชิงจือ องค์หญิงจิ่งโหลว เย้หวันเชิง
เป้าหมายของเย้หวันเชิงเหมือนกับเย้ชิงจือ จะต้องได้คำสั่งเสียของอาจารย์ให้ได้ ไม่สนใจรางวัลอื่น หรือจะบอกว่า แค่ให้ได้คำสั่งเสียมา รางวัลอื่นแทบไม่อยู่ในสายตา
ส่วนองค์หญิงจิ่งโหลวไม่ได้บอกเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นแค่เพื่อนร่วมปฏิบัติการเท่านั้น
ชู่มู่เองแค่อยากได้เกียรตินี้ ไม่เพียงแต่เท่านั้น ต่อจากนี้คือ ระดับเก้า ระดับสิบ ตำแหน่งผู้อาวุโส การเสนอชื่อในการประลองฟ้าดิน ตำแหน่งทั้งสี่และท้ายที่สุด บัลลังก์ฟ้าดิน ล้วนเป็นสิ่งที่ชู่มู่จะชิงทีละก้าว !
แน่นอนว่า ตอนนี้นอกจากจะได้เกียรติสุดท้ายขั้นสองแล้ว ชู่มู่ยังต้องบุกเข้าพื้นที่อมตะอีกแห่งหนึ่ง เพื่อปล่อยดวงวิญญาณของท่านพ่อที่ถูกผนึกไว้ออกมา…
…
ตามการเจรจาตั้งกลุ่มของเหล่าผู้เข้าแข่งขัน เริ่มมีผู้เข้าแข่งขันกลุ่มอื่นมุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะมากขึ้น
ทว่า กลับไม่มีใครที่เดินเข้าไปคนเดียวอย่างซือเทียน ท่าทางชื่อเสียงของซือเทียนไม่ได้มีแค่ชื่อ ดูจากท่าทางของเขาในด่านที่เก้านี้ก็รู้ถึงจุดแตกต่างของเขาจากคนอื่น
“ชู่มู่ ตามที่ข้าเข้าใจอย่างละเอียด วิธีผนึกดวงวิญญาณของท่านพ่อของเจ้าเรียกว่าการผนึกกระจายดาว การผนึกกระจายดาวแบบนี้ไม่สามารถเปิดออกอย่างลายเส้นผนึกทั่วไป เพราะลายเส้นผนึกทั้งหมดจะกระจายในที่ต่าง ๆ โดยปกติการผนึกแบบนี้จะเป็นการผนึกในเวลายาว ต่อให้มีคนคิดจะเปิดออก ก็ต้องใช้เวลาอย่างมาก” องค์หญิงจิ่งโหลวบอกกับชู่มู่
ชู่มู่ไม่เข้าใจลายเส้นผนึกนี้เท่าไร ในตอนนี้จึงได้ถามเรื่องเกี่ยวกับผนึกกระจายดาวกับผู้เฒ่าหลี
“ผนึกกระจายดาวเป็นผนึ่งในผนึกที่ยากจะคลี่คลายได้ เจ้าลองถามองค์หญิงงามคนนั้นว่าผนึกกระจายดาวนี้มีกี่ดาว”ผู้เฒ่าหลีบอก
ในตอนนี้ชู่มู่จึงได้ถามองค์หญิงจิ่งโหลว
“ผนึกดาวคู่ เท่ากับว่ามีจุดที่ผนึกกระจายอีกสองแห่งในพื้นที่อื่นต้องเปิดออก มิฉะนั้น ลายเส้นทั้งผนึกจะอยู่ในภาวะปิดตายตลอด แต่ว่า ข้าไม่อาจรู้จึดแน่ชัดของตำแหน่งดาวสองอันนี้ได้…” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดเสียงเบา
“ปัญหานี้ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ ส่งแผนที่ในมือเจ้าให้ข้า” เย้หวันเชิงฉีกยิ้มออก ทำท่าทีเต็มไปด้วยควมมั่นใจ
องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังเย้หวันเชิงด้วยความสงสัย แม้เธอรู้ว่าผู้ชายที่ดูเหมือนไม่เอาไหนคนนี้เป็นพี่ชายของเย้ชิงจือ แต่องค์หญิงจิ่งโหลวกลับไม่คุ้นหน้าเขาอย่างมาก รวมถึงเย้ชิงจือ องค์หญิงจิ่งโหลวก็ไม่คุ้นหน้า
“ปกติเวลาที่ข้าไม่มีอะไรทำ จะศึกษาลายเส้นผนึก ผนึกดาวคู่นี้มีความยากค่อนข้างสูง แต่ถ้าเอาแผนที่ให้ข้าละก็ ข้ายังมีความมั่นใจจะเจอตำแหน่งของดาวสองอันนี้ได้” เย้หวันเชิงบอก
องค์หญิงจิ่งโหลวลังเลเล็กน้อย ยังคงส่งแผนที่เก่าในมือนั้นให้เย้หวันเชิง
เย้หวันเชิงถือแผนที่ หลังจากเจอตำแหน่งที่ดวงวิญญาณของชู่เทียนหมังถูกผนึกแล้ว กลับผลิกแผ่นที่ไปอีกด้านทันที
ท่าทีนี้ทำให้ทั้งสามคนประหลาดใจอย่างมาก ส่วนเย้หวันเชิงกลับยิ้มแล้วอธิบายว่า “ผนึกกระจายดาวนี้มีโครงสร้างจากล่างขึ้นบน เหมือนเวลาที่พวกเราระบายเพดาน จะระบายในบ้าน ดังนั้น จะหาจุดกระจายดาวได้ง่ายขึ้น…เอ่อ เมืองอมตะนี้เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผนึกจริงด้วย โดยปกติจุดดาวของผนึกกระจายดาวนี้มีแค่ไม่กี่อัน แต่เมืองอมตะนี้กลับมีจุดดาวที่เหมาะสมกันหลายจุด จะหาตำแหน่งดาวคู่ที่เหมาะกันจากหลายจุดขนาดนี้ ยังมีความยากอยู่”
“มีโอกาสมากเท่าไรที่จะหาเจอ” ชู่มู่ถามโดยตรง
เย้หวันเชิงไม่ได้พูดอะไร แต่ผลิกดูแผนที่ขึ้นลงต่อเนื่อง แล้วใช้ความคิด แล้วดูแผนที่ต่อ
“องค์หญิง สัญลักษณ์นี้ของเจ้าใช่แท่นบูชาอสูรเลือดที่เป็นเกียรติสุดท้ายของขั้นสองใช่ไหม” เย้หวันเชิงชี้ไปยังตำแหน่งที่ทำสัญลักษณ์แล้วถามขึ้น
องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังแผนที่ พยักหน้าตอบว่า “อืม”
“ถ้าอย่างนั้นไม่ดีแล้ว หนึ่งในตำแหน่งจุดดาวห่างจากตำแหน่งเกียรติสุดท้ายขั้นสองค่อนข้างไกล และในตำแหน่งนี้…”
เย้หวันเชิงวางแผนที่ไว้ตรงหน้าทั้งสามคน แล้วใช้นิ้วชี้ไปยังตำแหน่งจุดดาว แล้วพูดต่ออีกว่า “แต่ถ้าไปจุดที่เกียรติสุดท้ายอยู่ แล้วกลับมาหาจุดดาวนี้ พวกเราจะเสียเวลามากขึ้น เส้นทางจะทวีคูณหลายเท่า”
“โดยปกติผู้เข้าแข่งขันต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวันในการตามหาแท่นบูชาอสูรเลือด ถ้าไปถึงจุดดาวนี้ แล้วกลับไปยังสถานที่เกียรติสุดท้าย น่าจะเสร็จภายในเจ็ดวันได้” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามุ่งหน้าไปจุดดาวแรกก่อน แล้วค่อยมุ่งหน้าไปยังเกียรติสุดท้าย แล้วค่อยตามหาจุดดาวที่สอง” ชู่มู่พูดต่อ
“อืม” ทั้งสามคนต่างพยักหน้า
…
ในการอัญเชิญ ทั้งสี่คนต่างอัญเชิญดวงวิญญาณคนละหนึ่งตัว ชู่มู่อัญเชิญจั้นเย้ รับผิดชอบการต่อสู้กับศัตรูซึ่งหน้า นับว่าเป็นการโจมตีหลัก
เย้ชิงจือเป็นหน่วยเสริม ได้อัญเชิญภูตไม้หมุนออกมา ในเมืองอมตะมีดวงวิญญาณหมวดไม้มากมายอาศัยอยู่แน่นอน ดังนั้น ในกลุ่มจำต้องมีดวงวิญญาณหมวดไม้ตัวหนึ่งอยู่ จะได้รักษาความปลอดภัยให้ดวงวิญญาณและผู้คนได้มากที่สุด
องค์หญิงจิ่งโหลวได้อัญเชิญปีศาจจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตออกมา การรวมตัวของการโจมตีและความเร็ว จะทำการโต้ตอบให้กลุ่มได้ไวที่สุด
เย้หวันเชิงได้อัญเชิญภูตปีศาจหิมะน้ำแข็ง ดวงวิญญาณธาตุหมวดน้ำแข็งระดับจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลางตัวหนึ่ง รับผิดชอบด้านการโจมตีระยะไกลและการโจมตีหมู่
หลังจากเข้าสู่เมืองอมตะแล้ว ชู่มู่ทั้งสี่คนได้ใช่เวลาสั้นมากออกจากตำแหน่งที่ผู้คนตามหา
เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน พวกเขาทั้งสี่คนได้เหยียบเข้าไปในลายเส้นสีแดงที่สลักอยู่บนพื้น
ลานเส้นสีแดงเป็นสัญลักษณ์ที่ฝ่ายจัดการประลองทำไว้เพื่อบอกกับเหล่าผู้เข้าแข่งขันที่บุกเข้าไปในพื้นที่อื่น ความอันตรายจะเพิ่มขึ้นทันที
ความสามารถของทั้งสี่คนไม่อ่อน โดยเฉพาะดวงวิญญาณของชู่มู่ อยู่ในพื้นที่ผนึกน้อยหนึ่งวันเต็ม ทั้งสี่คนจัดการดวงวิญญาณที่ได้เจออย่างง่ายดาย อย่างไรในตอนที่ยังไม่ได้เข้าใจสถานการณ์อย่างดี พื้นที่ส่วนใหญ่ในตรงนั้นจะมีผู้นำลักษณะสิบฝูงใหญ่อยู่
…
…
“บึ้ง”
จักรพรรดิขั้นต่ำตัวหนึ่งล้มลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยหินสีดำ เลือดสดไหลออกจากเขี้ยวที่ถูกแช่แข็งอย่างช้า ๆ ลำตัวปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง
“เดินมุ่งหน้าอีกเล็กน้อย ตรงนั้นจะเป็นที่อยู่ของจุดดาวแล้ว”องค์หญิงจิ่งโหลวชี้ไปยังพื้นที่กว้างซึ่งเต็มไปด้วยซากเสาแล้วพูดขึ้น
“จุดดาวจะต้องมีสิ่งมีชีวิตเฝ้าอยู่แน่นอน ถ้าบอกว่าดวงวิญญาณที่ถูกผนึกเป็นระดับจักรพรรดิชั้นยอดละก็ ถ้าอย่างนั้นสิ่งมีชีวิตที่เฝ้าอยู่จะเป็นจักรพรรดิขั้นสูงได้มาก ต้องระวังให้ดี” เย้หวันเชิงเตือนคนทั้งหมด
“จั้นเย้ของข้าจะเผชิญหน้ากับมันเอง พวกเจ้าคอยเสริมการต่อสู้” ชู่มู่บอก
ความสามารถของปีศาจขาวในตอนนี้เทียบกับจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะสิบได้แล้ว แต่อัญเชิญมารนิรยขาวออกมาเร็วเกินไปแบบนี้ การต่อสู้หลังจากนี้จะหมดแรง ดังนั้น จำต้องประหยัดพลังวิญญาณและแรงกายของดวงวิญญาณเอาไว้
ผนึกจุดดาวคลายออกได้ไม่ยากมาก แค่เดินไปตรงกลางลายเส้นนั้น ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมากพอกระแทกจุดพลังงานของลายเส้นผนึก ทั้งลายเส้นผนึกนี้จะสลายไป
ร่ายวิญญาณของชู่มู่อยู่ในเจ็ดร่ายแล้ว ผนึกลายเส้นนี้ชู่มู่สลายได้ง่ายมาก
ในไม่ช้า ผนึกลายเส้นจุดดาวนี้ถูกสลายออก หินสีดำที่อยู่ใต้เท้าเกิดการสั่นสะเทือนชัดเจน ทำให้หน้าผา เสารอบ ๆ นั้นถล่มอย่างต่อเนื่อง กระแทกลงพื้นอย่างแรง
ชู่มู่กระโดดไปยังที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ให้จั้นเย้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เฝ้าอยู่ซึ่งกำลังจะปรากฏตัวจากการผนึกนี้
“ชั้นเมฆกำลังกดต่ำลง อากาศแปรปรวน…” เย้ชิงจือสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทันที พูดขึ้นพร้อมการคาดคะเนว่า “น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหมวดสายฟ้า”
“โซ”
แทบเป็นวินาทีเดียวกับที่พูดจบ ท่ามกลางเมฆสีดำที่ลอยตัวต่ำลง มังกรสายฟ้างดงามอันหนึ่งทำลายเมฆสีดำนี้ ผ่าลงท่ามกลางลายเส้นที่ถูกชู่มู่คลายผนึกออก !!!
“โซ !!!”
พื้นดินสีดำระเบิดออกทันที เศษหินนับไม่ถ้วนกระจายออก พลังสายฟ้ากลายเป็นลายเส้นสายฟ้าไปตามพื้น กระจายไปทั่วทุกทิศ !
ทั้งสี่คนต่างรีบถอยหลัง ถอยออกไปประมาณร้อยกว่าเมตร และแล้วพื้นที่พวกเขาถอยออกไปนี้ พื้นหินทั้งหมดกลับเกิดรอยแยกมากมายออก หินและเสาที่กระจายไปทั่วพื้นกลับถูกสายฟ้าในเมื่อกี้สะเทือนจนกลายเป็นเศษผง พลังน่ากลัวอย่างมาก !
“สิงโตงูสายฟ้า !!!”
ชู่มูมองไปยังร่างแข็งแรงที่ปรากฏท่ามกลางสายฟ้าด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เพิ่งได้สู้กับสิงโตงูสายฟ้าตัวหนึ่ง วันนี้กลับได้เจอสิ่งมีชีวิตดุร้ายนี้อีกครั้ง!
สิงโตงูสายฟ้าของเจียงอี้เถิงเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นสูง แต่สิงโตงูสายฟ้าที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้กลับเป็นจักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะสิบ ความสามารถห่างกันถึงสี่ขั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากแน่นอน !
“โครม !!! ”
ดวงตาสีม่วงดุร้ายของสิงโตงูสายฟ้าเล็งไปยังจั้นเย้ที่กล้าท้าทายมันทันที ร่างกายแข็งแรงหมอบลง ราวกับกลุ่มสายฟ้าที่พร้อมจะโจมตี กลับปรากฏตรงหน้าจั้นเย้ในเสี้ยววินาที !!!
“ป้าบ !!!”
กรงเล็บที่แนบด้วยสายฟ้าตะบบออก ความเร็วในการโจมตีว่องไวอย่างมาก !!!
จั้นเย้ไม่มีแม้แต่ความสามารถในการหลบ ถูกกรงเล็บสายฟ้านี้ตีจนปลิวออกไป ความสามารถในการโจมตีแทบไม่อยู่ในระดับเดียวกัน !
จั้นเย้เป็นลักษณะเก้าขั้นกลาง ความสามารถของจั้นเย้อ่อนกว่าสิงโตงูสายฟ้าถึงห้าขั้นเต็ม !!!
ต่อให้เกราะวิญญาณขั้นเก้าจะเสริมการป้องกันได้ จนเหลือความห่างประมาณสามขั้น แต่การโจมตีเต็มพลังของสิงโตงูสายฟ้าแบบนี้ ด้วยความสามารถที่ห่างกันสองขั้นแบบนี้ อาจทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ !
“ถ้าเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นสูงของคนอื่น การโจมตีเดียวก็ฆ่าในเสี้ยววินาทีได้แล้ว !!! มีเพียงเสืออมตะตัวนี้ของชู่มู่ที่มีการโจมตีผิดปกติกับพลังชีวิตที่ผิดปกติถึงจะต้านทานได้” เย้หวันเชิงสูดหายใจเข้า
จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นสูงน่าจะเป็นดวงวิญญาณหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้เข้าแข่งขันอำนาจต่าง ๆ แล้ว แม้แต่ดวงวิญญาณหลักของผู้เข้าแข่งขันแข็งแกร่งที่สุดยังถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีได้ พลังของจักรพรรดิขั้นสูงนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง !!!
การเปิดภูเขาสะท้อนดาบเป็นเวลากลางดึก มีข่าวลือว่า เคยเห็นประตูวิญญาณแห่งความตายของภูเขาสะท้อนดาบเปิดออกในคืนพระจันทร์พิเศษ
ความจริงข่าวลือนี้ก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ภูเขาสะท้อนดาบเป็นประตูแห่งความตาย แต่มันแค่มุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะที่ถูกผนึกเอาไว้ ไม่ใช่โลกวิญญาณแห่งความตาย
ในตอนที่เริ่มด่านที่เก้า ชู่มู่ถูกปิดตาเอาไว้ ผนึกร่ายวิญญาณไว้ และถูกพาอ้อมนานมาก ในที่สุดถึงพาเข้าไปยังภูเขาสะท้อนดาบ เข้าไปยังประตูเมืองที่ซ่อนไว้ระหว่างซี่โครงสุดขอบฟ้าของภูเขาสะท้อนดาบนั้น
ชู่มู่ไม่รู้ว่า ประตูความตายนี้เปิดออกอย่างไร รู้แค่ว่าร่างกายของตัวเองได้ผ่านเข้าไปในมิติพิเศษอย่างมาก ในมิตินี้เต็มไปด้วยกลิ่นไอความมืด ราวกับได้เข้าไปในพื้นที่แห่งความตาย รู้สึกเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่กลับมีสิ่งที่ขยับตัวได้
หลังจากเปิดตาออก ชู่มู่พบว่า ตัวเองอยู่ใต้ท้องฟ้าสีดำทันที !
ก้อนเมฆดำนี้ปกคลุมทั่วฟ้า ทำให้รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนหัวใจถูกบางอย่างกดทับเอาไว้ หายใจไม่สะดวก
ชู่มู่ในตอนนี้ยืนอยู่บริเวณขอบเมืองที่แห้งกราน สิ่งที่อยู่ด้านหน้าเป็นเมืองที่มีเมฆสีดำปกคลุมทำให้ดูลึกลับเก่าแก่อย่างมาก
ความจริง นี่ไม่ควรเรียกว่าเป็นเมือง ควรจะเรียกว่าเป็นพื้นที่มากกว่า เพราะในเมืองนี้ไม่มีสิ่งก่อสร้างกับบ้านเรือน แต่กลับมีเส้นทางที่เต็มไปด้วยก้อนหินและซากหินของหน้าผา
ในเมืองมี “กำแพง” มากมาย เป็นเพราะกำแพงเหล่านี้เกิดจากพืชสีดำที่ก่อตัวระหว่างซากปรักหักพังเหล่านั้นที่กระจายอยู่ บางครั้งอาจเห็นก้อนกำแพงที่กัดกร่อนรุนแรง
กำแพงสูงมาก สลับซับซ้อน แทบจะปกคลุมเมืองอมตะทั้งเมือง อีกทั้งยังมี “ถนน” ที่ปกคลุมด้วยพืช บางครั้งอาจพบเห็นระหว่างกำแพงเหล่านี้มีแสงเย็นเยียบประหลาดที่ส่องประกาย นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดักโจมตีแน่นอน
เมืองอมตะนี้ไม่ใหญ่มาก อีกทั้งก่อตัวเป็นทางลาดระดับหนึ่ง ยิ่งเดินลึกเข้าไปพื้นที่ยิ่งสูงมากขึ้น !
ชู่มู่ยืนอยู่บริเวณนอกเมืองแล้วมองออกไป สามารถมองเห็นตำแหน่งที่ไกลออกไปมาก นั่นเป็นตำหนักเก่าสีเทาที่ตั้งชันอยู่ในพื้นที่สูงสุดของทางลาดภายใต้ฟ้าสีดำแห่งนี้
ที่ทำให้รู้สึกตกใจคือ ตำหนักเก่านี้สัมผัสกับท้องฟ้าสีดำนี้พอดี ชั้นเมฆได้เกิดการบิดเบี้ยวอย่างประหลาด ราวกับมีพลังบางอย่างควบคุมมิติแห่งนั้นอยู่ !
ชู่มู่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ในภูเขาสะท้อนดาบจะมีเมืองอมตะที่สะเทือนใจแบบนี้อยู่ ภาพนี้เหมือนความมืดจะปกคลุมโลกนี้ตลอดกาล !
“นี่เป็นเมืองที่เก้าในตำนานเหรอ ! เปิดโลกจริง !!!” ผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่มาจากพื้นโลกร้องขึ้น
รอบตัวชู่มู่ยังมีผู้เข้าแข่งขันขั้นสองในด่านที่เก้าหลายคน คนทั้งหมดเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก สีหน้าตกใจของพวกเขาเกินจริงอย่างมาก ต่างร้องขึ้นทันที !
ชู่มู่กวาดตามองไป พบว่าผู้เข้าแข่งขันขั้นสองในด่านที่เก้านี้มีประมาณร้อยคน
เท่ากับว่า ในหนึ่งร้อยคนนี้มีกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองนี้ พวกเขาแต่ละคนคือการมีอยู่ที่แข็งแกร่งของเขตโลก อีกทั้งในเมืองบางแห่ง แม้แต่รุ่นผู้ใหญ่หรือรุ่นชรายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
“ได้ข่าวว่าสิ่งมีชีวิตในนี้ล้วนอยู่ในลักษณะสิบ ต่ำสุดก็ระดับผู้นำ…”
“ผู้นำลักษณะสิบน่าจะไม่น่ากลัวเท่าไร” บางคนพูดอย่างไม่แยแส
คนที่อยู่ในสนามล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง การประลองฟ้าดินได้จัดขึ้นเป็นเวลานานมากแล้ว เหล่าดวงวิญญาณของผู้เข้าแข่งขันในตอนนี้อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าหมดแล้ว เทียบเท่าความสามารถของผู้นำขั้นสูงลักษณะสิบ ดังนั้น สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่ควบคุมสี่ได้ทุกคนแล้ว ผู้นำลักษณะสิบนี้แทบไม่มีอะไรต้องกลัวจริง ๆ
“เสียดายมาก ผู้นำลักษณะสิบในที่นี่เป็นแค่ทหารน้อย เท่ากับว่าผู้นำลักษณะสิบจะปรากฎตัวเป็นฝูง” อู๋ชิ่งวังดวงวิญญาณพูดพร้อมยิ้มอย่างเยือกเย็น บอกความจริงอันโหดร้ายให้ผู้เข้าแข่งขันความรู้น้อยได้รู้!
“เป็น…เป็นฝูง…จริงเหรอ !!!” ประโยคเดียวของอู๋ชิ่งทำให้ผู้คนแตกตื่นทันที ต่างเผยความหวาดกลัวออกมา
“ทุกคนฟัง !!!”
ในตอนนี้ ร่ายวิญญาณอันหนึ่งทับเสียงของผู้คน ทำให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดในนอกเมืองหยุดพูดทันที
“เย้เทาหนึ่งในสี่ที่นั่ง !!!”
“คนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้บัลลังก์ ! ได้ข่าวว่า ดวงวิญญาณหลักของเขาอยู่ในระดับราชันหมด !”
ในไม่ช้า เหล่าผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดเห็นชายที่ยืนอยู่บนซากกำแพงนั้นทันที แล้วเริ่มพูดขึ้นเสียงเบา
ในสนามเต็มไปด้วยวัยหนุ่มแข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองร้อยคน แต่เมื่อเทียบกับเย้เทาแล้ว ยังห่างกันมากเหลือเกิน !
คนอย่างพวกเขา เพียงแค่ได้รับการเสนอชื่อในบัลลังก์เทียนเซี่ยในวันข้างหน้า ก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว
“เมืองอมตะเป็นเมืองลึกลับเต็มไปด้วยอันตรายแห่งหนึ่ง มีเพียงผู้แข็งแกร่งถึงจะทนต่อการทดสอบอันโหดร้ายของเมืองนี้ได้ การประลองฟ้าดิน ไม่ใช่การแข่งขันที่จะรับรองความปลอดภัยให้ทุกคนอยู่แล้ว ผู้เข้าแข่งขันอาจต้องเสียสละชีวิตของตัวเองและดวงวิญญาณทุกเมื่อก็ได้ เมื่ออยู่ในเมืองอมตะแห่งนี้ นับว่าเต็มไปด้วยอันตราย ความโหดเหี้ยมทุกแห่งหน ความตายเป็นสิ่งที่พบได้ปกติ ดังนั้น พวกเจ้าควรทำใจไว้ตั้งแต่ตอนนี้”
“เช่นเดียวกับที่พวกเจ้ารู้ดี ในเมืองอมตะแห่งนี้ มีดวงวิญญาณลักษณะสิบมากมายอาศัยอยู่ พลังต่อสู้ขั้นต่ำคือผู้นำ ผู้นำมักอยู่เป็นฝูง และพลังต่อสู้ของมันปกติจะเทียบเท่าจักรพรรดิหรือจักรพรรดิขั้นต่ำ ถ้าในบรรดาพวกเจ้ามีผู้เข้าแข่งขันที่บังเอิญได้เข้ามาในด่านที่เก้านี้ แนะนำให้พวกเจ้าออกมาเถอะ เพราะความสามารถของพวกเจ้าไม่พอที่จะจัดการกับสิ่งมีชีวิตธรรมดาที่สุดในที่นี่ด้วยซ้ำ !”
น้ำเสียงของเย้เทาจริงจิงอย่างมาก คำพูดของเขาทำให้รู้สึกกดดัน ผู้เข้าแข่งขันที่คิดว่า ความสามารถของตัวเองไม่แข็งแกร่งพอเริ่มถดถอยแล้ว
ความสามารถเทียบเท่าลักษณะสิบนี้เทียบเท่ากับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นสูง หลายคนในสนามใช่ว่าจะมีดวงวิญญาณลักษณะเก้าขั้นกลาง
บางครั้งตอนที่เจอกลุ่มเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบ พวกเขาอาจจัดการด้วยการควบคุมหลายตัว แต่ถ้าเจอจักรพรรดิขั้นต่ำ อีกทั้งยังเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ด้วยความแตกต่างของความสามารถ พวกเขาจะไปไม่กลับจริง ๆ !
หลังจากเย้เทาพูดจบ มีหลายคนเลือกที่จะออกจากการแข่งขันจริง !
สำหรับผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้แล้ว การได้เข้ามาในด่านที่เก้าก็มากพอแล้ว ส่วนในด่านที่เก้านี้ ต้องเสี่ยงกับอันตรายถึงชีวิตถึงจะได้เกียรติสุดท้ายแบบนี้ คงเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดเท่าไร
“นี่เป็นทิศใต้ของเมือง จะมีเส้นทางหลายทางที่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทาง แท่นบูชาอสูรเลือด เส้นทางแต่ละทางจะมีทางแยกมากมาย อาจมีการอ้อม การวนกลับ อาจเป็นแนวดิ่งหรืออาจสูงขึ้น นี่ต้องใช้สติและปัญญาของตัวเองในการค้นหาเส้นทางมุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาอสูรเลือด ระหว่างทางจะเจอกับดวงวิญญาณดุร้ายต่าง ๆ ต้องใช้ความสามารถที่แท้จริงของพวกเจ้ากำจัดอุปสรรคเหล่านี้”
“ส่วนข้าจะต้องเตือนพวกเจ้าไว้ก่อน ทันทีที่ใต้เท้าพวกเจ้ามีลายเส้นสีเลือดปรากฏขึ้น เท่ากับว่านั่นเป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่อื่นของเมืองอมตะ เส้นทางนั้นไม่ใช่เส้นทางที่เด็กอย่างพวกเจ้าไปได้ ทันทีที่เข้าไป มีแค่คำเดียวคือ ‘ตาย’ !!!”
“ในเมืองอมตะแห่งนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตมากมายเฝ้าอยู่ สิ่งที่ผนึกอยู่ในนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิขั้นสูงแน่นอน แม้สิ่งมีชีวิตที่ผนึกในพื้นที่พวกเจ้าอยู่จะอ่อนที่สุดในเมืองอมตะแห่งนี้ แต่พวกเจ้าอย่าไปแตะต้องผนึกที่ไม่ควรคลายออกจะดีที่สุด พวกข้าจะไม่รับรองว่า ความสามารถของสิ่งมีชีวิตที่ถูกผนึกจะเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่สูงขึ้นหรือไม่ ดังนั้น อย่าหาที่ตายเพื่อประโยชน์ของตัวเองจะดีกว่า”
คำพูดเหล่านี้ของผู้อาวุโสเย้เทาทำให้ผู้เข้าแข่งขันกลัวจนพูดไม่ออก
ดวงวิญญาณที่เป็นสิ่งมีชีวิตเฝ้าอยู่เหล่านั้น ระดับต่ำสุดก็เป็นจักรพรรดิขั้นสูง เท่ากับว่า ดวงวิญญาณผนึกตัวใดถูกปล่อยออกมา จะฆ่าล้างพวกเขาได้หมดแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้อาวุโสเย้เทาได้บอกว่า พื้นที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นพื้นที่อ่อนแอที่สุดในพื้นที่ถูกผนึกไว้ ถ้าอย่างนั้นพื้นที่อื่นของเมืองอมตะ จะมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ลึกลับกว่าผนึกอยู่เหรอ !!!
คำพูดนี้ของเย้เทาทำให้ผู้คนหวาดกลัวอย่างมาก ผู้เข้าแข่งขันที่คิดจะฝ่าด่านลำพังก่อนหน้านี้เริ่มตามหาเพื่อนร่วมกลุ่มทันที !
มาถึงด่านที่เก้าแล้ว นอกจากความสามารถแข็งแกร่งเกินคนแล้ว การจะไปถึงจุดหมายด้วยความสามารถของตัวเองลำพังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“เส้นทางถอยกลับง่ายมาก เมื่อเห็นลายเส้นสีเขียว เดินไปทางซ้าย จะออกจากเมืองอมตะในไม่ช้า” เย้เทาบอก
“แล้วก็เมืองอมตะนี้ห้ามบิน กำแพงพืชสีดำนี้เกิดจากดวงวิญญาณพืชอมตะมากมาย พวกมันไม่ปล่อยให้ข้ามไปได้ ทันทีที่มีผู้เข้าแข่งขันข้ามไปจะโจมตีทันที ความสามารถของพวกมันไม่แข็งแกร่ง แต่ถ้ามีจำนวนมากละก็ คิดจะข้ามกำแพงไป จะมีพืชนับร้อยตัวนับพันตัวใช้เถาวัลย์สีดำโจมตีดวงวิญญาณของเจ้า” เย้เทาพูดเสริม
ในโลกอลวน เมืองต้องห้ามทั้งหมดล้วนห้ามบิน การบินเพื่อต่อสู้ยังไม่เท่าไร แต่ถ้าบินข้ามพื้นที่บนฟ้าบางแห่งของสิ่งมีชีวิต จะถูกทั้งฝูงโจมตี นี่เป็นเรื่องที่ควรระวังอย่างมากในโลกธรรมชาติ ผู้คุมดวงวิญญาณทุกคนต้องจดจำให้ดี
ดังนั้น ในตอนแรกก็ไม่มีใครคิดจะขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกข้ามเมืองอมตะแห่งนี้อยู่แล้ว
“พอแล้ว สิ่งที่ข้าจะบอกมีเท่านี้ ไม่ต้องขอให้พวกเจ้าโชคดีแล้ว ขอให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดกลับมาก็ดีแล้ว” หลังจากพูดจบ เย้เทาได้กระโดดลงจากกำแพง เป็นการบอกว่า เหล่าผู้เข้าแข่งขันเข้าสู่เมืองอมตะนี้ได้แล้ว
คำพูดเหล่านี้ของเย้เทาทำให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่มีความกล้าในตอนแรกไม่กล้ามุ่งหน้าแล้ว !
เมืองที่เต็มไปด้วยความตายแห่งนี้ เต็มไปด้วยอันตรายที่ยากจะหยั่งรู้ ใครจะเป็นคนที่กล้าเข้าไป
และแล้ว ในตอนนี้ ชายชุดน้ำเงินลายเส้นสีดำคนหนึ่งได้ปรากฏตัวท่ามกลางผู้คน ชายคนนี้ไม่พูดไม่จาเดินไปยังประตูเมืองอมตะ !
คนเดียว !
ชายคนนี้ไม่สนใจที่จะเลือกเพื่อนร่วมกลุ่ม กลับเดินมุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะลำพัง !
“นั่น…นั่นซือเทียนองค์กรวิญญาณ !!!”
“สมกับเป็นคนที่ทุกคนยอมรับว่า แข็งแกร่งที่สุด และได้เดินเข้าไปคนเดียว !”
ลานกว้างเทียนเซี่ย หญิงสาวปิดหน้า ดวงตาอ้างว้างคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนสีขาวยาว
เธอไม่ขยับใด ๆ มองดูเหมือนรูปปั้น อีกทั้งแม้จะมีแสงอาทิตย์สาดส่องกลับดูเหมือนคนตาย
ทุกคนที่เดินผ่านข้างเธอ จะชายตามองไปที่เธอ อย่างไรรูปปั้นนี้เต็มไปด้วยความลึกลับและความคิดบางอย่าง
ทว่า ด้านข้างเธอ กลับมีผู้แข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยพลังเยือกเย็นบางอย่างยืนอยู่ เพียงแค่มีคนคิดจะเข้าใกล้ คาดว่าจะสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้
ในที่สุด ชายใบหน้าซีดขาว สวมชุดสีเทาได้เข้ามาอย่างช้า ๆ เขาเดินไปตรงหน้าผู้หญิง โค้งคำนับ แล้วถึงพูดขึ้นว่า “คุณท่าน”
“บึ้ง !!!”
ทันใดนั้น พลังบางอย่างพุ่งขึ้นจากใต้ดิน ฟาดลงบนตัวชายใบหน้าซีดขาวนี้อย่างแรง กระดูกซี่โครงของชายคนนี้บุบลงไปทันที !
“ว้า” ชายคนนี้พ่นเลือดออกมา ล้มลงบนพื้นทันที ใบหน้ากระตุกด้วยความเจ็บปวด
“แม้แต่วัยหนุ่มที่ขาดหนึ่งญาณก็ควบคุมไม่ได้ ขยะจริง !” น้ำเสียงของคุณท่านหญิงราบเรียบอย่างมาก แต่ในคำพูดนี้กลับแฝงด้วยความแค้น !
ชายใบหน้าซีดขาวกุมหน้าอกไว้ เลือดไหลจากหน้าอกออกมา แต่ว่าเขาไม่กล้าต่อต้านใด ๆ อีกทั้งยังไม่กล้าเผยท่าทีก้าวร้าวออกมา
“ข้าน้อยสมควรตาย” ชายซีดขาวพูดขึ้น
“ตอนนี้เขาได้สร้างอันตรายต่อข้าระดับหนึ่งแล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าไปในด่านที่เก้า เจ้ารับผิดชอบฆ่าเขา” คุณท่านหญิงบอก
“ขอรับ ข้าน้อยจะไม่ให้เขามีชีวิตรอดจากกระประลองฟ้าดินแน่นอน อีกทั้ง ได้พูดคุยกับฉิงเย้องค์กรวิญญาณแล้ว เขาเองก็ยอมลงมือเช่นกัน เพียงแค่เขากล้ามุ่งหน้าไปยังเมืองอมตะ ข้าน้อยจะให้เขาตายที่นั่นแน่นอน” ชายใบหน้าซีดขาวพูดขึ้น
“ให้เจ้าแฝงตัวข้างองค์หญิงจิ่งโหลว หาโอกาสอันดีควบคุมเธอไว้ เจ้าก็ทำไม่ได้ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว ถ้ายังทำพลาดอีก ข้าจะตัดหัวของเจ้า !” คุณท่านหญิงพูดอย่างเยือกเย็น
“ข้าจะไม่ทำให้คุณท่านผิดหวังอีก” ชายซีดขาวรีบโค้งคำนับ
ตอนที่ก้มหัวลง คุณท่านหญิงปิดหน้าได้ลุกขึ้น หลังจากนั้น สักพักได้หายไปในฝูงผู้คน ราวกับไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
ตอนนี้ชายซีดขาวถึงเงยหน้าขึ้น มุมปากที่เต็มไปด้วยเลือดสดได้ฉีกยิ้มลึกลับออกมา
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่า เจ้าอยากได้บ่อน้ำอมตะในเมืองอมตะ สิ่งที่ทำให้ดวงวิญญาณวัยอ่อนเติบโตด้วยความเร็วห้าเท่านี้เมื่ออยู่ในมือเจ้า เจ้าจะสร้างดวงวิญญาณแข็งแกร่งตัวหนึ่งในเวลาอันสั้น…”
“ทว่า แล้วจะทำอะไรได้ ต่อให้ระดับราชันเติบโตถึงลักษณะสิบ จะเพิ่มความสามารถแทบเป็นไปไม่ได้แล้ว มีเพียงดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูล ถึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด พาข้าเข้าไปในเมืองอมตะ ดวงวิญญาณเปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องตัวนั้นจะเป็นของข้า แล้วให้เวลาข้าอีกสิบปี จะมีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้าเซี่ยกว่างหานงั้นหรือ ผู้หญิงโง่ จะต้องมีสักวัน ที่เจ้าจะถูกข้าเหยียบเอาไว้ !”
…
…
ชุดของปีศาขขาว ชู่มู่ได้ใช้เงินทั้งหมดหนึ่งหมื่นห้าพันล้าน หลังจากสวมชุดให้ปีศาจขาว ชู่มู่แทบไม่ต้องกังวลกับการขัดขวางของผู้เข้าแข่งขันขั้นสอง
แน่นอนว่า เป้าหมายของชู่มู่ในตอนนี้ไม่ได้มีเพียงดวงวิญญาณผนึกในด่านที่เก้าอย่างเดียว เขาจำต้องผ่านลายเส้นผนึกที่ดวงวิญญาณตัวนี้อยู่ เข้าไปในส่วนลึกของเมืองอมตะเพื่อคลายผนึกให้ดวงวิญญาณรองของท่านพ่อตัวเอง แล้วปล่อยมันออกมา
ชู่เทียนหมังเป็นผู้คุมดวงวิญญาณประเภทวิญญาณเหมือนกับชู่มู่ ชู่มู่เชื่อว่า ต่อให้ดวงวิญญาณรองของเขาได้เลิกสัญญาวิญญาณแล้ว ยังคงมีความทรงจำอยู่ไม่น้อย สิ่งที่ดีที่สุดคือ พามันไปหาท่านพ่อของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ชู่เทียนหมังน่าจะกำลังพยายามตามหาดวงวิญญาณที่เลิกสัญญาวิญญาณกับตัวเอง
องค์หญิงจิ่งโหลวได้บอกไว้ว่า ความสามารถก่อนที่ดวงวิญญาณรองของชู่เทียนหมังจะถูกผนึกเอาไว้ก็อยู่ในระดับจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว ตอนนี้ผ่านไปสิบปีแล้ว เกรงว่าความสามารถน่าจะถูกลดลงอยู่แค่จักรพรรดิขั้นสูง
และรอบ ๆ ลายเส้นผนึก ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ถูกองค์กรวิญญาณล้างสมองอยู่ไม่น้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ ความสามารถของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่งอย่างมาก บางตัวอาจถึงจักรพรรดิขั้นสูง อีกทั้งคาดว่าน่าจะถึงลักษณะสิบหมด
เท่ากับว่า ต่อให้ชู่มู่ในตอนนี้แทบไม่มีศัตรูในขั้นสอง แต่คิดจะคลายผนึกดวงวิญญาณของชู่เทียนหมัง จะต้องมีความสามารถฝ่าไปถึงจุดผนึก คาดว่าเป็นอันตรายอย่างมาก
แน่นอนว่า ถ้ามั่วเย้สามารถแปรเปลี่ยนตระกูลละก็ ทั้งหมดนี้จะจัดการได้ง่ายขึ้น
องค์หญิงจิ่งโหลวได้บอกข่าวสารแบบนี้ เท่ากับจะเข้าร่วมกลุ่มกับชู่มู่ แบบนี้เธอจะปลอดภัยขึ้นด้วย
ชู่มู่ก็ไม่มีความเห็นอะไร อย่างไรเสีย เธอได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองอมตะแล้ว ถ้ามีเธออยู่ละก็ ปัญหาทั้งหมดจะจัดการได้ง่ายขึ้นมาก
ในไม่ช้า เหล่าผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มของทั้งเมืองเทียนเซี่ยได้เข้าสู่การประลองครั้งสุดท้ายนี้แล้ว
ด่านที่เก้ากับสิบดำเนินพร้อมกัน เท่ากับว่าหลังจบการประลองครั้งนี้ จะรู้ผู้ได้เกียรติสุดท้ายของด่านที่หนึ่งและสองแล้ว
ผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มแทบทั้งหมดของการประลองเทียนเซี่ยได้รวมตัวอยู่ในเมืองเทียนเซี่ย คนที่จะได้เกียรติสุดท้ายนั้น จะมีชื่อก้องกังวานไปทั่วฟ้าดิน กลายเป็นเป้าหมายที่เหล่าวัยหนุ่มนับหมื่นใฝ่ฝันจะเอาชนะ !
ส่วนเรื่องการคาดเดาผู้ที่จะได้เกียรติสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้ก่อนเริ่มการประลอง
ถึงด่านที่เก้า ชื่อของผู้เข้าแข่งขันแทบทั้งหมดจะอยู่บนป้ายประกาศ
ชู่มู่เป็นผู้ได้เกียรติสูงสุดของด่านที่แปด ชื่อเสียงดังกว่าแต่ก่อนหลายเท่า กลายเป็นผู้เข้าแข่งขันที่คาดว่าจะได้เกียรติสุดท้ายคนหนึ่งในสายตาผู้คน อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองล้มคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย !
แน่นอนว่า คนของวังมารนิรยเกลียดชู่มู่เข้ากระดูก เพราะปราศจากเจียงอี้เถิงและซิงหยางดาวรุ่งทั้งสองคนนี้แล้ว เหล่าสมาชิกของวังมารนิรยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคาดเดาว่าใครจะได้เกียรติสุดท้ายนี้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับวังมารนิรยมาก่อน !
“ฮะฮะ ชื่อเสียงของน้องสี่ในตอนนี้เกินกว่านายท่านตำหนักวิญญาณแล้ว ! ท่าทางน้องสี่มีความหวังยอย่างมากที่จะได้เกียรติสุดท้ายชั้นสองจริง ๆ ข้าอดใจไม่ไหวที่จะบอกข่าวนี้ให้กับคนในตระกูลแล้ว !” ชู่หยู่พูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
หลังจากชู่หยู่กับชู่ชิ่งถูกคัดออกในด่านที่สี่ ได้คอยติดตามเกียรติที่ชู่มู่ได้ในแต่ละด่าน และในทุกครั้งที่ชู่มู่ได้เกียรติสูงสุด ทั้งสองคนได้เขียนจดหมายด้วยความตื่นเต้น บอกสถานการณ์ให้กับคนในตระกูลรู้ เพื่อให้คนทั้งหมดในตระกูลรู้ว่าในตระกูลชู่ของพวกเขามีอัจฉริยะที่ทำให้คนหลายรุ่นภาคภูมิใจอยู่ !
“ประเมินออกมาแล้ว ชื่อเสียงของชู่เฉิงในตอนนี้เป็นรองจากซือเทียนองค์กรวิญญาณ น่าจะเป็นลพดับที่สองในเกียรติสุดท้าย คาดไม่ถึงจริง ๆ ผู้นำของเราจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ได้ !” จ้าวเฉิงตบไหล่ของซ่างเหิงแล้วพูดขึ้น
ตอนที่พูด จ้าวเฉิงยังมองไปยังจ่านหงที่ยืนห่างไม่ไกล พูดขึ้นว่า”เจ้าดู ตอนอยู่ด่านที่หนึ่ง เจ้าบอกว่าเขาทนไม่ถึง ยี่สิบห้านาที ตอนนี้ละ เจ้าสู้ดวงวิญญาณเขาไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว !”
สีหน้าของจ่านหงประหลาดอย่างมาก ยังคงพูดอย่างดื้อดันว่า “เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายท่านฟางเจ๋อแน่นอน”
ซ่างเหิงมองไปยังสมาชิกตำหนักวิญญาณรอบๆ พูดกับผู้คนว่า”น่าจะเดาผู้ครองเกียรติสุดท้ายได้แล้ว คนที่มีหวังมากที่สุดคือซือเทียนองค์กรวิญญาณ ไม่รู้ว่าทำไมเจ้านี่ถึงเป็นที่ชื่นชอบของคนมากมาย แต่ไม่เห็นเขาอัญเชิญดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมาเท่าไร คาดว่า ความลึกลับของเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เป็นที่นิยม…”
“รองลงมาคือชู่เฉิง ชนะผู้แข็งแกร่งทั้งสองของวังมารนิรย ความสามารถของดวงวิญญาณหลักทั้งสามของเขาเป็นที่กระจ่าง โดยเฉพาะมารนิรยขาว ได้ครองขั้นสองทั้งหมด”
“อันดับที่สามคือ อู๋ชิ่งวังดวงวิญญาณ ได้เกียรติสูงสุดในอีกด่านของด่านที่แปด ดวงวิญญาณหลักของเขายังไม่ปรากฏตัว”
“อันดับที่สี่คือ นายท่านฟางเจ๋อ ว่าแต่ ฟางเจ๋อของพวกเราก็เก็บตัวจนแทบจะเน่าแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเมื่อก่อนเขาเคยระเบิดความสามารถออกมา คาดว่าคงถูกลืมไปแล้ว”
“อันดับที่ห้าคือ เซียวอานที่ไม่มีอำนาจมาจากเขตโลกตะวันออกไกลพ้น…”
…
“อันดับที่แปดคือ องค์หญิงน้อยวังมารนิรย ตอนอยู่ด่านที่แปดได้เผยมาริยขาวกับจิ้งจอกผนึกน้ำแข็งพิฆาตออกมาแล้ว”
“หญิงงามอันดับหนึ่งของพวกเราก็เป็นผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวเช่นกัน” จ้าวเฉงพูดแทรก
…
“อันดับสิบคือ เย้ชิงจือ เห้อ ไม่ต้องพูดถึงเธอแล้ว ความสามารถหน่วยเสริมแข็งแกร่งยิ่งของเธอ อยู่กับใคร คนนั้นก็แทบไม่มีศัตรูแล้ว ส่วนเธอจะอยู่กับใคร ทุกคนน่าจะรู้ดี”
“อืม คู่สามีภรรยานี้ คาดว่าเกียรติสุดท้ายขั้นสองจะอยู่ในมือของพวกเขาจริง ๆ”
ความจริงแล้ว ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ก็เดาสถานการณ์แบบนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ซือเทียนองค์กรวิญญาณ ฟางเจ๋อตำหนักวิญญาณ อู๋ชิ่งวังดวงวิญญาณ แต่ตำแหน่งที่ควรจะเป็นของเจียงอี้เถิง ตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยม้ามืดอย่างชู่เฉิง
หลายครั้ง การฝ่าด่านไม่ได้ดูที่ความสามารถทั้งหมด ดังนั้น ใครจะได้เกียรติสุดท้ายนี้ ยังเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้
ความแตกต่างและความไม่รู้นี้ กลายเป็นเรื่องที่คนทั้งหมดร่วมสนุกแล้ว อีกทั้งมีผู้ติดตามหลายคนเริ่มแบ่งพรรคพวกตามผู้เข้าแข่งขันที่ตัวเองสนับสนุนด้วย
…
…
ในที่สุด ด่านที่เก้าจะเริ่มขึ้นแล้ว
ตามที่องค์หญิงจิ่งโหลวคาดไว้ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดจะถูกผนึกร่ายวิญญาณเอาไว้ ปิดตาไว้ พาไปยังจุดเข้าร่วมลึกลับ จนกระทั่งเข้าสู่เมืองอมตะ ถึงปล่อยให้ผู้เข้าแข่งขันมีอิสระ
เนื่องจากความพิเศษของสถานที่ ดังนั้น ในการประลองจะไม่มีผู้ชมใด ๆ
และคนทั้งหมดที่อยากรู้ผลการแข่งขัน ทำได้แค่รออยู่ในลานกว้างเมืองเทียนเซี่ย ในตอนนี้ผู้คุมดวงวิญญาณที่เพาะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ พิเศษนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดได้ทราบถึงสถานการณ์แข่งขันทั้งหมด ฝ่ายจัดการประลองได้อนุญาตให้ผู้คุมดวงวิญญาณปล่อยดวงวิญญาณส่งข่าวของตัวเองเข้าไปในเมืองอมตะ ดวงวิญญาณส่งข่าวตัวเล็กเหล่านี้เมื่อได้ข่าวสารบางอย่างมา จะใช้วิธีจิตพิเศษบางอย่างส่งไปให้ผู้คุมดวงวิญญาณ และให้ผู้คุมดวงวิญญาณเหล่านั้นบอกสถานการณ์ให้กับผู้ชม
วิธีนี้ทำให้การประลองฟ้าดินมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น ไม่ได้ให้ผู้คนรอเก้ออยู่กับที่ แล้วค่อยรู้ผลการประลองในภายหลังอย่างไร้สาเหตุ !
เย้ชิงจืออยากได้คำสั่งเสียของอาจารย์มาตลอด ดังนั้น เงินหนึ่งหมื่นสี่พันล้านเธอไม่ขอส่วนแบ่งใด ๆ แต่กลับมอบเงินหนึ่งพันล้านให้ชู่มู่ ให้ชู่มู่ได้ซื้อชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านหนึ่งหมื่นล้าน กับเกราะวิญญาณห้าพันล้าน
ในตอนที่จบด่านที่แปด เย้ชิงจือได้บอกว่า คำสั่งเสียของอาจารย์มีค่าต่อเธออย่างมาก เป็นเงินมหาศาล แค่ได้สิ่งนั้นมา เงินหนึ่งหมื่นสี่พันล้านนี้เป็นแค่เศษเงินสำหรับเธอ ควรทุ่มเทเพื่อช่วยให้ชู่มู่ได้เกียรติสุดท้ายในด่านที่เก้านี้
ชู่มู่เองก็ไม่ได้ปฎิเสธ อย่างไรก็ตาม เย้ชิงจือก็เป็นพวกเดียวกับตัวเองแล้ว เพียงแค่เย้ชิงจือมีสิ่งที่ต้องการ ชู่มู่เองก็จะให้เธออย่างไม่ลังเล
…
หลังจากจบด่านที่แปด มีเวลารักษาตัวเกือบครึ่งเดือน ในครึ่งเดือนนี้ชู่มู่จะได้รักษาตัวด้วย คงสภาพเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายให้มั่นคง
ระหว่างที่ชู่มู่กำลังฝึกสมาธิ ชู่มู่ได้ให้เจียจิ้งติดต่อเจ้าของชุดวิญญาณขั้นเก้าให้ตัวเอง
น่าจะประมาณห้าวันก่อนถึงด่านที่เก้า ชู่มู่กับเย้ชิงจือนั่งอยู่ในสวน คิดเรื่องฝึกดวงวิญญาณ
เย้ชิงจือบอกกับชู่มู่ว่า ถ้าปล่อยให้ดวงวิญญาณอยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษบางอย่าง พวกมันจะเติบโตรวมเร็วอย่างมาก ขณะเดียวกัน มีการพูดถึงวิธีทำให้ลอกคราบเช่นเดียวกัน เย้ชิงจือคิดว่า หลังจบการประลองฟ้าดินจะไปที่ที่พิเศษ เพื่อตามหาวิธีทำให้ดวงวิญญาณลอกคราบโดยตรงได้
“คุณชาย มีหญิงสาวปิดหน้าขอพบท่าน” เจียจิ้งวิ่งไปตรงหน้าชู่มู่ แล้วพูดกับชู่มู่เสียงเบา
“ปิดหน้างั้นหรือ” ชู่มู่ขมวดคิ้ว หรือว่าจะเป็นหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศ
เธอกล้าแบบนี้ กล้าบุกเข้ามาในตำหนักวิญญาณ หรือว่าคิดจะหาที่ตาย !
“พาเธอมา” ชู่มู่บอก
“อืม” เจียจิ้งวิ่งออกไป
เย้ชิงจือมองไปยังชู่มู่ หัวเราะออกมาทันที พูดขึ้นว่า”ทำไมทำท่าทีตึงเครียดแบบนี้ องค์หญิงน้อยวังมารนิรยคนนั้นน่ากลัวขนาดนั้นเหรอ”
“…” พอเย้ชิงจือบอกแบบนี้ ชู่มู่เหงื่อตกทันที ตอนนี้ถึงนึกขึ้นมาได้ องค์หญิงน้อยก็ปิดหน้าเช่นกัน หญิงสาวที่เจียจิ้งพูดถึงน่าจะหมายถึงเธอ
เด็กสาวทรยศมีความเกี่ยวข้องกับตำหนักวิญญาณแน่นอน เธอไม่กล้าเข้ามาในตำหนักวิญญาณ อย่างไรก็ตามตำหนักวิญญาณเต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่ง คนที่อยู่ในระดับเจ้าตำหนักหยู่จับเธอได้แน่นอน
และแล้ว หลังจากผ่านไปสักพัก เจียจิ้งได้พาหญิงสาวปิดหน้าร่างงามเข้ามา ตอนที่เห็นดวงตางดงามราวกับผิวน้ำใส ชู่มู่รู้ทันที เธอคือองค์หญิงจิ่งโหลว
วันนี้องค์หญิงจิ่งโหลวแต่งตัวเรียบง่ายเป็นพิเศษ ท่าทางไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเป็นเธอ แต่ว่าต่อให้แต่งตัวธรรมดาแบบนี้ ก็ยากที่จะปกปิดเสน่ห์ของเธอ…
หลังจากชู่มู่ให้เจียจิ้งออกไป องค์หญิงจิ่งโหลวได้เดินมาตรงหน้าชู่มู่กับเย้ชิงจือ
ดวงตาขององค์หญิงจิ่งโหลวมีชีวิตชีวาอย่างมาก และถ้าสังเกตดวงตาของเธอให้ดีจะพบว่า เธอเต็มไปด้วยความกังวล คาดว่าการมาครั้งนี้ของเธอจะต้องมีเรื่องที่ยากลำบากแน่นอน มิฉะนั้น เธอจะไม่มาหาชู่มู่ด้วยตัวเอง
ชู่มู่ให้องค์หญิงจิ่งโหลวนั่งลง แล้วถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าล้มผู้แข็งแกร่งทั้งสามของวังมารนิรยพวกข้า ทำให้พวกข้าไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมด่านที่เก้าแล้ว…” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดเสียงเบามาก
“เจ้ามาไต่โทษงั้นหรือ” ชู่มู่ถามขึ้น
“ปัญหาอยู่ที่ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของวังมารนิรยถูกเจ้าจัดการหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นด่านที่เก้า เท่ากับข้าจะอยู่หน้าคุณท่านหญิงนั้นลำพัง” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
องค์หญิงจิ่งโหลวจะกล้าโทษชู่มู่ได้อย่างไร แต่ชู่มู่ทำเกินไปจริง ๆ !!!
สามคนที่แข็งแกร่งที่สุดในวังมารนิรย ถูกเขาจัดการหมด เดิมองค์หญิงจิ่งโหลวหวังว่า ในด่านที่เก้าจะมีการคุ้มกันของพวกเขา อย่างน้อยก็จะไม่ถูกคุณท่านหญิงทำร้าย แต่หลังจากผ่านด่านที่แปดนี้ ในบรรดาวัยหนุ่มขั้นสองของวังมารนิรยที่เข้าร่วมในด่านที่เก้า มีเพียงองค์หญิงจิ่งโหลวที่แข็งแกร่งที่สุด !
องค์หญิงจิ่งโหลวได้เก็บความสามารถไว้บ้าง แต่ถ้าเธอเข้าสู่ด่านที่เก้าแบบนี้ เท่ากับเข้าปากเสือโดยตรง
“ทำไมเจ้าไม่สละสิทธิ์ รู้ว่าไม่มีทางได้เกียรติสุดท้ายแล้ว และผู้หญิงคนนั้นก็คอยจับจ้องเจ้ามาตลอด…” ชู่มู่ถามขึ้น
องค์หญิงจิ่งโหลวส่ายหัว “ข้ามีเหตุผลจำต้องเข้าร่วม”
“ลองบอกมา” ชู่มู่รู้สึกว่า ในเมื่อองค์หญิงจิ่งโหลวมาในวันนี้ ต้องมีอะไรจะบอกกับตัวเองแน่นอน และนี่อาจเกี่ยวข้องกับที่หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศคิดจะลักพาตัวเธอก็ได้
องค์หญิงจิ่งโหลวมองไปยังเย้ชิงจือที่อยู่ข้างชู่มู่ เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่เธอจะบอก ไม่อยากให้คนที่สามรู้เท่าไร
ทว่า องค์หญิงจิ่งโหลวก็รู้ว่า ถ้าแยกเย้ชิงจือออกแบบนี้ไม่ดีเท่าไร ในตอนนั้นจึงได้สร้างกำแพงร่ายวิญญาณขึ้น ปิดเสียงพูดคุยของทั้งสามไว้ในกำแพง
ชู่มู่เห็นองค์หญิงจิ่งโหลวระวังตัวแบบนี้ จึงรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดคงจะสำคัญอย่างมาก
“ในด่านที่แปดไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ก็จะไม่เปลี่ยนไปมาก สถานที่คือเมืองอมตะในภูเขาสะท้อนดาบ ภารกิจในด่านนี้คือ ฆ่าเจ้าถิ่น” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
เรื่องเกี่ยวกับด่านที่แปด ชู่มู่ได้ยินมาบ้าง สถานการณ์ในแปดด่านก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องได้ มีเพียงด่านที่เก้ากับสิบที่จะคงที่ ทว่า ชู่มู่ไม่คิดว่า ด่านที่เก้าจะอยู่ที่ภูเขาสะท้อนดาบ
“ภูเขาสะท้อนดาบเป็นยอดเขาสูงตั้งชันสองแห่ง ทำไมข้าจำไม่ได้ว่า ตรงนั้นมีเมืองอมตะ” ชู่มู่ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ความจริงภูเขาสะท้อนดาบเป็นประตูเมืองแห่งหนึ่ง สามารถเข้าไปในมิติด้านในได้ เป็นสถานที่พิเศษเหมือนเมืองศักดิ์สิทธิ์ตำหนักวิญญาณ แต่ว่าไม่คิดว่า ด่านที่เก้าจะซ่อนอยู่ในโลกของภูเขาดาบสะท้อนนี้” เย้ชิงจือบอก
องค์หญิงจิ่งโหลวพยักหน้า” ความลับนี้มีไม่กี่คนที่รู้ เพราะผู้เข้าแข่งขันในด่านที่เก้ากับด่านที่สิบจะถูกปิดตาเอาไว้ แล้วส่งไปยังภูเขาสะท้อนดาบพร้อมกับถูกผนึกร่ายวิญญาณเอาไว้ แล้วเข้าไปในโลกของภูเขาสะท้อนดาบ ดังนั้น ต่อให้เป็นคนที่เข้าร่วมด่านที่เก้ากับสิบ ก็ยังคงไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด”
“นอกจากนี้ ด่านที่เก้ากับสิบอยู่ที่เมืองอมตะหมด อีกทั้งยังจัดขึ้นพร้อมกัน” องค์หญิงจิ่งโหลวพูดเสริม
“จัดพร้อมกันงั้นหรือ” ชู่มู่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ถ้าบอกว่าจัดพร้อมกัน เท่ากับว่า หุ่นเชิดเด็กสาวทรยศอยู่ในเมืองอมตะนี้เช่นกันแน่นอน !
“เมืองอมตะมีสองทาง ทางหนึ่งมุ่งหน้าไปยังตำหนักเกียรติสุดท้ายของผู้เข้าแข่งขันขั้นสองในด่านที่เก้า อีกทางหนึ่งเป็นตำหนักด่านที่เก้า และหลังจากฆ่าสิ่งมีชีวิตด่านที่เก้าได้แล้ว สมาชิกขั้นหนึ่งที่คิดจะได้เกียรติสุดท้ายในด่านที่สิบจะมุ่งหน้าต่อไป เพื่อเปิดผนึกสิ่งมีชีวิตเกียรติสุดท้ายนี้ ล้มมัน แล้วจะได้เป็นผู้ชนะสูงสุดในการประลองฟ้าดินครั้งนี้” องค์หญิงจิ่งโหลวเหมือนจะรู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้ว
“สิ่งมีชีวิตที่ผนึกไว้เหรอ” ชู่มู่ประหลาดใจมากขึ้น
“อืม เมืองอมตะ ความจริงเป็นเมืองที่ถูกผนึกเอาไว้ ในนั้นมีสิ่งมีชีวิตมากมายอาศัยอยู่ และมีสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งบางตัวถูกผนึกไว้ในเมือง” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
ความลับที่องค์หญิงจิ่งโหลวบอกเป็นเรื่องที่ชู่มู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งหลายครั้งชู่มู่เคยถามนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ ผู้เป็นสมาชิกฝ่ายจัดการประลอง แต่นักวิญญาณเฒ่าเต๋อไม่มีท่าทีจะบอก
ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมาก ทำไมองค์หญิงจิ่งโหลวถึงรู้เรื่องการประลองฟ้าดินละเอียดแบบนี้ เธอน่าจะไม่เคยเข้าร่วมการประลองฟ้าดินมาก่อน
“บอกข่าวที่ควรจะเป็นความลับในด่านที่เก้าให้ข้ารู้ เจ้าคิดจะให้ข้าช่วยให้เจ้าได้เกียรติสุดท้ายในด่านที่เก้าใช่หรือไม่” ชู่มู่ถามลองเชิง
องค์หญิงจิ่งโหลวส่ายหัวพูดขึ้นว่า “ข้ามีของที่ข้าอยากได้ ข้ากลับช่วยเจ้าให้ได้เกียรติสุดท้ายในด่านที่เก้าได้ ความจริงเมืองอมตะซับซ้อนอย่างมาก ใช่ว่ามีเพียงความสามารถก็จะได้เกียรติสุดท้ายได้ เพราะถ้าเดินผิดทาง อาจนำไปสู่ดิ่งเหวไร้ที่สิ้นสุดก็ได้”
“เจ้ายังไม่ได้บอก ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงคิดจะจับเจ้า” ชู่มู่ถามขึ้น
“ความจริงข้าก็ไม่รู้ว่า ทำไมเธอถึงอยากได้ตัวข้า ข้ากับเธอไม่เคยมีเรื่องเกี่ยวข้องมาก่อน อีกทั้ง ข้ายังไม่เคยเจอคนที่มีพลังดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ กลับเป็นเจ้า ข้าถามเจ้าหลายครั้งว่า เธอเป็นใคร เจ้ากลับไม่เคยบอกข้าแม้แต่น้อย” องค์หญิงจิ่งโหลวบอก
นอกจากชู่มู่รู้ว่า เธอเป็นหุ่นเชิดของดวงวิญญาณที่หนึ่งของตัวเองแล้ว เรื่องอื่นเขาก็ไม่รู้แล้ว อีกทั้งความลับที่ว่า เธอเป็นดวงวิญญาณร่างมนุษย์ ชู่มู่รู้สึกว่า ไม่จำต้องบอกกับองค์หญิงจิ่งโหลว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองบอกสิ่งที่เจ้าอยากได้” ชู่มู่บอก
“ถ้ายังไม่ถึงท้ายสุด ข้าไม่อยากบอก” องค์หญิงจิ่งโหลวส่ายหัว ท่าทีเด็ดเดี่ยวอย่างมาก
ผ่านไปสักพัก น้ำเสียงขององค์หญิงจิ่งโหลวเปลี่ยนไป พูดกับชู่มู่ว่า “นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญมากที่อยากบอกกับเจ้า นี่เป็นข้อมูลที่ข้าได้มาระหว่างที่เก็บเกี่ยวข่าวเกี่ยวกับเมืองอมตะ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะอยากรู้อย่างมาก”
ชู่มู้รู้สึกว่า องค์หญิงจิ่งโหลวจงใจเปลี่ยนเรื่อง ทว่า เธอไม่อยากบอก ชู่มู่ก็บังคับอะไรไม่ได้ อย่างไรเสีย ตัวเองก็ซ่อนความลับไว้อยู่
“อืม เจ้าพูดมาเถอะ” ชู่มู่พยักหน้า
“เรื่องเกี่ยวกับดวงวิญญาณท่านพ่อของเจ้า ชู่เทียนหมัง” องค์หญิงจิ่งโหลวเบาน้ำเสียงลงเล็กน้อย
เสียงขององค์หญิงจิ่งโหลวเพิงเบาลง ชู่มู่สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรง !
วินาทีนี้ ชู่มู่คิดออกทันทีว่า องค์หญิงจิ่งโหลวจะพูดอะไร
“เจ้าบอกว่า…”
องค์หญิงจิ่งโหลวพยักหน้า พูดขึ้นว่า “หลังจากที่ชู่เทียนหมังเลิกสัญญาวิญญาณกับดวงวิญญาณตัวหนึ่งแล้ว มันถูกผนึกไว้ในเมืองอมตะ !”
ช่วงที่ชู่เทียนหมังอยู่ในชั้นยอดมีดวงวิญญาณหลักสี่ตัว หนึ่งในดวงวิญญาณหลักที่แข็งแกร่งที่สุดตายในการต่อสู้ ดวงวิญญาณหลักทั้งสามถูกผนึกไว้ในเจดีย์ แต่ก่อนที่ชู่มู่จะออกจากเกาะนักโทษไม่นาน ได้สลายตัวเองหมด
ส่วนดวงวิญญาณรองของชู่เทียนหมัง ถูกบังคับให้เลิกสัญญา ไร้ร่องรอยจนถึงทุกวันนี้ ชู่มู่ไม่คิดว่า ในเมืองอมตะจะมีดวงวิญญาณรองของท่านพ่อตัวเองผนึกไว้อยู่ !
ในใจของชู่มู่เต็มไปด้วยความสะเทือน ลำตัวสั่นคลอนไปด้วย !
“เจ้าแน่ใจใช่ไหม เจ้า…เจ้ารู้สถานที่ผนึกหรือไม่” ชู่มู่ถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“รู้…แต่อันตรายอย่างมาก…” องค์หญิงจิ่งโหลวพยักหน้า
“แน่นอนว่า ประโยคนี้ของชู่เทียนหมังไม่ได้เป็นเหตุผลที่แท้จริงให้เจ้าเกิดมา ความจริงท่านหญิงเป็นที่รักของท่านอาวุโสทั้งเจ็ด เป็นเหมือนลูกสาวของพวกเขา เหล่าท่านอาวุโสไม่อยากให้กฎระเบียบโบราณนี้ไปทำลายคนที่จะทุ่มเททั้งชีวิตให้ตำหนักวิญญาณ ส่วนท่านพ่อของเจ้า เป็นแค่เหตุผลที่พอจะฟังขึ้นให้ท่านอาวุโสเท่านั้น…ความจริง ตำหนักวิญญาณของพวกเราเป็นธรรมและเคารพความเป็นมนุษย์อย่างมาก !” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนี้เอง หลังจากนั้น หลังจากนั้นทำไมท่านพ่อของข้าถึงต้องคำสั่งต้องห้ามได้” ชู่มู่ถามขึ้นอย่างใจร้อน
“เรื่องนี้…เรื่องนี้ข้ารู้ไม่เยอะเท่าไร” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่เกี่ยวกับชู่เทียนหมังต้องคำสั่งต้องห้ามเป็นข่าวที่ปิดตาย ไม่ว่าชู่มู่จะถามจากใครก็ไม่ได้ข้อมูลที่แน่ชัด
“ชู่เฉิงเอ้ย ตำหนักวิญญาณของพวกเราอาจไม่ประกาศตัวตนนายท่านที่สิบของเจ้า เจ้าต้องทำใจเอาไว้ แต่เจ้าต้องเชื่อว่า ไม่มีท่านอาวุโสคนใดจะทำลายเจ้า มิหนำซ้ำยังจะคอยปกป้องเจ้าต่างหาก ต่อให้เจ้าทำเรื่องวุ่นวายในวังมารนิรยมากเพียงใด เหล่าท่านอาวุโสก็จะลุกขึ้น ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้า แต่เจ้าต้องจำไว้ มีอำนาจหนึ่งที่ห้ามแตะต้องเด็ดขาด…” น้ำเสียงของนักวิญญาณเฒ่าเต๋อจริงจังขึ้นทันที
“ท่านหมายถึงองค์กรวิญญาณเหรอ” ชู่มู่ถามขึ้น
“อืม อำนาจขององค์กรวิญญาณไม่แข็งแกร่งเท่าไร แต่พวกเขามีคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งจนทำให้ท่านอาวุโสของพวกเราจำต้องเคารพอย่างยิ่ง ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามแตะต้ององค์กรวิญญาณ…” น้ำเสียงของนักวิญญาณเฒ่าเต๋อจริงจังขึ้นมาก
ชู่มู่มองไปยังนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ ไม่รู้ทำไม เขารู้สึกว่า วันนี้นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดเยอะกว่าปกติ เหมือนกำลังจะบอกบางอย่างให้กับตัวเองโดยเฉพาะ นี่ทำให้ชู่มู่รู้สึกแปลกใจอย่างมาก
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะระวังตัว” ชู่มู่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
องค์กรวิญญาณ แข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่ ทำไมอำนาจนี้ครอบครองทั้งเขตโลก เมืองโลก ทำให้ตำหนักวิญญาณและวังมารนิรยเกรงกลัวอย่างมาก อยู่ในระดับที่ครองทั้งโลกแล้วจริงเหรอ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เตรียมตัวสำหรับด่านที่เก้าได้แล้ว” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
ชู่มู่พยักหน้า หลังจากโค้งคำนับแล้ว ได้กลับไปยังที่พักของตัวเอง
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อมองชู่มู่จากไป ด้วยสีหน้าซับซ้อน
รอจนถึงตอนที่ชู่มู่ไกลออกไป นักวิญญาณเฒ่าเต๋อถึงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “ท่านอาวุโส บอกเขาเยอะขนาดนี้ จะกดดันเขามากไปหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ความสามารถของเขาในตอนนี้…เรื่องพวกนี้ รอให้เขาอายุสามสิบแล้วค่อยบอกก็ไม่ช้าไป”
ชายที่สวมชุดสีขาวเดินออกจากด้านข้างอย่างช้า ๆ เขาส่ายหัว แล้วพูดขึ้นว่า “ข้ากลัวว่า เขาจะเหมือนพ่อของเขาในตอนที่ยังไม่ถึงสามสิบ ไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเอง”
“คึคึ ข้ารู้สึกว่า แม้ชู่มู่จะหาเรื่องคนอื่นกับสร้างความเดือดร้อน แต่เขารู้ว่า อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้มากกว่าตอนที่ชู่เทียนหมังยังเด็กอีก” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดพร้อมรอยยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้นเถอะ…ตอนนี้ข้ากังวลอีกเรื่องหนึ่งมากที่สุด” ท่านอาวุโสพูดอย่างเชื่องช้า
“เรื่องอะไร” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อถามอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องนี้ค่อนข้างรับมือยาก หลังจากนี้ค่อยบอกกับเจ้า” ท่านอาวุโสบอก
…
หลังจากชู่มู่กลับไปยังสวนของตัวเอง นั่งบนศาลาหินกลางสวนลำพัง นั่งคิดคำพูดที่นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเน้นย้ำ
“หรือว่า นอกจากเซี่ยกว่างหานแล้ว มีคนขององค์กรวิญญาณรู้ถึงการมีอยู่ของมั่วเย้แล้ว” ชู่มู่พึมพำ
วันนี้นักวิญญาณเฒ่าเต๋อจงใจบอกตำแหน่งของหลิ่วปิงฟงออกมา เห็นได้ชัดว่า เป็นการบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ใดก็ทำตัวขวางได้ มีเพียงองค์กรวิญญาณที่ห้ามยุ่งเด็ดขาด !
ถ้าบอกว่า นักวิญญาณเฒ่าเต๋อแค่บอกเรื่องนี้ตามเรื่องของชู่เทียนหมังละก็ ชู่มู่จะวางใจได้ แต่ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับมั่วเย้และมังกรจำศีลอัมพรมรกต ชู่มู่จะมีปัญหาแล้ว เพราะชู่มู่เคยได้ยินมาว่า ในเมืองเทียนเซี่ย เทียนทิงหนึ่งในสี่ที่นั่งเป็นผู้แข็งแกร่งยิ่งขององค์กรวิญญาณ !
“ผู้เฒ่าหลี พวกคนที่นักวิญญาณเฒ่าเต๋อหมายถึง ความสามารถแข็งแกร่งมากเพียงใด” ชู่มู่ถามอย่างจริงจัง
“เจ้าอยากรู้ระยะห่าง หรืออยากรู้ระดับดวงวิญญาณของพวกเขา” ชู่มู่ถาม
“ระยะห่าง บอกด้วยว่า พวกเขาอาจมีดวงวิญญาณระดับอะไรบ้าง” ชู่มู่ถามอีก
“จากตำแหน่งของเจ้าตอนนี้ละกัน ตอนนี้เจ้าเป็นผู้มีระดับเจ็ดของตำหนักวิญญาณ แน่นอนว่า ความสามารถของเจ้าพอที่จะอยู่ในระดับแปดแล้ว ที่อยู่เหนือกว่าเจ้าคือระดับเก้า เช่น หลีเหิง เซี่ยกว่างหาน ฉิงเย้ พวกเขาล้วนมีดวงวิญญาณหลักระดับจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบ”
“ผู้มีระดับเก้าน่าจะเทียบเท่าเจ้าเมือง โดยปกติแล้ว เจ้าเมืองของเขตโลกจะมีความสามารถระดับนี้ เหนือกว่านั้นคือผู้ที่มีระดับสิบอย่างเจ้าตำหนักหยู่ ขณะเดียวกัน ระดับเจ้าตำหนักวิญญาณหลักจะเทียบเท่าเจ้าโลก”
“เจ้าตำหนักกับเจ้าโลกอยู่ในระดับสิบ ส่วนใหญ่จะมีดวงวิญญาณระดับราชันอย่างน้อยหนึ่งตัว ดวงวิญญาณอื่นส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับจักรพรรดิชั้นยอด แน่นอนว่า อยู่ในลักษณะสิบแล้ว”
“ส่วนในระดับสิบนี้มีช่องว่างอย่างมาก โดยปกติจะมีเทียบเท่าราชัน หรือถ้าแข็งแกร่งหน่อยจะมีราชันขั้นกลาง”
“สูงกว่านี้คือระดับผู้อาวุโส จะต้องมีระดับราชันขั้นสูงถึงราชันชั้นยอดหนึ่งตัวเป็นอย่างน้อย !”
“เหนือกว่าระดับผู้อาวุโส คือระดับท่านอาวุโส ซึ่งในระดับนี้จำต้องมีดวงวิญญาณระดับราชัน ! ความจริงแล้ว พวกเขามีดวงวิญญาณเกินกว่าระดับราชันหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้จริง”
“ส่วนองค์กรวิญญาณเหล่านั้นแข็งแกร่งกว่าบุคคลระดับท่านอาวุโสอีก…เกรงว่าดวงวิญญาณที่ต่ำสุดยังอยู่ราชันชั้นยอด เหล่าท่านอาวุโสเกรงกลัวองค์กรวิญญาณ ก็เป็นเพราะในองค์กรวิญญาณมีคนได้ควบคุมดวงวิญญาณเกินกว่าระดับราชันแล้ว อีกทั้งไม่ได้มีแค่คนเดียว” ผู้เฒ่าหลีบอก
“เกินกว่าราชัน…หลังจากราชัน คืออะไร” ชู่มู่ถามอย่างไร้สติ
ผู้เฒ่าหลีไม่ได้ตอบคำถามนี้ของชู่มู่ แต่พูดต่อว่า
“อย่าเห็นว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้อยู่ในระดับราชัน ความจริงระดับราชันกว้างมาก เจ้าน่าจะรู้ว่า ระหว่างระดับจักรพรรดิขั้นกลางกับขั้นสูงห่างกันสองขั้นแล้วใช่ไหม” ผู้เฒ่าหลีพูดอย่างจริงจัง
“อืม หรือว่าระดับราชันนี้ห่างกันมากกว่านั้น” ชู่มู่ถามต่อ
“แน่นอนอยู่แล้ว จักรพรรดิชั้นยอดกับจักรพรรดิขั้นสูงห่างกันสองขั้น ส่วนเทียบเท่าราชันห่างกับจักรพรรดิชั้นยอดถึงสามขั้น เท่ากับว่า เทียบเท่าราชันต้องใช้แรงทั้งหมด ถึงจะฆ่าจักรพรรดิชั้นยอดในเสี้ยววินาทีได้ !”
“ส่วนระหว่างเทียบเท่าราชันกับราชันขั้นต่ำมีระยะห่างอย่างมาก ความสามารถห่างกันสามขั้นเช่นกัน เท่ากับว่า ราชันขั้นต่ำสามารถฆ่าเทียบเท่าราชันในเสี้ยววินาทีได้ ! ราชันขั้นกลางกับราชันขั้นต่ำจะมีความสามารถห่างกันสามขั้น…”ผู้เฒ่าหลีบอกพร้อมท้าวเอว
ในใจชู่มู่ตื่นเต้นอย่างมากแล้ว เขาไม่คิดว่า หลังจากระดับราชัน จะมีความสามารถที่ห่างกันมากขนาดนี้ เพียงแค่ความสามารถห่างกันหนึ่งขั้น จะถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีได้ !
“นอกจากนี้ หลังจากระดับราชัน วัตถุวิญญาณที่จะเพิ่มระดับพลังต่อสู้จำกัดอย่างมาก ราคาสูงจนเกินเหตุ ระดับจักรพรรดิขั้นกลางไปถึงจักรพรรดิขั้นสูงต้องใช้ห้าพันล้านใช่ไหม ระดับจักรพรรดิขั้นสูงถึงจักรพรรดิชั้นยอดต้องใช้ ห้าหมื่นล้าน ส่วนจักรพรรดิชั้นยอดไปเทียบเท่าราชัน ต้องใช้อย่างน้อยหนึ่งล้านล้าน ! เท่ากับว่าเป็นยี่สิบเท่าของจักรพรรดิชั้นยอด ! ที่สำคัญที่สุดคือ ต่อให้เจ้ามีหนึ่งล้านล้านก็ไม่สามารถซื้อได้ง่าย ๆ ! เพราะหลังจากถึงระดับราชันแล้ว เจ้าจะพบว่า หลายครั้งการแลกเปลี่ยนไม่ได้ใช่แค่เงินทอง” ผู้เฒ่าหลีบอก
“หนึ่งล้านล้าน !!! ล้อเล่นเหรอ !!!” ชู่มู่อึ้งมาก !!!
ถ้าอย่างนั้น ถ้ามั่วเย้ไม่ระวัง ก็อาจมีค่าตัวหนึ่งล้านล้าน !!! ตัวเลขนี้น่ากลัวเหลือเกิน !!!
“ไม่แปลก นอกจากนี้ ดวงวิญญาณระดับราชันไม่ได้เลี้ยงง่าย โดยปกติดวงวิญญาณระดับราชันตัวหนึ่ง อาจทำลายดวงวิญญาณทั้งหมดของผู้คุมดวงวิญญาณ เจ้าโลกหลายคน รวมถึงเจ้าตำหนัก หรือราชันวิญญาณ หลังจากพวกเขาได้เทียบเท่าราชันตัวหนึ่งแล้ว ตลอดชีวิตจะอยู่เพื่อดวงวิญญาณตัวนี้ ที่สำคัญที่สุดคือ ต่อให้พวกเขาทุ่มเทแรงทั้งหมด ให้เทียบเท่าราชัน ก็ใช่ว่าจะเพิ่มระดับจนอยู่ในราชันขั้นต่ำได้…” ผู้เฒ่าหลีบอก
ผู้เฒ่าหลีไม่รู้ว่า ชู่มู่ในตอนนี้เข้าใกล้ระดับราชันมากแล้ว ! ดังนั้น ชู่มู่เองในตอนนี้ก็อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับระดับราชัน
แต่ว่า ฟังเรื่องเหล่านี้จากผู้เฒ่าหลีแล้ว ชู่มู่มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเท่าไร
…
ไม่ว่าอย่างไร หากสามารถเข้าสู่ระดับราชันได้ ความสามารถของชู่มู่จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งจะเข้าไปในที่ที่ไม่กล้าเข้าไปผ่านมั่วเย้ได้ แบบนี้จะทำให้ได้วัตถุวิญญาณที่ดวงวิญญาณอื่นต้องการได้ง่ายขึ้น
…
มองข้ามเรื่องหนึ่งล้านล้านน่ากลัวนั้นไปก่อน กลับมาที่ปัญหาในตอนนี้…
หนึ่งหมื่นสี่พันล้าน !!!
ชู่มู่ต้องคิดวิธีแบ่งเงินก้อนนี้แล้ว
ราชันผีหินผา ปีศาจนักรบไม้ นิ้ง เย้ รวมถึงฉิงด้วย ต่างรู้ว่า ชู่มู่ในตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างมาก ความสามารถของพวกมันในตอนนี้ยากที่จะก่อประโยชน์ในด่านที่เก้าได้
ดังนั้น ดวงวิญญาณส่วนใหญ่ในนี้บอกให้แบ่งหนึ่งหมื่นสี่พันล้านนี้ให้มั่วเย้ จั้นเย้ กับมารนิรยขาว ให้พวกมันเพิ่มความสามารถขึ้นมาอีก แบบนี้จะมีความมั่นใจในการประลองฟ้าดินมากขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอโทษพวกเจ้าก่อน รอให้จบการประลองฟ้าดิน ค่อยเพิ่มความสามารถของพวกเจ้า” ชู่มู่บอก
นอกจากนี้ ยังใช้วัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งให้จั้นเย้ได้ เพิ่มให้จั้นเย้อยู่ในจักรพรรดิขั้นกลางได้ไม่มีปัญหา ทว่า ชู่มู่รู้สึกว่า การเพิ่มความสามารถนี้ไม่มีความหมายมากเท่าไร อย่างไรก็ตามจั้นเย้แค่ทนหน่อย ก็เพิ่มความสามารถจนอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูงได้แล้ว
ส่วนมั่วเย้กำลังจะแปรเปลี่ยนตระกูล ให้มันกินวัตถุวิญญาณไม่มีความหมายเท่าไร อย่างไรก็ตามมั่วเย้ที่จะเพิ่มค่าตัวถึงหนึ่งล้านล้านระดับเทียบเท่าราชันแล้ว วัตถุวิญญาณหนึ่งหมื่นสี่พันล้านเหมือนกินข้าวธรรมดา กินอิ่มก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
มารนิรยขาวได้ผ่านการเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยวัตถุวิญญาณและกลืนกินกลุ่มเดียวกันแล้ว อย่างน้อยก่อนที่มันจะถึงลักษณะสิบ ชู่มู่ไม่มีทางเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยวัตถุวิญญาณแน่นอน แบบนั้นจะทำให้สิ้นเปลืองมากขึ้น
“นายท่าน ซื้อชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านขั้นเก้า เพิ่มพลังโจมตีให้ปีศาจขาว ราคาของชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านอยู่ที่หนึ่งหมื่นล้าน ซื้อแล้ว ความสามารถลักษณะเก้าขั้นเจ็ดของปีศาจขาวจะเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบแล้ว จักรพรรดิขั้นกลางกับขั้นสูงห่างกันสองขั้น บวกกับเดิมมารนิรยขาวก็สูงกว่าดวงวิญญาณทั่วไปหนึ่งขั้นแล้ว สวนชุดวิญญาณขั้นเก้าแล้ว มารนิรยขาวของเจ้าจะโจมตีจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบให้บาดเจ็บสาหัสในครั้งเดียวได้ !”
จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้า เป็นความสามารถเฉลี่ยของผู้แข็งแกร่งซ่อนตัว จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบเป็นพลังชั้นยอดของขั้นสอง มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละอำนาจถึงจะมี…
เรื่องระดับราชันเป็นปัญหาในอนาคต อย่างน้อยมารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นสูงเทียบเท่าลักษณะสิบได้ ชู่มู่จะไร้เทียมทานในขั้นสองนี้ !!!
ตำหนักสวนตำหนักวิญญาณ ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดซึ่งเปิดเผยต่อด้านนอกมาตลอดคือ ระดับท่านอาวุโส
ท่านอาวุโสทั้งเจ็ด เป็นตัวแทนของตำแหน่งสูงสุดของตำหนักวิญญาณทั้งเจ็ด บุคคลระดับท่านอาวุโสนี้ นับว่าเป็นตำแหน่งที่เข้าใกล้กับหลีหงบัลลังก์เทียนเซี่ยมากที่สุดแล้ว อีกทั้ง ท่านอาวุโสหลายคนในตำหนักวิญญาณมีชื่อเสียงอย่างมาก คนที่จะครองบัลลังก์อาจเป็นรุ่นหลังของคนระดับอาวุโสก็ได้
ดังนั้น ต่อให้เป็นผู้ครองบัลลังก์สิบปี จำต้องเคารพต่อคนชราระดับท่านอาวุโสอย่างมาก
ขณะเดียวกัน ตำแหน่งของท่านอาวุโสวังมารนิรยก็เช่นกัน หลายครั้ง ท่านอาวุโสจะโทษราชันปีศาจวังมารนิรย ราชันปีศาจก็ทำได้แค่ก้มหัวรับคำสอนเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นท่านอาวุโสวังมารนิรยหรือท่านอาวุโสตำหนักวิญญาณ พวกเขาเป็นตัวแทนความสามารถของโลกนี้ มีชื่อเสียง อำนาจสูงสุด ผู้แข็งแกร่งระดับท่านอาวุโสอย่างเฒ่าหยวนแม้จะห่างแค่ขั้นเดียว แต่กลับมีความหมายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ส่วนตำแหน่งท่านหญิงอันพิเศษของตำหนักวิญญาณ มองดูเหมือนมีระดับเทียบเท่ากับท่านอาวุโส แต่ความจริงผู้แข็งแกร่งระดับท่านนี้นับว่าเป็นบุคคลที่ถูกท่านอาวุโสทั้งเจ็ดตำหนัก ผู้อาวุโสทั้งสิบสี่ และเจ้าตำหนักวิญญาณทั้งยี่สิบเอ็ดเชิดชูยกย่องอย่างมาก พวกเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตำหนักวิญญาณ ไม่เคยเข้าร่วมการตัดสินใจของตำหนักวิญญาณ แต่ว่าการมีอยู่ของท่านหญิงและท่านชายในตำหนักวิญญาณลึกลับที่สุดมาตลอด เป็นการมีอยู่ที่สูงส่งยิ่ง
แม้แต่ราชันปีศาจยังไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยวกับท่านหญิงท่านชาย นี่ไม่เพียงแต่เป็นระดับชั้นสูงสุดของวังมารนิรย แต่เป็นชั้นสูงของอำนาจอื่นด้วย !
“เจ้าชู่เฉิงนี่ หรือว่าจะเป็นบัตรของท่าน…” เสียงของท่านอาวุโสเย้เทาไม่แข็งกระด้างเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เย้เทาเป็นหนึ่งในสี่ที่นั่ง ตำแหน่งสูงกว่าผู้อาวุโสทั่วไปเล็กน้อย แต่เมื่อพูดถึงตำแหน่งท่านหญิงท่านชายแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“เรื่องนี้เจ้าอย่าถามเยอะ แม้จะไม่เปิดเผยตัวตนของเขา แต่ถูกตำหนักวิญญาณปกป้องอยู่ ถ้าพวกเจ้าแน่จริงก็ให้ผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มขั้นสองของวังมารนิรยพวกเจ้าเอาชนะชู่เฉิงให้ได้ ถ้าคิดจะใช้วิธีพิเศษละก็ ทำให้ใครบางคนโกรธขึ้นมา ท่านอาวุโสทั้งเจ็ดอย่างพวกข้าต้องปวดหัวอย่างมาก พวกเจ้าที่นั่งทั้งสี่ก็ต้องทนรับผลกรรมไปด้วย” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดพร้อมลูบหนวดของตัวเอง
ตำหนักวิญญาณกับวังมารนิรยไม่ถูกกันตั้งนานแล้ว แต่ตอนที่ระดับท่านอาวุโสเผชิญกับผู้อาวุโส ยังต้องเคารพนับถือกัน อย่างไรก็ตาม ผู้แข็งแกร่งยังคงเป็นผู้แข็งแกร่ง ปัญหาเรื่องอำนาจ ดวงวิญญาณหลักตัวใดของพวกเขาก็ขยี้ผู้อาวุโสอย่างพวกเขาตายได้ ส่วนในตำหนักวิญญาณยังมีท่านหญิงและท่านชายที่ถูกท่านอาวุโสตำหนักทั้งเจ็ดเชิดชูเกินไป…
เย้เทาถอนหายใจยาว ถ้าบอกว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นบุตรชายของท่านหญิง แทบไม่สามารถเอามารนิรยขาวคืนมาได้
เย้เทาระดับผู้อาวุโสไม่มีสิทธิ์ไปขอคืน ต้องดูว่าเหล่าท่านอาวุโสวังมารนิรยมีเจตนานี้หรือไม่ แต่ท่านอาวุโสทั้งสี่ไม่ได้ครองทั้งเมืองเทียนเซี่ยสักหน่อย…
ด้วยความเฉยเมย เย้เทาทำได้แค่จากไปด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
…
“จัดการเสร็จแล้ว บอกแล้ว เรื่องเล็กน้อย…ทว่า เจ้าเด็กนี่ทำไมไม่บอกข้าก่อนว่า มารนิรยขาวของเจ้ามีความสามารถกลืนกินกลุ่มเดียวกัน” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อเดินไปข้างชู่มู่พร้อมเสียงหัวเราะ แล้วพูดกับชู่มู่
“ข้าคิดว่า เรื่องนี้ไม่สำคัญมากเท่าไร” ชู่มู่ยิ้มด้วยความเขิน
ท่าทาง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า ตัวเองมีมารนิรยขาว แต่เป็นความสามารถกลืนกินกลุ่มเดียวกันของมารนิรยขาว
“เรื่องนี้สำคัญอย่างมาก มารนิรยขาวที่กลืนกินกลุ่มเดียวกันได้จะถูกวังมารนิรยเรียกว่า ‘มารนิรยขาวระดับราชวงศ์’ ตำแหน่งราชวงศ์ของพวกมันทำให้พวกมันอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตกลุ่มเดียวกัน แล้วจะกินพวกมันเหมือนเป็นอาหารของตัวเอง” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้…เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ ท่านอธิบายก่อนว่า อะไรคือมารนิรยขาวกลุ่มราชวงศ์” ชู่มู่แอบแปลกใจ ทำไมมารนิรยขาวของตัวเองได้กลายเป็นมารนิรยขาวกลุ่มราชวงศ์ไปได้
“มารนิรยขาวกลุ่มราชวงศ์เป็นสิ่งที่พบได้ยากยิ่งในบรรดามารนิรยขาว สิ่งที่แสดงออกมาอย่างรวมความแค้น กลืนกินพลังวิญญาณ ผลึกไฟปีศาจ กลืนกินกลุ่มเดียวกันเหล่านี้จะโดดเด่นกว่ามารนิรยขาวทั่วไป”
การรวมความแค้นหมายถึง เมื่อมารนิรยขาวกลุ่มราชวงศ์นี้เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง จะเพิ่มความสามารถด้วยการรวมความแค้น ความเร็วในการเพิ่มความสามารถของพวกมันจะไวกว่ามารนิรยขาวหลายเท่า…” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
พูดถึงตรงนี้ ชู่มู่นึกถึงมารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงทันที ความเร็วในการรวมความแค้นของเขาเป็นสามเท่าของมารนิรยขาวทั่วไป เป็นมารนิรยขาวกลุ่มราชวงศ์เช่นกัน !!!
“มารนิรยขาวกลุ่มราชวงศ์จะกลืนกินพลังวิญญาณ พวกมันจะกินพลังวิญญาณในปริมาณมหาศาล เป็นหนึ่งในมารนิรยขาวที่เลี้ยงยากที่สุด ความพิเศษของมันอยู่ที่ กินเยอะ เติบโตได้ไว”
กินมารนิรยขาวของคนอื่น ต่อให้ต่อสู้มาตลอด ก็ต้องใช้เวลาหกถึงเจ็ดปีถึงจะอยู่ในลักษณะสิบได้ ส่วนมารนิรขาวแบบนี้กลับใช้เวลาแค่สามถึงสี่ปีเท่านั้น ความโดดเด่นของราชวงศ์เป็นที่ชัดเจนอย่างมาก !
“ผลึกไฟปีศาจของมารนิรยขาวกลุ่มราชวงศ์ อันนี้จะเก่งมาก เดิมพลังผลึกก็แข็งแกร่งกว่ามารนิรยขาวทั่วไปขั้นหนึ่งแล้ว เท่ากับว่าพลังต่อสู้ติดตัวแต่เกิดของพวกมันคือจักรพรรดิขั้นสูงอยู่แล้ว !”
ระดับของมารนิรยขาวอยู่ที่จักรพรรดิขั้นกลาง ส่วนพลังต่อสู้ที่เป็นจักรพรรดิขั้นสูงตั้งแค่เกิดนี้…ไม่ต้องอธิบายมากแล้ว
“สุดท้ายคือการกลืนกินกลุ่มเดียวกัน มารนิรยขาวที่กลืนกินกลุ่มเดียวกันนี้เป็นมารนิรยขาวที่อันตรายที่สุดแล้ว !มารนิรยขาวแบบนี้มีจำนวนน้อยมาก ปกติจะถูกวังมารนิรยเลี้ยงดูอย่างดี ไม่ให้นำมาทำสัญญาวิญญาณกับคน…” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย ในโลกนี้ยังมีดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่ไม่นำมาทำสัญญาวิญญาณกับคนด้วยงั้นหรือ
“ไม่ทำสัญญาวิญญาณ แล้วจะนำมาทำอะไรได้” ชู่มู่ถามอย่างประหลาดใจ
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว สรุปแล้ว ถ้าทำสัญญาวิญญาณกับมัน ผู้แข็งแกร่งที่มีชีวิตรอดมาได้น้อยยิ่งกว่าน้อย ในนั้นยังมีผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยที่มีความสามารถแข็งแกร่งยิ่งอย่างราชันปีศาจไป๋หยู่ ที่ผ่านมาคนของวังมารนิรยต่างคิดว่า ไป๋หยู่ได้ควบคุมมารนิรยขาวกลุ่มราชวงศ์ที่กลืนกินกลุ่มเดียวกันได้ แต่หลังจากนั้น…เรื่องนี้ก่อให้เกิดกระแสอย่างมาก แม้แต่ตำหนักวิญญาณของพวกเรายังกระทบด้วย…เห้อ เจ้าในอายุเท่านี้ไม่จำต้องรู้ก็ได้” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
นักวิญญาณเฒ่าเต๋อรู้สึกหวาดกลัวเรื่องในตอนนั้น ทำท่าทีไม่อยากจะนึกขึ้น
ผ่านไปเนิ่นนานนักวิญญาณเฒ่าเต๋อถึงได้สติกลับมา มองไปยังชู่มู่แล้วพูดขึ้นว่า “มารนิรยขาวที่กลืนกินได้อันตรายอย่างมาก เจ้าควรปรึกษาเรื่องนี้กับท่านแม่ของเจ้า ว่าจะเลิกสัญญาวิญญาณไหม มิฉะนั้น หลังจากนี้จะมีปัญหาตามมา อย่าคิดว่าตอนนี้เจ้าควบคุมได้ เจ้าจะเป็นเจ้าของมันได้…”
“ไม่มีทางเลิกสัญญาวิญญาณได้ ข้าจะควบคุมตัวเองให้ดี เฒ่าเต๋อไม่ต้องห่วง” ชู่มู่บอก
คาดว่านักวิญญาณเฒ่าเต๋อรู้ว่ามารนิรยขาวของชู่มู่เป็นรุ่นหลังของมารนิรยขาวท่านไป๋หยู่ละก็ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็จะบังคับให้ชู่มู่เลิกสัญญาวิญญาณ !
“เห้อ เจ้าปรึกษากับท่านแม่เจ้าเองเถอะ” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
“ว่าแต่ เย้เทาก็เป็นถึงผู้อาวุโสของวังมารนิรย ทำไมถึงกลัวตำแหน่งของข้า ตำแหน่งท่านตำหนักสูงขนาดนั้นเลยเหรอ” ชู่มู่ถามขึ้น
“เรื่องนี้ต้องพูดถึงต้นกำเนิดวังมารนิรยกับตำหนักวิญญาณของพวกเราแล้ว ความจริง ในตอนแรกสุด ตำหนักวิญญาณมีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปด ให้เจ้าทายว่าอันที่แปดคืออะไร…” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อถามขึ้น
ชู่มู่ส่ายหัว แม้แต่ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดชู่มู่ยังเพิ่งรู้ตอนถึงเมืองเทียนเซี่ย แล้วจะรู้ว่าดวงวิญญาณลายเเส้นที่แปดคืออะไรได้อย่างไร
“นายท่าน ลายเส้นที่แปดคือมารนิรยขาว !” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้นช้า ๆ
“มารนิรยขาว !!!” ชู่มู่ตกใจทันที ลายเส้นที่แปดของตำหนักวิญญาณกลับเป็นมารนิรยขาว !!!
ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดเป็นปรปักษ์กับกลุ่มมารนิรยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลายเป็นครอบครัวเดียวกันได้ !
“ในตอนแรก วังมารนิรยกับตำหนักวิญญาณมีต้นกำเนิดเดียวกัน ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวมถึงมารนิรยขาว เนื่องจากสิ่งมีชีวิตอย่างมารนิรยชั่วร้ายเกินไป มักฆ่าเจ้าของตัวเอง ชั้นสูงจึงตัดสินว่า ให้มารนิรยขาวนี้ออกจากดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งแปด…”
“ในตอนแรกสุด เจ้าตำหนักตำหนักมารนิรย ท่านอาวุโส ผู้อาวุโส คือผู้ก่อตั้งวังมารนิรย หลังจากพวกเขาแยกออกมาตั้งตัวแล้ว ได้กลายเป็นพรรคเดียวกัน ผ่านมาหลายพันปี ด้านหนึ่งเป็นเพราะการถดถอยของตำหนักวิญญาณพวกเรา อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มมารนิรยขาวแข็งแกร่งอย่างมากจริง ๆ โดยเฉพาะในตอนนี้ได้มีมานิรยฟ้ากับมารนิรยเขียวสองกลุ่มนี้ อีกทั้งยังควบคุมได้ง่ายกว่า ตำแหน่งของวังมารนิรยเพิ่มขึ้นอีกขั้น ในตอนนี้นับว่าอยู่ในระดับเดียวกับตำหนักวิญญาณพวกเราแล้ว”
ชู่มู่อึ้งจนพูดไม่ออกแล้ว เขาไม่คิดว่า วังมารนิรยกับตำหนักวิญญาณจะมีความเป็นมาแบบนี้ !
“ตำแหน่งท่านอาวุโสของตำหนักวิญญาณพวกเราเทียบเท่าตำแหน่งท่านอาวุโสวังมารนิรย แต่วังมารนิรยไม่มีตำแหน่งท่านหญิงท่านชาย มีสาเหตุอยู่ เพราะตำแหน่งท่านสืบทอดจากตอนที่มีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดตอนแรกสุด เท่ากับว่า ความจริงตำแหน่งท่านนี้เป็นตัวแทนของการสืบทอดอำนาจสูงสุดของอำนาจทั้งสองของตำหนักวิญญาณและวังมารนิรย คนของวังมารนิรยจะไม่เคารพคนของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดได้ แต่พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินตำแหน่งท่าน รวมถึงราชันปีศาจก็ไม่กล้า” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
“นักวิญญาณเฒ่าเต๋อไม่พูด ข้ายังคิดไม่ถึงจริง ๆ” ชู่มู่พูดขึ้น
“การสืบทอดของตำแหน่งท่านซับซ้อนอย่างมาก ส่วนใหญ่ถูกกำหนดตั้งแต่เกิดแล้ว…นอกจากนี้ ระดับท่านมีกฎระเบียบที่แน่ชัด ห้ามมีการแต่งงาน…” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดอย่างจริงจังมาก
“…” ห้ามแต่งงาน ชู่มู่หมดคำพูดแล้ว
ถ้าบอกว่าตำแหน่งท่านห้ามมีการแต่งงาน แล้วตัวเองมากจากที่ใด ท่านพ่อของตัวเองคือใคร หรือว่าท่านแม่ของตัวเองเป็นเรื่องโกหก
เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของชู่มู่ นักวิญญาณเฒ่าเต๋อได้หัวเราะออกมา แล้วพูดกับชู่มู่ว่า “เจ้าเป็นบุตรชายคนเดียวของระดับท่าน ในนี้ยังมีเรื่องที่สนุกมาก เรื่องเล่าที่ทำให้เหล่าท่านอาวุโสทั้งหมดหมดคำพูด”
ชู่มู่อดใจคอยไม่ไหวแล้ว เห็นได้ชัดว่า นักวิญญาณเฒ่าเต๋อกำลังจะพูดเรื่องเกี่ยวกับท่านพ่อและท่านแม่ของตัวเองออกมา !
“ตำหนักวิญญาณของพวกเรามีกฎระเบียบดึกดำบรรพ์ ตำแหน่งท่านห้ามแต่งงาน ดังนั้น ตำแหน่งท่านจำต้องคงความโสดบริสุทธิ์ไว้ ท่านแม่ของเจ้าถูกตั้งเป็นตำแหน่งท่านตั้งแต่เด็กแล้ว มีความสามารถควบคุมดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดตั้งแต่เด็กแล้ว นอกจากมีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดที่แข็งแกร่งแล้ว ยังเป็นหญิงสาวที่ไม่ยุ่งเรื่องโลกอีก…” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
ชู่มู่นึกถึงแม่ของตัวเองทันที เหมือนจะไม่ต้องนึกถึงท่าทีปิดกั้นโลกภายนอกนั้น ก็พอจะรู้ว่า เธอไม่ยุ่งกับเรื่องทางโลกจริง ๆ …
“หลังจากนั้น ได้เจอกับท่านพ่อของเจ้า ส่วนเกิดอะไรขึ้นข้าไม่รู้…อย่างไรแล้ว ท่านหญิงตั้งท้อง นี่เป็นการละเมิดกฎพันปีของตำหนักวิญญาณ วังมารนิรย ท่านอาวุโสทั้งหมดสิบเอ็ดท่านแสดงความเห็นจะให้เธอสละตำแหน่งท่านหญิง ไม่อย่างนั้นก็ไม่เอาลูกของเธอ”
สีหน้าของชู่มู่ตึงเล็กน้อย ถ้าอย่างนั้น ในตอนนั้นตัวเขาจะต้องถูกเอาออกงั้นหรือ นี่เป็นกฎระเบียบที่ชั่วร้ายเพียงใด !
“การเลี้ยงดูท่านหญิงคนหนึ่ง ต้องใช้เวลานับสิบปี จะเจอกับผู้สืบทอดคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้น ตำแหน่งของท่านหญิงเปลี่ยนไม่ได้…”
“ถ้าอย่างนั้นก็เก็บข้าไว้ไม่ได้ แต่ทำไมในตอนหลังถึงมีข้าได้” ชู่มู่ถามขึ้น
“ฮะฮะ ตรงนี้เป็นจุดที่สนุกที่สุด” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อหัวเราะออกมา
“…” ชู่มู่ยิ่งเหงื่อตก เป็นเรื่องตลกตรงไหน
“ท่านพ่อของเจ้าเป็นคนที่ตลกคนหนึ่ง เขาเผชิญหน้ากับตำหนักวิญญาณและวังมารนิรย รวมถึงท่านอาวุโสทั้งหมดสิบเอ็ดท่าน ท่านพ่อของเจ้าพูดอย่างไม่แยแสว่า ‘กฎระเบียบโบราณของตำหนักวิญญาณ กำหนดว่าท่านหญิงห้ามแต่งงาน แต่ไม่ได้กำหนดว่าห้ามตั้งครรภ์ !’ นักวิญญาณเฒ่าเต๋อหัวเราะจนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น
ห้ามแต่งงาน แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามตั้งครรภ์ !!!
แม้แต่ชู่มู่เองก็ต้องนับถือความสามารถหาเรื่องของชายแก่คนนี้ !!!
หลังจากที่ชู่มู่แย่งแหวนนักโทษของซิงหยางและเจียงอี้เถิงแล้ว ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองได้พุ่งลงจากฟ้าทันที
เจียงอี้เถิงเป็นโอรสน้อยของวังมารนิรย ตำแหน่งสูงส่งมาก ถ้าเขาถูกฆ่าตายละก็ ด้วยความโกรธของราชันปีศาจวังมารนิรย จะทำให้ฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินเกิดปัญหาอย่างมากแน่นอน ดังนั้น ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองต้องคอยคุ้มกันเขา
ในไม่ช้า เจียงอี้เถิงกับซิงหยางถูกผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองพาขึ้นฟ้า เพื่อส่งไปรักษาตัวใต้เขา
วิญญาณของทั้งสองคนนี้อ่อนแอผิดปกติอย่างมาก ถ้าไม่ได้ทำการรักษาวิญญาณในระยะยาวจะอ่อนแอจนตายได้
ผู้เฝ้าบินด้วยความเร็วสูงมาก ในไม่ช้า พวกเขาได้ส่งเจียงอี้เถิงกับซิงหยางที่ญาณทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บลงภูเขาเวหาอมตะ
“นั่นเป็นโอรสน้อยของวังมารนิรยกับซิงหยางแข็งแกร่งอันดับสองไม่ใช่เหรอ !!!”
ใต้เขายังมีผู้เข้าแข่งขันมากมายรอคอยข่าวสารจากการประลองอยู่ และแล้วหลังจากที่พวกเขาเห็นเจียงอี้เถิงกับซิงหยางถูกพาออกมา ต่างร้องด้วยความประหลาดใจ
ด้านข้างน้ำพุมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนี้ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกวังมารนิรยที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองได้ส่งเจียงอี้เถิงกับซิงหยางมาที่นี่
“ทำไมแม้แต่พวกเขาสองคนยัง…เกิดอะไรขึ้น” นักวิญญาณหญิงของวังมารนิรยมองไปยังเจียงอี้เถิงและซิงหยาง ถามผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง
“พวกเขาสู้กับผู้เข้าแข่งขันอีกสองคนบนภูเขาหลักเวหาอมตะ…” ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองบอก
“ทำไมถึงอนาถแบบนี้ รีบส่งคนไปแจ้งท่านอาวุโสเย้เทา” นักวิญญาณหญิงวังมารนิรยพูดขึ้น
นักวิญญาณหญิงคนนี้ชื่อเฉี่ยนฉิง เป็นสมาชิกขั้นหนึ่ง ทว่า เธอไม่ได้เข้าร่วมการประลองฟ้าดิน แต่ได้เข้าร่วมเป็นฝ่ายจัดการประลองฟ้าดิน คอยรักษาตัวให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยที่ได้รับบาดเจ็บ
ผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยส่วนใหญ่ได้ผ่านการรักษาของเธอแล้ว บวกกับรูปงามของนักวิญญาณหญิงคนนี้ นับว่าเป็นผู้คุมดวงวิญญาณหญิงที่มีชื่อเสียงรองจากองค์หญิงวังมารนิรย อีกทั้งเมื่อเทียบกับตำแหน่งยากจะเข้าใกล้อย่างองค์หญิงวังมารนิรยแล้ว นักวิญญาณหญิงคนนี้เข้าใกล้ได้ง่ายกว่า…
เฉี่ยนฉิงเรียนคาถาวิญญาณเป็นเวลานานมากแล้ว เธอมองออกทันทีว่า ญาณทั้งสี่ของเจียงอี้เถิงและซิงหยางได้รับบาดเจ็บ เธอให้ดวงวิญญาณหมวดดอกไม้ปล่อยเกสรวิญญาณออกมาก่อน ใช้เกสรดอกไม้วิญญาณพิเศษนี้ปกป้องวิญญาณของสองคนนี้ ไม่ให้วิญญาณของพวกเขาอ่อนแอลง
และเธอก็รู้ว่า วิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยากที่จะใช้ทักษะในการรักษา มีเพียงเกสรวิญญาณและหยดแห่งเยียวยาวิญญาณราคาแพงเท่านั้นที่จะรักษาได้
เฉี่ยนฉิงทำได้แค่ปกป้องวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ การรักษาที่แท้จริงต้องใช้สองสิ่งนี้ และสองสิ่งนี้เกรงว่ามีเพียงท่านอาวุโสเย้เทาถึงจะมี
…
หลังจากนั้นไม่นาน ท่านอาวุโสเย้เทาวังมารนิรย หนึ่งในที่นั่งทั้งสี่ได้ปรากฏตัว
มีวัยหนุ่มรูปร่างสง่างามอีกคนหนึ่งปรากฏตัวพร้อมกับเขา มาพร้อมกับท่านอาวุโสเย้เทาได้ คาดว่าเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงยิ่งในวังมารนิรย
หลังจากวัยหนุ่มกับท่านอาวุโสเย้เทาเห็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มวังมารนิรยอนาถแบบนี้ สีหน้าแย่มาก ยากที่จะคิดว่าในขั้นสองนี้ จะมีใครทำให้พวกเขากลายเป็นแบบนี้ได้…
“ซือเทียนแห่งองค์กรวิญญาณใช่ไหม เจ้านี่รู้ตัวตนของเจ้าดี ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย หึหึ…” วัยหนุ่มพูดด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
เจียงอี้เถิงนอนอยู่ตรงนั้น สีหน้าซีดขาว แต่ไม่พูดอะไร แค่มองเหม่อไปยังบางที่
สี่ญาณได้รับบาดเจ็บ และดวงวิญญาณหลักตายหมด ส่งผลกระทบต่อเจียงอี้เถิงอย่างมาก แค่รอให้วิญญาณหายดีก็ต้องใช้เวลานานมากแล้ว…
“ไม่…ไม่ใช่…เป็นตำหนักวิญญาณ..” ซิงหยางยังพูดได้บ้าง
“ฟางเจ๋อตำหนักวิญญาณเหรอ” ท่านอาวุโสเย้เทสูดหายใจเข้า กวาดตามองไปยังวัยหนุ่มด้านข้าง พูดขึ้นว่า “ฉาวเจิ้ง ด่านที่สิบไม่จำต้องเกรงใจพวกเศษสวะตำหนักวิญญาณแล้ว !”
“ท่านอาวุโสวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าจะให้พวกเขาตายอย่างอนาถ !” ฉาวเจิ้งพูดด้วยร้อยยิ้มโหดร้าย
“เรื่องนั้น…ท่านอาวุโสเย้ คนที่ทำให้โอรสน้อยกับซิงหยางได้รับบาดเจ็บไม่ใช่นายท่านตำหนักวิญญาณฟางเจ๋อ แต่เป็น…แต่เป็นผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อชู่เฉิง” ผู้เฝ้าวังมารนิรยคนนั้นพูดขึ้นเสียงเบา
“ขู่เฉิงเหรอ ชู่เฉิงคือใคร ทำไมเขาถึงทำให้เจียงอี้เถิงกับซิงหยางได้รับบาดเจ็บได้” ท่านอาวุโสเย้เทาเบิกตาพูดขึ้น
“ตอนนั้นข้าก็ประหลาดใจอย่างมาก แต่ว่าหลังจากนั้น…” ในตอนนี้ ผู้เฝ้าคนนี้ได้บอกเล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างชู่มู่กับเจียงอี้เถิงและซิงหยางให้ฟัง ในนั้นรวมถึงเรื่องที่ชู่มู่มีมารนิรยขาว และการกลืนกินมารนิรยขาวด้วยกัน
หลังจากผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองพูดจบ เฉี่ยนฉิง ท่านอาวุโสเย้เทา ฉาวเจิ้งต่างเต็มไปด้วยความแปลกใจ พูดอะไรไม่ออก
สมาชิกตำหนักวิญญาณคนหนึ่งมีมารนิรยระดับจักรพรรดิขั้นสูงก็ทำให้พวกเขาตกใจอย่างมากแล้ว อีกทั้งมารนิรยขาวยังมีความสามารถกลืนกินพวกเดียวกันเพื่อเป็นแหล่งเติบโตของตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน !
“ท่านอาวุโสเย้เทา มารนิรยขาวมีความสามารถแบบนี้เหรอ” เฉี่ยนฉิงอึ้งนิ่งไปนาน ถึงถามขึ้น
สีหน้าของท่านอาวุโสเย้เทาเคร่งเครียดอย่างมาก ผ่านไปพักหนึ่งถึงพูดขึ้นว่า “มีก็จริง…แต่ว่า…”
ฉาวเจิ้งที่อยู่ด้านข้างไม่พูดอะไรอีก เขารู้ความลับหลายอย่างเกี่ยวกับมารนิรยขาว แต่ยังคงไม่เข้าใจมากเท่าไร
จากสีหน้าของท่านอาวุโสเย้เทาแล้ว มารนิรบขาวมีความสามารถกลืนกินกลุ่มเดียวกันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่อยู่ที่ทำไมผู้เข้าแข่งขันตำหนักวิญญาณคนหนึ่งถึงมีมารนิรยขาวแบบนี้ได้ !!!
มารนิรยที่วังมารนิรยควบคุมเป็นแค่จำนวนส่วนใหญ่เท่านั้น โลกนี้มีดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน บางครั้งอาจมีคนเจอกับมารนิรยขาวพเนจร แล้วทำสัญญาวิญญาณกับมันก็เป็นไปได้
“แค่ดวงดีเจอกับมารนิรยขาวที่มีพรสวรรค์แบบนี้จริงเหรอ หรือว่าเดิมมารนิรขาวตัวนี้เป็นของวังมารนิรยพวกเรา…” ท่านอาวุโสพึมพำ
“ท่านอาวุโส จากมุมมองของท่าน เจ้าชู่เฉิงนี้เป็นสมาชิกเก่าของวังมารนิรยพวกเรา แล้วย้ายไปยังตำหนักวิญญาณหรือไม่” ฉาวเจิ้งถามขึ้น
“อาจเป็นไปได้ เฉี่ยนฉิง ข้าจะให้คนส่งหยดแห่งหล่อเลี้ยงวิญญาณมาให้ เจ้าดูแลพวกเขาทั้งสองให้ดี ข้าไปตำหนักวิญญาณก่อน ขอสืบประวัติของชู่เฉิงก่อน” ท่านอาวุโสเย้เทาบอก
…
บนยอดเขาหลักเวหาอมตะ
ชู่มู่กับเย้ชิงจือได้ครองยอดเขาหลักเวหาอมตะนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยหรือตำหนักวิญญาณ ไม่กล้าขึ้นไปอีก
หลังจบการต่อสู้ ชู่มู่ไม่ได้ผ่อนคลายลง เพราะเขารู้ว่าฉิงเย้ปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ
แต่ว่า จนถึงจบด่านที่แปด ฉิงเย้ยังคงไม่ปรากฏตัว
“หรือว่าเขาจะล้มเลิกแล้ว” เย้ชิงจือก็รู้สึกแปลกมาก ฉิงเย้เป็นผู้เข้าแข่งขัน ต่อให้เขาเป็นสมาชิกขั้นหนึ่ง จะลงมือต่อสมาชิกขั้นอง ผู้เฝ้าก็ห้ามไม่ได้ ไม่มีเหตุผลให้เขาล้มเลิก
“ที่นี่มีผู้เข้าแข่งขันมากมาย บวกกับหลีเหิงก็อยู่ ถ้าก่อนหน้านี้พวกเราสละสิทธิ์ หลีเหิงจะลงมือแน่นอน เขาน่าจะไม่ถูกกัน จึงล้มเลิก”ชู่มู่บอก
“ก็ดี”เย้ชิงจือก็วางใจลงได้
ฉิงเย้เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของขั้นที่หนึ่ง ความสามารถแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างมาก เย้ชิงจือก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับคนที่แข็งแกร่งแบบนี้เร็วเกินไป
“ทว่า ข้ารู้สึกว่า จะมีบางคนที่ไม่ล้มเลิกง่าย ๆ แบบนี้ ในเมื่อฉิงเย้เข้ามาในสนามต่อสู้ขั้นที่สองของพวกเราได้ ถ้าอย่างนั้นในด่านที่เข้าก็ทำได้…ดังนั้น ข้าคิดว่า เขาน่าจะปรากฏตัวในด่านที่เก้า เพราะในด่านที่เก้าไม่มีผู้เฝ้าคอยปกป้อง…” ชู่มู่บอก
ด้วยความสามารถของชู่มู่ในตอนนี้ น่าจะชิงเกียรติในขั้นที่สองได้ไม่ยากแล้ว สามารถเอาชนะเจียงอี้เถิงวังมารนิรยได้ ถ้าอย่างนั้นคนที่เป็นอันตรายในตอนนี้มีเพียงซือเทียนองค์กรวิญญาณที่ผู้คนยกย่องแล้ว เอาชนะเขาได้ เกียรติสุดท้ายในขั้นสองก็เป็นของชู่มู่แล้ว
แต่ว่า การปรากฏตัวของเซี่ยกว่างหานและฉิงเย้ กลับทำให้เส้นทางนี้มีอุปสรรคเพิ่มขึ้น
“ความจริงแบบนี้ก็ดีกว่า…” ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา
ถ้ามั่วเย้เกิดการแปรเปลี่ยนต่อหน้าผู้คนอีก ถ้าอย่างนั้นจะมีคนคิดว่า ตัวเองเป็นเจ้าแห่งเกาะนักโทษได้ แบบนี้จะสร้างความวุ่นวายให้กับตัวเองอย่างมาก
และในด่านที่แปด ใช่ว่าจะมีสถานการณ์ที่มีผู้ชมแบบนี้ หากเป็นเช่นนี้ ชู่มู่ไม่จำต้องหวาดกลัว ให้มั่วเย้แปรเปลี่ยน แล้วมุ่งหน้าต่อไป !
…
หลังจบด่านที่แปด ชู่มู่ได้กลับไปยังตำหนักวิญญาณภายใต้การคุ้มกันของหลีเหิง
ชู่มู่รู้ว่า การต่อสู้ครั้งนี้จะสร้างความฮึกเหิมอย่างมาก ไม่เพียงแต่เอาชนะเจียงอี้เถิงผู้แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย แต่ยิ่งเป็นเพราะการปรากฏตัวของมารนิรยขาวและความสามารถกลืนกินพิเศษของมานิรยขาว
ชู่มู่รู้ว่า หลังจากเรื่องนี้ตัวเองจะถูกคนที่มีตำแหน่งของวังมารนิรยสอบถามแน่นอน ดังนั้น หลังจบด่านที่แปด ชู่มู่ได้เข้าไปอยู่ในตำหนักวิญญาณทันที เริ่มเก็บวัตถุวิญญาณที่ตัวเองต้องการ ส่วนปัญหาอื่น ให้นักวิญญาณเฒ่าเต๋อจัดการ
“เจ้าแก่ ขอร้องว่า เจ้าอย่าหาเรื่อง ก็แค่มารนิรยขาวตัวหนึ่ง ไม่แน่ผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยของพวกเจ้าก็มีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักวิญญาณ !” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อชี้ไปยังท่าอาวุโสเย้เทาแล้วพูดขึ้น
หนวดของเย้เทาปลิวออก เจอคนที่ไม่มีเหตุผลอย่างนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ ทำให้คนเป็นบ้าได้จริง ๆ
ทว่า ความจริงบางคนในวังมารนิรยมีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดจริง ส่วนใหญ่ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ในการควบคุมของสมาชิกตำหนักวิญญาณ แต่อาจเกิดสมาชิกวังมารนิรยได้ทำสัญญาวิญญาณกับดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิในป่าก็ได้
“มารนิรยขาวตัวนั้นพิเศษมาก ให้เขาอัญเชิญออกมา ข้าจะตรวจดู ข้าอยากรู้ตัวตนของมารนิรยขาวตัวนั้น !!!”ท่านอาวุโสเย้เทาบอก
“ข้าบอกว่า สมมติได้พิสูจน์ตัวตนแล้วละ” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อถาม
“ก็ต้องเก็บกลับมา !” เย้เทาพูดด้วยความถูกต้อง
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
“อะไรเป็นไปไม่ได้ เจ้าเด็กไร้ชื่อเอามารนิรยขาวที่ถูกวังมารนิรยควบคุมเข้มงวดไป เดิมควรจะต้องประหารชีวิต ยิ่งกว่านั้น…” เย้เทาพูดถึงตรงนี้ ก็หยุดลงกะทันหัน เปลี่ยนเรื่องแล้วพูดว่า “อย่างไรก็ตาม เจ้าให้เจ้าเด็กนั่นออกมา”
“เด็กไร้ชื่องั้นหรือ เจ้าแก่ อย่าคิดว่า เจ้าเป็นหนึ่งในสี่ที่นั่งจะทำอะไรก็ได้ บอกเจ้าก็ไม่เป็นไร ชู่เฉิงเป็นนายท่านที่สิบของตำหนักวิญญาณในอนาคต” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อพูดพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น
“นายท่านที่สิบ ตำหนักวิญญาณของพวกเจ้ามีนายท่านที่สิบตั้งแต่เมื่อไร บุตรของท่านอาวุโสคนใด” เย้เทาอึ้งเล็กน้อย ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่บัตรของท่านอาวุโส” นักวิญญาณเฒ่าเต๋อบอก
“ไม่ใช่บุตรของท่านอาวุโส แล้วคือ…” เย้เทาพูดไป เสียงเบาลงอย่างมาก จับจ้องไปยังนักวิญญาณเฒ่าเต๋อ “เขา… เขาเป็นบุตรชายของท่านหญิงตำหนักวิญญาณของพวกเจ้า !!!”
ชู่มู่แทบไม่สามารถเก็บความดีใจเอาไว้ได้ ความตื่นเต้นที่มีต่อการแปรเปลี่ยนตระกูลเป็นจักรพรรดิสมบูรณ์แบบนั้นทวีคูณมากขึ้น !!!
“ชู่มู่ !!!”
“อู อู อู !!!”
“เนี๊ย !!!”
“โฮร่ โฮร่ โฮร่ !!!”
ทันใดนั้น เสียงอูอีดังขึ้น เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของเย้ชิงจือ มั่วเย้ ปีศาจขาวและจั้นเย้
ชู่มู่แอบดีใจ ท่าทางพวกเขารู้ว่า ตัวเองกำลังจะทลายความสามารถแล้ว กำลังดีใจเพื่อตัวเอง แต่น่าแปลกใจตรงที่ว่า ทำไมเสียงของพวกเขาฟังดูรีบร้อนแบบนั้น
และแล้ววินาทีที่ลืมตาขึ้น ชู่มู่ตกใจทันที เข้าใจแล้วว่า ทำไมเสียงร้องของเย้ชิงจือกับเหล่าดวงวิญญาณถึงแหลมแบบนั้น !
ชู่มู่ไม่คิดว่า จะเห็นฉากนี้ของปีศาจขาว ผู้คุมดวงวิญญาณพิการสองคนนั้นยังมีโอกาสโต้ตอบได้
เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่สะท้อนเข้าตาเขาคือ ปีศาจภูเขาน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยเกราะน้ำแข็งทั้งตัว กรงเล็บที่เพียงพอจะสลายภูเขาทั้งแห่งนั้นยกขึ้น กลายเป็นพลังน้ำแข็งแข็งแกร่งยิ่งจนก่อเป็นมิติแช่แข็งบางอย่าง ฟาดลงอย่างแรง !
ขนาดตัวของอสูรหลังคาน้ำแข็งใหญ่มาก แต่ความเร็วในการโจมตีกลับไม่ช้า หลังจากยกขึ้น กรงเล็บยักษ์นั้นได้ฟาดลงทันที !!!
ในตอนนี้ สิ่งที่กำลังทดสอบคือ จิตของชู่มู่ ถ้าเป็นคนปกติ ลืมตาเห็นกรงเล็บยักษ์ที่บุกเข้ามา จะต้องกลัวจนสมองว่างเปล่าแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร่ายคาถาต้านทาน
และในตอนที่ชู่มู่ลืมตาขึ้นได้ทำการโต้ตอบด้วยสัญชาตญาณทันที ร่ายคาถาเงาปีศาจสลับตำแหน่ง !
ในตอนแรกสุดที่ชู่มู่ใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งนั้น ต้องใช้เวลาร่ายคาถาหนึ่งวินาที แต่ตามที่ร่ายวิญญาณของชู่มู่แข็งแกร่งขึ้นและมีความคล่องแคล่วของทักษะมากขึ้น ทักษะหลบซ่อนนี้แทบจะกลายเป็นว่า ชู่มู่คิดจะเคลื่อนที่ก็ปล่อยออกมาได้ !
สิ่งที่สำคัญที่สุดของทักษะหลบคือ ความเร็วในการปล่อยและความเร็วในการโต้ตอบ ในตอนที่กรงเล็บภูเขาน้ำแข็งฟาดลง ไฟปีศาจลุกโชนขึ้น แผดเผาร่างของชู่มู่อย่างรวดเร็ว…
กรงเล็บของอสูรหลังคาน้ำแข็งใหญ่กว่าชู่มู่หลายเท่าตัว การปกคลุมแบบนี้ แทบไม่มีใครเห็นไฟปีศาจสลับตำแหน่งที่พุ่งขึ้นจากตัวชู่มู่
กรงเล็บน้ำแข็งฟาดลง เย้ชิงจือกลัวจนเสียโฉมทันที ปิดปาก น้ำตาจะไหลออกมาแล้ว
ส่วนซิงหยางกับเจียงอี้เถิงที่ทำทุกวิธีทางเพื่อฆ่าชู่มู่ ใบหน้าซีดขาวของพวกเขากลับฉีกยิ้มได้ใจออกมาพร้อมกัน
ชัยชนะในตอนท้ายสุด ยังคงเป็นของพวกเขา ! ไม่ว่าวิญญาณของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บมากเท่าไร เพียงแค่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายยังคงปรับตัวได้
ส่วนชู่มู่ จะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล !
ผลของเสียงระเบิดได้จางหายไปแล้ว เหล่าผู้ชมที่อยู่บนฟ้าได้เห็นกรงเล็บภูเขาน้ำแข็งตะบบลงบนตัวชู่มู่กับตา ส่วนร่างกายของชู่มุ่ถูกทับจนแบนทันที !
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้…” ซ่างเหิงมองไปยังกรงเล็บยักษ์นั้นอย่างเหลือเชื่อ
“ประมาทเกินไป…ประมาทเกินไปแล้ว…” หลัวปิงเองก็พูดอย่างเหลือเชื่อ
ผู้คนของตำหนักวิญญาณต่างเสียขวัญ ผลแบบนี้เกินกว่าที่ผู้คนคาดไว้ !
ส่วนหลีเหิงกลับมีท่าทีใจเย็นกว่าเยอะ ร่ายวิญญาณของเขาสูงที่สุด เขาเป็นคนเดียวที่เห็นไฟปีศาจลุกโชนขึ้นภายใต้กรงเล็บน้ำแข็งกะทันหัน !
ไฟปีศาจแบบนี้ คือทักษะหลบซ่อนแข็งแกร่งของมารนิรยขาว เงาปีศาจสลับตำแหน่ง
แม้หลีเหิงยากที่จะเชื่อว่าชู่มู่จะปล่อยทักษะนี้สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น แต่เขาจับจ้องไปยังสนามต่อสู้ด้วยความนิ่งกว่าคนอื่น เขากำลังตามหา…ตามหาตำแหน่งอีกอันที่ไฟปีศาจลุกโชนขึ้น !
และแล้ว บริเวณสันหลังของอสูรหลังคาน้ำแข็ง เกิดคลื่นไฟปีศาจสีขาวบางอย่าง ตามด้วยไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่ลุกโชนขึ้น ท่ามกลางเปลวไฟร้อนระอุ ได้เห็นชู่มู่ชุดดำยืนอยู่ด้านหลังอสูรหลังคาน้ำแข็งอย่างลึกลับ !
คนที่อยู่ท่ามกลางไฟปีศาจคือชู่มู่ หลังจากเห็นชู่มู่ปล่อยทักษะหลบอสูรหลังคาน้ำแข็งสำเร็จ หลีเหิงเองก็วางใจได้ ทว่า เขาพบว่ามือที่มีไฟปีศาจลุกโชนอยู่ของชู่มู่ได้ยื่นเข้าไปในหลังของอสูรหลังคาน้ำแข็ง !
ดับดวงใจ !!!
หลีเหิงเคยเห็นทักษะวิญญาณนี้ของชู่มู่ ในตอนนั้นเขาได้ใช้ทักษะวิญญาณนี้ฆ่าอสูรเหวเลือดของเซิ่นอีเฉิงในเสี้ยววินาที !!!
ชู่มู่ทำทุกอย่างรวดเร็วอย่างมาก เจ้าวิญญาณเจ็ดร่าย ทำให้ชู่มูปล่อยทักษะได้คล่องแคล่วกว่าเดิม อีกทั้งมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น !
…
“บึ้ง !!!”
เสียงระเบิดออก !
ชู่มู่บีบผลึกเครื่องในที่ควักออกจากร่างของอสูรหลังคาน้ำแข็งด้วยมือเดียว !!!
อสูรหลังคาน้ำแข็งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากก้อนน้ำแข็งนับไม่ถ้วน หลังจากผลึกเครื่องในที่เหมือนหัวใจของมนุษย์แตกกระจาย พลังชีวิตลดลงทันที !
ปราศจากแหล่งพลังชีวิตจากผลึกเครื่องใน อสูรหลังคาน้ำแข็งเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่สูญเสียชั้นโครงสร้าง เริ่มถล่มลงมาแล้ว !!!
“โครม !!!”
การตายของอสูรหลังคาน้ำแข็งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก ในตอนที่คนทั้งหมดยังจมอยู่กับความตายของชู่มู่ เสียงถล่มของอสูรหลังคาน้ำแข็งทำให้พวกเขาตื่นตัว…
ก้อนน้ำแข็งกระแทกบนพื้นต่อเนื่อง แตกสลาย แล้วละลายหายไป
และท่ามกลางเศษน้ำแข็งสีขาวนี้ สามารถมองเห็นเงาสีดำได้ ยืนอยู่ท่ามกลางศพของอสูรหลังคาน้ำแข็งนี้อย่างเด็ดเดี่ยว ท่ามกลางนัยน์ตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ลึกลับ เยือกเย็น ทำให้สะเทือนใจอย่างมาก !
“พระเจ้า เขายังไม่ตาย !!!”
“ชู่มู่ยังไม่ตาย แต่อสูรหลังคาน้ำแข็งตายแล้ว !!!”
ชู่มู่อยู่ในเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายแล้ว ในสนามนอกจากหลีเหิงแล้วแทบไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของชู่มู่ คนทั้งหมดต่างนิ่งอึ้ง !!!
…
ชู่มู่เดินออกจากเศษน้ำแข็งนับไม่ถ้วน
เขามองไปยังเย้ชิงจือ ฉีกยิ้มออกมาบนใบหน้าเยือกเย็น
เย้ชิงจือยิ้มด้วยน้ำตา พอเช็ดน้ำตาแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้ได้ไหม”
ชู่มู่แค่ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าทลายถึงเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายแล้ว”
เย้ชิงจือไม่รู้ว่า ทำไมชู่มู่จำต้องทลายถึงเจ้าวิญญาณร่ายเจ็ดให้ได้ ในตอนนี้ได้ปรับอารมณ์ พูดกับชู่มู่อย่างจริงจังว่า “จัดการพวกเขาก่อนเถอะ มิฉะนั้นฉิงเย้ปรากฏตัว พวกเราจะมีปัญหาอีก”
“คึคึ กลัวว่าเขาจะไม่มามากกว่า” ชู่มู่ยิ้มอย่างลึกลับ
ฉิงเย้ไม่มา แล้วใครจะกระตุ้นให้มั่วเย้แปรเปลี่ยนตระกูล
หลังจากเย้ชิงจือรู้ว่าชู่มู่ฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร ก็ได้ยิ้มอย่างไม่เข้าใจ พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ เจ็ดร่ายสำคัญกับเจ้าขนาดนั้นเหรอ”
“อีกไม่นานเจ้าจะรู้” ชู่มู่บอก
ในตอนที่ชู่มู่กับเย้ชิงจือกำลังยิ้มหัวเราะกัน เจียงอี้เถิงกับซิงหยางทั้งสองคนแถบจะพ่นเลือด !
เจ้านี่ไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย ยังมีอารมณ์คุยเล่นกับผู้หญิงอยู่ตรงนั้น รู้ว่าทั้งสองคนได้ใช้แรงทั้งหมดของดวงวิญญาณเพื่อฆ่าชู่มู่ !
“เนี๊ย !!! !”
เวลาสิบวินาทีได้จบลงแล้วในที่สุด ไฟปีศาจเก้าวิญญาณในร่างกายของปีศาจขาวได้แผดเผาภูตร้ายให้เป็นเถ้าถ่านแล้ว ใบหน้าของซิงหยางกระตุกรุนแรงอีกครั้ง แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว !
หลังจากปีศาจขาวคลายผลึกแล้ว กลิ่นไอไฟปีศาจวิญญาณรุนแรงได้พัดพาไปทั่วทั้งภูเขาหลักเวหาอมตะ พลังกระตุ้นวิญญาณนี้ราวกับวิญญาณปีศาจนับร้อยพัน เต็มไปด้วยความแค้นของปีศาจขาว พัดพาไปยังเจียงอี้เถิงและซิงหยาง !
“ปีศาจขาว ฆ่าดวงวิญญาณของพวกเขา !” ชู่มู่ออกคำสั่งต่อปีศาจขาว !
ชู่มู่หวังอย่างมากว่า มั่วเย้จะแปรเปลี่ยนตระกูล แต่คู่ต่อสู้อย่างเจียงอี้เถิงและซิงหยาง แทบไม่ต้องให้มั่วเย้ที่แปรเปลี่ยนมาจัดการ ยิ่งไปกว่านั้น ดวงวิญญาณของสองคนนี้ในตอนนี้พ่ายแพ้แล้ว ไม่พอที่จะกระตุ้นให้มั่วเย้แปรเปลี่ยน !
คิดจะแปรเปลี่ยน ชู่มู่จะต้องเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่านี้ !
…
ปีศาจขาวที่เต็มไปด้วยความโกรธดุร้ายยิ่งกว่าเดิม เจียงอี้เถิงกับซิงหยางเหลือดวงวิญญาณแค่ตัวเดียว
ในไม่ช้า ปีศาจขาวได้เล็งไปยังสิงโตงูสายฟ้า ปีศาจปรากฏตรงหน้าพวกมันทันที กรงเล็บปีศาจยื่นเข้าไปในร่างกายของสิงโตงูสายฟ้า ฉีกร่างของมันออกโดยตรง !!!
“ซ่า”
“ซ่า”
สิงโตงูสายฟ้าแทบไม่มีแรงต้านทาน ลำตัวสีม่วงนี้ถูกปีศาจขาวฉีกออกเป็นหลายชิ้นอย่างรุนแรง ท้ายสุด แม้แต่ศพยังถูกปีศาจขาวเผาจนไม่เหลือชิ้นดี !
สิงโตงูสายฟ้าตายลง ทำให้ญาณสี่ของเจียงอี้เถิงได้รับบาดเจ็บสาหัส การบาดเจ็บนี้เป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างมาก และเขาในตอนนี้ได้คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่เพียงแต่สีหน้าซีดขาว ผิวไม่มีเลือดแม้แต่น้อย
แต่วิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เขาดูอ่อนแออย่างมาก พลังชีวิตกำลังลดลง อีกทั้งเพียงแค่ถูกดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งโจมตี เจียงอี้เถิงจะขาดวิญญาณตายแน่นอน!
ซิงหยางก็ไม่ดีเท่าไร หลังจากดวงวิญญาณที่สี่ของเขาถูกปีศาจขาวฆ่าตายแล้ว ล้มลงบนพื้นเช่นกัน…
มองจากบนฟ้าลงมา สามารถมองเห็นท่าทีอ่อนแอจนเกือบตายของทั้งสองคนนี้ได้
จนถึงตอนนี้ เหล่าผู้เข้าแข่งขันของวังมารนิรยยังไม่กล้าที่จะเชื่อว่า ผู้เข้าแข่งขันสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรยจะพ่ายแพ้อนาถแบบนี้ !!!
เหล่าผู้เข้าแข่งขันของวังมารนิรยพูดไม่ออกตั้งนานแล้ว และหลังจากสถานการณ์คงที่แล้ว เหล่าผู้เข้าแข่งขันของตำหนักวิญญาณได้ฉีกยิ้มออกมา แต่ว่ามองออกได้ว่ารอยยิ้มของเขาประหลาด…
ถ้าบอกว่า ชู่มู่ได้ใช้ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดเอาชนะสองคนนี้ พวกเขาจะส่งเสียงร้องดังขึ้นแน่นอน อีกทั้งยังให้ชู่มู่เป็นวีรบุรุษของตำหนักวิญญาณ…
แต่ชู่มู่กลับใช้มารนิรย อีกทั้งยังเป็นมารนิรยขาวที่ชั่วร้ายยิ่งตัวหนึ่ง นับว่าการนำชัยชนะมาให้ตำหนักวิญญาณของชู่มู่ไม่สะเทือนใจเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวชู่มู่
…
“แหวนนักโทษ ส่งออกมาเถอะ” ชู่มู่ที่สวมชุดดำเหมือนยมทูตควบคุมชะตาชีวิต ยืนอยู่ตรงหน้าผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยสองคน พูดด้วยน้ำเสียงสั่ง
เจียงอี้เถิงกับซิงหยางเคยทนต่อความพ่ายแพ้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ในสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอับอายอย่างที่สุด อีกทั้งยังมีความแค้นต่อชู่มู่
“ข้าจะไม่พูดครั้งที่สาม ส่งแหวนนักโทษออกมา !” ชู่มู่บอก !
ในที่สุด เจียงอี้เถิงกับซิงหยางยังคงส่งแหวนนักโทษของพวกเขาออกมา อย่างไรก็ตาม ความจริงที่พ่ายแพ้ก็อยู่ตรงหน้า ต่อให้พวกเขารู้สึกอับอายมากเพียงใดก็ตาม !
รวมแหวนนักโทษของเจียงอี้เถิงและซิงหยางแล้วเป็นทั้งหมดเจ็ดพันห้าร้อยล้าน บวกกับหกพันห้าร้อยล้านของชู่มู่เอง ในด่านที่แปด ชู่มู่ได้เงินทุนทั้งหมดหนึ่
หมื่นสี่พันล้านแล้ว
หนึ่งหมื่นสี่พันล้านนี้ซื้อเกราะวิญญาณขั้นเก้าเกือบสามตัวได้ ให้ดวงวิญญาณของตัวเองได้สวมชุดนี้ได้ อีกทั้งยังนำเงินนี้สร้างจักรพรรดิขั้นสูงได้ เพื่อให้ความสามารถของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างมาก !!!
บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองอย่างหลิงเหอเองก็มีแค่เกราะวิญญาณมูลค่า ห้าพันล้านเท่านั้น เพียงแค่ชู่มู่ใช้หนึ่งหมื่นสี่พันล้านนี้จนหมดไป จะเป็นคนที่ไร้เทียมทานในขั้นสองนี้ ได้เกียรติสุดท้ายอย่างง่ายดาย !
พลังของมารนิรยฟ้าที่เข้ามาไม่มากเท่าไร อีกทั้งยังอ่อนกว่าพลังก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด แต่พลังวิญญาณทั้งสามพุ่งเข้ามาต่อเนื่อง พลังกระทบของมันเพียงพอที่จะถึงจุดสูงสุดได้
ชู่มู่ในตอนนี้จำต้องควบคุมวินาทีที่พลังกระทบแรงที่สุดให้ได้ ให้ความสามารถพุ่งขึ้นในครั้งเดียว
พลังวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ในร่างของชู่มู่ ชู่มู่เริ่มใช้ร่ายวิญญาณบีบวิญญาณเหล่านี้เข้าไปในวิญญาณของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
แต่ว่า พลังทั้งหมดนี้มาจากมารนิรย เดิมพลังวิญญาณของมารนิรยก็เต็มไปด้วยความร้อนแล้ว หลังจากที่พลังวิญญาณทั้งสามนี้เข้ามา ก็ได้นำผลด้านลบเข้ามายังวิญญาณของชู่มู่ด้วย นั่นคืออุณหภูมิสูงอันน่ากลัว !
เดิมวิญญาณของชู่มู่ในตอนนี้ก็อยู่ในภาวะที่อุณหภูมิสูงมากแล้ว พลังวิญญาณของมารนิรยที่พุ่งเข้ามาถือเป็นการใช้น้ำมันดับไฟ !
มารนิรยขาวได้กลืนกินมารนิรยทั้งสามชนิด โลกวิญญาณของชู่มู่ มีไฟปีศาจสีเขียว ไฟปีศาจสีฟ้า และไฟปีศาจสีขาวอยู่ ไฟปีศาจทั้งสามไขว้กัน ก่อให้เกิดผลการแผดเผาทวีคูณขึ้น…
ส่วนชู่มู่ยิ่งนำพลังวิญญาณของมารนิรยเข้ามามากเท่าไร ไฟยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น ราวกับฝันร้าย ทั้งโลกนี้เต็มไปด้วยไฟปีศาจเหล่านี้
โลกวิญญาณของชู่มู่เหมือนเป็นนรกที่เต็มไปด้วยไฟปีศาจ ต่อให้วิญญาณของเขาเป็นผู้คุมทั้งนรกนี้ แต่ก็เป็นนักโทษในนรกขุมนี้เช่นกัน เต็มไปด้วยความทรมาน ไม่เผาวิญญาณจนสิ้นซาก ไม่ก็หล่อหลอมให้มันแข็งแกร่งขึ้น แต่น้ำแข็งกับไฟกลับเข้ากันไม่ได้ !
ชู่มู่ดูเหมือนนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนนั่งสมาธิอย่างสงบ แต่ระหว่างขั้นตอนที่ทำลายเจ็ดร่ายนี้ ชู่มู่จะต้องนำพลังวิญญาณทั้งหมดมาให้กับวิญญาณของตัวเอง ยิ่งนำเข้ามามากเท่าไร อุณหภูมิของวิญญาณยิ่งสูงเท่านั้น ความเจ็บปวดยิ่งรุนแรงเท่านั้น…
แต่ว่าไม่ว่าจะทรมานมากเพียงใด ร้อนเท่าไร ชู่มู่ก็จะทนต่อการดูดซึมพลังทั้งหมด มิฉะนั้น ทั้งหมดที่ทำมาจะเสียเปล่าหมด !
“อีกนิดเดียว !!! อีกแค่นิดเดียว ถ้ามีพลังวิญญาณอีกนิด…” ชู่มู่คิดในใจ
ในตอนที่ชู่มู่ต้องทนต่อความเจ็บปวดมากที่สุดของอุณหภูมิสูง กลับพบว่า ยังขาดพลังวิญญาณอีกเล็กน้อย วินาทีนี้ชู่มู่กลับเป็นทุกข์อย่างมาก หรือว่าครั้งนี้จะทะลุข้ามขั้นไม่สำเร็จเหรอ
ไม่สำเร็จเท่ากับว่าต้องรออีกหนึ่งถึงสองเดือน ชู่มู่ไม่มีเวลามากขนาดนั้น…
…
“ดวงตาของชู่มู่กำลังลุกโชน…” ถิงหลันปิดปาก มองไปยังชู่มู่ด้วยความอึ้ง
ชู่มู่กำลังหลับตาลง แต่ต่อให้หลับตาก็สัมผัสได้ถึงเปลวไฟที่ล้นออกจากดวงตาของเขา และเขามองดูเหมือนรูปปั้นที่กำลังถูกหลอม !
ซ่างเหิงกับหลีเหิงต่างมองไปยังชู่มู่ด้วยความกังวล ปรากฏการณ์นี้ประหลาดอย่างมาก เหมือนถูกมารนิรยเข้าสิง…
เหล่าผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยต่างมองไปยังท่าทีของชู่มู่ด้วยความอึ้ง ในตอนที่มารนิรยไม่สามารถควบคุมการกลืนกินเจ้าของ ไฟปีศาจจะแผดเผาร่างกายของเจ้าของ
สถานการณ์ของชู่มู่ในตอนนี้เหมือนมารนิรยกำลังกลืนกินวิญญาณของเขา !!!
“เจียงอี้เถิง…ดวงวิญญาณของพวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมารนิรยขาวตัวนั้น ล้มเลิกเถอะ…” ซิงหยางมองไปยังโอรสน้อยของวังมารนิรยด้วยใบหน้าซีดขาว
ใบหน้าของเจียงอี้เถิงกระตุกต่อเนื่อง ตอนที่เห็นไฟปีศาจแผดเผาทั่วร่างชู่มู่ ใบหน้าซีดขาวยางของเขากลับเผยรอยยิ้มน่าเกลียดออกมา ท่ามกลางรอยยิ้มนี้ยังเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งอันตื่นเต้น !
“ฮะฮะฮะ เขาเล่นกับไฟเอง ! กลืนกินมารนิรยมาเยอะขนาดนี้ พลังวิญญาณกลับแผดเผาวิญญาณของเขาเอง วิญญาณของเขาอ่อนแอเกินไป ทนต่อพลังนี้ไม่ได้แล้ว !!!” เจียงอี้เถิงหัวเราะพร้อมพูดขึ้น
“แม้จะบอกแบบนั้น แต่ดวงวิญญาณของพวกเรา…” ซิงหยางเสียไปสองญาณแล้ว ส่วนปีศาจขาวของชู่มู่ได้ครองทั้งสนามนี้ ถ้าทนต่อไป ดวงวิญญาณทั้งหมดของพวกเขาจะถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีแน่นอน
“หรือว่าเจ้าคิดจะยอมแพ้ หึหึ ต่อให้สี่ญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าก็จะไม่ทำเรื่องแบบนี้ เขาในตอนนี้คลุ้มคลั่งแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะฆ่าเขา !” เจียงอี้เถิงบอก
เจียงอี้เถิงไม่ใช่คนที่จะร้องขอให้คนอื่นช่วยเหลือ ยอมเสียชีพแต่จะไม่เสียศักดิ์ นี่คือกฎของเขา ชู่มู่ฆ่ามารนิรยแข็งแกร่งที่สุดของเขา ดังนั้น ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็ต้องฆ่าชู่มู่ให้ได้ !
ซิงหยางกัดฟันแน่นด้วยความแค้น การต่อสู้กลายเป็นแบบนี้ก็เกินกว่าที่ซิงหยางคาดเอาไว้ เป็นถึงผู้แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย เขาก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง ในเมื่อเจียงอี้เถิงคิดจะใช้พลังทั้งหมดฆ่าชู่มู่ให้ตาย ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากหลบ ๆ ซ่อน ๆ คนของวังมารนิรยเตรียมใจที่จะตายทุกเมื่อตั้งแต่ฝึกแล้ว !
“ภูตร้ายของข้ามีพลังแผดเผาชิงวิญญาณ สามารถควบคุมมารนิรยขาวของเขาไม่ให้ปล่อยทักษะในสิบวินาทีได้ เวลาสิบวินาทีนี้ เจ้าฆ่าเขาได้ไหม” ซิงหยางถาม
“ได้ !” เจียงอี้เถิงแค่ตอบออกมาอย่างเยือกเย็น
ภูตร้ายของซิงหยาง มีพรสวรรค์มืดที่ผิดปกติ มันสามารถแผดเผาชีวิตและทำการชิงวิญญาณของดวงวิญญาณได้ !
แน่นอนว่า สำหรับดวงวิญญาณที่ความสามารถอ่อนกว่าสามขั้นแล้ว ภูตร้ายของซิงหยางถือว่าอ่อนกว่าปีศาจขาวของชู่มู่ถึงสามขั้น ปล่อยทักษะนี้ออกมา ทันทีที่ภูตร้ายเข้าไปในร่างกายของปีศาจขาว เท่ากับได้กระโดดเข้ากองไฟ จะถูกปีศาจขาวแผดเผาจนสิ้นซากในสิบวินาทีแน่นอน !
ภูตร้ายเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ซ่อนตัวในเงามืดได้ เล็งไปยังปีศาจขาวของชู่มู่อย่างรวดเร็ว อาศัยตอนที่ปีศาจขาวถูกอสูรหลังคาน้ำแข็งควบคุมเอาไว้ กลายร่างเป็นเงา พุ่งเข้าไปในเงาของปีศาจขาว !
“เนี๊ย !!!” ปีศาจขาวสังเกตบางอย่างพุ่งเข้ามาในร่างกายของตัวเองทันที ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธ
ปีศาจขาวคิดจะใช้ไฟปีศาจเก้าวิญญาณในร่างกายของตัวเองแผดเผาสิ่งที่รนหาที่ตายนี้ และแล้วในตอนที่มันจุดไฟจากด้านใน กลับสัมผัสบางอย่างที่กำลังขีดขวาง ทำให้มันไม่สามารถควบคุมไฟปีศาจในร่างกายของตัวเอง !
“เนี๊ย !!!” ปีศาจขาวโกรธยิ่งขึ้น
มันไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน อีกทั้งชู่มู่อยู่ในภาวะที่กำลังจะทลายร่ายวิญญาณ จะบอกวิธีแก้ให้ปีศาจขาวก็ไม่ได้ ทำได้แค่ปล่อยให้สิ่งประหลาดนี้ควบคุมร่างของมันเอาไว้
“สำเร็จแล้ว ต้องฆ่าเขาให้ได้ เพื่อแก้แค้นให้ดวงวิญญาณของพวกเรา !” ซิงหยางพูดพร้อมรอยยิ้มฝืน !
เจียงอี้เถิงพยักหน้า ออกคำสั่งต่อสิงโตงูสายฟ้ากะทันหัน !!!
ระเบิดเสียงสายฟ้าฟาด !
ทักษะกลุ่มแข็งแกร่งที่สุดของสิงโตงูสายฟ้า ผ่านเสียงของฟ้าผ่า สร้างทักษะคลื่นเสียงแข็งแกร่งยิ่งเข้าไปในวิญญาณ ถ้าศัตรูไม่มีการป้องกันไว้ จะถูกเสียงนี้ทิ่มแทงแน่นอน !
พลังของระเบิดเสียงสายฟ้าฟาดน่ากลัวอย่างมาก ระหว่างที่สิงโตงูสายฟ้าปล่อยทักษะออกมา แก้วหูจะแตกออก หู จมูก ดวงตาต่างมีเลือดไหลออกมา !
เห็นได้ชัดมากว่า นี่เป็นทักษะสลายตัวเองที่แข็งแกร่งอย่างมาก !
หลังจากสิงโตงูสายฟ้าปล่อยทักษะนี้ออกมา ดวงวิญญาณของชู่มู่กับเย้ชิงตือต่างได้รับบาดเจ็บจากเสียงสะเทือนนี้
เสียงสะเทือนนี้จะไม่ทำให้ดวงวิญญาณกับผู้คุมดวงวิญญาณได้รับบาดเจ็บ แต่ว่ากลับสร้างความเจ็บปวดกับแก้วหูจนทำให้ดวงวิญญาณหมดสติได้
“ปิ”
บนฟ้าห้าร้อยเมตร ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดต่างปิดหูของพวกเขาเอาไว้ ผู้คุมดวงวิญญาณที่มีร่ายวิญญาณค่อนข้างต่ำกลับสะเทือนจนแก้วหูแตก เลือดไหลออก
ดวงวิญญาณที่ไม่สามารถทนต่อการโจมตีของคลื่นเสียงนี้ได้โห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังมีดวงวิญญาณที่มีพลังอดทนน้อยกว่าตกลงจากฟ้า ถ้าไม่มีผู้เฝ้าช่วยเหลือไว้ เกรงว่าคงตกลงมาจนตัวสลาย !
“อสูรหลังคาน้ำแข็ง ฆ่าเขาซะ !!!” เจียงอี้เถิงออกคำสั่ง
อสูรหลังคาน้ำแข็งทำการป้องกันวิญญาณไว้ตั้งนานแล้ว การโจมตีระเบิดเสียงที่มันได้รับอ่อนลงมาก
“โฮร่ โฮร่ !!!”
อสูรหลังคาน้ำแข็งเหวี่ยงแขนยาว ฟาดไปยังมั่วเย้และอสูรนกสวนสงครามที่ขวางอยู่ด้านหน้าเขาอย่างแรง ก้าวเท้าหนักหน่วงออก ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่เคลื่อนที่ได้ พุ่งชนไปยังตำแหน่งที่ชู่มู่อยู่ !
อสูรหลังคาน้ำแข็งอยู่ในลักษณะเก้าชั้นยอด ในสนามต่อสู้นอกจากปีศาจขาวที่รับมือได้ ดวงวิญญาณอื่นทำได้แค่รั้งเอาไว้ ยากที่จะต่อต้านกับมันได้ ในตอนนี้ ดวงวิญญาณทั้งหมดจะต้องทนต่อเสียงระเบิดสะเทือนที่พุ่งเข้ามากะทันหัน ยิ่งยากที่จะทำการโต้ตอบได้
“บึ้ง !!! บึ้ง !!! บึ้ง !!!”
หลังจากอสูรหลังคาน้ำแข็งชนดวงวิญญาณสองตัวต่อเนื่องแล้ว กระโดดขึ้นทันที ลำตัวภูเขาน้ำแข็งกลับกระโดดไกลร้อยกว่าเมตร เหยียบลงตำแหน่งที่ห่างจากชู่มู่เพียงยี่สิบเมตร !
ระยะห่างแบบนี้ เพียงแค่อสูรหลังคาน้ำแข็งยกแขนก็ทำให้ชู่มู่ได้รับอันตรายถึงชีวิตแล้ว…
เย้ชิงจือปิดหูเอาไว้ พลังเสียงระเบิดสะเทือนสติของเธอ ทำให้สายตาของเธอสั่นอย่างรุนแรง
และแล้ว ที่ทำให้เธอหวาดหวั่นคือ อสูรหลังคาน้ำแข็งปรากฏตรงหน้าชู่มู่แล้ว
ชู่มู่ไม่มีการป้องกันใด ๆ ทันทีที่ถูกอสูรหลังคาน้ำแข็งโจมตี จะต้องตายลงอย่างแน่นอน !
สถานการณ์ของชู่มู่ในตอนนี้อันตรายอย่างมาก !
เย้ชิงจือคิดจะปล่อยร่ายวิญญาณ แต่เธอในตอนนี้แม้แต่รวมจิตยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร่ายคาถา เธอที่ใจร้อนก็ไม่รู้จะช่วยชู่มู่อย่างไร !
“ชู่มู่ ตื่นเร็ว !!!” เย้ชิงจือบังคับให้ร่ายวิญญาณรวมเป็นเสียง ส่งเข้าหูของชู่มู่
ถ้าช้ากว่าหน่อย ชู่มู่จะถูกฆ่าตายจริง ๆ !!!
พื้นดินกำลังสั่นสะเทือน แต่ชู่มู่ที่นั่งอยู่กลับไม่โต้ตอบใด ๆ !
…
ตอนที่ชู่มู่ชำระวิญญาณของตัวเอง ขาดพลังวิญญาณเล็กน้อย นี่ทำให้ชู่มู่เป็นทุกข์อย่างมาก
ครั้งนี้ไม่สามารถสำเร็จได้ จะต้องรออีกนาน !
ในตอนที่แม้แต่ชู่มู่เองไม่รู้จะทำอย่างไร คลื่นเสียงบางอย่างทะลุแก้วหูของเขา เข้าสู่วิญญาณของเขา !
เมื่อเทียบกับการแผดเผาของไฟปีศาจวิญญาณ เสียงเจ็บปวดนี้กลับอ่อนอย่างมาก…
แต่ว่าชู่มู่ที่ถูกโจมตีในตอนนี้กลับดีใจอย่างมาก !
การโจมตีของเสียงนี้มีพลังชำระวิญญาณ วิญญาณของชู่มู่ในตอนนี้ได้หยุดลงในจุดสูงสุด และการชำระล้างวิญญาณนี้กลับกลายเป็นแรงเสริม ในการชี้นำของร่ายวิญญาณแข็งแกร่งของเจ้าวิญญาณหกร่าย กลับทำให้วิญญาณของชู่มู่ทลายข้ามขั้นไปได้ เข้าสู่ระดับเจ้าวิญญาณเจ็ดร่าย !!!
ชู่มู่ไม่รู้ว่า ทักษะนี้มาจากที่ใด แต่เขาอยากจะขอบคุณผู้ปล่อยนั้นจากใจจริง ที่มอบพลังนี้มาให้ ในตอนที่เขาต้องการชำระวิญญาณมากที่สุด !
เจ็ดร่าย เข้าสู่เข้าวิญญาณร่ายสูง นี่เป็นการกระโดดข้ามร่ายวิญญาณอันเล็กน้อย !!!
ร่ายวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น พลังวิญญาณเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มสัญญาวิญญาณอีกอันได้ นี่ก็ตื่นเต้นมากพอแล้ว
ที่สำคัญที่สุดคือ ครบเงื่อนไขการแปรเปลี่ยนของมั่วเย้แล้ว !!!
เพียงแค่ให้มั่วเย้กระตุ้นอีกเล็กน้อย มั่วเย้ระดับเทียบเท่าราชันจะปรากฏตัวอย่างสง่าแน่นอน !!!
การกลืนกินของปีศาจขาวไม่ได้จบลงด้วยวิญญาณของซือที่หายไป !
ในไม่ช้า ดวงตาของปีศาจขาวเล็งไปยังมารนิรยอีกสองตัวของเจียงอี้เถิงและซิงหยาง !
มารนิรยสองตัวนี้กลับดูเล็กน้อยมากเมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจขาว ในตอนที่ปีศาจขาวใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่งปรากฏตัวต่อหน้ามารนิรยขาวอีกตัวหนึ่ง มันถูกกำหนดว่า ต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยของปีศาจขาวแล้ว
แทบไม่ต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือด อาศัยความบ้าคลั่งของจักรพรรดิขั้นสูง ปีศาจขาวจับตัวมารนิรยขาวนี้เอาไว้ ทำการกลืนกินวิญญาณอีกครั้ง เข้าไปในร่างของมารนิรยขาวตัวนี้ !
ความเร็วของการกลืนกินวิญญาณในครั้งนี้รวดเร็วมากขึ้น ผู้คนทั้งหมดได้เห็นมารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นสูงอีกตัวหนึ่งถูกปีศาจขาวกลืนกินอีกครั้ง
ตามที่มารนิรยขาวตัวที่สองของเจียงอี้เถิงถูกกลืนกิน ไฟปีศาจบนตัวปีศาจขาวกลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ไฟปีศาจเก้าวิญญาณอันเย็นเยียบนี้ทำให้รู้สึกขนลุกอย่างมาก !
ความสามารถเพิ่มขึ้นอีกครั้ง !
ปีศาจขาวพึ่งเพิ่มขึ้นจากลักษณะเก้าขั้นสี่เป็นลักษณะเก้าขั้นหก หลังจากทำการกลืนกินมารนิรยขาวอีกตัวหนึ่ง กลับเพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะเก้าขั้นเจ็ด อยู่ในระดับชั้นลักษณะเก้าขั้นสูงอย่างแท้จริง !
ในตอนนี้ ต่อให้เป็นดวงวิญญาณที่มีหมวดรองก็ยังต่ำกว่าปีศาจขาวถึงสองขั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซิงหยางที่ไม่มีดวงวิญญาณภูตวิญญาณหมวดรอง ทันทีที่แตะโดนตัวปีศาจขาว จะถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีแน่นอน !
“เพิ่มขึ้นจนถึงเก้าส่วนแล้ว !!!” หลังจากปีศาจขาวกลืนกินมารนิรยขาวสองตัว จะทำให้ชู่มู่ได้รับประโยชน์มหาศาล
และในตอนนี้ ร่ายวิญญาณของชู่มู่เพิ่มมากถึงเก้าส่วนแล้ว ห่างจากเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายแค่ก้าวเดียว แค่ผ่านก้าวเล็ก ๆ นี้ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยกว่างหาน ฉิงเย้ และเด็กสาวทรยศ ชู่มู่ก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว !!!
…
ในตอนที่ไฟปีศาจเก้าวิญญาณเย็นเยียบบุกเข้ามา เจียงอี้เถิงฟื้นขึ้นมาทันที
ถ้าไม่ทำการป้องกันไว้ เขาไม่เพียงแต่เสียมารนิรยขาวที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แต่ดวงวิญญาณหลักตัวอื่นก็จะถูกฆ่าตายเช่นกัน!
“อสูร…อสูรหลังคาน้ำแข็ง ห้ามมันไว้ !!!” เจียงอี้เถิงออกคำสั่งต่ออสูรหลังคาน้ำแข็ง !
อสูรหลังคาน้ำแข็งเป็นหมวดน้ำแข็ง หลังจากฝนตัดกำลังหายไป อสูรหลังคาน้ำแข็งฟื้นกลับมาอยู่ในลักษณะเก้าขั้นยอดอีกครั้ง
หมัดเดียวของอสูรน้ำแข็งร่างใหญ่นี้ทำให้อสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือปลิวออกไปทันที ก้าวเท้าออก พุ่งตรงไปยังปีศาจขาว ไอเย็นของน้ำแข็งพิฆาตขั้นสูงตีบนตัวปีศาจขาว
ปีศาจขาวฉีกยิ้มด้วยความชั่วร้าย ดวงตาคู่นั้นของมันกลับจับจ้องไปยังภูตวิญญาณลักษณะเก้าขั้นหกของซิงหยาง !
“ฮู”
ปล่อยเงาปีศาจลึกลับออกมา ปีศาจขาวสลัดการโจมตีของอสูรหลังคาน้ำแข็งอย่างง่ายดาย ปรากฏตัวตรงหน้าภูตวิญญาณของซิงหยางด้วยความเร็วสูง !
“ซัวะ !!!”
กรงเล็บไฟปีศาจร้อนระอุตวัดลง ราวกับเป็นการโจมตีง่ายที่สุดของปีศาจขาว !
กรงเล็บนี้ฉีกร่างกายของภูตวิญญาณออก ตามด้วยไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่พุ่งเข้าร่างกายของภูตวิญญาณอย่างรวดเร็ว ขณะที่แผดเผาเรือนร่างของมัน ได้แผดเผาวิญญาณของมันไปด้วย !
ความสามารถของภูตวิญญาณตัวนี้ห่างจากปีศาจขาวถึงสี่ขั้นเต็ม กำหนดจะถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีแน่นอน !
ในไม่ช้า ภูตวิญญาณลักษณะเก้าขั้นกลางของซิงหยางถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านทันที ไม่เหลือแม้แต่ซากศพ
“นอกจากอสูรหลังคาน้ำแข็งที่มีหมวดตรงกันข้ามแล้ว ดวงวิญญาณอื่นถ้าถูกจับจ้องจะต้องตายลงแน่นอน มารนิรยขาวของชู่เฉิงได้กลายเป็นผู้ตัดสินชะตาของการต่อสู้ทั้งหมดแล้ว !!!”
แม้แต่ภูตวิญญาณลักษณะเก้าขั้นหกยังถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาที ความสามารถของปีศาจขาวตัวนี้ไม่น่าปรากฏในขั้นสองนี้
ส่วนเหล่าดวงวิญญาณหลักที่แข็งแกร่งของเจียงอี้เถิงกับซิงหยางซึ่งไม่มีใครสู้ได้ในวังมารนิรย ในตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กที่ถูกปีศาจขาวขยี้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเก้าขั้นสูงหรือลักษณะเก้าขั้นกลาง ต่างทนการโจมตีไม่ได้แล้ว !
บางทีคนทั้งหมดในสนามรวมถึงหลีเหิง ถิงหลัน ซ่างเหิงทั้งสามคนนี้ต่างไม่คิดว่าจะเกิดภาพแบบนี้ขึ้น อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ในตอนนี้มีเป้าหมายโจมตีคือสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรยในขั้นสองนี้ !
…
ในที่สุด มารนิรยฟ้าของซิงหยางยังคงไม่อาจรอดจากชะตาถูกกลืนกินได้อยู่ดี !
ระหว่างที่กลืนกินมารนิรยฟ้าของซิงหยาง มีพลังวิญญาณมหาศาลอีกอันเข้ามา ชู่มู่หลับตาลง เริ่มดูดซึมพลังวิญญาณเหล่านี้ ใช้มันขัดเกลาร่ายวิญญาณของตัวเอง ให้วิญญาณเพิ่มขึ้น !
“เนี๊ย”
ปีศาจขาวส่งข้อความจิตมา บอกกับชู่มู่ว่า ความสามารถในการกลืนกินของมันถึงขีดสุดแล้ว !
ปีศาจขาวไม่อาจกลืนกลุ่มเดียวกันอย่างไร้ขีดจำกัด หลังจากการกลืนแต่ละครั้ง แม้มันจะเปลี่ยนพลังวิญญาณของกลุ่มเดียวกันเป็นความสามารถในการเติบโตของตัวเองได้ แต่หลังจากเติบโตแล้ว ปีศาจขาวต้องใช้เวลายาวนานมากในการย่อยวิญญาณของกลุ่มเดียวกันที่ถูกกลืนกิน
ช่วงเวลานี้มักยาวนานมาก ปีศาจขาวกำลังบอกกับชู่มู่ว่า วิญญาณของมารนิรยฟ้าในตอนนี้เป็นพลังวิญญาณสุดท้ายที่มันให้ชู่มู่ได้
ความจริงแล้ว การกลืนกินในด่านที่แปดของปีศาจขาวนี้เกินจริงไปหน่อย กินอาหารมากเกินไปก็จะทำให้กระเพาะทะลุได้ ชู่มู่ก็รู้ดี พลังวิญญาณของมารนิรยฟ้านี้สำคัญอย่างมาก จะทะลุผ่านขั้นเจ้าวิญญาณหกร่ายนี้ได้หรือไม่ จะต้องอาศัยตัวมันเองแล้ว !
“เนี๊ย เนี๊ย”
ปีศาจขาวส่งเสียงร้องขึ้น เป็นการบอกให้ชู่มู่ทะลุผ่านขั้นได้ปลอดภัย มันจะจัดการศัตรูทั้งหมดให้ !
พลังวิญญาณสุดท้ายนี้ ชู่มู่จำต้องอาศัยผลของการพุ่งทะลุนี้ของพลังวิญญาณ ทำลายในครั้งเดียว ดังนั้น วินาทีที่พลังพุ่งเข้าไปนี้สำคัญอย่างมาก
ในตอนนี้ ชู่มู่ได้ถอยออกไปด้านนอกเขตการต่อสู้ ให้เย้ชิงจือปกป้องตัวเองเอาไว้ ส่วนตัวเขาจดจ่ออยู่ในภาวะสมาธิ
เย้ชิงจือก็รู้ว่า ชู่มู่จำต้องทะลุให้ถึงเจ้าวิญญาณเจ็ดร่าย จึงออกคำสั่งต่อดวงวิญญาณของเขาแทน ทำการโจมตีไปยังเจียงอี้เถิงและซิงหยาง
ปีศาจขาวได้ฆ่ามารนิรยขาวสองตัวตายไปแล้ว หลังจากมารนิรยฟ้าและภูตวิญญาณอีกหนึ่งตัว สถานการณ์ต่อสู้ทั้งหมดนี้ถูกควบคุมเอาไว้แล้ว เย้ชิงจือแทบไม่ต้องใช้แรงในการควบคุมมากเท่าไร
โดยเฉพาะความบ้าคลั่งของปีศาจขาว ทั้งสนามต่อสู้เหมือนเป็นเวทีการแสดงของปีศาจขาว ไฟปีศาจเก้าวิญญาณมักทำให้เกิดการแผดเผาหมู่ การปล่อยทักษะในแต่ละครั้ง วิญญาณและร่างกายของดวงวิญญาณจะต้องถูกแผดเผาแน่นอน
ตอนที่ยังต่อสู้อยู่ ชู่มู่ได้นั่งลงข้างกระดิ่งแก้วตา เข้าสู่ภาวะสมาธิเพื่อให้ร่ายวิญญาณทะลุข้ามขั้นได้
ชู่มู่เพิ่งเข้าสู่เจ้าวิญญาณหกร่ายก่อนหน้านี้ไม่นาน เดิมร่ายวิญญาณและวิญญาณควรอยู่ในภาวะแน่นอนระยะต้น แต่ชู่มู่ได้ดูดซึมพลังมหาศาลในเวลาอันสั้นแบบนี้ พลังส่วนนี้มาจากการกลืนกินของปีศาจขาว นี่เป็นแหล่งวิญญาณที่ร้อนระอุยิ่ง
พลังเหล่านี้ได้กระทบวิญญาณของชู่มู่อย่างต่อเนื่อง ราวกับคลื่นที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ในเมื่อพลังเพิ่มขึ้น จะต้องมีช่วงคงที่แน่นอน ด้วยเหตุนี้ ถ้าชู่มู่ไม่ถึงเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายได้ ในตอนที่พลังสงบลง ร่ายวิญญาณของชู่มู่จะหยุดแค่เก้าส่วน จะทำให้ยากจะข้ามผ่านช่วงนี้มาก โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ชู่มู่พึ่งเข้าสู่หกร่าย ลักษณะขั้นนี้จะคงที่นานมากขึ้น !
ดังนั้น มีโอกาสแค่ครั้งเดียว ถ้าไม่สำเร็จ ชู่มู่อาจต้องรอหนึ่งถึงสองเดือน หรือนานกว่านั้น !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ไฟปีศาจลุกโชนอย่างเงียบสงัดรอบกายชู่มู่ ทำให้ชู่มู่ชุดดำที่นั่งอยู่ดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม
“นี่…นี่บ้าเกินไปแล้ว นั่งสมาธิท่ามกลางการต่อสู้ !!!”
“ชู่เฉิง…ชู่เฉิงกำลังทำอะไรอยู่”
เหล่าผู้ชมเบิกตาอีกครั้ง มีชีวิตนานขนาดนี้ พวกเขาเพิ่งเห็นมีคนนั่งลงระหว่างการต่อสู้ แล้วเข้าสู่ภาวะสมาธิเพื่อฟื้นพลังวิญญาณ โดยเฉพาะในการต่อสู้ที่ทรงพลังแบบนี้ !
…
“เขาทำอะไรอยู่? เซี่ยกว่างหานที่อยู่ที่สูงกว่าเห็นท่าทีนี้ของชู่มู่ ยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน
เซี่ยกว่างหานในตอนนี้ไม่กล้าลงมือ ทำได้แค่ร้องขอฉิงเย้ แต่ฉิงเย้ไม่รีบร้อน แค่ลอยอยู่กลางอากาศ รอให้การต่อสู้ครั้งนี้จบลง
เป้าหมายของฉิงเย้ง่ายมาก แค่ดูว่าดวงวิญญาณที่ชู่มู่มีนั้นมีความสามารถพิเศษอะไร
และในตอนนี้ ปีศาจขาวอยู่ในรายชื่อดวงวิญญาณที่ฉิงเย้จะแย่งชิงแล้ว อย่างไรก็ตาม มารนิรยขาวที่เพิ่มความสามารถด้วยการกลืนกินกลุ่มเดียวกัน นี่มันสมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว ฉิงเย้ชอบแย่งชิงดวงวิญญาณสมบูรณ์แบบของคนอื่นอย่างมาก !
ฉิงเย้ในตอนนี้แทบไม่สนใจว่า ชู่มู่กำลังทำอะไร เพราะสำหรับเขาในตอนนี้ ชู่มู่อ่อนแอเกินไป ฉิงเย้แค่อัญเชิญดวงวิญญาณหลักตัวใดก็เอาชนะดวงวิญญาณสามตัวของชู่มู่ได้
“ทำลายร่ายวิญญาณ เห็นได้ชัดมาก…ทว่า ต่อให้ทะลุถึงระดับราชันวิญญาณ ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความสามารถของเขายังอยู่ในภาวะคงที่ แทบไม่มีอันตรายสำหรับพวกเรา นอกจากว่า ในวันต่อจากนี้ไป เขาสามารถทำให้ดวงวิญญาณทั้งหมดเพิ่มขึ้นจนอยู่ในจักรพรรดิขั้นสูงได้ หรือจักรพรรดิชั้นยอด…” ฉิงเย้พูดอย่างไม่แยแส
“วันต่อจากนี้ หรือว่าเจ้าไม่คิดจะลงมือ !” สีหน้าของเซี่ยกว่างหานเปลี่ยนไป
“ต้องลงมือสิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ มันมีช่วงเวลาที่ดีกว่านี้”
“เวลาที่ดีกว่านี้งั้นหรือ”
“อีกไม่ช้าเจ้าจะรู้…นอกจากนี้ ข้าต้องการมั่วเย้กับมารนิรยขาวของเขา !” ดวงตาของฉิงเย้ส่องประกายออกมา
“ก่อนหน้านี้ไม่ได้สัญญาว่า มั่วเย้เป็นของเจ้าเหรอ” เซี่ยกว่างหานเผยสีหน้าซับซ้อนออกมา
“ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้ามีอะไรที่ไม่พอใจไหม” ฉิงเย้จับจ้องไปยังเซี่ยกว่าหาน พูดอย่างเยือกเย็น
“ข้าไม่มีหยดแห่งความจำ ต่อให้ได้ดวงวิญญาณของเขามาก็ทำสัญญาวิญญาณไม่ได้ มั่วเย้กับมารนิรยขาวเป็นของเจ้า ข้ากับเขามีความแค้นกัน เจ้าแค่ช่วยข้ากำจัดเขาก็พอ…นอกจากนี้ ข้าสนใจดวงวิญญาณกลุ่มจิ้งจอกมากกว่า เหลือจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงให้ข้าก็พอ” เซี่ยกว่างหานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผู้นำสมบูรณ์แบบ ถ้าข้าอยู่ในระดับปรมาจารย์วิญญาณ ข้าจะรับไว้แน่นอน ทว่า ในตอนนี้ ของแบบนี้ไม่อยู่ในสายตาของข้า ข้าให้เจ้าหมด” ฉิงเย้พูดอย่างไม่แยแส
ใบหน้าใต้เกราะสีทองของเซี่ยกว่างหาน ในตอนนี้ใบหน้าซีดขาวนี้กำลังยิ้มอย่างเยือกเย็น คนอวดดีอย่างฉิงเย้ ไม่รู้ว่า ดวงวิญญาณตัวใดของชู่มู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด…
ประโยคเดียวของหลีเหิง ทำให้สมาชิกตำหนักวิญญาณทั้งหมดมีแรงขึ้นมาทันที
“หรือว่ามารนิรยขาวนี้ยังมีความสามารถที่พิเศษยิ่งกว่า”เหล่าสมาชิกตำหนักวิญญาณต่างรู้จักมารนิรยดี เริ่มคาดหวังว่า ชู่มู่จะนำพาความตื่นเต้นมาให้
กลืนกินวิญญาณ !!!
ต่อให้เป็นโอรสน้อยของวังมารนิรยก็คาดไม่ถึง จะมีมารนิรยที่กลืนกินกลุ่มเดียวกันได้ !
หลังจากปีศาจขาวทำให้ซือได้รับบาดเจ็บสาหัส ไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่ลุกโชนรุนแรงทั้งตัวเริ่มพุ่งตรงไปยังซือ เหมือนมีเงาตามตัวเริ่มเข้าไปในร่างของซือทีละน้อย !
เจียงอี้เถิงนิ่งอึ้ง ตอนแรกเขาคิดว่า ปีศาจขาวของชู่มู่ปล่อยทักษะดับดวงใจใส่ดวงวิญญาณของเขา
ถ้าเป็นทักษะดับดวงใจละก็ ต่อให้มารนิรยขาวของเขาได้รับบาดเจ็บก็หลบได้แน่นอน แต่ว่าในตอนที่เขาพบว่าปีศาจขาวเริ่มหล่อรวมเข้าไปในร่างดวงวิญญาณของเขาแล้ว เจียงอี้เถิงถึงเข้าใจว่า นั่นเป็นทักษะวิญญาณที่น่ากลัวกว่าดับดวงใจอีก !
“เร็ว !!! อย่าให้มันปล่อยออกมาได้ !!!” เจียงอี้เถิงตะโกนขึ้น
ในตอนนี้ เจียงอี้เถิงไม่กล้าลังเลใด ๆ สั่งให้ดวงวิญญาณตัวที่สี่ซึ่งเพิ่งจะอัญเชิญออกมาพุ่งตรงไปยังปีศาจขาว เพื่อช่วยมารนิรยขาวของเขา !
แต่ว่าหลังจากดวงวิญญาณตัวที่สี่ของเจียงอี้เถิงถูกฝนตัดกำลัง ความสามารถห่างจากปีศาจขาวถึงสี่ขั้น ปีศาจขาวเพิกเฉยต่อดวงวิญญาณแบบนี้ได้ !!!
หลังจากฝนตัดกำลังตกลง นอกจากมารนิรยขาวของเจียงอี้เถิง ความสามารถดวงวิญญาณอื่นของเจียงอี้เถิงและซิงหยางต่ำกว่าปีศาจขาวเกือบสามขั้น ตอนนี้ซือได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก จะมีใครต้านทานปีศาจขาวได้
การกลืนกินวิญญาณยังอยู่ เสียงโอดครวญอันน่ากลัวดังก้องกังวานไปทั่วทั้งยอดเขาภูเขาเวหาอมตะแห่งนี้ !
“นี่เป็นความสามารถอะไรกันแน่ !!!”
“นี่มันความสามารถกลืนกินวิญญาณเจ้าของตัวเองของมารนิรยไม่ใช่เหรอ มารนิรยขาวเอามากลืนกินกลุ่มเดียวกันได้อย่างไร !!!”
การกลืนกินของมารนิรย เป็นทักษะที่น่ากลัวและชั่วร้ายที่สุด ทุกครั้งที่เห็นวิญญาณถูกกลืนกิน แม้แต่เหล่าสมาชิกของวังมารนิรยยังหวาดกลัวอย่างมาก
และแล้ว มารนิรยกลืนกินมารนิรย นี่เป็นปรากฏการณ์ที่แม้แต่คนของวังมารนิรยยังไม่เคยเห็นมาก่อน ได้เห็นขั้นตอนนี้กับตา ยิ่งทำให้ขนลุกมากขึ้น !
“พี่หลีเหิง…นี่…นี่มันอะไรกันแน่ !!!”เหล่าผู้เข้าแข่งขันของตำหนักวิญญาณเองก็กลัวจนตัวสั่น
หลีเหิงส่ายหัว แค่พูดพร้อมขมวดคิ้วว่า “ก่อนหน้านี้มารนิรยขาวตัวนี้ของชู่เฉิงได้กลืนมารนิรยสามตัวของหลู่ซานหลีแล้ว…”
“อืม พวกข้าเองได้เห็นกับตา” ซ่างเหิงกับถิงหลันต่างพยักหน้าด้วย
“นี่…นี่ผิดปกติเกินไปแล้ว !” หลัวปิงบอก
“นี่ยังไม่เท่าไร พวกเจ้าดูต่อไป…” หลีเหิงชี้ไปยังมารนิรยขาวของชู่มู่แล้วพูดขึ้น
“หรือว่ายังมี…พระเจ้า มารนิรยขาวตัวนี้กำลังเติบโต !!!” ทันใดนั้น มีคนร้องขึ้นทันที
“กำลังเติบโตจริงด้วย ความสามารถของมารนิรยขาวตัวนี้โตถึงลักษณะเก้าขั้นหกแล้ว !!!”
กลืนกินกลุ่มเดียวกัน กลายเป็นพลังให้ตัวเองเติบโตต่อ !!!
ตามไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่ลุกโชนบนตัวซือ เหล่าผู้ชมที่มองอยู่บนฟ้าห้าร้อยเมตรพูดไม่ออกแล้ว
กลืนกินวิญญาณ มีผลแบบนี้ได้!!ทักษะที่ทำให้ดวงวิญญาณเติบโตโดยตรง !!!
…
“ดวงวิญญาณของข้า !!!” เจียงอี้เถิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูมารนิรยขาวซือของเขาถูกปีศาจขาวของชู่มู่กลืนกิน !
ความเจ็บปวดจากการตัดขาดของสัญญาวิญญาณทำให้วิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส สีหน้าของเขาซีดขาวอย่างมาก แต่เขาทั้งคนเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ มองไปยังปีศาจขาวที่กลายร่างออกมาจากมารนิรยของเขา !!!
ฝนสีฟ้ากระทบบนหน้าของเจียงอี้เถิง เบาลงเรื่อย ๆ และในตอนนี้ ท่าทีอวดดีกลับหายไปจากใบหน้าของโอรสน้อยวังมารนิรยคนนี้อย่างสิ้นเชิง !
ซิงหยางในตอนนี้ก็ลืมเรื่องการต่อสู้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจับจ้องไปยังมารนิรยขาวของชู่มู่ มองดูปีศาจขาวที่ความสามารถกำลังเพิ่มขึ้น !!!
…
“พี่หลีเหิง นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมมารนิรยขาวถึงมีความสามารถกลืนกินแบบนี้” หลัวปิงถามด้วยความอึ้ง
เพิ่มความสามารถของตัวเองผ่านการกลืนกินกลุ่มเดียวกัน มารนิรยขาวตัวนี้…เกินไปไหม ถ้าได้กลืนกินมารนิรยระดับราชันไป เท่ากับว่ามารนิรยขาวตัวนี้จะเพิ่มความสามารถจนเป็นมารนิรยขาวระดับราชันได้ทันที !!!
“นี่…พูดได้แค่ว่า ความสามารถแฝงของมารนิรยขาวตัวนี้มีไม่สิ้นสุด…” หลีเหิงบอก
…
บนฟ้าที่สูงขึ้นไปอีก ชายที่ถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะสีทอง เขาจับจ้องไปยังยอดเขาด้วยสายตาเยือกเย็น
คนนี้คือเซี่ยกว่างหานที่ใช้ทุกวิถีทาง ที่ทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมากคือ จั่วเถิงกับลูกน้องของจั่วเถิงไม่ได้ปรากฏตัวตามที่นัดไว้ก่อนหน้านี้
ชู่มู่มีความสามารถซ่อนตัวที่แข็งแกร่งมาก ความสามารถนี้ต่อให้เป็นฉิงเย้เองก็ไม่สามารถสะกดรอยได้
ก่อนหน้านี้ฉิงเย้คิดจะดักรอชู่มู่ระหว่างทางขึ้นยอดเขาหลักภูเขาเวหาอมตะ แต่กลับปล่อยให้ชู่มู่หนีไปได้ ส่วนจั่วเถิงมีความสามารถสะกดรอยตาม ถ้าจั่วเถิงปรากฏตัวละก็ ชู่มู่ไม่มีทางหนีจากการไล่ตามของฉิงเย้ได้แน่นอน
แต่เจ้านี่กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนแทบจะไม่อยู่ในด่านที่แปดนี้ ทำให้ชู่มู่ได้มุ่งหน้าไปยังยอดเขาหลักภูเขาเวหาอมตะได้
ยอดเขาหลักเวหาอมตกมีผู้เข้าแข่งขันมากมายอยู่ ต่อให้มีฉิงเย้ เขามีโอกาสน้อยมากที่จะแย่งชิงดวงวิญญาณของชู่มุ่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลีเหิงคอยจับตามองจากบนฟ้าอยู่ตอลด !
“เซี่ยกว่างหาน ความสามารถของมารนิรยขาวตัวนี้เห็นได้ยากมาก เจ้าไม่มีทางไม่รู้ที่มาของมันใช่ไหม” ฉิงเย้ที่บินไปข้างเซี่ยกว่างหานพูดขึ้น
ในตอนนี้ นัยตาของฉิงเย้ส่องประกายออกมา เขาคิดไม่ถึงว่า ชู่มู่จะมีมารนิรยขาวที่หายากแบบนี้ตัวหนึ่ง !
“มารนิรยขาวตัวนี้เป็นรุ่นหลังของเจ้ามารนิรยของราชันปีศาจไป๋หยู่ มันได้สืบทอดความสามารถผิดปกติของรุ่นก่อนมา ความสามารถกลืนกินวิญญาณของมันแข็งแกร่งกว่ามารนิรยขาวทั่วไป อีกทั้งมีนิสัยที่ไม่แน่นอน วิญญาณของท่านไป๋หยู่ที่ถูกกลืนกินก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ในตอนนั้นร่ายวิญญาณของท่านไป๋หยู่น่าจะมากพอที่จะควบคุมมารนิรยขาวของเขาได้ แต่สุดท้ายกลับ…” เซี่ยกว่างหานบอก
“ถ้าอย่างนั้น มารนิรยขาวตัวนี้ของชู่มู่ก็อาจกลืนกินเจ้าของตัวเองได้ทุกเมื่อ” ฉิงเย้ถามขึ้น
“อืม ดังนั้นหลังจากมารนิรยขาวตัวนี้เกิดมา ทั้งวังมารนิรยคิดว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตอัปมงคล ไม่มีผู้คุมดวงวิญญาณที่กล้ากำจัดสิ่งนี้ คือการฆ่าทิ้ง” เซี่ยกว่างหานบอก
“ขัดแย้งจริง วังมารนิรยของพวกเจ้ามีคำว่า อัปมงคลด้วยเหรอ ฮะฮะ !” ฉิงเย้หัวเราะขึ้นมากะทันหัน
หลังจากหัวเราะจบ ฉิงเย้พูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น ทำไมมารนิรยขาวตัวนี้ถึงอยู่ในมือของเขาในตอนนี้ได้”
เซี่ยกว่างหานไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้อยากบอกทุกเรื่องให้ฉิงเย้รู้ แต่เริ่มเปลี่ยนเรื่องคุย
…
ความจริง ตอนที่เซี่ยกว่างหานได้ปีศาจขาวจากในมือท่านหยางซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์ราชันทั้งห้า เซี่ยกว่างหานเคยคิดจะเข้าเสี่ยง ทำสัญญาวิญญาณกับมารนิรยขาวตัวนี้ ให้มันเป็นดวงวิญญาณของตัวเอง
พ่อของปีศาจขาวเคยเห็นดวงวิญญาณหลักของท่านไป๋หยู่ ถ้าอย่างนั้นพลังและสายเลือดชั้นดีของมันต้องมีพรสวรรค์มากกว่าปกติแน่นอน
เซี่ยกว่างหานเป็นคนที่โลภมากคนหนึ่ง เรื่องอันตรายแบบนี้เขาก็กล้าทำ
ดังนั้น ในตอนที่ได้ปีศาจขาวมา เซี่ยกว่างหานไม่ได้ฆ่ามัน แต่กลับเก็บเอาไว้
เพื่อแน่ใจว่า ปีศาจขาวนี้จะไม่กลืนกินวิญญาณของเจ้าของ เซี่ยกว่างหานคิดจะนำผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่มเป็นตัวทดลอง คือให้พวกเขาทำสัญญาวิญญาณกับปีศาจขาว
ทันทีที่ปีศาจขาวเติบโตถึงระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งไม่เกิดปรากฏการณ์ผิดปกติ เซี่ยกว่างหานจะแย่งกลับมา ทำเป็นดวงวิญญาณของตัวเอง !
แต่เรื่องที่ทั้งโชคดีและโชคร้ายคือ ตัวทดลองแรกของเซี่ยกว่างหานก็คือชู่มู่ !
และแล้วปีศาจขาวได้กลายเป็นดวงวิญญาณที่แท้จริงของชู่มู่ ที่ทำให้เซี่ยกว่างหานเสียหน้าคือ ปีศาจขาวตัวนี้มีความสามารถกลืนกินกลุ่มเดียวกัน อีกทั้งยังเปลี่ยนวิญญาณของกลุ่มเดียวกันเป็นพลังของตัวเองได้ !
กลืนกินวิญญาณ แล้วยังเติบโตในขณะเดียวกัน ทักษะพรสวรรค์แบบนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยนับไม่ถ้วนคลั่งไคล้ได้ !!!
การกระทำของชู่มู่ในตอนนี้นับว่าเป็นการพิสูจน์การคาดคะเนของเซี่ยกว่างหานที่มีต่อปีศาจขาวก่อนหน้านี้ ปีศาจขาวตัวนี้เป็นชั้นยอดในมารนิรย !
ตอนที่เซี่ยกว่างหานเห็นควาามสามารถแบบนี้เสียดายอย่างมาก ! เขาโกรธที่ทำไมในตอนนั้นถึงไม่กล้าทำสัญญาวิญญาณกับมัน แต่กลับให้ชู่มู่ได้มารนิรยแบบนี้ไปได้ !!!
…
พ่อของปีศาจขาวได้ฆ่าราชันของวังมารนิรย ส่วนปีศาจขาวกลายเป็นสิ่งอัปมงคลของวังมารนิรย ทำให้คนทั้งหมดไม่กล้าทำสัญญาวิญญาณกับมัน
แต่ว่าการต่อสู้ในวันนี้ ปีศาจขาวได้กลืนกินมารนิรยขาวชั้นดีเยี่ยมของโอรสน้อยวังมารนิรย เผยให้เห็นความสามารถ “อัปมงคล” ของมันออกมา คาดว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยได้รู้ข่าวนี้เมื่อไร พวกเขาจะเป็นเหมือนเซี่ยกว่างหาน เสียดายที่ไม่ทำสัญญาวิญญาณกับมันในตอนนั้น
ปีศาจขาว มันไม่ใช่สิ่งอัปมงคล !
แค่ไม่มีใครเดาอารมณ์ของมันได้ ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่มันคิดได้ ดังนั้น จึงไม่มีใครควบคุมมันได้ !!!
ชู่มู่ไม่รู้อดีตของปีศาจขาว แต่อย่างน้อยเป็นผู้คุมดวงวิญญาณคนหนึ่ง ชู่มู่รู้ว่า สิ่งที่ยิ่งอันตรายมาก ยิ่งมีพลังมาก
คิดจะควบคุมปีศาจขาว ก็ต้องพร้อมจะทุ่มเทชีวิตและวิญญาณ จำต้องยอมรับนิสัยของปีศาจขาวที่พร้อมจะฆ่าเข้าของได้ทุกเมื่อนี้!
ชู่มู่ไม่กลัว อีกทั้งยังรับมือกับอารมณ์ของปีศาจขาวได้
ความแน่วแน่ในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ชู่มู่คอยถึงช่วงวินาทีอันสะเทือนใจนี้ !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากกลืนกินมารนิรยจักรพรรดิขั้นสูงแล้ว ปีศาจขาวได้เข้าสู่ลักษณะเก้าขั้นหกอย่างแท้จริง !
ส่วนจักรพรรดิขั้นสูงลักษณะเก้าขั้นหก เป็นผู้ตัดสินชะตาทั้งหมดของสนามต่อสู้บนยอดเขานี้ ต่อให้จะเป็นเจียงอี้เถิงหรือซิงหยาง ดวงวิญญาณของพวกเขาไม่มีทางจะรับมือกับการโจมตีของปีศาจขาวได้ !
…
“เนี๊ย !!! ”
เสียงคำรามมารดังก้องกัวาน ทำให้เหล่าผู้ชมทั้งหมดสะเทือนยิ่ง
ตามด้วย ในตอนที่สายตาของทุกคนมองไปยังปีศาจขาว มันได้เริ่มเผยพลังอันแท้จริงของจักรพรรดิขั้นสูงออกมา ดวงวิญญาณอื่นของเจียงอี้เถิงและซิงหนางในสนามนี้ กลายเป็นสิ่งที่น่าสงสารที่สุด ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างตัวสั่น !
จักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะเก้าขั้นหก !
ต่อให้ไม่มีฝนตัดกำลัง ความสามารถของปีศาจขาวได้เกินกว่าดวงวิญญาณทั้งหมดถึงสองขั้นขึ้นไป !!!
ส่วนคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรยสองคนนี้ ความสามารถที่ห่างกันแบบนี้ ดวงวิญญาณหลักทั้งหมดของพวกเขาจะถูกปีศาจขาวขยี้แน่นอน !!!
——————————————————————-
พลังลึกลับนี้กระจายขึ้นฟ้าสูงห้าร้อยจั้ง ไม่เพียงแต่ตำหนักวิญญาณ วังมารนิรย รวมถึงผู้เข้าแข่งขันอำนาจอื่นต่างอึ้งจนพูดไม่ออก!
สมาชิกตำหนักวิญญาณอัญเชิญมารนิรยขาวของวังมารนิรย!
“เจ้าชู่เฉิง เป็นคนแบบไหนกันแน่!ทำไมถึงมีมารนิรยขาวของวังมารนิรยพวกข้าได้!!”น้ำเสียงของเหล่าบุคคลระดับแปดของวังมารนิรยประหลาดอย่างมาก
ผู้เข้าแข่งขันที่รวมตัวในด่านที่แปดได้ ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มในวังมารนิรย ในบรรดาพวกเขามีไม่กี่คนที่มีมารนิรยขาวแบบนั้น!
แม้แต่เหล่าผู้แข็งแกร่งของวังมารนิรยยังไม่มีมารนิรยขาว สมาชิกตำหนักวิญญาณคนนี้กลับมี อีกทั้งคนทั้งหมดของวังมารนิรยต่างรู้ว่ามารนิรยขาวต่างจากดวงวิญญาณปกติ ไม่ใช่ว่าทำสัญญาวิญญาณอย่างเดียวได้ แต่ต้องใช้ขั้นตอนการเลี้ยงดูที่ยาวนานถึงจะเป็นดวงวิญญาณที่ต่อสู้ได้!
สีหน้าของคนของตำหนักวิญญาณก็ไม่ปกติเช่นกัน ในนั้นยังมีคนไม่น้อยที่รู้ว่าชู่มู่มีภูตพันวายุซึ่งเป็นหนึ่งในดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดของตำหนักวิญญาณ
ดังนั้น ชู่มู่ที่มีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดควรจะเป็นสมาชิกตำหนักวิญญาณคนหนึ่ง แต่สิ่งที่อัญเชิญออกมาในตอนนี้ เป็นการท้าทายความอดทนของสมาชิกตำหนักวิญญาณทั้งหมดไม่ใช่เหรอ?
สถานการณ์ประหลาดนี้ทำให้สีหน้าของคนทั้งหมดแข็งทื่อแล้ว และแล้ว ในไม่ช้า ผู้คนต่างพบว่า ไฟปีศาจที่ลุกโชนบนตัวชู่มู่พิเศษอย่างมากเช่นกัน!!
“ไฟปีศาจเก้าวิญญาณ!!บนตัวชู่เฉิงมีไฟปีศาจเก้าวิญญาณเช่นกัน!!”
เสียงร้องของสมาชิกวังมารนิรยทำลายความเงียบบนฟ้าทันที เสียงนี้ทำให้สีหน้าของผู้คนที่ไร้คำพูดเปลี่ยนไปอย่างมาก!
มารนิรยขาวลักษณะเก้ามีไฟปีศาจเก้าวิญญาณ เท่ากับว่านี่เป็นมารนิรยขาวที่อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงแล้ว!!!
จักรพรรดิขั้นสูง!!
จักรพรรดิขั้นสูงที่เจียงอี้เถิงอัญเชิญออกมาก็ทำให้คนทั้งหมดอึ้งอย่างมากแล้ว การอัญเชิญของชู่มู่ทำให้ทั้งสนามสะเทือนกว่าเดิม!
จักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะเก้าขั้นกลาง!
“ฮูฮูฮูฮู”
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณพลิ้วไหว กลิ่นไอเย็นเยียบนั้นปะทะกับจักรพรรดิขั้นสูงอีกตัว ก่อเป็นความกดอากาศที่เย็นเยียบกว่าเดิมบนยอดเขา แล้วพัดขึ้นฟ้า!
“เนี๊ยเนี๊ยเนี๊ยเนี๊ย!
ปีศาจขาวของชู่มู่ฉีกยิ้มออก เนตรปีศาจเก้าวิญญาณดุร้ายนั้นจับจ้องไปยังมารนิรยจักรพรรดิขั้นสูงเหมือนกันของเจียงอี้เถิง กลับส่งเสียงหัวเราะชวนขนลุกขึ้น!
“ดีจริง ได้รับสิ่งนี้โดยบังเอิญ”ตอนที่ปีศาจขาวส่งเสียงหัวเราะ ชู่มู่เองได้ฉีกยิ้มลึกลับเช่นกัน
มารนิรยขาวระดับจักรพรรดิขั้นสูง!!
ก่อนหน้านี้ชู่มู่คาดว่ากินมารนิรยฟ้ากับมารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นกลางตัวนั้นแล้วร่ายวิญญาณของตัวเองจะเพิ่มขึ้นถึงเก้าส่วน
และในตอนนี้กลับมีอาหารโอชาอย่างจักรพรรดิขั้นสูง ถ้าปีศาจขาวกินเข้าไป จะทะลายเจ็ดร่ายได้อย่างไม่มีปัญหา!
ชู่มู่ยังกลัวว่าเจียงอี้เถิงจะไม่อัญเชิญมารนิรยที่แข็งแกร่งกว่าออกมา และแล้วเจียงอี้เถิงนี้ไม่ได้ทำให้ตำแหน่งโอรสน้อยวังมารนิรยของตัวเองเป็นที่อับอาย อัญเชิญอาหารโอชารสที่ชู่มู่คาดหวังออกมา!
…
ในตอนนี้ สีหน้าภูมิใจก่อนหน้านี้ของเจียงอี้เถิงแข็งทื่ออย่างมากแล้ว!
หลายครั้ง เจียงอี้เถิงอยากลองถามว่าตัวเองมองผิดหรือเปล่า แต่ว่า กลิ่นไอจักรพรรดิขั้นสูงกับจักรพรรดิขั้นสูงที่ปะทะกันได้บอกกับเขาว่า เจ้าเด็กที่ไม่อยู่ในสายตาของเขาในตอนแรกได้อัญเชิญมารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่งออกมา!!
“เจ้า…เจ้ามีมารนิรยขาวได้อย่างไร!!”เจียงอี้เถิงเริ่มทนไม่ไหวแล้ว!
ฝนตัดกำลังของเย้ชิงจือทำให้มารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นสูงลดลงสองขั้น แม้จักรพรรดิขั้นสูงของชู่มู่จะอยู่แค่ลักษณะเก้าขั้นกลาง แต่ด้วยการปกคลุมของเกราะแห่งบริสุทธิ์นี้ทำให้ความสามารถไม่เปลี่ยน
เช่นนี้ หลังจากที่ซือลักษณะเก้าขั้นสูงของเขาถูกตัดกำลัง ความสามารถยังคงห่างจากปีศาจขาวของชู่มู่หนึ่งขั้น!!
“ซือ”เป็นดวงวิญญาณที่เจียงอี้เถิงภูมิใจที่สุด ทันทีที่อัญเชิญออกมาจะกวาดล้างทั้งสนามได้แน่นอน!
ที่ทำให้เจียงอี้เถิงคาดไม่ถึงคือ หลังจากที่ตัวเองอัญเชิญมารนิรยขาวออกมา ยังไม่ทันได้ปล่อยไอของไฟออกมา กลับถูกมารนิรยขาวของฝ่ายตรงข้ามกลบแล้ว ที่ทำให้เจียงอี้เถิงกระอักคือ เจ้าคนที่อัญเชิญมารนิรยขาวคนนี้ยังเป็นคนของตำหนักวิญญาณด้วย!!
เป็นถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย เพาะเลี้ยงมารนิรยเป็นดวงวิญญาณ รวมถึงซิงหยางด้วย ซิงหยางไม่มีมารนิรยขาว แต่มารนิรยฟ้าของเขาเป็นดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่ง พวกเขาทั้งสองนับว่าเป็นตัวแทนของทั้งวังมารนิรย..
และแล้ว เกิดปรากฎการณ์ที่ถูกมารนิรยของคนอื่นกลบ นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่เป็นสมาชิกของวังมารนิรยทั้งสองคนรับได้อย่างไร!!
“เป็นผลผลิตเร่งรัดแน่นอน!!ความสามารถต่อสู้ของมันขยะมากแน่นอน!”เจียงอี้เถิงแทบไม่เชื่อว่าชู่มู่จะมีดวงวิญญาณแบบนี้
เขาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ได้ออกคำสั่งต่อ “ซือ”ของเขา กางเล็บออก ไฟปีศาจร้อนระอุพุ่งตรงไปยังปีศาจขาวของชู่มู่!!
ปีศาจขาวเป็นผลผลิตเร่งรัด?
ชู่มู่อดใจยิ้มเย็นไม่ได้ ชู่มู่เลี้ยงดูปีศาจขาวทีละขั้น ส่วนความสามารถในการต่อสู้จะเป็นอย่างไร อีกไม่ช้าเจียงอี้เถิงจะรู้เอง!
สมาชิกวังมารนิรย ไม่ว่าจะทำสัญญาวิญญาณกับมารนิรยขาวเมื่อไร พวกเขาจะอัญเชิญได้ต่อเมื่ออยู่ในระดับเจ้าวิญญาณ
แม้แต่ผู้คุมดวงวิญญาณที่เพิ่มร่ายวิญญาณอย่างรวดเร็วแบบชู่มู่ยังไม่สามารถเลี้ยงมารนิรยขาวสองตัวได้ เจียงอี้เถิงมีสองตัว เท่ากับว่าระหว่างที่เลี้ยงดูไม่ได้ใช้พลังวิญญาณทั้งหมดแน่นอน!
“เนี๊ย!!!!!!เนี๊ย!!!!!!”
“เนี๊ย เนี๊ย”
ปีศาจขาวจักรพรรดิขั้นสูงสองตัวกลายเป็นผู้นำการต่อสู้ทั้งสนามรบทันที ไฟปีศาจพัดพาอย่างรุนแรง แม้แต่ฝนสีฟ้านี้ยังถูกกลืนกิน!
พลังของไฟปีศาจเก้าวิญญาณน่ากลัวอย่างมาก โดยเฉพาะผลการแผดเผาวิญญาณ ต่อให้ผู้ชมที่อยู่สูงถึงห้าร้อยจั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังของไฟปีศาจเก้าวิญญาณได้!
“ชู่มู่ ฝนตัดกำลังของข้าคงที่ได้อีกแค่สามนาทีแล้ว”เย้ชิงจือพูดเตือนชู่มู่
ไม่มีฝนตัดกำลัง ความสามารถมารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงจะฟื้นกลับมา ทำให้ปีศาจขาวของชู่มู่ด้อยกว่าขั้นหนึ่ง จะทำให้ปีศาจขาวเสียเปรียบแน่นอน
“เพียงพอแล้ว”ชู่มู่ฉีกยิ้มออกมา
เวลาสามนาที ความได้เปรียบที่แข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง ปีศาจขาวจะชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้เหรอ?
ไฟปีศาจร้อนระอุพัดพา ปีศาจขาวมีความมั่นใจต่อการควบคุมไฟปีศาจเก้าวิญญาณอย่างมาก การปล่อยทักษะแต่ละอัน จะควบคุม “ซือ”ได้ ต่อให้ “ซือ”จะมีความอดทนมากเท่าไร ก็ทำได้แค่ต้านทานอย่างเดียว!
ตอนที่มีกลุ่มเดียวกันปรากฎตรงหน้าปีศาจขาว ความสามารถจะเพิ่มขึ้นด้วยความแค้นอยู่แล้ว อย่าว่าแต่แข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง ต่อให้อ่อนแอกว่าขั้นหนึ่ง “ซือ”ก็ใช่ว่าจะชนะปีศาจขาวที่ดื้อดันตัวนี้ได้!
ที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจคือ ทักษะรวมความแค้นของ “ซือ”แข็งแกร่งอย่างมาก แข็งแกร่งกว่ารวมความแค้นของปีศาจขาวอย่างน้อยสามเท่า
เท่ากับว่า “ซือ”ของเจียงอี้เถิงสามารถเพิ่มความสามารถอย่างรวดเร็วมากผ่านรวมความแค้นนี้ จากการคาดคะเนของชู่มู่ หลังจากห้านาที ความสามารถของ “ซือ”ที่มีพรสวรรค์อย่างสูงจะตามปีศาจขาวทันแล้ว!
จำต้องบอกว่า มารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่พรสวรรค์สูงอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีฝนตัดกำลัง การต่อสู้ระหว่างปีศาจขาวกับซือจะต้องนานมากแน่ๆ!
“ปีศาจขาว อย่าให้มันมีโอกาสเพิ่มความสามารถอีก!”ชู่มู่บอก
ในตอนนี้ ชู่มู่เริ่มจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของปีศาจขาว
“เงาปีศาจสลับตำแหน่ง!”ชู่มู่ออกคำสั่ง
ไฟปีศาจบนตัวมารนิรยขาวลุกโชนขึ้น หายตัวไปอย่างรวดเร็ว!
ท่ามกลางฝนสีฟ้า เงาของปีศาจขาวปรากฎด้านข้างตัวซือประมาณยี่สิบจั้ง กรงเล็บของมันเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ไฟปีศาจกลายเป็นกริซเก้าวิญญาณด้ามยาวทันที!
กริซเก้าวิญญาณนี้เหมือนมีดโค้งที่มีไฟปีศาจลุกโชนอยู่ ต่อให้เหวี่ยงอย่างไร ก็สร้างพลังทำลายล้างขั้นเก้าออกมาได้!
และถ้าบอกกับพลังพรสวรรค์สามอย่าง หมวดลับ หมวดไฟ หมวดอสูรของมารนิรยขาว ทันทีที่ฟาดลงเต็มแรง จะสร้างผลของขั้นเก้าระยะสมบูรณ์ได้แน่นอน!!
ในไม่ช้า ซือเห็นปีศาจขาวที่เหวี่ยงกริซเก้าวิญญาณปรากฎตัวขึ้น กรงเล็บของมันมีไฟปีศาจสองชั้นลุกโชนขึ้นทันที ไฟปีศาจสองอันนี้กลายเป็นคลื่นไฟปีศาจสองอัน พัดพาไปยังปีศาจขาว!
“คึคึ”
ไฟปีศาจขาวส่งเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ออกมา ในตอนที่คลื่นไฟปีศาจทับซ้อนนี้พัดพามา ไฟปีศาจลุกโชนขึ้นบนตัวปีศาจขาวอีกครั้ง แผดเผาร่างของมันจนกลายเป็นเถ้าถ่าน!!
เงาปีศาจสลับตำแหน่งซ้อน เงาปีศาจสลับตำแหน่งต่อเนื่องสองครั้ง การควบคุมเงาปีศาจสลับตำแหน่งของปีศาจขาวแม่นยำกว่าซืออย่างเห็นได้ชัด!
“ฮูฮู”
ด้านหลังซือ ไฟปีศาจเก้าวิญญาณเย็นเยียบลุกโชนขึ้นช้าๆ กลายเป็นเงาของปีศาจขาวอย่างไร้เสียง
กริซเก้าวิญญาณยื่นออกจากท่ามกลางไฟปีศาจ มือทั้งสองของไฟปีศาจกำกริซปีศาจเก้าวิญญาณนี้ไว้ ฟาดไปยังลำตัวของซือโดยที่ไม่มีความลังเล!!
“ฮวา”
ตอนที่ฟาดลงนี้ เปลวไฟกลับกลายเป็นดาบยาวร้อยจั้ง ฟาดลงกลางยอดเขาอย่างสะเทือนใจ แม้แต่ฝนสีฟ้ายังถูกผ่าออกโดยตรง!!
มองจากฟ้าสูงห้าร้อยจั้งลงมา สามารถมองเห็นโครงร่างที่เกิดจากไฟปีศาจลุกโชนนี้เป็นกริซปีศาจยาวร้อยจั้ง ไม่เพียงแต่วาดลงท่ามกลางสายฝน แต่เหมือนกำลังจะผ่าทั้งยอดเขาจากจุดสูงสุด!!
“พลังที่น่ากลัวมาก มารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงไม่ตายก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส!”
ขั้นเก้าระยะสมบูรณ์ นอกจากมารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงได้ใส่เกราะวิญญาณขั้นเก้าที่แพงอย่างยิ่ง มิฉะนั้นแทบไม่มีทางรอดไปได้
และในความจริง เจียงอี้เถิงแค่ใส่เกราะวิญญาณขั้นเก้าให้ตัวเอง ดวงวิญญาณของเขาไม่มึชุดเกราะแบบนี้!
“ฮูฮูฮูฮู”
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณบนตัว “ซือ”ของเจียงอี้เถิงดับลงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามารนิรยขาวกำลังเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
และแล้ว นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น!!
ความสามารถน่ากลัวยิ่งกว่าของปีศาจขาวกำลังจะปรากฎขึ้น
“กลืนมันลงไป ความสามารถของปีศาจขาวจะเพิ่มขึ้นสองขั้นโดยตรง!”ชู่มู่คิดในใจ
ปีศาจขาวอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสี่แล้ว หลังจากกลืนจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ลงไป ความสามารถจะอยู่ในลักษณะเก้าขั้นหกได้!!
…
“มาอีกแล้ว!”หลีเหิงจับจ้องไปยังปีศาจขาวของชู่มู่ พูดออกมาอย่างอดไม่ได้
“อะไรมาอีกแล้ว?”หลัวปิงรีบถามขึ้น สถานการณ์ต่อสู้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลัวปิงในตอนนี้กำลังคิดตามชู่มู่อยู่
“อีกไม่ช้าเจ้าจะเห็นความสามารถอันน่ากลัวยิ่งของมารนิรยตัวนี้!”หลีเหิงพูดขึ้น
ปีศาจขาวของชู่มู่เป็นมารนิรยในมารนิรย!
เป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่มีพรสวรรค์มากผิดปกติที่ไม่มีใครในวังมารนิรยกล้าทำสัญญาวิญญาณกับมัน!!
————————————————————-
“เกราะแห่งความบริสุทธิ์ !”
วารีจันทราร่ายคาถาขึ้นอีกครั้ง เดิมทักษะพิเศษนี้มีผลแค่ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้กลับกลายเป็นตัวตัดสินใจสนามแห่งนี้ เท่ากับว่าเกราะบริสุทธิ์แต่ละอันจะทำให้ความสามารถของดวงวิญญาณเพิ่มขึ้นขั้นหนึ่ง !
ในไม่ช้า บนตัวอสูรนกสวนสงครามกับอสูรนิมิตชุดม่วงถูกปกคลุมด้วยเกราะแห่งบริสุทธิ์แล้ว ความสามารถที่แท้จริงของอสูรนกสวนสงครามเทียบเท่าลักษณะเก้าขั้นสูง หลังจากที่ความสามารถของอสูรหลังคาน้ำแข็งถูกลดลงขั้นหนึ่งแล้ว จึงเทียบเท่าอสูรนกสวนสงครามแล้ว การต่อสู้ที่เสียเปรียบจึงกลายเป็นระดับเดียวกันอย่างรวดเร็ว
อีกทั้ง ด้วยความสามารถต่อสู้ลึกลับพิเศษ อสูรนกสวนสงครามที่มีความสามารถเทียบเท่าได้ใช้กริดกระดูกตวัดลงบนตัวอสูรหลังคาน้ำแข็งต่อเนื่อง ท่าทีแข็งแกร่งกว่าอสูรหลังคาน้ำแข็งแล้ว
หลังจากเกราะบริสุทธิ์อันที่สองของวารีจันทรานี้ สถานการณ์ต่อสู้ทั้งหมดได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงวิญญาณที่เสียเปรียบของชู่มู่กับเย้ชิงจือเริ่มโต้กลับอย่างเต็มพลังแล้ว !
“เหลือเชื่อจริง ๆ พวกเขาโต้กลับสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในวังมารนิรยได้ !!!”
มองดูสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ยิ่งมีคนส่งเสียงชื่นชมออกมา
ก่อนหน้านี้ คนของตำหนักวิญญาณแค่นับถือความกล้าของชู่มู่และเย้ชิงจือ แต่ในตอนนี้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าสองคนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความกล้า แต่ยังมีความสามารถที่สู้กับผู้แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรยได้จริง ๆ !
สิ่งที่ทำให้พวกเขานับถือมากที่สุดคือ ก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยเผยตัวตนให้เห็นมาก่อน ต่อให้เป็นชู่เฉิงที่ปรากฏตัวออกมา ยังใช้แค่ดวงวิญญาณรองต่อสู้มาตลอด ความแน่วแน่และการวางแผนแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้
“พวกเจ้าดูซะ ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย ตำหนักวิญญาณของพวกเราส่งสองคนใด ก็ทำให้พวกเจ้าไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เมื่อกี้ยังร้องด้วยความสะใจอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ไม่พูดอะไรแล้วละ ไม่เชื่อสายตาตัวเองแล้วใช่ไหม” หลัวปิงเองก็ชี้ไปยังพวกคนของวังมารนิรยแล้วด่าอย่างไร้ท่าทีผู้แข็งแกร่งอีกต่อไป
แน่นอนว่า หลัวปิงก็รู้ว่า ‘สองคนใด’ คาดว่าในทั้งตำหนักวิญญาณก็ไม่มีคนที่แข็งแกร่งอย่างพวกเขาแล้ว
เหล่าสมาชิกของวังมารนิรยในตอนนี้พูดไม่ออกจริง ๆ ทำได้แค่มองไปยังผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนนี้ด้วยท่าทีหงุดหงิด
…
“อัญเชิญอีกเถอะ ยังเป็นแบบนี้ต่อไปดวงวิญญาณของพวกเราจะแพ้แน่นอน” ซิงหยางเริ่มทนไม่ได้แล้ว
ฝนตัดกำลังก่อนหน้านั้นทำให้ดวงวิญญาณของเขาเชื่องช้ามาก ได้รับบาดเจ็บต่อเนื่อง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีก ทันทีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ความสามารถในการต่อสู้จะลดลงอย่างมาก เท่ากับเสียดวงวิญญาณไปตัวหนึ่ง
ซิงหยางกับเจียงอี้เถิงไม่มีดวงวิญญาณที่รักษาได้ ดวงวิญญาณต่อสู้ด้วยบาดแผล ยิ่งสู้จะยิ่งอ่อนแอแน่นอน อยู่ได้ไม่นาน ไม่มีทางที่จะมีแรงสู้กับดวงวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามแน่นอน
สีหน้าของเจียงอี้เถิงไม่น่ามองอย่างมาก เดิมทีคิดว่าจะเหยียบแมลงสองตัวนี้ได้ง่ายดาย ตอนนี้กลับถูกลอบกัด แล้วยังกัดจนเจ็บจริง ๆ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้น่าหงุดหงิดโมโหอย่างมาก
“ข้าไม่อยากเสียเวลาแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีแค่ซือเทียนที่เป็นอันตราย เขารู้ว่าข้ามีดวงวิญญาณอะไร ข้าก็ไม่จำต้องปิดบังแล้ว” เจียงอี้เถิงพูดเสียงต่ำ
ซิงหยางอึ้งเล็กน้อย ถามขึ้นว่า “เจ้าจะอัญเชิญซือเหรอ เจ้าไม่คิดจะเหลือไว้ถึงด่านที่เก้าแล้วงั้นหรือ”
“ไม่ต่างหรอก ถือว่าเป็นการอบอุ่นร่างกายในด่านที่เก้าเถอะ !” เจียงอี้เถิงบอก
“แต่ว่ารอให้ฝนตัดกำลังหายไปก่อนเถอะ มิฉะนั้น ความสามารถซือของเจ้าจะถูกลดลงสองขั้น” ซิงหยางบอก
“หึ ทักษะหมวดน้ำเล็ก ๆ แบบนี้จะขัดขวางข้าเจียงอี้เถิงได้จริง ๆ เหรอ ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ต่อให้ถูกลดลงสองขั้นแล้วจะทำอะไรได้ ข้ายังคงสลายพวกเขาได้ !” เจียงอี้เถิงยิ้มอย่างเยือกเย็น
ร่ายคาถาขึ้น สีหน้าของเจียงอี้เถิงเยือกเย็นมาก อีกทั้งยังเผยให้เห็นความชั่วร้ายบางอย่าง
น้ำฝนสีฟ้าตีบนตัว กลายเป็นม่านฝนบนตัวเจียงอี้เถิง
แต่บนตัวเจียงอี้เถิงกลับมีไฟปีศาจสีขาวเย็นเยียบลึกโชนขึ้นช้า ๆ ไฟปีศาจนี้เหมือนจะไม่ถูกกระทบด้วยฝนตัดกำลังนี้ พลิ้วไหวอยู่รอบ ๆ ความเย็นเยียบนั้นกระจายออก ทิ่มแทงไปยังส่วนลึกของวิญญาณ !
“ดูสิ โอรสน้อยจะอัญเชิญดวงวิญญาณแล้ว !!!” ผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยคนหนึ่งชี้ไปยังเจียงอี้เถิงแล้วร้องขึ้น
ในตอนนี้ คนทั้งหมดต่างมองไปยังเจียงอี้เถิง และแล้วไฟปีศาจได้ลุกโชนขึ้นบนตัวเจียงอี้เถิง นี่เป็นเอกลักษณ์ในการอัญเชิญมารนิรยขาว !!!
“ในตอนที่ฝนตัดกำลังยังตกอยู่ยังกล้าอัญเชิญ เจ้านี้บ้าขนาดนี้ หรือว่าเขายังมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านี้”หลัวปิงนิ่งอึ้ง
ในตอนที่เจอเจียงอี้เถิง มารนิรยขาวที่เขาอัญเชิญคือ ตัวที่ฆ่าล้างอยู่ในสนามตอนนี้ หลัวปิงไม่เคยเห็นเขาอัญเชิญมารนิรยตัวที่สองออกมา
มารนิรยขาวถูกเลียงด้วยพลังวิญญาณของเจ้าของเป็นส่วนใหญ่ ระดับเจ้าวิญญาณเลี้ยงมารนิรยขาวตัวหนึ่งได้ก้เก่งมากแล้ว แต่ใครก็คาดไม่ถึงว่า เจียงอี้เถิงกลับมีมารนิรยขาวสองตัว เท่ากับว่า ได้ทิ้งโอกาสทั้งหมดที่จะปล่อยร่ายวิญญาณออกมา !
มารนิรยขาวลักษณะเก้าน่าจะต้องกลืนกินพลังวิญญาณร้อยละห้าของเจ้าวิญญาณ มารนิรยสองตัว เท่ากับว่าพลังวิญญาณอยู่ในสถานะหมดลงตลอดเวลา
“ได้ข่าวว่าโอรสน้อยเป็นเจ้าวิญญาณห้าร่าย หรือว่าเป็นเรื่องจริง มิฉะนั้น เขาจะเลี้ยงมารนิรยขาวสองตัวได้อย่างไร มารนิรยขาวที่แท้จริงต้องถูกเลี้ยงด้วยพลังวิญญาณของผู้คุมดวงวิญญาณ !” เหล่าสมาชิกของวังมารนิรยส่งเสียงขึ้นมาทันที
ในบรรดาวัยหนุ่มวังมารนิรย สถานการณ์ขั้นสุดคือการรวมตัวของมารนิรยสามตัว อีกทั้งต้องเป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่มีร่ายวิญญาณค่อนข้างสูงด้วย หากความสามารถหยุดลงเล็กน้อย มารนิรยทั้งสามจะทำให้วิญญาณของเจ้าของได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก อีกทั้งอาจถูกกลืนวิญญาณได้
ส่วนเดิมทีมารนิรยขาวก็แข็งแกร่งกว่ามารนิรยเขียวและมารนิรยฟ้าอยู่แล้ว ในรุ่นวัยหนุ่มแทบไม่มีใครเลี้ยงมารนิรยขาวสองตัวได้ การอัญเชิญครั้งนี้ของเจียงอี้เถิง นับว่าทำให้คนทั้งหมดได้เห็นความแตกต่างของผู้แข็งแกร่งที่สุดกับผู้แข็งแกร่งทั่วไป !
“น่าแปลก ไฟปีศาจนี้เหมือนจะมีความพิเศษ….” ในไม่ช้า ผู้คนได้สังเหตเห็นผลของไฟปีศาจบนตัวเจียงอี้เถิง
“นั่นเป็นไฟปีศาจวิญญาณขาวระดับที่สี่ไม่ใช่เหรอ !!!”
“เก้า…เก้าวิญญาณ พระเจ้า นั่นเป็นไฟปีศาจเก้าวิญญาณ !!!”
คนในกลุ่มวังมารนิรยต่างส่งเสียงขึ้น คนทั้งหมดจับจ้องไปยังเจียงอี้เถิง !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณปรากฏขึ้น เท่ากับว่านี่เป็นมารนิรยที่มีพลังต่อสู้อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่ง !!!
จักรพรรดิขั้นสูง !!!
ต่อให้อยู่ในด่านที่แปด ดวงวิญญาณของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดต่างอยู่ในจักรพรรดิขั้นกลาง และการปรากฏตัวของจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่ง เป็นการข้ามขั้นพลังต่อสู้ดวงวิญญาณทั้งหมดของวัยหนุ่มเมืองเทียนเซี่ยนี้อย่างแท้จริง !
“แย่แล้ว !!! เจียงอี้เถิงเก็บเอาไว้จริงด้วย อีกทั้งยังเป็นจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่ง เขาได้เลี้ยงจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ตั้งนานแล้วแน่ ๆ ต่อให้ไม่ถึงลักษณะสิบ แต่ก็อยู่ในลักษณะเก้าขั้นสูงแน่นอน !” หลัวปิงพูดด้วยสีหน้าตกใจ
คนทั้งหมดต่างไม่ชอบความอวดดีของโอรสน้อยวังมารนิรยเจียงอี้เถิงคนนี้ แต่ว่าการปรากฏตัวของจักรพรรดิขั้นสูงนี้ ทำให้คนทั้งหมดเข้าใจแล้วว่า เจ้านี่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวบ้าคลั่งอวดดีได้จริง !!!
“ซึ ซึ ซึ”
ฝนสีฟ้าตีบนตัวมารนิรยขาวเก้าวิญญาณของเจียงอี้เถิง ปล่อยให้ทักษะหมวดน้ำนี้ลดความสามารถจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ลงสองขั้น และแล้ว พลังที่ชั่วร้ายนั้นกลับยังคงชวนขนลุกไม่เปลี่ยน !!!
การตัดกำลังสองขั้น ยังมีพลังแบบนี้ได้ ถ้าไม่ถูกควบคุมเอาไว้ นั่นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมากเพียงใด !!!
ฝนตัดกำลังนี้ทำให้มารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงลดลงจากจักรพรรดิขั้นสูงเป็นขั้นกลาง และแล้ว นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในลักษณะเก้าขั้นสูงอย่างแท้จริง !!!
เท่ากับว่า ต่อให้มีฝนตัดกำลังอยู่ มารนิรยขาวตัวนี้ยังคงเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นสูงตัวหนึ่ง เดิมความสามารถของมารนิรยขาวก็แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นขั้นหนึ่งแล้ว เท่ากับว่า ความสามารถของมันอยู่ที่จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นยอด !!!
หลังถูกตัดกำลัง จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นยอด
ในภาวะที่ถูกตัดกำลังสองขั้น ยังคงมีความสามารถจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าชั้นยอด ถ้าอย่างนั้น ความสามารถปกติของมันแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะสิบถึงขั้นหนึ่ง !!!
จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ ความสามารถแบบนี้เพียงพอที่จะกวาดล้างขั้นสองได้แน่นอน แล้วยังแข็งแกร่งมากขึ้นอีกหนึ่งขั้น ถ้าอย่างนั้นความสามารถของมารนิรยขาวจะน่ากลัวมากเพียงใดเป็นสิ่งที่ยากจะจินตนาการได้ !!!
หลังจากที่บนฟ้าเงียบสักพัก เหล่าสมาชิกของวังมารนิรยโห่ร้องขึ้นมาทันที !
“วังมารนิรยแข็งแกร่งที่สุด !”
“วังมารนิรยแข็งแกร่งที่สุด !!!”
เสียงโห่ร้องดังเป็นคลื่นออกไป อีกทั้งส่งผลกระทบไปยังสนามรบแล้ว !
“ผู้คุมดวงวิญญาณหญิงควบคุมสี่แล้ว ได้ข่าวว่า ชู่เฉิงได้รับบาดเจ็บญาณหนึ่งในด่านที่เจ็ด เท่ากับว่าชู่เฉิงทำได้แค่ควบคุมสาม พวกเขาในตอนนี้ทำได้แค่อัญเชิญดวงวิญญาณตัวเดียว ต่อให้จักรพรรดิขั้นสูงถูกตัดกำลัง ความสามารถยังแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณตัวใดในสนามถึงหนึ่งขั้น นอกจากว่าชู่เฉิงจะอัญเชิญดวงวิญญาณที่มีความสามารถถึงลักษณะเก้าชั้นยอดออกมา มิฉะนั้น แพ้แน่นอน !!!” เหล่าสมาชิกตำหนักวิญญาณเริ่มถดถอย
ลักษณะเก้าชั้นยอด ดวงวิญญาณของเย้ชิงจือกับชู่มู่ต้องทำการเสริมถึงจะเพิ่มขึ้นจนถึงลักษณะเก้าขั้นสูงได้ จะอัญเชิญดวงวิญญาณลักษณะเก้าชั้นยอดได้ออกมาอีกได้อย่างไร !
…
“หรือว่าจะแพ้แล้วเหรอ…ตอนแรกยังมีความหวังเล็ก ๆ อยู่บ้าง…” หลัวปิงถอนหายใจยาว
“ไม่แน่” ถิงหลันฉีกยิ้ม มองไปยังซ่างเหิง
ซ่างเหิงเองก็ยิ้มอย่างลึกลับ คนอื่นไม่รู้ดวงวิญญาณหลักของชู่มู่ แต่ซ่างเหิงกับถิงหลันได้เห็นกับตาแล้ว การต่อสู้จะไม่จบลงเพราะการปรากฏตัวของจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ของเจียงอี้เถิงแน่นอน
เพราะ ชู่มู่เองก็มีจักรพรรดิขั้นสูงตัวหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นจักรพรรดิขั้นสูงผิดปกติตัวหนึ่ง !!!
“ฮู ฮู ฮู ฮู”
หลังจากเจียงอี้เถิงอัญเชิญเสร็จ บนตัวชู่มู่กลับมีไฟปีศาจสีขาวลุกโชนขึ้น !!!
ชู่มู่สวมชุดสีดำ ทันทีที่ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้น จะโดดเด่นอย่างมาก
ในไม่ช้า ต่อให้เป็นผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยที่อวดดี หรือจะเป็นสมาชิกตำหนักวิญญาณที่มองอยู่ พวกเขาต่างพบเห็นไฟปีศาจบนตัวชู่มู่
“ไฟ…ไฟปีศาจสีขาว นี่เป็นขั้นตอนการอัญเชิญมารนิรยขาวไม่ใช่เหรอ !!!”
“ข้า…ข้าไม่ได้ตาลายใช่ไหม ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ ไฟปีศาจลุกโชนบนตัวเขา”
ไม่มีใครมองผิด ในตอนนี้ ชู่มู่กำลังอัญเชิญมารนิรยขาวจริง ๆ !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนรอบกายชู่มู่อย่างบ้าคลั่ง พลังชั่วร้ายที่ยิ่งกว่าบ่งบอกถึงการมาถึงของมารนิรยขาว !
ในตอนที่เกิดภาพนี้ในตอนแรก การก่อตัวของฝั่งวังมารนิรและตำหนักวิญญาณทั้งสองนี้ กลับมองไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยความมึนงง นิ่งอึ้ง…
และแล้ว สิ่งที่แน่ใจได้คือ ต่อให้สีหน้าของพวกเขาจะมากเพียงใด สิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ในตอนนี้กลับเหมือนกันหมด
“สถานการณ์อะไรกันแน่ !!!เขาเป็นสมาชิกตำหนักวิญญาณไม่ใช่เหรอ เขาควรจะอัญเชิญอสูรศักดิ์ไม่ใช่เหรอ ทำไม…ทำไมถึงอัญเชิญมารนิรยขาวตัวหนึ่งออกมาได้ !!!”
วินาทีนี้ ทั้งสนามแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง !
ซิงหยางควบคุมสาม เจียงอี้เถิงควบคุมสอง ชู่มู่ควบคุมสอง เย้ชิงจือควบคุมสี่
ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้อัญเชิญดวงวิญญาณออกมาต่อ เห็นได้ชัดว่า การประลองด้านลักษณะขั้นจะคงที่เวลาหนึ่ง แค่การต่อสู้ยังไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีใครอัญเชิญดวงวิญญาณออกมาอีก
ภูตวิญญาณของซิงหยางอยู่ในลักษณะเก้าขั้นหกแล้ว สูงกว่าจั้นเย้ถึงสองขั้น ระหว่างการต่อสู้ จั้นเย้ถูกภูตวิญญาณควบคุมไว้ตลอด
เดิมความเร็วของจั้นเย้ก็ไม่ไวเท่ามารนิรยอยู่แล้ว หลังจากที่ถูกควบคุมเอาไว้แล้ว มารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงกับมารนิรยฟ้าของซิงหยางได้สลัดการไล่ล่าของจั้นเย้แล้ว เริ่มทำการโจมตีไปยังดวงวิญญาณกลุ่มเสริมของเย้ชิงจืออย่างดุร้าย
โชคดีที่วารีจันทราของเย้ชิงจือยังทำการดับไฟของมารนิรยได้ มิฉะนั้น ไม่ถึงหนึ่งนาที ดวงวิญญาณรูปแบบเสริมทั้งสองตัวของเย้ชิงจือที่มีความสามารถต่ำกว่าไม่น้อยจะพ่ายแพ้อย่างสาหัสแน่นอน
“ชิงจือ ข้าอัญเชิญปีศาจขาวเถอะ ! ” ชู่มู่ก็ดูออกว่า สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้พวกเขาเสียเปรียบอย่างมาก ในตอนนี้จึงมีแค่ปีศาจขาวที่จะมีพลังกวาดล้างได้
“ไม่ใช่ตอนนี้ เจียงอี้เถิงยังมีดวงวิญญาณสองตัวที่ไม่ได้อัญเชิญ ถ้าอัญเชิญมารนิรยขาวในตอนนี้ ทำได้แค่กู้การต่อสู้ลักษณะขั้นในตอนนี้เท่านั้น ถึงตอนท้ายพวกเราจะเสียเปรียบอย่างมาก” เย้ชิงจือบอก
ชู่มู่ก็รู้วิธีการนี้ แต่ถ้าแพ้การต่อสู้ตั้งแต่ในตอนนี้ ต่อยิ่งจะไม่มีหวังชนะได้
ความสามารถของจั้นเย้จะเพิ่มขึ้นช้า ๆ อัญเชิญปีศาจขาวออกมาในตอนนี้ ยืดเวลาต่อสู้ให้นานขึ้น ทันทีที่หลังจากดวงใจแห่งมังกรหาญทำให้ความสามารถของจั้นเย้เกินกว่าภูตวิญญาณลักษณะเก้าขั้นหกตัวนั้นแล้ว การจำกัดของจั้นเย้จะน้อยลงอย่างมาก ถึงตอนนั้นต่อให้เจียงอี้เถิงหรือซิงหยางมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ต้องเผชิญกับชะตาที่ถูกขยี้อยู่ดี
“ใช้ทักษะวิญญาณเถอะ พลังวิญญาณของพวกเรามากกว่าพวกเขามาก ฟื้นได้ไวกว่า” เย้ชิงจือบอก
ถึงตอนท้ายนี้ การต่อสู้ส่วนใหญ่จะเป็นดวงวิญญาณหลัก นี่เป็นเหตุการณ์ที่ปกติมาก และแทบผู้แข็งแกร่งซ่อนความสามารถทุกคนจะใช้ดวงวิญญาณรองเพื่อฝ่าด่าน ถ้าอัญเชิญดวงวิญญาณหลักเท่ากับเผยความสามารถออกมา
“เจ้าใช้ทักษะวิญญาณเถอะ ข้าต้องเก็บพลังวิญญาณเอาไว้” ชู่มู่บอก
ฉิงเย้รับมือยากมาก ชู่มู่จำต้องเก็บพลังวิญญาณเพื่อสิบสามอัคคี
“อืม” เย้ชิงจือพยักหน้า เปิดแหวนช่องว่างออก หยิบขวดยาสีน้ำเงินเข้มออกมา
ทันใดนั้น เย้ชิงจือได้กระแทกขวดยานี้ลงพื้น ไอสีฟ้าอ่อนได้เริ่มกระจายออกมา !
ที่น่าแปลกคือ ไม่ว่าจะมีลมพัดแรงมากเพียงใดในที่สูงแบบนี้ ไอสีฟ้าอ่อนนี้จะไม่มีท่าทีถูกพัดกระจายออก อีกทั้งยังลอยอยู่แถวเย้ชิงจือกับดวงวิญญาณของเธอ
ตอนที่เปิดขวดยา เย้ชิงจือได้ร่ายคาถาขึ้น เห็นได้ชัดว่า ทักษะของเธอต้องใช้ยาที่เธอปรุงถึงจะสำเร็จได้ !
“นี่มันอะไร”
“หรือว่ายังมีทักษะวิญญาณที่ต้องปล่อยโดยใช้ยานั้นเหรอ”
หลังจากเห็นท่าทีของเย้ชิงจือ หลายคนได้เผยท่าทีสงสัยออกมา เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่เคยเห็นความสามารถแบบนี้มาก่อน
“นี่เป็นทักษะวิญญาณของนักวิญญาณ !!! สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกของเทพหมอ นี่เป็นทักษะที่แม้แต่นักวิญญาณขั้นสิบยังยากที่จะทำได้” หลีเหิงที่มากความรู้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ซ่างเหิง หลัวปิง ถิงหลันต่างมองไปยังหลีเหิง รอให้หลีเหิงทำการอธิบายทักษะพิเศษนี้
“ทักษะวิญญาณนักวิญญาณ นี่เป็นความสามารถแข็งแกร่งยิ่งที่นักวิญญาณน้อยคนจะควบคุมได้ โดยผ่านการใช้วัตถุวิญญาณ หรือสร้างกลิ่นพิเศษจากวัตถุวิญญาณเพื่อเสริมทักษะวิญญาณ โดยปกติพลังทักษะวิญญาณเสริมนี้จะเพิ่มผลของพลังหนึ่งถึงสองเท่าได้ ได้ข่าวว่าเป็นทักษะที่เรียนได้ยากมาก” หลีเหิงบอก
หมอกสีฟ้านี้เริ่มกระจายตัวขึ้นที่สูงอย่างช้า ๆ ปกคลุมยอดเขาของภูเขาเวหาอมตะทั้งหมดเอาไว้อย่างช้า ๆ
และในตอนนี้ คาถาของเย้ชิงจือสำเร็จแล้ว !
เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่ที่ส่องประกายสีฟ้าจับจ้องไปยังหมอกสีฟ้าบนฟ้านั้น
“ป้าบ”
“ป้าบ”
“ป้าบ ป้าบ”
ทันใดนั้น ฝนเล็กสีฟ้าตกลงจากหมอกสีฟ้านี้ !
ในไม่ช้า หยดฝนถี่ขึ้นมาก ในไม่ช้า ฝนตกหนักมากขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นฝนสีฟ้าที่ตกมาตามยอดเขาแห่งนี้ !!! “ฝนตัดกำลัง ! นี่เป็นทักษะตัดกำลังกลุ่มหมวดน้ำขั้นแปด !!!”
เมฆฝนสีฟ้าน่าจะสูงประมาณสามร้อยกว่าเมตร เหล่าผู้เข้าแข่งขันอยู่เหนือน้ำฝนหมด ในไม่ช้ามีเหล่าผู้เข้าแข่งขันมองทักษะวิญญาณนี้ออก !
ทักษะวิญญาณกลุ่ม ทักษะวิญญาณกลุ่มหมวดน้ำขั้นแปดนี้สามารถลดพลังวิญญาณขของเจ้าวิญญาณเกินครึ่งได้ !
“เด็กสาวที่ฉลาดมากจริง ๆ สถานการณ์ต่อสู้จะเปลี่ยนไปแล้ว !!!” หลีเหิงชื่นชมทันที
“ไม่ว่าอย่างไร ทักษะนี้ตกลงมา ดวงวิญญาณของชู่มู่จะถูกตัดกำลังเช่นกันไม่ใช่เหรอ” ซ่างเหิงถามอย่างไม่เข้าใจ
ในเมื่อเป็นทักษะวิญญาณกลุ่ม ทั้งคู่ต้องมีผลกระทบ โดนเฉพาะจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิง ฝนตัดกำลังแบบนี้เกรงว่า จะทำให้ความสามารถของมันลดลงไม่น้อย
“ดวงวิญญาณหลักที่พวกเรามีคือหมวดภูตอสูร หมวดอสูร ความจริงหลายคนไม่รู้วิธีใช้หมวดอื่นของดวงวิญญาณ ผลของยาสีฟ้านี้ทำให้ผลของฝนตัดกำลังทวีคูณขึ้น ความสามารถของดวงวิญญาณทุกตัวจะลดลงขั้นหนึ่ง…เอ๊ะ นี่ไม่ต้องให้ข้าอธิบายหรอก พวกเจ้าดูเอง เย้ชิงจือจะสอนพวกเจ้าทั้งหมดเอง ! ” หลีเหิงบอก
ซ่างเหิงยังไม่เข้าใจคำพูดของหลีเหิง แต่เหล่าผู้ชมทั้งหมดเข้าใจเป็นอย่างดี ทักษะกลุ่มที่ตัดความสามารถของทั้งสองฝ่ายแบบนี้จะมีความหมายจริงเหรอ อย่างน้อยการต่อสู้บนพื้นน่าจะมีผลชัดเจน
ตอนที่เย้ชิงจือใช้ทักษะนี้ ชู่มู่ไม่เข้าใจเจตนาของเย้ชิงจือเช่นกัน ทว่า เขาเชื่อว่าเย้ชิงจือจะไม่ใช้ทักษะวิญญาณสิ้นเปลือง
“ซึ ซึ ซึ”
ฝนสีฟ้าตัดกำลังตกลง ฝนแบบนี้ต่อให้เป็นดวงวิญญาณที่มีความเร็วมากเพียงใดก็หลบไม่ได้ น้ำฝนสีฟ้าตีบนตัวพวกมัน ซึมเข้าผิวของดวงวิญญาณอย่างช้า ๆ !!!
ของเหลวพิเศษนี้ไม่ว่าจะเป็นผิวของธาตุ ผิวเกราะหรือผิวหมวดอสูร จะถูกกัดกร่อนหมด ผลของการกัดกร่อนจะทำให้การป้องกัน พลังของดวงวิญญาณและพลังของธาตุเกิดผลกระทบหมด
เห็นได้ชัดว่า ที่ถูกตัดกำลังมากที่สุดน่าจะเป็นมารนิรยขาวกับมารนิรยฟ้า หลังจากดวงวิญญาณสองตัวที่เต็มไปด้วยเปลวไฟสองตัวนี้ถูกปกคลุมด้วยฝนสีฟ้าแล้ว กลิ่นไอของไฟปีศาจอ่อนลงทันที !!!
เดิมดวงวิญญาณหมวกไฟจะถูกหมวดน้ำจำกัดอยู่แล้ว !
เจอกับฝนสีฟ้าที่มีผลรุนแรงยิ่ง ความสามารถจะลดลงเกือบสองขั้นทันที !!!
ความสามารถที่แท้จริงของมารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงอยู่ในลักษณะเก้าชั้นยอด ฝนตัดกำลังรุนแรงนี้ทำให้พลังของมันลดลงเหลือแค่ลักษณะเก้าขั้นกลาง !
ส่วนมารนิรยฟ้าของซิงหยางไม่รอดเช่นกัน ความสามารถลักษณะเก้าขั้นสูงลดลงเหลือแค่ลักษณะเก้าขั้นต่ำ !
การตัดกำลังสองขั้นน่ากลัวเกินไปสำหรับมารนิรย เจียงอี้เถิงกับซิงหยางเห็นความสามารถดวงวิญญาณของตัวเองลดลงอย่างมาก จนแสดงสีหน้าประหลาดอย่างมากออกมา
ทักษะขั้นแปดอย่างฝนตัดกำลังนี้ โดยปกติถ้าทำให้ทักษะของดวงวิญญาณลดลงเกินครึ่งขั้นก็เก่งมากแล้ว อีกทั้งความสามารถของทั้งสองฝ่ายจะลดลง สำรับผู้คุมดวงวิญญาณส่วนใหญ่แล้วทักษะนี้ถือเป็นทักษะที่ไร้ค่าอย่างมาก…
และแล้ว เจียงอี้เถิงกับซิงหย่างต่างมีมารนิรย การตัดกำลังมารนิรยสองตัวเท่ากับจะเสียเปรียบแน่นอน
“หึ ไม่เป็นไร ใช้พลังวิญญาณเกินครึ่งก็ทำได้แค่ตัดความสามารถมารนิรยสองตัวของพวกเราขั้นเดียว ดวงวิญญาณของพวกเขาจะอ่อนลงเช่นกัน เท่ากับทั้งสองฝ่ายเสมอกัน” เจียงอี้เถิงบอก
“จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงตัวนั้นก็จะลดลงสองจขั้น ลดลงทั้งคู่ น่าจะทำให้ความสามารถดวงวิญญาณของพวกเราลดลงแค่หนึ่งขั้น” ซิงหยางพยักหน้า
พลังวิญญาณครึ่งหนึ่งทำได้แค่ลดกำลังดวงวิญญาณหนึ่งตัวแค่หนึ่งขั้น เย้ชิงจือย่อมไม่โง่ถึงขั้นนี้
“วารีจันทรา เกราะบริสุทธิ์” ดวงตาของเย้ชิงจือส่องประกาย เผยให้เห็นเสน่ห์งดงามอันชาญฉลาด
วารีจันทราท่วมด้วยน้ำฝนสีฟ้า ความสามารถไม่ลดลง แต่ยังเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น เทียบเท่าจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลาง
วารีจันทราร่ายคาถาขึ้น ทักษะเกราะบริสุทธิ์นี้ของวารีจันทราปล่อยออกมาพร้อมกันได้
ในไม่ช้า ประกายวงแหวนบริสุทธิ์สองเส้นของวารีจันทราได้ล้อมรอบตัวจั้นเย้กับมั่วเย้ กันน้ำฝนสีฟ้าที่ทำการหล่อหลอมร่างกายนั้นไว้ด้านนอก !
หลังจากที่ความสามารถของจั้นเย้ถูกลดลงขั้นหนึ่งแล้วได้กลับมาอยู่ในภาวะลักษณะเก้าขั้นกลางอย่างรวดเร็ว
ความสามารถของจั้นเย้ฟื้นกลับมาแล้ว แต่ภูตวิญญาณที่ควบคุมมันไว้กลับกลายเป็นลักษณะเก้าขั้นต่ำ ทักษะภูตวิญญาณของมันเกิดความผิดพลาดมากขึ้น
ทันทีที่ไม่ถูกควบคุมด้วยจิต พลังกายแบบนั้นของจั้นเย้แทบไม่มีใครรับมือได้ ในไม่ช้า ภูตวิญญาณของซิงหยางก็ต้องรับเคราะห์ไป ถูกจั้นเย้ไล่ตาม !
มั่วเย้ที่อยู่ท่ามกลางสายฝนสีฟ้าถูกลดไปสองขั้นเช่นกัน แต่หลังจากที่เกราะแห่งบริสุทธิ์วนรอบตัวมันแล้ว มงกุฎเพลิงบนตัวมันกระจายออกอีกครั้ง ในด้านพลังนี้เกินกว่าสิงโตงูสายฟ้าทันที !!!
“อู อู อู !!! ”
หางเก้าเส้นของมั่วเย้ตวัดผ่านอย่างแรง สิงโตงูสายฟ้าที่ถูกตัดกำลังปลิวออกไปทันที ไถลไกลออกไปร้อยกว่าเมตร !
เดิมภูตวิญญาณของซิงหยางและสิงโตงูสายฟ้าของเจียงอี้เถิงยังอยู่เหนือกว่า แต่หลังจากใช้เกราะแห่งบริสุทธิ์นี้แล้ว สถานการณ์เปลี่ยนไปทันที !
วินาทีนี้ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดที่อยู่บนฟ้าอึ้งจนพูดไม่ออกแล้ว !
พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงคนนี้จะเป็นผู้คุมดวงวิญญาณเสริมที่ปรับใช้หมวดได้ดีแบบนี้ !
ตัดกำลังความสามารถของดวงวิญญาณฝ่ายตรงข้ามหมด หลังจากเพิ่มเกราะแห่งความบริสุทธิ์ทำให้ความสามารถของฝ่ายตัวเองไม่เปลี่ยน !!!
ฝนตัดกำลังนี้ ทำให้ความสามารถดวงวิญญาณทั้งหมดของเจียงอี้เถิงและซิงหยางลดลงหนึ่งขั้น มารนิรยได้ลดลงถึงสองขั้น
ส่วนความสามารถดวงวิญญาณของชู่มู่กับเย้ชิงจือไม่เปลี่ยน สถานการณ์ต่อสู้ที่เลวร้ายได้แปรผันไปทันที การแปรผันทั้งหมดนี้เป็นเพราะทักษะกลุ่มหมวดน้ำที่ไม่เป็นที่ใส่ใจของผู้คน !!!
“เห็นหรือยัง ถ้านักวิญญาณคนหนึ่งรู้จักควบคุมหมวดในสนาม แล้วใช้ทักษะที่เหมาะสม จะควบคุมสถานการณ์ต่อสู้ทั้งหมดได้ โดยเฉพาะการต่อสู้แบบหมู่ของดวงวิญญาณหลายตัว !” หลีเหิงบอก
ไม่ต้องให้หลีเหิงอธิบายแล้ว ผลทักษะวิญญาณของเย้ชิงจือชัดเจนมากแล้ว !
ในตอนนี้ หลีเหิงได้กลายเป็นอาจารย์พูดอธิบายในห้องเรียนแล้ว ส่วนเหล่าผู้เข้าแข่งขันตำหนักวิญญาณได้กลายเป็นนักเรียนที่อึ้งอย่างมาก พยักหน้าอย่างจริงจัง ทำท่าทีเหมือนพร้อมจะรับคำสอน !
จั้นเย้เกราะสีหมึกในตอนนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นการต่อสู้ อยู่ในภาวะลักษณะเก้าขั้นกลางตลอด ความสามารถแบบนี้ถ้าจะเทียบแล้ว ยังอ่อนกว่ามารนิรยขาวลักษณะเก้าขั้นสูงของเจียงอี้เถิง
ทว่า พลังโจมตีของจั้นเย้จะเพิ่มขึ้นขั้นหนึ่งด้วยผลของลายเส้นปีศาจอสูรเขา การป้องกันยังมีเกราะวิญญาณขั้นเก้า !
เกราะวิญญาณขั้นเก้าจำต้องให้จักรพรรดิขั้นกลางใช้ทักษะขั้นสูงถึงจะทำลายการป้องกันได้บ้าง มารนิรยขาวลักษณะเก้าขั้นกลางของเจียงอี้เถิงยังห่างกับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบขั้นหนึ่ง
ข้างตัวซิงหยางมีมารนิรยฟ้าตัวหนึ่ง มารินรยฟ้าตัวนี้ก็อยู่ในจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นสูง พลังทำลายล้างของไฟปีศาจฟ้านี้ไม่ด้อยไปกว่าไฟปีศาจวิญญาณขาวของจักรพรรดิขั้นกลางแล้ว
ตอนที่จั้นเย้พุ่งเข้าไปในวงการต่อสู้ของพวกเขา มารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงกับมานิรยฟ้าได้ออกโจมตีด้วยกรงเล็บไฟปีศาจพร้อมกัน !
พลังของกรงเล็บไฟปีศาจสองอันนี้อยู่ในขั้นเก้าระยะสุดท้าย พลังโจมตีแบบนี้ บวกกับผลการแผดเผาวิญญาณของไฟปีศาจ ถ้าเป็นการป้องกันของจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นต่ำอาจถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีได้ !
“ซ่า !!! ”
รอยเล็บสีฟ้ากับสีขาวต่างตวัดสองข้างตัวของจั้นเย้ ทิ้งรอยสองเส้นไว้บนเกราะของจั้นเย้…
ถ้ารอยเล็บทั้งสองเส้นนี้ตวัดลงบนร่างของดวงวิญญาณหมวดอสูร เนื้อจะขาดออกจากกันแน่นอน ไฟปีศาจจะเแผดเผาไปตามแผลเข้าไปในเนื้ออย่างรวดเร็ว
แต่ว่า เกราะหมึกของจั้นเย้หนาอย่างมาก การโจมตีสองอันนี้ไม่สามารถฉีกแม้แต่เกราะของจั้นเย้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บ!
“นี่..นี่มันการป้องกันอะไร!!”เจียงอี้เถิงเบิกตากว้าง มองไปยังแผลตื้นบนตัวจั้นเย้อย่างเหลือเชื่อ
สีหน้าของซิงหนางเปลี่ยนไปทันที มารนิรยฟ้าของเขาทำให้จั้นเย้บาดเจ็บน้อยกว่าอีก แทบจะไม่นับว่าบาดเจ็บด้วยซ้ำ !
“โฮร่ !!! ”
จั้นเย้ได้ส่งเสียงคำรามขึ้น ลำตัวแข็งแรงกระโดดขึ้นสูง ตอนที่ร่างกายถึงจุดสูงสุดได้ถูกพลังสีดำบางอย่างห่อหุ้มเอาไว้!
“บึ้ง !!! ”
จั้นเย้พุ่งลงจากฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อเป็นแรงกระแทกไปยังมารนิรยฟ้า สิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยไฟปีศาจสีฟ้านี้ปลิวออกไปร้อยกว่าเมตร !
มารนิรยขาวของเจียงอี้เถิงได้รับผลกระทบเช่นกัน ทว่า สิ่งมีชีวิตลึกลับนี้หลบได้อย่างคล่องแคล่ว
“จั้นเย้ หนามเกราะหมึก ! ”
หลังจากจัดการมารนิรยฟ้าที่เกะกะออกไปแล้ว ชู่มู่ได้สั่งให้จั้นเย้โจมตีไปยังมารนิรยฟ้าโดยมองข้ามการป้องกัน !
หนามเกราะหมึกปรากฏขึ้น จั้นเย้ได้กลายเป็นแสงดำอันหนึ่ง บินไปยังมารนิรยขาว ทันใดนั้น ไฟปีศาจสีขาวกับพลังสีดำได้ปะทะกันบริเวณใจกลางสุดของยอดเขา พลังเย็นเยียบทั้งสองกระจายไปทั่วทุกทิศทาง !!!
“มั่วเย้ที่ดุร้ายมาก รับมือกับมารนิรยขาวลักษณะเก้าขั้นกลางของเจียงอี้เถิงได้ !!!” หลัวปิงพูดอย่างประหลาดใจ
“เดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นความสามารถที่ผิดปกติยิ่งกว่านี้ของมัน”ซ่างเหิงหัวเราะขึ้นมา มั่วเย้ของชู่มู่นี้ มองข้ามแม้แต่ปีศาจแมลงตะกละจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะสิบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารนิรยขาวลักษณะเก้าขั้นสูงแล้ว !
เหล่าสมาชิกตำหนักวิญญาณพบว่า ชู่มู่ยังมีพลังแบบนี้สู้กับคนที่แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย ต่างเผยรอยยิ้มออกมา
…
ชู่มู่จะไม่ปล่อยให้เสียเวลาต่อไป ในตอนนั้นได้ตบมั่วเย้บนไหล่ตัวเองเบา ๆ
มั่วเย้เตรียมตัวมานานแล้ว หลังจากได้รับอนุญาตของชู่มู่แล้ว มันกระโดดลงพื้นทันที ดวงตาสีเงินคู่นั้นจับจ้องไปยังดวงวิญญาณหมวดอสูรที่เจียงอี้เถิงเพิ่งอัญเชิญออกมา !
ดวงวิญญาณหมวดอสูรที่เจียงอี้เถิงอัญเชิญออกมาเป็นสิงโตงูสายฟ้าตัวหนึ่ง !
สิงโตงูสายฟ้า ตระกูลภูตอสูร หมวดอสูร กลุ่มสิงโต กลุ่มสิงโตงูสายฟ้าทั่วไป จักรพรรดิขั้นกลาง
สิงโตงูสายฟ้า ลักษณะภายนอกคล้ายสิงโตเสือปีกสายฟ้า ขนสีม่วงที่พลิ้วไหว เต็มไปด้วยพลัง มีปีกสีม่วงคู่หนึ่ง สามารถวิ่งบนฟ้าได้ ที่พิเศษที่สุดคือ บริเวณหางไม่ใช่หางสิงโตธรรมดา แต่เป็นงูพิษลายดอกไม้สีม่วงสองเส้นซึ่งยื่นออกจากบริเวณสะโพก !
ความยาวของงูพิษสองเส้นนี้น่ากลัวอย่างมาก เป็นงูเหลือมดุร้ายสองตัว พวกมันเหมือนมีชีวิตแยกออกมา ยืดตัวขึ้น ใช้ดวงตาดุร้ายนั้นจับจ้องไปยังศัตรู
มั่วเย้มีหางจิ้งจอกเก้าเส้น เมื่อเทียบกันแล้ว เก้าหางนี้ดูมีพลังและงดงามกว่า แต่หางงูสองเส้นนี้ของสิงโตงูสายฟ้านี้กลับดุร้ายยิ่งกว่า ถ้าเข้าใกล้อาจถึงชีวิตได้ !
“จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นสูง !!!”
เหล่าผู้แข็งแกร่งด่านที่แปดนี้นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งร้อยคนแรกของการประลองฟ้าดินทั้งหมดนี้แล้ว ดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นต่ำเป็นดวงวิญญาณเฉลี่ยของระดับนี้ สิงโตงูสายฟ้าลักษณะเก้าขั้นสูงนี้เกินกว่าระดับนี้ถึงสองขั้น
อีกทั้ง เหมือนดวงวิญญาณทั้งหมดที่เจียงอี้เถิงมีจะอยู่ในระดับลักษณะเก้าขั้นสูงหมด !
ผู้แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรย เพียงแค่ดวงวิญญาณสองตัวนี้ก็เผยให้เห็นความต่างจากผู้คนได้แล้ว
“จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงอยู่แค่ลักษณะเก้าขั้นสาม จะเป็นคู่ต่อสู้ของสิงโตงูสายฟ้าได้อย่างไร อีกทั้งเห็นได้ชัดว่า สิงโตงูสายฟ้านี้มีหมวดรอง เป็นความสามารถของลักษณะเก้าชั้นยอด ! ”
มั่วเย้กับสิงโตงูสายฟ้าได้ตั้งตัวแล้ว !
ทว่า ในตอนที่ผู้คนยังไม่ทันได้ทำการวิเคราะห์หมวดของดวงวิญญาณ แสงจันทร์งดงามได้สาดส่องลงมาบนตัวมั่วเย๋ ทำให้ลำตัวสีเงินของมั่วเย้ดูสูงส่งเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม !
เชิญปีศาจจันทรา !
มั่วลักษณะเก้าขั้นสาม กลิ่นไอของแสงจันทร์ที่ปกคลุมทำให้แข็งแกร่งขึ้นทันที ความสามารถเพิ่มขึ้นจากลักษณะเก้าขั้นสามเข้าสู่ลักษณะเก้าขั้นหกอย่างรวดเร็ว !
ผลของมงกุฎเพลิง ทำให้ความสามารถของมั่วเย้เพิ่มขึ้นอีกระดับได้ ดังนั้น ความสามารถที่แท้จริงของมั่วเย้คือ ลักษณะเก้าขั้นสูง ห่างกับสิงโตงูสายฟ้าแค่ขั้นเดียว
“เสียงดอกไม้ ! ”
เย้ชิงจือเองก็รู้จักหมวดตรงกันข้าม ไม่ได้เพิ่มเกราะน้ำให้กับมั่วเย้ แต่กลับเพิ่มทักษะรักษาต่อเนื่องอย่างเสียงดอกไม้ผ่านกระดิ่งแก้วตา !
ทักษะเสียงดอกไม้นี้จะเยียวยาแผลได้ในสามนาที ในสามนาทีนี้ระดับของแผลจะเปลี่ยนจากแผลระดับกลางเป็นแผลที่เบาลง…
และถ้าคงที่สิบสองนาที เท่ากับว่า ในเวลาสิบสองนาทีนี้ แค่มั่วเย้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพิ่ม จะยังคงภาวะต่อสู้ที่เต็มอิ่มที่สุดได้
ความสามารถที่อยู่ในขั้นใดขั้นหนึ่ง มั่วเย้จะไม่แพ้แน่นอน ต่อให้ไม่มีเสียงดอกไม้ ชู่มู่ก็เชื่อว่ามั่วเย้จะชนะสิงโตงูสายฟ้าได้ร้อยละร้อย !
“เท่ากับว่าลักษณะเก้าขั้นสูง ยังสู้ได้บ้าง ว่าแต่…” เหล่าผู้ชมตำหนักวิญญาณได้นึกถึงปัญหาหนึ่ง
ตามปกติแล้ว คนที่ยืนอยู่บนยอดเขา อีกทั้งมีดวงวิญญาณลักษณะเก้าขั้นสูงนี้น่าจะเป็นฟางเจ๋อผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในตำหนักวิญญาณของพวกเขา ทำไมถึงกลายเป็นชู่เฉิงระดับเจ็ดได้ !
เห็นได้ชัดมาก ดวงวิญญาณที่ชู่เฉิงอัญเชิญในด่านก่อน ๆ เพื่อได้หน้าล้วนเป็นดวงวิญญาณรอง !!!
…
“ซิงหยางได้อัญเชิญดวงวิญญาณหมวดอสูรแล้ว ! ”
ดวงวิญญาณหมวดอสูรเป็นดวงวิญญาณหลักที่ผู้คุมดวงวิญญาณทุกตัวมี ผู้แข็งแกร่งทุกคนจะต้องมีดวงวิญญาณหลักเป็นหมวดอสูรหนึ่งตัว
ดวงวิญญาณหมวดหลักที่ซิงหยางอัญเชิญคืออสูรหลังคาน้ำแข็ง !!!
อสูรหลังคาน้ำแข็งมีระดับพลังต่อสู้จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะขั้นอยู่ที่ลักษณะเก้าขั้นสูงแล้ว !!!
สมคำล่ำลือว่า เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งและสองของวังมารนิรย ดวงวิญญาณที่พวกเขาอัญเชิญต่างเป็นลักษณะเก้าขั้นสูงที่ทำให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่ถูกคัดออกพูดไม่ออก !
อสูรหลังคาน้ำแข็งเป็นหมวดน้ำแข็ง ถ้าหาเรื่องมั่วเย้ มันจะเสียเปรียบแน่นอน
ชู่มู่ขมวดคิ้ว ซิงหยางกับเจียงอี้เถิงต่างเป็นคนฉลาด ถ้ามีหมวดตรงกันข้าม พวกเขาจะไม่ให้ดวงวิญญาณของพวกเขาสู้กับมั่วเย้แน่นอน
และแล้ว อสูรหลังคาน้ำแข็งนี้เล็งไปยังมั่วเย้ที่สู้กับสิงโตงูสายฟ้าทันที กลิ่นไอน้ำแข็งปล่อยออกจากทั้งตัวอย่างบ้าคลั่ง ดับมงกุฎเพลิงของมั่วเย้ทันที !
“ชู่มู่ อสูรนกสวนสงครามของข้าจัดการอสูรหลังคาน้ำแข็ง” เย้ชิงจือใช้ร่ายวิญญาณบอกกับชู่มู่
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า ศัตรูที่เจอในตอนนี้ต่างเป็นผู้คุมดวงวิญญาณอัจฉริยะของอำนาจต่าง ๆ ดวงวิญญาณทั้งหมดที่พวกเขามีไม่ใช่ดวงวิญญาณธรรมดา
แม้แต่ความสามารถหมวดน้ำแข็งที่อสูรหลังคาน้ำแข็งมียังเป็นน้ำแข็งพิฆาตขั้นสูง เท่ากับหมวดรองนี้จะทำให้ความสามารถของอสูรหลังคาน้ำแข็งนี้เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง อยู่ในลักษณะเก้าชั้นยอด !
“ดวงวิญญาณของชู่เฉิงกับเย้ชิงจือต่างอยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลาง แม้จะบอกว่ามีหมวดรอง แต่เห็นได้ชัดว่าความสามารถห่างกันขั้นหนึ่ง สองคนนี้ซ่อนความสามารถได้มิดชิดมาก ถ้าเจอคนอื่นที่ไม่ใช่ซิงหยางกับเจียงอี้เถิงวังมารนิรย จะขยี้พวกเขาได้แน่นอน แต่กลับได้เจอกับผู้แข็งแกร่งผิดปกติสองคนนี้” ตำหนักวิญญาณพูดขึ้น
ความสามารถของดวงวิญญาณมองออกได้ทันที ความสามารถเฉลี่ยจะอ่อนลง นอกจากว่าดวงวิญญาณของชู่มู่กับเย้ชิงจือจะมีความสามารถพิเศษอย่างอื่น มิฉะนั้น อยู่ไม่ถึงสิบนาทีแน่นอน
แน่นอนว่า ถ้าไม่มีดวงวิญญาณหมวดเสริมของเย้ชิงจือ คงยากที่จะทนถึงห้านาทีได้
…
“ให้ภูตวิญญาณของข้าควบคุมมั่วเย้ตัวนั้น” ซิงหยางใช้ร่ายวิญญาณบอกกับเจียงอี้เถิง
มั่วเย้อาศัยความสามารถป้องกันทรงพลังนั้น จัดการแบบหนึ่งต่อสอง นับว่าเป็นจุดสำคัญของทั้งสนามต่อสู้นี้
ในการต่อสู้ตัวต่อตัว มารนิรยขาวกับมารนิรยฟ้ายากที่จะรับมืออย่างมาก !
มารนิรยทั้งสองต่างเป็นดวงวิญญาณที่เน้นการโจมตีเป็นหลัก ถ้าถูกสิ่งที่พุ่งตรงมาโดยไม่สนใจความเป็นอยู่ขวางเอาไว้ การต่อสู้ครั้งนี้แทบไม่มีการโจมตีใด ๆ อย่างไรสิงโตงูสายฟ้าและอสูรหลังคาน้ำแข็งในตอนนี้ล้วนมีคู่ต่อสู้แล้ว
เผชิญกับสิ่งมีชีวิตที่เน้นพลังและการป้องกันแบบนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการควบคุมด้วยจิต เพียงแค่มีภูตวิญญาณที่มีลักษณะขั้นสูงกว่ามัน ต่อให้ภูตวิญญาณตัวนี้ไม่มีการป้องกันหรือการโจมตี ก็สามารถควบคุมดวงวิญญาณเน้นพลังตรงหน้านี้ได้
“อืม มั่วเย้ตัวนี้จัดการยากจริง ! ฝากเจ้าด้วย ! ” เจียงอี้เถิงพูดด้วยใบหน้าเยือกเย็น
“ผู้คุมดวงวิญญาณหญิงเน้นการเสริม วารีจันทรากับกระดิ่งแก้วตาต่างมีความสามารถเยียวยา แม้ความสามารถดวงวิญญาณของพวกเราจะสูงกว่าพวกเขาขั้นหนึ่ง ถ้าไม่จัดการพวกมันละก็ ทุกครั้งที่โจมตี พวกมันจะได้รับการเยียวยาในเวลาอันสั้นทุกครั้ง”ซิงหยางกวาดตามองไปยังดวงวิญญาณเสริมสองตัวของเย้ชิงจือ
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง พวกเราแค่เล่นกับพวกเขา หรือว่าพวกเขาคิดว่าข้าเจียงอี้เถิงมีดวงวิญญาณแค่นี้เหรอ”เจียงอี้เถิงบอก
“เจียงอี้เถิง มารนิรยขาวตัวนี้ของเจ้า…น่าจะไม่ใช่ ‘ซือ’ ใช่ไหม หนึ่งปีก่อนที่พวกเราประลองกัน เจ้าไม่ได้อัญเชิญมันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” ซิงหยางพูดขึ้น
“ที่แท้เจ้ามองออกแล้ว มันไม่ใช่มารนิรย ‘ซือ’ ที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าแน่นอน ! ในตอนนั้นถ้าข้าอัญเชิญมัน เจ้าจะเสมอกับข้าเหรอ ทว่า การต่อสู้ครั้งนี้แทบไม่ต้องอัญเชิญมันออกมา” เจียงอี้เถิงฉีกยิ้มออกมา
“มีคนขึ้นเขาอีกแล้ว เหมือนจะเป็นคนของวังมารนิรย ผู้แข็งแกร่งสองคนของวังมารนิรยครองอยู่ จะมีใครกล้าขึ้นไปบนยอดเขาอีก!”
“ท่าทีนั้นเหมือนเป็นวังมารนิรย เหมือนจะมีกลิ่นไอของมารนิรยอยู่บนตัวด้วย”
“ทำไมข้ารู้สึกว่า คนนั้นเหมือนชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ…วัยหนุ่มท้าทายข้ามขั้นที่มีท่าทีโดดเด่นเป็นพิเศษในด่านแรก ๆของการประลองฟ้าดิน”
ในตอนนี้ ชู่มู่กำลังมุ่งหน้าไปยังยอดเขาของภูเขาเวหาอมตะ สิ่งที่ตามอยู่ข้างเขาคือเย้ชิงจือที่ขี่อสูรนิมิตชุดม่วงอยู่
มั่วเย้สีหมึกที่เป็นทรงเหลี่ยมชัดเจน คู่กับชู่มู่ที่ใส่ชุดดำได้พอดี เผยให้เห็นความเยือกเย็นของชู่มู่
ผู้แข็งแกร่งทั้งสองของวังมารนิรยได้ครองยอดเขาเวหาอมตะ ชู่มู่รู้ว่าจะคุ้มกันให้สมาชิกวังมารนิรยตั้งนานแล้ว
ตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งขั้นสองของทั้งวังมารนิรย มีเพียงมารนิรยของสองคนนี้ถึงเหมาะจะเป็นอาหารให้ปีศาจขาวของชู่มู่ ส่วนผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรย ชู่มู่มองข้ามได้หมดเลย
ปีศาจขาวในตอนนี้อยู่ในลักษณะเก้าขั้นสี่ หลังจากได้กินวิญญาณของมารนิรยพวกเขาแล้ว ปีศาจขาวน่าจะเติบโตได้ประมาณหนึ่งถึงสองขั้น ส่วนพลังวิญญาณที่เหลือจะเป็นของชู่มู่ทั้งหมด ร่ายวิญญาณของชู่มู่จะเพิ่มขึ้นประมาณสามส่วนได้ เช่นนี้ร่ายวิญญาณของชู่มู่จะถึงประมาณเก้าส่วน ห่างกับร่ายวิญญาณเจ็ดร่ายแค่ก้าวเดียว!
ยอดเขาตั้งชัน ภายใต้ท้องฟ้าสีฟ้านี้ ราวกับเป็นสนามประลองกลางฟ้า !
ลมพัดอย่างรุนแรง บางครั้งจะกัดกร่อนชั้นหินเหล่านั้น ก่อเป็นฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย ปลิวออกไปด้านนอกหุบเขา
“ซิงหยาง เจ้าได้แหวนนักโทษมาเท่าไร” เจียงอี้เถิงถามขึ้น
“ประมาณสามพันล้าน” ซิงหยางตอบ
“ข้าได้สี่พันล้าน น่าจะไม่มีใครได้มากกว่าข้าแล้วละ ฮะฮะ” เจียงอี้เถิงหัวเราะออกมา
“อาจจะ” ซิงหยางตอบ
“คนของตำหนักวิญญาณกับวังดวงวิญญาณถอยแล้ว น่าเบื่อจริง” เจียงอี้เถิงเดินไปยังขอบยอดเขา มองไปยังภูเขาเวหาอมตะทั้งแห่งนี้ด้วยท่าทีเบื่อหน่ายแต่กลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
เขาชอบความรู้สึกที่มองดูคนทั้งหมดจากยอดเขาสูงสุดแบบนี้ เช่นเดียวกับท่านพ่อจักรพรรดิเจียงของเขา!
“ในขั้นสองไม่มีบุคคลอันตรายแล้ว ต่อมาก็แค่จัดการซือเทียนองค์กรวิญญาณ เกียรติสุดท้ายในขั้นสองนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในมือแล้ว” ซิงหยางยืนพิงอยู่บนหินก้อนหนึ่ง แล้วพูดขึ้น
“ฮะฮะ ความสามารถของซือเทียนก็ไม่เท่าไร ข้าเคยประลองกับเขาแล้ว”เจียงอี้เถิงหัวเราะออกมาทันที
“เจ้ารู้เรื่องของเขาจะดียิ่งขึ้น…” ซิงหยางพูดไป ทันใดนั้น ได้กวาดตามองไปยังภูตวิญญาณของตัวเอง เหมือนภูตวิญญาณได้บอกบางอย่างกับเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป พูดต่อว่า “มีคนขึ้นมาแล้ว เหมือนจะไม่ใช่คนของวังมารนิรย”
“เป็นฟางเจ๋อจะดีที่สุด” เจียงอี้เถิงถอยกลับไปยังตำแหน่งใจกลางของยอดเขา รอคอยเจ้าคนที่รนหาที่ตายคนนั้น
…
จั้นเย้สีหมึกวิ่งไปตามยอดเขาที่เป็นแนวดิ่ง ในไม่ช้า เข้าใกล้ยอดเขาอย่างมากแล้ว
ขาหลังของจั้นเย้เหยียบลงบนหินก้อนหนึ่ง กระโดดขึ้น ออกจากยอดเขาสูงสิบกว่าเมตร
“เพ้ง”
จั้นเย้ลงบนพื้นอย่างมั่นคง หินที่ขาทั้งสี่เหยียบลงกลายเป็นเศษ รอยแยกกระจายตัวออก !
“โฮร่ !!! ”
สายตาของจั้นเย้เพ่งเล็งไปยังผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยสองคนบนยอดเขาตั้งนานแล้ว ส่งเสียงคำรามท้าทายไปยังพวกเขา !
ในตอนที่เจียงอี้เถิงเห็นชู่มู่ชุดดำปรากฏบนยอดเขาแห่งนี้ สีหน้าของทั้งสองคนต่างเกิดการเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่า พวกเขาแทบไม่คิดว่าเจ้าคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั้นกลับไม่ใช่คนที่พวกเขาคาดไว้
“ที่แท้เป็นเจ้า ฮะฮะฮะ” ทันใดนั้น เจียงอี้เถิงหัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะนี้ไม่ปิดบังความเย้ยหยันที่เขามีต่อชู่มู่แม้แต่น้อย
“เขาคือใคร” ซิงหยางไม่เคยได้ยินชื่อชู่มู่มาก่อน ในสายตาของเขามีเพียงคนที่จะเป็นอันตรายต่อตัวเองอย่างแท้จริงเท่านั้น ส่วนเจ้าคนที่อวดดีแบบนี้ ซิงหยางเพิกเฉยมาตลอด ต่อให้พวกเขาจะมีชื่อเสียงมากเพียงใดก็ตาม
“ตัวละครน้อยคนหนึ่งของตำหนักวิญญาณ น่าเบื่อจริง คิดว่าจะเป็นคนที่เก่งกาจ” เจียงอี้เถิงพูดไป ก้าวไปหาชู่มู่ พูดต่อว่า”ทำไม เจ้าเก็บแหวนนักโทษมากพอแล้วเหรอ จะเข้ามาถวายให้เหรอ”
ชู่มู่ไม่พูดมาก เปิดแหวนช่องว่างออก เทแหวนนักโทษออกมาในครั้งเดียว
แหวนนักโทษต่างระดับจะมีสีที่ต่างกัน ขั้นเจ็ดเป็นสีฟ้า ขั้นแปดเป็นสีม่วง ในตอนที่แหวนกองใหญ่นี้ปรากฏขึ้น ได้ส่องประกายงดงามภายใต้การสาดส่องของแสงอาทิตย์
“มีแหวนนักโทษเยอะจัง !!! ”
“นี่…คงมีประมาณห้าพันกว่าล้าน !!!”
ตอนที่ชู่มู่เอาแหวนนักโทษพวกนี้ออกมา เหล่าผู้ชมต่างพูดไม่ออก
โดยปกติในมือของเหล่าผู้เข้าแข่งขันจะมีแหวนนักโทษประมาณห้าร้อยล้าน และเงินห้าพันล้านนี้น่าจะซื้อจักรพรรดิขั้นกลางที่มีประสิทธิภาพธรรมดาตัวหนึ่งได้ สำหรับเหล่าผู้เข้าแข่งขันขั้นสองนี้ นับว่าเป็นจำนวนมหาศาลแล้ว
และแล้ว ในมือของชู่มู่นี้ สีม่วงสีฟ้า กลับมีแหวนนักโทษประมาณห้าพันกว่าล้าน คนทั้งหมดที่เห็นต่างตาแดง !
“น่าแปลก ทำไมมีแหวนนักโทษสีแดงวงหนึ่ง ในแหวนนักโทษมีสีแดงด้วยเหรอ” ในไม่ช้า คนทั้งหมดได้สังเกตเห็นแหวนที่มีประกายสีแดง
เหล่าผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของนักโทษขั้นเก้า ดังนั้นจึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น
รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงอี้เถิงแข็งทื่อทันที แหวนในมือชู่มู่นี้กลับเยอะกว่าของเขาอีก อีกทั้ง เจ้านี่ยังฆ่านักโทษขั้นเก้าซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดของด่านที่แปด แหวนที่มีมูลค่าหนึ่งพันล้าน เท่ากับว่าในมือของชู่มู่มีแหวนนักโทษหกพันกว่าล้าน !
เจียงอี้เถิงเองเก็บแหวนนักโทษได้แค่ประมาณสี่พันล้านเท่านั้น เขาคิดว่า ตัวเองเป็นที่หนึ่งในด่านที่แปดนี้ แต่เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว กลับห่างกันถึงสองพันล้านเต็ม ๆ !
“ก็ดี รวมกับแหวนนักโทษหกพันล้านนี้ ข้าจะมีหมื่นล้านแล้ว ซื้อชุดวิญญาณโจมตีรอบด้านขั้นเก้าได้”หลังจากที่สีหน้าของเจียงอี้เถิงแข็งทื่อ กลับหัวเราะออกมาทันที
“เขาฆ่านักโทษมากมายขนาดนี้ได้ ในนั้นยังรวมถึงนักโทษขั้นเก้า ความสามารถน่าจะแข็งแกร่งมาก” ซิงหยางใองไปยังชู่มู่แล้วพูดกับเจียงอี้เถิงเสียงเบา
ชู่มู่มองด้วยสายตาเฉยเมย กวาดตาผ่านเจียงอี้เถิงกับซิงหยาง พูดได้ว่า”อัญเชิญดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดของพวกเจ้าออกมา เอาชนะข้าได้ เจ้าแบ่งหกพันล้านนี้ได้ตามใจ”
“อวดดีจริง ก่อนหน้านี้ที่สะพานรุ้ง ข้าขี้เกียจเปลืองแรงกายของข้าจัดการเจ้า เหยียบแมลงให้ตายง่ายมาก แต่นั่นมีค่าแค่ให้ข้ายกเท้า แต่ในตอนนี้ เจ้ามีค่าให้ข้ายกเท้าแล้ว หึหึ สำหรับคนของตำหนักวิญญาณ ข้าไม่เคยออมมือมาก่อน” เจียงอี้เถิงบอก
…
“ชู่เฉิงเป็นอะไรกันแน่ แม้เขาจะชนะหลู่ซานหลี แต่ความสามารถของซิงหยางกับเจียงอี้เถิงแข็งแกร่งกว่าหลู่ซานหลีหลายเท่า” ถิงหลันพึมพำ เผยความกังวลออกจากนัยน์ตา
“ถิงหลัน เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเขาชนะหลู่ซานหลีงั้นหรือ” หลัวปิงอึ้งเล็กน้อย แล้วถามขึ้น
ถิงหลันพยักหน้า กวาดตามองไปยังเหล่าผู้ชมวังมารนิรยที่ขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกฝูงนั้น
ในตอนนี้กลุ่มผู้ชมของวังมารนิรยกำลังส่งเสียงดังเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รู้จากคนอื่นว่า คนที่ทำให้หลู่ซานหลีได้รับบาดเจ็บคือชู่เฉิง !
“ข้าเองก็จัดการหลู่ซานหลีได้ ความสามารถของเจียงอี้เถิงแข็งแกร่งมากจริง เขาไม่สามารถชนะได้ !” หลัวปิงได้สติแล้วพูดขึ้น
ชู่มู่ชนะหลู่ซานหลีได้ทำให้หลัวปิงประหลาดใจอย่างมาก แต่เจียงอี้เถิงเองก็มีสิทธิที่จะอวดดีได้ ตอนที่สู้กับเจียงอี้เถิง หลัวปิงแพ้อย่างหมดจด เขาคิดว่านายท่านฟางเจ๋อใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ผู้เข้าแข่งขันที่มาทีหลังอย่างชู่มู่นี้ คงจะเผชิญชะตาเดียวกับเขา
…
“ซิงหยาง หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าคนเดียวจัดการพวกเขาไม่ได้” เจียงอี้เถิงกวาดตามองไปยังซิงหยาง พบว่าซิงหยางทำท่าทีพร้อมจะต่อสู้ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นทันที
ซิงหยางจับจ้องไปยังเย้ชิงจือที่เดินตามมาจากด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าเย้ชิงจือมาพร้อมกับชู่มู่ ซิงหยางย่อมต้องลงมือ
“อัญเชิญมารนิรยของพวกเจ้าออกมาเถอะ ข้าไม่มีเวลาให้พวกเจ้าขนาดนั้น” ชู่มู่กระโดดลงจากตัวจั้นเย้
ชู่มู่จำต้องจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ไม่กี่วันก่อน เขารับรู้ได้ว่า ปีศาจฉิงเย้ที่เจอตอนอยู่ทะเลทรายกำลังสะกดรอยตามตัวเองอยู่
ชู่มู่กับเย้ชิงจือใช้หลายวิธีเพื่อสลัดเจ้าคนที่มาจากภูเขาตะวันตกขั้นหนึ่งคนนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะตามมา ชู่มู่จำต้องให้ปีศาจขาวกลืนกินมารนิรยของผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยทั้งสองคนนี้ก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่ !
ผู้เข้าแข่งขันสามารถท้าทายข้ามขั้นได้ และสมาชิกของขั้นที่หนึ่งถ้าสามารถใช้วิธีพิเศษเข้ามาในสนามล่าของขั้นสองในตอนนี้ได้ ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองก็ไม่มีสิทธิห้ามการกระทำของเขา
ดังนั้น ต่อให้บนยอดเขาเวหาอมตะในตอนนี้มีผู้ชมมากมาย จะห้ามผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งอย่างฉิงเย้ลงมือไม่ได้ ดังนั้น เวลากระชันชิดอย่างมาก !
…
จะสู้ก็สู้ ชู่มู่ไม่ชอบพูดเยอะอยู่แล้ว
ในตอนนี้ ชู่มู่ได้ออกคำสั่งไปยังจั้นเย้โดยตรง !!!
“ฮู ฮู ฮู !!!”
ตอนที่จั้นเย้วิ่งเต็มแรงมีลมแห่งความมืดอย่างหนึ่ง ตีบนตัวดวงวิญญาณของเจียงอี้เถิงกับซิงหยาง
เป้าหมายโจมตีของจั้นเย้คือ มารนิรยขาวลักษณะเก้าขั้นสูงของเจียงอี้เถิง !
“ซัวะ !!!”
กริดสีดำนี้พาดผ่าน ก่อเป็นประกายแสงงดงามที่เหมือนเสี้ยวพระจันทร์ สาดส่องกลางยอดเขา !
และการโจมตีนี้ กลายเป็นการจุดประกายต่อสู้แห่งการประลองบนยอดเขาเวหาอมตะแห่งนี้ เกิดเป็นบรรยากาศแห่งการต่อสู้ทันที
“ชู่เฉิงได้เริ่มโจมตีก่อน !!! สู้กับผู้แข็งแกร่งลำดับที่หนึ่งและสองของวังมารนิรย เจ้าชู่เฉิงนี้บ้าคลั่งจริง สมแล้วที่เป็นคนของตำหนักวิญญาณพวกเรา !!!”
การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าชู่มู่จะชนะหรือไม่ อย่างน้อยความกล้าที่จะท้าทายวังมารนิรยแบบนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้สมาชิกตำหนักวิญญาณทั้งหมดฮึกเหิม !!!
วินาทีนี้ คนทั้งหมดจับจ้องไปยังยอดเขา หวังว่าผู้แข็งแกร่งตำหนักวิญญาณที่ซ่อนความสามารถอย่างมิดชิด ชนะหลู่ซานหลีและนักโทษขั้นเก้าคนนี้จะกู้หน้าให้ตำหนักวิญญาณได้ !!!
ตามการดำเนินต่อของด่านที่แปดแห่งการประลองฟ้าดินนี้ เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่ออกจากการประลองได้ขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกของพวกเขาบินวนอยู่บนฟ้าสูงห้าร้อยเมตร
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้เข้าแข่งขันที่คัดออกแล้ว แต่พวกเขาไม่อยากจากไปแบบนี้ แต่กลับมองดูการประลองนี้จากที่ไกล !
จำนวนของนักโทษกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว แหวนนักโทษตกอยู่ในมือของเหล่าผู้เข้าแข่งขันมากขึ้น และพวกนักโทษที่ได้คัดผู้เข้าแข่งขันห้าคนออกจะถูกพาออกจากภูเขาเวหาอมตะตะวันออก
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จำนวนของภูเขาเวหาอมตะตะวันออกจะลดลงอย่างมาก ส่วนคนที่ยังอยู่ในสนามต่อสู้นี้ได้ ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งระดับชั้นต้นของขั้นสองนี้ !
“นั่นเหมือนจะเป็นชู่เฉิงตำหนักวิญญาณหรือเปล่า คาดไม่ถึงจริง เขาทนอยู่ถึงตอนนี้ได้ ต้องรู้ว่าคนที่มีความสามารถสิบอันดับต้นของอำนาจมากมายถูกคัดออกไปแล้ว ! ” เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่บินวนอยู่บนฟ้าสังเกตเห็นถึงชู่มู่แล้ว
ในด่านที่แปดนี้ หลีจ่านที่มีความสามารถอันดับสามของตำหนักวิญญาณ หลู่ซานหลีที่มีความสามารถอันดับที่สามของวังมารนิรยได้ถูกคัดออกไปแล้ว นับว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวทั้งสองคนนี้ไม่ได้เข้าสู่ด่านที่เก้าแล้ว ทำให้ผู้คนประหลาดใจอย่างมาก
ส่วนจำนวนผู้เข้าแข่งขันที่เหลือไม่เยอะในตอนนี้ ต่างเป็นสมาชิกที่มีความสามารถห้าอันดับแรกของอำนาจต่าง ๆ ตามปกติแล้ว ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณไม่น่าจะอยู่ในลำดับเหล่านี้ ผู้คนก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่ดวงดี หรือเขาเองก็ซ่อนความสามารถมาตลอด
“ซ่างเหิง ที่แท้เจ้าอยู่บนฟ้าตั้งนานแล้วเหรอ” ชายที่ขี่ดวงวิญญาณสีดำบินจากที่ไม่ไกล
ซ่างเหิงกวาดตามองไป เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที
คนที่บินมาหาตัวเองคือหลัวปิง ผู้ที่มีความสามารถอันดับที่สองของตำหนักวิญญาณ ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ ผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถเป็นรองจากนายท่านฟางเจ๋อคนนี้กลับถูกคัดออกจากด่านที่แปดนี้ !!!
“หลัวปิง เกิดอะไรขึ้น ทำไมแม้แต่เจ้า…” ถิงหลันมองไปยังหลัวปิง พูดอย่างเหลือเชื่อ
หลัวปิงเป็นคนที่แข็งแกร่งอันดับสองของตำหนักวิญญาณ ความสามารถของเขาน่าจะเข้าสู่ด่านที่แปดได้ไม่มีปัญหา…
“คึคึ กลุ่มคนเมื่อกี้เห็นข้าก็ร้องขึ้นเหมือนกัน” หลัวปิงยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า “ดวงไม่ดีมาก เจอกับเจ้าคนนั้นของวังมารนิรย เขาไม่พูดอะไร โจมตีข้าทันที…”
“วังมารนิรย หรือว่าเจ้าหมายถึงเจียงอี้เถิง !!!” ซ่างเหิงพูดพร้อมเบิกตากว้าง
หลัวปิงยิ้มฝืน ๆ พูดว่า “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีก เดิมข้าคิดว่า ต่อให้เจอกับเขา น่าจะหลบหรือหนีไปได้ แต่เขาแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ โดยเฉพาะมารนิรยของเขา…ตำหนักวิญญาณของพวกเรามีเพียงฟางเจ๋อที่จัดการเขาได้”
“เจ้าสู้กับเขานานเท่าไรแล้ว” ถิงหลันถามขึ้น
“ไม่ถึงห้านาที ดวงวิญญาณทั้งหมดของข้าแพ้หมด” หลัวปิงบอก
“แม้แต่เจ้ายังทนไม่ถึงห้านาที…” ซ่างเหิงสูดหายใจเข้า อย่างน้อยหลัวปิงก็เป็นคนที่แข็งแกร่งอันดับสองของตำหนักวิญญาณ กลับแพ้ในเวลาสั้น ๆ แบบนี้
“มิน่าเมื่อกี้ตอนที่ได้ยินผู้เข้าแข่งขันที่ถูกคัดออกพูดกัน ครั้งนี้ตำหนักวิญญาณของพวกเราไม่มีหวังจะได้เกียรติสุดท้ายของขั้นสองแล้ว” ถิงหลันพูดเสียงเบา
“ใช่ หลีจ่านถูกคัดออกตั้งนานแล้ว ยังบาดเจ็บสาหัสด้วย แม้ข้าจะไม่เสียหายอะไร แต่ตอนนี้ก็เหมือนกับพวกเจ้า ทำได้แค่มองจากบนฟ้านี้ เหลือแค่ฟางเจ๋อคนเดียว เมื่อกี้ตอนที่บินมา ได้เจอผู้เข้าแข่งขันวังมารนิรยคนหนึ่ง พวกเขาต่างรู้สึกสะใจ พูดจาถากถาง ทำให้ข้าไม่สบายใจอย่างมาก ถ้าไม่ได้เป็นเพราะมีผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองอยู่ ข้าจะสั่งสอนพวกเขาแล้ว ! ” หลัวปิงพูดด้วยความโกรธ
เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่ถูกคัดออกจะไม่มีสิทธิ์ได้เกียรติสุดท้าย แต่พวกเขาหวังว่า เหล่าผู้แข็งแกร่งของอำนาจตัวเองจะชนะได้ ถึงตอนนั้น ภาพรวมทั้งหมดจะเป็นที่กระจ่างมาก
“ไม่เป็นไร ตำหนักวิญญาณของพวกเรายังมีชู่เฉิงอยู่” ซ่างเหิงบอก
“ชู่เฉิงเหรอ ดี…หวังว่าเขาจะฝ่าด่านที่แปดนี้ไปได้ ไม่ทำให้ผู้เข้าแข่งขันตำหนักวิญญาณของพวกเราที่เข้าสู่ด่านที่เก้าน้อยเกินไป” หลัวปิงพูดพร้อมถอนหายใจ
ชู่เฉิงแค่ผ่านด่านที่แปดงั้นหรือ ถิงหลันกับซ่างเหิงไม่คิดแบบนั้น ต้องรู้ไว้ว่า ไม่กี่วันก่อนหลู่ซานหลีอันดับที่สามของวังมารนิรยพึ่งถูกชู่เฉิงขยี้ไป !
…
เวลาเข้าใกล้ช่วงท้ายของด่านที่แปดแล้ว ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ที่อยู่ในภูเขาเวหาอมตะนี้น่าจะรวมตัวไปยังยอดเขาหลักสูงสุดของภูเขาเวหาอมตะแล้ว
เหล่าผู้เข้าแข่งขันไม่รีบที่จะกระโดดขึ้นไปยังยอดเขา อย่างไรก็ตาม ใครที่กระโดดขึ้นยอดคนแรก เท่ากับเป็นการท้าทายผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด จะกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด
ดังนั้น เหล่าผู้เข้าแข่งขันในตอนนี้ต่างอยู่ที่ใต้เขาของยอดเขาหลัก หรือเดินไปมาบริเวณกลางเขา บางคนหาที่ซ่อนตัว รอให้ด่านที่แปดนี้หมดเวลาลง
ทว่า ภูเขาหลักก็ไม่ได้กว้างขวางขนาดนั้น หากมีผู้เข้าแข่งขันเคลื่อนไหว ยังคงจะเกิดการปะทะอยู่ดี โดยเฉพาะเหล่านักโทษที่ยังคัดผู้เข้าแข่งขันไม่ครบห้าคน พวกเขาได้ตามหาผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้รอบภูเขาหลักอย่างตั้งใจ
เหล่าผู้เข้าแข่งขันกับนักโทษส่วนใหญ่ได้รวมตัวอยู่บริเวณยอดเขาหลักแล้ว เหล่าผู้ชมที่ถูกคัดออกได้บินวนอยู่บนฟ้านี้เป็นกลุ่ม มองดูจากที่สูงลงมา
มาถึงตอนท้ายนี้ การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดอยู่ในสายตาของเหล่าผู้ชมแล้ว และการอาศัยกลุ่มอำนาจ เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่มาจากองค์กรวิญญาณ วังมารนิรย วังดวงวิญญาณ ตำหนักวิญญาณ องค์กรการค้า ประตูธาตุต่าง ๆ ได้รวมตัวตามอำนาจของตัวเองแล้ว จับจ้องไปยังตัวแทนของอำนาจตัวเองตลอดเวลา
“มีคนขึ้นยอดสูงสุดแล้ว !!! ”
ทันใดนั้น มีคนชี้ไปยังยอดเขาหลักของภูเขาเวหาอมตะ แล้วร้องขึ้น !
กล้าขึ้นยอดสูงสุด เท่ากับเป็นการท้าทายผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ถ้าความสามารถนั้นไม่สามารถทำให้คนทั้งหมดสะเทือนได้ การยืนบนยอดสูงสุดนี้เท่ากับรนหาที่ตาย !!!
“ใครกัน ที่มีความกล้าแบบนี้ ความสามารถของเขาจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ ๆ ! ” เหล่าผู้เข้าแข่งขันเริ่มใช้ร่ายวิญญาณ เล็งไปยังตำแหน่งสูงสุดของยอด
“โอรสน้อยของวังมารนิรย เจียงอี้เถิง !!! ”
“คนของวังมารนิรยอวดดีจริง !!!”
ในไม่ช้า ผู้ชมของวังมารนิรยที่มองจากบนฟ้าได้ฉีกยิ้มออกมา สามารถยืนอยู่บนยอดเขาได้ เท่ากับมีอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริง !
และคน ๆ นี้คือ คนวังมารนิรยของพวกเขา เหล่าผู้ชมของวังมารนิรยย่อมรู้สึกภูมิใจ โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรยที่ยืนอยู่บนยอดเขาหลักของภูเขาเวหาอมตะนี้เป็นเวลานานก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปท้าสู้ !!!
“ไม่กล้าก็มองจากที่ไกลไปเถอะ โอรสน้อยของวังมารนิรยพวกข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสอง ถ้าไม่ยอมละก็ ให้นายท่านฟางเจ๋อของพวกเจ้าขึ้นไปประลองกับโอรสน้อยของพวกข้า…ฮะฮะ คนของตำหนักวิญญาณก็เป็นพวกเศษสวะ” เหล่าผู้ชมของวังมารนิรยเริ่มอวดดี เริ่มเย้ยหยันผู้เข้าแข่งขันตำหนักวิญญาณที่ถูกคัดออกเหล่านั้น
เหล่าผู้เข้าแข่งขันของตำหนักวิญญาณก็ไม่กล้า ทำได้แค่อดทน
จนถึงตอนนี้นายท่านฟางเจ๋อยังไม่ปรากฏตัว มองจากความสูงนี้ลงไป ผู้คนก็หาเงาของนายท่านฟางเจ๋อไม่เจออยู่ดี
“เจ้าพวกโง่ อย่าไปสนใจพวกเขามาก ลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อหกปีก่อนข้าหลีเหิงเหยียบย่ำพวกเขาอย่างไร ! ” หลีเหิงได้ยินพวกคนของวังมารนิรยที่อวดดีก็หงุดหงิดอย่างมาก
ทว่า เขาเป็นถึงผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง ย่อมทำอะไรที่เกินกว่าหน้าที่ไม่ได้ ทำได้แค่ยืนมองอยู่ตรงนั้น
“พี่หลีเหิง ครั้งนี้…พวกข้าไม่สามารถชิงเกียรติมาให้ตำหนักวิญญาณได้ อับอายจริง ๆ …” หลัวปิงพูดด้วยความท้อ
“มีคนขึ้นยอดอีกแล้ว..” ซ่างเหิงชี้ไปยังภูเขาเวหาอมตะ ชี้ไปยังผู้เข้าแข่งขันอีกคนที่กระโดดขึ้นยอดเวหาอมตะ
“ฟางเจ๋อเหรอ” ถิงหลันถามขึ้น
เจียงอี้เฉิงแข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรยครองยอดสูงสุดไว้ มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอำนาจต่าง ๆ ถึงจะมีสิทธิ์ปีนขึ้นไปได้
ผู้แข็งแกร่งของวังดวงวิญญาณจะไม่ต่อสู้โดยตรงแบบนี้ องค์กรวิญญาณ ประตูธาตุและผู้แข็งแกร่งของโลกต่าง ๆ กลับไม่มีสิทธิ์ประลองกับโอรสน้อยของวังมารนิรยนี้
ที่จะทำการเผชิญหน้ากับเจียงอี้เถิงแข็งแกร่งที่สุดของวังมารนิรยคงมีเพียงนายท่านตำหนักวิญญาณฟางเจ๋อ ดังนั้น ตอนที่มีคนขึ้นไปบนยอดของภูเขาเวหาอมตะ เหล่าสมาชิกของตำหนักวิญญาณต่างตื่นเต้นอย่างมาก
แค่ฟางเจ๋อเอาชนะเจียงอี้เถิงได้ เหล่าสมาชิกของวังมารนิรยก็จะหุบปากของพวกเขาโดยดี
และแล้ว…คนที่ผู้คนเห็นกลับไม่ใช่นายท่านฟางเจ๋อตำหนักวิญญาณ…
“ฮะฮะฮะ ที่แท้คือซิงหยาง !!! ” ทันใดนั้น เหล่าผู้เข้าแข่งขันของวังมารนิรยได้ร้องขึ้น เสียงนั้นเหมือนเป็นการเย้ยหยันสมาชิกตำหนักวิญญาณทั้งหมด
ซิงหยางวังมารนิรย เป็นผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยที่ซ่อนความสามารถอย่างมิดชิดที่สุด อยู่ในลำดับที่สองของขั้นสองวังมารนิรย
เคยมีข่าวภายในเผยว่า ระหว่างเจียงอี้เถิงกับซิงหยางเคยสู้กัน อย่างน้อยเมื่อหนึ่งปีก่อนทั้งสองคนยังเสมอกัน
เท่ากับว่า ความสามารถของแข็งแกร่งที่หนึ่งและสองของวังมารนิรยต่างกันไม่มาก ถ้าพวกเขาทั้งสองคนอยู่บนยอดเขาเวหาอมตะ เท่ากับว่าอำนาจวังมารนิรยได้ครองตำแหน่งทั้งหมดนี้ไว้แล้ว !!!
ตอนนี้แทบผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดอยู่ระแวกยอดเขาหลัก นักโทษก็อยู่เช่นเดียวกัน ยังมีผู้เข้าแข่งขันจะถูกคัดออกแน่นอน
ถ้าให้ผู้แข็งแกร่งทั้งสองของวังมารนิรยครองตำแหน่งยอดเขาหลักไว้ เท่ากับเป็นการปักธงของวังมารนิรยไว้บนยอดเขาแห่งนี้ สมาชิกวังมานิรยทั้งหมดในด่านที่แปดจะขึ้นไปบนยอดเขาทันที
เช่นนี้ จะมีสมาชิกวังมารนิรยกลุ่มใหญ่ฝ่าด่านสำเร็จ เข้าสู่ด่านที่เก้าในท้ายที่สุด เท่ากับว่าเป็นการชิงเกียรติสุดท้ายในด่านที่เก้านี้ให้วังมารนิรย !!!
“จบแล้ว ต่อให้ฟางเจ๋อมาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนายท่านจะร่วมมือกับผู้แข็งแกร่งที่สุดของวังดวงวิญญาณ….”
สีหน้าของเหล่าผู้ชมตำหนักวิญญาณแต่ละคนแย่มาก สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีต่อตำหนักวิญญาณของพวกเขาอย่างมาก เจียงอี้เถิงและซิงหยางวังมารนิรยกำลังคุ้มกันผู้เข้าแข่งขันของวังมารนิรยเข้าสู่ด่านที่เก้าอยู่ !
“ครั้งนี้ตำหนักวิญญาณของพวกเราไม่มีหวังจะเข้าชิงเกียรติสุดท้ายแล้ว” หลัวปิงถอนหายใจยาว
ถ้าเขาไม่ถูกคัดออกละก็ จะร่วมมือกับฟางเจ๋อแล้วถีบสองคนนั้นลงไปได้ แต่เสียดาย ดวงเขาไม่ดีเกินไป เจอเจียงอี้เถิงไวเกินไป
…
“แปลกจริง…ทำไมชู่เฉิงถึงเดินขึ้นเขาตลอด…หรือว่าเขาไม่รู้ว่า เจียงอี้เถิงกับซิงหยางอยู่บนยอดเขา” ทันใดนั้น ถิงหลันที่คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของชู่มู่ได้เผยสีหน้าสงสัยออกมา
ใต้ภูเขาเวหาอมตะ บ้านพักบ่อน้ำร้อน
ผู้แทนองค์กรวิญญาณแห่งฝ่ายจัดการประลองเทียนเซี่ย เทียนทิงยืนอยู่ข้างบ่อ สายตาจับจ้องไปยังไอสีขาวที่พ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง
เขายืนอยู่ตรงนี้ลำพังเป็นเวลานานแล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสิบของอำนาจต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตล้วนไม่กล้าเข้ามารบกวน
ในตอนนี้ มีคนที่อยู่ในระดับสิบของอำนาจต่าง ๆ ประมาณห้าสิบคน คนเหล่านี้ต่างอยู่ในสวนแห่งนี้ ราวกับรอคอยบางอย่าง
“น้องชายหยู่ซ่าง สิบปีกำลังจะผ่านไปอีกแล้ว พริบตาเดียว เจ้าเองก็อายุมากขึ้นแล้วเหรอ ! ” ชายที่มีหนวดสีขาว มองดูอายุประมาณห้าสิบปีพูดเพราะเสียงหัวเราะเล็กน้อย
เจ้าตำหนักหยู่มองไปยังชายหน้ายิ้มคนนี้ ฉีกยิ้มเล็กน้อยที่ยากจะเห็น พูดประชดว่า “เจ้าตำหนักหลิง อยู่โลกตะวันออกไม่มีอะไรทำ กลับมาใช้ชีวิตเกษียณที่เมืองเทียนเซี่ยเหรอ”
“เพ้อเจ้อ ข้ายังไม่ถึงอายุที่เกษียณ เหล่าดวงวิญญาณของข้าเหมือนกับข้า เต็มไปด้วยพลัง ครั้งนี้ข้ามาเพื่อการเสนอชื่อบัลลังก์เทียนเซี่ยนี้ ! ” ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้าตำหนักหลิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“ที่แท้มาเพื่อเรื่องนี้ เจ้ามาไวเกินไป การประลองฟ้าดินระหว่างวัยหนุ่มยังไม่จบลง ว่าแต่ ตอนแรกเจ้าตำหนักหลิงบอกว่าจะชิงสี่ที่นั่งไม่ใช่เหรอ” เจ้าตำหนักหยู่ยิ้มแล้วพูดขึ้น
เจ้าตำหนักหลิงเผยสีหน้าลำบากใจออกมาทันที พูดพร้อมยิ้มฝืน ๆ ว่า “สิบปีนี้คงไม่มีหวังแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งรับมือกับเทียนทิงสี่ที่นั่ง เขาอัญเชิญดวงวิญญาณหลักตัวเดียวก็จัดการข้าได้แล้ว…”
เจ้าตำหนักหยู่อึ้งเล็กน้อย ต่อมาได้เผยความประหลาดใจออกมาจากนัยน์ตา
ตำแหน่งเจ้าตำหนักในตำหนักวิญญาณมีสามระดับ เจ้าตำหนักหลัก เจ้าตำหนักรอง และเจ้าตำหนักสาม
ก่อนหน้านี้เจ้าตำหนักหยู่ถูกผู้คนเรียกว่า เจ้าตำหนักหยู่หลัก นี่เป็นชื่อเรียกสำหรับเจ้าตำหนักหยู่ในตำหนักวิญญาณเท่านั้น เขาเป็นแค่เจ้าตำหนักสามคนหนึ่ง
ความสามารถของเจ้าตำหนักทั้งสามระดับมีการแบ่งอยู่แล้ว โดยปกติความสามารถของเจ้าตำหนักสามเทียบเท่าเจ้าโลกคนหนึ่ง
ชายชราที่อยู่ตรงหน้าเจ้าตำหนักหยู่คนนี้เป็นเจ้าตำหนักของตำหนักวิญญาณ มีตำแหน่งรองจากท่านอาวุโสของตำหนักวิญญาณ ความสามารถเก่งกว่าเจ้าโลกอย่างมาก ผู้แข็งแกร่งแบบนี้มีสิทธิ์ที่จะเข้าชิงบัลลังก์เทียนเซี่ยจริง ๆ
แต่ว่าที่ทำให้หยู่ซ่างคาดไม่ถึงคือ การต่อสู้ระหว่างเจ้าตำหนักหลิงกับเทียนทิง กลับพ่ายแพ้อย่างอนาถแบบนี้ !
ในบัลลังก์ฟ้าดินมีสี่ที่นั่ง เป็นผู้แข็งแกร่งทั้งสี่คนที่มีความสามารถรองจากผู้ครองบัลลังก์ สี่ที่นั่งนี้แบ่งเป็นขององค์กรวิญญาณ วังมารนิรย ตำหนักวิญญาณ และวังดวงวิญญาณ ผู้แข็งแกร่งทั้งสี่คนนี้เป็นผู้นำสูงสุดของฝ่ายจัดการประลองฟ้าดินทั้งหมดนี้ พวกเขาเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดของการประลองฟ้าดิน
เทียนทิงองค์กรวิญญาณ อายุของเขาไม่มาก แต่กลับเป็นหัวหน้าสี่ที่นั่ง เป็นคนที่มีความสามารถใกล้กับผู้ครองบัลลังก์มากที่สุด
และสิบปีนี้ หลังจากหลีหงแล้ว เทียนทิงองค์กรวิญญาณเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดบัลลังก์นี้ !
“เห้อ ไม่พูดแล้ว ถ้าปีนี้ไม่ได้เสนอชื่อ รอให้ถึงสิบปีต่อมา ข้าก็อายุมากแล้ว จะไปเข้าชิงได้อย่างไร หยู่ซ่าง เจ้าต้องพยายามหน่อย เข้าชิงเสนอชื่อให้ได้” เจ้าตำหนักหลิงบอก
“มังกรอัญมณีแก้วของข้าพุ่งทะลายถึงเทียบเท่าราชันเมื่อไม่นาน ความสามารถเท่านี้….สิบปีนี้ข้ายังไม่เข้าร่วมดีกว่า” เจ้าตำหนักหยู่บอก
โดยปกติแล้ว คนที่มีตำแหน่งเจ้าตำหนักวิญญาณซึ่งเป็นระดับสิบจะต้องมีดวงวิญญาณระดับราชันอย่างน้อยหนึ่งตัว เจ้าโลกคนหนึ่งที่คิดจะรักษาหน้าตัวเอง ก็จำต้องมีดวงวิญญาณระดับนี้
แต่ว่า ต่อให้เป็นเจ้าโลกหรือเจ้าตำหนักระดับสิบ ก็ต้องมีความสามารถโดดเด่นอย่างเจ้าตำหนักหลิง มิฉะนั้น ยากที่จะมีสิทธิ์เข้าเสนอชื่อในการประลองฟ้าดินนี้ !
“ท่านเทียนทิง ! ”
“ผู้นำเทียนทิง ! ”
ตอนที่กำลังสนทา ผู้นำสี่ที่นั่งเทียนทิงหันกลับมาอย่างช้า ๆ กวาดตามองไปยังเหล่าตัวแทนระดับสิบของอำนาจต่าง ๆ นี้
ตำแหน่งของเทียนทิงในเมืองเทียนเซี่ยสูงส่งมาก และเป็นสิ่งที่ผู้คนพูดถึงว่า เหนือคนนับหมื่น เป็นรองผู้เดียว ความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่าเหล่าระดับสิบนี้หลายท่านมาก
เผชิญกับผู้แข็งแกร่งแบบนี้ ไม่มีใครไม่เผยท่าทีเกรงขามออกมา !
“ปีที่ผ่านมาเกิดแร้งเลือดไม่น้อย คาดว่าทุกคนได้ยินมาบ้างแล้ว เหล่านักปราชญ์ได้คาดการณ์ไว้ ด้วยลักษณะของหุบเขาตัดหมื่นมังกร ปีหลังจากนี้ จะเกิดแร้งมังกรอีกครั้ง และครั้งนี้จะสาหัสกว่าสองปีที่ผ่านมา จะกระทบทั้งสี่เขตโลกคือ โลกตะวันตก โลกจั้นหลี โลกหลัว โลกน้ำแข็งเหนือ โลกตะวันตกอยู่ในเขตปกครองของวังมารนิรย แล้วเจ้าวังของวังมารนิรยอยู่ที่ใด” เทียนทิงบอก
“เจ้าวังมารนิรยไป๋ซั่ว เข้าพบผู้นำเทียนทิง” ชายที่มองดูอายุประมาณสามสิบกว่าปียืนขึ้น
ชายคนนี้มองดูอายุไม่ต่างจากรุ่นวัยหนุ่มขั้นหนึ่งมากเท่าไร ยืนอยู่ระหว่างเจ้าตำหนักรุ่นผู้ใหญ่เกินครึ่งนี้ โดดเด่นเป็นพิเศษ
“ไป๋ซั่ว ที่แท้เจ้าเด็กนี่มารับงานที่เมืองเทียนเซี่ยแล้ว” เจ้าตำหนักหลิงพูดกับเจ้าตำหนักหยู่เสียงเบา
ไป๋ซั่วเป็นอัจฉริยะของวังมารนิรย เป็นผู้แข็งแกร่งยิ่งที่มีชื่อเสียงรองจากราชโอรสของตำหนักวิญญาณ อายุน้อย ๆ แต่ได้ตำแหน่งเจ้าวังมารนิรยระดับสิบแล้ว นับว่าเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าตำหนักหยู่คนหนึ่ง !
ไป๋ซั่วเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้แข็งแกร่งระดับที่สิบ หลายคนทำนายว่า สิบปีครั้งหน้า ถ้าจะเสนอชื่อในสี่ที่นั่ง จะต้องมีชื่อของไป๋ซั่วแน่นอน
“โลกตะวันตกและโลกน้ำแข็งเหนืออยู่ในการปกครองของวังมารนิรยของพวกเจ้า ออกคำสั่งให้เจ้าเมืองของเขตโลกทั้งสองกระจายข่าวไปยังเจ้าเมืองทั้งหมด ทำการป้องกันล่วงหน้า เกณฑ์พลทหาร ทำการรับมือกับแร้งมังกรที่จะมาถึงเมื่อไม่นานนี้” เทียนทิงบอก
หลังจากพูดจบ เทียนทิงได้บอกสิ่งเดียวกันให้กับตำหนักวิญญาณที่ปกครองโลกจั้นหลี และผู้เกี่ยวข้องของวังดวงวิญญาณที่ปกครองโลกหลัว
การป้องกันเรื่องแร้งมังกรของโลกจั้นหลีอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าตำหนักหยู่ คาดว่าตอนที่แร้งมังกรมาถึง เจ้าตำหนักหยู่ต้องไปโลกจั้นหลีอีกครั้ง
“ต่อมาเป็นเรื่องการเสนอชื่อสิบปี ท่านหลีหงในตอนนี้กำลังจัดการเรื่องยากเรื่องหนึ่ง ให้ข้าเป็นคนส่งสารแทน”เทียนทิงบอก
ตอนที่พูด ผู้นำสามคนที่เหลือได้เดินเข้ามาด้วย ยืนฟังอยู่ข้างเทียนทิง
“แร้งมังกรเป็นหายนะที่มีมาเนิ่นนาน จำต้องรับมือให้ได้ ส่วนการเสนอชื่อสิบปีนี้ จะให้แร้งมังกรเป็นหัวข้อ ให้เวลาทุกคนสองปี ในสองปีนี้ พวกเจ้าสามารถเข้าไปในหุบเขาหักมังกรหมื่นได้ตามใจ ถ้าได้หัวของแมลงปีศาจเวหาสิบปีกตัวหนึ่งก็จะมีเอกสิทธิเข้าเสนอชื่อ” เทียนทิงบอก
พอพูดแบบนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับสิบทั้งห้าสิบคนได้ส่งเสียงขึ้น !
แมลงปีศาจเวหาสิบปีกเป็นระดับราชันขั้นต่ำ !!!
จะฆ่าดวงวิญญาณระดับราชันขั้นต่ำตัวหนึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขาแล้ว แล้วนี่ยังเป็นดวงวิญญาณระดับราชัน และเป็นแมลงปีศาจเวหาที่มีจำนวนนับหมื่นตัว !
เท่ากับว่า ถ้าคิดจะฆ่าแมลงปีศาจเหวาสิบปีกตัวหนึ่ง ไม่เพียงแต่ต้องมีดวงวิญญาณระกดับราชันขั้นต่ำขึ้นไป ยังต้องมีความสามารถที่จะรับมือกับกองทับของแมลงปีศาจเวหานี้ด้วย และพลังต่อสู้ของกองทัพแมลงปีศาจเวหาเหล่านี้ไม่ด้อยไปกว่าพลังของราชันตัวหนึ่ง !!!
“นี่คิดจะคร่าชีวิตคนแก่อย่างข้าเหรอ ! ” เจ้าตำหนักหลิงร้องขึ้นมา
แมลงปีศาจเหวาระดับราชันจะปรากฏตัวแค่ตอนแร้งมังกร เดิมหุบเขาตัดหมื่นมังกรนี้ก็เป็นป่าช้าของผู้แข็งแกร่งอยู่แล้ว ให้พวกเขาบุกเข้าไปเพื่อฆ่าแมลงปีศาจเวหาระดับราชันตัวหนึ่ง เท่ากับให้พวกเขาส่งดวงวิญญาณของพวกเขาไปตายชัด ๆ !
เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับสิบคนอื่นต่างส่งเสียงร้องขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ไม่คิดว่า เอกสิทธิ์เสนอชื่อนี้จะยากขนาดนี้ !!!
“นี่เป็นเจตนาของหลีหง แม้จะยากไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่า ยังมีทางอื่นที่จะได้เอกสิทธิ์เสนอชื่อนี้ นี่เป็นแค่หนึ่งในนั้น หุบเขาตัดมังกรหมื่นนี้เป็นหนึ่งในหายนะของทั่วฟ้าดินนี้ ส่วนตัวข้ายังหวังว่า จะมีผู้ที่มีความสามารถตั้งแมลงปีศาจเหวาเป็นเป้าหมาย ส่วนหนึ่งก็เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วพื้นที่ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นบททดสอบของพวกเจ้าเอง” ท่านอาวุโสถิงแห่งตำหนักวิญญาณพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อเทียบกับน้ำเสียงเคร่งเครียดของเทียนทิงแล้ว น้ำเสียงของท่านอาวุโสถิงตำหนักวิญญาณนี้อ่อนโยนกว่ามาก เห็นได้ชัดว่า เป็นชายชราอารมณ์ดีคนหนึ่ง
“หลังจบการประลองฟ้าดิน เหล่าผู้แข็งแกร่งที่คัดจากขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สองจะถูกส่งไปยังเมืองใหญ่ของเขตโลกทั้งสี่เพื่อจัดการเรื่องแร้งมังกร รับผิดชอบในการกวาดล้างแมลงปีศาจเหวาแปดปีกกับหกปีก เรื่องนี้จะประกาศหลังจบการประลองฟ้าดิน” ท่านอาวุโสวังดวงวิญญาณไห่ชิวพูดขึ้น
เรื่องเป็นแบบนี้ ผู้คนทำได้แค่ยอมรับเรื่องนี้ แต่เสียงถอนหายใจยังคงไม่น้อย
หลังจากสั่งสองเรื่องนี้แล้ว เทียนทิงได้จากไปทันที
เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับสิบของอำนาจต่าง ๆ ได้เจรจาตอนที่จากไป พวกเขาได้ยินเรื่องแร้งมังกรมาบ้างแล้ว แต่พวกเขาไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ฟ้าดินด้วย
…
หลังจากผู้คนจากไป ชายผมขาว แต่ใบหน้ากลับไม่ต่างจากวัยผู้ใหญ่ได้เดินออกมา
รอยตีนกาของชายคนนี้ลึกมาก เห็นได้ชัดว่าอายุมากแล้ว แต่บนตัวเขากลับไม่เผยท่าทีไร้เรี่ยวแรงของคนชราออกมา แต่กลับมั่นคง แน่วแน่
ตอนที่ท่านอาวุโสถิงตำหนักวิญญาณเห็นชายชราคนนี้เดินออกมา ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา รีบโค้งคำนับ” ท่านผู้เฒ่าอาวุโส!”
ผู้มีอำนาจสูงสุดของสวนตำหนักวิญญาณ ท่านผู้เฒ่าอาวุโส !
ท่านผู้เฒ่าอาวุโสในตำหนักวิญญาณแทบไม่ยุ่งเรื่องใด พวกเขาจะทำการตัดสินหลังจากที่เกิดเรื่องใหญ่ให้ตำหนักวิญญาณเท่านั้น !
ชายชราผมขาวพยักหน้าไปยังท่านอาวุโสถิง สะบัดมือเล็กน้อย เป็นการบอกให้ท่านอาวุโสถิง เย้เทา ไห่ชิวทั้งสามคนออกไป
ถิงฟง เย้เทา ไห่ชิว เป็นสามที่นั่งของบัลลังก์ ต่อให้เป็นเย้เทา ท่านอาวุโสวังมานิรยที่เป็นศัตรูของตำหนักวิญญาณเห็นท่านผู้เฒ่าอาวุโสตำหนักวิญญาณคนนี้ ก็ไม่กล้าทำท่าทีเย่อหยิ่งใด ๆ ถอยออกไปนอกสวนเงียบ ๆ
“ท่านผู้เฒ่าอาวุโสอยู่ในเมืองเทียนเซี่ยตลอดเหรอ” เทียนทิงมองไปยังท่านผู้เฒ่าอาวุโสตำหนักวิญญาณคนนี้ แล้วถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“พักใหญ่แล้ว” ท่านผู้เฒ่าอาวุโสบอก
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงให้ท่านหลีหงกับข้าบอก แต่ไม่บอกเองละ หรือว่าท่านไม่กลัวว่า คนอย่างข้าน้อยเทียนทิงคิดกบฎ ลงมือตั้งแต่ก่อนการประลองฟ้าดิน” น้ำเสียงของเทียนทิงประหลาดมาก
“ถ้าเจ้าคิดจะลงมือละก็ ข้าก็ห้ามไม่ได้ แต่บางคนไม่ได้คิดเยอะเหมือนคนแก่อย่างข้า ข้าก็แค่ไม่อยากกระตุ้นความมัวหมองนี้เท่านั้น” ท่านผู้เฒ่าอาวุโสบอก
“ปีที่ผ่านมายังรอมาแล้ว หนึ่งเดือนนี้คงไม่เป็นอะไร ถึงตอนนั้นหวังว่า ท่านผู้เฒ่าอาวุโสจะพูดแทนข้า “น้ำเสียงของเทียนทิงราบเรียบขึ้นมาก
“คนนั้นเป็นหลู่ซานหลีที่มีความสามารถอันดับที่สามของวังมารนิรยเหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนการโจมตีไม่ได้เลย”เขามองดูหลู่ซานหลีที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บต่อเนื่อง ซ่างเหิงรู้สึกว่า ทั้งหมดนี้เกินจริงมาก
ทั้งตำหนักวิญญาณ คนที่ขยี้หลู่ซานหลีแบบนี้ได้ คงมีเพียงฟางเจ๋อนายท่านที่แปดผู้ซึ่งมีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น !
แต่ว่าในตอนนี้เขาได้เห็นวัยหนุ่มที่ความสามารถยังอ่อนกว่าตัวเองเมื่อไม่นานนี้กำลังขยี้หลู่ซานหลีตอนนี้
“ชู่เฉิงเหมือนคนของวังมารนิรยมากกว่าอีก…” หลีเหิงเองมักรับมือกับคนของวังมารนิรย แต่ไม่เคยเห็นมารนิรยตัวใดที่มีความสามารถกลืนกินแบบนี้มาก่อน !
…
ญาณคู่ได้รับบาดเจ็บ หลู่ซานหลีแทบไม่มีสิทธิ์จะสู้ต่อไปได้ !
ปีศาจขาวมีความสามารถแข็งแกร่งกว่ามารนิรยขาวของหลู่ซานหลีขั้นหนึ่ง แต่ถ้าจะกลืนกินมันก็ต้องล้มมารนิรยขาวตัวนี้ก่อน มิฉะนั้น ถ้ากลืนกินมันในตอนที่มันยังมีความสามรถเต็มอิ่มแบบนี้ เท่ากับปีศาจขาวเล่นกับไฟเอง
มารนิรยขาวของหลู่ซานหลีก็นับว่า มีสายเลือดบริสุทธิ์ สู้กับปีศาจขาวในขั้นบันไดเขานี้ ความสามารถในการรวมความแค้นของมันทำให้ความสามารถของมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เริ่มมีความสามารถเทียบเท่าปีศาจขาวแล้ว
มารนิรยขาวของหลู่ซานหลีได้สู้กับปีศาจขาวของชู่มู่จริง ๆ และแล้ว ความสามารถยังคงห่างกันขั้นหนึ่ง พลังของไฟปีศาจเก้าวิญญาณขั้นสี่ยังคงแข็งแกร่งกว่าไฟปีศาจวิญญาณขาว การทำลายล้างของปีศาจขาวเป็นสองเท่าของมัน !
ไฟปีศาจขาวลุกโชน ตามการดำเนินต่อของการต่อสู้ มารนิรยขาวของหลู่ซานหลีเริ่มรับมือไม่ได้แล้ว…
ในที่สุด มารนิรยขาวของหลู่ซานหลียังคงพ่ายแพ้อยู่ดี !
สถานการณ์คงที่แล้ว ดวงตาอ้างว้างของหลู่ซานหลีมองไปยังสนามต่อสู้ที่เต็มไปด้วยไฟปีศาจสีขาว พูดได้ว่า ตอนที่ชู่มู่อัญเชิญมารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นกลางออกมา การต่อสู้ครั้งนี้กำหนดให้หลู่ซานหลีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่แล้ว
ส่วนดวงวิญญาณอีกสองตัวที่เหลือของชู่มู่ ไม่ว่าตัวใดก็แข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณหลักของเขา ต่อให้ควบคุมสี่ก็ทำอะไรไม่ได้ !
ชู่มู่ไม่ได้ออมมือ หลังจากมารนิรยขาวของหลู่ซานหลีได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้สั่งให้ปีศาจขาวกลืนกินวิญญาณของมารนิรยขาว !
มารนิรยขาวลักษณะเก้าขั้นกลาง พลังของมารนิรยนี้เพียงพอที่จะทำให้ปีศาจขาวเพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสี่ !!!
หลู่ซานหลีแทบไม่สามารถต้านทานได้ ทำได้แค่มองดูมานิรยขาวของเขาตกอยู่ในชะตาเดียวกับมารนิรยสองตัวก่อนหน้านี้ ถูกปีศาจขาวที่ทำให้วิญญาณของเขาสั่นสะเทือนกลืนกิน
วิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง หลู่ซานหลีเริ่มยืนไม่อยู่แล้ว จึงพิงกับหน้าผา
ในตอนนี้ ใบหน้าของเขาไม่มีเลือดใด ๆ มองดูเหมือนร่างไร้วิญญาณ เป็นถึงบุตรรักของวังมารนิรย ศักดิ์ศรีของเขาในตอนนี้ได้หายไปหมดแล้ว เหมือนผู้อ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่จิตใต้สำนึกในการต้านทานฝันร้ายนี้
“เนี๊ย !!! ” เสียงร้องของปีศาจขาวกลายเป็นเสียงที่น่ากลัวที่สุด กระตุ้นแก้วหูของหลู่ซานหลี !
หลังจากกลืนกินมารนิรยขาวของหลู่ซานหลี ไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่เย็นเยียบกว่าเดิม พลิ้วไหวอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้ควบคุมอย่างไรก็ไม่อาจคุมพลังชั่วร้ายนั้นได้ !
“เติบโตแล้ว !!!”
และแล้ว ไม่เกินที่ชู่มู่คาดไว้ หลังจากกลืนกินมารนิรยสามตัวต่อเนื่อง ปีศาจขาวได้เติบโตจนอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสี่แล้ว กลายเป็นจักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะเก้าขั้นกลาง !!!
ตามที่ความสามารถของปีศาจขาวเพิ่มขึ้น วิญญาณของชู่มู่จะได้รับประโยชน์อย่างมาก ก่อนหน้านี้แค่ร่ายวิญญาณสี่ส่วน ตอนนี้ได้เติบโตจนอยู่ในหกส่วนแล้ว !
ร่ายวิญญาณหกส่วน !!! ความเร็วแบบนี้ อีกไม่นาน ชู่มู่จะอยู่ในเจ็ดร่ายแล้ว !!!
…
ชู่มู่ไม่ได้ฆ่าหลู่ซานหลี เขามีตำแหน่งที่สูงมากในวังมารนิรย ฆ่าเขาไม่มีความหมายเท่าไร แต่จะสร้างความยุ่งยากให้กับตัวเองเท่านั้น
ส่วนหลู่ซานหลีจะแก้แค้นหรือไม่ ชู่มู่ไม่สนใจ ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาซึ่งมีความสามารถอ่อนแอกว่าใช้เวลาไม่กี่ปียังก้าวข้ามเขาได้ เวลาต่อจากนี้หลู่ซานหลีจะเหมือนราชันนักล่าคนใหม่อย่างหลั่วผง ความสามารถของเขาจะห่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ !
ชู่มู่เดินไปยังหน้าผาอย่างช้า ๆ แล้วเก็บแหวนนักโทษทั้งกองนั้นเข้าไปในแหวนช่องว่างของตัวเอง !
แหวนนักโทษที่หลู่ซานหลีเก็บได้มีไม่มากแต่ก็ไม่น้อยเกินไป น่าจะมีแค่หนึ่งพันห้าร้อยล้าน พอนับแล้ว แหวนนักโทษทั้งหมดของชู่มู่แลกได้ห้าพันล้านแล้ว (ก่อนหน้านี้ชู่มู่ก็มีสามพันห้าร้อยล้านแล้ว)
ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ครั้งนี้ชู่มู่เองน่าจะได้เงินมากกว่าหกพันล้าน เงินที่เหลือชู่มู่จะนำมาเพิ่มความแข็งแกร่งดวงวิญญาณตัวอื่นได้ !
“ชู่มู่…อุณหภูมิวิญญาณของเจ้าสูงขึ้นหรือเปล่า” หลังจบการต่อสู้ เย้ชิงจือกระโดดขึ้นบันได้เขา
เย้ชิงจือไม่ได้สนใจว่า ความสามารถของชู่มู่เพิ่มขึ้นเท่าไร แต่กลับห่วงอุณหภูมิวิญญาณของเขา
การกลืนกินกลุ่มเดียวกันของมารนิรยขาวแบบนี้ เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระให้วิญญาณของชู่มู่!เธอไม่อยากให้ชู่มู่กลายเป็นปีศาจที่ไร้สติแบบนี้
“ยังไหว ทนได้” ชู่มู่ในตอนนี้ต้องการความสามารถ ส่วนตัวเขาจะมีผลข้างเคียงอะไรก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว
ตอนที่เข้าไปยังเกาะมารนิรย ชู่มู่กำลังรักษาวิญญาณของตัวเองที่ตกอยู่ในขอบแห่งความตาย หลายปีนี้ยังทนมาได้ อุณหภูมิของวิญญาณที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ไม่เท่าไร
เย้ชิงจือเห็นท่าทีแบบนนี้ของชู่มู่ เริ่มไม่พอใจแล้ว อุณหภูมิสูงของวิญญาณอันตรายต่อชีวิตอย่างมาก อีกทั้งถ้าอยู่ในภาวะแบบนี้เป็นเวลานาน จะลดอายุขัยของชู่มู่ได้ เย้ชิงจือไม่หวังว่าชู่มู่จะทรมานร่างกายกับวิญญาณของตัวเองเพื่อพลังแบบนี้
แน่นอนว่า เย้ชิงจือรู้ว่า พูดมากก็ไร้ประโยชน์ คงไม่มีใครห้ามให้ชู่มู่ก้าวสูงขึ้นไปได้ เธอเองก็จะพยายามไปรวบรวมวัตถุวิญญาณหมวดน้ำแข็งต่าง ๆ เพื่อกำจัดอันตรายให้ชู่มู่ !
“พวกเราเดินหน้าต่อไปเถอะ ยังมีศัตรูอีกมากมาย…” ชู่มู่ไม่สนใจหลู่ซานหลีที่สูญเสียวิญญาณไป กระโดดขึ้นหลังของจั้นเย้ พอมั่วเย้ที่อยู่ในภาวะอาวรณ์กับมารนิรยขาวที่อยู่ในภาวะเพิ่มความสามารถปีนป่ายขึ้นเขาต่อไป
ความอดทนของจั้นเย้ดีกว่ามั่วเย้ อาศัยกรงเล็บแหลมคมนี้ วิ่งไปตามหน้าผาที่เป็นแนวดิ่ง ลำตัวที่ปกคุลมด้วยเกราะสีหมึกและลายเส้นปีศาจพิเศษเหล่านั้นทำให้เห็นส่วนเหลี่ยมของร่างกายมัน ตอนไปตามหน้าผาเหมือนวิ่งอยู่บนพื้นราบ ทำให้เห็นพลังและการเคลื่อนไหวทรงพลังของดวงวิญญาณหมวดอสูร !
ปีศาจลูกม้าวายุของหลู่ซานหลีที่เต็มไปด้วยแผลไหม้ยืนอยู่ข้างหลู่ซานหลี ชู่มู่ไม่ได้ฆ่าปีศาจลูกม้าวายุ นับว่าเป็นการเหลือญาณหนึ่งให้ชู่มู่
แต่ว่าต่อให้ชู่มู่จะจากไปแล้ว หลู่ซานหลียังคงนิ่งอึ้งอย่างมาก ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังชู่มู่ที่สวมชุดดำ
ทันใดนั้น ม่านตาของหลู่ซานหลีขยายใหญ่ขึ้น !!!
เขาจับจ้องไปยังชู่มู่ สายตาเปลี่ยนไป เขานึกขึ้นได้แล้ว !!!
ในเมืองมารนิรยขาวโลกตะวันตก เคยมีวัยหนุ่มที่เดินออกจากเกาะนักโทษคนหนึ่ง สิ่งที่เขามีคือมารนิรยขาวที่จะกลืนกินวิญญาณไปทั่วอย่างอันตราย !!!
ความสามารถของเขาในตอนนั้นแค่เป็นคนที่โดดเด่นในระดับนั้นของวังมารนิรย ถ้าอยู่ในวังมารนิรยเมืองเทียนเซี่ยก็ไม่เป็นที่กล่าวขาน อย่างน้อยหลู่ซานหลีในตอนนั้นไม่คิดว่า ชู่มู่เจ้าแห่งเกาะนักโทษนี้จะอยู่ในสายตาของเขา
แต่ว่าผ่านไปหลายปีแล้ว ความสามารถของวัยหนุ่มที่เป็นดาวใหม่ของโลกตะวันตกเล็ก ๆ นี้กลับอยู่ในระดับชั้นนี้แล้ว นี่ทำให้หลู่ซานหลีตกใจยิ่ง ผู้คุมดวงวิญญาณที่เคยเป็นแค่ตัวประกอบแบบนี้เข้าสู่ชั้นยอดในเวลาสั้น ๆ แบบนี้ได้อย่างไร !!!
…
“ชู่มู่ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยสู้กับหลู่ซานหลีมาก่อนเหรอ” เย้ชิงจือเห็นประกายบางอย่างในตาของชู่มู่
“อืม ตอนที่ข้าออกจากเกาะนักโทษเข้าสู่วังมารนิรย เขามองดูจากที่สูงลงมา ในตอนนั้น ข้าทำได้แค่แหงนหน้ามองเขา ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะท้าสู้กับหลู่ซานหลี ข้าเชื่อว่า วันหนึ่งตัวเองจะเอาชนะเขาได้ แต่วันนั้นมาเร็วกว่าที่ข้าคิดเอาไว้” การเอาชนะหลู่ซานหลีแบบนี้ ในใจของชู่มู่ก็เกิดความประทับใจ
เมื่อก่อน หลู่ซานหลีอยู่สูงเกินจะปีนป่าย ความสามารถแข็งแกร่งยากจะข้ามผ่านนี้ทำให้ชู่มู่ได้แค่กัดฟันฝึกอย่างหนัก แต่ในตอนนี้ หลู่ซานหลีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวเองอีกต่อไป ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นอายุนี้ของเมืองเทียนเซี่ยแล้ว !!!
ในด่านฟ้าดินนี้ ผู้คุมดวงวิญญาณรุ่นวัยหนุ่มมีนับหมื่นล้าน ในตอนแรกที่ชู่มู่อยู่เมืองขั้นแปด เขาได้อยู่ระดับที่ต่ำสุด จนถึงเมืองพื้นที่ สู้กับผู้แข็งแกร่งที่สุดในเมืองต่าง ๆ หลังจากเมืองพื้นที่ ได้เข้าสู้โลกที่กว้างกว่า เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มมากมาย จนถึงตอนนี้ อยู่ในเมืองเทียนเซี่ยซึ่งเป็นที่รวมตัวของเขตโลก เขายืนอยู่ในความสูงที่ไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อน !!!
แน่นอนว่า ชู่มู่จะไม่ลืม คำสาบานที่เคยพูดไว้ตอนเอาชีวิตรอดในเกาะมารนิรยนั้น !
จนถึงตอนนี้ คำสาบานนั้นชู่มู่ยังจำขึ้นใจได้ นั่นเป็นตอนที่นั่งอยู่ข้างอ่าวทะเลด้วยความเคียดแค้นหลังผ่านบททดสอบที่เกินมนุษย์อันทรมานจิตใจ ชู่มู่ในวัยเด็กหนุ่มได้สาบานไว้ว่า ตัวเขาจะเดินออกจากเกาะมารนิรยที่ไร้ความเป็นมนุษย์แห่งนี้ ตัวเองจะก้าวข้ามเซี่ยกว่างหานที่กดทับตัวเองเหมือนภูเขาลูกใหญ่ เหยียบคนที่เคยดูถูกตัวเองไว้ใต้เท้า !
และเวลานี้ใกล้จะมาถึงแล้ว !
ร่ายวิญญาณเติบโตจนถึงหกส่วนแล้ว ขาดอีกแค่สี่ส่วน ! แค่เพิ่มร่ายวิญญาณสี่ส่วนนี้ มั่วเย้จะเผชิญกับการแปรเปลี่ยนตระกูล อยู่ในระดับเทียบเท่าราชัน !
ดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดของเจ้าโลกเมืองหลีแห่งเมืองหลีอยู่แค่ระดับเทียบเท่าราชันเท่านั้น ! และเซียวเหยิ่นที่ได้รับสมญานามเป็นหนึ่งในห้ายอดนั้นมีดวงวิญญาณที่อยู่ระหว่างระดับจักรพรรดิชั้นยอดและระดับราชันตัวหนึ่งเท่านั้น !
ทันทีที่มั่วเย้อยู่ในระดับเทียบเท่าราชัน เซี่ยกว่างหานที่เคยเป็นเงามืดในใจของชู่มู่ก็เป็นแค่เศษสวะในสายตาชู่มู่เท่านั้น !!!
·…
ทุกครั้งที่คิดว่า มั่วเย้กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเทียบเท่าราชัน ชู่มู่จะใจพอง ตื่นเต้นกับการแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องของมั่วเย้อย่างมาก !!!
และเพื่อให้เวลานี้มาถึงไวขึ้น ชู่มู่จะไปใส่ใจอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้อย่างไร
ต้องรู้ไว้ว่า ในไม่ช้า และในอีกไม่นาน ตัวเองจะมีพลังที่เป็นอันตรายต่อศัตรูที่เคยดูถูกตัวเอง !
ความสามารถในการกลืนกินของมารนิรยขาวเพียงพอที่จะให้มันกลืนกินกลุ่มมารนิรยที่มีความสามารถเช่นเดียวกับมันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารนิรยทั้งสามตัวที่มีความสามารถห่างกับมันหนึ่งถึงสองขั้นนี้ !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณพัดพา มารนิรยขาวเล็งไปยังมานิรยเขียวที่มีความสามารถอ่อนกว่าเล็กน้อยก่อน ไฟปีศาจสีเขียวของมารนิรยเขียวก่อเป็นการป้องกันชั้นหนึ่ง คิดจะป้องกันการบุกรุกของมารนิรยขาว
และแล้ว การเผชิญกับไฟปีศาจเขียวระดับที่สาม ปีศาจขาวกลับเพิกเฉยทันที เงาปีศาจของมันลอยไปตรงหน้าของมารนิรยเขียวตัวนี้ เผยท่าทีหิวโหยทั้งหมดออกมา !!!
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณทั้งสี่พุ่งขึ้นข้างตัวมารนิรยเขียว ปิดเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของมารนิรยเขียวไว้ !!!
เผชิญกับปีศาจขาวที่บ้าพลังแบบนี้ มารนิรยเขียวส่งเสียงคล้ายเสียงร้องโอดครวญ เห็นได้ชัดว่า มารนิรยเขียวตกอยู่ในความกลัวขั้นสุด ความกลัวนี้มาจากกลิ่นชั่วร้ายของปีศาจขาว !!!
มือของมารนิรยขาวหลู่ซานหลีมีดาบยาวด้ามหนึ่งที่มีไฟปีศาจวิญญาณขาวลุกโชน มันลอยไปด้านหลังปีศาจขาวทันที มือทั้งสองกำดาบวิญญาณขาวนี้ ส่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมา !
ตระกูลของมารนิรยเขียวต่ำเกินไป เผชิญกับมารนิรยขาวระดับจักรพรรดิที่แข็งแกร่งกว่าตัวมันสองขั้นกลัวจนตัวสั้นเป็นเรื่องปกติ แต่มารนิรยขาวอยู่ในระดับเดียวกับปีศาจขาว พลังของปีศาจขาวอย่างมากก็ทำให้มันหยุดชะงัก แต่ไม่สามารถทำให้มันหวาดกลัวได้
ในตอนนี้ ดาบยาวของมารนิรยขาวหลู่ซานหลีเล้งไปยังด้านหลังหัวใจของปีศาจขาว ถ้าปีศาจขาวคิดจะโจมตีไปยังมานิรยเขียว ดาบปีศาจวิญญาณขาวนี้จะแทงทะลุร่างของมันแน่นอน !
เห็นฉากนี้ ชู่มู่กลับยิ้มอย่างเยือกเย็น ไม่มีท่าทีให้ปีศาจขาวหลบใด ๆ !
“กลืนกินวิญญาณ ! ” ชู่มู่ออกคำสั่งต่อปีศาจขาว !
ปีศาจขาวไม่ได้หันกลับมา กรงเล็บนั้นกำคอของมารนิรยเขียวแน่น ลำตัวที่มีไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนกลับเริ่มหล่อรวมเข้าไปในร่างของมารนิรยเขียว !
“พุ !!! ”
ดาบปีศาจวิญญาณขาวแทงเข้ามา ทะลุด้านหลังหัวใจของปีศาจขาวโดยตรง !
ร่างกายของปีศาจขาวเกิดเป็นหลุมสีดำทันที ไฟปีศาจวิญญาณขาวบนดาบปีศาจเริ่มคืบคลานไปตามร่างกายของปีศาจขาว จะแผดเผาร่างกายของปีศาจขาวให้เป็นเถ้าถ่าน !
ร่างกายของปีศาจขาวกระตุกเล็กน้อย ไฟปีศาจบนตัวเพิ่มขึ้นมหาศาล ไฟปีศาจเก้าวิญญาณระดับสี่ได้ห่อหุ้มทั้งตัวกะทันหัน พยายามบังคับให้ไฟปีศาจวิญญาณขาวนี้ดับลง !
ในตอนนี้ ปีศาจขาวได้หันหลังแล้วในที่สุด ดวงตาสีขาวลึกลับนั้นจับจ้องไปยังมารนิรยขาวของหลู่ซานหลีด้วยความโกรธ !
“เนี๊ย !!! ”ปีศาจขาวส่งเสียงร้องด้วยความหงุดหงิด ราวกับจะออกคำสั่งประหารชีวิตมารนิรยขาวของหลู่ซานหลี !!!
มารนิรยขาวของหลู่ซานหลีไม่จำยอม ส่งเสียงร้องเช่นเดียวกัน กรงเล็บปีศาจของมันยื่นออกช้า ๆ จับเข้าไปในร่างของปีศาจขาวทันที !!!
ดับดวงใจ !!!
ทักษะที่มารนิรยขาวของหลู่ซานหลีใช้คือดับดวงใจอันน่ากลัว นี่เป็นความสามารถที่ฆ่าศัตรูในเสี้ยววินาทีได้ !!!
“ปีศาจขาว กลืนมารนิรยเขียวเข้าไป ! ” ชู่มู่เห็นปีศาจขาวโกรธแล้ว ยิ่งออกคำสั่งต่อปีศาจขาว ! ทักษะดับดวงใจต้องใช้เวลาสองวินาที และสองวินาทีนี้ก็พอที่จะกลืนมารนิรยเขียวได้แล้ว !
ปีศาจขาวหันกลับมา กรงเล็บหมวดลับจับคอของมารนิรยเขียวที่มีไฟปีศาจสีเขียวพุ่งออกมา !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!! ” ไฟปีศาจสีเขียวนี้แผดเผาร่างของปีศาจขาวต่อเนื่อง อีกทั้งทำให้ผิวของปีศาจขาวกลายเป็นสีเขียว
แต่ว่าปีศาจขาวบ้าคลั่งไม่ได้ปล่อยมือ ร่างของมันหล่อรวมเข้าไปเป็นร่างเดียวกับมารนิรยเขียว !
ตามการหล่อรวมของปีศาจขาว ไฟปีศาจบนตัวมารนิรยเขียวยิ่งปล่อยออกมาบ้าคลั่งมากขึ้น ทว่า นี่เป็นแค่การดิ้นรนของมารนิรยเขียว มันกำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด วิญญาณของมันกำลังถูกวิญญาณจักรพรรดิแข็งแกร่งนี้กลืนกิน !!!
“นี่…” หลู่ซานหลีนิ่งอึ้ง มองไปยังมารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นสูงตัวนี้ของชู่มู่ที่ค่อย ๆ หล่อรวมเข้าไปในร่างกายของมารนิรยเขียว !
ทักษะกลืนกินวิญญาณแบบนี้ควรจะปรากฏในตอนที่มารนิรยชั่วร้ายกลืนกินเจ้าของที่ไม่สามารถเลี้ยงดูพวกมัน ทำไมถึงเกิดการกลืนกินพวกเดียวกันได้ !
ตอนที่หลู่ซานหลีตกใจ ร่างลึกลับของปีศาจขาวได้เข้าไปในร่างกายของมารนิรยเขียวทั้งหมดแล้ว
ไฟปีศาจสีเขียวที่สไยของมารนิรยเขียวนั้นเริ่มอ่อนลงอย่างช้า ๆ มันไม่โห่ร้องอีกต่อไป แต่กลับนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีการโต้ตอบใด ๆ !
เวลาสองวินาที มารนิรยขาวของหลู่ซานหลีได้เตรียมทักษะดับดวงใจสำเร็จแล้ว !!!
ทักษะดับดวงใจนี้เป็นความสามารถหมวดลับที่หยิบของผ่านมิติได้ เพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่จะโจมตียังอยู่ในรัศมีสามเมตร ทักษะดับดวงใจนี้ก็จะเกิดผลใดแม้จะไม่แตะต้องร่างกายของศัตรู
มารนิรยขาวของหลู่ซานหลีดึงมือกลับจากมิติ ทักษะดับดวงใจนี้สำเร็จอย่างมาก ในมือของมันได้กำผลึกเครื่องในเอาไว้!
เพียงแค่กำผลึกเครื่องในนี้ให้แหลก ต่อให้ศัตรูจะเป็นจักรพรรดิขั้นสูงหรือไม่ ก็ต้องตายแน่นอน !!!
“หยุด…หยุดเดี๋ยวนี้ !!!” ทันใดนั้น หลู่ซานหลีตะโกนออกมา รีบห้ามให้มารนิรยขาวบีบผลึกเครื่องในนั้น !!!
มานิรยขาวของหลู่ซานหลีจะบีบด้วยจิตใต้สำนึกแล้ว หลังจากถูกหลู่ซานหลีห้าม กลับมองไปยังเจ้าของมันด้วยความมึนงง
หลู่ซานหลีในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังฝ่ามือของมารนิรยขาว สิ่งที่อยู่ในมือของมารนิรยขาวไม่ใช่เครื่องในของปีศาจขาวชู่มู่ แต่เป็นผลึกเครื่องในสีเขียวอันหนึ่ง !!!
นั่นเป็นผลึกเครื่องในของมารนิรยเขียว !!!
ทักษะดับดวงใจยังคงช้าไป ก่อนหน้านี้ ปีศาจขาวได้ครอบงำร่างของมารนิรยเขียวแล้ว อีกทั้งยังใช้ร่างของมารนิรยเขียวเป็นโล่ต้านทักษะดับดวงใจ !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ร่างกายของมารนิรยเขียวเริ่มลุกโชน ไฟปีศาจที่ลุกโชนรุนแรงมากขึ้น !
สิ่งที่น่าตกใจคือ ท่ามกลางไฟปีศาจสีเขียวรอบตัวมันกลับเกิดเป็นสีขาวเย็นเยียบลึกลับอย่างช้า ๆ !
ไฟปีศาจลุกโชนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สีขาวที่อยู่ท่ามกลางไฟปีศาจสีเขียวสดใสกว่าเดิม
ท้ายที่สุด สีขาวนี้ได้ครอบครองไฟปีศาจหลักทั้งหมด ร่างกายของมารนิรยเขียวเริ่มสลาย สีเขียวทั้งหมดได้ค่อย ๆลอกคราบเป็นเก้าวิญญาณซีดขาว !!!
ในที่สุด สีเขียวทั้งหมดได้หายไป มารนิรยเขียวนั้นกลับมีไฟปีศาจสีขาวลุกโชนขึ้น แม้แต่รูปร่าง หน้าตา กลิ่นไอทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไปตามการลุกโชนของไฟปีศาจเก้าวิญญาณนี้ !!!
“เนี๊ย !!!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามมารแสบหูได้ดังขึ้น !!!
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณพริ้วไหว ต่างจากไฟปีศาจวิญญาณขาวที่เงียบสงัด ราชันปีศาจองค์นี้ได้เผยความชั่วร้ายออกมาอย่างหมดจด !!!
มารนิรยเขียวถูกกลืนกินจนหมดแล้ว !!!
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ หลังจากมารินรยเขียวถูกกลืนกิน ไฟปีศาจบนตัวปีศาจขาวกลับรุนแรงมากขึ้น !!!
เดิมปีศาจขาวอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสอง หลังจากกืนกินมารนิรยเขียวตัวนี้ พลังส่วนหนึ่งได้กลายเป็นพลังชำระล้างวิญญาณ ส่งไปยังชู่มู่ พลังอีกส่วนหนึ่งได้กลายเป็นพลังของมันเอง ทำให้ความสามารถของมันเพิ่มขึ้นขั้นหนึ่ง อยู่ในลักษณะเก้าขั้นสาม !!!
ลักษณะเก้าขั้นสาม หลังจากปีศาจขาวกลืนกินได้เติบโตขั้นหนึ่ง !!!
“ต่อไป มารนิรยฟ้า !!!” ชู่มู่ไม่ปล่อยให้หลู่ซานหลีมีเวลาหายใจ ออกคำสั่งต่อยังปีศาจขาว ให้มันพุ่งตรงไปยังมารนิรยฟ้า !!!
สีหน้าของหลู่ซานหลีซีดขาวอย่างมาก เขาที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บสัมผัสได้ถึงการแผดเผาวิญญาณของไฟปีศาจเก้าวิญญาณของปีศาจขาวด้วย พลังนี้ทำให้แผลที่เกิดจากวิญญาณที่ตัดขาดนี้สาหัสมากกว่าเดิม !
ในตอนนี้ หลู่ซานหลีรับรู้ถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของปีศาจขาวชู่มู่ เขาทนต่อความเจ็บปวดของวิญญาณ ให้มารนิรยฟ้าห่างจากปีศาจขาวของชู่มู่ ให้มารนิรยขาวรั้งปีศาจขาวไว้ !
ปีศาจลูกม้าวายุของหลู่ซานหลีได้กระโดดออกจากความมืดในตอนนี้ ใช้ทักษะภูตวิญญาณ ห้ามการกลืนกินอันน่ากลัวของปีศาจขาว
ทักษะจิตของปีศาจลูกม้าวายุได้ขัดขวางปีศาจขาวได้บ้าง ในไม่ช้า ปีศาจขาวที่ไล่ต้อนมารนิรยฟ้าต่อเนื่องแต่กลับไม่สำเร็จได้ส่งเสียงร้องด้วยความโกรธ
“มั่วเย้ อย่าให้เขาเก็บดวงวิญญาณกลับไป จั้นเย้ รั้งมารนิรยขาวไว้ ! ” ชู่มู่ออกคำสั่งทันที
มั่วเย้พุ่งออกอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเงินคู่นั้นจับจ้องไปยังหลู่ซานหลี ไม่ปล่อยให้หลู่ซานหลีมีโอกาสเปลี่ยนดวงวิญญาณ
หลู่ซานหลีที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสย่อมไม่กล้าเผชิญหน้ากับมั่วเย้ตอนที่ไม่มีดวงวิญญาณใด ๆ เขารีบเรียกปีศาจลูกม้าวายุกลับมา ให้ปีศาจลูกม้าวายุต้านทานการโจมตีของมั่วเย้
ส่วนจั้นเย้ที่จัดการผู้เฝ้ามารสามคน ด้วยผลของดวงใจแห่งมังกรหาญ ความสามารถได้เพิ่มขึ้นถึงลักษณะเก้าขั้นสูงแล้ว เผชิญหน้ากับมารนิรยขาว จั้นเย้ได้พุ่งออกไปด้วยความกล้าหาญ หนามเกราะหมึกแทงไปยังมารนิรยขาวของหลู่ซานหลี !
“กลืนกินมารนิรยฟ้า ! ” ไม่มีสิ่งกีดขวาง ชู่มู่ออกคำสั่งต่อปีศาจขาวทันที
ความเร็วของปีศาจขาวไวกว่ามารนิรยฟ้ามาก หลู่ซานหลีกำลังคิดจะเปลี่ยนดวงวิญญาณ แต่ปีศาจขาวกลับใช้เงาปีศาจสลับตำแหน่ง ไฟปีศาจลุกโชนขึ้นบนตัว ขัดขวางการร่ายคาถาของหลู่ซานหลี
ความสามารถของมารนิรยฟ้าแข็งแกร่งกว่ามารนิรยเขียวไม่เท่าไร การต่อสู้อยู่ไม่นาน มารนิรยฟ้าตัวนี้ถูกปีศาจขาวควบคุมเอาไว้ หลู่ซานหลีจะช่วยอย่างไรก็ไร้ผล !
ร่างกายของปีศาจขาวหล่อรวมเข้าไปในร่างกายของมารนิรยฟ้าอีกครั้ง ทำการกลืนกินวิญญาณ !!!
ในตอนที่ปีศาจน่ากลัวนี้กำลังจะกลืนกินมารนิรยของหลู่ซานหลีอีกครั้ง หลู่ซานหลีได้เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา เขาไม่เคยเห็นมารนิรยที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน !!!
ไฟปีศาจสีฟ้าลุกโชนอยู่ ท่ามกลางสีฟ้ายังคงเผยให้เห็นสีซีดขาว ตามที่ร่างกายของมารนิรยขาวหล่อรวมเข้าไป มารนิรยฟ้าที่มีความสามรถห่างกันสองขั้นนี้ยังคงไม่อาจหนีจากกรรมองการถูกปีศาจขาวกลืนกินได้อยู่ดี ร่างกายกับวิญญาณถูกปีศาจขาวครอบงำทั้งหมด !!!
ในที่สุด วิญญาณของมารนิรยฟ้าก็ถูกกลืนกิน !!!
การกลืนกินครั้งนี้ ความสามารถของปีศาจขาวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้ทะลายลักษณะเก้าขั้นสาม อย่างไรความสามารถของมารนิรยเขียวกับมารนิรยฟ้าเท่ากัน ความสามารถกลืนกินกลุ่มเดียวกันที่เทียบเท่ากันไม่มีความหมายเท่าไร
ทว่า แค่ได้กลืนกินมารนิรยขาวของหลู่ซานหลี ความสามารถของมันจะเพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสี่ได้แน่นอน และเป็นลักษณะเก้าขั้นกลาง !!!
ทันทีที่ปีศาจขาวอยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลาง ความสามารถหมวดลับและพลังของจักรพรรดิขั้นสูงของมัน จะทำให้มีความสามารถที่จะต้านทานจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบได้โดยตรง !
มีแค่มารนิรยขาวตัวนี้ ชู่มู่ก็พอที่จะกวาดล้างผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในขั้นสองได้แล้ว !!!
มั่วเย๋กระโดดลงจากไหล่ของชู่มู่ มงกุฎเพลิงลุกโชนขึ้นจากตัว ประกายไฟสีแดงเลือดกับสีแดงฉานสะดุดตาอย่างยิ่งในค่ำคืนนี้!
ตอนที่มงกุฎเพลิงลึกโชนขึ้น อุณหภูมิรอบๆ สูงขึ้นทันที ท่ามกลางมงกุฎเพลิงที่ลุกโชน ร่างกายของมั่วเย๋ขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง หางยาวเพลิงเก้าเส้นนี้ได้สยายไปตามเปลวไฟ!
ในใจหลู่ซานหลีเกิดความโกรธขึ้นมาแล้ว เห็นดวงวิญญาณของชู่มู่ปรากฎตัวขึ้น จึงร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว!
ไฟปีศาจสีฟ้าเย็นเยียบลุกโชนขึ้นบนตัวหลู่ซานหลี ไฟปีศาจนี้ต่างจากมงกุฎเพลิง ประกายสีฟ้าที่เย็นเยียบเข้ากระดูก ไขว้กับมงกุฎเพลิงร้อนระอุของมั่วเย๋ ก่อเป็นปรากฎการณ์ที่เปลวไฟทั้งสองชนิดประสานกันบนความสูงร้อยเมตรทันที!
ร่ายคาถาสำเร็จ ใต้เท้าหลู่ซานหลีมีลายเส้นไฟปีศาจลึกลับปรากฎขึ้น ไฟปีศาจก้อนนี้ไม่ได้จารึกบนพื้น แต่ลอยเหนืออพื้นดิน ตามด้วยประกายไฟปีศาจสีฟ้าเย็นเยียบ มารนิรยสีฟ้าตัวหนึ่งปรากฎขึ้น!
มารนิรยฟ้า จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลาง!
ผลของแสงจันทร์ในกลางคืน ทำให้ความสามารถของมั่วเย๋เพิ่มขึ้นขั้นหนึ่งได้ มงกุฎเพลิงซึ่งเป็นหมวดรองทำให้ความสามารถของมั่วเย๋เพิ่มขึ้นอีกขั้นได้ นับๆ แล้ว พลังต่อสู้ของมั่วเย๋ในตอนนี้เทียบเท่าจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นสูง
และแล้ว หมวดไฟปะทะกับหมวดไฟ พลังมงกุฎเพลิงของมั่วเย๋อาจลดลงมาก เช่นนี้มงกุฎเพลิงหมวดรองของมั่วเย๋น่าจะไม่ก่อประโยชน์เท่าไร
เช่นนี้ ความสามารถจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลางของมั่วเย๋นี้เทียบกันได้พอดี ใครแพ้ใครชนะ ต้องดูความสามารถต่อสู้และความมุ่งมั่นของผู้คุมดวงวิญญาณแล้ว!
“อูอูอูอู”
ที่ผ่านมามั่วเย๋ได้สู้กับกลุ่มมารนิรยบ่อยครั้ง นับว่าเติบโตจากการฆ่ามารนิรยเหล่านี้ ตอนนี้ได้เจอมารนิรยฟ้าที่มีความสามารถเทียบเท่าตัวเอง เผยความตื่นเต้นออกมาทันที
ไม่ต้องรอให้ชู่มู่ออกคำสั่ง ร่างของมั่วเย๋สั่นเล็กน้อย หายไปจากที่เดิมในเสี้ยววินาที วินาทีต่อมา เงาไฟงดงามอันหนึ่งปรากฎขึ้นข้างกายห่างจากมารนิรยฟ้าไม่ไกล หางเก้าเส้นงดงามของมั่วเย๋กางออก กลายเป็นแส้มังกรยาวนับไม่ถ้วน ฟาดไปยังมารนิรยฟ้าอย่างบ้าคลั่ง
หลู่ซานหลีถอยหลังอย่างรวดเร็ว ให้มารนิรยฟ้าปล่อยทักษะต้านทาน ทำการฆ่าล้างกับมั่วเย๋ของชู่มู่!
“ข้าไม่อยากสู้กับเจ้าทีละตัวช้าๆ!”หลังจากหลู่ซานหลีถอยหลังไป กลับร่ายคาถาขึ้น
ครั้งนี้ หลู่ซานหลีได้ทำการอัญเชิญคู่โดยตรง!
จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงเป็นจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นกลางเช่นเดียวกัน หลู่ซานหลีก็รู้ว่าชู่มู่ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้ ในตอนนี้หลู่ซานหลีก็ไม่เก็บความสามารถของตัวเองต่อไป!
ไฟปีศาจสีขาวก้อนหนึ่ง ไฟปีศาจสีเขียวก้อนหนึ่ง ไฟปีศาจทั้งสองชนิดปรากฎบนตัวหลู่ซานหลี แยกออกจากตัวของหลู่ซานหลีในไม่ช้า!
ไฟปีศาจสองก้อนนี้เหมือนมีชีวิตอยู่ หลังจากลอยออกจากตัวหลู่ซานหลี ได้ก่อเป็นภาพวาดท่ามกลางความมืด กลายเป็นลายเส้นอัญเชิญลึกลับของมารนิรย!
มารนิรยเขียวแม่ทัพตัวหนึ่ง มารนิรยขาวจักรพรรดิตัวหนึ่ง!!
ดวงวิญญาณทั้งหมดที่หลู่ซานหลีอัญเชิญออกมาเป็นกลุ่มมารนิรยทั้งหมด!!
มารนิรยเขียว มารนิรยฟ้า มารนิรยขาว ดวงวิญญาณทั้งสามชนิดนี้เป็นตัวแทนของการเติบโตของสมาชิกวังมารนิรย ในตอนแรกสุด พวกเขาจะควบคุมมารนิรยเขียวก่อน หลังจากความสามารถถึงระดับหนึ่งแล้ว จะเริ่มควบคุมมารนิรยฟ้าที่แข็งแกร่งกว่า สุดท้ายถึงเป็นมารนิรยขาวจักรพรรดิ
เห็นได้ชัดว่าหลู่ซานหลีเป็นผู้แข็งแกร่งดั่งเดิมของวังมารนิรย มารนิรยทั้งสามตัวเป็นดวงวิญญาณหลักในสามช่วงเวลาของเขา!!
มารนิรยเขียวของหลู่ซานหลีอยู่ในลักษณะสิบแล้ว มีพลังต่อสู้ระดับผู้นำชั้นยอด เพียงพอที่จะเทียบกับจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลางได้!ความสามารถเทียบเท่ากับมารนิรยฟ้าชั้นผู้นำ!
ส่วนมารนิรยขาว ลักษณะขั้นของมันอยู่ในลักษณะเก้าขั้นกลางแล้ว!
เดิมพลังต่อสู้ของมารนิรยขาวก็แข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณอื่นขั้นหนึ่งแล้ว ต่อให้มันอยู่แค่ลักษณะเก้าขั้นกลาง แต่ความสามารถที่แท้จริงของมันแข็งแกร่งกว่ามารนิรยเขียว กับมารนิรยฟ้าขั้นหนึ่ง!
“พลังของมารนิรยมีอย่างไม่จำกัด มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!!ข้าจะดูว่าตอนนี้เจ้าจะอัญเชิญดวงวิญญาณอะไรมารับมือกับข้า ดวงวิญญาณหมวดน้ำที่น่าสมเพชเหรอ?”หลู่ซานหลียิ้มออกมา
ทันทีที่มารนิรยทั้งสามตัวปรากฎในสนามพร้อมกัน พลังของพวกมันจะเพิ่มขึ้น ความสามารถจะเพิ่มขึ้นไปด้วย ต่อให้ความสามารถของดวงวิญญาณที่ชู่มู่อัญเชิญออกมาจะเทียบเท่ากับมารนิรยทั้งสามตัว แต่จะถูกดวงวิญญาณกลุ่มเดียวกันสามตัวนี้ปิดไว้หมด!
“เขียว ฟ้า ขาว มารนิรยทั้งสามปรากฎในสนามพร้อมกัน จัดการไม่ง่าย โดยเฉพาะมารนิรยขาวตัวนั้น เทียบเท่าจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นสูง!”บนฟ้า ถิงหลันมองดูก้อนไฟทรงพลังทั้งสามนั้น เริ่มกังวลแทนชู่มู่แล้ว
มารนิรยบ้าพลังอย่างยิ่ง ทันทีที่การป้องกันถูกทำลาย ไฟปีศาจทั้งสามชนิดจะสร้างทำลายวิญญาณของผู้คุมดวงวิญญาณและดวงวิญญาณอย่างมาก ที่ผ่านมามีผู้แข็งแกร่งตำหนักวิญญาณมากมายแพ้ให้กับการรวมตัวของมารนิรยทั้งสามของวังมารนิรย!
“จำต้องให้เย้ชิงจือช่วยเหลือ มิฉะนั้นชู่มู่ยากที่จะชนะหลู่ซานหลีได้…”ซ่างเหิงบอก
ตอนอยู่ด่านที่เจ็ด ถิงหลันกับซ่างเหิงต่างรู้เรื่องที่ชู่มู่ทำหายไปหนึ่งญาณ ดังนั้นชู่มู่ในตอนนี้ทำได้แค่ควบคุมสาม ส่วนหลู่ซานหลีนอกจากมารนิรยทั้งสามแล้ว ยังมีปีศาจลูกม้าวายุอีกตัวอยู่
ต่อให้ปีศาจลูกม้าวายุไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในตอนนี้ แต่ถ้าสถานการณ์ต่อสู้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลู่ซานหลีจะเปลี่ยนดวงวิญญาณ หรือจะให้ปีศาจลูกม้าวายุทำการควบคุมดวงวิญญาณของชู่มู่ เขาจะตกอยู่ใต้การควบคุมทันที
อีกทั้ง นอกจากจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงกับอสูรมั่วเย้แล้ว ซ่างเหิงกับถิงหลันต่างไม่รู้ว่าชู่มู่ยังมีดวงวิญญาณอะไรจะสู้กับหลู่ซานหลีได้อีก!
…
แสงเย็นเยียบของไฟปีศาจทั้งสามชนิดสะท้อนบนหน้าของชู่มู่ สีหน้าของชู่มู่เยือกเย็นอย่างมาก เขายังคงร่ายคาถาอยู่!
ก่อนหน้านี้ชู่มู่ได้เก็บปีศาจนักรบไม้เข้าไปในช่องว่างดวงวิญญาณแล้ว ตอนนี้ชู่มู่กำลังอัญเชิญมารนิรยขาวที่อดใจไม่ไหวออกมา!
“เนี๊ย!!!!!!!!!!!”
ทันทีที่เจอกลุ่มเดียวกันที่มีความสามารถไม่ต่างกันมาก ปีศาจขาวจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ นี่เป็นปีศาจที่อิจฉาริษยาอย่างมากตัวหนึ่ง จะไม่ปล่อยให้มารนิรยกลุ่มเดียวกันอวดดีต่อหน้ามัน!
ไฟปีศาจสีขาวได้กลายเป็นโครงร่างของชู่มู่ กลิ่นไอเย็นเยียบกระจายไปรอบๆ อย่างช้าๆ!!
“เนี๊ย!!!!!!!”ยังไม่ทันได้อัญเชิญ เสียงร้องมารของมารนิรยขาวทะลุออกจากช่องว่าง ดังขึ้นท่ามกลางบันไดเขาแห่งนี้!!
ทันใดนั้น กลิ่นไอของไฟปีศาจเก้าวิญญาณรุนแรงขึ้นมาก ตามด้วยไฟปีศาจที่กระจายบนตัวชู่มู่อย่างบ้าคลั่ง กลิ่นไอที่พร้อมจะทำลายช่องว่างกระจายออก เย็นเยียบ ลึกลับ พลังมืดนี้กลับกดทับมารนิรยทั้งสามตัวของหลู่ซานหลี!!
“นั่นอะไร!!!ทำไมบนตัวชู่มู่ถึงมีไฟปีศาจสีขาวลุกโชนขึ้นได้!!”หลังจากซ่างเหิงที่มองจากที่ไกลเห็นฉากนี้ ร้องออกมาทันที
ท่ามกลางความมืด สีซีดขาวของไฟปีศาจเก้าวิญญาณสะดุดตาอย่างมาก ราวกับไฟยมทูตบนประตูแห่งความตาย!มองดูแล้วทำให้ต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ!
ก่อนหน้านี้ถิงหลันเคยเห็นไฟปีศาจแบบนี้ลุกโชนบนตัวชู่มู่ แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่ช่วยหลีจ่าน ทีแรกถิงหลันคิดว่านั่นเป็นทักษะวิญญาณพิเศษของชู่มู่ แต่สิ่งที่ชู่มู่กำลังปล่อยออกมาไม่ใช่ทักษะวิญญาณ แต่เป็นคาถาสัญญาวิญญาณ เขากำลังอัญเชิญ!!
เมื่อเทียบกับผลการอัญเชิญตอนหลู่ซานหลีอัญเชิญมารนิรยขาว ไฟปีศาจในตอนนี้ลึกลับยิ่งกว่า จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากเพียงใด!!
“ไฟปีศาจเก้าวิญญาณ!!!”หลู่ซานหลีร้องด้วยความตกใจ ความสะพรึงบนใบหน้าทวีคูณยิ่งกว่า!!
เป็นสมาชิกของวังมารนิรยคนหนึ่ง เขาจะไม่รู้จักไฟปีศาจระดับที่สี่ของมารนิรยขาวนี้ได้อย่างไร!!
นี่เป็นไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าไฟปีศาจวิญญาณขาวเท่าหนึ่งเต็มๆ!!
หลู่ซานหลีตกใจจนลืมสั่งให้มารนิรยของตัวเองโจมตี เขาจับจ้องไปยังชู่มู่ด้วยความเหลือเชื่อ!
ในตอนนี้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าสมาชิกตำหนักวิญญาณคนนี้จะมีดวงวิญญาณของวังมารนิรยพวกเขาได้ อีกทั้งยังเป็นมารนิรยขาวที่ควบคุมไฟปีศาจเก้าวิญญาณได้ตัวหนึ่ง!!!
มารนิรยขาว จักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะเก้าขั้นต่ำ!!
ความสามารถของจักรพรรดิขั้นกลางสูงกว่าจักรพรรดิขั้นกลางถึงสองขั้นเต็มๆ ถ้าเทียบระดับพลังต่อสู้จักรพรรดิขั้นกลางละก็ ปีศาจขาวเทียบเท่าลักษณะเก้าขั้นสูงแล้ว!
เดิมพลังต่อสู้ของมารนิรยขาวพิเศษอยู่แล้ว ความสามารถแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณธรรมดาขั้นหนึ่ง เท่ากับว่า ความสามารถของมารนิรยขาวในตอนนี้อยู่ในลักษณะเก้าชั้นยอดแล้ว!!!
“ข้า..ข้าไม่ได้ตาลายใข่ไหม ชู่เฉิง…ทำไมชู่เฉิง…ทำไมเขาถึงมีมารนิรยขาวจักรพรรดิได้…”ซ่างเหิงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“มารนิรยขาวจักรพรรดิขั้นสูง…ตามที่ข้ารู้ ในบรรดาคนขั้นสองแทบไม่มีใครมีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นสูง!”หลีเหิงเองก็ตกใจจนพูดไม่ออก
ดวงตาผ่องใสของถิงหลันส่องประกายด้วยความตกใจออกมา อ้าปากเล็กๆ กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิง อสูรจั้นเย้ มารนิรยขาว นี่เป็นดวงวิญญาณของชู่มู่ที่ไม่เคยเผยความสามารถมาก่อน และพวกนี้ถึงเป็นดวงวิญญาณหลักที่แท้จริงของชู่มู่!!
…
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณทำให้ชู่มู่ดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม ชู่มู่ก้าวถอยหลังช้าๆ ไฟปีศาจแยกออกจากตัวเขาราวกับเงา ลำตัวของปีศาจขาวปรากฎขึ้นทันที!
ร่างที่ลึกลับเหมือนปรอท ไฟปีศาจเก้าวิญญาณที่ลุกโชน มองดูเหมือนปีศาจร้ายที่ถูกปลุกจากขุมนรก!!
“มารนิรยทั้งสามตัวนี้ของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว!!”ชู่มู่ที่สวมชุดดำซึ่งตรงข้ามกับมารนิรยขาวฉีกยิ้มที่ชั่วร้ายยิ่งออกมา
หลังจากพูดจบ ปีศาจขาวที่เก็บความบ้าคลั่งไม่อยู่ได้ปล่อยเงาปีศาจร้ายออกมา พุ่งตรงไปยังมารนิรยเขียวกับมารนิรยขาว!!
“เนี๊ย!!!!!!!”
เหมือนมารนิรยเขียวกับมารนิรยขาวยากที่จะทำให้ปีศาจตัวนี้ได้ต่อสู้อย่างเต็มอิ่ม ปีศาจร้ายตัวนี้ได้ส่งเสียงร้องมารไปยังมั่วเย๋ ให้มั่วเย๋ถอยไป ปล่อยให้มันหนึ่งต่อสามเอง!!!!
การต่อสู้กลุ่มเดียวกัน ไม่มีใครจะบ้าคลั่งได้ยิ่งกว่าปีศาจขาวแล้ว!!
วิธีเพิ่มความแข็งแกร่งแบบนี้อันตรายมาก แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับชู่มู่ในตอนนี้แล้ว กลับมีประโยชน์อย่างมาก อย่างไรชู่มู่ในตอนนี้ต้องการให้มั่วเย้แปรเปลี่ยนตระกูล ถึงจะรับมือกับเซี่ยกว่างหานและเด็กสาวทรยศได้
หลังจากที่เย้ชิงจือได้ยินวิธีเพิ่มความสามารถนี้จากที่ชู่มู่บอกแล้ว มองไปยังชู่มู่ด้วยความอึ้งนานมาก
ตลอดที่ผ่านมา เย้ชิงจือคิดว่า แม้ปีศาจขาวของชู่มู่จะเป็นดวงวิญญาณที่ชั่วร้ายอย่างมาก อันตรายยิ่ง แต่สำหรับกลุ่มมารนิรยขาวแล้ว น่าจะเป็นดวงวิญญาณปกติตัวหนึ่ง
แต่คิดไม่ถึงว่า ปีศาจขาวชั่วร้ายตัวนี้ก็เป็นดวงวิญญาณที่ผิดปกติ กลับมีความสามารถกลืนกินกลุ่มเดียวกันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแบบนี้อยู่!
“ตอนที่เจ้าบังคับให้มารนิรยขาวเพิ่มความแข็งแกร่งแบบนี้ จะทำให้เจ้าเข้าสู่ภาวะมารได้ ถ้าไม่ระวังอาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในความลำบาก” เย้ชิงจือนึกถึงปัญหาอีกอย่างขึ้นมาได้
ความสามารถของปีศาจขาวที่เพิ่มขึ้น เท่ากับว่าโอกาสที่มันจะกลืนกินวิญญาณของชู่มู่จะมากขึ้นด้วย ต่อให้ปีศาจขาวในตอนนี้เชื่อฟังขึ้นมาก แต่นิสัยที่แท้จริงของมารนิรยควบคุมได้ยากอยู่แล้ว ทันทีที่ความสามารถของมันแข็งแกร่งเกินไป ชู่มู่ยังคงยากที่จะหนีจากชะตาครึ่งมารได้
“ยังมีเจ้าอยู่ไม่ใช่เหรอ เจ้าน่าจะช่วนควบคุมอุณหภูมิวิญญาณของข้าได้ใช่ไหม” ชู่มู่บอก
“ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ก็กลัวถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา” เย้ชิงจือบอก ชู่มู่แค่ไม่กลายเป็นภาวะครึ่งมาร เย้ชิงจือยังคงมีความสามารถที่จะควบคุมอุณหภูมิของเขาได้ ปัญหาอยู่ที่ว่า วิญญาณของชู่มู่ในตอนนี้อันตรายมากแล้ว วิธีใช้น้ำมันดับไฟแบบนี้ ควรเป็นวิธีสุดท้าย
ชู่มู่ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไร เพราะหลังจากตัวเขาอยู่ในเจ็ดร่ายแล้ว มั่วเย้จะแปรเปลี่ยนตระกูลได้ มั่วเย้แปรเปลี่ยนตระกูลเท่ากับเพิ่มร่ายวิญญาณของชู่มู่ น่าจะไม่เกิดปัญหามากเท่าไร
…
…
ห้าร้อยเมตรบนฟ้า ซ่างเหิงมองไปยังชู่มู่กับเย้ชิงจือที่เดินไปตามทางคดโค้ง
บนความสูงนี้ ทางโค้งนี้มองดูเหมือนลำธารเล็กคดโค้ง วนไปรอบๆ อีกทั้งยังมีทางแยกที่ยากจะเห็นได้
เงาของชู่มู่กับเย้ชิงจือแทบจะมองไม่เห็นในทางโค้งนี้แล้ว มีเพียงตอนที่พวกเขาใช้ร่ายวิญญาณมอง ถึงจะเห็นได้
“ด้านตะวันตกเหมือนจะมีคนกลุ่มหนึ่ง น่าแปลก ทำไมพวกเขาถึงเดินกลับมา” ถิงหลันชี้ไปยังเส้นทางเขาไกลออกไป แล้วถามขึ้น
ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดและนักโทษจะมุ่งขึ้นเขา แต่ท่าทีของคนกลุ่มนั้นกลับผิดปกติ
หลีเหิงเองก็สังเกตเห็นผู้เข้าแข่งขันที่มากพลังกลุ่มนั้น ในตอนที่เขาใช้ร่ายวิญญาณมองไปยังพวกเขา ขมวดคิ้วทันที
“คนของวังมารนิรย คนนำเหมือนจะเป็นเจ้าเด็กหลู่ซานหลี” หลีเหิงบอก
“หลู่ซานหลี เจ้านั่นเป็นคนที่มีความสามารถอันดับที่สามของวังมารนิรยไม่ใช่เหรอ” ถิงหลันถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมเหมือนเจ้านี่พุ่งตรงไปยังชู่เฉิง หรือว่าเป็นแผนของเซี่ยกว่างหาน เขาลงมือเองไม่ได้ ก็เลยให้คนอื่นลงมืองั้นหรือ” ซ่างเหิงบอก
“อืม น่าจะไม่ผิด ความสามารถของเจ้าเด็กหลู่ซานหลีไม่เบา เขายังพาผู้เฝ้ามารมาอีกสามคน ชู่เฉิงมีปัญหาแล้ว”หลีเหิงบอก
การต่อสู้ระหว่างผู้เข้าแข่งขันพวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่บินแล้วมองจากด้านบน ใจร้อนแทนชู่มู่
…
ทั้งสามคนกังวลแทนชู่มู่จะมีผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยพุ่งตรงมายังชู่มู่ แต่ถ้าชู่มู่รู้ว่า หลู่ซานหลีได้เข้ามาในขอบเขตการฆ่าของตัวเอง จะต้องฉีกยิ้มออกมาแน่นอน
ชู่มู่กำลังจะไปหาเหล่าผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยพอดี ไม่คิดดว่า หลู่ซานหลีที่มีความสามารถอันดับที่สามของวังมารนิรยได้เข้ามาหาด้วยตัวเองแล้ว สมใจอยากของชู่มู่พอดี
แน่นอนว่า ชู่มู่ยังไม่รู้ว่าหลู่ซานหลีรอเขาอยู่บนเส้นทางบันไดเขาด้านหน้า แค่มุ่งหน้าไปยังที่สูงกับเย้ชิงจือต่อไป ตามหาสมาชิกวังมารนิรยระหว่างทางไปด้วย
ผู้แข็งแกร่งตำหนักวิญญาณที่เข้าสู่ด่านที่แปดมีประมาณยี่สิบคน สมาชิกวังมารนิรยน่าจะมีจำนวนเท่ากัน ยิ่งขึ้นไปที่สูง ผู้เข้าแข่งขันจะรวมตัวมากขึ้น ถึงตอนนั้นสมาชิกวังมารนิรยทั้งหมดจะต้องรับการโจมตีของปีศาจหิวโหยให้หมด !
…
บันไดเขามีทั้งหมดสิบกว่าขั้น ขั้นที่ต่ำสุดเป็นพื้นราบที่กว้างขวาง เชื่อมต่อทางเขาไปยังปลายสุด ถ้าเดินผ่านทางที่สลับซับซ้อนนี้แล้วเห็นที่ราบที่สูงมากละก็ น่าจะปีนถึงความสูงครึ่งหนึ่งของภูเขาเวหาอมตะแล้ว
ด้านบนที่ราบจะเป็นขั้นบันไดเขาที่ชัดเจน ขอบภูเขาไม่มีความแน่นอน ความสูงเทียบเท่ากัน แต่ละขั้นภูเขาจะมีความสูงประมาณยี่สิบเมตร สำหรับคนธรรมดาที่ไม่ผ่านการฝึก ความสูงที่แตกต่างแบบนี้นับว่าเป็นพื้นที่เหวอันตรายแล้ว
ในตอนนี้ หลู่ซานหลีวังมารนิรยยืนอยู่บนขอบของบันไดเขานี้ มองไปยังพวกชู่มู่ที่เคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ
ความจริงหลู่ซานหลีกับเหล่าผู้เฝ้ามารห่างจากตำแหน่งของชู่มู่ไม่มาก ตอนที่เซี่ยกว่างหานส่งสัญญาณ พวกเขาได้กลับมาที่นี่ เจอชู่มู่กับเย้ชิงจืออย่างรวดเร็ว
“ท่านหลู่ พวกเขาใช่ไหม?”ผู้เฝ้ามารที่สวมชุดสีขาวถามขึ้น
“อืม”หลู่ซานหลีพยักหน้า เขาจำปีศาจนักรบไม้ของชู่มู่ได้ มีความพิเศษที่มีความสามารถดูดซึมพลังชีวิต
“คนที่รู้แต่จะฝ่าด่านเพื่อเอาหน้าแต่ไม่รู้จักเก็บความสามารถแบบนี้ให้ข้าน้อยจัดการเถอะ ท่านหลู่ไม่จำต้องกังวล” ผู้เฝ้ามารชุดขาวพูดอย่างนอบน้อม
“หัวหน้าผู้เฝ้า อย่าประหม่าศัตรูมากไป เขาเข้าสู่ด่านที่แปดได้เท่ากับว่ายังมีความสามารถระดับหนึ่งอยู่” หลู่ซานหลีพูดเตือน
หัวหน้าผู้เฝ้าพยักหน้า กลับทำท่าทีไม่ใส่ใจมากเท่าไร เขาได้ยินชื่อชู่เฉิงตำหนักวิญญาณตั้งนานแล้ว ต่อให้เขาเคยฆ่าเจี่ยงจื้อในด่านที่สี่ แต่ว่าผู้เข้าแข่งขันที่ไม่เอาไหนอย่างเจี่ยงจื้อ ยังเทียบกับรองเท้าของหลู่ซานหลีไม่ได้ด้วยซ้ำ
“หวังว่าในมือเขาจะมีแหวนนักโทษอยู่บ้าง มิฉะนั้น พวกเราจะเสียเวลาเปล่า” ผู้เฝ้ารองพูดขึ้น
“ไม่แน่ เขาอาจไม่รู้ความลับเรื่องแหวนนักโทษก็ได้”ผู้เฝ้าคนที่สามหัวเราะออกมา
…
บนฟ้า
“หลู่ซานหลีกลับให้ลูกน้องสามคนของเขาลงมืองั้นหรือ” ซ่างเหิงอึ้งเล็กน้อย ไม่คิดว่า หลู่ซานหลีจะประหม่าชู่มู่แบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นลูกน้องทั้งสามของเขาจะตกเป็นเคราะห์ร้ายแล้ว” ถิงหลันหัวเราะเล็กน้อย
ซ่างเหิงกับถิงหลันเคยเห็นความสามารถที่แท้จริงของชู่มู่มาก่อนแล้ว ถ้าหลู่ซ่านหลีลงมือเอง พร้อมกับความร่วมมือของลูกน้องที่มีความสามารถไม่ธรรมดาทั้งสาม อาจสร้างความยุ่งยากให้กับชู่มู่ไม่น้อย
แต่ถ้าส่งลูกน้องแค่สามคน รอถูกดวงวิญญาณของชู่มู่ขยี้ได้ !
“ทำไมเหรอ ชู่เฉิงจัดการได้เหรอ” หลีเหิงถามอย่างประหลาดใจ หลีเหิงคิดว่าชู่มู่เป็นสมาชิกขั้นสามที่ท้าทายข้ามขั้นมาตลอด
“แน่นอน พี่หลีเหิง เมื่กร้ไม่เห็นศพของตว้านซิงเจ๋อนักโทษขั้นเก้าเหรอ” ซ่างเหิงบอก
“อ่อ นั่นศพของตว้านซิงเจ๋อ?ข้ายังไม่ทันได้สังเกต ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าทั้งสี่ฆ่าเขา ชู่เฉิงเป็นกำลังหลัก” หลีเหิงถามขึ้น
“เขาจัดการคนเดียว…ก่อนหน้านี้มีนักโทษสิบกว่าคนล้อมโจมตีพวกข้า เขาฆ่านักโทษทั้งหมดนั้น ช่วยหลีจ่านออกมา” ซ่างเหิงบอก
หลีเหิงอึ้งเล็กน้อย ค่อย ๆ เผยสีหน้าตกใจออกมา เขาไม่คิดว่าชู่มู่จะมีความสามารถแบบนี้จริง ๆ !
ในเมื่อชู่มู่ซ่อนความสามารถเอาไว้ หลีเหิงก็อยากรู้ว่า เขาจะจัดการผู้เฝ้ามารทั้งสามของหลู่ซานหลีอย่างไร ในตอนนั้นจึงขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกไปยังตำแหน่งที่เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น
ถ้าใช้ร่ายวิญญาณละก็ หลีเหิงยังเห็นการต่อสู้ได้ชัดเจน แต่ตอนนี้ผู้เฝ้ามารสามคนได้ขี่ปีศาจม้าวายุของเขาพุ่งลงมาแล้ว เข้าใกล้ชู่มู่อย่างมาก
…
ท่ามกลางบันไดเขา ชู่มู่ขี่จั้นเย้ ปีนขึ้นบันไดเขาที่สูงขึ้นอย่างช้า ๆ
“ชู่มู่ มีคนกำลังเข้าใกล้พวกเรา” เย้ชิงจืออยู่ข้างชู่มู่ มองไปยังบันไดเขาที่สูงกว่า
“ข้ารู้” ชู่มู่พยักหน้า เหมือนจะไม่ใส่ใจเท่าไร
“แล้วเจ้ายังจะขึ้นไปงั้นหรือ” เย้ชิงจือบอก
“ปีศาจม้าวายุ คนของวังมารนิรย ข้ากำลังตามหาพวกเขา เจ้ารอข้าที่นี่เถอะ ข้าจะจัดการอย่างรวดเร็ว” ชู่มู่พูดไป พลางตบจั้นเย้เล็กน้อย เป็นการบอกให้กระโดดขึ้นไปบนบันไดเขาที่สูงกว่าขั้นหนึ่ง
บันไดเขาแต่ละขั้นจะมีหินที่กว้างมากรองรับไว้ การต่อสู้ด้านบนจะไม่ส่งผลกระทบมากเท่าไร
พลังมืดรวมอยู่ใต้ขาทั้งสี่ของจั้นเย้ ตอนที่ปีนขึ้นบันไดเขาอีกครั้ง จั้นเย้ไม่ได้กระโดดโดยตรง แต่วิ่งไปตามหน้าผาหินนั้นโดยตรง ทิ้งรอยเล็บสีดำจำนวนหนึ่งไว้บนหน้าผาหิน
ในไม่ช้า ชู่มู่ได้กระโดดไปยังบันไดเขาที่ผู้เฝ้ามารทั้งสามอยู่ ความสูงนี้น่าจะเป็นครึ่งหนึ่งของบันไดเขา
ผู้เฝ้ามารทั้งสามได้ขี่ปีศาจม้าวายุ พวกเขาซ่อนเงาของตัวเองไว้ในเงาของหน้าผา มองไปยังชู่มู่ด้วยสายตาสบประหม่า
“มั่วเย้ลักษณะเก้าขั้นกลางงั้นหรือ” หัวหน้าผู้เฝ้ามองดวงวิญญาณที่ชู่มู่ขี่ทันที เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ผู้เฝ้ามารสองคนที่เหลือก็ประหลาดใจอย่างมาก จากมุมมองของพวกเขา คนแบบชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ มีจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นต่ำตัวสองตัวก็ดีแล้ว
“หึ คาดว่ามีเพียงอสูรมั่วเย้ที่จัดการค่อนข้างยาก ไม่มีอะไรต้องกังวล ! ” หัวหน้าผู้เฝ้าไม่หวาดหวั่นเพราะเหตุนี้
พวกเขามีทั้งหมดสามคน สามคนจัดการหนึ่งคน ต่อให้เขามีจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นกลางแล้วจะทำอะไรได้!
ในไม่ช้า ผู้เฝ้ามารวังมารนิรยที่ขี่ปีศาจม้าวายุทั้งสามได้กระโดดออกจากเงา ควบคุมทิศทั้งสามของชู่มู่เอาไว้
“ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณ ทำให้ท่านหลู่ซานหลีโกรธเป็นเรื่องโง่ที่สุดที่เจ้าทำในชีวิตนี้”หัวหน้าผู้เฝ้าชี้ไปยังชู่มู่ หัวเราะเยาะเย้ย
ในรุ่นเดียวกัน คนที่หลู่ซานหลีอยากจะฆ่า มีไม่กี่คนที่รอดไปได้
“ถ้าส่งแหวนนักโทษทั้งหมดละก็ พวกข้าจะให้เจ้าจบไว แต่ถ้าไม่ จะให้เจ้าได้รับความทรมานจากการแผดเผาวิญญาณ ! ” ผู้เฝ้าคนที่สองพูดขึ้น กลับร่ายคาถาขึ้นแล้ว !
ไฟปีศาจสีฟ้าลุกโชนบนตัวผู้เฝ้ามารคนนี้ ท่ามกลางแสงลึกลับ เงาปีศาจปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ !
จักรพรรดิขั้นต่ำ ลักษณะเก้าขั้นต่ำ มารนิรยฟ้า !
หัวหน้าผู้เฝ้ากับผู้เฝ้าสามก็รู้ว่าอาศัยมารนิรยฟ้าตัวเดียวจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมั่วเย้ลักษณะเก้าขั้นกลางของชู่มู่แน่นอน หลังจากมารนิรยฟ้าปรากฏตัวขึ้น พวกเขาได้อัญเชิญมารนิรยขาวพวกเขาออกมาทันที
หัวหน้าผู้เฝ้ามารได้อัญเชิญมารนิรยฟ้าจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นต่ำตัวหนึ่ง พลังของมารนิรยฟ้าตัวนี้แข็งแกร่งกว่าผู้เฝ้าที่สองกับสามอีก!
ไฟปีศาจของมารนิรยฟ้าทั้งสามตัวทำให้บันไดเขานี้เป็นสีฟ้า ในตอนนี้ ผู้เฝ้ามารทั้งสามก็ไม่พูดมาก ออกคำสั่งโจมตีชู่มู่กับเหล่ามารนิรยของตัวเองทันที
ไฟปีศาจสีฟ้าทั้งสามก้อนไขว้กัน ปิดเส้นทางหลบทั้งหมดของชู่มู่เอาไว้
ไฟร้อนระอุลุกโชนขึ้น พุ่งตรงไปยังชู่มู่ทันที กลืนกินชู่มู่กับจั้นเย้อย่างง่ายดาย
ชู่มู่กลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ทักษะของมารนิรยขาวพุ่งตรงมา กลับไม่ทำอะไร !
ไฟปีศาจสีฟ้าม้วนขึ้นสูง พลังเย็นเยียบเพียงพอที่จะทำให้วิญญาณเกิดความเจ็บปวดจากการแผดเผา ผู้คุมดวงวิญญาณมากมายไม่กล้าที่จะไปทำให้คนของวังมารนิรยโกรธ นั่นเป็นเพราะดวงวิญญาณชั่วร้ายของพวกเขามักทำให้หวาดกลัวยิ่ง
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ไฟปีศาจสีฟ้าทั้งสามพุ่งไปรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่ง เหล่าผู้เฝ้ามารต่างมองดูชู่มู่ที่ถูกไฟปีศาจกลืนกินอย่างเยือกเย็น ใบหน้าเผยความเย้ยหยัน
แต่ว่าตามการแผดเผาของไฟปีศาจสีฟ้า ทั้งสามคนกลับขมวดคิ้วเข้าหากัน
พวกเขาไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของชู่มู่และดวงวิญญาณของเขา อีกทั้งพวกเขารู้สึกว่า มั่วเย้ของเขายืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ขยับใด ๆ !
ท่ามกลางงูเหลือมไฟสีฟ้าที่เริงระบำ ชู่มู่ที่สวมชุดสีดำถูกล้อมด้วยเปลวไฟสีฟ้าเหล่านี้ ปล่อยให้เปลวไฟร้อนระอุเหล่านี้แผดเผา แต่แม้แต่มุมเสื้อของเขากลับไม่ถูกเผาแม้แต่น้อย
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณของมารนิรยขาวเป็นผลึกไฟปีศาจขั้นที่สี่ ไฟปีศาจฟ้านี่อยู่แค่ขั้นที่สาม ขณะเดียวกัน ผลที่เห็นนี้อ่อนกว่าไฟปีศาจขาวของมารนิรยขาวอย่างมาก อุณหภูมิแบบนี้ แทบไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อชู่มู่ แม้แต่ทักษะป้องกันยังไม่ต้องใช้
ส่วนจั้นเย้ เดิมการป้องกันของเกราะมันก็สูงมากแล้ว บวกกับเกราะวิญญาณขั้นเก้า ไฟปีศาจฟ้าที่มีผลแผดเผาวิญญาณนี้อย่างมากก็ทำให้เกราะของมันมีอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แค่นั้น !
“จั้นเย้ จัดการพวกเขา” ชู่มู่ออกคำสั่งต่อจั้นเย้อย่างเรียบ ๆ
กลุ่มมารนิรยแบบนี้ ต่อให้มารนิรยขาวกลืนกินไป ก็ไร้ประโยชน์ใด ๆ ส่วนผู้เฝ้ามารทั้งสาม เป็นแค่ขยะในสายตาชู่มู่ !
“โซ !!! ”
ความเร็วของจั้นเย้เพิ่มขึ้นกะทันหัน ในตอนที่เงาสีดำของมันพุ่งออกไป ไฟปีศาจสีฟ้าที่แผดเผาเกิดารสั่นสะเทือนเล็กน้อย !
ความเร็วของจั้นเย้ไวมาก มันเล็งไปยังมารนิรยฟ้าทั้งสามของผู้เฝ้ามาร กรงเล็บสลายเวหาตวัดลงบนตัวมารนิรยฟ้านี้อย่างแม่นยำ !
กรงเล็บของจั้นเย้อยู่ในขั้นเก้าระยะต้น พลังของลายเเส้นปีศาจอสูรเขาทำให้ทักษะกับผลของมันทับซ้อนขึ้น ทำให้พลังโจมตีของจั้นเย้อยู่ในขั้นเก้าระยะกลาง พลังโจมตีแบบนี้ แข็งแกร่งกว่ามารนิรยขากจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะแปดขั้นเก้าของผู้เฝ้ามารทั้งสามถึงสามขั้น !!!
“ซัวะ !!! ”
กรงเล็บสลายเวหาตวัดลงบนอกของมารนิรยฟ้าอย่างไร้เยื่อใย !!!
มารนิรยฟ้าถูกพลังสีดำก้อนหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ หลังจากที่ร่างกายถูกฉีกเป็นเศษ ไฟปีศาจบนจตัวมารนิรยฟ้าสลายอย่างรวดเร็ว ถูกทักษะเดียวของจั้นเย้ฆ่าล้างในเสี้ยววินาที !!!
ฆ่าในเสี้ยววินาที ด้วยทักษะเดียว มารนิรยฟ้าตัวนี้สลายเป็นเถ้าถ่าน !!!
“เป็น…เป็นไปได้อย่างไร !!!” ผู้เฝ้าคนที่สามมองไปยังมารนิรยฟ้าที่หายไปในพลังมืดอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ในไม่ช้า การกระแทกของวิญญาณทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุก สีหน้าของเขาประหลาดอย่างมาก
ผู้เฝ้าคนที่สองกับหัวหน้าผู้เฝ้าต่างอึ้งนิ่ง พวกเขาเห็นมารนิรยขาวตัวนั้นถูกมั่วเย้ของชู่มู่ฆ่าในเสี้ยววินาทีกับตา !
และแล้วต่อให้เป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลาง แค่สูงกว่ามารนิรฟ้าสองขั้นเท่านั้น ทำไมการโจมตีเดียวก็ฆ่ามารนิรยฟ้าได้ !
เพื่อให้แน่ใจว่า สิ่งที่เห็นไม่ได้หลอกพวกเขา ชู่มู่ยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วออกคำสั่งไปยังจั้นเย้อีกครั้ง
หลังจากจั้นเย้ฆ่ามารนิรยฟ้าในเสี้ยววินาทีแล้ว ร่างกายได้กลายเป็นแสงสีดำ พุ่งออกไป
ครั้งนี้จั้นเย้เล็งไปยังจักรพรรดิขั้นต่ำ ลักษณะเก้าขั้นต่ำของผู้เฝ้าคนที่สอง !
ความสามารถของมารนิรยฟ้าระดับจักรพรรดิขั้นต่ำนี้เทียบเท่ากับมารนิรยฟ้าของผู้เฝ้าคนที่สาม มันเห็นจั้นเย้พุ่งตรงมา ใบหน้าบนไฟปีศาจเผยความหวาดกลัวออกมาทันที มือทั้งสองสะบัดออก ก่อเป็นคลื่นแห่งไฟปีศาจร้อนระอุ พุ่งตรงไปยังจั้นเย้ !
“ซ่า !!! ”
จั้นเย้กระโดดขึ้น กรงเล็บตวัดเป็นประกายสีดำสองเส้นกลางอากาศ !!!
ประกายกริดทั้งสองนี้ทำลายไฟปีศาจสีฟ้า ไขว้กันบนตัวของมารนิรยฟ้านี้ !
การป้องกันของมารนิรยฟ้านี้แทบไม่สามารถต้านทานการโจมตีระดับนี้ได้ ในไม่ช้า ร่างกายที่เต็มไปด้วยไฟปีศาจนี้ถูกฉีกเป็นรอยแหว่งทันที
“จั้นเย้ แสงสลาย ! ”
หลังจากจั้นเย้ตกถึงพื้น ประกายแสงมืดปรากฏในลำคอทันที
พลังสีดำพ่นออกจากปากของจั้นเย้ ทะลุไฟสีฟ้าเลือนลางนั้นอย่างง่ายดาย ระเบิดออกบนตัวของมารนิรยฟ้าระดับจักรพรรดิขั้นต่ำตัวนี้ !!!
เดิมมารนิรยฟ้าตัวนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ตอนนี้ถูกพลังมืดขั้นเก้านี้โจมตีอีก ลำตัวที่ห่อหุ้มด้วยไฟปีศาจสีฟ้านี้ได้ระเบิดออกหมด กลายเป็นก้อนไฟสีฟ้านับไม่ถ้วน กระจายทั่วพื้นที่ขั้นบันไดภูเขาแห่งนี้
ฆ่ามารนิรยฟ้าอีกตัวหนึ่งแล้ว !!!
ผู้เฝ้ามารทั้งสามในตอนนี้แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ! เดิมพวกเขาคิดว่า ทั้งสามคนร่วมมือกัน จะจัดการชู่มู่ได้อย่างง่ายดาย แต่กลับถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายในเสี้ยววินาที !
“เจ้า…ทำไมเจ้า…ถึงมีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ !!! ” หัวหน้าผู้เฝ้าไม่กล้าดูถูกอีก กลับมองไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว !!!
ชู่มู่กวาดตามองไปยังผู้เฝ้ามารทั้งสามที่หวาดกลัวยิ่งด้วยความเฉยเมย ในตอนที่ชู่มู่อยู่เมืองที่ราบโบราณ ความสามารถไม่ต่างจากผู้เฝ้ามารของหลู่ซานเท่าไร แต่ในตอนนี้ ผู้เฝ้ามารของหลู่ซานหลีกลับทนต่อการโจมตีไม่ได้แล้ว !
“จั้นเย้ จัดการพวกเขา” ชู่มู่ในตอนนี้รู้สึกว่าการต่อสู้กับพวกเขาเป็นการเสียเวลาอย่างมาก
หลังจากออกคำสั่งต่อจั้นเย้ ชู่มู่ได้ก้าวเท้าออก กระโดดขึ้นขั้นบันไดเขาที่สูงขึ้น
ชู่มู่รู้ว่า หลู่ซานหลีอยู่ข้างบนแน่นอน หลู่ซานหลีเป็นคนคุ้มกับให้ชู่มู่ลงมือ ชู่มู่ต้องการให้มารนิรยของหลู่ซานหลีมาเป็นเครื่องบูชาเพิ่มความสามารถของตัวเอง !
ผู้เฝ้ามารทั้งสามถูกชู่มู่มองข้ามไป !!!
ต้องรู้ไว้ก่อนว่า พวกเขาไม่เคยอ่อนแอจนถูกเพิกเฉยตั้งแต่เริ่มการประลองฟ้าดิน อย่างไรก็ตามถ้าอยู่ที่อื่น พวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่หนึ่งไม่เป็นรองใคร !
…
“ให้ดวงวิญญาณตัวหนึ่งจัดการผู้เฝ้ามารสามคนที่ฝ่ามาด่านที่แปดได้ แล้วตรงไปยังหลู่ซานหลี ชู่เฉิงนี่…อะไรเกินไปแล้ว…” บนฟ้า หลังจากที่ซ่างเหิงเห็นฉากนี้แล้วก็เบิกตากว้าง
ความสามารถของผู้เฝ้ามารทั้งสามก็ไม่อ่อน อย่างมากก็ควรให้เกียรติบ้าง
“เอ่อ…เกินคาด…คาดว่าสีหน้าของหลู่ซานหลีจะน่าสนุกมาก” หลีเหิงบอก
หลู่ซานหลีอวดดีคิดว่า ผู้เฝ้ามารสามคนก็พอที่จะจัดการชู่มู่ได้แล้ว และแล้ว…ผู้เฝ้ามารทั้งสาม แทบจะเป็นขยะในสายตาของชู่มู่
ตอนนี้ชู่มู่ได้กระโดดขึ้นบันไดภูเขาโดยตรง เห็นได้ชัดว่า จะไปสู้กับหลู่ซานหลี !
ด้านบนขั้นบันไดภูเขา
การต่อสู้เมื่อกี้หลู่ซานหลีเห็นทั้งหมด ในตอนนี้สีหน้าของเขาไม่แน่นิ่งเหมือนเก่าแล้ว กลายเป็นลุกลน
อย่างน้อยผู้เฝ้ามารทั้งสามของเขาเป็นมือฉมังอันดับห้าสิบคนแรกของวังมารนิรยทั้งหมด สามคนล้อมหนุ่งคน กลับถูกเพิกเฉยแบบนี้ !
ความสามารถของชู่มู่เกินกว่าที่หลู่ซานหลีคิดเอาไว้ และเจ้าคนที่ไม่มีดวงวิญญาณแม้แต่ตัวเดียวได้กระโดดขึ้นขั้นบันไดแล้ว ตอนที่เผชิญหน้ากับหลู่ซานหลี เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวได้ !!!
ในไม่ช้า ชู่มู่ได้กระโดดขึ้นมาอยู่บนบันไดเขาขั้นเดียวกับหลู่ซานหลี ข้างกายชู่มู่ไม่มีดวงวิญญาณใด ๆ แต่ยืนอยู่อย่างนั้นบริเวณขอบบันได จับจ้องไปยังปีศาจลูกม้าวายุของหลู่ซานหลี !
ชู่มู่ไม่ได้พูดอะไร เขาเหมือนจะไม่ทำการป้องกันใด ๆ กับหลู่ซานหลี เดินไปยังหน้าผาด้านในของบันไดเขา เปิดแหวนช่องว่างออก แล้วเทแหวนนักโทษทั้งหมดไว้บนพื้น
แหวนนักโทษยี่สิบกว่าวงกระจายเต็มพื้นเป็นเสียง ‘แกร๊กๆ’
มองดูท่าทีนี้ของชู่มู่ สีหน้าของหลู่ซานหลีเคร่งเครียดกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่า ชู่มู่จะสู้กับหลู่ซานหลี และเดิมพันด้วยแหวนนักโทษทั้งหมดที่มี !
“คาดไม่ถึงจริง ๆ เจ้าปิดบังได้มากขนาดนี้ ข้าหลู่ซานหลีมองผิดจริง ๆ ! ” หลู่ซานหลีพูดกับชู่มู่ด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรมาก
“ข้ามีเวลาน้อย ไม่อยากพูดมาก” หลังจากชู่มู่โยนแหวนนักโทษไว้ตรงนั้น ก็พูดกับหลู่ซานหลีด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
สีหน้าของหลู่ซานหลีกระตุกเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงท่าทีดูถูกของชู่มู่ !
“ข้ายอมรับว่า เจ้าซ่อนความสามารถไว้ได้ดีมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าความสามารถแค่นั้นของเจ้าจะอวดดีต่อหน้าข้าหลู่ซานหลีได้ เจ้าในตอนนี้ ข้าแค่ต้องใช้เวลาเล็กน้อยในการจัดการเท่านั้น ผลยังคงเหมือนเดิม” หลู่ซานหลีกระโดดลงจากปีศาจลูกม้าวายุ
เขาเดินไปบริเวณหน้าผาเช่นกัน เปิดแหวนช่องว่างออก เทแหวนนักโทษทั้งหมดไว้ตรงนั้น
“เจ้าเก็บแหวนนักโทษเยอะพอสมควร สมกับที่ให้ข้าต้องใช้ความสามารถทั้งหมด ! ” หลู่ซานหลีพบว่า จำนวนแหวนนักโทษของชู่มู่มีมากกว่าเขาอีก
ชู่มู่อยากให้หลู่ซานหลีใช้ความสามารถที่แท้จริง เขามั่นใจได้ว่า หลู่ซานหลีมีมารนิรยที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งจำนวนตัวสองตัวแน่นอน ถ้าปีศาจขาวได้กลืนกินดวงวิญญาณของเขา ร่ายวิญญาณจะเพิ่มขึ้นแน่นอน
“เรียกอสูรมั่วเย้ของเจ้าขึ้นมาด้วยเถอะ ในเมื่อจะสู้ ก็จะให้เจ้าแพ้อย่างราบคราบ” หลู่ซานหลีมองไปยังด้านล่างขั้นบันได พูดอย่างเยือกเย็น
“มันกำลังอบอุ่นร่างกาย” ชู่มู่ตอบอย่างราบเรียบ พูดจบ ชู่มู่ตบมั่วเย้น้อยที่หมอบอยู่บนไหล่ของตัวเอง มั่วเย้น้อยได้นอนงีบสักพัก หลังจากถูกชู่มู่ปลุกให้ตื่นก็ได้ลืมตาขึ้น…
สีหน้าของหลู่ซานหลีแข็งทื่อ แอบคิดในใจ เจ้าชู่เฉิงเป็นใครกันแน่ กล้าใช้ลูกน้องของเขาเป็นเครื่องอบอุ่นร่างกายดวงวิญญาณของเขา
แต่แล้ว นั่นเรียกว่าอบอุ่นร่างกายได้อย่างไร มันกำลังฆ่าล้างดวงวิญญาณของเหล่าลูกน้องของเขา !
ท้องฟ้าสีเหลืองส้ม ราวกับก้อนเมฆที่กำลังลุกเป็นไฟ
ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินสะดุดตาเป็นพิเศษ ทำให้ภูเขาเวหาอมตะแห่งนี้กลายเป็นสีแดงด้วย
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน หลีเหิงขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกของเขา วนอยู่กลางอากาศ ตามการดำเนินต่อของการประลอง มีหลายพื้นที่ซึ่งผู้เข้าแข่งขันได้เปิดขวดยาขอออกจากการประลอง
ทว่า หลีเหิงไม่สนใจ จะมีผู้เฝ้าฝ่ายประลองคนอื่นไปช่วยพวกเขา เขาไม่ต้องกังวลอะไร
หลังจากหลีเหิงรู้เรื่องที่เซี่ยกวางหานจะก่อการร้ายต่อชู่มู่แล้ว เขาตัดสินใจไม่จากที่นี่แล้ว ขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกของเขาบินอยู่บนฟ้าของภูเขาเวหาอมตะ มองไปยังชู่มู่จากที่ไกล
ข้างหลีเหิงเป็นถิงหลันกับซ่างเหิง พวกเขาได้เปิดขวดยาออกแล้ว เพื่ออกจากการแข่งขัน
และในด่านที่แปดนี้ ผู้เข้าแข่งขันสามารถถอนตัวบินลมการต่อสู้อยู่ที่สูงได้ แต่จำต้องมีสมาชิกเข้าแข่งขันคอยดูอยู่ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่บินอยู่ก่อกวนการแข่งขัน
ผู้ชมจำต้องเว้นระยะห่างจากพื้นดินห้าร้อยเมตร นี่นับเป็นเส้นแบ่งเขตบนฟ้า ทันทีที่มีผู้เข้าแข่งขันกับผู้ชมลงต่ำกว่าเส้นแบ่งเบตนี้ ผู้เฝ้าคนใดมีสิทธิ์ที่จะเข้าห้ามได้ทันที
หลีเหิงนอกจากจะห้ามให้เซี่ยกว่างหานลงมือแล้ว และถ้าเซี่ยกว่างหานจะจากไปเขาก็ใช่ว่าจะห้ามได้ เพราะนี่เป็นการฝ่าฝืนกฎเช่นกัน
เพื่อรับรองว่า ชู่มู่จะไม่ถูกทำร้าย หลีเหิงได้ให้ถิงหลันกับซ่างเหิงอยู่ในภูเขาเวหาอมตะก่อน และอยู่บนฟ้าด้วยฐานะผู้ชม
ถิงหลันกับซ่างเหิงย่อมต้องการชมการต่อสู้ จะเดินตามชู่มู่ตลอด แม้จะทำได้แค่มองจากที่ไกล แต่นี่เท่ากับเป็นการคุ้มกันชู่มู่ ทันทีที่เกิดอันตราย ต่อให้จะฝ่าฝืนกฎพวกเขาก็จะลงมือทันที
และด้วยเหตุนี้ หลีเหิงสามารถใช้ข้ออ้างว่าคอยดูผู้ชมสองคนนี้ ตามอยู่รอบชู่มู่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นละก็ เขาจะลงมือได้ทันที ไม่ปล่อยให้เซี่ยกว่างหานมีโอกาส
“ในเมื่อพวกเจ้าจะชมการต่อสู้ รักษากฎระเบียบด้วย ข้าขอตัวก่อน” เซี่ยกว่างหานย่อมรู้ว่าหลีเหิงจะปกป้องชู่มู่ เช่นนี้เขาทำได้แค่จากไปอย่างเยือกเย็น
เซี่ยกว่างหายไม่ได้จากไปไกล เพราะเขาจะให้คนที่ดักรอในด่านที่แปดนี้จับชู่มู่ แค่พวกเขาจับชู่มู่ได้ เขาก็จะรั้งหลีเหิงไว้ได้ ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสเข้าช่วยเหลือแน่นอน
หลีเหิงมองดูเซี่ยกว่างหานขี่เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงจากไปช้า ๆ เผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา
คนของตำหนักวิญญาณไม่ถูกกับคนของวังมารนิรยตั้งนานแล้ว หลีเหิงเองก็ได้ยินชื่อของเซี่ยกว่างหานมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าปีที่ผ่านมานี้กลับไม่มีเรื่องของเจ้านี่…
“พวกเราตามจากที่ไกลไปเรื่อย ๆ จนกว่าด่านที่แปดนี้จะจบลงเถอะ” ซ่างเหิงบอก
อย่างไรก็ตาม ชู่มู่ได้ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ ตอนนี้ชู่มู่มีอันตราย แม้ซ่างเหิงจะไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้นี้ได้ แต่ยังคงปกป้องชู่มู่กับเย้ชิงจือในที่ไกลแบบนี้ได้
ถิงหลันพยักหน้า เดิมเธอคิดจะลงเขาแล้ว นำแผนการที่เซี่ยกว่างหานคิดจะจัดการชู่มู่นี้บอกกับฝ่ายจัดการประลอง แล้วให้ฝ่ายจัดการประลองยึดตำแหน่งของเซี่ยกว่างหาน
แบบนี้ผู้อาวุโสในวังมารนิรยใช่ว่าจะยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่าเซี่ยกว่างหานได้ทำอะไรที่ฝ่าฝืนออกมา
ดังนั้น การตามจากที่ไกลในตอนนี้ เป็นวิธีที่ดีที่สุด แบบนี้จะรับรองว่าชู่มู่จะฝ่าด่านปกติได้
“ว่าแต่ พี่หลีเหิง เจ้าเซี่ยกว่างหานนี่คือใคร” ซ่างเหิงกวาดตามองไปยังเซี่ยกว่างหานอย่างไม่พอใจ แล้วถามขึ้น
“ไม่กี่ปีก่อน เขานับว่าเป็นหนึ่งในคู่แข่งขันของข้า ทว่า หลังจากที่เขาหายตัวไปช่วงหนึ่ง ชื่อเสียงไปเลื่องลือเหมือนก่อนแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่”หลีเหิงบอก
“ความสามารถของเขาเป็นอย่างไร” ถิงหลันถามขึ้น ถ้าบอกว่าเป็นคู่แข่งขันของหลีเหิงละก็ ถ้าอย่างนั้นเซี่ยกว่างหานก็เคยเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมาก่อน
“เรื่องนี้…ถ้าพูดตามจริง ข้ายังไม่รู้มากเท่าไร ได้ยินว่าเจ้านี่เปลี่ยนดวงวิญญาณตลอด แข็งแกร่งบ้างอ่อนแอบ้าง จำได้ว่าตอนที่ข้าเจอเขาครั้งสุดท้าย ข้างตัวเขามีมังกรทรายเหลืองที่ยังไม่เต็มวัยตัวหนึ่ง ผ่านไปหลายปีแล้ว เกรงว่ามังกรทรายเหลืองตัวนี้น่าจะอยู่ในลักษณะสิบแล้ว ยากที่จะจัดการได้” หลีเหิงบอก
“มังกรทรายเหลือง !!!” ถิงหลันกับซ่างเหิงต่างเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา !
มังกรทรายเหลืองนับว่าเป็นดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นสูง ก่อนจะถึงลักษณะที่แปดจะไม่เผยท่าทีของกลุ่มมังกรออกมา แต่ทันทีที่เลยลักษณะแปดไปแล้ว พลังบ้าคลั่งของมังกรทรายเหลืองจะเผยออกมาให้เห็นอย่างหมดจด อีกทั้งหลังจากอยู่ในลักษณะสิบแล้ว ต่อให้ไม่ใช้วัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่ง ระดับพลังต่อสู้ของมังกรทรายเหลืองก็พอที่จะสู้กับจักรพรรดิชั้นยอดได้ !
ถ้าบอกว่าเซี่ยกว่างหานมีมังกรทรายเหลืองระดับจักรพรรดิชั้นยอดตัวหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเท่ากับฆ่าชู่มู่ได้อย่างง่ายดาย !
“พี่หลีเหิง หรือว่าความสามารถของผู้คุมดวงวิญญาณจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเป็นบางครั้งเหรอ” ถิงหลันถามด้วยความสงสัย
“นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้มีคนอย่างหลีหงอยู่ เขาก็มีตอนที่ความสามารถตกต่ำด้วย ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่มีทางที่จะราบรื่นตลอด ข้าคิดว่าเซี่ยกว่างหานน่าจะเป็นผู้คุมดวงวิญญาณแทนที่คนหนึ่ง ก็คือที่พวกเรามักพูดถึงว่า ผู้คุมดวงวิญญาณที่ทิ้งดวงวิญญาณเก่าต่อเนื่อง แล้วสร้างดวงวิญญาณที่มีระดับสูงขึ้นมาใหม่ ทันทีที่ผู้คุมดวงวิญญาณแบบนี้ทิ้งดวงวิญญาณเก่าของพวกเขา แล้วเริ่มฝึกดวงวิญญาณใหม่ของพวกเขา ความสามารถของพวกเขาจะตกต่ำทันที แต่ว่าทันทีที่พวกเขาฝึกดวงวิญญาณใหม่จนถึงลักษณะสิบแล้ว ความสามารถของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นมหาศาล จะก้าวข้ามผู้คุมดวงวิญญาณรุ่นเดียวกันหลายคน” หลีเหิงบอก
เรื่องเกี่ยวกับผู้คุมดวงวิญญาณแทนที่ ถิงหลันกับซ่างเหิงเองก็เคยได้ยิน วิธีฝึกของผู้คุมดวงวิญญาณแบบนี้คือเพิ่มระดับพลังต่อสู้ของดวงวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และทันทีที่ดวงวิญญาณตามระดับการฝึกของตัวเองไม่ได้แล้ว จะตัดสินใจเลิกสัญญาวิญญาณ แล้วตามหาดวงวิญญาณใหม่เพื่อฝึกต่อไป
ผู้คุมดวงวิญญาณแบบนี้มักต้องเจอกับวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บเป็นเวลานาน มักเหมือนคนที่มีใบหน้าซีดขาว ดูเหมือนคนป่วย จำต้องใช้วัตถุวิญญาณมากมายเพื่อบำรุงวิญญาณของพวกเขา
“ในเมื่อเขาหายตัวไปหลายปีแล้ว ถ้าอย่างนั้น ความสามารถของเขาตอนนี้อยู่ในช่วงที่แข็งแกร่งไม่ใช่เหรอ เขาจะเหมือนกับพี่หลีเหิงไหม ที่มีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว” ซ่างเหิงถามขึ้น
“เรื่องนี้พูดไม่ได้ เขาอาจเก็บดวงวิญญาณเก่าเอาไว้แน่นอน และถ้าดวงวิญญาณใหม่เติบโตเต็มวัยแล้ว ถ้าอย่างนั้นความสามารถคงไม่ด้อยไปกว่าข้ามากเท่าไร” หลีเหิงบอก
หลีเหิงไม่ชอบคนของวังมารนิรย ยิ่งไม่มีความรู้สึกดีต่อเซี่ยกว่างหานที่ทำหน้าไม่พอใจด้วย แต่เขาจำต้องยอมรับว่า วิธีการฝึกดวงวิญญาณแทนที่ของเซี่ยกว่างหานน่ากลัวมาก ถ้าระเบิดความสามารถแท้จริงออกมา เขาจะแข็งแกร่งกว่าคนวัยเดียวกันมาก !
“ถ้าอย่างนั้นควรเตือนชู่มู่ไหม” ถิงหลันพูดอย่างกังวล
“ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ เขาไม่กล้าทำอะไรมาก” หลีเหิงบอก
…
…
ชู่มู่ที่เดินไปตามเส้นทางซึ่งเขาไม่รู้ว่าซ่างเหิง ถิงหลัน หลีเหิงทั้งสามคนกำลังตามหลังตัวเองจากที่ไกลออกไป
ชู่มู่เองก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้คุมดวงวิญญาณแทนที่ ความจริงชู่มู่เองก็เดาว่า เซี่ยกว่างหานเองเป็นผู้คุมดวงวิญญาณแทนที่ อย่างไรก็ตาม ความสามารถที่เขาเผยออกมาตอนที่อยู่บ้านแห่งภูตวิญญาณไม่สมเหตุสมผลเกินไป
ตามความเข้าใจเรื่องลำดับของความสามารถ ชู่มู่เริ่มรู้ว่า ถ้าเซี่ยกว่างหานไม่มีความสามารถจริงคงไม่มีทางที่จะได้รับลำดับเก้าในอำนาจได้ และจะไม่มีอภิสิทธิต่างๆในวังมารนิรยได้
ตอนอยุ่บ้านแห่งภูตวิญญาณ ลักษณะขั้นของดวงวิญญาณเขาต่ำมาก เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งที่มีดวงวิญญาณลักษณะสิบแล้ว แทบทนต่อการโจมตีไม่ได้ ในภาวะแบบนี้ เขาจะไม่มีทางได้ลำดับเก้าในวังมารนิรยได้ บวกกับเจ้านี่มักมีใบหน้าที่ซีดขาวตลอดเวลา ท่าทีเหมือนป่วยทุกครั้งที่พบเจอ น่าจะเป็นเพราะวิญญาณได้รับบาดเจ็บ
ด้วยเหตุนี้ ชู่มู่รู้สึกว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาเป็นผู้คุมดวงวิญญาณแทนที่ ในตอนที่อยู่บ้านแห่งภูตวิญญาณ เซี่ยกว่างหานอยู่ในจุดตกต่ำของผู้คุมดวงวิญญาณแทนที่
แน่นอนว่า ตอนที่ผู้คุมดวงวิญญาณอยู่ในช่วงแทนที่จะเก็บดวงวิญญาณหลักไว้ แต่ในตอนนั้นอยู่ในพื้นที่ของราชันภูตวิญญาณจักรวาลฟ้า เขาอัญเชิญออกมาไม่ได้
ผู้เฒ่าหลีเป็นคนบอกเรื่องเกี่ยวกับผู้คุมดวงวิญญาณแทนที่ให้ชู่มู้รู้ และด้วยเหตุนี้ ชู่มู่รู้สึกว่า ต่อต้านเซี่ยกว่างหานในตอนนี้ยังเร็วเกินไป
ไม่ว่าเซี่ยกว่างหานเป็นผู้คุมดวงวิญญาณแทนที่หรือไม่ เป้าหมายหลักของชู่มู่ในตอนนี้คือเพิ่มขึ้นให้อยู่ในเจ็ดร่าย
หลังจากอยู่ในเจ็ดร่ายแล้ว ต่อให้เซี่ยกว่างหานจะเป็นผู้คุมดวงวิญญาณอะไร ก็จะฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย !
ถ้าแบ่งระหว่างหกร่ายถึงเจ็ดร่ายเป็นสิบระดับ ในภาวะปกติ ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนถึงจะได้ร่ายวิญญาณส่วนหนึ่ง
เท่ากับว่า ในภาวะที่ชู่มู่ไม่ใช้วัตถุวิญญาณใด ๆ ชู่มู่ต้องใช้เวลาสิบเดือนถึงจะเพิ่มจากหกร่ายเป็นเจ็ดร่ายได้
ผลของวัตถุวิญญาณที่เย้ชิงจือให้ชู่มู่เห็นชัดมาก ทำให้ชู่มู่เพิ่มขึ้นประมาณสี่ส่วน เท่ากับได้ประหยัดเวลาฝึกถึงสี่เดือน
หกส่วนที่เหลือ สำหรับผู้คุมดวงวิญญาณปกติแล้ว ทำได้แค่สะสมเวลาและอาศัยดวงวิญญาณเพื่อเพิ่มพูน ส่วนผู้คุมดวงวิญญาณที่เชื่องช้าและโง่เขลาอาจเพิ่มขึ้นไม่ได้หลายปี
แต่ว่าชู่มู่ยังมีวิธีเพิ่มร่ายวิญญาณพิเศษอีกอย่างหนึ่ง !
วิธีเพิ่มร่ายวิญญาณแบบนี้ชู่มู่มักใช้ตอนที่อยู่เกาะนักโทษ โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับสมาชิกวังมารนิรย !
วิธีเพิ่มความสามารถแบบนี้พิเศษมาก ซึ่งมาจากปีศาจขาวที่มีพรสวรรค์พิเศษของชู่มู่ตัวนั้น มารนิรยขาวที่เจอกับกลุ่มตระกูลเดียวกันจะตื่นเต้นอย่างมาก !
กลืนกินกลุ่มเดียวกัน !
มารนิรยขาวมีความสามารถพิเศษในการกลืนกินกลุ่มเดียวกัน !!!
ระหว่างที่กลืนกิน ความสามารถของตัวมารนิรยขาวจะเพิ่มขึ้น และร่ายวิญญาณของชู่มู่เองจะเพิ่มขึ้นมหาศาลด้วย เท่ากับว่าวิญญาณของทั้งคู่จะเพิ่มขึ้นจากการกลืนกินนี้ !
ในด่านที่แปดนี้มีผู้แข็งแกร่งวังมารนิรยหลายคน โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถสามอันดับแรก สำหรับปีศาจขาวแล้ว มารนิรยที่พวกเขามีเท่ากับเป็นอาหารบำรุงชั้นดี !
สำหรับมารนิรยขาวแล้ว มารนิรยกลุ่มเดียวกันนี้เป็นอาหารบำรุง และเป็นพลังบริสุทธิ์ที่สุดที่จะเพิ่มร่ายวิญญาณของชู่มู่ในขณะเดียวกัน !!!
วิธีที่ชู่มู่พูดถึง คือการฆ่าล้างสมาชิกวังมารนิรย ! เพิ่มความสามารถผ่านมารนิรยของสมาชิกวังมารนิรยเหล่านี้ !
หลีเหิงทำตามที่ชู่มู่บอก จงใจให้เซี่ยกว่างหานออกไป
หลีเหิงเองก็เป็นคนที่อำพรางได้ เขาไม่พูดเรื่องแผนการของเซี่ยกว่างหาน แค่พูดคุยกับเซี่ยกว่างหานอย่างเป็นกันเอง ทำท่าทีเหมือนจะผูกมิตร
เซี่ยกว่างหานแอบยิ้มตลกในใจ จากท่าทีของหลีเหิงแล้ว ชู่มู่รู้ตัวตนของเขาแล้วแน่นอน จงใจให้หลีเหิงมารั้งเขาเอาไว้
ทว่า ต่อให้เขาไม่มีโอกาสจะได้ลงมือ ด่านที่แปดนี้ก็ย่อมมีคนลงมือกับชู่มู่เอง เขาในตอนนี้จำต้องบอกตำแหน่งของชู่มู่ให้กับพวกจั่วเถิง
ตอนที่บินไปบนฟ้าแล้ว เซี่ยกว่างหานได้ส่งสัญญาณ ให้คนทั้งหมดมารวมตัวที่นี่
การต่อสู้ระหว่างผู้เข้าแข่งขัน ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ต่อให้หลีเหิงคิดจะปกป้องชู่มู่ก็ทำอะไรไม่ได้ เซี่ยกว่างหานไม่เชื่อว่าแบบนี้ชู่มู่ยังหนีไปได้ !
…
ระหว่างยอดเขาตะวันออกของภูเขาเวหาอมตะ วัยหนุ่มที่ขี่เสือปีกที่เต็มไปด้วยลายเส้นปีศาจทั่วทั้งตัวเงยหน้าขึ้น จับจ้องไปยังก้อนเมฆพิเศษบนฟ้านั้น
“ชู่มู่เอ้ย ชู่มู่ พวกเราควรต้องจบกันสักทีได้แล้ว ! ” นัยน์ตาของจั่วเถิงเยือกเย็นขึ้นมาก
ระหว่างจั่วเถิงกับชู่มู่ไม่มีความแค้นอะไร แต่ว่าในตอนนี้นัยน์ตาของชายคนนี้กลับเหมือนได้มีความแค้นอย่างมากกับชู่มู่ จำต้องจบทั้งหมดในด่านที่แปดนี้
“ฮู ฮู ฮู”
เสือปีกกระพือปีก ทยานตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากจั่วเถิงออกคำสั่ง เสือปีกได้ยินขึ้นไปในความสูงที่ถูกคนอื่นสังเกตเห็นได้ บินผ่านยอดเขาสูงโดยตรง บินตรงไปยังบริเวณที่ก้อนเมฆรวมตัวกัน
และด้านหลังจั่วเถิง เงาที่สวมชุดสีดำแน่นอันหนึ่งตามติด จากรูปร่างแล้ว มองออกได้ว่า เป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างน่าดึงดูดอย่างมาก ต่อให้เผยผิวขาวแค่บริเวณคอออกมา แต่การแต่ตัวของหญิงสาว นอกจากจะมีความลึกลับแล้ว ยังเต็มไปด้วยความเย้ายวนในขณะเดียวกัน
…
“ท่านหลู่ หรือว่าพวกเราจะไม่เดินมุ่งหน้าต่อไปแล้วเหรอ” ผู้เฝ้ามารที่สวมชุดขาวคนหนึ่งถามขึ้น
“ถอยกลับไป มีเรื่องที่สำคัญต้องจัดการ” หลู่ซานหลีมองไปยังก้อนเมฆนั้น ฉีกยิ้มเยือกเย็นออกมา
ผู้เฝ้ามารมองไปยังนักโทษขั้นเจ็ดที่กลัวจนหนีไปคนนั้น ถามขึ้นว่า “ไม่ตามนักโทษขั้นเจ็ดคนนั้นแล้วหรือ”
“พวกเราฆ่าแค่นักโทษขั้นแปด ตามขยะพวกนั้นเสียเวลาเกินไป” หลู่ซานหลีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ข้างตัวหลู่ซานหลีมีผู้เฝ้ามารทั้งหมดสามคน เขาเตรียมตัวเพื่อการประลองฟ้าดินนี้เป็นเวลานานมากแล้ว และเขาได้ฝึกผู้เข้าแข่งขันเกือบสิบคนแล้ว ในบรรดาสิบคนนี้มีห้าคนได้เข้าสู่ด่านที่แปดนี้ พูดได้ว่ามีฝีมือเยี่ยมยอดยิ่งกว่าเยี่ยมยอดในวังมารนิรย
“จัดการเขา จะมีคนนำประโยชน์มาให้พวกเราไม่น้อย ก็ดี ข้ามีความแค้นกับเจ้านั่นเล็กน้อยด้วย “หลู่ซ่านหลีบอก
คนที่หลู่ซ่านหลีพูดถึงย่อมเป็นชู่มู่ ในตอนที่เปิดการแข่งขันประลองฟ้าดิน เซี่ยกว่างหานได้ว่าจ้างด้วยเงินหมาศาล หวังให้หลู่ซ่านหลีลงมือให้เขา
หลู่ซ่านหลีมองดูเป็นมิตร แต่คนในวังมารนิรยต่างรู้ดี เจ้านี่เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ ใครทำให้เขาโกรธเคือง เขาจะไล่กัดราวกับคนบ้า
ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงจิ่งโหลวได้เตือนชู่มู่เอาไว้ จำต้องป้องกันหลู่ซานหลีเอาไว้
“คนนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเราเหรอ” ผู้เฝ้ามารถามขึ้น ในสายตาของผู้เฝ้ามาร คนที่ทำให้หลู่ซานหลีใส่ใจแบบนี้ได้ จำต้องมีความสามารถเกินกว่าปกติแน่นอน
“ศัตรูฉกาจงั้นหรือ เขายังไม่เหมาะจะเป็น ก็แค่โจรทั่วไปเท่านั้น” หลู่ซานหลียิ้มออกมา ศัตรูฉกาจของหลู่ซานหลีย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของอำนาจต่าง ๆ ตัวละครอย่างชู่มู่ ไม่อยู่ในสายตาของเขาจริง ๆ แต่ว่าในเมื่อมีคนย่อมลงทุนว่าจ้างตัวเองให้จัดการเขาด้วยราคาสูง เขาก็ยอมเสียเวลาเล็กน้อยนี้ได้ !
“ในเมื่อเป็นแค่โจรทั่วไป ทำไมต้องให้ท่านหลู่ลงมือ พวกข้าจัดการเขาได้สบาย ! ” เหล่าผู้เฝ้ามารต่างกระโดดขึ้นบนปีศาจม้าวายุของพวกเขา ตามหลังหลู่ซานหลี วิ่งไปยังบริเวณที่ก้อนเมฆรวมตัว
…
ภูเขาเวหาอมตะเป็นพื้นราบก้อนใหญ่ ด้านบนมีเศษหินมากมาย
สิบกว่าปีก่อน ยอดเขาสูงสุดของภูเขาเวหาอมตะสูงกว่าตอนนี้มาก แต่หลังจากการต่อสู้ที่สะเทือนโลก ยอดสูงสุดของภูเขาเวหาอมตะหักลง ต่ำกว่าเดิมเกือบห้าร้อยเมตร
พูดได้ว่า ยอดสูงสุดของภูเขาเวหาอมตะในตอนนี้เป็นครึ่งหนึ่งของยอดเดิม ตามลมที่พัดพาในปีที่ผ่านมา เริ่มก่อเป็นยอดเขาหัวโล้นแล้ว
ลมพัดอย่างบ้าคลั่ง ก่อเป็นฝุ่นบนยอดเขาเหล่านั้น กลายเป็นฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจาย พัดพาไปทั่ว
ท่ามกลางฝุ่นทราย มั่วเย้ที่ทั้งตัวสีดำตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่ง มองดูภูเขาเวหาอมะยิ่งใหญ่นี้จากที่สูง กลิ่นไอความมืดที่คล้ายราชาก่อเป็นบรรยากาศรอบกาย ทุกครั้งที่มีลมพัดมาที่นี่ จะกระจายออกทันที
ข้างกายมั่วเย้ที่มีกลิ่นไอมืดที่เข้มข้นนี้ กลับเป็นชายที่นั่งขัดสมาธิคนหนึ่ง ชายคนนี้ไม่มีท่าทีของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนรูปปั้นหินสีดำ
สายตาของเขาอ้างว้างอย่างมาก ไร้สีหน้าอามรณ์ใด ๆ
ในตอนนี้ เขากำลังจับจ้องไปยังก้อนเมฆที่อยู่ขอบฟ้า เขารู้ว่าก้อนเมฆนั้นเป็นสัญญาณบางอย่าง
จากภูเขาตะวันออกของภูเขาเวหาอมตะ ไปจนถึงยอดเขาสูงสุดของเวหาอมตะนี้ ฉิงเย้กำลังจะเข้าสู่สนามล่าขั้นที่สองนี้
“มั่วเย้ที่มีความสามารถแตกหักงอกใหม่ถึงหกครั้งตัวหนึ่ง” ฉิงเย้พึมพำ
ฉิงเย้มีความสนใจต่อมั่วเย้เช่นกัน เขาในตอนนี้มีราชามั่วเย้ที่มีพรสวรรค์หมวดมืดกับหมวดอสูรผิดปกติตัวหนึ่ง
ต่อให้ได้มั่วเย้ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่ว่าแค่มีดวงวิญญาณที่ดีกว่าฉิงเย้จะไม่ปล่อยมือไปแน่นอน
“ความสามารถแตกหักงอกใหม่หกครั้ง บวกกับความสามารถเยียวยาตัวเอง นี่เป็นมั่วเย้อมตะตัวหนึ่ง…” ฉิงเย้ยังคงพึมพำ
ในตอนที่พันเจิ้งเจอฉิงเย้และให้เขาลงมือ ตัวละครธรรมดาอย่างชู่เฉิงตำหนักวิญญาณแทบไม่อยู่ในสายตาของฉิงเย้ อย่างไรความสามารถจองเขาในตอนนี้ต่อให้ในขั้นที่หนึ่งก็ยากที่จะมีคนสู้กับเขาได้ ให้เขาลงมือจัดการคนในขั้นสอง เท่ากับดูถูกตำแหน่งของเขามากเกินไป
และแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ฉิงเย้ได้ยินว่า ชู่เฉิงตำหนักวิญญาณมีมั่วเย้ที่แตกหักงอกใหม่หกครั้งได้
ในตอนที่เจอกับชู่มู่และสู้กับเขาตอนอยู่ทะเลทราย เขาเกือบลืมไปหมดแล้ว หลังจากเรื่องนี้เข้าหูเขา เขาเข้าใจทันที ที่แท้นั่นเป็นมั่วเย้ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณทั่วไปหกเท่าตัวหนึ่ง ไม่แปลกที่การโจมตีของราชามั่วเย้ของเขากลับฆ่ามันไม่ได้
พลังชีวิตแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณทั่วไปถึงหกเท่า นี่เท่ากับมีพรสวรรค์หมวดแมลงที่ผิดปกติแล้ว แล้วยังเรียนรู้การแตกหักงอกใหม่ มั่วเย้ตัวนี้อมตะจริง ๆ
แน่นอนว่า การแตกหักงอกใหม่กับพลังชีวิตหกเท่า พลังฟื้นฟูยังไม่มีอยู่ในระดับที่สะดุดตาเขา อย่างไรก็ตาม ดวงวิญญาณที่มีพรสวรรค์แบบนี้มักมีข้อบกพร่องด้านอื่น ต้องทุ่มเทเงินทองมหาศาลในตอนท้าย และวัตถุวิญญาณที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้มันจะเป็นหลายเท่าตัวของดวงวิญญาณปกติ
และฉิงเย้ที่ตาถึงมากกว่าคนปกติคิดได้ทันทีว่า ถ้าให้มันเรียนรู้ทักษะหมวดแมลงที่เพิ่มความสามารถระหว่างการต่อสู้อย่างต่อเนื่องได้ละก็ ถ้าอย่างนั้นมั่วเย้ตัวนี้จะสมบูรณ์แบบอย่างมาก เพียงพอที่จะเป็นดวงวิญญาณชั้นยอดต่อสู้ข้ามขั้นได้ !
น้อยครั้งที่จะมีเรื่องที่ทำให้ฉิงเย้ตื่นเต้นแบบนี้ แต่คิดว่ามั่วเย้ตัวนี้แข็งแกร่งขึ้นได้ ฉิงเย้เกิดความโลภขึ้นมาทันที !
“ดวงวิญญาณชั้นยอดสมบูรณ์แบบตัวหนึ่ง น่าจะเป็นของข้าฉิงเย้ จะให้ตกอยู่ในมือของคนโง่ได้อย่างไร” ฉิงเย้ลุกขึ้นช้า ๆ ในตอนนี้ นัยน์ตาของเขาได้เผยประกายความโลภออกมาแล้ว !
ฉิงเย้มีดวงวิญญาณชั้นยอดมากมาย ครึ่งหนึ่งในบรรดาดวงวิญญาณเหล่านั้นเขาได้ชิงมาจากคนอื่น ! สำหรับปีศาจในองค์กรวิญญาณนี้แล้ว ดวงวิญญาณที่ดีที่สุดในโลก ควรจะอยู่ในมือของเขา ไม่มีใครที่เหมาะกับเป็นราชาชั้นยอดของกลุ่มระกูลเหล่านั้นมากไปกว่าเขาแล้ว !
…
…
เส้นทางภูเขาเวหาอมตะ
เส้นทางภูเขาเวหาอมตะนี้เป็นทางแยกที่ประหลาดมาก ท่ามกลางภูเขาที่เชื่อมต่อกัน เส้นทางที่สลับทับซ้อนกัน อีกทั้งยังเกิดเส้นทางวกวน แยกเป็นร้อยเส้นทาง บางครั้งคนที่ไม่ชินกับภูมิประเทศของภูเขาเวหาอมตะจะหลงได้ง่าย
หลังจากสลัดเซี่ยกว่างหานแล้ว ชู่มู่ได้พาเย้ชิงจือเดินขึ้นเขาต่อไป ไม่ปล่อยให้เซี่ยกว่างหานมีโอกาสสะกดตามตัวเองได้
“หลีเหิงได้รั้งเขาเอาไว้แล้ว ทำไมเจ้ายังเดินเร็วขนาดนี้” เย้ชิงจือถามขึ้น
“พวกเขาวางกับดักข้าในด่านที่แปดนี้ตั้งนานแล้ว ไม่ว่าเซี่ยกว่างหานจะลงมือหรือไม่ คนพวกนั้นก็จะลงมือกับข้า ในนี้อาจมีส่วนหนึ่งเป็นลูกน้องของหุ่นเชิดเด็กสาว อยู่กับที่ อาจถูกพวกเขาล้อมโจมตีได้” ชู่มู่บอก
“อ๊า ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยู่ต่อไปก็อันตรายเกินไปแล้ว ในการประลองฟ้าดินมีศัตรูของเจ้าเยอะขนาดนั้น…” เย้ชิงจือพูดเสียงเบา
ถ้าเป็นการประลองปกติ ด้วยความสามารถของชู่มู่ในตอนนี้ เข้าไปในด่านที่เก้า แล้วสู้กับผู้แข็งแกร่งที่สุดของอำนาจต่าง ๆ ก็อาจเป็นไปได้
และแล้ว สิ่งที่ชู่มู่จะต้องเจอเหมือนจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้ นี่ทำให้เย้ชิงจือกังวลกว่าเดิม…
“บางเรื่องควรต้องทำให้จบ วางใจได้ ข้ายังเก็บไม้ตายไว้อยู่ ไม่เป็นอะไร” ชู่มู่พูดปลอบใจเย้ชิงจือ
“ไม้ตายเหรอ หรือจะหมายถึงแปลงเป็นครึ่งมารงั้นหรือ ไม่ได้ เจ้าห้ามใช้ทักษะน่ากลัวนั้นอีกแล้ว อุณหภูมิวิญญาณของเจ้าสูงมากจนจะคร่าชีวิตเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าใช้อีกครั้งละก็ ไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมา” เย้ชิงจือบอก
“ข้าไม่ใช้ ข้าในตอนนี้จำต้องเข้าสู่เจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายให้เร็วที่สุด ! ” ชู่มู่บอก
เย้ชิงจือมองไปยังชู่มู่ ไม่เข้าใจว่า ชู่มู่จะทำอะไร แล้วถามขึ้นว่า “ยาที่ข้าให้เจ้า ใช่ว่าจะทำให้เจ้าอยู่ในเจ้าวิญญาณเจ็ดร่ายได้ทันที”
“ข้ามีวิธีอื่น แม้จะบ้าไปหน่อย” นัยน์ตาของชู่มู่แน่วแน่ขึ้น !
เซี่ยกว่างหานขี่เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงเข้าใกล้ช้า ๆ ใบหน้าของเขาถูกเกราะสีทองปิดเอาไว้
เมื่อกี้มีคนเปิดขวดยา เซี่ยกว่างหานอาศัยโอกาสนี้เข้าใกล้พวกชู่มู่ได้พอดี รอให้ตอนที่ชู่มู่ไม่ทำการป้องกันใด ๆ แล้วจึงโจมตี จับชู่มู่เอาไว้
แต่ว่าเซี่ยกว่างหานไม่คิดว่ามั่วเย้ของชู่มู่จะจำกลิ่นของเขาได้ในตอนที่สู้ในบ้านแห่งภูตวิญญาณ ตอนนี้เขาเข้าใกล้ชู่มู่ เท่ากับได้เผยตัวตนโดยตรง
ชู่มู่จับจ้องไปยังชายที่สวมชุดเกราะสีทองคนนี้ เมื่อก่อน ชู่มู่รู้สึกว่าตัวเองเล็กเหมือนมดเมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนี้ แค่เขายกเท้าขึ้น ก็เหยียบชู่มู่ให้ตายได้แล้ว
ในตอนนั้น ชู่มู่อายุแค่สิบห้าปี ในวัยเท่านั้น ความสามารถของเซี่ยกว่างหายทำให้ชู่มู่หวาดกลัวอย่างมาก ไม่กล้าปีนป่าย
แต่ผ่านไปหลายปีแล้ว เซี่ยกว่างหานปรากฏตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง ความสามารถของชู่มู่กับเขาไม่ห่างกันมากขนาดนั้นอีกแล้ว อีกทั้งชู่มู่ที่คิดว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจเห็นเขาปรากฏตัวอีกครั้ง กลับไม่รู้สึกเหมือนมีอันตรายที่เข้าใกล้ แต่เป็นความบ้าคลั่งที่คิดจะเหยียบเจ้าคนที่ยากจะก้าวข้ามผ่านนี้ไว้ใต้เท้าอย่างแรง !
“อู อู อู อู”
มั่วเย้มีความแค้นต่อเซี่ยกว่างหานระดับหนึ่ง ต่อให้ชู่มู่ให้มันคงความนิ่งไว้ แต่ดวงตาของมั่วเย้ยังคงเผยท่าทีอาฆาตยากจะปิดเอาไว้ออกมา !
มั่วเย้อยู่กับชู่มู่เป็นเวลานานที่สุด ผูกพันมากที่สุด ในตอนนั้นเซี่ยกว่างหานเกือบทำให้มันตัดขาดจากชู่มู่ ความเจ็บปวดจากสัญญาวิญญาณที่ขาดออกจะส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย ชู่มู่รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัวในขณะเดียวกัน วิญญาณของมั่วเย้ก็จะสั่นด้วยสัญญาวิญญาณที่ขาดออกจากกัน
ประสบการณ์ครั้งนั้น ความสามารถของมั่วเย้อ่อนแอ ทำได้แค่ปล่อยให้มือฉมังคนนี้ทำตามใจ ตอนนี้ ความสามารุของมั่วเย้เพิ่มขึ้นเยอะมาก อยู่ในลักษณะเก้าแล้ว มันอยากจะพุ่งเข้าไปทันทีทันใด ฉีกเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงตัวนั้นให้เป็นเศษ แล้วกัดเนื้อของเซี่ยกว่างหานออกทีละก้อน !
“พวกเจ้าฆ่าคนนี้เหรอ” เซี่ยกว่างหานจงใจกดเสียงให้ทุ้มต่ำ แล้วใช้นิ้วชี้ไปยังหัวของตว้านซิงเจ๋อที่อยู่ใต้เท้า
เซี่ยกว่างหานจำหัวนี้ได้ นี่เป็นนักโทษขั้นเก้า ตว้านซิงเจ๋อที่ถูกฝ่ายจัดการประลองตั้งไว้เป็นเกียรติสูงสุด ต่อให้ความสามารถของตว้านซิงเจ๋อถูกจำกัดเอาไว้แล้ว แต่สำหรับผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่แล้วยังยากที่จะรับมือได้ เซี่ยกว่างหานแปลกใจที่สี่คนนี้ฆ่าเขาได้อย่างไร !
“ใช่ ถูกชู่เฉิงตำหนักวิญญาณของพวกข้าฆ่าตาย ความจริงพวกข้าแทบไม่ได้ออกแรงอะไร” ซ่างเหิงมีท่าทีจะชื่นชมชู่มู่
“อ้อ ใช้ได้ทีเดียว” เซี่ยกว่างหานเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ข่าวที่เซี่ยกว่างหานได้มาก่อนหน้านี้ว่า ความสามารถของชู่มู่ยากที่จะอยู่ในสิบอันดับแรกของอำนาจใหญ่ได้ เซี่ยกว่างหานเองไม่สามารถเข้าร่วมการประลองได้ แต่ชู่มู่ก็ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักวิญญาณมาตลอด เซี่ยกว่างหานจึงให้จั่วเถิงมาจัดการชู่มู่แทน
ที่ทำให้เข้าแปลกใจคือ ชู่มู่กลับมีความสามารถที่จะจัดการนักโทษขั้นเก้าตว้านซิงเจ๋อได้ ถ้าอย่างนั้น เขาได้ซ่อนความสามารถไว้แน่นอน
ทว่า เซี่ยกว่างหานแปลกใจก็จริง เขากลับไม่กังวลอะไร ตว้านซิงเจ๋อที่ถูกควบคุมความสามารถกับเซี่ยกว่างหานในตอนนี้แทบไม่อยู่ในระดับเดียวกัน แค่ให้เซี่ยกว่างหานมีโอกาสได้ลงมือ ชู่มู่ก็ต้องตายอยู่ดี !
ชู่มู่ไม่พูดอะไร แค่ยืนอยู่ข้างเย้ชิงจือ กำลังคิดวิธีรับมืออย่างใจเย็น
ก่อการต่อสู้ทันทีไม่ได้แน่นอน ด้วยความสามารถของเซี่ยกว่างหาน ต่อให้ตัวเขาเอาชนะเขาได้ ดวงวิญญาณจะต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน แค่ให้ดวงวิญญาณตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ชู่มู่ก็ยากที่จะฝ่าด่านต่อไปได้แล้ว
เย้ชิงจือที่อยู่ด้านข้างเหมือนจะสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของชู่มู่ ต่อให้การเปลี่ยนแปลงนี้จะเล็กน้อยมากเพียงใดก็ตาม
เธอมองไปยังผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองที่สวมชุดเกราะสีทองนี้ แล้วมองไปยังชู่มู่ พบว่าชู่มู่กับเจ้านี่มักเว้นระยะห่างเอาไว้ ระยะห่างนี้คือระยะในการต่อสู้พอดี !
เย้ชิงจือไม่เข้าใจ ทำไมชู่มู่ถึงหวาดระแวงต่อผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองคนหนึ่งแบบนี้ ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองส่วนใหญ่คัดจากอำนาจต่าง ๆ คนเหล่านี้จำต้องปฎิบัติตามกฎของฝ่ายจัดการประลองอย่างเคร่งครัด หน้าที่ของผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองในครั้งนี้คือคอยปกป้องผู้เข้าแข่งขัน ห้ามไม่ให้นักโทษทำร้ายผู้เข้าแข่งขัน น่าจะไม่มีเหตุที่จะต้องให้พวกเขาหวาดระแวงแบบนี้
“ชู่มู่ ทำไมเหรอ” เย้ชิงจือใช้ร่ายวิญญาณถามชู่มู่
“เขาคือศัตรูที่ข้าเคยบอก” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณบอกกับเย้ชิงจือ
เย้ชิงจือเผยสีหน้าตกใจออกมาทันที เขาไม่คิดว่า ศัตรูฉกาจของชู่มู่จะปรากฏตัวด้วยผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง ถ้าอย่างนั้น ศัตรูของชู่มู่ไม่ใช่สมาชิกรุ่นวัยหนุ่ม !
เย้ชิงจือไม่ใช่ผู้หญิงที่โง่ เธอปิดบังไว้อย่างรวดเร็ว ไม่ให้เซี่ยกว่างหานสังเกตเห็น
ในเมื่อยังไม่จุดชนวนการต่อสู้ เท่ากับว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีความหวาดหวั่นอยู่ ยังไม่กล้าโจมตีในทันที่
เพื่อความปลอดภัย เย้ขิงจือได้ออกคำสั่งต่อดวงวิญญาณของตัวเองอย่างลับๆ ให้พวกมันเล็งไปยังเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงของเซี่ยกว่างหาน ทันทีที่เกิดบางอย่างขึ้น ดวงวิญญาณของเธอจะโจมตีไปยังเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงทันที
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ควรทำอะไร ต่อสู้เหรอ” เย้ชิงจือใช้ร่ายวิญญาณถามชู่มู่
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ ถิงหลันกับซ่างเหิงอยู่ที่นี่ เขาอาจยังไม่กล้าลงมือ” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณตอบ
เซี่ยกว่างหานเป็นผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง นอกจากว่าเขาจะฆ่าชู่มู่ทั้งสี่คนในครั้งเดียวได้ มิฉะนั้น หลังจากเรื่องนี้เขาจะถูกฝ่ายจัดการประลองลงโทษ
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชู่มู่หรือถิงหลัน ทั้งสองคนมีตำแหน่งที่สูงมากในตำหนักวิญญาณ ถ้าเซี่ยกว่างหานมีโอกาสสำเร็จไม่สูงมากนัก จะไม่ลงมือแน่นอน
“ผู้เฝ้าท่านนี้ ส่งพวกข้าลงเถอะ พวกข้าต้องการจะออกจากการแข่งขัน” ถิงหลันบอก
เซี่ยกว่างหานพยักหน้า พูดกับถิงหลันกับซ่างเหิงว่า “เก็บดวงวิญญาณของพวกเจ้า ขึ้นมาบนเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงของข้าเถอะ”
ถิงหลันกับซ่างเหิงไม่มีท่าทีจะสู้ต่อไปแล้ว สำหรับพวกเขา ด่านที่แปดนี้เป็นขีดจำกัดแล้ว ถ้าฝืนต่อไป อาจถูกนักโทษทำร้ายได้
“อย่าเก็บดวงวิญญาณ ! ” และแล้ว ในตอนที่ทั้งสองคนจะเก็บดวงวิญญาณ ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับพวกเขาทันที
ถ้าให้ถิงหลันกับซ่างเหิงเก็บดวงวิญญาณ แล้วนั่งบนเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงของเซี่ยกว่างหานละก็ เขาจะฆ่าพวกเขาทั้งสองคนได้ทันที เซี่ยกว่างหานเป็นคนที่โหดร้ายคนหนึ่ง ถ้ากำจัดพวกเขาทั้งสองคนในคราวเดียวได้ เขาจะลงมือแน่นอน
ถิงหลันอึ้งเล็กน้อย ใช้ร่ายวิญญาณถามชู่มู่ทันทีว่า “ทำไมเหรอ ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองปรากฏตัวแล้ว พวกเราปลอดภัยมาก”
“พวกเจ้าทั้งสองคนฟังให้ดี อย่าเผยสีหน้าตกใจออกมา “ชู่มู่ทำท่าทีเหมือนกำลังคุยกับเย้ชิงจือ แต่ความจริงกลับใช้ร่ายวิญญาณพูดกับถิงหลันและซ่าเหิงว่า “ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองคนนี้เป็นศัตรูของข้า เขาจะใช้วิธีที่โหดร้ายทารุณ คิดจะฆ่าข้ามาตลอด ถ้าพวกเจ้าเก็บดวงวิญญาณ เขาจะลงมือกับพวกเจ้าทันที ฆ่าพวกเจ้าทั้งสองให้ตาย แล้วอัญเชิญดวงวิญญาณอื่นมาจัดการข้า!”
ต่อให้ชู่มู่บอกถิงหลันกับซ่างเหิงอย่าเผยสีหน้าตกใจออกมา แต่ตอนที่รู้ว่าผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองคิดจะฆ่าพวกเขา นัยน์ตาของพวกเขายังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย…
เซี่ยกว่างหานเป็นคนที่ช่างสังเกตอย่างมาก เขาคอยมองดูสีหน้าของชู่มู่กับคนเหล่านี้มาตลอด ในไม่ช้า เขาพบว่าบรรยากาศเริ่มไม่ปกติแล้ว
“หรือว่าเขาสังเกตเห็นข้าแล้ว เป็นไปไม่ได้ ข้าได้ซ่อนกลิ่นไอทั้งหมดของข้าแล้ว เขาแทบไม่เห็นใบหน้าของข้า” เซี่ยกว่างหานแอบคิดในใจ
ถ้าถูกชู่มู่พบเห็น เซี่ยกว่างหานต้องลงมือทันที ต่อให้จะถูกลงโทษก็ห้ามพลาดโอกาสที่จะได้ดวงวิญญาณแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องครั้งนี้ไป !
ในขณะที่เซี่ยกว่างหานกำลังสังเกตสายตาและสีหน้าของคนอื่น ชู่มู่ก็สังเกตเขามาตลอด ในไม่ข้า ชู่มู่พบว่านัยน์ตาของเซี่ยกว่างหานเริ่มเผยท่าทีพร้อมจะระเบิดออกมาแล้ว !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ทันใดนั้น ลมพัดอย่างบ้าคลั่งมาจากกลางฟ้าลงมา ก่อเป็นความกดอากาศที่พัดพาเสื้อและผมของผู้คนเหล่านี้
เงากลางอากาศขยายมากขึ้นอย่างช้า ๆ ตอนที่เซี่ยกว่างหานกับชู่มู่กำลังเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีไม่ดี ดวงวิญญาณหมวดปีกตัวหนึ่งพุ่งลงจากฟ้าลงมา จอดลงต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย
บนดวงวิญญาณหมวดปีก ชายที่สวมชุดเกราะสีทองคนหนึ่งกระโดดลงจากดวงวิญญาณหมวดปีกตัวนี้
ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองคนนี้ไม่ได้ปิดหน้าเหมือนเซี่ยกว่างหาน แต่หลังจากที่เห็นพวกชู่มู่ ได้เปิดหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สง่านั้น
“พวกเจ้าอยู่นี่ ข้าหาตั้งนาน ข้าได้ยินเพื่อนร่วมกลุ่มขอกว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่กำลังเจอกับนักโทษฝูงใหญ่ แล้วให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองมา”ชายคนนี้ฉีกยิ้มพูดกับทั้งสี่คน
หลังจากพูดจบ ชายคนนี้มองไปยังเพื่อนร่วมทางที่อยู่ด้านข้าง ยิ้มเล็กน้อยเพื่อทักทาย
“พี่หลีเหิง ! ” ถิงหลันเห็นชายคนนี้ปรากฏตัว ฉีกยิ้มออกมาทันที
ชู่มู่เห็นหลีเหิงปรากฏตัวขึ้น สบายใจขึ้นมาบ้าง
ต่อให้ตอนนี้ชู่มู่อยากจะฆ่าล้างกับหลีเหิงมาก แต่ชู่มู่ยังคงรอหาโอกาสหลังจากจบการประลองฟ้าดินค่อยฆ่าเซี่ยกว่างหายทิ้ง การประลองฟ้าดินนี้ใกล้กับช่วงที่มั่วเย้จะแปรเปลี่ยนอย่างมากแล้ว ทันทีที่มั่วเย้แปรเปลี่ยนสำเร็จ เซี่ยกว่างหานจะต้องตายลง !
“ชู่เฉิง เย้ชิงจือ พวกเจ้าได้ช่วยชีวิตน้องชายข้าเอาไว้ หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าเรียกใช้ข้าหลีเหิงได้เสมอ ข้าจะมาถึงให้ไวที่สุดแน่นอน ! ” หลีเหิงเดินมาตรงหน้าชู่มู่ พูดกับชู่มู่อย่างซาบซึ้งใจ
สีหน้าของเซี่ยกว่างหานหมองคล้ำลงมาก ตอนที่หลีเหิงปรากฏตัว เขาได้ถอยไปด้านข้างเล็กน้อย เพราะเขาจำต้องคำนึงว่า ถ้าชู่มู่รู้ตัวตนของเขา จะให้หลีเหิงลงมือกับเขาทันที
ถ้าไม่กี่ปีก่อนวิญญาณของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บ้านแห่งภูตวิญญาณ เซี่ยกว่างหานจะไม่เกรงกลัวต่อหลีเหิงแน่นอน แต่เขาในตอนนี้แทบไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลีเหิง
ชู่มู่เห็นเซี่ยกว่างหานถอยหลังไปอย่างฉลาด และรู้ว่าจะให้หลีเหิงฆ่าเขาคงมีความลำบากระดับหนึ่ง
ในตอนนี้ ชู่มู่ได้ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับหลีเหิงว่า “พี่หลีเหิง ข้ามีเรื่องจะร้องขอ คนที่สวมชุดเกราะสีทองเหมือนเจ้าคือเซี่ยกว่างหานวังมารนิรย เขากับข้ามีความแค้นต่อกัน เมื่อกี้เขาคิดจะลงมือกับข้า โชคดีที่เจ้ามาได้ทันเวลา”
“อ้อ มีเรื่องแบบนี้ ข้าช่วยเจ้ากำจัดข้าสะ ! ” หลีเหิงหันหลังให้เซี่ยกว่างหาน แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น
“เขาจงใจหนีไปแล้ว เจ้าลงมือเขาอาจหนีไปทันที ยากที่จะจับไว้ได้ เดี๋ยวตอนที่เจ้าพาถิงหลันกับซ่างเหิงลงเขา ให้เขาจากไปด้วย จับตามองเขาไว้ให้ได้ อย่าให้เขาก่อกวนข้าในตอนนี้” ชู่มู่บอก
ชู่มู่จำต้องฝ่าด่านต่อไป ถ้าถูกคัดออกในด่านที่แปดนี้ ชู่มู่ก็จะไม่ได้คำสั่งเสียที่เย้ชิงจืออยากได้ ยิ่งไม่มีทางที่จะเจอหุ่นเชิดของเด็กสาวทรยศแล้ว และจะไม่เจอหลักฐานที่เกี่ยวกับเด็กสาวทรยศมากกว่านี้
ตว้านซิงเจ๋อเห็นท่าทีไม่ดีเลยคิดที่จะหนีไป !
เขาไม่กล้าเก็บพันแม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่เก็บพันแม่ ตว้านซิงเจ๋อเองจะตกเป็นเป้าหมาย จะถูกดวงวิญญาณทั้งหมดโจมตีโดยตรง
ลำตัวที่เหมือนก้อนเนื้อของพันแม่นั้นเริ่มเคลื่อนไหว พ่นหมอกพิษสีฟ้าอ่อนออกจากปากลึกลับ หมอกนี้ปิดบังสายตาของคนทั้งหมดในเสี้ยววินาที
ตอนที่ปล่อยหมอกพิษออกมา ก้อนเนื้อบนตัวพันแม่หลุดออกมาอีกก้อน ก้อนนี้กลายเป็นปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดอย่างรวดเร็ว
พันแม่ต้องใช้พลังงานถึงจะสร้างปีศาจแมลงตะกละออกมาได้ ปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดนี้นับว่าเป็นการกลายร่างของพลังสุดท้ายแล้ว!
ตว้านซิงเจ๋อกระโดดขึ้นหลังของปีศาจแมลงตะกละตัวนี้ เผยท่าทีไม่แยแสออกมาบนใบหน้า
มีคนจำนวนมากที่คิดจะฆ่าตว้านซิงเจ๋อ แต่สุดท้ายยังคงปล่อยให้เขาหนีไปอย่างง่ายดายอยู่ดีอย่างนั้นหรือ
ฆ่าจอมตะกละของเขาได้แล้วจะทำอะไรได้ แค่หนีครั้งนี้ไปได้ อีกไม่นาน ตว้านซิงเจ๋อจะสร้างปีศาจแมลงตะกละฝูงใหญ่ออกมาได้อีก ถึงตอนนั้นคนพวกนี้ก็ต้องตายลงอยู่ดี !
“ซัวะ !!! ”
ทันใดนั้น เงาสีดำอันหนึ่งพุ่งออกมา กริดกระดูกขาหน้าตวัดลงบนตัวปีศาจแมลงตะกละของตว้านซิงเจ๋อ !!!
ใบหน้าของตว้านซิงเจ๋อซีดขาวทันที คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า จะมีดวงวิญญาณปรากฏขึ้น !
สิ่งที่โจมตีปีศาจแมลงตะกละของตว้านซิงเจ๋อคือ อสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือ !
ก่อนหน้านี้อสูรนกสวนสงครามได้อาศัยความสามารถอำพรางตัวเข้าใกล้ตว้านซิงเจ๋อแล้ว ในตอนที่ตว้านซิงเจ๋อคิดจะหนีไปจึงได้ลงมือโจมตี
ต่อให้ตว้านซิงเจ๋อรับรู้ถึงการมีอยู่ของอสูรนกสวนสงคราม ก็ยากที่จะทำการป้องกันได้ อย่างไรก็ตาม เขาแทบไม่สามารถปล่อยทักษะวิญญาณออกมาได้
ชู่มู่มองไปยังเย้ชิงจือ ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
นัยน์ตาของเย้ชิงจือส่องประกายงดงามเล็กน้อย ในตอนที่ชู่มู่สู้กับจอมตะกละ เย้ชิงจือที่มั่นใจในตัวชู่มู่อย่างมากได้สั่งให้อสูรนกสวนสงครามแฝงตัวข้างตว้านซิงเจ๋อแล้ว !
“จันทร์ สลายหมอกพิษ ! ” เย้ชิงจือออกคำสั่งไปยังวารีจันทรา
วารีจันทราแทบไม่ต้องร่ายคาถา ประกายแสงจันทร์สาดส่องลงจากฟากฟ้า ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด กลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับน้ำไหล
หมอกพิษสลายอย่างรวดเร็ว ดวงวิญญาณทั้งสามตัวของชู่มู่เล็งไปยังตว้านซิงเจ๋อทันที ต่างออกโจมตีไปยังตว้านซิงเจ๋อ !
ดวงวิญญาณของซ่างเหิงกับถิงหลันล้อมอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ตว้านซิงเจ๋อก็ไร้ทางหนี ใบหน้านั้นเริ่มเผยความหวาดกลัวออกมา
“ปล่อย…ปล่อยข้าเถอะ หากไม่ฆ่าข้า อย่าว่าแต่พันล้านเลย ต่อให้เป็นหมื่นล้านข้าก็ให้เจ้าได้” ตว้านซิงเจ๋อรีบกระโดดลงจากดวงวิญญาณของตัวเอง ทำท่าทีอ้อนวอน
ก่อนหน้านี้เจ้านี่ยังทำท่าทีเย่อหยิ่ง ใช้ท่าทีสบประหม่าต่อสู้กับคนทั้งหมดนี้ ตอนนี้เขากลับกลายเป็นขอทานที่หวาดกลัวคนหนึ่ง บางทีตว้านซิงเจ๋อเองก็ไม่คิดว่า ตัวเองจะแพ้ให้กับวัยหนุ่มคนหนึ่ง
“เชื่อข้า เชื่อข้า !!! ก่อนที่จะเข้าคุก ข้าซ่อนสมบัติที่ข้าขโมยมากับตว้านซิงเหอไว้ ฝังไว้ในโลกฟ้า มอบให้กับคนที่ชื่อเจิ้นหมั่นดูแล ของในนั้นมีค่าเท่ากับเมืองหนึ่ง เป็นชุดวิญญาณและวัตถุวิญญาณที่ล้ำค่ามาก” ตว้านซิงเจ๋อพูดอย่างรวดเร็ว กลัวว่า ชู่มู่จะฆ่าเขาในตอนที่กำลังพูดอยู่
“ชู่มู่ พี่น้องตว้านซิงเหอนี้เคยใช้ปีศาจแมลงตะกละปล้อนสมบัติมาจริง และเป็นเพราะเหตุนี้ถึงถูกตำหนักวิญญาณพวกเราไล่ล่า”ซ่างเหิงพูดกับชู่มู่เสียงเบา
ชู่มู่จับจ้องไปยังตว้านซิงเจ๋ออย่างเยือกเย็น กลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “พันล้านนี้ก็พอแล้ว”
ทุกคนที่กำลังจะตายจะใช้วิธีที่บอกว่าตัวเองยังมีประโยชน์ เพื่อร้องขอชีวิต แต่คนที่ชู่มู่คิดว่าต้องตาย ต่อให้สิ่งที่เขาพูดจะเป็นจริงหรือเท็จ ชู่มู่จะไม่ใจอ่อนแน่นอน อย่างไรก็ตาม มีเพียงให้ฝ่ายตรงข้ามตาย ถึงจะไม่เป็นภัยให้ตัวเองในวันข้างหน้า
ดังนั้น ชู่มู่ยังคงออกคำสั่งฆ่าตว้านซิงเจ๋อ ต่อให้เขามีสมบัติที่ซ่อนไว้มากถึงแสนล้าน ชู่มู่ก็ไม่ลังเล
“ซัวะ !!! ”
กรงเล็บของจั้นเย้ฉีกจากด้านหลังของตว้านซิงเจ๋อ กระดูกสันหลังของตว้านซิงเจ๋อถูกจั้นเย้กระชากออก ร่างกายขาดเป็นสองท่อน ล้มลงในกองเลือดพร้อมกับปีศาจแมลงตะกละของเขา
เพื่อแน่ใจว่าเจ้านี่ตายแล้วจริง ๆ ชู่มู่ให้จั้นเย้ตัดหัวของเขาออกมาทั้งเป็น
หลายคนที่ถูกตัดร่างออกอาจไม่ตาย ชู่มู่ไม่อยากให้ตว้านซิงเจ๋อมีชีวิตฟื้นขึ้นมาเพราะความประมาทของตัวเอง อย่างไรก็ตาม หากปีศาจแมลงตะกละของตว้านซิงเจ๋อนี้ก่อร่างขึ้นมาจริง จะสร้างอันตรายให้ชู่มู่อย่างมาก
แหวนนักโทษขั้นเก้าไหลออกจากนิ้วของตว้านซิงเจ๋อ ชู่มู่เก็บมันขึ้นมา ฉีกยิ้มออกมา ได้เงินพันล้านมาอีกแล้ว ตอนนี้ตัวเขามีทั้งหมดสามพันห้าร้อยล้าน นับว่าได้ครึ่งหนึ่งของเป้าหมายแล้ว !
ตว้านซิงเจ๋อตายลง พันแม่สูญเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ทันที
ในไม่ช้า สิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงถูกดวงวิญญาณของคนทั้งหมดล้อมโจมตี สุดท้ายได้ตายลงท่ามกลางเปลวไฟร้อนระอุนี้ กลายเป็นเถ้าถ่าน
“นักโทษขั้นเก้า นี่น่าจะเป็นเจ้าคนที่มีระดับความยากสูงสุดในด่านที่แปดนี้แล้ว ฮะฮะ ถูกพวกเราฆ่าตายจนได้ ! ” ซ่างเหิงพูดอย่างสบายใจ
ตอนที่ตว้านซิงเจ๋อปรากฏตัวขึ้น ซ่างเหิงยังคิดว่าตครั้งนี้จะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง กลับไม่คิดว่าชู่มู่จะเผยความสามารถที่น่าตกใจแบบนี้ออกมา ฆ่าตว้านซิงเจ๋อที่เป็นเกียรติสูงสุดนี้ตายลง !
หลังจากฆ่าพันแม่แล้ว ถิงหลันเองก็สบายใจไม่น้อย เธอเกลียดตว้านซิงเจ๋อและดวงวิญญาณของเขาอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่ถูกตว้านซิงเจ๋อจับจ้อง ทุกครั้งที่ถูกมอง ถิงหลันจะรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
แน่นอนว่า หลังจากผ่านการต่อสู้สองครั้ง ถิงหลันเกิดความสะเทือนใจไม่น้อย เป็นเพราะชู่มู่นั่นเอง
“ชิงจือ เขายังซ่อนความลับไว้มากเท่าไรเหรอ” ถิงหลันถามเสียงเบา
ถิงหลันก็รู้ว่าชู่มู่ไม่ชอบพูด ถ้าถามเขาโดยตรง คาดว่าชู่มู่ก็แค่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไร
“ข้าก็ไม่เข้าใจทั้งหมด แต่รู้ว่าเขามักจะทำอะไรที่ไม่ปกติ ดวงวิญญาณของเขาก็ไม่มีตัวใดที่ปกติเหมือนกัน” เย้ชิงจือมยิ้มเล็กน้อย
จิ้งจอกเก้าหางอัคคีร้ายมงกุฎเพลิงที่มีทักษะหลายกลุ่ม มั่วเย้ที่เพิ่มความสามรถขั้นหนึ่งได้แล้วยังมีการแตกหักงอกใหม่หกครั้ง รวมถึงมารนิรยขาวจักรพรรดิที่แข็งแกร่งยิ่ง ดวงวิญญาณหลักทั้งสามตัวของชู่มู่นี้ผิดปกติอย่างมาก เย้ชิงจือใช้คำว่าไปกติในการบรรยายนับว่าดีแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเขาสู้กับคนที่อยู่ในอันดับที่หนึ่งของอำนาจต่าง ๆ ได้แล้ว ทำไมข้ารู้สึกว่าเขายังไม่ได้เผยความสามารถทั้งหมดออกมา” ถิงหลันถามต่อ
ถิงหลันรู้จักชู่มู่มาหนึ่งปีแล้ว แม้จะคุยกันไม่กี่ครั้ง แต่เธอเห็นความสามารถของชู่มู่ที่เพิ่มขึ้นตลอด
หนึ่งปีนี้ ความสามารถของชู่มู่เพิ่มขึ้นเร็วจนน่ากลัวอย่างมากแล้ว แต่ที่คาดไม่ถึงคือ ดวงวิญญาณที่ถิงหลันเห็นก่อนหน้านี้ กลับไม่ใช่ดวงวิญญาณหลักของเขา ต่อให้ด่านแรก ๆ ของการประลองฟ้าดิน เขาก็ไม่เคยอัญเชิญออกมา จนถึงด่านท้ายนี้เขาถึงเผยท่าทีแท้จริงออกมา
ผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวที่ว่า จากมุมมองของถิงหลัน ชู่มู่เป็นคนที่ซ่อนได้มิดชิดมากที่สุด คาดว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งอำนาจต่างๆไม่คิดว่าชู่มู่ที่ไม่อยู่ในรายชื่อบุคคลอันตรายของพวกเขา ในภาวะที่เผยความสามารถออกมาก่อนหน้านี้ กลับได้ซ่อนความสามารถเอาไว้ด้วย!
เย้ชิงจือส่ายหัวเบา ๆ ความจริงเย้ชิงจือก็ไม่รู้ว่าความสามารถของชู่มู่อยู่ในระดับใดแล้ว เพราะตั้งแต่การประลองฟ้าดิน เธอยังไม่เห็นดวงวิญญาณหลักทั้งสามตัวของชู่มู่ระเบิดพลังทั้งหมดออกมา
“อู อู อู อู”
ทันใดนั้น มั่วเย้ส่งเสียงร้องขึ้น เหมือนกำลังจะบอกบางอย่างให้ชู่มู่
ชู่มู่เก็บแหวนที่ตว้านซิงเจ๋อเหลือไว้ จับจ้องไปยังทิศทางที่มั่วเย้บอกกับตัวเอง
ในไม่ช้า ดวงวิญญาณหมวดปีกตัวหนึ่งปรากฏในสายตาของชู่มู่
ดวงวิญญาณที่บินมาคือเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงที่มีขนสีทองเหลือง ด้วยการสาดส่องของแสงอาทิตย์ ตอนที่เหยี่ยวตัวนี้กางปีกออก ยิ่งเต็มไปด้วยพลัง
ผู้คุมดวงวิญญาณหลายคนมีความชื่นชอบต่อเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะรูปร่างภายนอกสูงส่งสง่างามนั้น อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงมีความสามารถที่จะบินเหินฟ้าได้อย่างที่ผู้คุมดวงวิญญาณทั้งหมดหวังไว้
และแล้ว ชู่มู่กลับไม่ชอบเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงเท่าไร สาเหตุหลักเป็นเพราะเซี่ยกว่างหานเองมีเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงตัวหนึ่ง
ในตอนที่อยู่ในบ้านแห่งภูตวิญญาณ เซี่ยกว่างหายได้ขี่เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงหนีไป ชู่มู่เป็นคนปกติคนหนึ่ง ถ้ามีคนที่เกลียดอย่างมาก จะเกลียดดวงวิญญาณของเขาคนนั้นไปด้วย
“ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองมาแล้ว พอดีพวกเราอยู่ในด่านที่แปดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร ไปก่อนแล้ว” ซ่างเหิงมองขึ้นไป แล้วพูดขึ้น
ถิงหลันตกใจไม่น้อย ต้องการรักษาตัวพอดี ดังนั้น เธอไม่คิดที่จะสู้ต่อไป คิดจะออกจากการประลองฟ้าดินนี้พร้อมกับผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง
“อูอูอู อูอูอู”
ทันใดนั้น เสียงของมั่วเย้แหลมขึ้น !
ดวงตาของมันจับจ้องไปยังเหยี่ยวอาทิตย์อัสดงและชายเกราะสีทองที่ขี่เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงตัวนั้น แยกเขี้ยวออก เผยท่าทีไม่เป็นมิตรอย่างที่สุด !
“มั่วเย้ ทำไมเหรอ” ชู่มู่ถามอย่างไม่เข้าใจ
“อู อู อู อู !!!” มั่วเย้รีบบอกกลิ่นที่ตัวเองรับรู้ให้กับชู่มู่รู้
กลิ่นนี้มั่วเย้ไม่มีวันลืมลงได้ นี่เป็นเจ้าคนที่บังคับให้มันเลิกสัญญาวิญญาณกับชู่มู่ในตอนนั้น !
สีหน้าของชู่มู่เปลี่ยนไปทันที ไม่คิดว่าคนนี้จะปรากฏตัวด้วยตำแหน่งของผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง !
เหยี่ยวอาทิตย์อัสดงที่เขาขี่ตัวนี้เป็นจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ ชู่มู่ก็รู้ว่า ดวงวิญญาณที่เขาอัญเชิญตอนต่อสู้ยังไม่นับว่าเป็นดวงวิญญาณรองด้วยซ้ำ อีกทั้งเซี่ยกว่างหานผ่านเวลาที่ได้รับบาดเจ็บนานแล้ว เวลานานขนาดนี้ ความสามารถของชู่มู่ที่เพิ่มขึ้น ความสามารถของเขาไม่มีทางที่จะไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ในตอนที่ยังไม่รู้ความสามารถของเขาแล้วสู้กับเขาเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมากแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือ เขากลับกล้าปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสี่คนนี้ เท่ากับว่าเขาไม่หวาดกลัวอะไรทั้งนั้น !
“มั่วเย้ ใจเย็น ! ” ชู่มู่พูดกับมั่วเย้ ให้มั่วเย้ซ่อนอารมณ์ไว้ก่อน
ดวงวิญญาณกลุ่มจิ้งจอกมีความสามารถด้านการสะกดรอยตามกลิ่น โดยเฉพาะจะจำกลิ่นไอได้ มั่วเย้จำกลิ่นของเซี่ยกว่างหานได้ตั้งนานแล้ว ต่อให้เขาซ่อนกลิ่นอย่างไร แค่เขาเข้าใกล้ จะรับรู้ได้ทันที !
“หรือว่าจะหลบได้ เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้โจมตีโดนแล้ว ! ” ตว้านซิงเจ๋อจ้องไปยังจั้นเย้ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปแล้ว
การโจมตีของปีศาจแมลงตะกละถ้าโดนดวงวิญญาณตัวใดในสนาม จะต้องตายไม่ก็บาดเจ็บทันที ต่อให้เป็นจั้นเย้เองจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยได้อย่างไร !
ในตอนนี้ ตว้านซิงเจ๋อออกคำสั่งไปยังปีศาจแมลงตะกละอีกครั้ง เขาไม่เชื่อว่า จอมตะกละจะไม่สามารถฆ่าจักรพรรดิขั้นกลางตัวหนึ่งได้ !
ปีศาจแมลงตะกละพลิกตัวอย่างรวดเร็ว ความเร็วเพิ่มขึ้นกะทันหัน ในตอนที่จั้นเย้ยังไม่ทันได้ตั้งตัวใด ๆ กรงเล็บตวัดลงบนตัวจั้นเย้อีกครั้ง !
ครั้งนี้ ตว้านซิงเจ๋อจ้องอย่างตั้งใจ เขารู้สึกว่า ครั้งแรกแค่หลบได้อย่าบังเอิญ แต่ครั้งที่สองนี้ มันไม่มีทางมีชีวิตรอดไปได้แล้ว !
“ซัวะ !!! ”
กรงเล็บเย็นเยียบพาดผ่าน เล็งไปบนตัวจั้นเย้อย่างแม่นยำ
และแล้ว หลังจากการโจมตีดุร้ายแบบนี้ของจอมตะกละ ยังคงทิ้งรอยตื้นบนตัวจั้นเย้เท่านั้น ทำลายการป้องกันไม่ได้แม้แต่น้อย !
พลังชีวิตของจั้นเย้แข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณทั่วไปถึงหกเท่า แผลแบบนี้เหมือนแค่ผิวถลอกธรรมดาเท่านั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อมันแม้แต่น้อย !
ครั้งนี้ ตาของตว้านซิงเจ๋อเบิกกว้างกว่าเดิม !
การป้องกันของมั่วเย้ตัวหนึ่งไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ได้ ดวงวิญญาณตัวนี้ไม่สมเหตุสมผลเกินไปแล้ว !!!
ถิงหลัน ซ่างเหิง เย้ชิงจือต่างเห็นจอมตะกละที่โจมตีไปยังจั้นเย้ของชู่มู่ถึงสองครั้ง พวกเขาต่างรู้ว่า พลังชีวิตของจั้นเย้ดื้อดันอย่างมาก การโจมตีปกติของจอมตะกละไม่มีทางฆ่าจั้นเย้ได้
แม้จะฆ่าจั้นเย้ไม่ได้ แต่ทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ อย่างไรก็ตาม การโจมตีของจอมตะกละตัวนี้สูงกว่าดวงวิญญาณของพวกเขาอย่างมาก แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ถูกจอมตะกละจอมตีถึงสองครั้ง จั้นเย้กลับไม่เป็นอะไร สายตาที่เฉยเมยกำลังจับจ้องไปยังจอมตะกละที่กระโดดไปมารอบตัวเอง !
นั่นเป็นจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบ !
สายตาของจั้นเย้นั้น เหมือนกำลังมองดูเห็บที่กระโดดโลดเต้นตรงหน้าตัวเอง ทำท่าทีเพิกเฉยอย่างมาก!
“ซัวะ !!! ”
“ซัวะ !!! !”
การโจมตีต่อเนื่องสี่ห้าครั้ง กรงเล็บของปีศาจแมลงตะกละก่อผลบนตัวจั้นเย้ในที่สุดแต่ว่า การโจมตีแบบนี้ ต้องให้ปีศาจแมลงตะกละปล่อยทักษะโจมตีอย่างน้อยสิบอันถึงจะทำให้จั้นเย้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่จั้นเย้มีการแตกหักงอกใหม่ถึงหกครั้ง
ถ้าอย่างนั้น ปีศาจแมลงตะกละของตว้านซิงเจ๋อต้องปล่อยทักษะออกมาหกสิบอันถึงจะฆ่าจั้นเย้ได้…
อีกทั้ง นี่ยังไม่คำนึงถึงถึงภาวะที่เพิ่มความสามารถด้วยดวงใจแห่งมังกรหาญและการเยียวยาตัวเองด้วย
“ตัวตลกของเจ้าสนุกพอหรือยัง” ชู่มู่ฉีกยิ้มเยือกเย็นออกมา
ใบหน้าของตว้านซิงเจ๋อไม่มีท่าทีสนุกใด ๆ ดวงตาสีเหลืองนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจ !
“เกราะวิญญาณขั้นเก้า…รุ่นวัยหนุ่มกลับมีสมบัติที่ล้ำค่าแบบนี้ ! ” ในที่สุดตว้านซิงเจ๋อก็มองออก ทุกครั้งที่เขาให้จอมตะกละของเขาโจมตี จะเห็นประกายแสงดาวที่แทบจะมองไม่เห็น และเป็นเพราะการป้องกันชั้นนี้ ทำให้การโจมตีของปีศาจแมลงตะกละของเขาเสียประโยชน์ไป
“หึ แล้วทำไม เจ้าพวกโง่ คิดจะฆ่าจอมตะกละของข้าเหรอ ค่อย ๆ ทรมาน มั่วเย้ของเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี อีกทั้ง เจ้าคิดว่าข้าจะเสียเวลากับมั่วเย้ตัวนี้ของเจ้าเหรอ มองดูเพื่อนพ้องของเจ้าตายไปสะ ! ” ตว้านซิงเจ๋อพูดอย่างเยือกเย็น
ในเมื่อฆ่ามั่วเย้ตัวนี้ให้ตายไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป้าหมาย ในสนามนี้ไม่มีดวงวิญญาณตัวใดที่ขวางจอมตะกละของเขาได้ !
ชู่มู่ยิ้มมุมปาก เผยท่าทีไม่แยแสออกมา
ในตอนนี้ มั่วเย้กับปีศาจนักรบไม้ของชู่มู่ประจำตำแหน่งแล้ว ดวงตาคู่นั้นของมั่วเย้เล็งไปยังจอมตะกละตัวนี้ตลอดเวลา รอให้ชู่มู่ออกคำสั่ง
“ปีศาจไม้ ! ” ชู่มู่ออกคำสั่ง
รากไม้ที่ฝังใต้ดินของปีศาจนักรบไม้พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รากไม้พวกนี้ไม่ได้ไล่ตามจอมตะกละไป แต่ไขว้กันบริเวณที่จอมตะกละนี้จะเคลื่อนที่ไป !
จอมตะกละต้องการจุดที่ใช้เคลื่อนที่ต่อเนื่อง แต่ตำแหน่งเหล่านี้ต่างเต็มไปด้วยรากพิษของปีศาจนักรบไม้ ถ้าเหยียบลงไป ฝ่าเท้าจะถูกแทงทะลุแน่นอน !
การก้าวเดินถูกขัดขวาง จอมตะกละจำต้องเปลี่ยนทิศทาง และแล้ว ไม่ว่าความเร็วของมันจะไวมากเพียงใด ฝีเท้าของมันจะแปลกประหลาดเพียงใด ปีศาจนักรบไม้มักจะวางรากหนามก่อนได้ การเคลื่อนไหวของจอมตะกละถูกไล่ต้อนตอด
“โซ โซ !!! ”
มั่วเย้กลายเป็นประกายเงินอย่างหนึ่ง ในวินาทีที่จอมตะกละหยุดการเคลื่อนไหว ได้กลายเป็นเงาห้าอัน !!!
ตำแหน่งการโจมตีของเงาทั้งห้าแตะต่างกันหมด พูดได้ว่า ตำแหน่งทั้งห้านี้ต่างเป็นจุดที่ปีศาจแมลงตะกละซ่อนตัวได้ ตอนนี้ถูกมั่วเย้ปิดกั้นไว้จนหมด จอมตะกละทำได้แค่ใช้กรงเล็บยาวของมันปิดหัวของตัวเอง ทนการโจมตีของมั่วเย้ !
การโจมตีของมั่วเย้ไม่เบา ส่วนการป้องกันของปีศาจแมลงตะกละไม่เท่าไร หลังจากหนึ่งในกรงเล็บมงกุฎเพลิงโจมตีโดน ขาหน้าและร่างกายของจอมตะกละนี้เกิดรอยเล็บยาวทันที มงกุฎเพลิงพุ่งเข้าไปในร่างกายของปีศาจแมลงตะกละนี้ไปตามแผลอย่างรวดเร็ว
“ซึ ซึ !!! ” ร่างกายของจอมตะกละถูกแผดเผา ส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันที บิดตัวอย่างบ้าคลั่ง หลบการโจมตีต่อเนื่องของมั่วเย้ออก
“จั้นเย้ ! ” ชู่มู่ออกคำสั่งต่อจั้นเย้
จอมตะกละเพิ่งหลบได้ จั้นเย้รออยู่บริเวณที่มันลุกขึ้นแล้ว
เกราะของจั้นเย้ได้กลายเป็นสีดำล้วน ในตอนที่มันเริ่มรวมพลัง ลายเส้นปีศาจอสูรเขาเกราะบนตัวส่องประกายอย่างเห็นได้ชัด เป็นประกายลึกลับ บรรพกาล
ประกายสาดส่อง รวมบนกรงเล็บของจั้นเย้ พลังของหมวดอสูรทวีคูณขึ้น !
หลังจากผ่านการต่อสู้ในเหวตะขาบนั้น ลายเส้นปีศาจอสูรเขาเกราะของจั้นเย้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลายเส้นปีศาจอสูรเขาเกราะนี้ยังคงอยู่ในภาวะกำลังฟื้นขั้นต้น แต่การฟื้นในขั้นต้นนี้กลับทำให้พลังโจมตีของจั้นเย้เกิดผลที่แข็งแกร่งยิ่งแล้ว !
กริดแสงยมทูต !!!
ทักษะต่อสู้ขั้นแปด เพียงแค่ผลของทักษะอย่างเดียว ก็ทำให้พลังโจมตีของจั้นเย้อยู่ในขั้นเก้าระยะกลางแล้ว บวกกับผลของลายเส้นปีศาจ การโจมตีนี้ของจั้นเย้ มีพลังเข้าใกล้ขั้นเก้าระยะสุดท้าย !!!
ปีศาจแมลงตะกละเป็นดวงวิญญาณที่มีพรสวรรค์ความเร็วสูง ต่อให้อยู่ในลักษณะสิบแต่การป้องกันอย่างมากก็อยู่แค่ขั้นเก้าระยะกลาง การโจมตีนี้ของจั้นเย้ก็พอที่จะฉีกร่างกายของมันออกได้ !!!
กริดแสงยมทูตมีเพียงอันเดียว ราวกับประกายแสงที่สดส่องในยามเช้า เริ่มจากประกายเล็กน้อยก่อน ตามด้วยการกลายเป็นกริดยาว ค่อย ๆ กวาดไปยังปีศาจแมลงตะกละ
การโจมตีนี้ความเร็วไม่สูงมาก แต่ในระยะห่างแบบนี้ ปีศาจแมลงตะกละแทบไม่สามารถหลบได้ !
“ซัวะ !!! ”
กริดแสงพาดผ่าน ผ่าร่างกายของจอมตะกละออกอย่างไร้สิ่งกีดขวาง ไม่เพียงแต่ตัดผิวป้องกันของมันออก แต่ยังตัดกระดูกของมันไปหลายอัน !!!
ร่างกายของปีศาจแมลงตะกละที่ถูกโจมตีคดโค้งอย่างหนัก ถูกรอยแยกยักษ์ที่แตกออกเพราะกริดแสงยมทูตนี้กดลงใต้ดิน !
เห็นปีศาจแมลงตะกละได้รับบาดเจ็บสาหัส สีหน้าของตว้านซิงเจ๋อหมองคล้ำทันที !
ในตอนนี้เขายากที่จะคงความนิ่งได้แล้ว เพราะเขาแทบไม่รู้ว่า เจ้าเด็กตรงหน้าคนนี้ควบคุมการเคลื่อนไหวของจอมตะกละได้อย่างไร !
หลังจากจั้นเย้โจมตีจอมตะกละแล้ว ต่อให้ยังมีพลังต่อสู้อยู่ แต่ไม่ว่ามันจะเคลื่อนที่ไปทางใด ก็จะถูกดวงวิญญาณทั้งสามตัวของชู่มู่โจมตีต่อเนื่อง !
ตว้านซิงเจ๋อย่อมไม่รู้ ชู่มู่จะมีความสามารถเนตรลับที่ควบคุมความเร็วแบบนี้ได้ จอมตะกละจักรพรรดิขั้นกลางถูกควบคุมเอาไว้ ตว้านซิงเจ๋อเองถึงรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดเอาไว้ !
ก่อนหน้านี้ชู่มู่เคยพูดเอาไว้ จะจบการต่อสู้นี้ในหนึ่งนาที ตอนนี้เวลาหนึ่งนาทีกำลังจะหมดลง และจอมตะกละกลับใกล้สิ้นใจแล้ว ในเวลาหนึ่งนาทีนี้ ดวงวิญญาณทั้งสามตัวของชู่มู่จะคาดการณ์ทักษะล่วงหน้าได้หมด ความได้เปรียบด้านความเร็ว บวกกับความสามารถในการอำพรางตัว กลับทำให้จอมตะกละนี้ถูกขยี้ !
“ชู่เฉิง มีความสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าเหรอ มิฉะนั้น ดวงวิญญาณทุกตัวของเขาเหมือนจะปล่อยทักษะออกมาอย่างไร้สาเหตุ แต่จอมตะกละตัวนั้น นั่นเป็นจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบเชียว ทำไมถึงทนต่อการโจมตีไม่ได” ซ่างเหิงมองไปยังปีศาจแมลงตะกละที่ใกล้ตายตัวนั้นอย่างอึ้ง
เวลาหนึ่งนาทีก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนกลัวจนต้องถอยหลังไป ยากที่จะต้านทานการโจมตีใด ๆ ของจักรพรรดิขั้นกลางตัวนี้ แต่หนึ่งนาทีหลังจากนั้น จักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบที่แข็งแกร่งจนชวนขนลุกตัวนี้กลับถูกมั่วเย้ของชู่มู่เหยียบไว้ใต้เท้า ส่งเสียงซึซึเบา ๆ ทำท่าทีอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
ถิงหลันกลับมองไปยังชู่มู่ เธอพบเห็นดวงตาลึกลับคู่นั้นของชู่มู่
เธอจำทักษะนี้ได้ นี่เป็นทักษะหมวดลับที่ชู่มู่เลือกจากห้องสมุดศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น แต่ว่าเธอไม่คิดว่า ทักษะหมวดลับที่ไร้ประโยชน์จะสร้างผลนี้ได้ถึงระดับนี้ !
ต้องรู้ว่าจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบนี้แข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณของพวกเขาถึงสี่ขั้น สิ่งมีชีวิตแบบนี้แทบจะเป็นเครื่องมือฆ่าล้างในขั้นสอง แทบไม่มีใครต้านทานได้ !
“นี่…นี่เป็นทักษะอะไร ต้องเป็นทักษะอะไรแน่นอน มิฉะนั้น เจ้าไม่มีทางรู้การเคลื่อนไหวของดวงวิญญาณข้าได้แน่นอน !!! ” ตว้านซิงเจ๋อพูดด้วยความโกรธ
ปีศาจแมลงตะกละจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบนี้คือตัวเองของตว้านซิงเจ๋อ ที่ทำให้เขาเสียสติคือ จอมตะกละที่หล่อรวมชีวิตทั้งหมดของปีศาจแมลงตะกละนี้ กลับถูกฆ่าตายในเวลาหนึ่งนาทีนี้ !!!
“หัวราคาพันล้านของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว ! ” ชู่มู่พูดอย่างเยือกเย็น
หลังจากพูดจบ ดวงตาคู่นั้นของชู่มู่เผยประกายดั้งเดิมออกมา และแล้วท่ามกลางดวงตาสีดำนี้กลับเต็มไปด้วยความอาฆาตที่เยือกเย็น !
พันแม่เองมีพลังต่อสู้อยู่แล้ว แต่ความสามารถแข็งแกร่งที่สุดของพันแม่คือสร้างปีศาจแมลงตะกละ ทันทีที่ปีศาจแมลงตะกละตัวแรกถูกฆ่าตาย ตว้านซิงเจ๋อจะใช้อะไรมารับมือกับผู้คุมดวงวิญญาณสี่คนนี้
สีหน้าของตว้านซิงเจ๋อแย่มาก พันแม่มีพลังต่อสู้ก็จริง แต่แทบไม่สามารถสร้างอันตรายต่อพวกเขาได้อย่างปีศาจแมลงตะกละ ต่อให้พันแม่สามารถรับมือหนึ่งต่อสิบ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับผู้คุมดวงวิญญาณที่ปล่อยทักษะวิญญาณออกมาโดยตรง !
จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะสิบ !!!
การรวมตัวของผู้นำชั้นยอดสี่ตัว กลับกลายเป็นจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบตัวหนึ่ง นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถแข็งแกร่งกว่ามั่วเย้ถึงสองขั้น !!!
นอกจากนี้ ความสามารถในการอำพรางตัวของปีศาจแมลงตะกละจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบอยู่ในขั้นสุดแน่นอน ถ้าควบคุมมันไม่ได้ละก็ ดวงวิญญาณของคนอื่นจะถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีแน่นอน !
“ผู้นำชั้นยอดสี่ตัวอย่างมากก็รวมกันเป็นได้แค่ปีศาจแมลงตะกละจักรพรรดิขั้นต่ำ ทำไมถึงเป็นจักรพรรดิขั้นกลางได้” เย้ชิงจือมองไปยังจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบนั้นอย่างประหลาดใจ
นี่เป็นสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่ฆ่าอสูรนกสวนสงครามในเสี้ยววินาทีได้ด้วย ถ้าถูกเพ่งเล็งละก็ จะตายอย่างแน่นอน !
“เจ้านี่ไม่ได้รวมแค่ผู้นำชั้นยอดสี่ตัว หลังจากที่ปีศาจแมลงตะกละผู้นำขั้นสูงก่อนหน้านี้ตายลง ก็เท่ากับว่าถูกพันแม่นี้รวมไว้บนปีศาจตัวนี้เช่นกัน พูดได้ว่า นี่เป็นการรวมตัวของปีศาจแมลงตะกละยี่สิบกว่าตัว และนี่เป็นสาเหตุที่เจ้านี่ต้องให้พวกเจ้าทั้งหมดฆ่าปีศาจแมลงตะกละผู้นำขั้นสูงทั้งหมดถึงอัญเชิญราชันปีศาจแมลงตะกละนี้ออกมา” เสียงของผู้เฒ่าหลีดังขึ้น
ถ้าความสามารถทั้งหมดซ้อนทับด้วยกัน จะสร้างดวงวิญญาณที่น่ากลัวยิ่งกว่าออกมา พลังต่อสู้ของมันจะน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่กระจายเป็นยี่สิบกว่าตัวอีก เห็นได้จากปีศาจแมลงตะกละจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะสิบเหล่านี้ เพราะปีศาจนี้อาศัยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบเท่าได้ ฆ่าล้างดวงวิญญาณของพวกเขา !
“พาดวงวิญญาณของพวกเจ้าถอยไปด้านหลัง ! ” ชู่มู่พูดกับทั้งสามคนอย่างจริงจัง
ผู้คนไม่กล้าลังเล รีบให้ดวงวิญญาณรวมตัวเข้าด้วยกัน ถอยไปด้านหลังสนามต่อสู้ ดวงวิญญาณลักษณะเก้าของพวกเขาอ่อนกว่าปีศาจแมลงนี้หนึ่งลักษณะเต็ม ๆ ทันทีที่ถูกเพ่งเล็งจะตายลงแน่นอน !
ในตอนที่คนทั้งหมดถอยไป ปีศาจแมลงตะกละตัวนั้นเคลื่อนที่แล้ว !
ร่างของมันเอียงเล็กน้อย ไม่ส่งเสียงใด ๆ ตามด้วยลมรุนแรงที่พัดผ่าน เกิดเป็นรอยเลือดลายเส้นบนตัวทันที !
เป้าหมายการโจมตีของปีศาจแมลงตะกละตัวนี้ไม่ใช่ชู่มู่ เขามีมั่วเย้กับปีศาจนักรบไม้คอยปกป้องอยู่ ปีศาจแมลงตะกละใช่ว่าจะทำได้
สิ่งที่มันโจมตีคือ อสูรเชิญหงส์ของถิงหลัน นอกจากชู่มู่แล้ว ไม่มีใครมองเห็นเป้าหมายการโจมตีของปีศาจนี้ +!!
ตอนนี้ชู่มู่แทบไม่ทันจะได้ช่วยเหลือใคร อย่างไรแม้แต่มั่วเย้ยังไม่สามารถตามความเร็วของปีศาจแมลงตะกละได้
ในตอนนี้ ชู่มู่ได้ร่ายคาถาขึ้น เก็บภูตพันวายุที่ยากจะก่อประโยชน์ในสนามต่อสู้นี้เข้าช่องว่างดวงวิญญาณ
ชู่มู่ร่ายคาถขึ้น รอบตัวก่อเป็นกลิ่นไอความมืดเข้มข้นออกมาอย่างช้า ๆ !
กลิ่นไอมืดนี้ปกคลุมข้างตัวชู่มู่อย่างช้า ๆ ก่อเป็นลายเส้นดวงวิญญาณสีดำอันหนึ่งใต้เท้าชู่มู่ !
ท่ามกลางลายเส้นสีดำ มั่วเย้ที่มีเกราะสีหมึกทั้งตัวยืนอยู่ตรงนั้นอย่างทรงพลัง ดวงตาคู่นั้นของมันจับจ้องไปยังปีศาจแมลงตะกละที่โจมตีไปยังอสูรเชิญหงส์
ต่อให้จั้นเย้ไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของปีศาจแมลงตะกละได้ แต่มันที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อยกลับสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวและการโจมตีของปีศาจนั้นได้ !
ความเร็วของปีศาจแมลงตะกละไวเกินไป อสูรเชิญหงส์ไม่ทันได้ทำการเตรียมตัวใด ๆ กรงเล็บยาวนั้นได้ฉีกเกราะแสงออก เลือดสดพุ่งออกมาทันที
การโจมตีของปีศาจแมลงตะกละเพียงพอที่จะให้ตายในครั้งเดียวได้ โชคดีที่เย้ชิงจือได้เพิ่มการป้องกันให้อสูรเชิญหงส์ ทำให้อสูรเชิญหงส์มีชีวิตรอดมาได้!
การโจมตีของปีศาจแมลงตะกละไม่ได้ทำเพื่อฆ่าอสูรเชิยหงส์ แต่ตำแหน่งที่อสูรเชิญหงส์อยู่ขวางเส้นทางที่มันจะฆ่าดวงวิญญาณเสริมมากมายของเย้ชิงจืออยู่
หลังจากอสูรเชิญหงส์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ปีศาจแมลงตะกละเปลี่ยนทิศทางทันที พุ่งตรงไปยังเหล่าดวงวิญญาณเสริมของเย้ชิงจือ !
ไม่ว่าจะเป็นวารีจันทรา ภูตไม้หมุน หรือจะเป็นกระดิ่งแก้วตา ทันทีที่ถูกปีศาจแมลงตะกละโจมตี จะต้องตายในเสี้ยววินาทีแน่นอน อีกทั้งบอกได้ว่า ในเวลาหนึ่งนาที ถ้าไม่ควบคุมความเร็วกับพลังโจมตีอันน่ากลัวของปีศาจแมลงตะกละนี้ละก็ ดวงวิญญาณเสริมทั้งสามตัวของเย้ชิงจืออาจถูกฆ่าตายหมด !
สีหน้าของชู่มู่เคร่งเครียดมากขึ้น เดิมเขาคิดจะโจมตีไปยังตว้านซิงเจ๋อ แบบนี้อย่างน้อยจะบังคับให้เจ้านี่ดึงตัวปีศาจแมลงตะกละกลับมา
แต่ว่า ข้างตัวตว้านซิงเจ๋อยังมีพันแม่ ตัวมันเองก็มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว อีกทั้งตว้านซิงเจ๋อเองก็เจ้าเล่ห์อย่างมาก ถ้าให้เขาหนีไปได้ละก็ เย้ชิงจือจะมีอันตรายถึงชีวิตแล้ว
“ชู่มู่…” เย้ชิงจือมองไปยังชู่มู่จากที่ไกล ปีศาจแมลงตะกละเข้าใกล้แล้ว แต่เธอไม่เห็นท่าทีของปีศาจนี้แม้แต่น้อย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปดวงวิญญาณของเธอจะถูกฆ่าตายหมดจริง ๆ เธอจำต้องขอความช่วยเหลือจากชู่มู่
“อย่าหวาดกลัว ต้านทานการโจมตีครั้งหนึ่งของมัน” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับเย้ชิงจือ
หลังจากพูดจบ ชู่มู่กวาดตามองไปยังมั่วเย้ จั้นเย้ และปีศาจนักรบไม้ พูดกับดวงวิญญาณทั้งสามตัวนี้ว่า
“จัดการมัน ในเวลาหนึ่งนาที ! ”
ดวงวิญญาณทั้งสามตัวต่างพยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น !
“ฮะฮะ ฮะฮะฮะ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าอะไร…ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม จัดการดวงวิญญาณของข้าในหนึ่งนาทีงั้นหรือ” ทันใดนั้น ตว้านซิงเจ๋อหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา
เวลาหนึ่งนาที ปีศาจแมลงตะกละของตว้านซิงเจ๋อฆ่าดวงวิญญาณสามตัวของเย้ชิงจือได้ ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่นาที ดวงวิญญาณของคนอื่นก็คงถูกจอมตะกละของตัวนี้ฆ่าตายหมด อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องตายแน่นอน แต่เจ้าเด็กตรงหน้ากลับบอกว่า จะจัดการจอมตกละของตัวเองในเวลาหนึ่งนาที นี่เป็นเรื่องที่น่าสมเพชเกินไป !
“เจ้าเด็กอวดดี สามนาที ข้าให้เวลาเจ้าสามนาที ถ้าเจ้าสามารถทำให้จอมตะกละของข้าไม่แตะต้องแฟนตัวน้อยของเจ้าในเวลาสามนาทีนี้ ข้าตว้านซิงเจ๋อสาบานได้ หลังจากฆ่าดวงวิญญาณทั้งหมดของพวกเจ้าแล้ว ข้าจะไม่แตะต้องตัวเธอ…” ตว้านซิงเจ๋อพูดพร้อมหัวเราะออกมา
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเยือกเย็นอย่างมาก พร้อมพูดต่อว่า “แต่ถ้าทำไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นต้องตอบแทนอย่างอนาถให้เจ้า ! ”
ชู่มู่ร่ายคาถาอย่างเฉยเมย เขาไม่สนใจคำพูดใด ๆ ของตว้านซิงเจ๋อ
ชู่มู่รู้ว่า ถ้าใช้สิบสามอัคคี เวลาขับร่ายสองวินาทีนี้ ตว้านซิงเจ๋อคงหนีไปนอกเขตโจมตีแล้ว
ครั้งนี้ ชู่มู่จะฆ่าจอมตะกละ อีกทั้งจำต้องจัดการในเวลาหนึ่งนาที เพราะทักษะนี้อยู่ได้แค่หนึ่งนาที !
เนตรลับ !!!
ทักษะนี้แทบไม่ต้องขับร่ายนาน ดวงตาของชู่มู่เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นสีเงินลึกลับ ดวงตาที่ลึกลับนี่เริ่มเล็งไปยังตำแหน่งของปีศาจแมลงตะกละ
เนตรสะกด !!!
ทักษะหมวดลับขั้นแปด ! การปล่อยทักษะนี้แทบไม่ต้องร่ายคาถา ในสายตาของชู่มู่ เขาเห็นปีศาจแมลงตะกละแล้ว ในตอนนี้ปีศาจแมลงตะกละเคลื่อนที่ช้ามาก ราวกับการคลานของสัตว์ปกติที่กำลังโจมตี
และผลของสายตาพิเศษนี้ได้ส่องเข้าไปในตาของดวงวิญญาณทั้งสามตัวของชู่มู่ ดวงตาของมั่วเย้ จั้นเย้ ปีศาจนักรบไม้ ปกคลุมด้วยสีลึกลับพิเศษนี้หมด
ในสายตาของพวกมัน การเคลื่อนไหวของปีศาจแมลงตะกละนี้เชื่องช้าอย่างมาก !
…
เย้ชิงจือไม่ใช่ผู้คุมดวงวิญญาณที่ไร้ทางสู้แบบนั้น ตอนที่อสูรนกสวนสงครามของเธออยู่ในภาวะหยุดนิ่งจะทำการอำพรางได้เช่นกัน อาศัยตอนที่ตว้านซิงเจ๋อยังไม่พบอสูรนกสวนสงครามของเธอ เย้ชิงจือให้อสูรนกสวนสงครามทำการโจมตีปีศาจแมลงตะกละในวินาทีที่มันพุ่งออก ช่วยวารีจันทราของเธอได้สำเร็จ
ชู่มู่เคยบอกไว้ ต้านทานการโจมตีเดียวก็พอแล้ว ความจริงเย้ชิงจือก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะต้านทานการโจมตีครั้งที่สองของปีศาจนักรบไม้แล้ว
ในที่สุด จอมตะกละเข้าใกล้อีกครั้ง ความสามารถอำพรางตัวและความเร็วอันน่ากลัวนั้น ทำให้รู้สึกเหมือนมันกำลังเคลื่อนไหวข้างกาย
ปรากฏตัวแล้ว !!!
ครั้งนี้ การโจมตีของปีศาจแมลงตะกละเล็งไปยังตัวเย้ชิงจือ เมื่อกี้เย้ชิงจือไม่ได้คิดไปเองว่า มันกำลังเข้าใกล้ตัวเอง !!!
เย้ชิงจือในตอนนี้ทำได้แค่อาศัยความรู้สึกอย่างเดียว บนตัวเธอมีเพราะน้ำกับเกราะไม้ธรรมชาติของวารีจันทราและภูตไม้หมุน แต่เธอไม่แน่ใจว่า จะต้านทานการโจมตีนี้ของจอมตะกละได้หรือไม่ !
“โซโซ !!!”
ทันใดนั้น เย้ชิงจือได้ยินเสียงเท้า สายตาของเธอมองไปยังตำแหน่งของเสียงทันที ตัดสินใจให้ภูตไม้หมุนแทงรากจากใต้ดินขึ้นมา !
ทว่า ตอนที่เย้ชิงจือเห็นดวงวิญญาณตัวนี้แล้ว รีบห้ามการโจมตีของภูตไม้หมุน เพราะเสียงเท้านี้ไม่ได้มาจากจอมตะกละ แต่เป็นมั่วเย้ที่วิ่งมาถึงตรงนี้ตั้งนานแล้ว !
หลังจากมั่วเย้ปรากฏข้างกายเย้ชิงจือ หางเก้าเส้นกางออก กลายเป็นพัดเก้าหาง เหวี่ยงอย่างแรง ฟาดไปยังตำแหน่งข้างตัวเย้ชิงจือ !!!
ปีศาจแมลงตะกละอ้อมหลบอสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือ กำลังคิดจะโจมตีเย้ชิงจือจากที่นี่ กลับถูกมั่วเย้ที่สังเกตเห็นช่องทางเดียวของมันนี้ แค่จอมตะกละนี้เข้าใกล้อีกเล็กน้อย จะถูกหางของมั่วเย้ปัดเข้าเต็ม ๆ !
“ซึซึ !!! ” ปีศาจแมลงตะกละส่งเสียงร้องด้วยความโกรธเคือง กลับพุ่งเข้าไปในเก้าหางที่เต็มไปด้วยเปลวไฟ ปล่อยให้มั่วเย้ฟาดมัน !
จอมตะกละนี้เจ้าเล่ห์อย่างมาก อาศัยหางปัดของมั่วเย้ แล้วเปลี่ยนทิศทาง กระโดดไปตรงหน้าจั้นเย้ที่กำลังวิ่งตรงมา !!!
“หึ ถือว่าเจ้าดวงดี มองแผนการของข้าออก ทว่า ต่อให้มองออก เจ้าก็ต้องตอบแทนด้วยการตายของดวงวิญญาณเจ้า ชีวิตมั่วเย้ตัวนี้ของเจ้า ข้าขอไว้ก่อนละ !!!” ตว้านซิงเจ๋อพูดอย่างเยือกเย็น
จอมตะกละบินไปเหนือจั้นเย้แล้ว ต่อให้มองแผนการของปีศาจแมลงตะกละตัวนี้ออก ด้วยความเร็วของจั้นเย้ ก็ยังยากที่จะหลบได้…
“ซัวะ !!! ”
กรงเล็บที่ฆ่าดวงวิญญาณในสนามในเสี้ยววินาทีได้ตวัดลงบนตัวจั้นเย้ โจมตีซึ่งหน้า อีกทั้งกรงเล็บนี้ยังเพิ่มผลจากทักษะของปีศาจแมลงตะกละ การป้องกันที่อยู่ในขั้นเก้าระยะกลางก็อาจถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีได้ !!!
ตว้านซิงเจ๋อฉีกยิ้มออกมา มั่วเย้ลักษณะเก้าขั้นสี่ตัวหนึ่งไม่มีทางจะรับการโจมตีแบบนี้ได้แน่นอน ไม่ได้ทำให้ผู้คุมดวงวิญญาณหญิงได้รับบาดเจ็บ แต่ฆ่าดวงวิญญาณตัวหนึ่งของเจ้าเด็กนี่ได้ก็ไม่แย่
แต่ว่า…
รอยยิ้มของตว้านซิงเจ๋อแข็งทื่ออย่างช้า ๆ
เพราะการโจมตีนี้ของจอมตะกละกลับทิ้งแค่รอยตื้นบนตัวจั้นเย้ !!! อย่าว่าแต่จะฆ่าในเสี้ยววินาที บาดแผลนี้ยังไม่ถึงขั้นกลางด้วยซ้ำ !!!
เย้ชิงจือก็รู้ว่า อสูรนิมิตชุดม่วงหมวดภูตวิญญาณยากที่จะปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมาได้ ในตอนนี้จึงร่ายคาถาขึ้น เก็บอสูรนิมิตชุดม่วงกลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ อัญเชิญภูตไม้หมุนหมวดไม้ออกมา !
จัดการสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการรวมตัวของหมวดภูตวิญญาณและหมวดแมลงแบบนี้ ทางที่ดีที่สุดคือ ดวงวิญญาณตระกูลพืชที่ปล่อยทักษะมากมายออกมาในเวลาเดียวกันได้ ต่อให้พวกมันจะมีความเร็วเท่าใด ก็อย่าคิดที่จะหลบการโจมตีของดวงวิญญาณตระกูลพืชได้
อีกทั้ง การป้องกันของปีศาจแมลงตะกละไม่สูงมาก การโจมตีของดวงวิญญาณตระกูลพืชอ่อนเล็กน้อย แต่เพียงพอที่จะสร้างบาดเจ็บให้ปีศาจแมลงตะกละสูงมาก
ในไม่ช้า เย้ชิงจือได้อัญเชิญภูตไม้หมุนออกมา รากของภูตไม้หมุนมีพิษที่รุนแรงมาก ในตอนที่ปีศาจแมลงตะกละสามตัวพุ่งเข้ามา รากที่มีพิษเหล่านี้ได้พาดผ่านบนตัวปีศาจแมลงตะกละอย่างรวดเร็ว !
พิษที่ทำให้กลายเป็นหินแบบนี้จะทำให้การเคลื่อนไหวของศัตรูช้าลงเรื่อย ๆ ยิ่งเวลาที่ถูกพิษกัดกร่อนมากเท่าใด อาจกลายเป็นรูปปั้นหินก็ได้
หลังจากปีศาจแมลงตะกละถูกภูตไม้หมุนเพ่งเล็ง พวกมันอย่าคิดที่จะเข้าใกล้เย้ชิงจือแม้แต่ก้าวเดียว
แต่ว่า เห็นได้ชัดว่า ปีศาจแมลงตะกละที่โจมตีเย้ชิงจือไม่ได้มีแค่สามตัวนี้ เย้ชิงจือสัมผัสได้ว่า อากาศรอบตัวกำลังเคลื่อนไหว แต่เธอกลับไม่สามารถมองเห็นพวกมันได้ !
นั่นเป็นปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอด ความสามารถอำพรางของพวกมัน แม้แต่เย้ชิงจือที่อยู่ในระยะแบบนี้ก็ยากที่จะมองเห็นได้ !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ทันใดนั้น มงกุฎเพลิงทั้งเก้าระเบิดออกด้านข้างที่ห่างจากเย้ชิงจือไม่ถึงยี่สิบเมตร !
เปลวไฟทั้งเก้ากระเซ็นออกเป็นเสก็ตไฟนับไม่ถ้วน ท่ามกลางเงาไฟนี้สามารถพบเห็นเงาสองเส้นที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ !
“อู อู อู อู”
ความเร็วของมั่วเย้เพิ่มขึ้นกะทันหัน ทะลุผ่านปีศาจแมลงตะกละสองตัวที่ขวางอยู่ด้านหน้ามัน ตอนที่มันวิ่งไปท่ามกลางเปลวไฟก้อนนั้น มั่วเย๋หมุนตัวทันที !!!
หางจิ้งจอกเก้าเส้นที่มีมงกุฎเพลิงลุกโชนอยู่เหวี่ยงออกอย่างแรง ราวกับมังกรเก้าตัวทรงพลังที่กำลังบิดตัวอยู่ ฟาดไปยังปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดสองตัวนั้น !!!
“แกร๊ก !!! ”
เสียงกระดูกแตกดังขึ้น ปีศาจแมลงตะกละสองตัวนั้นไม่สามารถหลบได้ ถูกมั่วเย้ฟาดปลิวออกไปร้อยกว่าเมตร !
เย้ชิงจือมองไปยังชู่มู่แวบหนึ่ง พบว่าบนตัวมั่วเย้มีแผลที่ถูกปีศาจแมลงตะกละฉีกออก ในตอนนี้จึงออกคำสั่งต่อกระดิ่งแก้วตา
กระดิ่งแก้วตาส่งเสียงร้องเบา มือทั้งสองที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ดอกไม้ปั้นกลีบดอกไม้สีชมพูสองอันออกมา กลีบดอกไม้นี้ลอยไปบนตัวมั่วเย้อย่างช้า ๆ
ราวกับดอกไม้น้ำแข็งที่ละลายในน้ำ ในตอนที่กลีบดอกไม้สัมผัสกับแผลของมั่วเย้ กลีบดอกไม้ได้หายไปอย่างช้า ๆ และกรงเล็บบนตัวมั่นเย้นี้กลับหายไปในเวลาไม่กี่วินาที !
ภูตไม้หมุน มีความสามารถในการเยียวยาพลังชีวิต หากมีมันอยู่ ดวงวิญญาณแทบจะไม่สูญเสียพลังต่อสู้จากบาดแผลบนได้ อีกทั้งความเร็วในการฟื้นพลังชีวิตจะไวขึ้นด้วย
วารีจันทรา มีภาวะการล้างสารพิษ ความสามารถในการควบคุมการโจมตีแบบจิต ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บทางร่างกายหรือวิญญาณก็รักษาได้ มีวารีจันทราอยู่จะไม่เกิดเรื่องที่ดวงวิญญาณตายลงแน่นอน
กระดิ่งแก้วตา ความสามารถในการรักษาของหมวดดอกไม้จะแข็งแกร่งกว่าวารีจันทราอีก การโจมตีรอบแรกของปีศาจแมลงตะกละได้ทำให้ดวงวิญญาณส่วนใหญ่ของทุกคนได้รับบาดเจ็บจากกรงเล็บ แต่ด้วยการมีอยู่ของกระดิ่งแก้วตา กลับทำให้แผลของดวงวิญญาณส่วนใหญ่นี้ฟื้นกลับมาได้ การโจมตีครั้งแรกของปีศาจแมลงตะกละจึงเสียเปล่าไป
ดวงวิญญาณหมวดเสริมทั้งสามตัวนี้ถูกถิงหลัน ซ่างเหิง และชู่มู่ปกป้องเอาไว้ ต่อให้การโจมตีของปีศาจแมลงตะกละจะดุร้ายมากเพียงใด ดวงวิญญาณของทั้งสามคนจะได้รับการรักษาทันที จุดนี้ทำให้ตว้านซิงเจ๋อนักโทษขั้นเก้าปวดหัวอย่างมาก
ตว้านซิงเจ๋อมีความมั่นใจอย่างมากในการควบคุมปีศาจแมลงตะกละ บวกกับความสามารถในการซ่อนตัวของดวงวิญญาณ คิดจะร่วมมืดฆ่าดวงวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามในเสี้ยววินาทีได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่ด้วยการมีอยู่ของดวงวิญญาณหมวดเยียวยา การฆ่าในเสี้ยววินาทีจึงเกิดได้ยากมาก อย่างไรก็ตาม ดวงวิญญาณทั้งหมดไม่มีทางที่จะตายลงทันที เพียงแค่ยังไม่ตายลงตามด้วยผลของการเยียวยา ดวงวิญญาณจะหลุดจากอันตรายถึงชีวิต
ในตอนนี้ ตว้านซิงเจ๋อแทบไม่สามารถโจมตีไปยังดวงวิญญาณนั้นได้อีก เพราะต่อให้ผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่มจะเฉื่อยชามากเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักการเปลี่ยนดวงวิญญาณแล้วสู้ต่อ
ตว้านซิงเจ๋อโจมตีต่อเนื่องสามครั้งแล้วได้เปรียบบ้าง ทำให้ดวงวิญญาณของถิงหลันและซ่างเหิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และแล้ว ไม่ได้ฆ่าพวกมันตายจริงๆ ทำให้พวกเขาเปลี่ยนดวงวิญญาณไปได้
ตามการต่อเนื่องของการต่อสู้ ปีศาจแมลงตะกละของตว้านซิงเจ๋อเริ่มบาดเจ็บ ส่วนใหญ่ตายด้วยการฆ่าล้างหมู่ของปีศาจนักรบไม้
ในตอนที่ปีศาจแมลงตะกละลดลงเกินครึ่ง ตว้านซิงเจ๋อก็รู้ว่า ยากที่จะผลิกสถานการณ์แล้ว ในตอนนี้เขาจึงให้ปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดทั้งหมดกลับมา ปกป้องรอบตัวเขา
“ไม่แย่ ไม่แย่ ฆ่าดวงวิญญาณข้ามากมายขนาดนี้ พวกเจ้าแข็งแกร่งกว่าเหล่าผู้เข้าแข่งขันก่อนหน้านี้เยอะ “ตว้านซิงเจ๋อยิ้มออกมา
สายตาของเขาจับจ้องไปยังปีศาจแมลงตะกละผู้นำขั้นสูงเหล่านั้น กลับไม่มีความโกรธใด ๆ บนใบหน้า แต่กลับยิ้มอยู่ตรงนั้น เหมือนแทบไม่สนใจความเสียหายของปีศาจแมลงตะกละผู้นำขั้นสูงเหล่านั้น
“ยังมีเจ็ดตัว จัดการทีเดียวเลยเถอะ” ตว้านซิงเจ๋อยิ้มออกมาอีกครั้ง
ซ่างเหิงกวาดตามองไปยังปีศาจแมลงตะกละผู้นำขั้นสูงเจ็ดตัวสุดท้ายนั้น พูดขึ้นว่า “เจ้านี่เป็นบ้าเหรอ กลับเร่งให้พวกเราฆ่าดวงวิญญาณของเขาให้หมด ! ”
ตอนที่ถิงหลันต่อสู้กับปีศาจแมลงตะกละก็รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความน่าเกลียดขยะแขยงของปีศาจแมลงตะกละ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะท่าทีของนักโทษขั้นเก้านี้ประหลาดอย่างมาก
หลังจากตว้านซิงเจ๋อเรียกปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดกลับมา กลับยืนมองอย่างเดียวจริง ๆ มองดูพวกชู่มู่ฆ่าปีศาจแมลงตะกละเจ็ดตัวนั้นให้ตาย ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจได้
ชู่มู่เองก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะท่าทีของตว้านซิงเจ๋อประหลาดเกินไปจริง ๆ ทำให้แทบไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร
ในที่สุด ปีศาจแมลงตะกละทั้งเจ็ดตัวถูกฆ่าตายหมด ศพของปีศาจแมลงตะกละเหล่านี้สลายไปเอง หายไปจากสนามต่อสู้
“ช้าจริง ข้ารอจนจะหมดความอดทนแล้ว” ตว้านซิงเจ๋อเดินเข้าหาพวกชู่มู่อีก พูดขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “ต่อไป พวกเรามาเริ่มเกมใหม่เถอะ ! ”
หลังจากพูดจบ ตว้านซิงเจ๋อได้ร่ายคาถาขึ้น !
เขาร่ายคาถาเร็วมาก แทบไม่ปล่อยให้พวกชู่มู่มีโอกาสโจมตี !
ลายเส้นสัญญาวิญญาณส่องประกายลึกลับออกมา ตามด้วยลายเส้นที่กลายเป็นโครงกระดูกของดวงวิญญาณตัวนี้ มีเลือดเนื้อขึ้นมาอย่างช้า ๆ …
ดวงวิญญาณแทบทั้งหมดมีโครงร่างของมัน ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตหมวดแมลงที่ประหลาดก็ตาม
และแล้ว สิ่งที่ตว้านซิงเจ๋ออัญเชิญออกมาในตอนนี้กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะบรรยายออกมาได้ !
นั่นเป็นก้อนเนื้อที่ลอยตัวได้ มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงสองเมตร ปกคลุมด้วยผิวของปีศาจแมลงตะกละ บนผิวนั้นยังมีขาหน้า ขาหลัง หัวมากมายของปีศาจแมลงตะกละงอกออกมาอย่างประหลาด !
ของแบบนี้ แทบจะทำให้รู้สึกเหมือนเป็นการบดศพของปีศาจแมลงตะกละนับไม่ถ้วนเข้าด้วยกัน ไม่มีหัว ไม่มีลำตัว ไม่มีหน้าตา !
หลังจากที่ถิงหลันเห็นศพก้อนใหญ่รวมกันเป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้ ใบหน้าซีดขาวทันที รู้สึกขยะแขยงจนอยากอาเจียนออกมา
เดิมถิงหลันก็ไม่ค่อยมีประสบการณ์ต่อสู้ด้านนอกอยู่แล้ว แม้เธอจะอ่านหนังสือบ่อย รู้จักกับดวงวิญญาณชนิดต่าง ๆ แต่เธอไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียด ขยะแขยง ประหลาดขนาดนี้มาก่อน !
สีหน้าของซ่างเหิงก็ประหลาดมาก เขายอมที่จะมองศพกองใหญ่ตรงหน้าตัวเอง เพราะไม่อยากจะมองสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ลอยตัวแบบนี้
ก่อนหน้านี้เย้ชิงจือเคยเห็นร้อยแม่มาก่อนแล้ว รูปร่างน่าเกลียดแบบนั้น พอจะแข่งกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้าตอนนี้ได้ ทว่าระดับความน่าเกลียดนั้นมองออกได้ นี่เป็นพันแม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าร้อยแม่อีก !
“เป็นอย่างไร ดวงวิญญาณอันที่รักของข้าเป็นที่ชอบไหม” ตว้านซิงเจ๋อเห็นสีหน้าของสี่คนนี้ประหลาดอย่างมาก กลับหัวเราะออกมา ใช้มือลูบพันแม่นั้น
“โรคจิต” ซ่างเหิงยังคงอดใจไม่ด่าไม่ได้
“นี่จะเรียกโรคจิตได้อย่างไร จะให้พวกเจ้าเห็นโรคจิตที่แท้จริง…” ตว้านซิงเจ๋อหัวเราะออกมาแล้วออกคำสั่งไปยังพันแม่ของเขา
พันแม่เริ่มบิดร่างกายที่เป็นก้อนเนื้อนั้น ทันใดนั้น ท่ามกลางก้อนเนื้อนั้นเกิดเป็นรอยแยกใหญ่โต รอยแยกนี้มองดูเหมือนปากใหญ่บนหัวสมองอันหนึ่ง !!!
ทันใดนั้น เขี้ยวที่เกิดจากกรงเล็บของปีศาจแมลงตะกละได้ปรากฏบนปากอันนี้ ลำตัวของพันแม่นี้สะบัดเล็กน้อย กลับกลืนปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดสี่ตัวนี้ลงไปทีเดียว !
ปีศาจแมลงตะกละแยกตัวมาจากพันแม่ตัวนี้ และแล้วในตอนนี้พันแม่ตัวนี้กลับกินปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดสี่ตัวนี้เข้าไป
เสียงเคี้ยวดังขึ้นข้างหูของทั้งสี่คน ทำให้ทั้งสี่คนเกิดความรู้สึกขนลุกขึ้น ปากของพันแม่ใหญ่มาก พวกเขามองเห็นปีศาจแมลงตะกละสี่ตัวนั้นที่กำลังถูกฟันของพันแม่เคี้ยวอยู่ได้…
“อิ๋ว” ในที่สุด ถิงหลันยังคงไม่สามารถทนต่อภาพทีขยะแขยงแบบนี้ได้ นั่งลงบนพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว เริ่มอาเจียนออกมา
อย่าว่าแต่ถิงหลัน แม้แต่ซ่างเหิงเองก็รู้สึกว่า มีบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ในคอของตัวเอง เขาไม่เคยเห็นภาพที่โหดร้ายและขยะแขยงแบบนี้มาก่อน
เย้ชิงจือมองไปทางอื่น ความอดทนของเธอมากกว่าถิงหลันมาก แต่ยังไม่กล้ามองต่อไป
มีเพียงชู่มู่ หลังจากรู้สึกขนลุกในตอนแรก เขาจับจ้องไปยังพันแม่อย่างแน่นิ่ง มองดูปีศาจแมลงตะกละสี่ตัวนั้นถูกกัดลงไป แล้วถูกกลืนลง
“ดูผลงานศิลปะของข้าเถอะ กัดกร่อนแมลง ! จอมเขมือบ ! ” ตว้านซิงเจ๋อยิ้มอย่างบ้าคลั่ง เหมือนคนโรคจิตคนหนึ่ง !
ในที่สุดพันแม่ได้ทำการเคี้ยวเสร็จแล้ว !
ทันใดนั้น ก้อนเนื้อบนตัวมันเริ่มหลุดออก เลือดกับเนื้อหยดลงบนพื้น กลับกลายเป็นร่างของปีศาจแมลงตะกละอีกตัวหนึ่ง !
ร่างของปีศาจแมลงตะกละตัวนี้ไม่ต่างจากปีศาจแมลงตะกละตัวอื่นมากเท่าไร แต่ในตอนที่กรงเล็บกับผิวของมันก่อตัวขึ้น ชู่มู่เริ่มขมวดคิ้วแล้ว สุดท้าย ในตอนที่ตาของปีศาจแมลงตะกละนี้ปรากฏขึ้น สัมผัสได้ถึงสายตาน่ากลัวนั้น ในที่สุดชู่มู่ได้เข้าใจแล้วว่า ตว้านซิงเจ๋อหมายถึงผลงานอะไร!
ตว้านซิงเจ๋อนำปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดสี่ตัวนี้รวมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างปีศาจแมลงตะกละที่แข็งแกร่งกว่าออกมา !!!
“ตว้านซิงเจ๋อ !!! เจ้านี่เป็นน้องชายของตว้านซิงเหอที่ชั่วร้ายยิ่งคนนั้นเหรอ !!!” ซ่างเหิงมองไปยังชายคนนั้นด้วยความตกใจ
ตว้านซิงเหอเป็นนักโทษที่มีโทษหนักในตำหนักวิญญาณคหนึ่ง ดวงวิญญาณทั้งหมดของเขาควรจะถูกฆ่าตายทั้งหมดแล้ว เร่ร่อนไปในเมืองเล็ก ๆ ต่าง ๆ
ส่วนน้องชายของตว้านซิงเหอ ตว้านซิงเจ๋ออยู่ในคุกตลอด ซ่างเหิงไม่คิดว่า นักโทษชั่วร้ายยิ่งคนนี้จะปรากฏตัวในด่านที่แปดนี้ได้ !
ชู่มู่จับจ้องไปยังนักโทษคนนี้อย่างเยือกเย็น พวกเขามีทั้งหมดสี่คน ต่อให้ความสามารถของตว้านซิงเจ๋อจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งสี่คนได้
“คุณหญิงทั้งสอง อย่าตื่นเต้นไป แม้ข้าตว้านซิงเจ๋อจะทำชั่วมาเยอะ แต่อ่อนโยนต่อคุณผู้หญิงรูปงามอย่างพวกเจ้ามาก แน่นอนว่า พวกเจ้าต้องไม่ทำให้ข้าโกรธก่อน คนอย่างข้าโกรธเคืองได้ง่าย ถ้าโกรธขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร”ตว้านซิงเจ๋อกระโดดลงจากหิน เหยียบลงบนหินอีกก้อนอย่างแม่นยำ
เขาก้าวเท้าออก เดินไปยังสี่คนนั้นช้า ๆ
รูปร่างของเขาผอมแห้ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย รอยยิ้มที่แสแสร้ง ตอนที่ถิงหลันรู้สึกได้ว่า สายตาของเขามองผ่านตัวเอง ก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีอย่างน่าประหลาด เหมือนร่างกายของตัวเองไม่มีเสื้อผ้าปิดบังไว้
ตว้านซิงเจ๋อเดินเข้ามาคนเดียว เหมือนจะเผชิญกับดวงวิญญาณสิบกว่าตัวของชู่มู่ทั้งสี่ลำพัง
ถิงหลัน ซ่างเหิง เย้ชิงจือไม่สามารถมองเห็นปีศาจแมลงตะกละได้ แม้ตาของชู่มู่จะมองเห็นได้ แต่กลับเห็นได้แค่โครงร่างที่เลือนลางรอบตัวตว้านซิงเจ๋อเท่านั้น !!!
นั่นเป็นฝูงปีศาจแมลงตะกละฝูงใหญ่ สิ่งเหล่านี้เดินเข้ามาที่นี่พร้อมกับเจ้าของมันทีละก้าว เพียงแค่ออกคำสั่ง ปีศาจแมลงตะกละสิบสองตัวนั้นจะพุ่งตรงมายังสี่คนนี้ทันที !
“เปิดขวดยาออก ให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองมาที่นี่ด่วน” ชู่มู่พูดกับซ่างเหิง
“ชู่เฉิง” ซ่างเหิงไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆชู่มู่ถึงทำแบบนี้
“ทำตามที่ข้าบอก ความสามารถของนักโทษขั้นเก้าคนนี้ไม่ถูกฝ่านจัดการประลองควบคุมเอาไว้ ข้ายังไม่แน่ใจว่าร้อยแม่ของเขายังสืบพันธุ์ต่อไปได้ไหม พวกเราต่อสู้แค่สิบนาที ถ้าในสิบนาทีนี้เขายังมีปีศาจแมลงตะกละตัวอื่น พวกเราต้องให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองลงมือ” ชู่มู่พูดกับสองคนนั้น
ซ่างเหิงมองไปยังชู่มู่ เห็นชู่มู่พูดอย่างจริงจัง ในตอนนี้ก็ไม่กล้าลังเล เปิดขวดยาออก กลิ่นนั้นกระจายออก
“ไร้ประโยชน์ ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองไม่มีทางมาถึงในสิบนาที สิบนาทีนี้ ดวงวิญญาณของพวกเจ้าถูกข้าฆ่าตายหมดแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะตัดลิ้นของพวกเจ้า ปิดร่ายวิญญาณเอาไว้ แล้วมอบให้กับผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง แล้วซ่อนหญิงงามสองคนนี้เอาไว้ รอให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองไปแล้ว ค่อย ๆ สร้างความสานสัมพันธ์กับพวกเธอ “ตว้านซิงเจ๋อไม่สนใจท่าทีของซ่างเหิง
ชู่มู่ยืนอยู่ด้านหน้าทั้งสามคน พูดอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าเหมือนกับพี่ชายของเจ้าตว้านซิงเหอ ก่อนต่อสู้ต้องพูดเพ้อเจ้อมากมาย”
“ตว้านซิงเหอ เจ้าเคยเจอเขางั้นหรือ” ตว้านซิงเจ๋อยักคิ้วขึ้น เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“อืม เคยเจอ” ชู่มู่พูดอย่างเฉยเมย
“ข้าแปลกใจมาก ในเมื่อเจ้าเคยเจอเขา ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้” ตว้านซิงเจ๋อถามอย่างสนใจ
“เพราะคนที่ตายคือเขา” น้ำเสียงของชู่มู่เยือกเย็นมากขึ้น ดวงตาคู่นั้นดุร้ายขึ้นมาก !!!
มั่วเย้ยืนอยู่ข้างชู่มู่ ดวงตาสีเงินคู่นั้นเล็งไปยังปีศาจแมลงตะกละเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบที่อยู่ข้างตัวตว้านซิงเจ๋อแล้ว !
รากของปีศาจนักรบไม้ฝังไว้รอบพื้นที่รัศมีร้อยเมตรของชู่มู่ตั้งนานแล้ว ถ้าต่อสู้แบบหมู่ละก็ ปีศาจนักรบไม้ไม่เคยย่อท้อมาก่อน ต่อให้จะเป็นปีศาจแมลงตะกละยี่สิบตัวก็ตาม !
หลังจากฟังสิ่งที่ชู่มู่พูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของตว้านซิงเจ๋อแข็งทื่ออย่างมาก นัยน์ตาค่อย ๆ หมองคล้ำลง
“ใครเป็นคนฆ่า” ตว้านซิงเจ๋อถามขึ้นช้า ๆ
“ข้าเอง พี่ชายของเจ้า นอกจากจะเพ้อเจ้อแล้ว แทบไม่มีอะไรดี” ชู่มู่บอก
“ฮะฮะ ตลกจริง คนอย่างเจ้าฆ่าเขาได้เหรอ ตอนที่ความสามารถของเขาแข็งแกร่งที่สุด มีเพียงบุคคลระดับเจ้าตำหนักของตำหนักวิญญาณพวกเจ้าที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ต่อให้ฆ่าดวงวิญญาณทั้งหมดของเขา พันแม่ของเขาก็ขยี้พวกเจ้าได้ ง่ายราวกับปลอกกล้วยเข้าปาก” ตว้านซิงเจ๋อหัวเราะออกมาทันที ท่าทางจะไม่เชื่อคำพูดของชู่มู่
ตอนที่ชู่มู่เจอตว้านซิงเหอ สิ่งที่เขามีกลับเป็นร้อยแม่ ปีศาจแมลงตะกละที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่แค่ลักษณะเก้าเท่านั้น ชู่มู่ไม่คิดว่าตว้านซิงเหอจะเคยมีพันแม่มาก่อน
เดิมพันแม่ก็เป็นดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิอยู่แล้ว และถ้ามีระดับต่อสู้สูงมากละก็ ปีศาจแมลงตะกละที่แยกออกจากตัวมันอาจอยู่ในภาวะลักษณะสิบโดยตรงก็ได้
ไม่แปลกที่ตว้านซิงเจ๋อจะสร้างปีศาจแมลงตะกละลักษณะสิบมากมายขนาดนี้ในเวลาสั้นแบบนั้นได้ คิดว่าเจ้านี่มีคงมีพันแม่ที่น่ากลัวกว่าร้อยแม่ !
“นายท่าน เกรงว่าปีศาจแมลงตะกละของเขาจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว อีกทั้งเดิมพันแมก็มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ถ้าเขาอัญเชิญพันแม่ออกมา ท่านสู้กับเขาแบบนี้จะเสียแรงอย่างมาก” ผู้เฒ่าหลีเตือนชู่มู่
“ความเร็วของปีศาจแมลงตะกละสูงมาก จำนวนมากขนาดนี้ ถ้าหนีไปจะเกิดอันตรายอย่างมาก จำต้องจัดการจำนวนหนึ่งก่อน อีกทั้ง หัวของเจ้านี่มีมูลค่าหนึ่งพันล้าน คุ้มที่จะต่อสู้อย่างมาก ถ้าสู้ไม่ได้ ก็ยังมีผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองอยู่ ผู้เฝ้าจะมาถึงภายในสิบนาที” ชู่มู่บอก
ตว้านซิงเจ๋อมีปีศาจแมลงตะกละทั้งหมดยี่สิบตัว ในยี่สิบตัวนี้ส่วนมากอยู่ในผู้นำขั้นกลาง มีเพียงสามตัวที่อยู่ในผู้นำชั้นยอด ความสามารถแบบนี้ยังคงต่ำกว่าดวงวิญญษณของนักโทษเหล่านั้นอยู่ แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ยังมีภาวะคลั่งในตอนท้ายสุด จะจัดการได้ยาก
ตอนนี้ซ่างเหิง ถิงหลัน เย้ชิงจือต่างมีความสามารถต่อสู้ที่มากพอ ดวงวิญญาณทั้งสี่คนรวมกันก็มีแค่สิบห้าตัว ถ้าร่วมมือกันได้ดี ยังจัดการตว้านซิงเจ๋อได้อย่างไม่มีปัญหา
ในเมื่อเลือกที่จะต่อสู้ ชู่มู่จะไม่ถดถอย ในตอนนี้ ชู่มู่ได้ร่ายคาถาขึ้น ทักษะที่เขากำลังจะปล่อยคือสิบสามอัคคี !
พลังของสิบสามอัคคีนี้เพียงพอที่จะทำการโจมตีปีศาจแมลงตะกละได้ แบบนี้การต่อสู้จะง่ายขึ้นมาก
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณเริ่มลุกโชนขึ้นในมือของชู่มู่ สิบสามอัคคีนี้ต้องใช้เวลาขับร่ายสองวินาที !
“อู อู อู อู”
มงกุฎเพลิงลุกโชนบนตัวมั่วเย้เช่นกัน เริ่มสร้างทักษะหมวดไฟขั้นแปดที่มีผลแผดเผาทับซ้อนสองอันเช่นกัน !
“เจ้าคิดว่าในระยะแบบนี้ จะร่ายคาถาที่ยืดยาวแบบนี้ได้เหรอ” ตว้านซิงเจ๋อรับรู้ได้ไวกว่านักโทษเหล่านั้น เมื่อเห็นชู่มู่กำลังจะปล่อยทักษะหมวดไฟขั้นแปด รีบชี้มือออกไปทันที !
ทันใดนั้น ปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดสองตัวพุ่งออกอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้ชู่มู่มีโอกาสร่ายคาถา กรงเล็บที่แหลมคมนั้นตวัดลงบนตัวชู่มู่กับมั่วเย้ !
เย้ชิงจือก็รู้ว่า คาถานี้ของชู่มู่มีความสำคัญอย่างมาก ในตอนนี้จึงให้วารีจันทรากับอสูรนกสวนสงครามห้ามผู้นำชั้นยอดสองตัวนั้น
และแล้ว การต่อสู้เริ่มขึ้นจากการร่ายคาถาของชู่มู่ ทันใดนั้น ปีศาจแมลงตะกละทั้งหมดพุ่งเข้ามาหาชู่มู่ทั้งสี่ การโจมตีทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นทันที !
เย้ชิงจือได้ห้ามผู้นำชั้นยอดสองตัวนั้นให้ชู่มู่สำเร็จ แต่ความเร็วของปีศาจแมลงตะกละไวมาก เวลาสั้น ๆ หนึ่งวินาที สิ่งเหล่านี้ได้พุ่งเข้ามาในวงของดวงวิญญาณสี่คนหมดแล้ว โจมตีด้วยกรงเล็บอย่างดุร้าย
ชู่มู่ร่ายคาถาสำเร็จแล้ว และแล้ว ทักษะนี้ของเขากลับปล่อยออกมาไม่ได้ เพราะทันทีที่ปล่อยออกมาจะทำให้ดวงวิญญาณของฝ่ายตัวเองโดนไปด้วย!
“อย่าใช้ทักษะน่าเบื่อพวกนี้ ดวงวิญญาณของพวกเจ้ามาเป็นอาหารปีศาจแมลงตะกละของข้าสะดี ๆ เถอะ ! ”ตว้านซิงเจ๋อยิ้มอย่างเยือกเย็น
ตอนที่ชู่มู่ร่ายคาถาขึ้น ตว้านซิงเจ๋อก็รู้ว่า เขาจะปล่อยสิบสามอัคคีออกมา ถ้าปีศาจแมลงตะกละของเขารวมตัวเข้าด้วยกัน อาจได้รับบาดเจ็บสาหัสได้จริงๆ
แต่เสียดาย ปีศาจแมลงตะกละของเขาไม่ใช่พวกปีศาจอสูรโง่ ถ้าชู่มู่จะปล่อยสิบสามอัคคีออกมาก็ต้องโจมตีดวงวิญญาณของเขาไปด้วย
ชู่มู่หนักใจขึ้น ไม่คิดว่า ตว้านซิงเจ๋อจะเจ้าเล่ห์แบบนี้ ในตอนนี้ทำได้แค่ล้มเลิกการปล่อยสิบสามอัคคี ถอยไปด้านหลังดวงวิญญาณอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปีศาจแมลงตะกละโจมตี
ตว้านซิงเจ๋อรู้วิธีต่าง ๆ เป็นอย่างดี รู้ว่า ดวงวิญญาณตระกูลธาตุจะทำลายปีศาจแมลงตะกละเป็นฝูงได้ ดังนั้น จึงให้ปีศาจแมลงตะกละผู้นำขั้นสูงสามตัวก่อนหน้านั้นดึงดูดความสนใจของพวกชู่มู่ แล้วเข้าไปยังระยะที่ห่างจากพวกชู่มู่ไม่ถึงสองร้อยเมตรอย่างเงียบ ๆ
ระยะสองร้อยเมตรนี้แทบเป็นระยะห่างเล็กน้อยสำหรับปีศาจแมลงตะกละ เกรงว่าดวงวิญญาณตระกูลธาตุยังไม่ทันได้ร่ายแม้แต่คาถาเดียว ปีศาจแมลงตะกละของเขาก็พุ่งเข้ามาแล้ว
ตว้านซิงเจ๋อวางแผนสี่คนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ปีศาจแมลงตะกละทั้งหมดได้พุ่งเข้ามาแล้ว ดวงวิญญาณตระกูลธาตุของชู่มู่ทั้งสี่คนเองก็ยากที่จะสร้างผลโจมตีระยะไกลได้แล้ว พลังทำลายล้างก็ลดลงมากกว่าครึ่ง จำต้องทำการฆ่าล้างกับปีศาจพวกนี้โดยตรงเท่านั้นแล้ว !
“อย่าตื่นเต้น อย่าตื่นเต้น ควบคุมดวงวิญญาณของพวกเจ้าให้ดี ถ้าใครไม่ระวังตัว หึหึหึ ข้าจะไม่ออมมือให้”ตว้านซิงเจ๋อยืนอยู่นอกสนาม ทำท่าทีเหมือนคนนอก และแล้วทุกครั้งที่ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ดวงตาของเขาจะกวาดผ่านสนามต่อสู้ทันที !!!
ปีศาจแมลงตะกละยี่สิบตัวถูกเขาควบคุมทั้งหมด การร่วมมือระหว่างปีศาจแมลงกลับเข้ากันอย่างมาก หลังจากการโจมตีแรก ทำให้พวกชู่มู่ทั้งสี่คนกระจายตัวออก !
“ชิงจือ ระวัง พวกมันไปตรงเจ้าแล้ว !!!” ชู่มู่ตะโกนทันที กระโดดขึ้นตัวมั่วเย้อย่างคล่องแคล่ว วิ่งตรงไปยังตำแหน่งของเย้ชิงจือ !
“ไหวตัวไวดี รู้แล้วใช่ไหมว่า ข้าจะโจมตีไปยังดวงวิญญาณของใคร” ตว้านซิงเจ๋อยักคิ้วขึ้น สายตาจับจ้องไปยังจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงที่วิ่งอยู่ระหว่างปีศาจแมลงตะกละ
ในการต่อสู้ ถ้ามีผู้คุมดวงวิญญาณหน่อยเสริมอยู่ละก็ คงยากที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บ
การโจมตีครั้งแรกของปีศาจแมลงตะกละตว้านซิงเจ๋อมุ่งตรงไปยังคนทั้งหมด การโจมตีครั้งที่สองกลับเล็งไปยังเย้ชิงจือและดวงวิญญาณของเย้ชิงจือ !
ชู่มู่สังเกตเห็นแผนการโจมตีชั่วร้ายของเจ้านี่ จึงรีบวิ่งไปช่วยเหลือข้างกายเย้ชิงจือ !
“เป็นพวกปีศาจแมลงตะกละ ! ” ชู่มู่ตกใจทันที สิ่งที่ซ่อนรูปร่างแบบนี้ได้ เท่าที่ชู่มู่เคยเห็นมีเพียงปีศาจแมลงตะกละ
อีกทั้งปีศาจแมลงตะกละที่มีระดับค่อนข้างต่ำจะซ่อนตัวได้แค่ในความมืดเท่านั้น มีเพียงปีศาจแมลงตะกละที่มีความสามารถแข็งแกร่งกว่าถึงจะซ่อนร่างของตัวเองไว้ในตอนกลางวันได้ อีกทั้งไม่เห็นแม้แต่เงา !
“ถิงหลัน ซ่างเหิง ตื่นเร็ว มีศัตรูเข้าใกล้” ชู่มู่ปลุกถิงหลันและซ่างเหิงที่เหนื่อยล้ามากเกินไป
ถิงหลันกับซ่างเหิงสะดุ้งตื่นขึ้น พวกเขาสั่งดวงวิญญาณอย่างรีบร้อน ให้พวกมันเข้าสู่ภาวะต่อสู้
สิงโตปีกดาบสายฟ้าของซ่างเหิงส่งเสียงร้องขึ้น เสียงสายฟ้าดังขึ้น กระจายไปรอบ ๆ กลายเป็นสนามคลื่นไฟฟ้าในรัศมีสิบเมตร เพียงแค่ซ่างเหิงออกคำสั่ง สายฟ้าทั้งหมดในสนามไฟฟ้าแห่งนี้พุ่งออก กลายเป็นสายฟ้านับไม่ถ้วนที่โจมตีไปยังศัตรู
แต่ว่า ซ่างเหิงได้เตรียมตัวไว้แล้ว ตอนที่มองไป กลับไม่เห็นศัตรูใด ๆ รอบ ๆ ยังคงอ้างว้างอยู่
“ชู่มู่ ศัตรูอยู่ที่ใด” ซ่างเหิงใช้ร่ายวิญญาณพูดกับชู่มู่อย่างระวังตัวมาก
“ให้สิงโตปีกดาบสายฟ้าของเจ้าเก็บสนามคลื่นสายฟ้าไว้ แกล้งทำเหมือนแค่ตื่นขึ้นมา พวกมันมีความสามารถอำพราง ความสามารถรับรู้ของเจ้ารับรู้พวกมันไม่ได้” ชู่มู่รีบใช้ร่ายวิญญาณพูดกับซ่างเหิง
ซ่างเหิงอึ้งเล็กน้อย เขากลับเพิ่งเคยได้ยินว่า มีสิ่งมีชีวิตที่อำพรางตัวได้แบบนี้เป็นครั้งแรก ในตอนนี้จึงทำตามที่ชู่มู่บอก ให้สิงโตปีกดาบสายฟ้าควบคุมพลังของสายฟ้าเอาไว้ แสร้งทำเป็นยืดเส้นยืดสาย
ถิงหลันไม่ได้พูดอะไร แต่มองไปยังชู่มู่อย่างตื่นเต้น ดวงวิญญาณสามตัวของเธอนอนอยู่ข้างเธอ แผลบนตัวดวงวิญญาณของเธอหลังจากที่ผ่านการรักษาและพักผ่อนหนึ่งปีดีขึ้นมากแล้ว แต่พวกมันเหนื่อยล้ามากเกินไป พวกมันที่กำลังนอนหลับกลับไม่ทันได้สังเกตเห็นอันตรายที่ชู่มู่ว่า
“น่าจะมีประมาณสามตัว ปีศาจแมลงตะกละระดับผู้นำขั้นสูง จำต้องฆ่าพวกมันในเสี้ยววินาที” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณบอกกับสามคนที่เหลือ
ปีศาจแมลงตะกละปรากฏตัวที่นี่ได้แปลว่าร้อยแม่ก็จะอยู่ในละแวกนี้เช่นกัน ถ้าบอกว่า ให้ปีศาจแมลงตะกละตัวหนึ่งหนีไปได้แล้ว เกรงว่าจะมีปีศาจแมลงตะกละอีกฝูงหนึ่งไล่ตามมาแน่นอน !
“ชิงจือ เจ้าให้กระดิ่งแก้วตาของเจ้าสร้างกับดักกล่อมตัวหนึ่งให้นอนหลับไปได้ไหม” ชู่มู่ถามขึ้น
“ไม่สามารถทำให้หลับสนิทได้ อย่างมากทำให้มันหลับได้หนึ่งวินาที” เย้ชิงจือบอก
“หนึ่งวินาทีก็พอแล้ว ถิงหลัน ซ่างเหิง พวกเจ้าฟังคำสั่งของข้า ให้ดวงวิญญาณของพวกเจ้าเตรียมทักษะไว้ให้ดี ทันทีที่ปีศาจแมลงตะกละนั้นตกอยู่ในกับดัก จะให้โจมตีไปยังพวกมันทันที ! ” ชู่มู่บอก
ซ่างเหิงกับถิงหลันต่างพยักหน้า พวกเขาทั้งสองคนไม่เห็นดวงวิญญาณที่ว่านั้น ต่างกระวนกระวายใจอย่างมาก แต่เห็นความนิ่ง ใจเย็นของชู่มู่ จึงสงบสติได้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่จริงจัง รอให้ชู่มู่ออกคำสั่งได้ทุกเมื่อ
“มั่วเย้!”อีกตัวหนึ่งย่อมปล่อยให้มั่วเย้จัดการ
ไม่มีแสงจันทร์แล้ว ความสามารถของมั่วเย้จะลดลงอย่างมากด้วย ชู่มู่จึงให้วารีจันทราของเย้ชิงจือเพิ่มเชิญปีศาจจันทราให้มั่วเย้ด้วย
ตอนกลางวัน ผลของการเชิญปีศาจจะทำให้มั่วเย้เพิ่มขึ้นอีกขั้น ดังนั้น มั่วเย้ในตอนนี้แค่มีลำดับสูงกว่าปีศาจแมลงตะกละผู้นำขั้นสูงสองขั้นเอง
ทว่า ชู่มู่มั่นใจในมั่วเย้ ด้วยความสามารถการต่อสู้และความเร็วของมั่วเย้ ไม่มีทางปล่อยให้ปีศาจแมลงตะกละตัวนั้นหนีไปได้แน่นอน
อีกทั้งต่อให้มั่วเย้ไม่อาจทำให้ตายในการโจมตีเดียวได้ ยังมีการโจมตีระยะไกลของภูตพันวายุอยู่ มันอย่าคิดที่จะรอดจากความตายไปได้
ตัวสุดท้าย ปีศาจนักรบไม้รั้งไว้ได้ ต่อให้ความเร็วของปีศาจแมลงตะกละจะไวมากเพียงใด ทันทีที่ความสามารถอำพรางถูกมองออกแล้ว ต่อให้หนีอย่างไรก็ไม่อาจหนีการโจมตีจากรากนับไม่ถ้วนของดวงวิญญาณตระกูลพืชได้
ปีศาจแมลงตะกละสามตัวกำลังเข้าใกล้อย่างช้า ๆ
ฝ่าเท้าของปีศาจแมลงตะกละพิเศษอย่างมาก ตอนที่มันเคลื่อนไหว เล็บของมันจะซ่อนอยู่ในอุ้งเท้าทั้งหมด และความหนาของอุ้งเท้ามัน ต่อให้วิ่งอยู่ก็จะไม่ส่งเสียงใด ๆ
ขาหน้าของปีศาจแมลงตะกละยาวมาก ขาหลังเต็มไปด้วยพลัง ลำตัวผอมอย่างกับแมลง ดวงตาคู่หนึ่งที่ถลนออกจากสันจมูก ตอนที่กำลังมองหาเหยื่อ จะเห็นลูกตาของมันที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน แต่ทันทีที่เล็งไปยังเหยื่อ ดวงตาของพวกมันจะน่ากลัวอย่างมาก
ในตอนนี้ ปีศาจแมลงตะกละสามตัวนี้กำลังเล็งไปยังปีศาจนักรบไม้ของชู่มู่ มันยืนอยู่บริเวณด้านนอกสุด หลังจากก้อนหินนี้จะเป็นดวงวิญญาณของชู่มู่ทั้งสี่คน
“ปีศาจแมลงตะกละเป็นสิ่งมีชีวิตที่หิวโหย พวกมันจะตามหาของกินไม่หยุด แล้วมอบให้กับร้อยแม่ ยิ่งร้อยแม่ได้อาหารมากเท่าไร จะแยกปีศาจแมลงตะกละออกมาได้มากเท่านั้น นี่เป็นวงจรที่น่ากลัวอย่างมาก ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่ควบคุมร้อยแม่ในตอนนี้มีปีศาจแมลงตะกละกี่ตัวแล้ว” เย้ชิงจือพูดเสียงเบามาก
ร้อยแม่เป็นดวงวิญญาณที่จัดการยากมาก ถ้าไม่สามารถหาร่างจริงได้ละก็ ต่อให้ฆ่าปีศาจแมลงตะกละไปมากเท่าไรก็ไร้ประโยชน์
“อืม ท่าทางครั้งนี้พวกเราจะเจอกับนักโทษที่จัดการยากมากแล้ว…พวกมันมาแล้ว เตรียมตัว” ชู่มู่บอก
เย้ชิงจือได้ออกคำสั่งไปยังกระดิ่งแก้วตาทันที ให้กระดิ่งแก้วตาเริ่มใช้ละอองดอกไม้สะกดจิต
กับดักกล่อมได้วางไว้ตั้งนานแล้ว ปีศาจแมลงตะกละหนึ่งตัวในนั้นหลังจากเหยียบลงบนหินที่ธรรมดาอย่างมาก มีเถาวัลย์ดอกไม้เส้นหนึ่งพุ่งขึ้นทันที ท่ามกลางเถาวัลย์ดอกไม้มีลออกดอกไม้กล่อมประสาทรุนแรงกระจายออกมา !
“ซึ”
ปีศาจแมลงตะกละตัวนั้นส่งเสียงร้องออกมาทันที แต่ส่งเสียงได้เพียงแค่นิดเดียวก็หยุดลงแล้ว !
สิงโตปีกดาบสายฟ้า อสูรเชิญหงส์สองตัว อสูรหางผีเสื้อหงส์ดาว ดวงวิญญาณทั้งสี่ตัวได้เตรียมทักษะสำเร็จลงพร้อมกัน พลังของทั้งสี่อันนี้รวมกันจนอยู่ในขั้นเก้า ทะลุหินก้อนนั้น โจมตีไปยังปีศาจแมลงตะกละที่ถูกกล่อมจิตเอาไว้ !!!
“บึ้ง บึ้ง !!! ”
ปีศาจแมลงตะกละตัวนั้นยังไม่ทันได้ทำการป้องกันใด ๆ พลังทั้งสี่นี้โจมตีไปบนตัวมัน ทำให้ร่างบางของมันระเบิดเป็นเศษ !!!
ปีศาจแมลงตะกละสองตัวที่เหลือได้กระโดดออกในตอนที่เถาวัลย์ดอกไม้ปรากฏขึ้น แต่ตอนที่พลังระเบิดออก ร่างกายของมันยังคงปลิวออกไปกลางอากาศ เข้าไปอยู่ในร่องหินสองก้อนด้านข้าง
มั่วเย้ดักอยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว มงกุฎเพลิงบนตัวมันลุกโชนขึ้น กายเป็นจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงทันที ร่างกายที่พุ่งออกมา กรงเล็บตวัดลงบนร่างกายของปีศาจแมลงตะกละตัวนั้นอย่างแม่นยำ !
ปีศาจแมลงตะกละตัวนั้นบิดตัวกลางอากาศ หลบการโจมตีของมั่วเย้ได้เฉียดฉิว เลือดสดตกลงระหว่างร่องหิน กลับกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว คิดจะหนีไปตามหน้าผาหินนั้น
“ภูตพันวายุ ! ” ชู่มู่ออกคำสั่ง
ทักษะถ้ำลมของภูตพันวายุเตรียมไว้แล้ว ในตอนที่ปีศาจแมลงตะกละจะหนีไป ช่องว่างที่มีขนาดเท่าปลายนิ้วปรากฏขึ้น ก่อเป็นแรงลมมหาศาลอย่างหนึ่ง ลองกระชากปีศาจแมลงตะกละที่พยายามหนีกลับมาอย่างแรง !
“ซัวะ ซัวะ !!! ”
มั่วเย้กระโดดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้กรงเล็บของมันไม่เกิดการผิดพลาด ตัดผ่านบริเวณเอวและลำคอของปีศาจแมลงตะกละออกเป็นสามท่อน !
และศพสามท่อนที่เต็มไปด้วยเลือดนี้ถูกถ้ำลมของภูตพันวายุดูดเข้าไปทันที ถูกถ้ำลมบดเป็นเศษ !
อีกด้านหนึ่ง รากของปีศาจนักรบไม้ได้พันรอบปีศาจแมลงตะกละตัวสุดท้ายแล้ว อสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือกระโดดออกมาทันที กริดกระดูกสีเข้มตัดขาทั้งสี่ของปีศาจแมลงตะกละทันที…
สูญเสียขาทั้งสี่ไป ปีศาจแมลงตะกละตัวนี้ไม่มีความสามารถที่จะหนีไปได้แล้ว ถูกปีศาจนักรบไม้ดูดพลังชีวิตทันที !
ปีศาจแมลงตะกละสามตัวนี้หายไปทันตา ถิงหลันกับซ่างเหิงต่างมองไปยังเศษเนื้อและเลือดเหล่านั้นด้วยความประหลาดใจ พูดไม่ออกสักพัก
ตอนที่พวกเขาทั้งสองคนเห็นศพของปีศาจแมลงตะกละถึงรู้การมีอยู่ของพวกมัน พวกเขาแอบตกใจ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะชู่มู่รับรู้การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ก่อน พวกเขาอาจถูกฆ่าตายตอนไหนก็ไม่รู้
“ชู่มู่ เจ้ารับรู้พวกมันได้อย่างไร เจ้าไม่ได้อัญเชิญดวงวิญญาณที่มีจิตแข็งแกร่งออกมา” ซ่างเหิงเดินไปข้างศพ แล้วถามขึ้น
พอเพิ่งพูดจบ ศพของปีศาจแมลงตะกละมีของเหลวสีดำไหลออกมาทันที ซ่างเหิงกลัวจนรีบถอยออกมา
“วางใจได้ นั่นเป็นความสามารถสลายตัวเอง ไม่ใช่สารพิษ” เย้ชิงจือบอก
ซ่างเหิงเองก็เพิ่งเคยเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก มองไปยังเย้ชิงจือ ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “หรือว่าเจ้ารับรู้พวกมันได้เหมือนกัน ทำไมข้ากับถิงหลันถึงไม่สังเกตเห็น”
“ข้าไม่สามารถรับรู้ได้ อสูรนิมิตของข้าเตือนข้าไว้ ความสามารถอำพรางของปีศาจแมลงตะกละนี้แข็งแกร่งกว่าที่พวกข้าเจอก่อนหน้านี้อีก มีแค่ชู่มู่ที่รับรู้ได้” เย้ชิงจืออธิบาย
“ชู่มู่ เจ้าเป็นเจ้าวิญญาณร่ายที่เท่าไร” ถิงหลันเองก็ถามอย่างสงสัย เธอรู้สึกว่า เหมือนชู่มู่จะรับรู้ได้มากกว่าพวกเขาอีก
“เพิ่งอยู่ในหกร่าย” ชู่มู่ก็ไม่ปิดบัง
“หกร่าย !!!” ถิงหลันกับซ่างเหิงต่างอ้าปาก ทำท่าทีประหลาดใจอย่างมาก
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ ออกจากที่นี่ก่อน คนที่ควบคุมปีศาจแมลงตะกละอาจอยู่แถวนี้” ชู่มู่บอก
ชู่มู่เพิ่งจะพูดจบ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันทันที แล้วหันกลับไป จับจ้องไปยังหินก้อนหนึ่งที่ห่างออกไปสองร้อยเมตรอย่างเคร่งเครียด
หินนั้นวนขึ้นอย่างน่าประหลาด มีความสูงประมาณห้าสิบเมตร…
และด้านบนสุดของหินก้อนนี้ ชายที่สวมชุดสีเทานั่งอยู่บนนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาจับจ้องมายังพวกชู่มู่
ชายคนนี้เหมือนจะนั่งอยู่ตรงนั้นนานแล้ว อีกทั้งทำให้ชู่มู่รู้สึกว่า เขากำลังมองปีศาจแมลงตะกละสามตัวนั้นถูกฆ่าตาย !
“แนะนำตัวเองหน่อย ข้าชื่อตว้านซิงเจ๋อ เป็นนักโทษฝันร้ายสำหรับผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มอย่างพวกเจ้า…” ชายคนนี้ฉีกยิ้มชั่วร้ายออกมา
“จากที่ข้ารู้มา แหวนนักโทษขั้นเก้าสามารถแลกเป็นเงินรางวัลหนึ่งพันล้านได้ และข้าตว้านซิงเจ๋อคือ หนึ่งพันล้านในสายตาผู้เข้าแข่งขันอย่างพวกเจ้า เป็นนักโทษขั้นเก้าเพียงคนเดียว เหมือนจะเรียกได้ว่า เป็นเกียรติสูงสุดด่านที่แปด…แต่น่าเสียดาย การประลองฟ้าดินด่านที่แปดในครั้งนี้ คาดว่าจะไม่มีใครได้เกียรติสูงสุดแล้ว เพราะคนทั้งหมดจะต้องตาย !!!”
ถ้าดวงวิญญาณแข็งแกร่งกว่าผู้คุมดวงวิญญาณมากเกินไป จะเกิดเหตุการณ์ทรยศได้
ดังนั้น ระหว่างที่ผู้คุมดวงวิญญาณฝึกอยู่ มักจะเริ่มจากระดับทาสชั้นต่ำที่สุดก่อน แล้วค่อย ๆ เติบโตไปตามดวงวิญญาณ
ไม่มีใครที่สามารถควบคุมดวงวิญญาณขั้นสูงในตอนที่อยู่ในระดับศิษย์วิญญาณได้ จะมีดวงวิญญาณที่ระดับสูงกว่าก็ไม่ได้
ดังนั้น อำนาจต่าง ๆ จึงมีกฎเข้มงวดกับรุ่นวัยหนุ่ม ผู้คุมดวงวิญญาณคนใดก็ต้องฝึกตัวเองให้แข็งแกร่ง ไม่ใช่ชิงดวงวิญญาณขั้นสูงจากคนอื่น อำนาจใหญ่ทำได้แค่มอบสภาพแวดล้อมที่จะทำให้เหล่ารุ่นวัยหนุ่มได้ดวงวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น
ความสามารถของชู่มู่เองนับว่าเพิ่มขึ้นไวมาก ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะพรสวรรค์ของชู่มู่เองสูงมาก ร่ายวิญญาณของเขาสูงกว่าคนอื่นตั้งแต่เด็ก อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะได้รับการกระตุ้นของเด็กสาวทรยศกับมารนิรยขาวที่เป็นดวงวิญญาณขั้นสูงกว่าสองตัวนี้ ทำให้ร่ายวิญญาณของชู่มู่อยู่ในภาวะที่ต้องเพิ่มขึ้นตลอด
พูดได้ว่า ผู้แข็งแกร่งในรุ่นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับเจ้าวิญญาณ พวกที่เข้าสู่ระดับราชันมักเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงส่ง
ชู่มู่อยู่ในระดับเจ้าวิญญาณห้าร่ายด้วยอายุเท่านี้ได้ อย่างน้อยในขั้นที่สองจะไม่เจอคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาแน่นอน
แต่ว่าที่ทำให้ชู่มู่คาดไม่ถึงคือ ร่ายวิญญาณที่สูงกว่าคนทั่วไปแบบเขา ยังคงต่ำไปสำหรับมั่วเย้ กลับกลายเป็นข้อจำกัดการแปรเปลี่ยนตระกูลของมั่วเย้ !
“ผู้เฒ่าหลี ถ้ามั่วเย้ของเจ้าแปรเปลี่ยนได้ หรือว่าข้าต้องให้ถึงระดับราชันวิญญาณ มันถึงจะแปรเปลี่ยนได้เหรอ” ชู่มู่ถามขึ้น
การแปรเปลี่ยนตระกูลของมั่วเย้อาจทำให้มันอยู่จักรพรรดิชั้นยอดหรือเทียบเท่าราชันได้ ถ้าเป็นเทียบเท่าราชันละก็ ชู่มู่จะต้องอยู่ในราชันวิญญาณไม่ใช่เหรอ นั่นเป็นเรื่องที่ไกลตัวอย่างมาก
“ไม่ต้อง เดิมตระกูลของมั่วเย้ท่านก็อยู่ในผู้นำสมบูรณ์แบบแล้ว การแปรเปลี่ยนครั้งหน้าอาจเป็นจักรพรรดิสมบูรณ์แบบ ยังคงเป็นจักรพรรดิอยู่ ถึงตอนนั้น เจ้าแค่อยู่ในเจ้าวิญญาณเจ็ดร่าย คือเพิ่มเจ้าวิญญาณร่ายกลางให้เป็นร่ายสูง โดยปกติมันจะไม่จำกัดการแปรเปลี่ยนตระกูล…นายท่าน ท่านลองคิดตามความเป็นจริง จิ้งจอกน้อยของท่านเคยแปรเปลี่ยนครั้งหนึ่งตอนอยู่โลกตะวันตก นี่เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว มันไม่อาจแปรเปลี่ยนตระกูลได้อีก” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ที่แท้เจ็ดร่ายก็ได้แล้ว !!!” ชู่มู่ดีใจ ตอนนี้ตัวเขาเองอยู่ระหว่างห้าร่ายกับหกร่าย พูดได้ว่า แค่ฝึกสมาธิอีกไม่กี่คืน ก็จะอยู่ในประมาณหกร่ายแล้ว
หลังจากเข้าสู่หกร่ายแล้ว จะห่างกับเจ็ดร่ายแค่ก้าวเดียว ทันทีที่เข้าสู่เจ็ดร่าย ตัวเองก็จะมีดวงวิญญาณที่มีระดับพลังต่อสู้เทียบเท่าระดับราชันตัวหนึ่งได้แล้ว !!!
ในตอนนั้น ดวงวิญญาณหลักแข็งแกร่งที่สุดของเจ้าโลกจั้นหลีก็เป็นแค่เทียบเท่าราชันตัวหนึ่ง และแค่เข้าสู่เจ็ดร่าย อย่างน้อยดวงวิญญาณตัวหนึ่งของชู่มู่จะเผชิญหน้ากับเจ้าโลกได้ !
…
แค่คิดว่ามั่วเย้จะแปรเปลี่ยนจนเทียบเท่าราชัน ชู่มู่ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น ตอนนั่งฝึกสมาธิยิ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจ คิดจะอาศัยคืนนี้ ก้าวข้ามห้าร่ายไป เข้าสู่ระดับหกร่าย
หกร่ายถึงเจ็ดร่าย จะเป็นระยะห่างที่ไม่น้อย นอกจากความสามารถดวงวิญญาณบางตัวของชู่มู่เพิ่มขึ้นอย่างมาก มิฉะนั้น จะเพิ่มขึ้นอย่างสี่ร่ายไปห้าร่ายจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน ถึงตอนนั้น การประลองฟ้าดินก็จบลงแล้ว…
ชู่มู่เปลี่ยนดวงวิญญาณ แล้วยังใช้ทักษะวิญญาณขั้นแปดที่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างมาก ทำให้พลังวิญญาณลดลงเกือบครึ่งแล้ว ร่ายวิญญาณของชู่มู่ในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้น การฟื้นพลังวิญญาณทั้งหมดต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่วัน ครึ่งหนึ่งที่ใช้ไป ต้องใช้เวลาสองคืนถึงจะฟื้นกลับมาได้
ยาพลังวิญญาณของเย้ชิงจือจึงเกิดประโยชน์อย่างมากในตอนนี้ ถ้าฟื้นพลังวิญญาณด้วยความเร็วแบบนี้ จะเต็มอิ่มก่อนฟ้าสว่างได้แน่นอน
เหมือนจะได้รับการกระตุ้นจากยาวิญญาณของเย้ชิงจือ ในตอนที่พลังวิญญาณของชู่มู่ค่อยฟื้นกลับมาอยู่ในภาวะเต็มอิ่ม พลังวิญญาณยังคงเพิ่มขึ้นอีก !
“มีความหวัง ! ” ชู่มู่ดีใจทันที ในตอนนี้จึงรวมร่ายวิญญาณของตัวเองไว้ในวิญญาณ พยายามให้วิญญาณของตัวเองเพิ่มขึ้น
แสงสีฟ้าบนตัวค่อย ๆ ส่องจากด้านในตัวออกมาด้านนอกร่างกายของชู่มู่ เย้ชิงจือที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นความผิดปกติของชู่มู่ทันที
“จะเพิ่มระดับแล้วเหรอ” เย้ชิงจือพึมพำ
ในตอนนี้ เย้ชิงจือได้หยิบยาพลังวิญญาณอีกชนิดหนึ่งออกจากแหวนช่องว่างของตัวเอง
ยาพลังวิญญาณนี้ได้เตรียมไว้เพื่อผู้คุมดวงวิญญาณที่กำลังจะเพิ่มระดับโดยเฉพาะ ถ้าได้กินลงระหว่างที่จะทำลายระดับเดิม จะทำให้โอกาสที่จะสำเร็จเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เย้ชิงจือเปิดขวดยาสีน้ำเงินนี้ ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับชู่มู่ว่า” กินสิ่งนี้เข้าไป จะช่วยให้เจ้าเพิ่มระดับได้” หลังจากพูดจบ เย้ชิงจอได้นำยาเข้าปากของชู่มู่
ชู่มู่อ้าปากอัตโนมัติ เย้ชิงจือเองก็พยุงคอของชู่มู่เอาไว้ ค่อย ๆ นำยานี้เข้าปากของชู่มู่
ชู่มู่ในตอนนี้อยู่ในภาวะสมาธิ ไม่สามารถแยกประสาทควบคุมร่างกายได้ ดังนั้น จึงจะต้องให้ยาเหล่านี้ไหลลงคอแล้วไปยังกระเพาะของเขาเอง
หลังจากเย้ชิงจือป้อนชู่มู่กินยานี้ลงไปแล้ว ได้เช็ดปากให้ชู่มู่อย่างใส่ใจ แล้วจับจ้องไปยังชู่มู่ ในใจคิดบางอย่างอยู่…
ยาของเย้ชิงจือออกฤทธิ์ผ่านร่างกาย แล้วส่งไปยังวิญญาณ ชู่มู่รู้สึกว่าเป็นแรงผลักดันอย่างมาก กำลังดันให้ตัวเองเข้าสู่หกร่าย !
…
แสงยามเช้าสาดส่อง เกิดเป็นลำแสงต่าง ๆ บนหินที่เงางาม
แสงสีน้ำเงินบนตัวชู่มู่เริ่มกระจายไปตามแสงยามเช้านี้ เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ
สิ่งที่เข้าตาคือผมนุ่มลื่น ชู่มู่หันไปเล็กน้อย ถึงพบว่า เย้ชิงจือได้นอนพิงข้างตัวเองตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้แล้ว นอนหลับอย่างสงบ
เย้ชิงจือมีนิสัยคล้ายกับชู่มู่ มักจะทำสมาธิตอนกลางคืน พอใกล้จะเช้าถึงจะนอนสักหนึ่งถึงสองชั่วโมง
เย้ชิงจือนอนหลับลึกมาก พิงอยู่บนไหล่ของชู่มู่ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร หลับอย่างสงบ
แสงยามเช้าแสงหนึ่งสาดส่อง สาดลงบนใบหน้างดงามของเย้ชิงจือ เธอที่นอนหลับอยู่ไม่มีความเยือกเย็น เฉยเมย อีกทั้งยังเผยลักษณะหลับลึกของหญิงสาวออกมา ท่ามกลางความน่ารักยังมีเสน่ห์ที่เอ่อล้น ทำให้ชู่มู่ที่ชื่นชมเธอในระยะใกล้ชิดนี้มองนานมาก…
เย้ชิงจือเองไม่ใช่เด็กสาวที่ขี้เซา ตอนที่แสงแดดสาดลงบนใบหน้างดงามของเธอ เธอจึงลืมตาขึ้นช้า ๆ
ตอนที่ลืมตา ได้เห็นชู่มู่ที่มองไปยังตัวเองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เย้ชิงจือเผยความเขินออกมาบนใบหน้า แก้มที่เป็นสีแดง กลับทำให้มากเสน่ห์กว่าเดิมภายใต้แสงแดด
“สำเร็จแล้วงั้นหรือ” เย้ชิงจือก้มหน้า ถามขึ้นด้วยเสียงเบามาก
“อืม เดิมยังห่างอีกก้าวหนึ่ง ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันถึงจะเพิ่มขึ้นได้ ยาวิเศษของเจ้าช่วยข้าไว้” ชู่มู่พูดพร้อมรอยยิ้ม
“นั่นเป็นหยดวิญญาณ กระตุ้นให้ร่ายวิญญาณเพิ่มขึ้นได้” เย้ชิงจือบอก
“ตอนนี้ข้าอยู่ในหกร่าย มีหยดวิญญาณอะไรที่จะทำให้ข้าเพิ่มขึ้นจนอยู่ในเจ็ดร่ายในเวลาอันสั้นได้บ้าง” ชู่มู่ถามขึ้นด้วยตาที่เป็นประกาย
“เจ้าเพิ่งเข้าสู่หกร่ายก็จะใช้ยาเข้าสู่เจ็ดร่าย เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่มีหยดวิญญาณที่ช่วยแบบนั้นด้ไจริง ๆ ถ้าความสามารถของดวงวิญญาณบางตัวเพิ่มขึ้นอีก แบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างมาก” เย้ชิงจือตอบ
“เจ้าสามารถปรุงยาแบบนี้ออกมาได้เหรอ ต้องใช้วัตถุวิญญาณอะไรไหม” ชู่มู่ถามขึ้น ยาที่มีราคาแพงจะต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่างมาก
“ข้าปรุงเองขวดหนึ่งแล้ว ถ้าเจ้าต้องการอย่างมากละก็ ให้เจ้าก่อนละกัน” เย้ชิงจือเปิดแหวนช่องว่างออก นำหยดวิญญาณขวดที่มีสีแดงทับทิมออกมา ส่งไปให้ชู่มู่
ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย พูดขึ้นว่า “เจ้าใช้เวลาไม่น้อยเพื่อปรุงสิ่งนี้ออกมาไม่ใช่เหรอ”
ไม่ว่าจะเป็นยาพลังวิญญาณหรือหยดวิญญาณ ของเหล่าต่อให้เจ้ามีเงินมากเพียงใดก็ไม่สามารถหาซื้อได้ โดยเฉพาะหยดวิญญาณที่ช่วยให้ผู้คุมดวงวิญญาณเพิ่มระดับร่ายวิญญาณได้ ต้องรู้ว่า ผู้คุมดวงวิญญาณเก้าร่ายจะทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อยาแบบนี้เพื่อให้ตัวเองไปถึงระดับเจ้าวิญญาณ ดังนั้น ชู่มู่จะไม่รู้ถึงความล้ำค่าของยาชนิดนี้ได้อย่างไร
“ไม่เป็นไร ข้ายังปรุงออกมาได้” เย้ชิงจือฉีกยิ้มจาง ๆ ออกมา
“ชิงจือ เจ้ามักจะทำดีแบบนี้กับข้า ข้าจะรู้สึกผิดได้ ข้าไม่เคยให้อะไรกับเจ้า…” ชู่มู่มองไปยังตาของเย้ชิงจือ แล้วพูดขึ้น
หลังจากชู่มู่ออกจากบ้านแห่งภูตวิญญาณ เดิมไม่ควรจะใช้ภาวะครึ่งมารแล้ว แต่เขากลับใช้สองครั้ง และผลจากการใช้สองครั้งนี้ วิญญาณที่ร้อนระอุแบบนี้ของชู่มู่จะบีบบังคับให้ชู่มู่กลายเป็นคนบ้าไปแล้ว แต่ชู่มู่ไม่เป็นอะไร เพราะมีเย้ชิงจือเป็นคนคอยช่วยเหลือตัวเอง
เย้ชิงจือได้ยินชู่มู่พูดแบบนี้ กลับทำท่าทีลำบากใจ พูดเสียงเบาว่า “ทุกครั้งที่เจ้าทำสมาธิ กินแค่หยดเดียวก็พอแล้ว ถ้ามากเกินไป จะส่งผลด้านลบ”
“อืม ชิงจือ เจ้าวางใจได้ ข้าจะนำคำสั่งเสียของอาจารย์เจ้ามาให้” ชู่มู่รู้สึกว่า แบบนี้ตัวเองต้องได้ทำบางอย่างให้เย้ชิงจือบ้าง มิฉะนั้น มักให้เธอช่วยเหลือตัวเองโดยไม่ตอบแทนอะไรเลย…
“อย่าฝืนมากเกินไป…” ตอนที่เย้ชิงจือพูด รู้สึกได้ถึงใจตัวเองที่เปลี่ยนไป เดิมเธอหวังจะให้ชู่มู่ช่วยตัวเองได้คำสั่งเสียของอาจารย์มาให้ได้ อย่างไรก็ตาม ของที่อยู่ในนั้นสำคัญอย่างมากจริง ๆ แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เธอกลับไม่หวังให้ชู่มู่ไปเสี่ยงเพราะเรื่องแบบนี้
เย้ชิงจือรู้ว่า ชู่มู่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาก แต่ผู้แข็งแกร่งในขั้นสองมีมากมาย เธอหวังว่า ชู่มู่จะทำได้ตามกำลังของตัวเอง
“แค่บางคนไม่ขัดขวางข้า ผู้แข็งแกร่งพวกนั้นในขั้นสองข้ายังจัดการได้” ชู่มู่พูดอย่างจริงจัง
คนที่ชู่มู่หมายถึงย่อมเป็นเซี่ยกว่างหานกับหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศ สองคนนี้ถึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของชู่มู่ ส่วนผู้แข็งแกร่งขั้นสอง ชู่มู่ยังมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะพวกเขาได้
“ฮวย ฮวย”
เย้ชิงจือยังอยากพูดบางอย่าง ทันใดนั้น อสูรนิมิตชุดม่วงของเธอส่งเสียงร้องขึ้น เสียงนี้รีบร้อนอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามีอันตรายกำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว !
ชู่มู่รีบลุกขึ้นทันที ปล่อยร่ายวิญญาณหกร่ายของตัวเองออกไป !
หลังจากถึงหกร่าย ความสามารถรับรู้ของชู่มู่แข็งแกร่งกว่าอสูรนิมิตชุดม่วงไม่น้อย พื้นที่กว้างมากขึ้นด้วย
ในไม่ช้า ชู่มู่พบว่าใต้แสงแดด มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว…
แต่ในตอนที่ชู่มู่มองไป กลับไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ !!!
ในตอนที่ชู่มู่หมดสติไป จึงไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรกับมั่วเย้
“มั่วเย้ มานี่” ชู่มู่เรียกมั่วเย้ที่เปี่ยมด้วยพลังมาข้างตัวเอง
มั่วเย้น้อยสะบัดหาง กระโดดเข้ามาในอ้อมกอดของชู่มู่อย่างคล่องแคล่ว ขนนุ่มนิ่มนั้นจงใจถูไปที่ใบหน้าของชู่มู่…
“เจ้าใกล้จะแปรเปลี่ยนแล้วใช่ไหม” ชู่มู่ลูบหูของมั่วเย้น้อยแล้วถามขึ้น
ตามการคาดคะเนของชู่มู่ มั่วเย้น่าจะห่างจากการแปรเปลี่ยนไม่นานแล้ว อย่างไรก็ตามการแปรเปลี่ยนครั้งก่อนเกิดขึ้นที่เมืองเจี่ย ห่างจากตอนนี้หลายปีแล้ว !
“อู อู อู”
มั่วเย้ส่งเสียงร้องเล็ก ๆ ขึ้น มองไปยังชู่มู่ด้วยสีหน้ามึนงง
“วันที่จั้นเย้ระเบิด ผู้เฒ่าหลีบอกว่า ภาวะจิตของเจ้าประหลาดมาก” ชู่มู่ถามขึ้น
“อู อู อู อู อู” มั่วเย้ใช้ร่ายจิตสื่อสารกับชู่มู่
มั่วเย้บอกกับชู่มู่ว่า ในตอนที่จั้นเย้ตกลงไปในเหวลึก มันสัมผัสได้ว่า ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับตอนแปรเปลี่ยนตระกูลอยู่บ้าง
ในตอนที่จั้นเย้ทำการเสียสละ อารมณ์ของมั่วเย้เปลี่ยนไปอย่างมาก อีกทั้งมันจะบังคับให้ตัวเองแปรเปลี่ยนด้วย เพราะมีเพียงแปรเปลี่ยนถึงจะเอาชนะตะขาบหมื่นขาได้ ถึงจะช่วยจั้นเย้ได้
และแล้ว ในตอนนั้นกลับแปรเปลี่ยนไม่สำเร็จ เพราะตอนที่มันอยู่ในขีดสุดใกล้จะแปรเปลี่ยน กลับสัมผัสได้ถึงการควบคุมทางจิตอย่างหนึ่ง
“เจ้าบอกว่า ในตอนนั้นเจ้าก็มีความรู้สึกว่า จะแปรเปลี่ยนแล้ว แต่ไม่สำเร็จ” ชู่มู่ถามอย่างประหลาดใจ
“อู อู อู” มั่วเย้บอกว่า ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกกัน เหมือนจะไม่เข้าเงื่อนไขบางอย่าง
ชู่มู่รู้ว่าการแปรเปลี่ยนครั้งต่อไปของมั่วเย้อาจเข้าสู่จักรพรรดิชั้นยอดหรือระดับราชันด้วย ดังนั้น ถ้าบอกช่วงนี้มั่วเย้มีลางจะแปรเปลี่ยนแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ใจของชู่มู่พองโตจริง ๆ
มั่วเย้เกิดการแปรเปลี่ยนตระกูล ถ้าอย่างนั้นชู่มู่จะกล้าฝ่าเข้าด่านที่สิบแน่นอน และทำการท้าทายกับหุ่นเชิดเด็กสาวทรยศสักครั้ง!
ทว่า แปรเปลี่ยนไม่เร็จ จะเป็นเรื่องที่ชู่มู่ปวดหัวมากที่สุด
โดยปกติการแปรเปลี่ยนมาจากตัวมันเอง การแปรเปลี่ยนก่อนหน้านี้ ครั้งแรกเกิดจากการกระตุ้นของศัตรูฉกาจ ทำให้มั่วเย้กลายเป็นปีศาจจิ้งจอกหกหางอัคคีร้าย
และครั้งที่สองคือที่เมืองเจี่ย หลังจากหกหางของมั่วเย้ขาดจากการแช่แข็งแล้ว ได้กระตุ้นศักดิ์ศรีของมั่วเย้ บวกกับการสะสมพลังอยู่แล้ว ทำให้มั่วเย้ทำลายขีดจำกัดของระดับแม่ทัพสมบูรณ์แบบ ก้าวสู่ระดับผู้นำสมบูรณ์แบบ ความสามารถเพียงพอที่จะสู้กับระดับจักรพรรดิได้
ต่อจากนี้ จะมีการต่อสู้มากขึ้น ชู่มู่เองก็หวังว่ามั่วเย้จะเกิดการแปรเปลี่ยนอีกครั้ง โดยเฉพาะในเมืองเทียนเซี่ยที่เต็มไปด้วยศัตรูแห่งนี้
และช่วงนี้ภาวะของมั่วเย้ผิดปกติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากด่านที่เจ็ด มั่วเย้น่าจะรู้ว่าพลังต่อสู้ระดับจักรพรรดิขั้นกลางแทบไม่สามารถเผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริงได้ จึงลองที่จะแปรเปลี่ยนดู….
แต่ว่าทำไมถึงผิดพลาดได้
ก่อนหน้านี้การแปรเปลี่ยนของมั่วเย้ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน โดยปกติหลังจากเกิดการกระตุ้นแบบนั้นแล้ว วิญญาณของมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามด้วยการก้าวข้ามความสามารถจากการแปรเปลี่ยนตระกูล แต่กลับไม่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติเมื่อตอนอยู่เหวตะขาบครั้งก่อน
“นายท่าน ท่านมีความกังวลอะไรในใจ” ผู้เฒ่าหลีที่ซ่อนอยู่ในแหวนช่องว่างของชู่มู่ถามขึ้น
“อืม” ชู่มู่พยักหน้า
ชู่มู่ไม่ได้บอกเรื่องการแปรเปลี่ยนตระกูลต่อเนื่องของมั่วเย้ให้ผู้เฒ่าหลีรู้ ชู่มู่ในตอนนี้ลังเลว่าจะบอกเรื่องนี้หรือไม่
“ไม่มีอะไรที่ข้าผู้เฒ่าหลีไม่รู้ ! ” เสียงของผู้เฒ่าหลีมีความเยาะเย้ย
“เรื่องเกี่ยวกับการแปรเปลี่ยนตระกูล เจ้ารู้มากเพียงใด” ชู่มู่ถามขึ้น
“นี่…นายท่าน ท่านรู้จักตั้งคำถามจริง ๆ มักถามเรื่องที่คนปกติตอบไม่ได้” ผู้เฒ่าหลีพูดพร้อมฝืนยิ้ม
“ลองบอกมาเถอะ” ชู่มู่บอก
“การแปรเปลี่ยนตระกูล โอกาสนี้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะปรากฏบนตัวดวงวิญญาณที่มีพรสวรรค์มากผิดปกติ พรสวรรค์ที่มากผิดปกติในที่นี้หมายถึงระดับการโจมตีที่มักจะเหนือกว่าระดับมาตรฐานของตระกูลนั้น มีนักปราชญ์เคยอธิบายไว้ว่า ความจริงดวงวิญญาณที่มีสายเลือดแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดผิด แม้จะเป็นคำหยอกล้อ ความจริงก็มีเหตุผลระดับหนึ่ง เพราะดวงวิญญาณที่มีสายเลือดแปรเปลี่ยนมักมีพรสวรรค์สูงกว่ากลุ่มของพวกมันเองมาก ทันทีที่เปลี่ยนร่างใหม่ จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสูงอีกชนิดหนึ่ง”
“กลุ่มยังคงมีการจำกัดของกลุ่มเอง เช่น สิ่งมีชีวิตระดับทาส ต่อให้เพิ่มความแข็งแกร่งอย่างไรก็ไม่อาจเพิ่มพลังต่อสู้จนอยู่ในระดับเดียวกับจักรพรรดิได้ มีเพียงการแปรเปลี่ยนตระกูล ถึงจะเป็นตัวทำลายข้อจำกัดของเจดีย์แห่งชีวิตนี้ได้” ผู้เฒ่าหลีเริ่มพูดพร่ำแล้ว
“เจดีย์แห่งชีวิตคืออะไร” ชู่มู่ถามอย่างไม่เข้าใจ
“เจดีย์แห่งชีวิตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มันจะมีอยู่ตลอดไป เจดีย์แห่งชีวิตเป็นความคิดอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นกฎแห่งธรรมชาติด้วย ดังนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจำต้องเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาตินี้”
“กฎแห่งธรรมชาตินี้จะจัดตามรูปแบบของเจดีย์ จากล่างขึ้นบน ด้านล่างสุดเป็นสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าส่วนที่เรียกว่าสัตว์เดรัจฉาน ก็คือพวกสิ่งมีชวิตเล็กน้อยที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ ความจริงไม่ใช่ว่าพวกมันไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แค่อ่อนแอเกินไป อ่อนแอจนถูกมนุษย์อย่างพวกเจ้าเพิกเฉย”
“พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สุด และมีจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ขึ้นมาอีกหน่อย ก็คือสิ่งมีชีวิตระดับทาสที่มีพลังต่อสู้แล้ว”
“สิ่งมีชีวิตระดับทาสเป็นสิ่งที่มีกลุ่มมากที่สุดในโลกนี้ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์พวกเจ้า ได้บันทึกไว้ว่า กลุ่มระดับทาสมีมากถึงเลขเจ็ดหลักแล้ว…จำไว้ มีจำนวนกลุ่มมากถึงเลขเจ็ดหลัก ! หลายครั้งกลุ่มของระดับทาสอันหนึ่ง ก็อาจมีร่างแยกเป็นหมื่นล้านตัว ! ”
“แม้ระดับทาสจะอ่อนแอที่สุด แต่พวกมันกลับเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดในทั้งประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตนี้ เพราะหลังจากระดับแม่ทัพ ผู้นำ จักรพรรดิจนถึงราชัน ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากวิวัฒนาการของกลุ่มระดับทาสพิเศษบางตัว” ผู้เฒ่าหลีบอก
คำพูดเหล่านี้ของผู้เฒ่าหลีก็ทำให้ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย ถามขึ้นด้วยความตกใจว่า “ระดับหลังจากระดับทาสมาจากการแปรเปลี่ยนของดวงวิญญาณระดับทาสหมดเหรอ”
“อืม ส่วนมากเป็นแบบนั้น เกิดระดับแม่ทัพ ก็เป็นเพราะในระดับทาสมหาศาลนั้น เกิดดวงวิญญาณที่มีสมรรถภาพพิเศษ ดวงวิญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสายเลือดแปรเปลี่ยนนั่นเอง ! ”
“พวกมันแปรเปลี่ยนจากระดับทาสเป็นระดับแม่ทัพ ดวงวิญญาณกลุ่มเดียวกันจะสืบพันธุ์ได้ ทันทีที่ดวงวิญญาณระดับแม่ทัพปรากฏตัวขึ้น มันจะกลายเป็นราชาของกลุ่มนั้นแน่นอน เจ้าน่าจะเข้าใจกฎของผู้แข็งแกร่งอยู่บ้าง เพียงแค่เกิดเหตุการณ์พิเศษขึ้น ในหลายปีต่อจากนี้ ระดับแม่ทัพจะกลายเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มหาศาลมาก”
“ทันทีที่ดวงวิญญาณระดับแม่ทัพกลายเป็นกลุ่มที่ใหญ่แล้ว มักจะมีระดับแม่ทัพที่จะเกิดการแปรเปลี่ยนตระกูล…ดังนั้น จึงเกิดดวงวิญญาณระดับผู้นำขึ้น และระดับจักรพรรดิและระดับราชันนั่นเอง” ผู้เฒ่าหลีลูปเครา ทำท่าทีมากความรู้ออกมา
“ระดับยิ่งสูง ความสามารถหลังเกิดก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น พวกมันก็ยิ่งเหมาะที่จะอยู่บนโลกนี้มากขึ้น ถ้าอย่างนั้นระดับทาสจะไม่สูญพันธุ์ไปเหรอ” ชู่มู่ถามขึ้น
“เจ้าคิดผิดแล้ว เจดีย์แห่งชีวิตสร้างการแบ่งระดับแบบนี้ เป็นการยอมรับการมีอยู่ของการแปรเปลี่ยนในขณะเดียวกัน และจะต้องมีเงื่อนไขจำกัดแน่นอน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สมบูรณ์แบบ และอาจบอกกับเจ้าได้ว่า ดวงวิญญาณระดับราชันใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของดวงวิญญาณระดับทาสได้” ผู้เฒ่าหลีบอก
ดวงวิญญาณระดับราชันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดวงวิญญาณระดับทาสงั้นเหรอ
นี่อะไรกัน ผิดกับความรู้หมด !
“เจ้าพูดกลับกันหรือเปล่า” ชู่มู่พูดเตือนผู้เฒ่าหลี
“แน่นอนว่าไม่ หลายครั้งมนุษย์อย่างพวกเจ้ามองว่า ดวงวิญญาณเป็นแค่ร่างเดี่ยว เพราะมนุษย์อย่างพวกเจ้ามีดวงวิญญาณได้แค่ร่างเดียว ถ้ามองไปยังทั้งเจดีย์แห่งชีวิต ถ้าให้ดวงวิญญาณระดับทาสทั้งหมดสู้กับดวงวิญญาณระดับราชันที่พ่ายแพ้ จะต้องเป็นระดับราชันแน่นอน” ผู้เฒ่าหลีเห็นชู่มู่เริ่มสับสนกับคำพูดตัวเอง กลับทำท่าทีภูมิใจออกมา
“ธรรมชาติยังมีกฎอย่างหนึ่ง กฎนี้คืออัตราการสืบพันธุ์ ระดับราชันมีพลังทำลายล้าง สามารถใช้แรงของตัวเองทำลายสิ่งมีชีวิตนับพันหมื่นได้ แต่ความสามารถในการสืบพันธุ์ของพวกมันกลับถูกจำกัด ยกตัวอย่างเช่น สิ่งมีชีวิตระดับทาสหนึ่งพันล้านกับสิ่งมีชีวิตระดับราชันหนึ่งตัวที่มีความสามารถเทียบเท่ากัน เจ้าคิดว่าโอกาสที่ระดับทาสหนึ่งพัน ล้านตัวจะปรากฏขึ้นมีมากกว่า หรือจะเป็นดวงวิญญาณระดับราชันที่จะมีโอกาสปรากฏตัวได้มากกว่า จำไว้ว่าในเขตเมืองหนึ่ง ชีวิตของระดับทาสก็เกือบถึงหนึ่งพันล้านแล้ว คิดว่าจะมีดวงวิญญาณระดับราชันอยู่ในทุกพื้นที่เหรอ” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ข้ายังไม่มีความคิดแบบนี้ ทว่า การแปรเปลี่ยนเป็นการเกิดหมวดทั้งหมดของดวงวิญญาณ นี่กลับทำให้ข้าประหลาดใจอย่างมาก…” ชู่มู่บอก
หลังจากพูดจบ ชู่มู่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ พูดขึ้นว่า “ไม่สิ อย่างมังกรจำศีลอัมพรมรกตแบบนั้น…”
“นั่นเป็นการสืบพันธุ์แบบแยกส่วน ความสามารถของรุ่นหลังจากอ่อนกว่ามังกรจำศีลอัมพรมรกตเองระดับหนึ่ง มังกรจำศีลอัมพรมรกตเป็นสิ่งมีชีวิตหลัก เรื่องของร่างชีวิตหลักจะบอกกับเจ้าทีหลัง คล้ายกับร้อยแม่หมวดแมลง กลุ่มปีศาจมด กลุ่มผึ้งร้ายนั้น ล้วนเป็นการสืบพันธุ์แบบแยกร่าง” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ได้ เจ้ากลับมาพูดเรื่องเดิมเถอะ ตอนนี้ข้าต้องการรู้ว่า ดวงวิญญาณที่มีสายเลือดแปรเปลี่ยนตัวหนึ่ง จะมีเงื่อนไขจำกัดอะไรบ้าง” ชู่มู่ในตอนนี้อยากรู้ว่า จะทำให้มั่วเย้แปรเปลี่ยนได้อย่างไร
ส่วนสิ่งที่ผู้เฒ่าหลีพูดเกี่ยวกับมุมมองของโลกนี้ หรือจะเป็นเจดีย์แห่งชีวิตนั้น สำหรับมนุษย์ที่อยู่ในเจดีย์แห่งชีวิตอันอ้างว้างแห่งนี้อย่างชู่มู่แล้ว พวกนี้เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป
“ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีสายเลือดแปรเปลี่ยน โดยปกติแค่มีเงื่อนไขนี้ก็แปรเปลี่ยนได้แล้ว” ผู้เฒ่าหลีบอก
“ถ้าสมมติว่า ข้ามีดวงวิญญาณที่มีสายเลือดแปรเปลี่ยนตัวหนึ่ง และในตอนนี้มันอยู่ในช่วงที่กำลังจะแปรเปลี่ยน ข้าจะต้องทำอย่างไร” ชู่มู่ถามขึ้น
“เรื่องนี้ง่ายมาก การต่อสู้ ทันทีที่ดวงวิญญาณอยู่ในระหว่างต่อสู้แล้วพบว่า ความสามารถของตัวเองไม่พอ จะต้องการเพิ่มความสามารถทันที ตอนที่วิญญาณและจิตใจเกิดการกระทบกัน อาจทำให้เกิดการแปรเปลี่ยนได้ง่ายที่สุด…”
“แน่นอนว่า ถ้าระดับของเจ้าต่ำเกินไป ดวงวิญญาณไม่อาจเกิดการแปรเปลี่ยนได้ สัญญาวิญญาณจะรั้งดวงวิญญาณที่จะแปรเปลี่ยนเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ความสามารถของดวงวิญญาณนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป แล้วจะส่งผลต่อจิตของเจ้าของ”
หลังจากฟังคำพูดนี้ของผู้เฒ่าหลี สีหน้าของชู่มู่เปลี่ยนไปทันที !
วินาทีนี้ชู่มู่ได้เข้าใจทุกอย่างกระจ่างแล้ว
การแปรเปลี่ยนของมั่วเย้ไม่สำเร็จ เป็นเพราะร่ายวิญญาณของตัวเองต่ำเกินไป !!!
“ตรงพวกข้ามีคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องการความช่วยเหลือ รบกวนพี่ผู้เฝ้าคนนี้พาพวกข้าออกจากภูเขาเวหาอมตะทีเถอะ” ถิงหลันชี้ไปยังหลีจ่านที่อ่อนแออย่างยิ่ง
ด่านที่แปดเป็นขีดสุดของถิงหลันแล้ว เธอในตอนนี้แค่อยากพาหลีจ่านกลับตำหนักวิญญาณ แล้วให้นักวิญญาณเฒ่าหลีดูแลสถานการณ์ของเขา
ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองเห็นหลีจ่านอย่างรวดเร็ว เขาไม่พูดอะไรอีก รีบกระโดดลงจากดวงวิญญาณหมวดปีก ยกหลีจ่านขึ้นหลังของดวงวิญญาณหมวดปีก
“ดวงวิญญาณหมวดปีกของข้าบรรทุกได้แค่คนเดียว ถ้ามากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อความสมดุลและความเร็ว ข้าพาเขาลงภูเขาไปก่อน จะให้คนรักษาเขาทันที” ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองบอก
ถิงหลันกับซ่างเหิงคิดจะออกจากการฝ่าด่านแล้ว ทว่า พวกเขาก็รู้ว่าหลีจ่านต้องรักษาทันที จึงพยักหน้า ให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองพาหลีจ่านลงเขา
ผู้คนมองดูหมวดปีกของผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองบินขึ้น มองมันบินลงเขาอย่างรวดเร็ว
“พวกเราก็ออกจากที่นี่เถอะ” ชู่มู่บอก
ชู่มู่รู้สึกว่า ผู้แข็งแกร่งนักโทษคนนั้นอาจจะยังอยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่นี่นานเกินไปอาจได้เจอกับเขา
ชู่มู่ในตอนนี้ก็ไม่อยากสู้กับคนที่แข็งแกร่งมากเกินไปเร็วเกินไป แบบนั้นจะเปลืองพลังต่อสู้ ในตอนนี้เขาจึงให้ปีศาจนักรบไม้ปล่อยรากออกไป ก่อเป็นรากที่ปีนได้บนชั้นหน้าผาร้อยเมตรนั้น…
หน้าผาหินเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดเวลาที่ไม่มีจุดลงเท้า หลังจากปีนตามรากของปีศาจนักรบไม้ ไปถึงจุดสูงได้ง่ายขึ้นมาก
“ชู่เฉิง พวกข้าคิดจะออก ไม่จำเป็นต้องลากพวกเจ้าไปด้วย” ถิงหลันเห็นว่า ชู่มู่มีท่าทีจะพาพวกเขามุ่งหน้าต่อไป จึงพูดกับชู่มู่
ดวงวิญญาณไม่น้อยของซ่างเหิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ถ้าสู้ต่อไปก็ไม่มีความหมายมากเท่าไร ดังนั้น เขาจึงไม่คิดจะมุ่งหน้าต่อไปแล้ว
“แถวนี้มีนักโทษที่มีความสามารถแข็งแกร่งมากคนหนึ่ง พวกเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป ถ้าผู้เฝ้าอีกคนไม่ทันได้พาพวกเจ้าออกไป พวกเจ้าจะมีอันตรายถึงชีวิตอีกครั้ง” เย้ชิงจืออธิบายแทนชู่มู่ “ดังนั้น พวกเจ้าออกจากที่นี่พร้อมพวกข้าก่อน”
“แบบนี้…จะรบกวนพวกเจ้าอีกแล้ว” ถิงหลันพยักหน้า
…
ในตอนกลางคืน ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองพาหลีจ่านบินผ่านหมอกที่ลอยตัวระหว่างภูเขา มุ่งลงใต้ภูเขา
ผู้เข้าแข่งขันคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากจริง ๆ ต้องทำการรักษาโดยเร็ว ดังนั้น ผู้เฝ้าจึงไม่รอช้า
บินไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ด้านหน้าผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองมีเงาสีทองเงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ผู้เฝ้ามีการแบ่งระดับเช่นกัน ความสามารถของผู้เฝ้าเกราะทองแข็งแกร่งยิ่งกว่า ผู้เฝ้าเกราะเงินต่ำกว่าเล็กน้อย โดยปกติจะจัดแบ่งโดยตำแหน่งในอำนาจต่าง ๆ ของพวกเขา
“ทำไมเหรอ” ชายเกราะสีทองขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกของเขา มองดูผู้เฝ้าเกราะเงินนี้บินลงเขาอย่างรีบร้อน
“มีผู้เข้าแข่งขันกลุ่มใหญ่ถูกนักโทษโจมตี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องรักษา บริเวณเหวยังมีผู้เข้าแข่งขันสองคนจะออกจากการประลอง ถ้าเป็นทางบ้านของเจ้าก็ไปตรงนั้นหน่อย พาผู้เข้าแข่งขันสองคนที่ได้รับบาดเจ็บออกจากการประลองด้วยเถอะ” ผู้เฝ้าเกราะเงินบอก
“เป็นใครกัน” ผู้เฝ้าเกราะทองถามขึ้น
“เป็นคนของตำหนักวิญญาณ ข้าเห็นคุณถิงหลันของตำหนักวิญญาณ และมีชู่เฉิงตำหนักวิญญาณที่มีชื่อเสียงอย่างมากในช่วงนี้ด้วย” ผู้เฝ้าเกราะเงินบอก “ข้าขอช่วยคนก่อน ขอลงภูเขาไปก่อนนะ”
“อืม ไปเถอะ” ผู้เฝ้าเกราะทองพยักหน้า
หลังจากผู้เฝ้าเกราะเงินพาหลีจ่านจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว ใบหน้าใต้เกราะสีทองกลับเยือกเย็นขึ้น !
ใบหน้าของชายผู้นี้ซีดขาว ใบหน้าเหนื่อยล้า แต่ดวงตากลับเฉียดแหลมราวกับเหยี่ยว โดยเฉพาะในตอนที่ส่องประกายความแค้นและความโกรธเคืองออกมา ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น !
“ในตอนแรก ถ้าไม่ได้เป็นเพราะการมีอยู่ของราชันภูตวิญญาณจักรวาลฟ้า ต่อให้เจ้ากลายร่างเป็นครึ่งมารได้ ข้าเซี่ยกว่างหานก็บีบเจ้าให้ตายได้ ตอนนี้ข้าจะดูว่าเจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้าได้” ชายเกราะสีทองฉีกยิ้มออกมา
ช่วงเวลานี้เขาบินอยู่กลางอากาศตลอด ก็เพื่อตามหาชู่มู่ท่ามกลางผู้เข้าแข่งขันมากมาย ในตอนนี้ได้การชี้ทางบ้างแล้ว เขาไม่ปล่อยให้ชู่มู่หายไปแน่นอน !
ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองที่สวมชุดเกราะสีทองคนนี้ คือเซี่ยกว่างหาน !
ตอนอยู่บ้านแห่งภูตวิญญาณ เซี่ยกว่างหานไม่กล้าอัญเชิญดวงวิญญาณหลักทั้งหมด อีกทั้งมังกรทรายเหลืองที่มีพลังต่อสู้อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสูงและมีราคาสูงยิ่งตัวนี้ถูกชู่มู่ฆ่าตายหมด !
ในตอนนั้นมังกรทรายเหลืองอยู่แค่ลักษณะเจ็ด ถ้าตอนนั้นไม่ตาย เกรงว่าตอนนี้คงฝึกไปจนเกือบถึงลักษณะสิบแล้ว ถ้านำค่ารักษาตัวทั้งหมดมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้มังกรทรายเหลืองอีกละก็ เซี่ยกว่างหานในตอนนี้อาจมีจักรพรรดิชั้นยอดที่ถึงลักษณะสิบตัวหนึ่งแล้ว !
ถ้ามีจักรพรรดิชั้นยอดถึงลักษณะสิบแล้ว ตำแหน่งของเซี่ยกว่างหานคงไม่เหมือนในตอนนี้ แต่ว่าทั้งหมดเป็นเพราะการต่อสู้ที่บ้านแห่งภูตวิญญาณครั้งนั้น ดวงวิญญาณหลายตัวของเขาที่มีพลังต่อสู้สูงมากถูกชู่มู่ฆ่าตายหมดแล้ว !
ตอนนี้เซี่ยกว่างหานฟื้นกลับมาแล้ว เขาในตอนนี้มีเพียงดวงวิญญาณหลักสามตัว แต่ว่าดวงวิญญาณหลักทั้งสามตัวเป็นถึงความสามารถที่แท้จริงของเซี่ยกว่างหาน !!!
…
…
“อู อู อู”
มั่วเย้น้อยกระโดดไปมาระหว่างหินอย่างคล่องแคล่ว กระโดดกลับข้างกายชู่มู่
“มีนักโทษสองคนเหรอ” ชู่มู่ถาม
“อู อู อู” มั่วเย้น้อยพยักหน้าอย่างน่ารัก
ชู่มู่ในตอนนี้มีทั้งหมดสองพันสี่ร้อยล้าน เงินแค่นี้ไม่พอแน่นอน ในเมื่อมีนักโทษปรากฏตัว เขาย่อมต้องเก็บชีวิตพวกเขา !
“พวกเจ้าพักผ่อนที่นี่ ข้าไปแล้วเดี๋ยวกลับมา” ชู่มู่พูดกับเย้ชิงจือ ถิงหลัน และซ่างเหิง
ผ่านการรักษาของดวงวิญญาณเย้ชิงจือ แผลของถิงหลันกับซ่างเหิงฟื้นกลับมาครึ่งหนึ่งแล้ว วิญญาณของทั้งสองคนไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น ถ้าฟื้นพลังวิญญาณกับบาดแผลของดวงวิญญาณได้ ยังคงมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากอยู่
ตกดึกแล้ว เย้ชิงจือให้กระดิ่งแก้วตาวางกับดักกล่อม เพื่อไม่ให้ถูกสังเกตได้ง่ายโดยรอบ ๆ และป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบเข้าใกล้
“พวกเจ้าพักผ่อนเถอะ ตรงนี้น่าจะปลอดภัยหน่อย” เย้ชิงจือบอก
ซ่างเหิงพยักหน้า เขาที่เหนื่อยล้านั่งพักผ่อนอยู่ด้านข้าง ส่วนถิงหลันกับดวงวิญญาณของเธอพักอยู่ด้านข้าง เธอที่เจอทั้งเรื่องดีและร้ายมากมายแบบนี้ต้องการนอนหลับพักผ่อนจริง ๆ
…
อีกด้านของภูเขา ชู่มู่เหยียบลงบนศพของนักโทษขั้นเจ็ดสองคนอย่างไร้สีหน้าใด ๆ นำแหวนนักโทษในมือของพวกเขาออก
บวกกับแหวนนักโทษสองคนนี้ ชู่มู่ได้เงินทั้งหมดเป็นสองพันห้าร้อยล้าน
ตามการประเมินของชู่มู่ เมื่อถึงวันหลัง ๆ ตอนที่จำนวนของผู้เข้าแข่งขันกับนักโทษเท่ากันแล้ว หากชู่มู่คิดจะเก็บแหวนนักโทษ ก็ต้องแย่งจากผู้เข้าแข่งขันคนอื่น
ถึงตอนนั้น จะกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้เข้าแข่งขันกันเอง !
หลังจากจัดการนักโทษสองคนนี้แล้ว ชู่มู่ได้เดินกลับทางเดิม
“อู อู อู” ทันใดนั้น มั่วเย้น้อยส่งเสียงร้องให้ชู่มู่มาตรงนี้อย่างประหลาด
ชู่มู่เดินเข้าไป พบว่ามีของเหลวบางอย่างที่ข้นเหนียวใต้ดิน มองดูเหมือนของเหลวของดวงวิญญาณหมวดแมลงบางอย่าง
“นี่…ทำไมรู้สึกเหมือนของเหลวของปีศาจแมลงตะกละ” ชู่มู่พึมพำ
ชู่มู่ได้รับมือกับปีศาจแมลงตะกละเป็นเวลานานมากแล้ว ชู่มู่จำกลิ่นของเหลวพวกนี้ได้ดี เขาแอบตกใจว่า หรือว่าในด่านที่แปดจะมีคนมีดวงวิญญาณที่น่ากลัวและพบเห็นได้ยากอย่างร้อยแม่นี้อยู่
“แห้งบ้างแล้ว เหมือนจะทิ้งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว” ชู่มู่บอก
“อู อู อู” มั่วเย้น้อยพยักหน้า
“กลับไปก่อนเถอะ ให้พวกเขาเตรียมใจไว้ก่อน ถ้าเป็นปีศาจแมลงตะกละละก็ พวกมันจะมีความสามารถอำพรางตัว ต้องระวังตัวให้มากขึ้น” ชู่มู่บอก
…
ชู่มู่กลับไปยังที่พัก นำเรื่องเกี่ยวกับปีศาจแมลงตะกละบอกกับเย้ชิงจือ
เย้ชิงจือขมวดคิ้วเข้าหากัน ปีศาจแมลงตะกละเป็นพวกที่จัดการยากยิ่งจริง ๆ โดยเฉพาะพวกมันมีความสามารถในการอำพราง หากไม่ระวังจะเสียชีวิตได้
“นักโทษที่ควบคุมปีศาจแมลงตะกละคนนั้นน่าจะไม่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ อัญเชิญอสูรนิมิตชุดม่วงของเจ้าออกมาเถอะ ถ้ามีสถานการณ์ผิดปกติมันจะรับรู้ได้ทันที” ชู่มู่บอกกับเย้ชิงจือ
เย้ชิงจือพยักหน้า เก็บภูตอัคคีน้ำแข็งที่ความเร็วค่อนข้างช้ากลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ แล้วอัญเชิญอสูรนิมิตชุดม่วงออกมา
อสูรนิมิตชุดม่วงของเย้ชิงจือแข็งแกร่งกว่าเย้ของชู่มู่อย่างมาก ชู่มู่ในตอนนี้เน้นการโจมตีเป็นหลัก อสูรสายฟ้านิมิตราตรีไม่เหมาะกับการโจมตีที่ดุเดือดเกินไป ดังนั้น ชู่มู่จึงไม่ได้อัญเชิญมันออกมา
เย้ชิงจือมอบยาพลังวิญญาณให้กับชู่มู่ พูดกับชู่มู่ว่า “นี่ทำให้พลังวิญญาณของเจ้าฟื้นกลับมาทวีคูณได้ คืนนี้ถ้าเจ้าทำสมาธิละก็ จะฟื้นพลังวิญญาณที่ใช้ไปก่อนหน้านี้ได้”
“อืม” ชู่มู่กินยาพลังวิญญาณลงไป สัมผัสได้ว่า พลังวิญญาณของตัวเองเกิดการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในตอนนั้นจึงนั่งพิงข้างหิน
“อู อู”
ถ้าชู่มู่ทำสมาธิละก็ มั่วเย้น้อยมักจะกระโดดเข้าไปนอนในตักของชู่มู่ ทว่า ครั้งนี้มั่วเย้กลับไม่ได้ทำแบบนั้น กลับกระโดดไปมาบนตัวปีศาจนักรบไม้อย่างตื่นเต้น
“ชู่มู่ ช่วงนี้มั่วเย้น้อยของเจ้าเหมือนจะสดใสเป็นพิเศษ” เย้ชิงจือนั่งอยู่ข้างชู่มู่ ยิ้มแล้วมองไปยังมั่วเย้น้อย
ชู่มู่ลืมตามขึ้น พบว่ามั่วเย้น้อยวิ่งไปบนหัวของสิงโตปีกดาบสายฟ้าของซ่างเหิงด้วยความซน พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “อืม ช่วงนี้มันไม่ค่อยนอน เมื่อก่อนแค่กินอิ่มก็นอนแล้ว…”
ร่างของสิงโตปีกดาบสายฟ้าใหญ่โตมาก แต่มั่วเย้น้อยไวเกินไป เหวี่ยงอย่างไรก็ไม่ลงมา ทำได้แค่ปล่อยให้จิ้งจอกน้อยตัวนี้ดึงขนของมันด้วยสีหน้าเอือมระอา
“เมื่อดวงวิญญาณเกิดปรากฏการณ์ประหลาด เป็นลางของเหตุการณ์พิเศษบางอย่าง เจ้าต้องใส่ใจมากขึ้น” เย้ชิงจือพูดเตือน
“ลางเหตุการณ์พิเศษงั้นหรือ” ชู่มู่ลูบคางแล้วใช้ความคิด
จะว่าไป มั่วเย้ห่างจากการแปรเปลี่ยนตระกูลครั้งก่อนเป็นเวลานานมากแล้ว อีกทั้งชู่มู่จำได้ว่า ผู้เฒ่าหลีเคยบอกกับตัวเอง ในตอนที่จั้นเย้ตกลงไปในเหว สภาพของมั่วเย้แปลกอย่างมาก
มองดูนักโทษคนสุดท้ายที่ตายด้วยมงกุฎเพลิงของจิ้งจอกอัคคีเก้าหางอย่างอนาถ ถิงหลันกลับไร้สีหน้าใด ๆ
ไม่ว่าจะฆ่านักโทษมากเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ใจของเธอสงบลงได้ ไม่สามารถทำให้หลีจ่านมีชีวิตขึ้นมาได้ นึกถึงตรงนี้ เธอรีบขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกบินไปยังบริเวณที่มีหลุมยักษ์ใหญ่ คิดจะหาศพของหลีจ่าน
ชู่มู่ไม่พูดอะไรอีก เก็บแหวนนักโทษทั้งหมดที่คลายผนึกออกจากตัวนักโทษ
นักโทษขั้นแปดสี่คน นักโทษขั้นเจ็ดสิบสองคน ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งพันสี่ร้อยล้าน !!!
“ชิงจือ ชิงจือ !!! ” ทันใดนั้น เสียงรีบร้อนของถิงหลันดังขึ้น
“ทำไมเหรอ” เย้ชิงจือถามขึ้น
ตอนที่อยู่ในตำหนักวิญญาณเย้ชิงจือได้รู้จักกับถิงหลันแล้ว เย้ชิงจือเคยไปเมืองศักดิ์สิทธิ์เชิญหงส์กับถิงหลันครั้งหนึ่ง ถิงหลันเองก็ได้ช่วยเย้ชิงจือให้ได้วัตถุดิบยาที่ไม่ขายในตำหนักวิญญาณมา
“หลีจ่าน…หลีจ่าน เขาเหมือน…เขาเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่…” เสียงของถิงหลันปนด้วยความดีใจที่เก็บไว้ไม่อยู่ !
เย้ชิงจืออึ้งเล็กน้อย พาวารีจันทราและภูตไม้หมุนวิ่งไปยังตำแหน่งที่ถิงหลันอยู่
ถิงหลันให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นย้ายหินที่ทับบนตัวหลีจ่านออก ในไม่ช้าหลีจ่านที่ร่างกายเน่าเหมือนศพได้ปรากฏข้างใต้หิน
โชคดีอย่างมากคือ หัวของหลีจ่านอยู่ระหว่างช่องว่างของหินก้อนใหญ่สองก้อนพอดี ได้ปกป้องหัวของหลีจ่านเอาไว้
ตอนที่เย้ชิงจือพาวารีจันทราวิ่งมา ถิงหลันได้ขุดหลีจ่านออกมาแล้ว และด้านหน้าหลีจ่าน เต็มไปด้วยเกราะที่ปนด้วยเลือดมากมาย เกราะเหล่านี้เป็นเกราะของอสูรเกราะที่มีการป้องกันแข็งแกร่งตัวหนึ่งของหลีจ่าน
ไม่เห็นศพของอสูรเกราะตัวนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่า ได้กลายเป็นเศษในตอนที่ถูกเหล่านักโทษโจมตีก่อนหน้านั้นแล้ว หรือเป็นเพราะการพลีชีพของอสูรเกราะ ถึงทำให้เจ้าของของมันยังมีชีวิตอยู่ได้
ร่างกายของหลีจ่านเน่าเปื่อยอย่างมาก แขนทั้งสองแทบขาดออกจากกัน หน้าอกข้างขวาถูกระเบิดจนเต็มไปด้วยเลือด ถ้ารูเลือดนี้เอียงไปทางซ้ายอีก หัวใจของหลีจ่านจะสลายแน่นอน
บนตัวของหลีจ่านมีประกายแสงดาวที่อ่อนแออย่างมากอยู่ นั่นเป็นผลของเกราะวิญญาณขั้นแปด
“วิญญาณของเขากำลังกระจายออก” สีหน้าของเย้ชิงจือหนักหน่วงขึ้น ประกายของเกราะวิญญาณกำลังกระจายออกมาด้านนอก เท่ากับว่าเกราะวิญญาณนี้ได้แตกสลายแล้ว และวิญญาณกำลังจะตายลง อย่างไรก็ตาม เกราะวิญญาณได้แนบติดบนวิญญาณ
ดวงตาของถิงหลันเป็นสีแดงอีกครั้ง ทำได้แค่ใช้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังเย้ชิงจือ หวังว่าเย้ชิงจือจะช่วยให้หลีจ่านมีชีวิตกลับมาได้
ชู่มู่กับซ่างเหิงได้เดินมาที่นี่เช่นกัน ชู่มู่มองไปยังบาดแผลอันน่ากลัวบนตัวหลีจ่าน
ในภาวะปกติ แผลแบบนี้ต้องตายลงแล้ว ทว่า พลังชีวิตของหลีจ่านกลับดื้อดันอย่างมาก จนถึงตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่
“ข้าต้องให้กระดิ่งแก้วตามใช้เกสรรักษาวิญญาณของเขา” เย้ชิงจือก็ไม่รับประกันว่า ตัวเองจะช่วยให้หลีจ่านมีชีวิตรอดมาได้ อย่างไรก็ตาม แผลบนตัวหลีจ่านสาหัสเกินไปแล้ว มีหลายจุดต้องใช้เวลารักษานานถึงจะฟื้นกลับมาได้ ในตอนที่บาดแผลสาหัสทั้งหมดนี้ตกอยู่บนร่างเดียว แล้วมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแล้ว
หลังจากพูดจบ เย้ชิงจือเก็บภูตไม้หมุนกลับช่องว่างดวงวิญญาณ อัญเชิญกระดิ่งแก้วตาดวงวิญญาณหมวดดอกไม้ออกมา
กระดิ่งแก้วตาเป็นดวงวิญญาณที่ชู่มู่จับได้ตอนอยู่ในป่าไม้ปีศาจบรรพกาล เย้ชิงจือต้องการดวงวิญญณหมวดดอกไม้พอดี จึงกลายเป็นดวงวิญญาณของเย้ชิงจือ
การโจมตีของกระดิ่งแก้วตาแทบจะเป็นศูนย์ ดวงวิญญาณแบบนี้เน้นการรักษาและการช่วยเหลือที่สุด ความสามารถในการเยียวยาของมันแข็งแกร่งกว่าวารีจันทราของเย้ชิงจืออีก โดยเฉพาะในตอนที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ข้าลองดูว่ารอบ ๆ นี้มีเรื่องอะไรอีก นักโทษรวมตัวกันแบบนี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก” ชู่มู่บอก
ในเรื่องช่วยคนอื่นชู่มู่ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ดังนั้น ยืนอยู่ตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์
“ระวังตัวหน่อย” เย้ชิงจือพยักหน้า หลังจากพูดจบได้ร่ายคาถาขึ้น เริ่มรวมทักษะวิญญาณ ป้องกันไม่ให้วิญญาณของหลีจ่านกระจายออก
…
“อู อู อู อู”
หลังจากจบการต่อสู้ มงกุฎเพลิงบนตัวมั่วเย้ลุกโชนขึ้น ได้กลายเป็นร่างจิ๋วท่ามกลางเปลวไฟ กระโดดขึ้นบนไหล่ของชู่มู่อย่างคล่องแคล่ว หางแปดเส้นห้อยลงจากคอของชู่มู่ ส่วนหางอีกเส้นหนึ่งพันรอบคอของชู่มู่…
ภาวะอาวรณ์ของมั่วเย้จะช่วยให้มันเก็บพลังงานได้ และจะทำให้แรงกายฟื้นกลับมาเร็วขึ้นเล็กน้อยด้วย มั่วเย้น้องก็ชอบหมอบอยู่บนไหล่ของชู่มู่ ทำท่าทีพร้อมหลับ แต่ดวงตาที่มีชีวิตชีวาคู่นั้น คอยสังเกตสถานการณ์รอบ ๆ
เหล่านักโทษส่วนใหญ่ถูกสมาชิกฝ่ายจัดการประลองแบ่งกระจายออก ในเวลาและสถานที่ต่างกัน อย่างกลุ่มของไช่จี้ก่อนหน้านี้นับว่าเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
และแล้ว บวกกับนักโทษที่ถูกซ่างเหิง หลีจ่าน ถิงหลันฆ่าตายก่อนหน้านี้ มีนักโทษทั้งหมดเกือบยี่สิบคน นักโทษเป็นกลุ่มแบบนี้เมื่ออยู่รวมกันยากที่จะรับมือได้ อีกทั้งเหตุการณ์แบบนี้ก็ประหลาดอย่างมาก
“รวมคนเยอะขนาดนี้ได้ เท่ากับว่าจะมีคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งอย่างมาก ที่จะทำให้นักโทษเหล่านี้สะเทือนได้ใช่ไหมล่ะ มิฉะนั้น ด้วยนิสัยของนักโทษแล้ว จะรวมกลุ่มเกือบยี่สิบคนได้อย่างไร” ชู่มู่คาดเดา
เหล่านักโทษต่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ยี่สิบคนอยู่ด้วยกันแบบนี้ คาดว่าพวกเขาทั้งหมดคิดจะจับผู้เข้าแข่งขันเกือบร้อยคนเพื่อลดโทษ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน ดังนั้น พวกเขาทำแบบนี้ได้อาจเป็นเพราะใครบางคน
ในไม่ช้า ชู่มู่นึกถึงศพที่อยู่บนเส้นทางภูเขาไม่กี่วันก่อนหน้านี้ หรือนั่นเป็นนักโทษที่มีความสามารถแข็งแกร่งจนไม่อาจเดาได้
ความสามารถของนักโทษยี่สิบคนนี้ธรรมดาอย่างมาก อย่างน้อยไม่มีคนใดแข็งแกร่งกว่าไช่จี้ และชู่มู่ได้จงใจมองไปรอบๆ ไม่พบเงาของนักโทษคนนั้น ท่าทางเขาไม่อยู่ในกลุ่มนักโทษเหล่านี้
แน่นอนว่า ถ้านักโทษเหล่านี้รวมตัวเพราะคนๆหนึ่งละก็ เขาจะต้องอยู่แถวนี้แน่นอน แต่ไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ หรือว่า เขารู้ว่าผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า ไม่กล้าใกล้ที่นี่แล้ว
หลังจากแน่ใจว่ารอบ ๆ ปลอดภัยแล้ว ชู่มู่ได้กลับไปที่ชั้นเหวอย่างรวดเร็ว
หลังจากชู่มู่กลับมา เย้ชิงจือได้ทำการรักษาเบื้องต้นให้หลีจ่านเรียบร้อยแล้ว ที่ทำให้ชู่มู่ประหลาดใจอย่างมากคือ เจ้าคนที่มีพลังชีวิตดื้อดันคนนี้กลับฟื้นขึ้นมาได้
“เขาได้กินวัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองไม่น้อย ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งกว่าผู้คุมดวงวิญญาณทั่วไปหลายเท่า วิญญาณของเขาอยู่ในภาวะที่อ่อนแอมาก กระดิ่งแก้วตาของข้าทำได้แค่ให้วิญญาณของเขาฟื้นกลับมาเล็กน้อย ถ้าจะให้รักษาจนพ้นอันตรายจำต้องใช้เกสรเยียวยาวิญญาณกับน้ำค้างหล่อเลี้ยงวิญญาณ…” เย้ชิงจือพูดกับถิงหลันและซ่างเหิง
ถิงหลันพยักหน้าแรง ๆ เห็นหลีจ่านลืมตาขึ้น สะอื้นจนพูดไม่ออก แต่น้ำตากลับไหลไม่หยุด
สติของหลีจ่านยังไม่ดีเท่าไร แต่เห็นถิงหลันปลอดภัย ได้ฝืนยิ้มด้วยใบหน้าซีดขาวออกมา
หลังจากนั้น เหมือนหลีจ่านนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าตึงเครียดทันที ใช้เสียงที่แผ่วเบาพูดขึ้นว่า “นัก…นักโทษพวกนั้นละ…”
“ไม่ต้องห่วง นักโทษพวกนั้นถูกชู่เฉิงฆ่าตายไปแล้ว” ซ่างเหิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ชู่…ชู่เฉิงงั้นหรือ” หลีจ่านพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ใช่แล้ว ชู่เฉิงกับเย้ชิงจือช่วยพวกเราเอาไว้” ถิงหลันบอก
สีหน้าของหลีจ่านยังคงแข็งทื่ออย่างมาก แต่ยังคงเห็นความสะพรึงจากนัยน์ตาของเขาได้ !
หลีจ่านย่อมไม่รู้ว่า ทำไมชู่เฉิงถึงมีความสามารถแบบนี้ได้ ฆ่านักโทษสิบหกคนได้หมด ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้แม้แต่หลีจ่านไม่เคยคิดว่า ชู่เฉิงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจะอยู่ในรายชื่อคู่ต่อสู้ของตัวเอง !
ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงในขั้นสองของตำหนักวิญญาณเป็นฟางเจ๋อ หลัวปิง ความสามารถของหลีจ่านที่จัดว่าอ่อนกว่ายังอยู่ในลำดับที่สาม แทบไม่มีใครนำหน้าได้ ถ้าบอกว่า ชู่มู่กับเย้ชิงจือฆ่านักโทษมากมายขนาดนี้ได้ เท่ากับว่าความสามารถของชู่เฉิงอาจถึงระดับของหลัวปิงหรือนายท่านฟางเจ๋อแล้ว
“พวกเจ้า…พวกเจ้า…ทำไม…ถึงช่วยพวกข้า” นอกจากตกใจกับความสามารถของชู่มู่ หลีจ่านยิ่งไม่เข้าใจว่า ต่อให้เป็นสมาชิกตำหนักวิญญาณเหมือนกัน ก็ไม่จำต้องเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยคนที่จะตายอย่างเขาและเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ในการประลองฟ้าดินนี้ต่อให้เป็นสมาชิกอำนาจเดียวกันก็อาจกลายเป็นศัตรูในตอนท้ายก็ได้
หลีจ่านถามแบบนี้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของถิงหลันได้จับจ้องไปยังชู่มู่ นี่เป็นครั้งที่สองที่ชู่มู่ช่วยเธอเอาไว้แล้ว คำว่าขอบคุณคงไม่พอที่จะบอกความตื้นตันใจของเธอได้แล้ว
“นี่เป็นนิสัยของชู่เฉิง!และเป็นความมุ่งมั่นและคำสั่งของตำหนักวิญญาณ ไม่ว่าจะอยู่ในการประลองฟ้าดิน เมื่อเพื่อนพ้องตกอยู่ในความลำบาก เขาจะมาช่วยแน่นอน…”ซ่างเหิงพูดพร้อมตบไหล่ของชู่มู่
ชู่มู่ไม่พูดอะไร กลับพูดอย่างเรียบ ๆ ว่า “นักโทษขั้นแปดสี่คน นักโทษขั้นเจ็ดสิบสองคน ทั้งหมดหนึ่งพันสี่ร้อยล้าน ข้าต้องการเงินทุนมหาศาลเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ดวงวิญญาณของข้า”
หลังจากซ่างเหิงได้ยินคำพูดนี้ของชู่มู่ กลับอึ้งเล็กน้อย หรือว่าเหตุผลที่ชู่มู่ลงมือก็เพราะแหวนนักโทษของนักโทษฝูงใหญ่
ถิงหลันเองก็กะพริบตาคู่งามมองไปยังชู่มู่
ถิงหลันพบว่า คนอย่างชู่มู่มีข้อเสียอย่างมากคือ เป็นคนที่ซื่อสัตย์เกินไปแล้ว !
ต่อให้มาเพื่อเงินก้อนใหญ่ ก็ไม่จำต้องพูดออกมาก็ได้ เช่นเดียวกับตอนที่นำภูตพันวายุกลับมาในครั้งก่อน ไม่ต้องบอกว่าตัวเองอยากได้ภูตพันวายุ ถิงหลันจะต้องซาบซึ้งกับการกระทำของชู่มู่อย่างมากแน่นอน
เย้ชิงจือเองก็หัวเราะเล็กน้อย ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับชู่มู่ว่า “ทำไมไม่เอาทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ไปด้วยเลยล่ะ ถิงหลันบอกว่าครั้งที่แล้วเจ้าก็เป็นแบบนี้…”
ชู่มู่หันกลับมามองเย้ชิงจือที่มีรอยยิ้มมากเสน่ห์ พูดอย่างจริงใจว่า “นอกจากเจ้า ข้าจะไม่ทำเรื่องที่ไม่มีผลตอบแทนให้ใคร..”
“เหลวไหล” แก้มของเย้ชิงจือกลายเป็นสีแดง ไม่กล้ามองไปยังดวงตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของชู่มู่อีก
…
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ลมที่พัดอย่างยุ่งเหยิงมาจากกลางอากาศ ตามด้วย เงายักษ์ใหญ่ที่ปกคลุมบนหัวของพวกเขาทั้งหลาย
“ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองมาถึงแล้ว” ซ่างเหิงเงยหน้าขึ้น เห็นผู้เฝ้าฝ่ายจัดการปรอลองที่สวมชุดเกราะสีเงินทันที
หลังจากผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองเห็นศพที่กระจายทั่วพื้นแล้ว ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ดวงวิญญาณหมวดปีกของเขาได้ลงจอดตรงหน้าของพวกชู่มู่อย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าฆ่าทั้งหมดนี่เหรอ” ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองถามอย่างประหลาดใจ
ที่นี่มีศพของดวงวิญญาณเกือบสามสิบศพ อีกทั้งต่างอยู่ในระดับผู้นำลักษณะสิบ คนเท่านี้ได้ฆ่าดวงวิญญาณมากมายขนาดนี้เหรอ แม้แต่ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองเองก็ไม่มั่นใจว่า จะจัดการทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว !
ความสามารถของผู้นำชั้นยอดเทียบเท่ากับจักรพรรดิขั้นกลาง แต่มั่วเย้กลับสูงกว่าพวกมันถึงสองขั้น ตามการช่วยเหลือของภูตไม้หมุนกับวารีจันทรา ต่อให้มั่วเย้เผชิญหน้ากับผู้นำชั้นยอดทั้งสามก็ยังมีแรงเหลือเฟือ !
ในไม่ช้า ผู้นำชั้นยอดตัวหนึ่งถูกหางของมั่วเย้เหวี่ยงขึ้น ด้วยพลังของเก้าหางมังกรดับ ทำให้สูญสิ้นพลังต่อสู้ด้วยหางเก้าเส้นทรงพลังนี้ทันที นักโทษขั้นแปดคนนั้นจำต้องกัดฟันแล้วเก็บดวงวิญญาณตัวนี้กลับไปในช่องว่างดวงวิญญาณ !
หนึ่งต่อสี่ !
สีหน้าของนักโทษขั้นแปดทั้งสี่คนแย่มากแล้ว ก่อนหน้านี้หัวหน้านักโทษขั้นแปดผมฟูยังคิดว่า ตัวเขาคนเดียวก็จัดการชู่มู่ได้แล้ว และแล้วตามเวลาที่ต่อสู้ ดวงวิญญาณนี่สิบเอ็ดตัวของนักโทษลดลงเกินครึ่งแล้ว ในนั้นยังมีนักโทษขั้นเจ็ดหลายคนตายด้วยทักษะอันทรงพลังของดวงวิญญาณทั้งสามด้วย
จนถึงตอนนี้ พวกเขาทำได้แค่พึ่งพิงผู้นำชั้นยอดสี่ตัวที่เหลืออยู่
“อ๊า !!! ”
ทันใดนั้น เสียงร้องแหลมดังขึ้น หัวหน้าผมฟูหันกลับไปมอง พบว่านักโทษขั้นแปดคนหนึ่งล้มอยู่กับพื้น แขนของเขาแยกจากร่างกาย เลือดสดทะลักออก
ด้านข้างนักโทษคนนี้ ลำตัวของผู้นำชั้นยอดที่สู้กับอสูรนกสวนสงครามได้นอนอยู่บนพื้น แผลลึกเส้นหนึ่งลากยาวตั้งแต่หัวไปจนถึงบริเวณเอวของผู้นำชั้นยอด !
ผู้นำชั้นยอดตัวนี้ได้สิ้นชีวิตลงแล้ว แต่แผลของมันยังคงถูกพลังมืดกัดกร่อน กล้ามเนื้อและกระดูกกลายเป็นเลือดสีดำอย่างช้า ๆ ไหลออกจากแผลไม่หยุด !
“ตาย…ตายอีกตัวแล้ว !!! ” สีหน้าของหัวหน้าผมฟูหมองคล้ำอย่างมาก ผู้นำชั้นยอดหกตัวถูกฆ่าตายไปแล้วสามตัว สามตัวที่เหลืออยู่แทบรับมือไม่ได้ !!!
“ฝ่ายตรงข้ามมีดวงวิญญาณเสริมสองตัว สามารถรักษาได้ พวกเรา…พวกเราสู้กับพวกเขานานขนาดนี้แล้ว ดวงวิญญาณของพวกเขากลับไม่มีตัวใดได้รับบาดเจ็บสาหัส ! ” น้ำเสียงของนักโทษขั้นแปดอีกคนหนึ่งอ่อนแรงอย่างมาก มองดูไม่มีความคิดที่จะสู้ต่อแล้ว !
ดวงวิญญาณทั้งหมดยี่สิบเอ็ดตัวของเหล่านักโทษ หลังจากสิบสามอัคคีที่พุ่งลงได้ฆ่าตายไปสี่ตัว บาดเจ็บสาหัสสามตัว พูดได้ว่า ทักษะเดียวก็ทำให้ดวงวิญญาณเจ็ดตัวหมดประโยชน์แล้ว ในนั้นยังมีดวงวิญญาณหมวดปีกสามตัวถูกถิงหลันควบคุมเอาไว้ ดวงวิญญาณสิบเอ็ดตัวที่เหลือได้รับบาดเจ็บในระดับหนึ่ง สุดท้ายยังถูกมั่วเย้และอสูรนกสวนสงครามลึกลับฆ่าตายไปหลายตัว !
ก่อนหน้านี้เหล่านักโทษถือว่าคนเยอะจะได้เปรียบกว่า แต่จำนวนของดวงวิญญาณละลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน นักโทษขั้นเจ็ดถูกฆ่าตายอย่างต่อเนื่องอีก จำนวนคนน้อยลงอย่างมากแล้ว !
ซ่างเหิงมาค่อนข้างช้า เดิมเขาคิดจะต่อสู้ด้วยแผลที่อยู่บนตัว อย่างไรก็ตาม จำนวนของนักโทษมากเกินไป และแล้วในตอนที่เขามาถึงที่นี่ สถานการณ์ต่อสู้แทบไม่ต้องการเขาแล้ว ภารกิจของเขากลายเป็นให้จัดการนักโทษขั้นเจ็ดที่เสียดวงวิญญาณสองตัวและคิดที่จะหนีไปเหล่านั้น !
การต่อสู้กลางอากาศของถิงหลันก็ใกล้จะจบลงแล้ว ดวงวิญญาณหมวดปีกทั้งสามตัวเริ่มถูกดวงวิญญาณของเธอหักปีกแล้ว
มองจากที่สูงลงมา ถิงหลันสามารถมองเห็นเงาสีดำที่ขี่จิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงนั้นได้ เธอจับจ้องไปยังชู่มู่ มองดูชายผู้เยือกเย็นที่ทะลุไปมาระหว่างนักโทษเหล่านั้น
ผู้นำสองตัวที่เหลือต่อให้จัดการยากเพียงใดก็ไม่สามารถขวางมั่วเย้ที่มีความเร็วสูงได้ ต่อไปจะเป็นช่วงเวลาฆ่าล้างของมั่วเย้ !!!
นักโทษขั้นเจ็ดทั้งหมดสิบสองคน เช่นเดียวกับที่ชู่มู่บอกก่อนหน้านี้ ชู่มู่ไม่คิดว่า นักโทษเหล่านี้เป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นนักโทษที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บนอนอยู่กับพื้น หนือจะเป็นนักโทษที่ขี่ดวงวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ ทุกครั้งที่ชู่มู่กับจิ้งจอกอัคคีเก้าหางปรากฏตัวขึ้น จะต้องมีนักโทษตายด้วยกรงเล็บโหดร้ายนี้แน่นอน !!!
“อ๊า !!! อ๊า !!! ”
เสียงร้องดังขึ้นไม่หยุด ก่อนหน้านี้ไม่นาน เสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจของเหล่านักโทษยังดังก้องกังวานในหูของเธอ ทำให้เธอเกือบเสียสติ แต่ในตอนนี้ เหล่านักโทษได้รับโทษที่พวกเขาควรได้รับแล้ว แต่ละคนตายลงด้วยความหวาดกลัว เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งได้กลายเป็นเสียงร้องโอดครวญไว้ชีวิต !
และทั้งหมดนี้ เป็นเพราะชายที่ปล่อยพกลิ่นอายอาฆาตของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่คนนั้น
ก่อนด่านที่เจ็ด ถิงหลันคิดว่า ความสามารถของชู่มู่ไม่ต่างจากเธอและซ่างเหิงมากเท่าไร แต่ว่าสิ่งที่เธอเห็นในตอนนี้กลับเป็นความสามารถอันแท้จริงของชายที่ได้ฝึกตัวอยู่ด้านนอกท่ามกลางความนองเลือดมาตลอด !
เหล่านักโทษที่ถิงหลัน หลีจ่าน ซ่างเหิงยากที่จะรับมือได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปล่อยให้ชู่มู่ฆ่าล้างได้ ส่วนนักโทษที่ยังมีชีวิตอยู่กลับถูกปกคลุมด้วยเงาแห่งความตาย พวกเขาต่างเป็นผู้คุมดวงวิญญาณที่มีชีวิตมาแล้วสามสิบกว่าปี จากความเข้าใจของพวกเขา ในรุ่นวัยหนุ่มแทบไม่มีคนที่จะเอาชนะฝูงนักโทษอย่างพวกเขาได้
และแล้วพวกเขายังคงเจอกับวัยหนุ่มระดับผิดปกตินี้ ตอนนี้กลับถูกฆ่าตายอย่างต่อเนื่องราวกับสัตว์เดรัจฉาน !
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้…พวกเรามีคนเยอะขนาดนี้…” นักโทษขั้นแปดที่ผู้นำชั้นยอดสองตัวถูกฆ่าตายราวกับได้เสียวิญญาณไป ยืนอยู่ท่ามกลางศพและกองเลือดด้วยความอึ้ง
ในสิบนาทีก่อนหน้านี้ นักโทษคนนี้ยังจินตนาการถึงร่างของผู้คุมดวงวิญญาณหญิงอยู่ สิบนาทีหลังจากนั้น หัวของเขากลับถูกเติมเต็มด้วยความหวาดกลัว จะมีความคิดร้ายแม้แต่นิดได้อย่างไร อีกทั้งวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บทำให้พวกเขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะหนีไป !
“ซัวะ !!!”
เงาสีเงินตวัดผ่านข้างการของนักโทษขั้นแปดคนนี้อย่างลึกลับ นักโทษขั้นแปดคนนี้นิ่งอึ้ง เงยหน้าขึ้น กลับเห็นสายตาเฉยเมยของชายชุดดำที่อยู่บนจิ้งจอกอัคคีเก้าหางตัวนั้น
ความรู้สึกเย็นเยียบบริเวณลำคอกระจายไปทั่วร่าง นักโทษขั้นแปดคนนี้ใช้มือลูบคอของตัวเองด้วยสัญชาตญาณ แต่เลือดสดกลับทะลักออกมาอย่างไม่หยุด !
“อู อืม” ลำคอถูกตัดออก เสียงร้องเจ็บปวดแทบร้องออกมาไม่ได้
ในไม่ช้า นักโทษขั้นแปดเบิกตากว้าง ล้มลงอย่างช้า ๆ ตายไปอย่างสิ้นเชิง !
นักโทษขั้นแปดสี่คน ตอนนี้เหลือเพียงสองคน ใบหน้าของหัวหน้านักโทษขั้นแปดยังกระตุกอยู่ สีหน้าแย่มาก
เขารู้ว่าหมดอำนาจแล้ว เขากวาดตามองไปยังนักโทษอีกคนที่อยู่ด้านข้าง อาศัยตอนที่ผู้นำชั้นยอดของนักโทษขั้นแปดคนนี้ถูกมั่วเย้ไล่โจมตี ได้เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน…
หัวหน้านักโทษขั้นแปดคิดที่จะหนีไป !
ในบรรดานักโทษทั้งหลาย ที่ถิงหลันแค้นที่สุดคือหัวหน้านักโทษคนนี้ ปล่อยนักโทษคนอื่นไปได้ แต่ตัวการที่ฆ่าหลีจ่านและหัวเราะเย้ยหลีจ่านนี้จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด
มองดูหัวหน้าคนนั้นจะหนีไป ถิงหลันรีบขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกพุ่งลง มุ่งตรงไปยังนักโทษขั้นแปดคนนั้น
“ข้าเอง” เย้ชิงจือใช้ร่ายวิญญาณพูดกับถิงหลัน
ดวงวิญญาณหมวดปีกของถิงหลันได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมากแล้ว ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของผู้นำชั้นยอดตัวนั้นได้ อีกทั้งนักโทษขั้นแปดคนนั้นเจ้าเล่ห์อย่างมาก ถ้าไม่ระวังตัวถิงหลันอาจถูกหลอกได้
ถิงหลันไม่ได้ฝืนตัว ขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกบินวนเหนือหัวนักโทษขั้นแปดคนนั้น
นักโทษขั้นแปดเห็นถิงหลันไม่พุ่งลงมา ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า เขาจะหลอกให้ถิงหลันไล่ตามมา แล้วใช้เธอเป็นตัวประกัน
หลังจากอสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือได้จัดการผู้นำชั้นยอดสองตัวนั้นแล้ว ได้กลายเป็นกริดสีดำอันแหลมคม ในเวลาไม่กี่วินาทีได้ไล่ตามนักโทษขั้นแปดที่คิดจะหนีไปคนนั้นทัน !!!
“คิดว่าข้าหลงซุ่ยเป็นคนที่ใครก็ฆ่าได้เหรอ ! ” หัวหน้าขั้นแปดคนนี้ตะโกนด้วยเสียงโกรธ บนตัวผู้นำชั้นยอดที่เขาขี่อยู่ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายอสูรอย่างหนึ่ง กล้ามเนื้อบนตัวเพิ่มมากขึ้น ราวกับจะดันผิวหนังให้แตกออกจากกัน !!!
“อี๊ !!! ” ผู้นำชั้นยอดยกแขนอันแข็งแรงขึ้น ทุบไปยังอสูรนกสวนสงครามที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง !
“บึ้ง บึ้ง บึ้ง !!! ”
อสูรคลั่งตัวนี้มีพลังหมวดหิน ตอนที่แขนอันเต็มไปด้วยพลังหมวดอสูรฟ้าลงทำให้เกิดหนามหินสิบกว่าเส้น กระจายไปในพื้นที่เกือบร้อยเมตร !!!
อสูรนกสวนสงครามยากที่จะหลบแล้ว ในไม่ช้าถูกพลังของหมวดอสูรและหมวดหินนี้กระแทก ร่างกายที่ได้รับแรงสะเทือนจนบาดเจ็บนี้ยังถูกหนามหินอันแหลมคมบาดผิว !
“หึ คิดจะฆ่าหลงซุ่ยเหรอ กลับไปฝึกอีกซะ !!!” หลงซุ่ยยิ้มอย่างเยือกเย็น ไม่สนใจความเป็นตายของนักโทษขั้นแปดอีกคน ขี่ดวงวิญญาณตัวนี้คิดจะหันหลังหนีไป
และแล้ว หลงซุ่ยเพิ่งหันหลังกลับ เต็มไปด้วยเหงื่อทันที !!!
ชุดดำทั้งตัว ขี่จิ้งจอกอัคคีเก้าหางที่หางเข้าเส้นสยายออก นักโทษขั้นแปดที่ทำชั่วมามากยังรู้สึกถึงการสั่นของวิญญาณ ไม่รู้ว่าชายคนนี้ปรากฏตัวในเส้นทางที่เขาคิดจะหนีไปตั้งแต่เมื่อไร !!!
ดวงตาที่เยือกเย็นราวกับใบมีดจับจ้องไปที่เขา วิธีของหลงซุ่ยอาจหลอกถิงหลันกับเย้ชิงจือได้ แต่เขารู้ว่า ไม่ว่าวิธีของตัวเองจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจหนีรอดจากดวงตาอันน่ากลัวของชายคนนี้ได้ !
ดวงตาของมั่วเย้ไม่ได้จับจ้องไปที่อสูรคลั่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตัวนั้น ดวงตาของมันกลับจับจ้องไปยังพื้น !
ความสามารถของผู้นำชั้นยอดที่มีหมวดรองเป็นหมวดหินนี้แทบไม่เพิ่มขึ้น ร่างบนพื้นนี้เป็นร่างหินเสมือนที่นักโทษขั้นแปดคนนี้ให้ผู้นำชั้นยอดปล่อยทักษะออกมา คิดจะใช้กล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นลวงตาทั้งหมด !
การอำพรางแบบนี้รอดสายตาของชู่มู่ไม่ได้ !
“มั่วเย้” ชู่มู่ออกคำสั่งกับมั่วเย้อย่างราบเรียบ
“โซ”
เงาของมั่วเย้หายไปทันที แทบไม่ต้องเพิ่มความเร็วก็มีความเร็วถึงขีดสุดได้แล้ว ความเร็วสุดแบบนี้ทำให้การโจมตีของมั่วเย้เพิ่มความแข็งแกร่งจนถึงที่สุด !!!
“เงาลวงตา !!! ”
เงาของมั่วเย้แยกออกเป็นห้าอัน เปลวไฟร้อนระอุทั้งห้าวิ่งไล่ไปตามเงาของจิ้งจอกอัคคีเก้าหาง !
“กรงเล็บมงกุฎเพลิง !!! ”
ประกายกรงเล็บทั้งห้าเส้นตวัดจากบนลงล่าง ฉีกไปยังใต้ดิน !!!
“ซัวะ ซัวะ ซัวะ ซัวะ ซัวะ !!! ”
กรงเล็บมงกุฎเพลิงทั้งห้าฉีกใต้ผิวดินออกเป็นหลุมอันใหญ่ยักษ์ มีความยาวนับร้อยเมตร !
ภายใต้รอยแยก สามารถมองเห็นเลือดสดที่ไหลออกไปตามรอยแยกหินได้ ตามด้วย เปลวไฟทั้งสองกริดที่แผดเผาร่างกายและเลือดของผู้นำชั้นยอดตัวนี้ เห็นได้ชัดว่า ใต้ดินนี้เป็นร่างจริงของผู้นำชั้นยอด
หัวหน้านักโทษขั้นแปดก็ไม่อาจหนีรอดจากกรงเล็บมงกุฎเพลิงเช่นกัน เช่นเดียวกับดวงวิญญาณของเขา ร่างถูกฉีกออกก่อน ตามด้วยการแผดเผาด้วยเปลวไฟทั้งสองชนิด !!!
“อ๊า !!! ”
เสียงร้องแหลมดังขึ้น หลังจากนักโทษขั้นแปดถูกมั่วเย้โจมตีกลับไม่ตายไปทันที และเท่ากับว่านักโทษคนนี้จำต้องทนต่อการแผดเผาของมงกุฎเพลิงหลังจากนี้ แล้วตายไปท่ามกลางกองไฟ !!!
เงาสีดำของชู่มู่ตกลงจากฟากฟ้า สองเท้าเหยียบลงบนพื้นที่ไร้สภาพและเต็มไปด้วยเศษเปลวไฟ
ต่อให้หินของภูเขาเวหาอมตะแห่งนี้จะแข็งแรงกว่าหินปกติทั่วไป แต่บนชั้นหินของเหวที่ต่ำลงนี้ ยังคงถูกสิบสามอัคคีของชู่มู่ทำลายหลายชั้น
“มั่วเย้ ! ”
มั่เย้สิ่งอยู่ภายใต้ปีศาจจันทรา ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังผู้นำขั้นสูงที่ถูกความร้อนลวกตัวหนึ่ง
เหล่านักโทษหลังจากถูกโจมตีด้วยสิบสามอัคคีได้กระจายตัวออกแล้ว มั่วเย้ได้จับจ้องไปยังดวงวิญญาณและนักโทษคนหนึ่งที่หลุดออกจากกลุ่ม !
กรงเล็บมงกุฎเพลิง !!!
แสงจันทร์เย็นเยียบสีเงินพาดผ่านบนตัวผู้นำขั้นสูงอย่างรวดเร็ว นักโทษคนนั้นแทบไม่ทันได้ทำการโต้ตอบใด ๆ กรงเล็บมงกุฎเพลิงของมั่วเย้ได้ฉีกร่างของเขาออกแล้ว มงกุฎเพลิงพุ่งเข้าไปในร่างกายของเขา !
ความสามารถห่างกันสามขั้นเต็ม ๆ แล้วยังถูกโจมตีด้วยสิบสามอัคคี นักโทษคนนี้กับผู้นำขั้นสูงแทบไม่สามารถหนีชะตากรรมที่จะถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีได้ ร่างกายถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ฟังเสียงร้องของนักโทษคนนั้น เหล่านักโทษขั้นเจ็ดที่ได้รับบาดเจ็บพวกนั้นต่างเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
ดวงวิญญาณของพวกเขาแทบไม่สามารถต้านทานทักษะใด ๆ ของจิ้งจอกเก้าหางมงกุฎเพลิงนี้ได้ ดังนั้น ในตอนที่มีช่องโหว่ พวกเขาได้ทยอยถอยไปให้ห่างจากจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าชั้นยอดตัวนี้ให้ไกลที่สุด
“กลัวอะไร !!! ก็แค่ดวงวิญญาณตัวเดียว ! ภูตวิญญาณควบคุมทักษะของมัน หมวดอสูรเตรียมโจมตี !!! ” นักโทษขั้นแปดที่เป็นหัวหน้าคนนั้นตกโกนด้วยความโกรธ !!!
สิบสามอัคคีของชู่มู่นี้ได้สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับเหล่านักโทษ และแล้วพลังต่อสู้ของผู้นำชั้นยอดหกตัวยังอยู่ในภาวะเต็มอิ่มอยู่
ดังนั้น ผู้นำชั้นยอดหกตัวของนักโทษขั้นแปดทั้งสี่ได้พุ่งตรงไปยังมั่วเย้ ไม่ให้มั่วเย้ปล่อยทักษะที่จะฆ่าล้างเหล่าผู้นำขั้นสูงในเสี้ยววินาทีอีก !
ไม่มีผู้นำชั้นยอดตัวใดที่จะตามความเร็วของมั่วเย้ได้ เงาสีเงินของมันทะลุผ่านระหว่างผู้นำชั้นยอดที่ได้รับบาดเจ็บจากความร้อนหกตัวนี้อย่างคล่องแคล่ว การโจมตีของผู้นำชั้นยอดหกตัวนี้กลับไม่โดนตัวมั่วเย้แม้แต่น้อย !
“ความสามารถในการหลบซ่อของจิ้งจอกอัคคีเก้าหางนี้แข็งแกร่งมาก ! ” เหล่านักโทษขั้นแปดต่างเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา ผู้นำชั้นยอดหกตัวล้อมโจมตีจิ้งจอกอัคคีเก้าหางตัวนี้ กลับไม่มีผลแม้แต่น้อย !
“โฮร่ โฮร่ โฮร่ !!! ”
ทันใดนั้น เสียงคำรามที่มีพลังมืดเข้มข้นปนอยู่ของอสูรนกสวนสงคราม กลายเป็นพายุมืดอย่างหนึ่งพัดพาจากอีกด้านหนึ่ง !
ใต้เท้าทั้งสี่ของอสูรนกสวนสงครามล้วนมีกริดกระดูกสีเข้มที่งอกออกไปด้านข้าง นี่เป็นอาวุธที่แหลมคมที่สุดของอสูรนกสวรสงคราม และในตอนที่ดวงวิญญาณลึกลับตัวนี้วิ่งผ่านข้างตัวผู้นำขั้นสูงที่ได้รับบาดเจ็บตัวหนึ่งอย่างเต็มแรง กริดเย็นเยียบสีเข้มทั้งสี่นี้ได้ผ่าร่างกายของผู้นำขั้นสูงออก !!!
“พุ พุ”
เลือดสดกระเซ็นออก เดิมผู้นำขั้นสูงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนี้ไม่สามารถหลบทักษะของอสูรนกสวนสงคามได้ ถูกตัดชีพจรออก สุดท้ายชีวิตได้หายไปตามเลือดที่ไหลออกมา !
หลังจากฆ่าผู้นำขั้นสูงตายไปแล้วหนึ่งตัว อสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือได้พุ่งตรงไปยังสนามต่อสู้ของมั่วเย้กับผู้นำชั้นยอดทันที !
แสงสีมืดสาดส่อง กริดแหลมอันเย็นเยียบ อสูรนกสวนสงครามทำการโจมตีไปยังผู้นำชั้นยอกสองตัวอีกครั้ง
ผู้นำชั้นยอดสองตัวนี้ไม่กล้าประหม่าอสูรนกสวนสงคราม ต่างล้อมเลิกการไล่ล่ามั่วเย้ หันไปสู้กับอสูรนกสวนสงครามแทน !
“อู อู อู” มั่วเย้เห็นอสูรนกสวนสงครามเข้ามาช่วยเหลือ ได้ส่งเสียงหอนขึ้น
หลังจากลดอันตรายให้มั่วเย้ได้สองตัวแล้ว มั่วเย้เคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วกว่าเดิม
มั่วเย้รู้จักกลยุทธการต่อสู้อย่างมาก มันไม่เผชิญหน้าสู้กับผู้นำชั้นยอดเหล่านี้ เงาสีเงินเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง มักมุ่งตรงไปยังผู้นำขั้นสูงที่ได้รับบาดเจ็บในที่ไม่ไกลออกไป !
สำหรับผู้นำขั้นสูงที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้น การปรากฏตัวของมั่วเย้จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าชั้นยอดเท่ากับเป็นการปรากฏตัวของยมทูต !!!
เงาลวงตากรงเล็บมงกุฎเพลิง !!!
เงาสีเงินสง่าทั้งห้าอัน ก่อเป็นกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น กรงเล็บมงกุฎเพลิงทั้งห้านี้ต่างตวัดลงไปยังแต่ละส่วนของผู้นำขั้นสูงแต่ละตัว !
ต่อให้ความสามารถในการหลบซ่อนของผู้นำขั้นสูงจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่สามารถรอดการโจมตีของกรงเล็บมงกุฎเพลิงได้ หลังจากตวัดกรงเล็บแล้ว กรงเล็บของมั่วเย้ฉีกผู้นำขั้นสูงเหล่านี้เป็นเศษ ลำตัวที่กลายเป็นเศษถูกมงกุฎเพลิงแผดเผาจนเป็นเถ้าถ่าน !
เหล่านักโทษขั้นเจ็ดไม่มีผู้นำชั้นยอด ในตอนนี้หลังจากที่ผู้นำขั้นเจ็ดพ่ายแพ้แล้วแทบทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว มองดูผู้นำขั้นสูงของพวกเขาถูกจิ้งจอกแห่งการฆ่าล้างฉีกเนื้อตามอำเภอใจ แทบไม่มีแรงจะโต้ตอบได้ !!!
“เจ้าพวกโง่ ! ถ้าไม่อยากตายก็รวมดวงวิญญาณของพวกเจ้าเอาไว้ ควบคุมให้ดี ยิ่งกระจายตัวก็ยิ่งให้โอกาสมันฆ่าเจ้าได้ !!! หึ ใครกล้าหนี ข้าจะฆ่าเขาคนแรก!”หัวหน้านักโทษขั้นแปดตะโกนด้วยความโกรธ !!!
นี่เป็นทางตัน เหล่านักโทษยากที่จะหนีไปได้ บวกกับการขู่ของนักโทษ นักโทษขั้นเจ็ดเหล่านี้ทำได้แค่สู้ต่อไปด้วยความหวาดกลัว
ผู้นำขั้นสูงได้รวมตัวกัน อีกทั้งยังร่วมมือกันและกัน ต่อให้มั่วเย้มีความสามารถในการฆ่าล้างเสี้ยววินาทีก็ยากที่จะฆ่าพวกมันได้ในตอนที่ถูกผู้นำชั้นยอดสี่ตัวไล่ล่า
ในไม่ช้า นักโทษขั้นเจ็ดทั้งหมดได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน การร่วมมือระหว่างดวงวิญญาณ ทำให้การโจมตีอันดุร้ายต่อเนื่องของมั่วเย้ไม่สามารถฆ่าผู้นำขั้นสูงนี้ได้หลายครั้ง
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้เหล่านักโทษขั้นเจ็ดวางใจได้ในระดับหนึ่ง….
แต่ว่าในตอนที่เหล่านักโทษกำลังตกใจกับความสามารถทะลุผ่านของมั่วเย้ กลับลืมไปว่า ชู่มู่กับเย้ชิงจือยังมีดวงวิญญาณตัวอื่น !
“ฉิง เอาชนะพวกเขา !!!” ชู่มู่ออกคำสั่งต่อภูตพันวายุ !!!
ลำตัวเล็กจิ๋วของภูตพันวายุไม่เป็นที่สังเกตของใคร บวกกับทักษะซ่อนลม พลังทำลายล้างจักรพรรดิหมวดลมของมันเพียงพอที่จะสร้างพลังทำลายล้างหมวดลมอันน่ากลัวยิ่งขึ้นได้ !!!
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!! ”
เสียงลมอลวนคำราม ลมแห่งความบ้าคลั่งรอบตัวภูตพพันวายุเริ่มรุนแรงขึ้น !!!
ความกดอากาศเริ่มเคลื่อนตัว เหล่าความไหลอากาศที่รวมตัวกันรวมกับอสูรนับร้อยที่กำลังวิ่งพลุกพล่าน ทำให้เหมือนคลื่นทะเลยักษ์มากยิ่งขึ้น !!!
ลมอลวนที่บ้าคลั่งนี่แทบจะผลิกแผ่นดินนี้ แรงลมสีดำเหล่านี้ก่อเป็นแรงกระแทกอันรุนแรงแก่เหล่านักโทษเหล่านั้น !!!
เหล่านักโทษขั้นเจ็ดยังมีความรู้เรื่องการต่อสู้อยู่บ้าง ตอนที่พวกเขาถูกลมโจมตียังคงยึดอยู่กับที่ ดวงวิญญาณรูปแบบป้องกันได้ยืนต้านพลังอยู่ด้านหน้า !
แต่ว่าต่อให้พวกเขาได้สร้างการป้องกันแล้ว ยังคงมีผู้นำขั้นสูงที่อ่อนแอและได้รับบาดเจ็บบางตัวถูกลมอันรุนแรงของภูตพันวายุพัดปลิวออกไป !
ทักษะของภูตพันวายุยังไม่จบลง ในไม่ช้าเหล่านักโทษได้รับความทรมานซ้อนทับของเปลวไฟน้ำแข็งจากภูตน้ำแข็งอัคคี !!!
ส่วนปีศาจนักรบไม้ที่ได้รับทักษะเสริมจากวารีจันทราได้มาทีหลัง ความสามารฆ่าล้างของหมวดไม้ยิ่งก่อให้เกิดผลกระทบอันหนักหน่วงต่อเหล่านักโทษมากยิ่งขึ้น !!!
เดิมนักโทษขั้นเจ็ดกับผู้นำขั้นสูงของพวกเขาก็ไม่เหลือมากเท่าไรแล้ว ในตอนที่หลังจากภูตพันวายุ ภูตอัคคีน้ำแข็ง ปีศาจนักรบไม้เข้าร่วมการต่อสู้แล้ว ผู้นำขั้นสูงเหล่านี้ได้กระจายตัวออก ปล่อยให้ดวงวิญญาณสามตัวที่มีความสามารถฆ่าล้างหมู่เหล่านี้ทำลายล้าง…
…
“ชิงจือ ให้วารีจัทราและภูตไม้หมุนของเจ้าควบคุมผู้นำชั้นยอดสามตัวที่เหลือไว้ ! ” ชู่มู่ใช้ร่ายวิญญาณพูดกับเย้ชิงจือ
วารีจันทรา ภูตไม้หมุนกำลังช่วยเหลือมั่วเย้กับอสูรนกสวนสงครามอยู่ การมีอยู่ของพวกมันทำให้มั่วเย้กับอสูรนกสวนสงครามแทบไม่ต้องหลบการต่อสู้ เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับผู้นำชั้นยอดเหล่านี้ได้
เย้ชิงจือพยักหน้า ให้วารีจันทราและภูตไม้หมุนปล่อยความสามารถในการควบคุมออกมาทันที
ไม่ต้องให้ชู่มู่อธิบายมากไปกว่านี้ เย้ชิงจือก็รู้ว่า ต้องควบคุมผู้นำชั้นยอดสามตัวไหน ในไม่ช้า รากของภูตไม้หมุนได้พันรอบตัวผู้นำชั้นยอดสองตัวนั้นไว้ วารีจันทราได้ปล่อยน้ำตกวารีจันทราที่ทำให้แรงกายของดวงวิญญาณลดลงมหาศาลออกมา ตีบนตัวผู้นำชั้นยอดอีกตัวหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง !
“มั่วเย้ จิ้งจอกอัคคีไร้เทียมทาน !!!”
น้ำเสียงของชู่มู่แฝงด้วยความอาฆาตอันเยือกเย็น
มั่วเย้รู้จุดประสงค์ของเจ้าของตั้งนานแล้ว ขนสีเงินบนตัวมันสยายอย่างบ้าคลั่ง ตอนที่วิ่งได้ใช้ทักษะเงาลวงตาอีกครั้ง !
เงาลวงตาห้าอันปรากฏขึ้น ในนั้นได้ซ่อนร่างจริงของมั่วเย้เอาไว้ !
เงาทั้งห้าปรากฏในทิศทางที่ต่างกันของผู้นำชั้นยอดตัวนั้น หางสี่สิบห้าเส้นพุ่งออก ต่อให้ความสามารถของผู้นำขั้นสูงตัวนั้นจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็อย่าคิดที่จะหลบหางจิ้งจอกอันคล่องแคล่วสี่สิบห้าเส้นนี้ไปได้ !!!
“อู อู อู อู !!! ”
มั่วเย้ส่งเสียงหอนขึ้นเป็นสัญญาณ จิ้งจอกอัคคีเก้าหางทั้งห้าตัวได้วิ่งไปยังทิศทางที่ต่างกันทั้งห้า !
หางสี่สิบห้าเส้นที่เหมือนโซ่นั้นได้ขาดออกพร้อมกัน พลังการตัดขาดและการกระชากนี้ทำให้กระดูกของผู้นำชั้นยอดนั้นแตกสลายทันที เสียงนั้นก้องกังวานจนขนลุก !!!
นักโทษขั้นแปดทั้งสี่อึ้งอยู่กับที่ มองไปยังร่างของผู้นำชั้นยอดที่มีขนาดถึงหกเมตรนี้ด้วยความหวาดกลัว….
แค่เห็นสิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่ตัวนี้อ้าปากจะส่งเสียงร้องออกมา และแล้วพลังแตกสลายนั้นคืบคานไปยังกระดูกลำคอของมัน เสียงโฮ่ร้องได้กลายเป็นเสียงคร่ำครวญอันแผ่วเบา
สุดท้าย ผู้นำชั้นยอดนี้ได้กลายเป็นก้อนเหนือที่ไม่มีกระดูกใด ๆ ตั้งอยู่บนพื้น สภาพการตายอันอนาถยิ่ง !
ตายในเสี้ยววินาที !!!
ทักษะแข็งแกร่งที่สุดของมั่วเย้ได้ฆ่าผู้นำชั้นยอดตัวหนึ่งในเสี้ยววินาที !!! ความป่าเถื่อนนั้นกลับทำให้ทั้งสนามเงียบสงัด !!!
ด้านนอกสนาม ซ่างเหิงจับจ้องไปยังจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงลึกลับ ป่าเถื่อน ทรงพลังตัวนี้ของชู่มู่ด้วยความอึ้ง แทบจะหุบปากไม่ได้
“หรือว่า…หรือว่านี่เป็นดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดของชู่มู่ ! ” ซ่างเหิงไม่เคยเห็นชู่มู่อัญเชิญจิ้งจอกอัคคีเก้าหางตัวนี้ออกมาต่อสู้ และความสามารถอันน่าสะพรึงของจิ้งจอกอัคคีเก้าหางนี้ทำให้ซ่างเหิงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ !
ซ่างเหิงไม่รู้จะใช้คำพูดใดบรรยายชู่มู่แล้ว เพราะเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ในขั้นตอนการท้าทายข้ามขั้นนี้ ชู่มู่ได้ซ่อนดวงวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดไว้ตลอด !
“คุณเย้ จิ้งจอกอัคคีเก้าหาง ภูตพันวายุ ปีศาจนักรบไม้ พวกนี้เป็นกลยุทธ์ดวงวิญญาณหลักของชู่เฉิงเหรอ” ซ่างเหิงถามด้วยความตื่นเต้น
เย้ชิงจือแค่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
เห็นได้ชัดว่า ซ่างเหิงยังไม่เข้าใจชู่มู่ดี จากความเข้าใจของเย้ชิงจือที่มีต่อชู่มู่ กลยุทธ์ดวงวิญญาณหลักของชู่มู่ไม่รวมถึงภูตพันวายุกับปีศาจนักรบไม้…
แต่เย้ชิงจือเชื่อว่า อีกไม่นาน ดวงวิญญาณหลักทั้งสามของชู่มู่จะปรากฏตรงหน้าของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแน่นอน ให้พวกผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มที่อวดดีเหล่านั้นเสียหน้า !
ในตอนนั้น ถึงเป็นช่วงเวลาที่ชู่มู่ทำให้คนทั้งหมดสะเทือนใจ !
ผลของละลายจันทราทำให้ความสามารถของมั่วเย้เพิ่มขึ้นจากลักษณะเก้าขั้นสามเป็นลักษณะเก้าขั้นหก
และหมวดรองของมงกุฎเพลิงทำให้ความสามารถของมั่วเย้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เหนือกว่าจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นเก้า !
ดวงวิญญาณของเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นสองแทบทั้งหมดจะติดอยู่ในจักรพรรดิขั้นกลางหมด ลักษณะขั้นยิ่งติดขัดอยู่ที่ลักษณะเก้าขั้นต่ำนี้
คนที่มีดวงวิญญาณจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลางย่อมเป็นผู้เข้าแข่งขันชั้นยอดในด่านที่แปดนี้ ส่วนคนที่มีลักษณะเก้าขั้นสูงย่อมเป็นผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มชั้นยอดแล้ว !!!
“ชู่มู่…” ถิงหลันจับจ้องไปยังชู่มู่ ดวงตาส่องประกายเหลือเชื่อออกมา
ถิงหลันประหลาดใจตรงที่เธอรู้จักชู่มู่มานานขนาดนี้ กลับไม่รู้ว่า ชู่มู่มีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งแบบนี้ !!!
ชู่มู่มีภูตพันวายุลักษณะเก้าขั้นกลางแล้ว และมีจักรพรรดิขั้นกลางที่อยู่ในลักษณะเก้าขั้นต่ำมากมาย ถ้าบวกกับจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงที่มีความสามารถเทียบเท่าลักษณะเก้าขั้นเก้าตัวนี้แล้ว ความสามารถโดยรวมไม่ด้อยไปกว่าหลัวปิงแข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองของตำหนักวิญญาณแล้ว !!!
ตอนอยู่ในตำหนักวิญญาณถิงหลันจะเห็นชู่มู่เมื่อผ่านไปหลายเดือน ทุกครั้งที่เห็นชู่มู่ ความสามารถของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เธอรู้ว่าความสามารถของชู่มู่เพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อมาก แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้…
ถิงหลันยากที่จะเชื่อจริง ๆ น่าจะเป็นเวลาประมาณหนึ่งปี ชู่มู่ยังเป็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่ท้าสู้กับหลั่วผงในขั้นสามอยู่ ในตอนนั้นตัวเองแค่อัญเชิญอสูรเชิญหงส์ตัวเดียว ก็สามารถบีบให้ชายคนนี้ล้มเลิกการต่อสู้ได้…
และในตอนนี้ ความสามารถของเขาเกินกว่าตัวเองไปแล้ว อยู่ในสิบอันดับแรกของผู้แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสองแล้ว !!!
…
“สูงกว่าผู้นำชั้นยอดของข้าแค่ขั้นเดียวเอง ความสามารถของมันอาจเหมือนเด็กน้อยก็ได้ ต่อให้ความสามารถผู้นำชั้นยอดของข้าห่างกันหนึ่งขั้น ก็จัดการมันได้อย่างง่ายดาย ! ” นักโทษผมฟูยิ้มอย่างเย้ยหยัน
ระดับของนักโทษกำหนดจากโทษที่พวกเขาเคยทำ นักโทษขั้นแปดไช่จี้ที่ชู่มู่ฆ่าก่อนหน้านี้นับว่า มีความสามารถค่อนข้างแข็งแกร่ง เพราะเขามีเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบ
ความจริงนักโทษขั้นแปดที่มีเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบน้อยยิ่งกว่าน้อย
ความสามารถของเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบเทียบเท่าจักรพรรดิขั้นกลางชั้นยอดลักษณะเก้า ถ้านักโทษขั้นแปดทั้งหมดมีดวงวิญญาณเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบ เหล่าผู้เข้าแข่งขันจะต้องตายลงและได้รับบาดเจ็บหมดทุกคน เพราะผู้เข้าแข่งขันที่มีดวงวิญญาณความสามารถแบบนี้ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวของสามอันดับแรกของอำนาจต่าง ๆ !
ความสามารถของเหล่านักโทษเฉลี่ยอยู่ที่ผู้นำขั้นกลางลักษณะสิบกับผู้นำขั้นสูง คือระหว่างจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นต่ำกับจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะแปดขั้นสูง ความสามารถของเหล่าผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มที่โดดเด่นแบบนี้ก็เพราะระดับดวงวิญญาณที่ต่างกับพวกเขา และผู้เข้าแข่งขันวัยผู้ใหญ่ที่มีดวงวิญญาณในลักษณะขั้นสมบูรณ์ก็เป็นเพราะอายุของพวกเขา
เหล่านักโทษมีดวงวิญญาณทั้งหมดยี่สิบเอ็ดตัว ในนั้นมีผู้นำชั้นยอดหกตัว ผู้นำขั้นสูงสิบตัว ผู้นำขั้นกลาง ห้าตัว
ต่อให้ความสามารถของจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่สามารถรับมือกับดวงวิญญาณเยอะขนาดนี้ได้ !
ความสามารถของจิ้งจอกอัคคีเก้าหางมงกุฎเพลิงแค่สูงกว่าผู้นำชั้นยอดขั้นเดียว สามารถเผชิญกับผู้นำชั้นยอดสองตัวก็เก่งมากแล้ว ดังนั้น การต่อสู้ในครั้งนี้ยังคงไม่มีความแตกต่างที่มากมายขนาดนี้ !
“ชู่เฉิง พวกเรายังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา…” ต่อให้ถิงหลันจะตกใจกับความสามารถของชู่มู่ ยังคงคิดว่าจำนวนของนักโทษครั้งนี้มากเกินไปแล้ว !
“จดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของเจ้า” ชู่มู่พูดกับถิงหลัน
ถิงหลันจำต้องเผชิญกับดวงวิญญาณหมวดปีกระดับผู้นำขั้นสูงสามตัว เหล่านักโทษพวกนี้เจ้าเล่ห์อย่างมาก ต่อให้ความสามารถของดวงวิญญาณถิงหลันจะสูงขึ้นหน่อย ถ้าไม่ระวังตัวก็อาจพ่ายแพ้ได้
ถิงหลันกัดปากแน่น ในเมื่อเลือกที่จะต่อสู้ ก็จะไม่มีการหวั่นไหวใด ๆ ถิงหลันในตอนนี้ต้องเชื่อชู่มู่ !
“เชิญปีศาจจันทรา !!! ”
ทันใดนั้น แสงจันทร์สีเงินงดงามที่แฝงความลึกลับนั้นสาดส่องขึ้น !!!
แสงจันทร์นี้สาดลงบนตัวของมั่วเย้ ทำให้ขนสีเงินของมั่วเย้ดูสูงส่งสง่างามมากยิ่งขึ้น !!!
เชิญปีศาจจันทรา นี่เป็นทักษะใหม่ของวารีจันทรา !
ทักษะนี้ส่วนมากจะเกิดผลทำความสะอาดต่อดวงวิญญาณ แต่สำหรับภูตวิญญาณอย่างมั่วเย้ที่มีทักษะกลุ่มละลายจันทราแบบนี้แล้ว เป็นทักษะเสริมที่ดีที่สุด !
“อู อู อู อู !!! ”
แสงจันทร์ยิ่งเข้มข้น ผลของละลายจันทราของมั่วเย้ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น !!!
เดิมผู้นำขั้นสูงกับผู้นำขั้นกลางจะเกรงกลัวต่อกลิ่นไอของมั่วเย๋อยู่บ้าง ผลของเชิญปีศาจจันทรานี้ หลังจากทำให้ความสามารถของมั่วเย้เพิ่มขึ่นขั้นหนึ่งแล้ว ผู้นำชั้นยอดหกตัวต่างแข็งทื่อ !
“เขายังมีพวกพ้องคนอื่น…” ในตอนนี้เหล่านักโทษถึงพบว่า มีผู้คุมดวงวิญญาณอีกคนปรากฏตัวด้านหลังพวกเขา !
“ฮะ ฮะ ฮะ เป็นผู้คุมดวงวิญญาณหญิงอีกแล้ว วันนี้โชคดีเกินไปแล้ว !!! ทุกคนรออะไรอยู่ ต่อสู้เต็มที่ !!! ” นักโทษขั้นแปดทั้งหลายกลับหัวเราะออกมา
ไม่ว่าจะเป็นถิงหลันหรือเย้ชิงจือ ต่างเป็นสาวงาม ก่อนที่พวกนักโทษจะเข้าคุกก็ยากที่จะเจอหญิงสาวแบบนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในคุกอีก !
…
ตอนที่เย้ชิงจือเผชิญหน้ากับนักโทษฝูงนี้กลับนิ่งกว่าถิงหลันอย่างมาก เธอได้อัญเชิญดวงวิญญาณหลักทั้งหมดของเธอออกมาแล้ว พร้อมที่จะรับมือกับการต่อสู้นี้ได้เสมอ
อสูรนกสวนสงคราม จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลาง ภูตน้ำแข็งอัคคี จักรพรรดิขั้นต่ำ ลักษณะเก้าขั้นต่ำ วารีจันทรา ผู้นำขั้นสูง ลักษณะสิบ ภูตไม้หมุน จักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นแดน
ดวงวิญญาณหลักสี่ตัวนี้ของเย้ชิงจือต่างมีความสามารถพิเศษ ความสามารถของมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นตามระดับและลักษณะขั้น จึงไม่ใช่พวกที่จัดการได้ง่าย โดยเฉพาะอสูรนกสวนสงครามกับภูตน้ำแข็งอัคคี !
“ชู่มู่ อสูรนกสวนสงครามของข้ายังจัดการผู้นำชั้นยอดสองตัวได้ ยังเหลืออีกมาก เจ้าต้องให้ปีศาจขาวหรือขั้นเย้ออกมาสู้…” เย้ชิงจือใช้ร่ายวิญญาณพูดกับชู่มู่
เย้ชิงจือประเมินความสามารถของตัวเองอย่างระวังมาโดยตลอด เธอจัดการได้ก็เท่ากับฆ่าได้ ชู่มู่รู้ว่า อสูรนกสวนสงครามของเย้ชิงจือเป็นดวงวิญญาณพิเศษที่เต็มไปด้วยความสามารถอันลึกลับมากตัวหนึ่ง !
“ไม่ได้มีศัตรูมากขนาดนั้น” ชู่มู่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงที่ราบเรียบนี้กลับเต็มไปด้วยความคิดอาฆาตอย่างมาก !
ชู่มู่กล้าอยู่ที่นี่ เท่ากับว่ามีความมั่นใจมากพอ เพราะมีเย้ชิงจืออยู่ ชู่มู่แทบไม่ต้องประหยัดพลังวิญญาณ !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นจากฝ่ามือของชู่มู่ ความเย็นเยียบจากเก้าวิญญาณปกคลุมเหนือหัวดวงวิญญาณทั้งหมดของนักโทษ !
“สิบสามอัคคีเก้าวิญญาณ !!! ”
ชู่มู่ร่ายคาถาทักษะวิญญาณนี้ตั้งนานแล้ว !
ครั้งนี้ คาถาที่ชู่มู่ร่ายคือ สิบสามอัคคีเก้าวิญญาณ ต่างกันคือ นี่เป็นทักษะวิญญาณขั้นแปดอย่างแท้จริง !!! เป็นทักษะหมวดไฟที่ปล่อยพลังขั้นแปดออกมาได้อย่างหมดจด !
“อู อู อู อู” มั่วเย้ได้เตรียมคาถาสำเร็จตั้งแต่ตอนที่เหล่านักโทษกำลังตกใจ เสียงหอนที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์กลับทรงพลังยิ่งกว่าเดิม !
วัยผู้ใหญ่มีประสบการณ์ในการควบคุมดวงวิญญาณที่โชกโชน แต่การประมาทศัตรูแบบนี้กลับกลายเป็นจุดบอดของนักโทษเหล่านี้ !
ในตอนนี้ ถ้าให้ปีศาจขาวออกมาละก็ สิบสามอัคคีทั้งสามที่ชู่มู่ปล่อยออกมาจะมีพลังเข้าใกล้ขั้นสิบเพียงพอที่จะฆ่านักโทษทั้งหมดในที่นี่ได้
แต่ว่าจัดการนักโทษเหล่านี้ แค่ซ้อนทับกับทักษะของมั่วเย้ก็พอแล้ว ชู่มู่จะเก็บสิบสามอัคคีที่แท้จริงไว้จัดการศัตรูที่แท้จริงของตัวเอง !
ไฟปีศาจเก้าวิญญาณ เลือดอัคคี ไฟปีศาจอัคคีร้าย เปลวไฟทั้งสามซ้อนทับกันเป็นดอกไม้เพลิงอันใหญ่กลางอากาศ ตามด้วยเปลวไฟอันร้อนระอุที่พุ่งลงจากฟ้า แม้แต่อากาศยังลุกโชนเป็นไฟ !
ความสามารถของมั่วเย้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะเก้าชั้นยอด สิบสามอัคคีที่ปล่อยออกมายิ่งมีพลังทำลายล้างต่อดวงวิญญาณเหล่านี้ !
ส่วนพลังของสิบสามอัคคีจากไฟปีศาจเก้าวิญญาณของชู่มู่น่ากลัวยิ่งกว่า อย่างไรก็ตาม ไฟปีศาจของชู่ม่เทียบเท่าระดับสี่ของมารนิรยขาว !!!
เปลวไฟรุนแรงทั้งสามชนิดลุกโชนขึ้นกลางฟ้าเหนือเหล่านักโทษ กลิ่นไอของเปลวไฟยิ่งพุ่งหน้าเข้ามา ในตอนนี้ เหล่านักโทษแต่ละคนต่างเบิกตากว้าง ต่างเผยสีหน้าออกมาบนใบหน้า !
ถ้ารู้ว่าการหล่อรวมเปลวไฟทั้งสองชนิดนี้ของชู่มู่จะทำให้เกิดเป็นพลังอยู่ในขั้นเก้าระยะสมบูรณ์ จะห้ามชู่มู่ทันทีแน่นอน
แต่ว่าเพราะพวกเขาประหม่าศัตรู พวกเขาได้พลาดโอกาสนี้ ชู่มู่ที่ลอยตัวกลางอากาศอย่างไม่สนใจว่า จะเปลืองพลังวิญญาณมากเพียงใดก็เพื่อให้ตัวเขามีเวลาขับร่ายคาถาที่มากพอ
“บึ้ง !!! บึ้ง !!! บึ้ง !!! ”
ในที่สุด อัคคีนับไม่ถ้วนได้ตกลงมาตามเส้นทางที่ต่างกัน ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดที่นักโทษอยู่ !!!
“บึ้ง !!! บึ้ง !!! บึ้ง !!! ”
…
สิบสามอัคคี แต่ละอัคคีพุ่งลงนั้น จะทำให้นักโทษต้องทนต่อการแผดเผาด้วยเปลวไฟสามชนิดที่แตกต่างกัน !!!
ชั้นหินของทั้งเหวนี้ถูกปกคลุมภายใต้เปลวไฟที่มีพลังทำลายล้างเหล่านี้ ในตอนที่อยู่ในด่านที่เจ็ด สิบสามอัคคีของชู่มู่นี้ได้สลายยอดเขาแห่งหนึ่งไป และในตอนนี้ พลังของสิบสามอัคคีนี้กลับอ่อนลงเล็กน้อย พอจะนึกขึ้นได้ว่า นักโทษที่ขาดการป้องกันเหล่านี้จะถูกทำลายอย่างไร !
“อ๊า !!! อ๊า !!! ”
“อ๊า !!! อ๊า !!! ”
เสียงโอดครวญทรมานยิ่งของเหล่านักโทษดังก้องไปทั่ว ทั้งวิญญาณ ร่างกาย เลือดต่างถูกแผดเผา ความเจ็บปวดนี้แทบไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะทนรับได้ !
แสงไฟสามชนิดที่มีสีต่างกันสาดส่องบนใบหน้าของนักโทษสองคนนั้น พวกเขาต่างขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกของพวกเขา พูดได้ว่าเป็นเพราะพวกเขาอยู่กลางอากาศถึงมีชีวิตรอดไปได้ มิฉะนั้นถ้าตกลงไปด้านล่าง คนที่จะโอดครวญด้วยความเจ็บปวดจากการโจมตีของสิบสามอัคคีจะเป็นพวกเขาแทน
ในตอนนี้ นักโทษขั้นเจ็ดทั้งสองคนนี้ต่างเต็มไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว ไม่เชื่อว่าผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มคนหนึ่งจะสร้างทักษะหมวดไฟที่มีพลังทำลายล้างน่ากลัวแบบนี้ได้ !!!
…
“บึ้ง !!! ”
ในที่สุด อัคคีสายสุดท้ายได้ตกลงมาแล้ว !
อัคคีสายนี้ได้กลายเป็นการประหารชีวิตของผู้นำขั้นกลางมากมาย มีผู้นำขั้นกลางทั้งหมดห้าตัว มีเพียงผู้นำขั้นกลางหมวดหินตัวนั้นที่รอดมาได้ สี่ตัวที่เหลือตายท่ามกลางทะเลเพลิงหมด ตายในเสี้ยววินาที !!!
ผู้นำขั้นสูงสิบตัว มีอย่างน้อยห้าตัวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งร่างกายและวิญญาณ ในนั้นมีสามตัวที่สูญเสียพลังต่อสู้ !
การป้องกันของผู้นำชั้นยอดหกตัวกลับแข็งแกร่งอย่างมาก ในตอนที่สิบสามอัคคีพุ่งลงกลับวิ่งไปยังขอบนอกอย่างบ้าคลั่ง ในนั้นมีสองตัวที่ได้รับบาดเจ็บจากการแผดเผาในขั้นกลาง !
ในตอนที่ชู่มู่ปล่อยสิบสามอัคคีได้จงใจปล่อยพื้นที่ให้กว้างออกไป เพื่อแน่ใจว่าจะครอบคลุมนักโทษที่กระจายตัวทั้งหมดไว้ในนั้นได้
ถ้าให้สิบสามอัคคีโจมตีไปยังพื้นที่ใดเฉพาะเจาะจง จักรพรรดิลักษณะสิบจะถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีแน่นอน !
“หลีจ่าน ! ” ถิงหลันนิ่งอึ้ง ดวงตาที่เป็นสีแดงนั้นจับจ้องไปยังหลีจ่านที่อยู่ด้านล่าง !
ประกายแสบตากำลังหมองลง เงาของหลีจ่านค่อย ๆ ปรากฏท่ามกลางดวงวิญญาณของเหล่านักโทษ ตามการปล่อยทักษะนี้ของหลีจ่าน ดวงวิญญาณทั้งหมดของนักโทษเต็มไปด้วยความโกรธ แล้วกักตัวหลีจ่านเอาไว้ !
ประกายแสงของทักษะต่าง ๆ ดวงวิญญาณยี่สิบกว่าตัวของนักโทษต่างปล่อยโจมตีที่คร่าชีวิตของหลีจ่านไปพร้อมกัน !!!
ทักษะไม่น้อยอยู่ในพลังขั้นเก้าแล้ว ความสามารถของหลีจ่านเองต่อให้แข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของดวงวิญญาณมากมายขนาดนี้ได้ !!!
“โครม โครม โครม !!!! ”
ชั้นเหวนี้สั่นสะเทือนอย่างแรง ภายใต้การปกคลุมของทักษะมากมาย หลีจ่านกับดวงวิญญาณทั้งสามตัวของหลีจ่านถูกการโจมตีทำลายล้างนี้กลืนกินจนหมด !
ด้านล่างเหวระเบิดออกทันที สร้างพลังรุนแรงที่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง !!!
การโจมตีที่น่ากลัวแบบนี้ นอกจากว่าจะมีการป้องกันถึงขั้นเก้า มิฉะนั้น แทบไม่สามารถมีชีวิตรอดมาได้ !
เสียงระเบิดรุนแรงสะเทือนแก้วหูของถิงหลัน อีกทั้งแทบไม่สามารถได้ยินระดับเสียงอื่นได้ จิตของถิงหลันนิ่งอึ้ง กลายเป็นรูปปั้น…
ถิงหลันไม่คิดว่า หลีจ่านจะหลอกเธอแบบนี้ และผลที่หลอกเธอ กลับทำให้ผู้ชายคนนี้ต้องทนรับต่อการโจมตีของยมทูต นี่เป็นคำหลอกลวงที่โหดร้ายและน่าเจ็บใจมากเพียงใด !
“ฮะฮะฮะฮะ” หลังจากเสียงระเบิดสงบลง เหล่านักโทษหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา
“เป็นคนโง่จริง ยอมแพ้ทันทีก็ได้ แบบนั้นก็คงไม่ต้องตายแล้ว !!!”
“ใช่ ฮะฮะ เป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง ผู้หญิงแบบนี้มีทุกเมื่อ ตอนที่จะตัดใจก็ต้องตัดใจ วัยหนุ่มเหล่านี้คงไม่มีสมอง ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ทำทุกวิถีทาง ! ”
มองดูศพของหลีจ่านที่กองอยู่ในหินด้านล่าง เหล่านักโทษต่างส่งเสียงหัวเราะเย้ย
หลีจ่านเป็นสมาชิกขั้นสอง ความสามารถอยู่ในลำดับที่สามของตำหนักวิญญาณ มีอนาคตที่ดี แม้แต่เหล่านักโทษก็รู้ว่า ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อย ผู้เข้าแข่งขันคนนี้จะขยี้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดาย !
แต่เสียดาย ความมุ่งมั่นแบบนี้เป็นสิ่งที่ขอไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องแลกด้วยชีวิตตัวเอง
เหล่านักโทษไม่สนเรื่องจริยธรรมแล้ว ไม่รู้ว่าชีวิตของคนอื่นมีความหมายอะไรต่อพวกเขา ดังนั้น จากมุมมองของพวกเขา การสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่นของหลีจ่านแบบนี้เป็นการกระทำที่ปัญญาอ่อนอย่างมาก
เสียงหัวเราะแสบแก้วหูของเหล่านักโทษพวกนั้น ทำให้ดวงตาของถิงหลันแทบจะพ่นไฟออกมา ความโกรธนี้ได้ครอบงำสติของเธอแล้ว !
“นักโทษร้ายอย่างพวกเจ้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้า !!! ” ถิงหลันตะโกนสุดเสียง
ร่ายคาถาขึ้น ในตอนนี้ถิงหลันอยากฆ่าแค่นักโทษที่ไร้ความเป็นมนุษย์เหล่านี้ แค่อยากแก้แค้นให้กับหลีจ่านที่เสียสละเพื่อตัวเอง !
นักโทษผมฟูที่อยู่กลางอากาศเห็นถิงหลันร่ายคาถาขึ้น นัยน์ตาเผยท่าทีได้ใจออกมา
เขาเป็นคนเริ่มเยาะเย้ยหลีจ่านก่อน จุดประสงค์หลักก็เพื่อกระตุ้นความโกรธของถิงหลันที่อยู่กลางอากาศ ให้เธอเสียสติจนต้องบินลงมาต่อสู้
และแล้ว ผู้หญิงคนนี้เสียสติ เธอลืมไปแล้วว่า พลังอ่อนแอของตัวเองไม่สามารถต่อต้านนักโทษมากมายขนาดนี้ได้ !
“ตะตะตะ ตะตะตะ”
ทันใดนั้น เสียงวิ่งประหลาดดังขึ้นจากกลางอากาศ !
เงาสีดำลึกลับวิ่งผ่านเหนือหัวของดวงวิญญาณเหล่านักโทษด้วยความเร็วสูง กลายเป็นเงาสีดำพิเศษ
นักโทษทั้งหมดเงยหน้าขึ้น เห็นท่ามกลางเงาสีดำสง่านี้มีหางสีขาวเส้นหนึ่งปลิวผ่าน สิ่งมีชีวิตลึกลับนี้กลับซ่อนตัวอยู่ใต้เงาของเหวสูง ยากที่จะสะกดรอยได้ !
เหล่านักโทษเห็นถิงหลันที่เต็มไปด้วยความโกรธจะสู้ต่อ และแล้วเงาสีดำนี้กลับเหยียบกลางอากาศมาตรงหน้าของเธอ ห้ามการกระทำของเธอ
ถิงหลันหยุดลงทันที มองไปยังชายชุดดำที่ขี่ดวงวิญญาณสีดำทั้งตัวนี้ด้วยความอึ้ง !
สายตาของเขาเยือกเย็น แต่กลับเต็มไปด้วยพลัง นั่นเป็นความแน่นิ่งที่เกิดจากประสบการณ์นับไม่ถ้วน !
“ชู่เฉิง…” ดวงตาสีแดงคู่นั้นของถิงหลันมองไปยังชู่มู่ เธอที่ใจร้อนกลับไม่รู้ว่า ต้องพูดอะไรแล้ว
“พวกเขาไม่ได้หัวเราะเย้ยความโง่ของหลีจ่าน แต่กำลังเยาะเย้ยเจ้า ! ” เสียงของชู่มู่แหลมอย่างมาก
ถิงหลันนิ่งอึ้ง ประโยคนี้แทงเข้าไปในหัวของเธอราวกับดาบที่เย็นเยียบ ทำให้สมองของเธอเย็นลงทันที
เธอเข้าใจความหมายประโยคนี้ของชู่มู่ แต่ว่าความตายของหลีจ่านยังคงทำให้เธอหยุดน้ำตาไม่ได้
ประสบการณ์ของถิงหลันไม่มากเท่าผู้คุมดวงวิญญาณอื่น เธอเติบโตได้ด้วยการประลองทางการ ผู้คุมดวงวิญญาณแบบนี้ไม่สามารถทนต่อผลกระทบอันร้ายแรงของการประลองฟ้าดินแบบนี้ได้ !
·ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวกับพวกผู้แข็งแกร่งที่อยู่อย่างสบายจะมีความแตกต่างที่ตรงนี้ ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็จะคงความนิ่งไว้ ต่อให้ในใจจะเต็มไปด้วยความโกรธมากเพียงใดก็ตาม !
“ใคร” นักโทษเล็งไปยังชู่มู่ที่ขัดขวางกลางอากาศ
“เป็นผู้เข้าแข่งขันอีกคน ครั้งนี้ฆ่าไม่ได้แล้ว ต้องจับเป็น ! ” หัวหน้านักโทษพูดอย่างจริงจัง
“วางใจได้ ผู้หญิงคนนั้นจะจับทั้งเป็นเหมือนกัน ! ” นักโทษที่มีดวงวิญญาณหมวดปีกหลายคนหัวเราะออกมา
ช่วงเวลาที่กระตุ้นให้ถิงหลันโกรธเคืองก็เพียงพอที่จะให้นักโทษที่มีดวงวิญญาณหมวดปีกเหล่านี้บินขึ้นฟ้าแล้ว ถิงหลันอย่าคิดที่จะหนีออกจากที่นี่ได้
“พวกเขา…พวกเขามาแล้ว” ในตาของถิงหลันยังเต็มไปด้วยน้ำตา สายตาจับจ้องไปยังดวงวิญญาณหมวดปีกที่บินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าจัดการดวงวิญญาณหมวดปีกสามตัวได้ไหม” ชู่มู่ไม่รีบร้อน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“ได้ แต่ว่า…แต่ว่าพวกเขามีคนเยอะขนาดนั้น ชู่เฉิง เจ้ารีบหนีเถอะ อย่าเข้ามาเกี่ยวด้วยเลย ข้าไม่อยากให้มีคนตายอีก…” คำพูดคมคายนั้นของชู่มู่ทำให้ถิงหลันได้สติกลับมา เธอรู้ว่า เมื่อกี้ตัวเองทำเรื่องที่โง่เขลาอย่างมาก ถ้าพุ่งลงไปในภาวะเสียสติแบบนั้น จะทำให้หลีจ่านเสียสละเพื่อตัวเองไปเปล่า ๆ
ในเมื่อชู่มู่ปรากฏตัวได้ ไม่มีทางที่จะไม่สนใจ แต่ว่าต่อให้ชู่มู่ปรากฏตัวในตอนนี้ก็ยากที่จะต่อสู้กับนักโทษมากมายขนาดนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ถิงหลันรู้ความสามารถของชู่มู่เป็นอย่างดี ความสามารถของสมาชิกท้าทายข้ามขั้นย่อมไม่เท่าหลีจ่าน
แน่นอนว่า ถิงหลันเชื่อในความสามารถของชู่มู่ เขาพาเธอหนีจากการไล่ล่าของเหล่านักโทษได้ ดังนั้น หนีจากที่นี่เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
“ถ้าได้ละก็ เจ้าจัดการดวงวิญญาณหมวดปีกสามตัว” ชู่มู่พูดขึ้น
“แต่ว่า…” ถิงหลันคิดจะพูดรั้งชู่มู่
“ทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว” ชู่มู่ไม่พูดอะไรกับถิงหลันอีก ขี่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว
ถิงหลันมองไปยังชู่มู่อย่างสติหลุดลอย สิ่งที่เธอเห็นจากสายตาของชู่มู่ไม่ใช่การหนี แต่เป็นอารมณ์ที่เยือกเย็นอย่างหนึ่ง นั่นเป็นสิ่งที่ถิงหลันสงสัยมาตลอดตั้งแต่ก่อนหน้านี้ นี่เป็นพลังที่เกิดจากการต่อสู้และความอาฆาต !!!
·และแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว นัยน์ตาของชายคนนี้กลับรุนแรงกว่าตอนที่สู้กับหลั่วผงหลายเท่า สายตาแบบนี้ทำให้คนอื่นไม่กล้าสบตากับเขา นี่ไม่รู้ว่า เป็นพลังฆ่าล้างที่เกิดจากการฆ่าล้างมากี่ครั้ง !
·ถิงหลันรู้สึกว่า เหมือนชู่มู่ได้กลายเป็นอีกคนหนึ่ง เขากำลังใช้สายตาที่เหมือนยมทูตมองดูคนตายไปยังนักโทษเหล่านี้ !!!
“ในเมื่อพวกเจ้าคิดว่า ตัวเองได้กลายเป็นอสูร ข้าจะใช้วิธีที่ปฏิบัติกับสัตว์มาใช้กับพวกเจ้า ! ” ชู่มู่เต็มไปด้วยความอาฆาต เสียงเยือกเย็นดังเข้าหูของนักโทษแต่ละคน !
นองเลือด ดุร้าย ฆ่าล้าง ในตอนที่ระหว่างจิตของคน ๆ หนึ่งกำลังเติบโต กลับต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้ทุกวัน ในตอนที่เขาเติบโตอย่างเต็มที่แล้ว นิสัยแท้จริงแบบนี้จะถูกซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกของเขา !
ชู่มู่กำลังพยายามควบคุมนิสัยนองเลือดที่ทำให้ตัวเองเติบโต เขาไม่อยากกลายเป็นเครื่องมือฆ่าคนที่ไร้ความรู้สึก ยิ่งไม่อยากให้ปีศาจในใจของตัวเองเติบโตไปตามความดุร้ายนี้ แล้วกลืนกินความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
และแล้ว การพยามยามควบคุมไม่ได้แปลว่า ชู่มู่จะลืมนิสัยนี้ไปได้ !
ทันทีที่เขารู้สึกว่าไม่จำต้องเมตตาปรานี ตอนที่ควรจะฆ่าล้าง เขาจะไม่ควบคุม เพราะต่อให้ตัวเองเต็มไปด้วยอารมณ์ด้านลบ นั่นก็ยังเป็นตัวเขาเอง !
“อู อู อู อู อู !!! ”
สัมผัสได้ถึงความอาฆาตในใจของชู่มู่ มั่วเย้ที่อยู่ในช่องว่างดวงวิญญาณส่งเสียงขึ้นทันที !
“เย้ กลับมาเถอะ ! ” ชู่มู่ร่ายคาถาขึ้น เก็บอสูรสายฟ้านิมิตราตรีกลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ !
หลังจากเก็บอสูรสายฟ้านิมิตราตรี ไฟปีศาจเก้าวิญญาณลุกโชนขึ้นบนตัวชู่มู่อย่างช้า ๆ ไฟปีศาจพิเศษแบบนี้ทำให้ชู่มู่ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับปีศาจคลั่ง จับจ้องไปยังนักโทษอย่างเยือกเย็น !
ร่ายคาถาขึ้น เลือดอัคคีทั้งเก้ากับไฟปีศาจอัคคีร้ายลุกโชนขึ้นข้างชู่มู่อย่างช้า ๆ !
“อู อู อู อู !!! ”
เหมือนจะไม่ได้ฆ่าล้างสะใจแบบนี้มานานแล้ว ตอนที่ลำตัวของมั่วเย้ปรากฏท่ามกลางเปลวไฟทั้งเก้าอย่างช้า ๆ กลิ่นปีศาจของจิ้งจอกอัคคีเก้าหางนั้นพัดพาราวกับพายุ !!!
หลังจากที่มั่วเย้ผ่านการต่อสู้ในด่านที่เจ็ดได้เพิ่มขึ้นจนอยู่ในลักษณะเก้าขั้นสามแล้ว แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอย่างแผ่วเบานั้น ทำให้ขนสีเงินและเปลวไฟของมั่วเย้ปกคลุมด้วยแสงจันทร์ !
ผลของแสงจันทร์ทำให้ความสามารถของมั่วเย้เพิ่มขึ้นอีกขั้น อยู่ในลักษณะเก้าขั้นหก !!!
หางเก้าเส้นกางออกกลางอากาศ สยายเป็นเงาสีเงินใต้ราตรีสีดำอันทรงพลัง !
สี่เท้าของมั่วเย้ที่มีลุกโชนด้วยมงกุฎเพลิงหยุดกลางอากาศ ดวงตาคู่นั้นของมันสะท้อนอารมณ์เช่นเดียวกับชู่มู่ จับจ้องไปยังศัตรูทั้งหมด ราวกับราชันเก้าหางที่อยู่เหนือทุกอย่าง !
“เป็นจิ้งจอกอัคคีเก้าหางจักรพรรดิขั้นสูง ลักษณะเก้าขั้นกลางตัวหนึ่ง !!!” เหล่านักโทษต่างเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ดวงตาเหล่านั้นถูกเปลวไฟของมั่วเย้สะท้อนจนเป็นสีแดง
“ยังไม่ถึงลักษณะสิบ ไม่มีอะไรต้องกลัว ดวงวิญญาณของข้าจัดการได้ !!! ” หัวหน้านักโทษผมฟูพูดอย่างสบแต่ประหม่า
“แต่ว่ามันยังมีเลือดอัคคีกับไฟปีศาจอัคคีร้าย มีหมวดรองเป็นมงกุฎเพลิง พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งขั้น นี่เป็นจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าตัวหนึ่ง ! ” ความสามารถในการประเมินของนักโทษวัยผู้ใหญ่เหล่านี้แข็งแกร่งอย่างมาก ได้ประเมินความสามารถของมั่วเย้ออกมาได้ทันที !
“วัยหนุ่มในด่านที่แปดนี้เต็มไปด้วยคนประหลาด แม้แต่ดวงวิญญาณในระดับนี้ก็ยังมี ! ” นักโทษเหล่านี้ร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ
** เกิดจากความสับสนของนักเขียนทำให้ไล่เลขตอนผิด ทั้งนี้เนื้อหายังต่อกันเหมือนเดิมค่ะ **
——
“ชู่เฉิง…” ซ่างเหิงมองไปยังชู่เฉิง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน อีกทั้งยังเผยท่าทีร้องขอ
ซ่างเหิงรู้ว่า ความสามารถของชู่มู่ในตอนนี้เกินกว่าเขามากแล้ว ก่อนหน้านี้ซ่างเหิงกับถิงหลันและหลีจ่านตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้มีแค่ชู่มู่กับเย้ชิงจือที่ช่วยเหลือพวกเขาได้ มิฉะนั้น ด้วยนิสัยทารุณของเหล่านักโทษ ถิงหลันกับหลีจ่านไม่ถูกเหล่านักโทษปล้น แล้วส่งให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองง่ายแบบนั้น
“ชู่เฉิง เจ้าต้องช่วยยืดเวลาให้ถิงหลันกับหลีจ่านสิบนาทีให้ได้ ในบรรดานักโทษ มีนักโทษขั้นแปดคนหนึ่งที่มีความสามารถแข็งแกร่งยิ่ง เป้าหมายของพวกเขาคือถิงหลัน ถ้าถูกเขาจับได้ ถิงหลันจะมีอันตราย ดังนั้น ชู่เฉิง ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องลงมือ แค่ยืดเวลาสิบนาที แค่ให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองมาถึง พวกเขาก็จะปลอดภัยแล้ว…” ซ่างเหิงพูดอย่างจริงใจมาก
พอมาถึงด่านที่แปด เหล่าผู้แข็งแกร่งแต่ละคนน่าจะแค่ห่วงแต่ตัวเองแล้ว ซ่างเหิงรู้ว่า การร้องขอชู่มู่แบบนี้เท่ากับดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย
แต่ว่า ซ่างเหิงในตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว การเป็นอยู่ของผู้คุมดวงวิญญาณเป็นที่เห็นได้ชัดมากแล้ว แต่ที่ทำให้ซ่างเหิงรับไม่ได้คือ ถิงหลันเป็นผู้คุมดงวิญญาณหญิงจำนวนน้อยมาก ถ้าผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองไม่สามารถมาถึงทันเวลาได้ เธอจะถูกนักโทษร้ายเหล่านี้ทำร้าย
“ชิงจือ ลองหาว่ากลิ่นนั้นมาจากทางใดได้ไหม” ชู่มู่ถามขึ้น
“อืม” เย้ชิงจือเข้าใจความหมายของชู่มู่ ในตอนนี้จึงกระโดดขึ้นหลังของอสูรนิมิตชุดม่วง ขี่อสูรนิมิตชุดม่วงนำทางไป
ชู่มู่ไม่พูดอะไรอีก ขี่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีตามติดข้างเย้ชิงจือ
ซ่างเหิงอึ้ง เดิมเขาคิดว่า ชู่มู่ที่จะต้องเผชิญหน้ากับนักโทษขั้นแปดประมาณสี่คนและนักโทษขั้นเจ็ดประมาณสิบคนจะเกิดความลังเล อย่างไรก็ตาม ความสามารถของศัตรูแข็งแกร่งอย่างมาก
และแล้ว ชู่มู่แทบไม่ลังเล ในตอนที่เขายังไม่พูดอะไร ได้มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่นักโทษอยู่แล้ว
มองดูแผ่นหลังสีดำของชู่มู่ ในใจของซ่างเหิงก็ตื้นตันอย่างมาก เป็นความซาบซึ้งต่อชู่มู่อย่างยิ่ง !
…
…
หลังจากผ่านเส้นทางภูเขาที่คดโค้งไป จะเป็นหน้าผาที่ตั้งชันสูงขึ้น
นี่เป็นหนึ่งในเหวที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาเวหาอมตะตะวันออก ความสูงระหว่างที่ต่ำกับที่สูงห่างกันนับร้อยเมตร และทั้งภูเขาตั้งชันขึ้น ติดจะไปถึงชั้นสูงของภูเขานี้จำต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อข้ามผ่านมังกรเวหานี้ให้ได้
ชั้นเหวนี้มีความกว้างถึงสองร้อยกว่าเมตร นอกจากเส้นทางภูเขาที่คดโค้งนั้นก่อเป็นทางชันแล้ว สองข้างที่เหลือต่างเป็นหุบเขาที่แทบจะดิ่งลง
หุบเขาเต็มไปด้วยลมที่พัดอย่างบ้าคลั่งรุนแรง ก่อเป็นพื้นที่ลมโดยธรรมชาติ ต่อให้เป็นดวงวิญญาณหมวดปีกก็ยากที่จะบินในนี้ได้ ส่วนดวงวิญญาณอื่นถ้าคิดจะลงไปในหุบเขาจากสองข้างทาง คงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก ถ้าบนที่สูงมีศัตรูอยู่ ทันทีที่ปล่อยทักษะลงมา ในตอนที่ไร้ที่หลบซ่อนจะตัวสลายแน่นอน
และเป็นเพราะสภาพแวดล้อมแบบนี้ พูดได้ว่า ทำให้ถิงหลันกับหลีจ่านถูกต้อนจนตรอก พวกเขาไร้ที่หลบหนีแล้ว !
นักโทษขั้นแปดสี่คน นักโทษขั้นเจ็ดสิบสองคน !
นักโทษแต่ละคนต่างขี่ดวงวิญญาณสองตัว ทั้งหมดนี้มีดวงวิญญาณลักษณะสิบสามสิบสองตัว !
การฆ่าล้างก่อนหน้านี้ ถิงหลันกับหลีจ่านได้ฆ่าผู้นำลักษณะสิบตายไปแปดตัวแล้ว แต่หลังจากที่ผู้นำยี่สิบสี่ตัวควบคุมพวกเขาเอาไว้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ชีวิตของพวกเขาได้รับอันตรายอย่างแท้จริง !
ความสามารถของหลีจ่านนับเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับที่สามของตำหนักวิญญาณ จากความสามารถของเขา ย่อมเผชิญหน้ากับนักโทษขั้นเจ็ดและแปดได้ไม่มีปัญหา แต่ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือนักโทษที่ควรกระจายตัวเช่นเดียวกับเหล่าผู้เข้าแข่งขันกลับอยู่รวมกันเป็นจำนวนมหาศาลแบบนี้ !
จำนวนของนักโทษเมื่อถึงระดับหนึ่งจะเกิดเป็นอุปสรรคระดับหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้เข้าแข่งขันลำดับหนึ่งของอำนาจต่าง ๆ ก็ใช่ว่าจะจัดการได้ !
“คุณถิงหลัน เจ้าไม่เป็นอะไรแน่นอน เชื่อข้า ! ” จ่านหลีกัดฟันจับจ้องไปยังผู้นำที่พุ่งลงมาจากทางชันอย่างรวดเร็วเหล่านั้น
ใบหน้าของถิงหลันซีดขาว ดวงตาคู่งามนั้นสูญเสียความแน่วแน่เหมือนวันที่ผ่านมา เผยความหวาดกลัวออกมา
นิ้วของเธอกำลังสั่นเบา ๆ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของเหล่านักโทษ ในใจของเธอจะเกิดความรังเกียจอย่างมากขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกหนาวไปทั่วทั้งตัว
จากสายตาที่แทบจะลุกเป็นไฟของเหล่านักโทษ ถิงหลันรู้ได้ว่า ทันทีที่ตัวเองตกอยู่ในมือของพวกเขาจะมีสภาพอย่างไร ตั้งแต่ตอนนี้เธอกำลังเสียดายที่ควรจะขอความช่วยเหลือจากผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองตั้งแต่ก่อนเจอนักโทษเหล่านี้แล้ว ไม่ควรจะหัวดื้อแบบนี้ต่อไป
“ฮะฮะ รุ่นเด็กตำหนักวิญญาณสองคน อสูรศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ดของพวกเจ้ายังอ่อนเยาว์อยู่ ให้พวกเจ้าไปใช้แบบนี้มันน่าเสียดายเกินไปจริงๆ ! ” นักโทษหัวฟูที่เป็นหัวหน้าคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ
ความจริงนักโทษที่อยู่ในที่นี่ต่างมีความอิจฉาต่อเหล่าผู้เข้าแข่งขันอย่างแรง ผู้คุมดวงวิญญาณวัยผู้ใหญ่อย่างพวกเขาต้องมีอายุสามสิบกว่าถึงจะมีสิทธิควบคุมดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิที่แท้จริงได้ แต่ในด่านที่แปกของการประลองฟ้าดินนี้มีผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มไม่น้อยที่มีดวงวิญญาณระดับจักรพรรดิอย่างแท้จริง แต่ตอนที่นักโทษเหล่านี้อยู่ในวัยพวกเจากลับมีแค่ระดับนำ
…
“เพ้ง”
ในที่สุด อสูรเชิญหงส์ลักษณะเก้าของถิงหลันยังคงยากที่จะต่อต้านกับสิ่งมีชีวิตลักษณะสิบเทียบเท่าจักรพรรดิได้ กระแทกบนหน้าผาอย่างแรง ลึกลงไปด้านใน
ตามด้วย ดวงวิญญาณธาตุของถิงหลันถูกภูตวิญญาณหลายตัวควบคุมเอาไว้ ไม่สามารถปล่อยทักษะธาตุพื้นฐานออกมาได้แม้แต่อันเดียว
ในภาวะแบบนี้ ทันทีที่มันถูกโจมตี จะถูกฆ่าตายในเสี้ยววินาทีแน่นอน ถิงหลันไม่อยากเห็นดวงวิญญาณของตัวเองตายไปแบบนี้ ในตอนที่ดวงวิญญาณธาตุของตัวเองสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ ได้ร่ายคาถาขึ้น เก็บมันกลับเข้าช่องว่างดวงวิญญาณ
ถิงหลันมีสี่ญาณ แต่หลังจากถูกโจมตีอย่างหนัก อสูรเชิญหงส์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดวงวิญญาณธาตุก็ถูกเก็บกลับไป ส่วนดวงวิญญาณรองตัวอื่นต่อให้อัญเชิญออกมาก็ยากที่จะหนีรอดชะตาที่จะถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีได้ !
“ซ่า !!! ”
ผู้นำหมวดอสูรสี่ตัวยื่นกรงเล็บดุร้ายออกมาพร้อมกัน ตวัดลงบนตัวของปีศาจเสือลายของหลีจ่าน !!!
ปีศาจเสือลายเต็มไปด้วยบาดแผลตั้งนานแล้ว การโจมตีครั้งนี้ยิ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตของปีศาจเสือลาย สุดท้ายนอนล้มอยู่กลางกองเลือด
สัญญาวิญญาณที่ตัดขาด ทำให้สีหน้าของหลีจ่านซีดขาวกว่าเดิม !
“ยอมจำนนก็ดีแล้ว พวกเราไม่ฆ่าคน แค่ส่งพวกเจ้าให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลอง ทำไมต้องเปลืองชีวิตของดวงวิญญาณแบบนี้” นักโทษขั้นแปดชั่วร้ายพูดด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นมิตร
เป็นเช่นนั้นจริง ถ้าหลีจ่านยอมจำนน เก็บดวงวิญญาณทั้งหมดไว้ เขาจะไม่เสียหายอะไร และจะไม่มีทางตายไปแน่นอน
แต่จะให้หลีจ่านมองดูถิงหลันตกอยู่ในอันตราย เป็นถึงผู้คุมดวงวิญญาณที่มีความดีงามอันแท้จริงของตำหนักวิญญาณคนหนึ่ง หลีจ่านไม่สามารถทำได้ !!!
ในสายตาของผู้คุมดวงวิญญาณหลายคน พวกเขาต้องคอยรักษาหลายสิ่งที่มีความสำคัญกว่าชีวิตของพวกเขา หนึ่งในนั้นก็คือ คำสั่งของตำหนักวิญญาณ
หลีจ่านรู้จักกับถิงหลันตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุผลทางด้านตำแหน่ง หลีจ่านเองก็คอยเป็นองครักษ์ของถิงหลันมาตลอด คอยปกป้องบุตรสาวของท่านอาวุโสตำหนักเทพคนนี้ นี่เป็นหนึ่งในคำสั่งที่สมาชิกตำหนักวิญญาณอย่างเขาต้องทำ !
ถ้าต้องเอาชีวิตรอดแต่ต้องทำให้ถิงหลันตกอยู่ในอันตราย เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองตลอดทั้งชิวิตนี้ !
“คุณถิงหลัน เจ้า…เจ้ายังมีดวงวิญญาณหมวดปีกใช่ไหม” หลีจ่านกำหมัดทั้งสองมือแน่น พูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“อืม จำต้อง…จำต้องโจมตีให้พวกเขาถอยไปสักครั้ง ดวงวิญญาณหมวดปีกของข้าถึงจะบินขึ้นไปได้” หนึ่งในจุดประสงค์ที่ถิงหลันเก็บดวงวิญญาณธาตุที่ถูกควบคุมเอาไว้ก็เพื่อเตรียมอัญเชิญดวงวิญญาณหมวดปีก
“ข้า…ข้านะใช้ทักษะหมวดแสงอันหนึ่ง วินาทีที่ปล่อยทักษะหมวดแสงออกมา เจ้าร่ายคาถาอัญเชิญดวงวิญญาณหมวดปีก ข้าจะพยายามรั้งพวกเขาเอาไว้ แล้วเจ้าขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกบินขึ้นไปเรื่อย ๆ …” หลีจ่านใช้ร่ายวิญญาณพูดกับถิงหลัน
“แล้วเจ้าละ” ถิงหลันถามอย่างใจร้อน
“ข้าจะอัญเชิญดวงวิญญาณหมวดลมของข้าให้เหวี่ยงข้าขึ้นไป..จำไว้ให้ดี บินขึ้นไปอย่าหยุด หากลังเลแม้แต่น้อย ดวงวิญญาณของเจ้าจะถูกดึงลงมา” หลีจ่านพูดอย่างจริงจัง
“แต่ดวงวิญญาณหมวดลมของเจ้า…” ถิงหลันปวดใจมาก พูดอย่างแผ่วเบา
“ไม่ต้องพูดแล้ว ! ” หลีจ่านห้ามถิงหลันไว้ ในภาวะที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บจึงร่ายคาถาขึ้น
ที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บก็จะทำให้ใช้ทักษะวิญญาณได้ยากมาก และแล้วหลีจ่านกลับร่ายคาถาทักษะหมวดแสงได้สำเร็จภายใต้ภาวะที่ยังมีบาดแผลวิญญาณอยู่ !!!
แสงแห่งอาทิตย์อัสดง !
ทันใดนั้น ประกายสีทองสาดส่องไปทั่วทุกทิศอย่างสะดุดตา!!
ประกายเหล่านี้แทบต้านทานไม่ได้ ทำให้ดวงตาของดวงวิญญาณและเหล่านักโทษร้อนระอุ อีกทั้งความสามารถรับรู้ก็ถูกทักษะหมวดแสงที่รุนแรงนี้ปิดบังหมด !
วินาทีนี้ ถิงหลันไม่กล้าลังเลใด ๆ ร่ายคาถาอัญเชิญดวงวิญญาณหมวดปีกของเธออกมา
เธอกระโดดขึ้นบนตัวดวงวิญญาณหมวดปีกอย่างรวดเร็ว มองไปยังหลีจ่านที่ปล่อยแสงแสบตานั้นออกมา
“บินเร็ว !!! ต้องบินไปยังความสูงที่พวกเขาโจมตีไม่ได้ !!! ” หลีจ่านตะโกนขึ้น ประกายแสงที่ปล่อยออกมาบนตัวรุนแรงมากขึ้น แทบไม่ปล่อยให้นักโทษเหล่านั้นมีโอกาสเล็งไปยังถิงหลัน
ถิงหลันให้ดวงวิญญาณหมวดปีกของตัวเองบินขึ้นไปตามหน้าผาที่เป็นแนวดิ่ง…
…
ในที่ไม่ไกลออกไป ประกายแสงสีทองสะดุดตาสะท้อนบนหน้าของชู่มู่กับเย้ชิงจือ ทั้งสองคนหลับตาลงทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาของตัวเองถูกลวง
“พวกเขาอยู่ตรงนั้น” ชู่มู่นำหน้าพุ่งไปก่อน ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีปล่อยทักษะเงาไว เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง
เส้นสีดำพาดผ่านบนเส้นทางภูเขา ชู่มู่ที่สวมชุดสีดำหล่อรวมเข้าไปกับอสูรสายฟ้านิมิตราตรี เต็มไปด้วยสีดำเข้ม แต่กลับลึกลับอย่างมากในขณะเดียวกัน
…
ถิงหลันบินไปยังความสูงร้อยเมตรแล้ว หนึ่งร้อยเมตรนี้จะกันการโจมตีจากดวงวิญญาณมากมายได้
แต่ว่า ในตอนที่บินไปถึงความสูงนี้ ร่างกายของถิงหลันกลับสั่นอย่างแรง เพราะในตอนนี้ เธอถึงนึกขึ้นมาได้ว่า หลีจ่านไม่มีดวงวิญญาณหมวดลม !!!
หลีจ่านไม่มีดวงวิญญาณหมวดลม หลีจ่านที่วิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสแทบไม่สามารถกระโดดขึ้นมาในความสูงนี้ได้ในเสี้ยววินาที !
ฝ่ามือของปีศาจนักรบไม้กดลงบนพื้นตั้งนานแล้ว แทบจะเป็นช่วงวินาทีเดียวกับที่อสูรเขาหนามเหยียบกับดักไม้ธรรมชาติจนแตกสลาย นิ้วไม้สิบเส้นที่แข็งแรงปรากฎขึ้นกะทันหัน ราวกับโซ่ที่ล้อมรอบกับดักไม้ธรรมชาติเหล่านั้น ไขว้กันเหนือกับดัก ซึ่งเป็นบริเวณเหนือศีรษะของอสูรเขาหนามพอดี !
“อ๊าว !!! ”
ปีศาจนักรบไม้ส่งเสียงคำรามขึ้น ดึงฝ่ามือไปด้านหลังอย่างแรง คุกนิ้วไม้ได้ปกคลุมบนหลุมที่เกิดจากกับดักไม้ธรรมชาตินี้ !
โซ่ของคุกนิ้วไม้ไม่ได้รั้งตัวของอสูรเขาหนามเอาไว้ แต่กลับขังอสูรเขาหนามไว้ในกับดักนั้น ทำให้อสูรเขาหนามไม่สามารถออกมาได้
“ลายเส้นน้ำแข็งอัคคี ! ” เย้ชิงจือที่ซ่อนตัวอยู่ที่สูงออกคำสั่งต่อภูตน้ำแข็งอัคคีอย่างเยือกเย็น !
ลายเส้นน้ำแข็งอัคคี ทักษะขั้นเจ็ดหมวดคู่ พลังของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าทักษะหมวดเดี่ยวขั้นแปด และทันทีที่ปล่อยออกมา เป็นการซ้อนทับของเลือดอัคคีขั้นสูงกับน้ำแข็งพิฆาตขั้นสูง ทำให้สร้างพลังทำลายล้างที่เข้าใกล้ขั้นเก้าระยะกลางได้ !!!
น้ำแข็งพิฆาตปรากฏด้านล่างหลุมของกับดักไม้ธรรมชาติอย่างรวดเร็ว ลายเส้นหมวดน้ำแข็งทั้งอันปกคลุมกับดักไม้ธรรมชาติได้พอดี
และเหนือกับดักไม้ธรรมชาตินี้ เปลวไฟร้อนระอุสีเลือดที่มีความสูงห้าสิบเมตรกำลังลุกโชน สะท้อนกับลายเส้นน้ำแข็งสีขาวที่อยู่ด้านล่าง !!!
น้ำแข็งกับไฟที่ประสานกัน ความร้อนระอุกับความหนาวเหน็บ กลิ่นไอธาตุแข็งแกร่งนี้ทำให้นักโทษที่บ้าคลั่งเหล่านั้นรู้ถึงความน่ากลัวของทักษะนี้ !!!
“ช่วย…ช่วยข้า !!!” พลังของลายเส้นน้ำแข็งอัคคีนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นอสูรเขาหนามที่มีเกราะทั้งตัวก็ใช่ว่าจะต้านทานได้ โดยเฉพาะในตอนนี้มันอยู่ในใจกลางสุดของทักษะนี้ !
“โซ โซ โซ”
กลิ่นไอเย็นเยียบกับกลิ่นไอเลือดอัคคีทำให้เหล่านักโทษต้องหยุดชะงัดลง ถ้าโจมตีหมวดเดียว พวกเขาอาจใช้อีกหมวดที่ตรงกันข้ามมายับยั้งได้ แต่การรวมตัวของน้ำแข็งกับไฟแบบนี้ ต่อให้เป็นหมวดหินที่มีการป้องกันรอบด้านก็ใช่ว่าจะต้านทานได้ นักโทษสี่คนนี้ทำได้แค่เบิกตากว้าง มองดูนักโทษคนนี้ทนทรมานกับความเจ็บปวดของน้ำแข็งและเปลวไฟ
“ฉิง เก้าพายุ ! ”
หมวดลม พื้นที่ทำลายล้างกว้างขวางที่สุด ภูตพันวายุแทบไม่ต้องใส่ใจว่า มีจำนวนศัตรูมากเท่าไร เพียงแค่ให้มันมีพื้นที่มากพอในการปล่อยทักษะหมวดลม ศัตรูทั้งหมดก็ต้องทนต่อการทำลายล้างของพายุ !!!
ทักษะเก้าพายุหนึ่งวินาที ภูตพันวายุกลับใช้เวลาร่ายคาถาขึ้นสองวินาที เวลาในการร่ายคาถานี้เพียงพอที่จะเพิ่มพลังของทักษะได้หลายเท่า !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู !!! ”
เสียงลมคำราม แสบแก้วหูนิ่ง เศษหินนับไม่ถ้วนของภูเขาถูกพลังของลมนี้เหวี่ยงขึ้นฟ้า หมุนตัวไปตามสายลม กลายเป็นพายุทั้งเก้าเส้นที่ขุ่นมัวอย่างยิ่ง !!!
พายุทั้งเก้าปรากฏบริเวณเส้นทางภูเขา หน้าผา เหว แทบไม่มีช่องว่างใด ราวกับสิ่งมีชีวิตใหญ่ยักษ์เก้าตัวนี้ได้ครอบครองทั้งภูเขาหินนี้ พร้อมที่จะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างในภูเขาแห่งนี้ !
“ตำหนักวิญญาณ….ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลายเส้นทั้งเจ็ด ภูตพันวายุ !!!” นักโทษที่ขี่ดวงวิญญาณหมวดอสูรกับหมวดภูตวิญญาณทั้งสามคนนั้นมีใบหน้าซีดขาว พวกเขามองไปยังลำตัวเล็กจิ๋วที่ยืนอยู่ที่สูงนั้นซึ่งเป็นดวงวิญญาณที่สร้างพายุพลังมหาศาลนี้ !
อสูรเชิญหงส์ของซ่างเหิงเป็นหนึ่งในดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิลายเส้นทั้งเจ็ดเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับภูตพันวายุ ความสามารถของอสูรเชิญหงส์ยังคงด้อยกว่าเล็กน้อย !
ภูตพันวายุของชู่มู่เข้าใกล้จักรพรรดิขั้นสูงแล้ว ลักษณะขั้นยังสูงกว่าอสูรเชิญหงส์ของซ่างเหิงอีก ทักษะหมวดลมที่มันปล่อยออกมา แค่พลังก็ทำให้ขาหมดแรงได้แล้ว !
“โครม โครม โครม !!! ”
เก้าพายุกวาดล้าง หินนับไม่ถ้วนในภูเขาแห่งนี้ถูกดันตัวขึ้น หมุนกลางอากาศด้วยความเร็วสูง ฝุ่นทรายกับเศษหินตลบทั่วฟ้า ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดไว้ในความขุ่นมัว !
เสียงร้องของดวงวิญญาณของเหล่านักโทษถูกเสียงของพายุปกปิดไว้ ภูตวิญญาณที่ร่างบอบบางแทบไม่สามารถทนต่อพลังแรงลมนี้ได้ ถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้า ถูกลมอลวนขั้นสูงนี้ทำลาย !
เหล่าดวงวิญญาณที่ยังคงท่าทีของเหล่านักโทษ หลังจากถูกเก้าพายุนี้พัดพา พ่ายแพ้ทั้งหมด มีเพียงดวงวิญญาณหมวดปีกสองตัวที่บินสูงขึ้นได้ทันเวลา หนีออกจากพื้นที่โจมตีของทักษะหมวดลมของภูตพันวายุนี้
“ขวังจั๋ว รีบให้ดวงวิญญาณหมวดปีกของเจ้ารั้งภูตพันวายุของเขาเอาไว้ อย่าให้มันปล่อยทักษะหมวดลมออกมาอีก !!!”เสียงของนักโทษคนหนึ่งดังขึ้นบริเวณหินในพื้นที่ขุ่นมัว
ขวังจั๋วคือนักโทษที่ขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกสองตัวนั้น นักโทษคนนี้เชี่ยวชาญดวงวิญญาณหมวดปีก !
พลังฆ่าล้างอันแข็งแกร่ง ดวงวิญญาณหมวดลมจะปกคลุมพื้นที่อันกว้างขวาง จำต้องควบคุมมันให้ได้ มิฉะนั้นการโจมตีระยะประชิดของภูตวิญญาณกับอสูรแทบไม่ก่อให้เกิดประโยชนได้
หลังจากชู่มู่ให้ภูตพันวายุใช้ทักษะพลังขั้นเก้านี้กวาดล้างแล้ว ดวงวิญญาณหกตัวของนักโทษทั้งสามคนต่างได้รับบาดเจ็บ ถ้ายังเกิดการโจมตีแบบนี้อีก ดวงวิญญาณทั้งหมดจะสูญเสียพลังต่อสู้ทันที
ดวงวิญญาณหมวดปีกสองตัวเล็งไปยังภูตพันวายุทันที พวกมันส่งเสียงร้องแหลมแสบแก้วหู สยายปีกบินตรงไปยังภูตพันวายุ
ขนของดวงวิญญาณสองตัวนี้แหลมราวกับใบมีด ตอนบินด้วยความเร็วสูงยิ่งเหมือนดาบคมสองเล่มที่พาดผ่าน มุ่งแทงไปยังภูตพันวายุร่างเล็ก !
ภูตพันวายุรีบใช้เส้นรอยลม หลบการโจมตีของดวงวิญญาณหมวดปีกสองตัวนี้อย่างคล่องแคล่ว ระหว่างที่หลบซ่อนได้ร่ายคาถาต่อ
ถ้าเป็นดวงวิญญาณตระกูลธาตุธรรมดา ย่อมไม่สามารถร่ายคาถาตอนที่ถูกโจมตีอย่างภูตพันวายุได้ ความสามารถแบบนี้ของภูตพันวายุคือ ความได้เปรียบของกลุ่มจักรพรรดิขั้นกลาง !
“ถึงเวลาที่พวกข้าต่อสู้แล้ว ! ” ซ่างเหิงจับจ้องไปยังดวงวิญญาณหมวดปีกผู้นำขั้นสูงตัวนั้น กระโดดขึ้นหลังสิงโตปีกดาบสายฟ้าที่แผลดีขึ้นเล็กน้อย
สิงโตปีกดาบสายฟ้าปล่อยสายฟ้าที่เต็มไปด้วยความโกรธออกมาทั่วทั้งตัว มันสยายปีกที่ยังไม่หายดีนั้น บินขึ้นฟ้า ปล่อยพลังสายฟ้าไปยังผู้นำขั้นสูงนั้นอย่างบ้าคลั่ง
สิงโตปีกดาบสายฟ้าเป็นดวงวิญญาณหลักของซ่างเหิง ต่อให้บนตัวยังมีแผลอยู่ ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นนี้ไม่ได้เผยท่าทีหวาดหวั่นออกมา หลังจากโจมตีสายฟ้าหลายรอบแต่กลับไม่โดนศัตรู กลับใช้ลำตัวแข็งแรงนั้นพุ่งชนไปยังดวงวิญญาณกลุ่มนกยักษ์ตัวนั้นโดยตรง
ตอนที่สิงโตปีกดาบสายฟ้าต่อสู้กลางอากาศ อสูรนิมิตชุดม่วงของเย้ชิงจือกลับปรากฏข้างตัวผู้นำชั้นยอดนั้นอย่างไร้เสียง สร้างทักษะภวังค์นิมิตต่าง ๆ ด้วยเนตรนิมิต ก่อกวนประสาทของผู้นำชั้นยอดตัวนี้ ให้มันไม่สามารถสร้างทักษะอันตรายออกมาได้
ไม่มีอันตรายจากดวงวิญญาณหมวดปีกแล้ว ภูตพันวายุกับภูตน้ำแข็งอัคคีซึ่งเป็นดวงวิญญาณธาตุสองตัวนี้ยิ่งสร้างทักษะของมันได้อย่างตามใจ !
ลมอลวนขั้นสูง น้ำแข็งพิฆาตขั้นสูง เลือดอัคคีขั้นสูง พลังธาตุทั้งสามได้กลายเป็นการโจมตีคร่าชีวิตของเหล่านักโทษและดวงวิญญาณของพวกเขา !
ปีศาจนักรบไม้มีพลังที่มากพอสมควร พลังชีวิตสามเท่าของมันทำให้ความสามารถต้านทานแข็งแกร่งขึ้นมาก ต่อให้ถูกดวงวิญญาณหมวอสูรลักษณะสิบโจมตีพร้อมกันก็แค่ได้รับบาดเจ็บขั้นกลางเท่านั้น
และในตอนที่รากไม้ของปีศาจนักรบไม้แทงทะลุไปยังร่างกายของศัตรู ผลของการดูดซึมพลังชีวิตทำให้พลังชีวิตของปีศาจนักรบไม้ฟื้นกลับมาอย่างช้า ๆ พูดได้ว่า ปีศาจนักรบไม้ได้รั้งผู้นำทั้งสี่ตัวด้วยแรงของมันลำพัง แทบไม่ปล่อยให้พวกมันพุ่งเข้ามาหรือหนีไปได้
ผู้นำสองตัวที่เหลือถูกภูตไม้หมุนที่ปล่อยทักษะสี่อันออกมาควบคุมไว้เช่นกัน บวกกับทักษะฆ่าล้างหมู่อันแข็งแกร่งของภูตพันวายุและภูตน้ำแข็งอัคคี ทำให้เส้นทางภูเขาทั้งแห่งเต็มไปด้วยเสียงโอดครวญ !
บนตัวเหล่านักโทษเต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว พวกเขาที่ดูถูกเหล่าผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มมาโดยตลอดคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า จะเจอผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มที่มีความสามารถแข็งแกร่งผิดปกติสองคนที่นี่ ตอนนี้พวกเขาจะมีความคิดร้ายได้อย่างไร แค่หวังจะมีชีวิตรอดจากการฆ่าล้างหมู่ธาตุอันน่ากลัวเหล่านี้ก็พอแล้ว
…
ซ่างเหิงบินอยู่บนที่สูง เขามองดูการร่วมมือระหว่างดวงวิญญาณสี่ตัวนี้ของชู่มู่กับเย้ชิงจือด้วยความตกใจ ดวงวิญญาณสี่ตัวนี้ไม่มีตัวใดเป็นหมวดอสูรสายหลัก แต่เป็นการร่วมมืออย่างดีระหว่างดวงวิญญาณตระกูลพืชและตระกูลธาตุ กลับทำให้นักโทษเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ความสามารถจะโต้ตอบ
พายุพัดทำลาย น้ำแข็งกับไฟปกคลุมทั่วฟ้า ทักษะแต่ละครั้งที่ปล่อยออกมามีพลังถึงขั้นเก้า !!!
นักโทษที่พยายามจะหนีไปกลับถูกภูตไม้หมุนกับปีศาจนักรบไม้ดึงกลับมา พลังทำลายล้างของภูตพันวายุกับภูตน้ำแข็งอัคคีน่ากลัวอย่างมาก เหล่านักโทษที่เคยไล่ล่าคนอื่นกลับล้มลงท่ามกลางทักษะโหดเหี้ยมของดวงวิญญาณเหล่านี้
ความกดอากาศสีดำกำลังพุ่งตรงมา นักโทษที่เต็มไปด้วยบาดแผลคนสุดท้ายนี้ยังคงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของภูตพันวายุได้ ตามกริดลมสีดำที่ปรากฏจากทั่วทุกทิศ พาดผ่านบนตัวดวงวิญญาณนี้ด้วยความถี่สูง…
ผู้นำตัวนี้ได้รับบาดเจ็บจากเปลวไฟในตอนที่ถูกลมพัดขึ้นฟ้าแล้ว แต่หลังจากกระแทกลงพื้นอย่างแรง เต็มไปด้วยเลือดสดแล้ว นักโทษคนนั้นก็ไม่อาจรอดไปได้ เกิดรอยลึกสองเส้นสีแดงสดบนใบหน้า
ตอนที่นักโทษคนแรกตกลงไปในกับดักไม้ธรรมชาติก็เกือบถูกฆ่าตายแล้ว ตอนนี้นักโทษสามคนที่เหลือก็ไม่อาจรอดไปได้ ศพของดวงวิญญาณพวกเขากระจายไปบนเส้นทางภูเขาแห่งนี้
นักโทษขั้นเจ็ดยังคงเป็นอันตรายต่อผู้แข็งแกร่งขั้นสองในระดับหนึ่ง สำหรับชู่มู่ที่มีระดับความสามารถอยู่ในผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวแล้ว เท่ากับว่าได้มอบเหรียญทองให้เขาโดยตรง !
ชู่มู่เงยหน้าขึ้น จับจ้องไปยังการต่อสู้บนฟ้า
การต่อสู้บนฟ้าก็ใกล้จะจบลงแล้ว หลังจากอสูรสายฟ้านิมิตราตรีของชู่มู่เข้าร่วมการต่อสู้ นักโทษคนสุดท้ายก็ถูกฆ่าตายแล้ว ศพตกลงใต้เท้าของชู่มู่
ในไม่ช้า ชู่มู่ได้เก็บแหวนนักโทษไว้ในมือ อีกทั้งโยนวงหนึ่งให้กับซ่างเหิง พูดกับซ่างเหิงว่า “นี่เป็นของเจ้า”
“ไม่ต้อง ถ้าไม่มีพวกเจ้า ข้าอาจถูกคัดออกไปแล้ว” ซ่างเหิงโยนแหวนให้ชู่มู่ เขากวาดตามองไปยังศพนักโทษขั้นเจ็ดเหล่านั้น พูดพร้อมยิ้มฝืน
“ชู่เฉิง ความสามารถของเจ้าเพิ่มขึ้นไวเกินไปแล้ว ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ดวงวิญญาณสองตัวของเจ้ายังจัดการเซิ่นอีเฉิงอย่างลำบาก ตอนนี้เจ้ากลับขยี้ผู้เข้าแข่งขันระดับเซิ่นอีเฉิงได้อย่างง่ายดาย ! ”
ชู่มู่แค่ยิ้มอย่างเฉยเมย ไม่พูดอะไรอีก
การเพิ่มความสามารถชู่มู่ได้จากการได้เกียติสูงสุดต่อเนื่องแล้วเพิ่มความแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับไม่กี่เดือนก่อน มีการเพิ่มขึ้นอย่างมากจริง ๆ
“เจ้าอยู่คนเดียวได้อย่างไร” ชู่มู่ถามขึ้น
ซ่างเหิงมีผลกระทบระดับหนึ่งต่อตำหนักวิญญาณ น่าจะไม่ถึงขั้นที่ถูกนักโทษขั้นเจ็ดห้าคนไล่ล่าลำพังแบบนี้
“ข้าอยู่กับถิงหลัน หลีจ่าน ทว่า พวกข้าเจอกับนักโทษฝูงใหญ่ น่าจะเป็นนักโทษขั้นเจ็ดสิบกว่าคนกับขั้นแปดไม่กี่คน ก่อนหน้านี้พวกข้าถูกไล่ต้อนจนหมดทางสู้แล้ว ข้าทำได้แค่เป็นเหยื่อล่อพวกเขาออกมา ตอนนี้ไม่รู้สองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ซ่างเหิงบอก
ตอนที่ซ่างเหิงพูดจบ เย้ชิงจือสะดุ้งทันที สีหน้าจริงจังขึ้นมาก แล้วพูดว่า “ท่าทางจะไม่ดีแล้ว”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ซ่างเหิงถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าได้กลิ่นยา เป็นยาถอยตัวที่ฝ่ายจัดการประลองให้พวกเรา” เย้ชิงจือตอบ
สีหน้าของซ่างเหิงเปลี่ยนไปทันที !
ในเมื่อเปิดขวดยา เท่ากับว่าพวกเขามีอันตรายถึงชีวิตแล้ว ต้องการให้ผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองช่วยเหลือ !
แต่ว่าต่อให้ความเร็วของผู้เฝ้าฝ่ายจัดการประลองจะไวมากเพียงใดก็ต้องใช้เวลาห้านาที ในภาวะปกติจะต้องใช้เวลาเกือบสิบนาทีถึงจะมาถึงได้ !
“ชู่เฉิง อย่าฝืนตัวเอง นักโทษทั้งห้าคนนี้ต่างมีผู้นำขั้นสูงลักษณะสิบและผู้นำชั้นยอดลักษณะสิบ ต่อให้เจ้ามีจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าสามตัว อย่างมากก็ทำได้แค่รับมือกับนักโทษสองคน” ซ่างเหิงบอกอย่างใจร้อน
นักโทษห้าคนมีดวงวิญญาณทั้งหมดสิบคน ความสามารถของผู้นำขั้นสูงลักษณะสิบจะเทียบเท่าจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าขั้นต่ำ ต่อให้ดวงวิญญาณทั้งสี่ตัวของเย้ชิงจืออยู่ในจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าก็จัดการนักโทษเหล่านี้ลำบาก อย่างไรก็ตาม นักโทษห้าคนนี้ล้วนเป็นผู้คุมดวงวิญญาณรุ่นผู้ใหญ่ ถ้าพวกเขาแค่ควบคุมคู่ละก็ จะทำให้ความสามารถของดวงวิญญาณสองตัวที่พวกเขาควบคุมนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดได้
ชู่มู่ไม่ได้สนใจความกังวลของซ่างเหิง ร่ายคาถาขึ้นอย่างช้า ๆ อัญเชิญปีศาจนักรบไม้ออกมา
ปีศาจนักรบไม้อยู่ในลักษณะเก้าขั้นสอง รากปักลงหินที่แข็งแรงโดยตรง กระจายรากไม้ของมันไปรอบ ๆ พร้อมที่จะโจมตีนักโทษที่ไล่โจมตีพวกนั้น
เย้ชิงจือร่ายคาถาขึ้นแล้ว น้ำแข็งพิฆาตขั้นสูงที่หนาวแทงกระดูกกับเลือดอัคคีขั้นสูงที่ร้อนระอุปรากฏขึ้นด้านหน้าเธอ ผลึกธาตุสองอย่างนี้หล่อรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นโครงร่างของภูตน้ำแข็งอัคคีอย่างช้า ๆ
ผู้คุมดวงวิญญาณส่วนใหญ่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ดวงวิญญาณตระกูลธาตุที่มีหลายหมวดตามหมวดที่มีพรสวรรค์สูงกว่า นอกนั้นจะเป็นหมวดรอง ซึ่งจะเพิ่มพลังทำลายล้างได้ในระดับหนึ่ง
การปรับหมวดใดหมวดหนึ่งให้อยู่ในภาวะขั้นสูงระดับสามจำต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลอย่างมาก ปรับหมวดทั้งสองเข้าด้วยกัน ไม่เพียงแต่ต้องใช้เงินทุนซื้อวัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งพรสวรรค์หมวดนั้นยังเดียว ยังต้องซื้อวัตถุวิญญาณที่ป้องกันและปรับความสมดุลไม่ให้หมวดทั้งสองปะทะกันด้วย
ดังนั้น ในการปรับหมวดคู่แบบนี้จะต้องใช้เงินทุนมากกว่าการปรับหมวดเดี่ยวถึงสามเท่า
ในภาวะปกติ ผู้คุมดวงวิญญาณยอมที่จะใช้เงินทองเหล่านี้เพิ่มความแข็งแกร่งหมวดใดหมวดหนึ่ง ให้หมวดใดหมวดหนึ่งของดวงวิญญาณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น น้อยครั้งที่จะพัฒนาหมวดคู่
และแล้ว ภูตน้ำแข็งอัคคีตัวนี้ของเย้ชิงจือกลับพัฒนาสองหมวดพร้อมกัน ผลึกธาตุน้ำแข็งกับผลึกธาตุไฟอยู่ในภาวะขั้นสูงระดับสามแล้ว
ดวงวิญญาณปรับการฝึกแบบนี้เป็นที่พบเห็นได้ยากมากในโลกดวงวิญญาณ เกรงว่ามีเพียงเย้ชิงจือที่สามารถสร้างวัตถุวิญญาณขั้นแปดราคาแพงด้วยตัวเองเท่านั้นที่จะรับวิธีการเพิ่มความแข็งแกร่งราคาแพงแบบนี้ได้
“จักรพรรดิขั้นต่ำหมวดคู่นี่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิขั้นสูงอีก !!! ” ซ่างเหิงอึ้งเล็กน้อย มองไปยังภูตน้ำแข็งอัคคีของเย้ชิงจือด้วยความประหลาดใจ
จักรพรรดิขั้นต่ำลักษณะเก้าขั้นหนึ่ง หมวดคู่อยู่ในภาวะขั้นสูงระดับที่สาม ความสามารถที่แท้จริงแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิขั้นต่ำลักษณะเก้าขั้นหนึ่งมากถึงสองขั้น !
·นี่เป็นจักรพรรดิขั้นกลาง ลักษณะเก้าขั้นกลางตัวหนึ่ง เป็นดวงวิญญาณที่มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าภูตพันวายุของชู่มู่ !
ภูตน้ำแข็งอัคคีตัวนี้เป็นดวงวิญญาณหลักของเย้ชิงจือ ตามการเพิ่มลักษณะขั้นของภูตน้ำแข็งอัคคี หมวดคู่หลักของมันได้เผยออกมามากยิ่งขึ้น
และถ้าเย้ชิงจือสามารถทำให้เลือดอัคคีกับน้ำแข็งพิฆาตอยู่ในระดับที่สี่ได้ละก็ ระดับพลังต่อสู้ของมันคงจะน่ากลัวยิ่งกว่านี้ !
·”ชิงจือ ซ่อนภูตน้ำแข็งอัคคีของเจ้าไว้ที่สูง” ชู่มู่พูดกับเย้ชิงจือ
ดวงวิญญาณตระกูลธาตุจำต้องมีพื้นที่มากพอที่จะปล่อยทักษะออกมา พลังทำลายล้างของภูตน้ำแข็งอัคคีเพียงพอที่จะทำให้นักโทษทั้งห้าได้รับอันตรายถึงชีวิตได้แน่นอน !
·”อืม” เย้ชิงจือพยักหน้า ให้ภูตน้ำแข็งอัคคีลอยตัวขึ้น ไปยังปลายสุดของเส้นทางภูเขา อยู่บริเวณที่สูง
“ปีศาจไม้ ควบคุมพวกเขาเอาไว้ อย่าให้พวกเขาเข้าใกล้” ชู่มู่พูดกับปีศาจนักรบไม้
ปีศาจนักรบไม้ก้าวเท้าออก เดินตรงไปด้านหน้า ในขณะเดียวกัน ภูตไม้หมุนของเย้ชิงจือได้ร่ายคาถาขึ้น นำน้ำค้างภูตไม้ปกคลุมบนตัวปีศาจนักรบไม้ !
พลังชีวิตของปีศาจนักรบไม้เป็นสองเท่าของดวงวิญญาณลักษณะเก้าขั้นสองธรรมดา หลังจากใช้น้ำค้างภูตไม้นี้แล้ว ยิ่งทำให้พลังชีวิตของปีศาจนักรบไม้เพิ่มขึ้นจนเป็นสามเท่าของดวงวิญญาณธรรมดา
พลังชีวิตของปีศาจนักรบไม้เพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่ทำให้ความสามารถต้านทานของมันแข็งแกร่งขึ้น แต่ได้เพิ่มความเร็วในการดูดซึมพลังชีวิตของปีศาจนักรบไม้เช่นเดียวกัน !
หลังจากเพิ่มผลของพลังชีวิตแล้ว ภูตไม้หมุนได้เดินไปด้านหน้าพร้อมกับปีศาจนักรบไม้ มุ่งหน้าไปรับมือกับศัตรูพร้อมกับปีศาจนักรบไม้
…
“โครม โครม โครม โครม”
เดิมภูเขาที่สร้างจากหินก็ไม่มั่นคงอยู่แล้ว ในตอนที่มีฝูงดวงวิญญาณแข็งแรงวิ่งมา ทั้งเส้นทางภูเขาจะเกิดการสั่นสะเทือน
นักโทษทั้งห้าต่างขี่ดวงวิญญาณที่ต่างกัน ภูตอสูรที่เปี่ยมด้วยพลังวิ่งไปตามเส้นทางภูเขา ตอนเหยียบลงพื้นกลับทำให้ฝุ่นทั้งหมดตลบขึ้น ต่อให้ห่างกันในระยะพอสมควรยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอบ้าคลั่งของอสูรได้
ภูตอสูรที่เน้นความเร็วได้กระโดดมุ่งหน้าไปตามหินและหน้าผาที่ขรุขระ พวกมันกระโดดไปตามหน้าผา แขนขาที่คล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่า เป็นดวงวิญญาณที่ผ่านการฝึกความเร็วเป็นระยะเวลานาน ความสามารถในการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วกว่าดวงวิญญาณขั้นสูงที่วัยหนุ่มควบคุมอีก ต่อให้ภูเขาจะเป็นทางชันที่ไม่ราบเรียบ ยังคงทำได้เช่นเดียวกับพื้นราบ
ในบรรดาดวงวิญญาณของนักโทษ นอกจากดวงวิญญาณหมวดอสูรกับดวงวิญญาณหมวดภูตวิญญาณแล้วยังมีดวงวิญญาณหมวดปีกสองตัว
ดวงวิญญาณหมวดปีกสองตัวนี้บินแนบติดกับหน้าผา พวกเขาก็รู้ว่า ถ้าบินสูงเกินไปจะถูกแส้ฟาดลง และระหว่างที่บินแนบไปตามหน้าผานี้ ความเร็วของดวงวิญญาณหมวดปีกนี้กลับไม่ลดลงมากเท่าไร ไสยายไปตามสายลม หลบหินแปลกที่ยื่นออกเหล่านั้นอย่างง่ายดาย ทะลุผ่านได้ตามใจ…
“พวกเขา…พวกเขามาแล้ว ! ” สีหน้าของซ่างเหิงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ฝ่ายตรงข้ามมีดวงวิญญาณทั้งหมดสิบตัว ต่างอยู่ในภาวะลักษณะสิบสมบูรณ์แล้ว บวกกับความสามารถในการควบคุมดวงวิญญาณของเหล่านักโทษวัยผู้ใหญ่นี้ หากไม่ระวังอาจทำให้ไม่มีแรงโต้ตอบได้ !
สายตาของชู่มู่เพ่งเล็งไปยังดวงวิญญาณหมวดปีกที่บินแนบไปตามหน้าผาสองตัวนั้นก่อน ดวงวิญญาณที่บินจะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้อย่างมาก พร้อมที่จะโจมตีตัวผู้คุมดวงวิญญาณได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ในตอนที่ต่อสู้ สิ่งแรกที่ชู่มู่จะจัดการคือดวงวิญญาณหมวดปีก
“ชิงจือ อสูรนิมิตชุดม่วงของเจ้ารับมือได้ไหม” ชู่มู่ถามขึ้น
“ไม่ได้ หนึ่งในดวงวิญญาณหมวดปีกสองตัวนี้อยู่ในผู้นำชั้นยอดแล้ว อสูรนิมิตชุดม่วงของข้าจัดการได้แค่ตัวเดียว อีกตัวหนึ่ง…” เย้ชิงจือก็ไม่ฝืนตัวเอง พูดความจริงออกมา
คนที่ควบคุมดวงวิญญาณหมวดปีกนี้เป็นผู้คุมดวงวิญญาณวัยผู้ใหญ่ เย้ชิงจือไม่อวดดีจนถึงขั้นคิดว่า ตัวเองจะควบคุมให้อสูรนิมิตชุดม่วงจัดการผู้นำลักษณะสิบสองตัวได้
“อีกตัวหนึ่งให้ข้าเถอะ ในเมื่อจะสู้ก็สู้ ! ” ซ่างเหิงเช็ดรอยเลือดบนหน้าออก กัดฟันพูด
ในภาวะที่กำลังต่อสู้ สมาชิกขั้นสามสองคนกลับไม่หวาดกลัวอะไร ซ่างเหิงเป็นถึงตัวแทนขั้นสองของตำหนักวิญญาณ จะอ่อนแอแบบนั้นไม่ได้ !
“อืม เจ้าแค่จับตาดูดวงวิญญาณหมวดปีกตัวนั้นให้ดี ที่เหลือปล่อยให้พวกเราจัดการเถอะ ! ” ชู่มู่พูดด้วยความมั่นใจ
…
สามร้อยเมตรห่างจากเส้นทางเดินเขา นักโทษขั้นเจ็ดที่ขี่อสูรเขาหนามตัวหนึ่งด้านหน้าสุดยิ้มด้วยความโหดร้าย
“ฮะฮะ มีผู้เข้าแข่งขันเพิ่มขึ้นสองคน ! ” นักโทษขั้นเจ็ดคนนี้เห็นเย้ชิงจือกับชู่มู่ทันที ในไม่ช้า ตาของเขาเล็งไปยังเย้ชิงจือ ตาเป็นประกาย เผยท่าทีหื่นกามออกมา ตะโกนขึ้นว่า “ในนั้นมีผู้คุมดวงวิญญาณหญิงคนหนึ่ง รูปร่างไม่แย่ เป็นของข้า ! ”
หลังจากพูดจบ นักโทษขั้นเจ็ดคนนี้ได้ออกคำสั่งไปยังอสูรเขานาม ให้มันเพิ่มความเร็วในการวิ่งขึ้น อดใจไม่ไหวแล้ว !
“ล้อเล่นใช่ไหม เป็นของเจ้างั้นหรือ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนพบเห็น ! ” บริเวณที่สูงสิบเมตร นักโทษที่ขี่ดวงวิญญาณหมวดปีกคนนั้นหัวเราะออกมา
“ลองดูว่าใครจับได้ก่อน ! ” เจ้าของอสูรเขาหนามพูดขึ้น แทบไม่สนใจดวงวิญญาณของชู่มู่กับเย้ชิงจือ
หลังจากนักโทษสองคนนี้พูดจบ ดวงตาของนักโทษทั้งสามคนส่องประกายตื่นเต้นออกมาเช่นกัน อย่างไรก็ทำชั่วมามากแล้ว พวกเขาไม่สนใจว่า จะมีโทษเพิ่มขึ้นอีกไหม !
ดวงตาเร่าร้อนของนักโทษเต็มไปด้วยความอยากครอบครองอันรุนแรง เย้ชิงจือเข้าใจว่า ในหัวของเหล่านักโทษนี้กำลังคิดอะไรอยู่
ทว่า เย้ชิงจือเองก็ไม่ได้โกรธด้วยเรื่องแบบนี้ ดวงตาของเขายังคงความแน่นิ่งเอาไว้ ออกคำสั่งต่อภูตไม้หมุนของตัวเอง
“พุ !!! พุ !!! ”
หนามเส้นเล็กของภูตไม้หมุนทำลายหินทันที ขวางไว้ใต้เท้าของอสูรเขาหนาม คิดจะมัดอสูรเขาหนามที่วิ่งด้วยความเร็วสูงนี้ไว้
นักโทษขั้นเจ็ดนั้นยิ้มด้วยความเย้ยหยัน ให้อสูรเขาหนามกระโดดขึ้น หลบกับดักเล็ก ๆ ของภูตไม้หมุนนี้อย่างง่ายดาย
“ปัญญาอ่อนจริง ทักษะแบบนี้เอาไว้เล่นกับเด็กเหรอ” นักโทษขั้นเจ็ดคนนี้พูดพร้อมเยาะเย้ย
“ถ้าอย่างนั้นก็เล่นเกมผู้ใหญ่กับเธอหน่อย ! ” นักโทษคนอื่นหัวเราะด้วยความหื่นกามออกมา จากสายตาของพวกเขา พวกเขาแทบไม่ต้องจริงจังกับการต่อสู้แบบนี้
“เกมของผู้ใหญ่เหรอ ถ้าอย่างนั้นคือ การฆ่าล้าง สมใจอยากข้าพอดี ! ” ชู่มู่เผชิญหน้ากับนักโทษที่เยาะเย้ยเย้ชิงจือ เผยรอยยิ้มเยือกเย็นพร้อมจะทรมานออกมา
จากมุมมองของชู่มู่ ผู้ชายที่แท้จริงควรต่อสู้ด้วยเลือดสด ไม่ใช่คิดแต่ร่างกายของหญิงสาวในหัว ดังนั้น ตลอดที่ผ่านมา ต่อให้ชู่มู่เผชิญหน้ากับผู้คุมดวงวิญญาณหญิง ก็จะไม่ประมาท !
และเป็นถึงนักโทษที่ชั่วร้ายแบบนี้ แทบไม่อยู่ในระดับที่มีเพียงการฆ่าล้างเช่นเดียวกับผู้ฆ่าล้างอย่างแท้จริง เช่นนี้ พวกเขาจะต้องเสียสละให้กับการประหม่าศัตรูและจิตที่ไม่จดจ่อ !
“ปีศาจไม้ กับดักไม้ธรรมชาติ ! ” ชู่มู่ออกคำสั่งต่อปีศาจนักรบไม้
กับดักไม้ธรรมชาติของปีศาจนักรบไม้วางไว้บนเส้นทางเดียวของภูเขานี้ตั้งนานแล้ว ความกว้างกลับมากถึงสามสิบกว่าเมตร !
ชั้นหินของภูเขาเวหาอมตะหนาแน่นยิ่ง ในภาวะปกติ กับดักของปีศาจนักรบไม้มากถึงร้อยเมตรได้ ทว่า กับดักสามสิบเมตรจัดการอสูรเขาหนามที่ตกลงจากที่สูงนั้นได้เหลือเฟือแล้ว !
“กับดักแบบนี้ยังคิดจะจัดการข้าเหรอ” นักโทษขั้นเจ็ดคนนั้นหัวเราะออกมา
อสูรเขาหนามที่อยู่กลางอากาศยกขาหน้าขึ้นเล็กน้อย พลังอสูรสีน้ำตาลรวมไว้บนเกือกเหล็กใหญ่ของมัน ตามเสียงคำรามของอสูรเขานาม พลังสลายอย่างหนึ่งพาดผ่านขาหน้าอย่างแรง พุ่งเข้าไปยังกับดักไม้ธรรมชาติสามสิบเมตร ทำให้รากไม้ที่ปีศาจนักรบไม้วางไว้กลายเป็นเศษหมด
หลังจากกับดักไม้ธรรมชาติถูกทำลาย ชู่มู่กลับไม่รีบร้อน แค่ออกคำสั่งต่อปีศาจนักรบไม้อย่างราบเรียบ “คุกนิ้วไม้”
“เป็นใครกันแน่ ตอนนี้แค่วันที่สอง ระหว่างเหล่านักโทษน่าจะยังไม่มีการแย่งชิงด้วยผลประโยชน์ ในตอนนี้คงไม่จำเป็นต้องทำลายกันเอง…” เย้ชิงจือพูดพร้อมกับใช้ความคิด
“ความสามารถของนักโทษคนนี้แข็งแกร่งอย่างมาก” หลังจากชู่มู่เดินรอบสนามรบที่เต็มไปด้วยศพนี้แล้ว ได้ทำการประเมินด้วยตัวเอง
“ทำไมถึงว่าแบบนั้น หรือว่าเป็นการต่อสู้ของนักโทษสองกลุ่ม” เย้ชิงจือบอก
“ศพเหล่านี้ถูกโจมตีด้วยรอยเล็บแบบเดียวกัน การเคลื่อนไหวของรอยเล็บ ทักษะรอยเล็บล้วนมาจากดวงวิญญาณที่ตายไปแล้วเหล่านี้ อีกทั้งชุลมุนอย่างมาก แทบมองไม่เห็นร่องรอยของดวงวิญญาณที่ฆ่าพวกเขาทิ้งเอาไว้ และนี่ก็เป็นหลักฐานบอกว่า ดวงวิญญาณตัวนี้เป็นสิ่งดุร้ายที่เน้นความเร็วและการซ่อนตัว อีกอย่างคือ จำนวนของดวงวิญญาณที่เห็นนั้นต่ำกว่าสามตัว” ชู่มู่บอก
การประเมินทักษะแบบนี้ ชู่มู่ได้เรียนรู้จากนักโทษชราคนหนึ่งตอนอยู่เกาะนักโทษ ทว่า ในตอนที่เจออันตราย นักโทษชราคนนี้กลับทิ้งชู่มู่ไว้ หนีไปลำพัง
ในตอนที่อยู่เกาะนักโทษจะมีเหตุการณ์นักโทษตั้งกลุ่มเช่นกัน เป็นการนัดแนะจะไม่โจมตีอีกฝ่ายในเวลาที่ตกลงกัน และหลังจากสลัดอันตรายแล้วค่อยแยกย้ายกัน
นั่นเป็นเรื่องเมื่อกลายปีก่อน ชู่มู่เกือบจะลืมนักโทษชราคนนั้นไปแล้ว ความจริงแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะนักโทษชราคนนั้น ชู่มู่ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ได้ เพราะความสามารถในการเอาชีวิตรอดส่วนหนึ่งชู่มู่ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ส่วนนักโทษชราโหดร้ายคนนั้นได้สอนเขาอีกส่วนหนึ่ง
“เขาน่าจะห่างจากพวกเราไม่มาก เหมือนว่าพวกเราเลือกที่จะเดินทางหลังจากหลายวันที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก พวกเราจะเจอศัตรูที่น้อยลงก็จริง แต่ความสามารถของศัตรูที่พบเจอกลับแข็งแกร่งมาก” เย้ชิงจือพูดเสียงเบา
“จะว่าไปก็ใช่ ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นนักโทษขั้นแปด ต่อสู้กับเขาเพื่อเงินสองร้อยล้านแบบนี้ไม่คุ้มอย่างมาก” ชู่มู่พูดด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ
“ทว่า อย่างน้อยพวกเราจะได้แหวนนักโทษขั้นแปดหนึ่งวงกับแหวนนักโทษขั้นเจ็ดห้าวง รวมกันเป็นสี่ร้อยห้าสิบล้าน บวกกับที่ได้ก่อนหน้านี้ พวกเรามีทั้งหมดเจ็ดร้อยล้านแล้ว วันเดียวก็ได้เจ็ดร้อยล้าน เมื่อก่อนกว่าจะได้มาต้องทุ่มเทอย่างมาก” ชู่มู่กระโดดขึ้นหลังของอสูรสายฟ้านิมิตราตรี ถือแหวนนักโทษหกวงที่มีเลือด ยิ้มอย่างสง่า
เย้ชิงจือเห็นชู่มู่ยิ้มอย่างสดใส ทำได้แค่ส่ายหัวด้วยความเอือมระอา จะมีใครยืนยิ้มสดใสบนกองศพแบบนั้นได้…
ชู่มู่ย่อมชินกับการฆ่าล้างแล้ว ที่บอกว่าความเสี่ยงสูงถึงจะได้ค่าตอบแทนสูง ไม่แปลกที่ผู้เข้าแข่งขันมากมายเลือกที่จะเข้าร่วมการประลองฟ้าดิน มาถึงด่านที่แปดนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยทองคำ สามารถยืดเวลาสักพักได้ เพียงพอที่จะเพิ่มความสามารถของดวงวิญญาณได้
แน่นอนว่าเจ็ดร้อยล้านไม่ถือว่าเยอะมาก เพราะแบ่งกันสองคน ดังนั้น ชู่มู่เองต้องใช้เงินทุนมหาศาลอย่างน้อย สามพันล้าน ความจริงจำเป็นต้องให้ได้หกพันล้าน…
หกพันล้าน นี่เป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก ชู่มู่จำต้องปล่อยนิสัยฆ่าล้างของเขาออกมาแล้ว !
…
ชู่มู่กับเย้ชิงจือจงใจลดความเร็วมุ่งหน้า พวกเขาไม่หวัง พวกเขาไม่หวังจะเจอนักโทษแข็งแกร่งที่ฆ่าคนทั้งหก
เมื่อเดินมุ่งหน้าไป ศพที่เจอระหว่างทางย่อมเยอะมากขึ้นแน่นอน ที่สนุกคือ เหมือนจะยังมีผู้เข้าแข่งขันหลายคนไม่รู้ความลับของแหวนนักโทษ หลังจากที่พวกเขาฆ่านักโทษแล้ว ไม่ได้เก็บแหวนนักโทษไว้
ชู่มู่กับเย้ชิงจือน่าจะเป็นผู้เข้าแข่งขันสุดท้ายที่ได้ขึ้นเขา ระหว่างทางชู่มู่เก็บแหวนนักโทษได้ถึงหกวง
แหวนหกวงนี้ต่างเป็นขั้นเจ็ด เช่นนี้ ตอนถึงวันที่สาม ชู่มู่ได้เก็บเงินมากถึงหนึ่งพันล้าน
ความเร็วในการได้เงินแบบนี้เกินกว่าจะจินตนาการได้ ต้องรู้ไว้ก่อนว่า ประกาศภารกิจขั้นเก้าอันใดก็ตามที่มีรางวัล หนึ่งพันล้าน แม้แต่ระดับขั้นเก้าในอำนาจต่าง ๆ ยังต้องใช้เวลาเกือบเดือนหรือมากกว่านั้นถึงจะทำสำเร็จได้ ชู่มู่เข้ามาในด่านที่แปดแค่สามวัน ก็ได้ค่าตอบแทนที่เทียบเท่าเดือนหนึ่งของผู้ที่มีระดับขั้นเก้าแล้ว
ทว่า ในตอนที่ถึงวันที่สี่ แหวนบนศพนักโทษระหว่างทางได้หายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่า ความลับของแหวนนักโทษนี้ได้กระจายออกแล้ว คาดว่าชู่มู่ไม่มีโอกาสจะได้เงินง่าย ๆ แล้ว
“ฮวย”
อสูรสายฟ้านิมิตราตรีที่มีความสามารถรับรู้อันดีส่งเสียงร้องขึ้น เตือนชู่มู่กับเย้ชิงจือว่า ได้พบเจอกลิ่นไอของสิ่งมีชีวิตด้านหน้า
ด้านหน้าเป็นเส้นทางตามซอกหินที่เกิดจากหินยักษ์สองก้อน มีขนาดกว้างประมาณสองคนเดินผ่านได้
ชู่มู่ย่อมไม่เลือกเดินเส้นทางที่ไม่มีทางหลบซ่อนแบบนี้ ขี่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีกระโดดขึ้นบนหินที่ลื่นนั้น มองจากที่สูงลงมา
“โฮร่”
เสียงคำรามทุ้มต่ำดังขึ้นจากหิน เสียงนี้ซ่อนความเจ็บปวดไว้ด้วย
ชู่มู่ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีกระโดดลงมา หันกลับไปได้เห็นดวงวิญญาณที่มีขนสีม่วงด้านหลังหิน เหมือนจะซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น บนตัวมันเต็มไปด้วยรอยเลือด แขนขาที่แข็งแรงทั้งสี่เกิดร่องรอยบาดเจ็บ ปีกสีม่วงคู่นั้นกลับห้อยลง ถูกหักลงมา !
“สิงโตปีกดาบสายฟ้างั้นหรือ” ชู่มู่มองดูดววิญญาณผู้นำขั้นสูงที่ได้รับบาดเจ็บตัวนี้ จงใจใช้ร่ายวิญญาณรับรู้กลิ่นไอของมัน
ดวงวิญญาณแต่ละตัว ต่อให้เป็นกลุ่มเดียวกัน กลิ่นไอของพวกมันจะต่างกัน ในตอนที่ชู่มู่รับรู้กลิ่นไอของสิงโตปีกดาบสายฟ้าก็เกิดความคุ้นเคย
“ชิงจือ ให้ภูตไม้หมุนของเจ้ารักษามัน” ชู่มู่พูดกับเย้ชิงจือที่อยู่อีกด้านของหิน
เย้ชิงจือขี่อสูรนิมิตชุดม่วงกระโดดขึ้นบนหินเช่นกัน เธอมองดูดวงวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บตัวนี้ ไม่ได้ถามอะไรอีก ให้ภูตไม้หมุนปล่อยทักษะรักษาชีวิตออกมา
“เจ้ารู้จักดวงวิญญาณตัวนี้เหรอ” เย้ชิงจือถามขึ้น
ความใจดีของชู่มู่มีขีดจำกัด เขาไม่มีทางไปช่วยเหลือดวงวิญญาณที่อาจเป็นอันตรายหรือเป็นกับดักแบบนี้ได้
“อืม คือสิงโตปีกดาบสายฟ้าของซ่างเหิง ตอนที่สู้กับเซิ่นอีเฉิง เขาเคยอัญเชิญออกมา ข้าจำกลิ่นไอของมันได้”
ชู่มู่เดินไปข้างหน้า ใช้มือลูบสิงโตปีกดาบสายฟ้าที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นการบอกให้มันผ่อนคลายลง รับการรักษาของเย้ชิงจือ
ก่อนหน้านี้สิงโตปีกดาบสายฟ้ายังแยกเขี้ยวอยู่ ทำท่าทีพร้อมโจมตีทุกเมื่อ แต่หลังจากที่ชู่มู่ปลอบอย่างง่ายดาย ดวงวิญญาณที่มีจิตวิญญาณนี้จำชู่มู่ได้ คลี่คลายความคิดว่า ชู่มู่เป็นศัตรูออก แล้วส่งเสียงคำรามต่ำเหมือนจะบอกบางอย่างให้กับชู่มู่
“เจ้ารักษาตัวก่อน ตอนที่สิ่งได้แล้วพาพวกเราไปหาเจ้าของเจ้า” ชู่มู่บอก
“โฮร่” หลังจากฟังคำพูดของชู่มู่ ร่างของสิงโตปีกดาบสายฟ้าสั่นเล็กน้อย พยายามดันลำตัวที่เต็มไปด้วยเลือดสดของตัวเองขึ้น ทำท่าทีจะออกเดินทางทันที
ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย มองดูดวงวิญญาณที่ทั้งสี่ขาเต็มไปด้วยเลือดสดแต่ยังคงจะลุกขึ้นนี้…
ชู่มู่เข้าใจอารมณ์ของสิงโตปีกดาบสายฟ้าตัวนี้ทันที คาดว่าเจ้าของมันน่าจะตกอยู่ในอันตรายบางแห่ง
“ชิงจือ เจ้าดูแลมัน ข้าจะไปดูข้างหน้า” ชู่มู่ลุกขึ้นยืนแล้วบอกกับเย้ชิงจือ
“อืม แผลส่วนใหญ่ของมันเป็นแผลนอก จะเคลื่อนไหวได้ในไม่ช้า ข้าจะตามไปทันที” เย้ชิงจือพยักหน้า
“หากตรงนี้เกิดอะไรขึ้น ให้อสูรนิมิตชุดม่วงของเจ้าบอกกับเย้ทันที” ชู่มู่เตือนเย้ชิงจือ หลังจากพูดจบ ขี่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีมุ่งหน้าไปทันที
ระหว่างดวงวิญญาณกลุ่มเดียวกันจะมีจิตวิญญาณที่เชื่อมต่อกัน ถ้าไม่มีการเชื่อมต่อพิเศษแบบนี้ ชู่มู่ย่อมไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้เย้ชิงจืออยู่คนเดียว
…
“ฮู ฮู ฮู”
ลมตีเข้าหน้าของชู่มู่ ลมพัดพาจากด้านหน้า ชู่มู่สูดหายใจเข้าลึก ๆ สัมผัสกลิ่นเลือดที่อยู่ในอากาศ
“ใกล้มากแล้วงั้นหรือ” ชู่มู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ลอยจากด้านหน้า อีกทั้งกำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว
ชู่มู่ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีซ่อนตัวอยู่ในเงาของใต้หิน รอให้คนที่มีกลิ่นคาวเลือดนั้นปรากฏตัว
หลังจากผ่านไปสักพัก บริเวณทางโค้งหินนั้นมีผู้คุมดวงวิญญาณที่ขี่อสูรเชิญหงส์คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น !
บนตัวผู้คุมดวงวิญญาณนี้เต็มไปด้วยรอยเลือด และอสูรเชิญหงส์ที่ควรปกคลุมด้วยเกราะแสงทั้งตัวกลับเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ เกราะบนตัวไม่มีชิ้นไหนที่สมบูรณ์ มองดูแล้วน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก
“ซ่างเหิง ! ” ชู่มู่มองดูผู้คุมดวงวิญญาณคนนี้ด้วยความประหลาดใจ
“ใคร !!! ” ซ่างเหิงอยู่ในภาวะหวาดระแวง ได้ยินมีคนเรียกชื่อของเขา ยิ่งให้อสูรเชิญหงส์พุ่งตรงไปหาเขา !
“ข้าคือชู่เฉิง” เงาของชู่มู่กับอสูรสายฟ้านิมิตราตรีปรากฏขึ้นท่ามกลางเงาอย่างช้า ๆ
ซ่างเหิงรีบให้อสูรเชิญหงส์ของตัวเองหยุดโจมตี เผยความดีใจออกมาบนใบหน้า
และแล้ว ความดีใจของซ่างเหิงอยู่ได้ไม่นาน หลังจากเขามองไปยังด้านหลังของตัวเอง พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “รีบไป ที่นี่อันตรายอย่างมาก ! ”
“เจ้าตามข้ามา” ชู่มู่ขี่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีวิ่งไปตรงหน้าของซ่างเหิง
ซ่างเหิงไม่พูดเยอะ รีบขี่อสูรเชิญหงส์ที่ได้รับบาดเจ็บตามหลังอสูรสายฟ้านิมิตราตรีไป
ในไม่ช้า ชู่มู่ได้พาซ่างเหิงไปยังบริเวณที่สิงโตปีกดาบสายฟ้าได้รับบาดเจ็บ ในตอนนี้ เย้ชิงจือได้จัดการแผลบนขาของสิงโตปีกดาบสายฟ้าเรียบร้อยแล้ว
สิงโตปีกดาบสายฟ้าสัมผัสได้ว่า เจ้าของกำลังเข้าใกล้ จึงไม่สนว่า แผลจะฉีกออกหรือไม่ รีบเคลื่อนย้ายร่างอันแข็งแรงของตัวเอง วิ่งไปตรงยังตำแหน่งที่ซ่างเหิงมา
หลังจากที่โค้งผ่านก้อนหินซ่างเหิงได้เห็นสิงโตปีกดาบสายฟ้าของตัวเอง ดวงตาที่ได้ผ่านการต่อสู้อันเหนื่อยล้าคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยน้ำตา รีบกระโดดลงจากอสูรเชิญหงส์ กอดหัวนุ่มนวลของสิงโตปีกดาบสายฟ้านั้น ท่าทางตื้นตันใจอย่างมาก
ชู่มู่เคยเห็นความสามารถของซ่างเหิงมาแล้ว จนถึงตอนนี้น่าจะมีจักรพรรดิขั้นกลางลักษณะเก้าสามตัวเป็นอย่างน้อยแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะดูอนาถขนาดนี้
“ชู่เฉิง พวกเราจำต้องออกจากที่นี่ มีนักโทษฝูงหนึ่งกำลังไล่ตามข้า ขอโทษอย่างมากที่ทำให้พวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” ซ่างเหิงบอก
“มีกี่คน” ชู่มู่ถามขึ้น
“มีห้าคน ต่างเป็นนักโทษขั้นเจ็ด ข้าไม่มีพลังต่อสู้อะไรแล้ว พวกเจ้าสองคนยากที่จะจัดการคนมากมายขนาดนั้นได้”ซ่างเหิงพูดอย่างใจร้อน
“อืม เป็นเงินสองร้อยห้าสิบล้าน ชิงจือ เตรียมตัวต่อสู้” ชู่มู่ฉีกยิ้มออก
ชู่มู่เดินไปยังหน้าผาที่สภาพดูไม่ได้ ได้เจอแหวนนักโทษขั้นแปดระหว่างซอกหินนั้น แล้วเก็บแหวนวงนี้ไว้
ชู่มู่คาดว่าถ้าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตพันวายุจนถึงจักรพรรดิขั้นสูง ต้องใช้เหรียญทองประมาณสามพันล้าน ความจริงวัตถุวิญญาณประมาณหนึ่งพันล้าน ก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตพันวายุจนถึงจักรพรรดิชั้นสูงได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะต้องใช้วัตถุวิญญาณหนึ่งพันล้านที่อาจไม่สำเร็จไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตพันวายุ ชู่มู่ยอมที่จะซื้อวัตถุวิญญาณราคาสูงกว่าที่มีโอกาสสำเร็จมากกว่า เพื่อให้ในดวงวิญญาณของตัวเองมีจักรพรรดิขั้นสูงเพิ่มขึ้นอีกตัว !
ดังนั้น ในด่านที่แปดนี้ ชู่มู่จำต้องเก็บแหวนช่องว่างมหาศาล เพื่อหวังจะให้มีดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นในด่านที่เก้า !
“พวกเราไปกันเถอะ” ชู่มู่บอกกับเย้ชิงจือ
“อืม” เย้ชิงจือพยักหน้า กระโดดขึ้นหลังอสูรนิมิตชุดม่วง เดินมุ่งหน้าไปตามหลังของชู่มู่
…
มองดูแผ่นหลังของชู่มู่ที่เดินอยู่ด้านหน้า เย้ชิงจือใช้ความคิดเล็กน้อย ดวงตาถูกปกคลุมด้วยสีสันพิเศษ พูดกับชู่มู่เสียงเบาว่า “ชู่มู่ หลังจากการประลองฟ้าดินแล้วเจ้าคิดจะไปไหน จะอยู่ในเมืองเทียนเซี่ยต่อเหรอ”
“น่าจะไม่ ข้าจะมุ่งหน้าไปทางตะวันออก” ชู่มู่ตอบ
“ทำไมเหรอ” เย้ชิงจือถามขึ้น
“มีผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกกับข้าว่า ให้มุ่งหน้าไปทางตะวันออก…” ชู่มู่ไม่ได้หันกลับมา หลังจากตอบแล้วก็มุ่งหน้าต่อไป
“อ้อ” เย้ชิงจือพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
ชู่มู่เหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่าง หันกลับไปมองเย้ชิงจือ พบว่าเย้ชิงจือกำลังก้มหน้าคิดบางอย่างอยู่ จึงฉีกยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “ชิงจือ เจ้าจะไปกับข้าไหม”
“อาจจะ” เย้ชิงจือพยักหน้าแล้วบอก
“อาจจะงั้นหรือ” ชู่มู่ยักคิ้วขึ้น น้ำเสียงหนักแน่นขึ้น
“แน่นอน” เย้ชิงจือขยิบตาให้ชู่มู่ พูดพร้อมเปลี่ยนน้ำเสียง
“อย่างนั้นก็ดี”
…
แสงแดดในตอนกลางวันสาดส่องลงบนยอดเขาของภูเขาเวหาอมตะ หินสีดำกับสีน้ำตาลนั้นกำลังดูดซึมพลังร้อนเหล่านี้ ทำให้ภูเขาทั้งลูกนี้เริ่มร้อนขึ้น บางครั้งอาจเห็นควันสีขาวได้ นั่นเป็นการะเหยของน้ำอย่างรวดเร็ว..
ทันทีที่อยู่ในสภาพอากาศท้องฟ้าปลอดโปร่ง ภูเขาเวหาอมตะจะมีไอร้อนลอยตัวขึ้น เหมือนเป็นยักษ์สีดำที่เหงื่อกำลังไหล…
เดินไปมาบนทางเดินหินนี้ ชายที่สวมชุดธรรมดาอย่างมากกำลังเดินอยู่บนทางเดินหินที่ร้อนระอุนี้ด้วยเท้าเปล่า
แต่ละก้าวที่ชายคนนี้เดินจะเกิดควันสีขาวใต้เท้า เขาเดินอย่างช้ามาก เหมือนเป็นผู้ลี้ภัยที่เหนื่อยล้าอย่างมาก กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังเส้นทางภูเขาไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้อย่างช้า ๆ
นิ้วของเขาแห้งกราน บริเวณตำแหน่งนิ้วชี้มีแหวนรูปร่างพิเศษอย่างหนึ่ง นี่ไม่ใช่แหวนช่องว่างที่ผู้คุมดวงวิญญาณทุกคนมี แต่เป็นแหวนนักโทษวงหนึ่ง !
·”บึ้ง บึ้ง บึ้ง”
ทันใดนั้น ด้านหลังชายคนนี้มีเสียงไล่ของดวงวิญญาณดังขึ้น !
ฝุ่นฟุ้งตลบ ด้านล่างทางเดินภูเขา มีนักโทษที่ขี่ผู้นำลักษณะสิบหกคนกำลังวิ่งมาด้วยความเหนื่อยล้า ท่าทีของพวกเขาบ้าคลั่งอย่างมาก เต็มไปด้วยพลัง เป็นนักโทษที่ดุร้ายอย่างมาก !
“เจ้าคนที่อยู่ด้านหน้า หยุดลงเดี๋ยวนี้ ! ” หัวหน้าเป็นชายที่มีอายุประมาณสี่สิบปี ชายคนนี้สวมชุดของผู้คุมดวงวิญญาณวัยหนุ่ม เห็นได้ชัดว่า ได้ปล้นผู้เข้าแข่งขันรุ่นวัยหนุ่มด่านที่แปดบางคนแล้ว และแหวนนักโทษขั้นที่แปดได้เผยตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมา
“สือโหย่ง คนนี้เหมือนจะคุ้นหน้า” นักโทษขั้นเจ็ดที่อยู่ด้านข้างหัวหน้าพูดเสียงเบา
“คุกอลวนใหญ่แค่นั้น จะมีนักโทษกี่คนที่ข้าไม่คุ้นหน้ากัน” นักโทษขั้นเจ็ดคนหนึ่งพูดเย้ยหยัน
“ไม่ว่าเขาเป็นใคร ไม่เข้ากลุ่ม ก็ไปตาย” หัวหน้านักโทษที่ชื่อสือโหย่งเผยความโกรธออกมา ขี่ดวงวิญญาณมุ่งตรงไปยังนักโทษที่อยู่คนเดียวทันที คิดจะทับนักโทษคนที่เดินอยู่คนเดียวนั้นโดยตรง !
“บึ้ง บึ้ง บึ้ง”
สือโหย่งขี่ผู้นำอสูรเกราะที่มีขนาดตัวถึงห้าเมตรตัวหนึ่ง ตอนที่วิ่งทำให้ทั้งเส้นทางภูเขานี้สั่นสะเทือน ถ้าทับคนละก็ จะถูกบดเป็นเศษแน่นอน !
“ไปตายซะ ! ” สายตาของสือโหย่งดุร้ายขึ้น ตอนที่ห่างจากนักโทษคนนี้เพียงยี่สิบเมตร ให้อสูรเกราะผู้นำปล่อยทักษะออกมาโดยตรง !
และในตอนนี้ นักโทษที่อยู่ลำพังคนนี้สังเกตเห็นการโจมตีที่มาจากด้านหลัง เขาหยุดเดินทันที เท้าที่ร้อนจนพองนั้นเหยียบบนหินที่ร้อนระอุอย่างนิ่ง
เขาหันหลังกลับ ดวงตาสีเหลืองผิดปกติคู่นั้นส่องประกายดุร้ายราวกับอสูรร้าย จับจ้องไปยังอสูรเกราะเขาผู้นำชั้นยอดอย่างเยือกเย็น !
ร่ายวิญญาณที่แข็งแกร่งได้กลายเป็นพลังเย็นเยียบที่พุ่งออกจากดวงตาของนักโทษคนนี้ สะท้อนเข้าไปในโลกแห่งจิตของอสูรเกราะ !
ร่างกายของอสูรเขาเกราะสั่นเล็กน้อย ลำตัวขนาดห้าเมตรนี้ชะงัดลงทันที ดวงตาที่เต็มไปด้วยความดุร้ายในตอนนั้นเผยความกลัวออกมาทันที !
ในขณะเดียวกัน สือโหย่งนักโทษขั้นแปดที่ขี่อสูรเขาเกราะนี้ได้รับการจับจ้องด้วยความดุร้ายด้วย เขาอยู่ในภาวะแข็งทื่อทันที…
“เจ้า…เจ้าคือ…เจ้าคือ…” สีหน้าที่เต็มไปด้วยพลังอย่างยิ่งนั้นกลับประหลาดอย่างยิ่ง เหงื่อไหลออกจากหน้าผากไม่หยุด แม้แต่พูดยังพูดไม่ออก!
“ตว้าน…ตว้านซิงเจ๋อ เจ้าคือตว้านซิงเจ๋อ !!! ” ในที่สุด หัวหน้านักโทษสือโหย่งนี้จำนักโทษน่ากลัวคนนี้ได้ !
·สือโหย่งเป็นนักโทษขั้นแปด เป็นหัวหน้าของเหล่านักโทษขั้นเจ็ด ดังนั้น จึงทำท่าทีข่มผู้อื่นตลอด
และแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าเขา คือนักโทษขั้นเก้า ตว้านซิงเจ๋อ !!!
นี่เป็นนักโทษขั้นเก้าที่มีความสามารถแข็งแกร่งจนชวนขนลุก แทบไม่ใช่ผู้คุมดวงวิญญาณธรรมดาที่อยู่ในระดับเจ้าวิญญาณด้วยอายุสี่สิบอย่างสือโหย่งจะเทียบได้ !
ตอนที่นักโทษคนนี้หันกลับมา นักโทษขั้นเจ็ดห้าคนที่เหลือต่างหน้าซีด มองไปยังชายที่มีชื่อเสียงดุร้ายอย่างยิ่งในคุกอลวน
“อย่าตื่นเต้น ข้าในตอนนี้มีแค่ญาณเดียว…” ตว้านซิงเจ๋อเผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดอย่างมากออกมา
ตว้านซิงเจ๋อเหมือนกับพี่ชายของเขา ตว้านซิงเหอ มีใบหน้าที่ทำให้คนกลัวและรังเกียจตั้งแต่เกิด และในตอนที่ฉีกยิ้มออกมากลับชวนขนลุก
สือโหย่งรู้ตัวดี ต่อให้ตว้านซิงเจ๋อมีแค่ญาณเดียว ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างพวกเขาจะรับมือได้ เพราะญาณเดียวของเขาก็เพียงพอที่จะสร้างปีศาจแมลงตะกละกินคนนับไม่ถ้วนแล้ว !
“พี่…พี่ตว้าน พวกเรา…พวกเราในตอนนี้อยู่ในภาวะเดียวกัน ดังนั้น…ดังนั้น…” สือโหย่งรีบกระโดดลงจากอสูรเกราะผู้นำของเขา
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าอะไร ถ้าไม่เข้ากลุ่ม ก็ไปตายเหรอ” ตว้านซิงเจ๋อจับจ้องไปยังสือโหย่ง เผยความขี้เล่นออกมาในสายตา
“ไม่ ไม่ ไม่ พวกเราเข้ากลุ่ม พวกเราเข้ากลุ่มของท่าน จะฟังคำสั่งของท่าน” สือโหย่งพูดเสียงเบา
“พี่ชายสือโหย่ง…” ในตอนนี้ เสียงร่ายวิญญาณของนักโทษคนหนึ่งดังขึ้นในหูของสือโหย่ง “พี่สือโหย่ง ข้าได้ยินว่าปีศาจแมลงระดับจักรพรรดิขึ้นไปของตว้านซิงเจ๋อถูกปิดผนึกหรือฆ่าตายหมดแล้ว ดวงวิญญาณที่เขาอัญเชิญออกมา อย่างมากก็แค่ปีศาจแมลงตะกละผู้นำชั้นยอดลักษณะสิบตัวหนึ่งเท่านั้น ความจริงแทบไม่ต้องกลัวเขา ! ”
“เจ้าแน่ใจเหรอ” สือโหย่งรีบใช่ร่ายวิญญาณถามขึ้น
“ก็จริง เจ้าคิดดู ถ้าความสามารถของเขาไม่ถูกควบคุมเอาไว้ ฝ่ายจัดการประลองเทียนเซี่ยจะปล่อยเขาไว้ในสนามประลองด่านที่แปดขั้นที่สองหรอก ถ้าทำอย่างนั้นเท่ากับจะให้วัยหนุ่มขั้นสองทั้งหมดตายไม่ใช่เหรอ” นักโทษขั้นเจ็ดคนนั้นบอก
ตว้านซิงเจ๋อเหมือนกับพี่ชายของเขา ในตอนที่ความสามารถอยู่ในขั้นสุดเพียงพอที่จะต่อต้านกับผู้แข็งแกร่งระดับขั้นสิบของอำนาจต่าง แต่ในตอนนี้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งทั้งหมดของพวกเขาถูกฆ่าตายหมดแล้ว ปีศาจแมลงตะกละที่แข็งแกร่งจริงของตว้านซิงเจ๋อก็เหลืออยู่ไม่กี่ตัว !
“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ! พวกเราทั้งหมดใช้ทักษะวิญญาณไม่ได้ ต่อให้ร่ายวิญญาณของเขาสูงเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเป็นแบบนี้ จัดการเขาซะเลย !!! ” สือโหย่งเกิดความคึกคะนองขึ้นมาทันที !
นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ฆ่าตว้านซิงเจ๋อ ทันทีที่เจ้านี่ตาย แล้วพวกเขาได้ลดโทษกลับไปยังคุกอลวน ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่อความบ้าพลังของเจ้านี่แล้ว !
“ที่แท้เจ้ากลายเป็นเศษขยะแล้ว ฮะ ฮะ ! ” สือโหย่งหัวเราะออกมา
“เศษขยะเหรอ ข้ากลายเป็นเศษขยะแล้วจริง ๆ ” ตว้านซิงเจ๋อบอก
“เหล่าพี่น้อง อาศัยตอนนี้ฆ่าเขาซะ !!! ” สือโหย่งบอกจะลงมือก็ลงมือ กระโดดขึ้นหลังของอสูรเขาเกราะทันที อัญเชิญดวงวิญญาณจักรพรรดิลักษณะสิบอีกตัวของเขา
“ฆ่า !!! ฆ่า !!! ”
นักโทษห้าคนที่เหลือรู้ว่า ตว้านซิงเจ๋อได้กลายเป็นเศษขยะแล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวแล้ว ออกคำสั่งให้ดวงวิญญาณของพวกเขาโจมตีไปยังตว้านซิงเจ๋อ
ตว้านซิงเจ๋อยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าที่ถูกแดดเผาฉีกยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้ทั้งน่าเกลียดและเจ้าเล่ห์ แต่กลับเต็มไปด้วยความโหดร้ายของนักฆ่า
“ทว่า ต่อให้ตอนนี้ข้ากลายเป็นเศษขยะแล้ว แต่ยังคงจัดการพวกเศษสวะอย่างพวกเจ้าได้อย่างง่ายดาย !!! ”
ดวงตาของตว้านซิงเจ๋อเผยความอาฆาตออกมาแล้ว เขาเผชิญหน้ากับดวงวิญญาณมากมาย ร่ายคาถาขึ้นอย่างแน่นิ่ง ประกายสีเลือดส่องประกายข้างตัวเขา…
…
…
เวลาบ่ายโมง
แสงแดดยังคงสาดส่องจนแสบตัว หินสีน้ำตาลดำที่อยู่กลางแดดนั้น เกิดรอยแยกไปตามพื้น
กลิ่นที่เหม็นจากการถูกแผดเผาลอยอยู่ทั่วอากาศ นี่เป็นกลิ่นของเลือด
ไม่ว่าจะเป็นเลือดสดหรือจะเป็นเลือดที่แห้ง ชู่มู่จะได้กลิ่นทันที ในตอนที่ชู่มู่กับเย้ชิงจือเดินบนเส้นทางเขาแห่งนี้ ทั้งสองคนต่างหยุดเดิน…
เพราะด้านหน้าชู่มู่กับเย้ชิงจือ มีศพมากมายของดวงวิญญาณและผู้คุมดวงวิญญาณ!!
“โหดร้ายอย่างมาก…ถูกตัดหัวโดยตรง…รวมถึงผู้คุมดวงวิญญาณด้วย…” เย้ชิงจือหยุดอยู่ตรงหน้ากองศพ นัยน์ตาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
“เลือดถูกตากแดดประมาณหกชั่วโมง น่าจะถูกฆ่าเมื่อเช้า ว่าแต่…รอยเล็บแบบนี้เหมือนจะเคยเห็นที่ใดมาก่อน” ชู่มู่เดินไปข้างศพอย่างไม่เกรงกลัว พลิกศพเหล่านั้นโดยตรง
“ชู่มู่ แหวนนักโทษเหล่านี้ไม่ถูกเอาไป” เย้ชิงจือชี้ไปยังแหวนนักโทษที่เปื้อนเลือดเหล่านั้น
ชู่มู่อึ้งเล็กน้อย และแล้วพบว่า แหวนนักโทษเหล่านี้ยังอยู่
“ผู้เข้าแข่งขันที่มีความสามารถแข็งแกร่งจนฆ่าพวกเขาได้น่าจะรู้กติกาของแหวนนักโทษ ดังนั้น พวกเขามีความเป็นไปได้ที่จะถูกนักโทษอีกคนฆ่าตายมากกว่า ! ”
ดวงวิญญาณที่ไช่จี้ใช้ในการลอบโจมตีเป็นตัวมิ้งเงา ผู้นำชั้นยอดลักษณะสิบ !
ผู้นำชั้นยอดนี้มีพลังความมืดอยู่ สามารถซ่อนตัวท่ามกลางเงาได้ ดังนั้น ในตอนที่มิ้งเงาตัวนี้เคลื่อนที่ไปตามหน้าผาแทบไม่สามารถมองเห็นเงาของมันได้
มิ้งเงากำลังเข้าใกล้อย่างช้า ๆ ห่างจากชู่มู่กับเย้ชิงจือไม่ถึงสามสิบเมตร ในระยะห่างแบบนี้ ถ้าไม่ทำการป้องกันไว้แล้วถูกโจมตีละก็ ผู้คุมดวงวิญญาณจะเสียชีวิตทันที
“กริดเงา ! ” ไช่จี้ฉีกยิ้มได้ใจออกมา ออกคำสั่งโจมตีไปยังมิ้งเงาผู้นำชั้นยอดของตัวเอง
ร่างกายของมิ้งเงาเคลื่อนไหวเล็กน้อย ลำตัวสีดำปรากฏด้านล่างหน้าผาอย่างช้า ๆ แต่มันไม่ได้โจมตีทันที กลับเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบนอีกเล็กน้อย
“กริดเงา !!! ” ไช่จี้ออกคำสั่งโจมตีอีกครั้ง !
ดวงวิญญาณรองยังคงเป็นดวงวิญญาณรองอยู่ดี แม้แต่ไหวพริบยังเชื่องช้าแบบนี้ ถ้าเป็นดวงวิญญาณหลักของเขาละก็ วินาทีที่เขาออกคำสั่งดวงวิญญาณหลักก็จะออกโจมตีทันที ในตอนนี้ ในใจของไช่จี้เกิดความไม่พอใจต่อมิ้งเงาตัวนี้บ้างแล้ว
และแล้ว ในตอนที่เขาออกคำสั่งต่อดวงวิญญาณในครั้งที่สอง มิ้งเงาผู้นำชั้นยอดยังคงไม่ออกโจมตี กลับปีนขึ้นไปตามหน้าผาต่อไป จนอยู่ในระยะที่ห่างจากชู่มู่กับเย้ชิงจือยี่สิบเมตรแล้ว !
ไช่จี้กัดฟันด้วยความโกรธ รู้ถึงจุดที่ผิดปกติทันที
ต่อให้มิ้งเงามีไหวพริบที่เชื่องช้ามากเพียงใด ก็คงไม่ปล่อยให้ออกคำสั่งจนนานขนาดนี้ แต่ยังไม่ทำอะไร !
“อสูรนิมิต !!! ” ไช่จี้ได้สติกลับมาทันที ตอนที่กวาดตามองไปพบว่า อสูรสายฟ้านิมิตราตรีกับอสูรนิมิตชุดม่วงของชู่มู่ต่างส่องประกายออกจากดวงตา กำลังใช้ความสามารถนิมิตนั้นควบคุมจิตของมิ้งเงาเอาไว้
“หน็อยแน่ ถูกเจอตัวแล้ว ! ” สีหน้าของไช่จี้หมองคล้ำลงทันที
ถ้าลอบโจมตีไม่สำเร็จละก็ เขาที่มีดวงวิญญาณเพียงสองตัวแทบไม่สามารถต่อต้านสองคนนี้ได้ ในตอนนี้ไช่จี้ไม่สนใจมิ้งเงาที่ถูกควบคุมจิตเอาไว้ ขี่ภูตอสูรของเขากระโดดดิ่งลงเหวทันที ตัดสินใจหนีไป !
“ฉิง พายุ พัดเขาขึ้นมา ! ” ชู่มู่จะไม่ปล่อยให้สองร้อยล้านเหรียญทองหนีไปแบบนี้ ให้ภูตพันวายุวางกับดักไว้ตั้งนานแล้ว !
ภูตพันวายุแทบไม่ต้องร่ายคาถา หลังจากที่ดวงตาผ่องใสส่องประกายออกมา พายุขั้นเก้ารุนแรงพัดพาจากด้านล่างของเหวทันที ราวกับงูเหลือมที่มีร่างใหญ่โต พัดพาจากเหวที่มีหมอกปกคลุมนี้ เหวี่ยงไช่จี้กับภูตอสูรของเขาขึ้นมาบนสะพานหินรุ้ง
“ภูตอสูรของเขาเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบตัวหนึ่ง อย่าประหม่า ! ” เย้ชิงจือได้ประเมินภูตอสูรของไช่จี้ทันที แล้วพูดเตือนชู่มู่
ทักษะพายุของภูตพันวายุทำได้แค่ให้ดวงวิญญาณของไช่จี้กับเขาเกิดความมึนหัว ในไม่ช้าที่ไช่จี้อยู่บนสะพานหินรุ้งทรงตัวได้แล้ว ขี่เทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบตัวนี้พุ่งตรงมายังชู่มู่กับเย้ชิงจือด้วยความโกรธ
“เย้ ราตรีรำพัน ! ”ชู่มู่ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีปล่อยทักษะพื้นที่ออกมาทันที
ไม่มีพื้นที่ของราตรีรำพัน เกรงว่าอสูรสายฟ้านิมิตราตรีลักษณะเก้าขั้นสามนี้ยากที่จะหลบการโจมตีของเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบนี้ได้
ตอนนี้เป็นตอนกลางคืนแล้ว หลังจากอสูรสายฟ้านิมิตราตรีส่งเสียงร้องขึ้น ทั้งราตรีกลับถูกปกคลุมด้วยกลิ่นไอมืดที่หนาแน่นกว่าเดิม ทั้งสะพานหินรุ้งรวมถึงปลายสะพานทั้งสองฝั่งกลายเป็นพื้นที่ไม่เห็นแม้แต่นิ้ว แสงดาวก็ไม่สามารถสาดส่องทะลุเข้ามาได้
เนตรนิมิตของอสูรสายฟ้านิมิตราตรีสาดส่อง จ้องไปยังเย้ชิงจือ การจับจ้องแบบนี้ทำให้สายตาของเย้ชิงจือไม่ถูกส่งกระทบด้วยทักษะพื้นที่ของมันได้
ในไม่ช้าเย้ชิงจือได้ฟื้นประสาทสัมผัสและความสามารถในการมองเห็นของเธอแล้ว ตอนมองดูจักรพรรดิลักษณะสิบที่เต็มไปด้วยพลังพุ่งตรงมา เย้ชิงจือได้ออกคำสั่งไปยังภูตไม้หมุน ก่อเป็นกิ่งไม้ตะขอบริเวณด้านปลายของสะพานรุ้ง ไขว้กันเป็นกำแพงแห่งรากไม้
“ป้าบ !!! ป้าบ !!! ”
พลังเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบ น่าตกใจอย่างมาก กำแพงไม้ของภูไม้หมุนทำให้การเคลื่อนไหวของมันชะลอเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้นก็ถูกทำลายทันที !
“มีความสามารถเท่านี้ยังคิดจะขวางข้าไว้เหรอ” ไช่จี้ส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ขี่ภูตอสูรลักษณะสิบพุ่งตรงไปยังอสูรสายฟ้านิมิตราตรีของชู่มู่ เห็นได้ชัดว่า ไช่จี้กำลังจะไปช่วยมิ้งเงาของเขา
“บึ้ง !!! บึ้ง !!! ”
หินแข็งแรงที่ขวางอยู่ด้านหน้าภูตอสูรตัวนี้ถูกชนกลายเป็นเศษอย่างง่ายดาย เศษหินนับไม่ถ้วนกระจายออก กระเด็นไปทุกทิศ
อสูรนิมิตชุดม่วงของเย้ชิงจือกระโดดขึ้นอย่างคล่อลแคล่ว ระหว่างเขานิมิตเกิดเป็นไฟสีม่วงลึกลับ ก่อเป็นคลื่นแห่งจิตที่จะทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ส่งเข้าไปในร่างกายของจักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบ
สายตาดุร้ายของเทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบตัวนี้หลังจากถูกกระตุ้นด้วยคลื่นจิตที่จะทำให้เหนื่อยล้าแบบนี้แล้วเริ่มเกิดความอ้างว้างขึ้น ฝีเท้าที่วิ่งด้วยความเร็วก็ลดลงอย่างมาก พลังก็ลดน้อยลง
ในตอนที่เทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบวิ่งไปถึงหน้าของอสูรนิมิตชุดม่วงแล้ว เทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบได้เผยท่าทีเหนื่อยล้าอย่างมากออกมาแล้ว
“อย่าให้ทักษะจิตของเขามีผลกระทบ !!! ” ไช่จี้สังเกตเห็นท่าทีของดวงวิญญาณตัวเอง ตะโกนด้วยความโกรธทันที
วิญญาณของไช่จี้ถูกปิดผนึกเอาไว้แล้ว ไม่สามารถใช้ทักษะวิญญาณใด ๆ ได้ แต่เขากลับใช้ร่ายวิญญาณของตัวเองกระตุ้นโลกแห่งจิตของดวงวิญญาณตัวเองได้
เจ้าวิญญาณห้าร่าย การกระตุ้นจิตแบบนี้รุนแรงอย่างมาก เพียงพอที่จะทำให้เทียบเท่าจักรพรรดิลักษณะสิบของเขาฟื้นจากคลื่นนิมิตจิตแบบนั้นได้
“โฮร่ โฮร่ โฮร่ !!! ”
หลังจากจิตได้รับการกระทบ อสูรคลั่งนี้ส่งเสียงคำรามขึ้นทันที ดวงตาที่มัวหมองนั้นส่องประกายดุร้ายออกมาอีกครั้ง แล้วพุ่งตรงไปยังอสูรนิมิตชุดม่วงนี้ด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม
ปลายหางของอสูรนิมิตชุดม่วงส่องประกายสีม่วงขึ้น ประกายสีม่วงนี้ไหลไปตามหลังของอสูรนิมิตชุดม่วง ทำให้ร่างกายของอสูรนิมิตชุดม่วงมองดูมีประกายแสงสีม่วง
“บึ้ง !!! ” ทั้งตัวจักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบของไช่จี้เต็มไปด้วยพลังอสูร กระแทกลงบนหินก้อนใหญ่อย่างแรง ในตอนนี้ หินที่แข็งแรงกว่าหินธรรมดานี้กลับเกิดรอยแยก คืบคลานไปตามหินก้อนยักษ์อย่างช้า ๆ
ท้ายที่สุด หินยักษ์เกิดการสั่นสะเทือนอย่างแรง สลายจากตำแหน่งที่มีรอยแยกออกจากกัน !
พลังพุ่งชนของจักรพรรดิลักษณะสิบนี้น่ากลัวอย่างมาก ถ้าความเร็วในการหลบซ่อนของอสูรนิมิตชุดม่วงช้าลงเล็กน้อย หลังจากถูกจนต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน
ดวงวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้ถอยไปแล้ว ไช่จี้ฉีกยิ้มออกมาทันที เพราะตำแหน่งนี้เข้าใกล้มิ้งเงาของเขาอย่างมากแล้ว เพียงแค่ไม่เสียดวงวิญญาณไป เขาก็สามารถโจมตีผู้เข้าแข่งขันวัยหนุ่มเหล่านี้ได้
ผ่านความมืดที่ขุ่นมัว ก่อนหน้านี้การโจมตีทั้งหมดของไช่จี้อาศัยความจำของเขาอย่างเดียว และแล้วในตอนที่ไช่จี้ใช้ร่ายวิญญาณของตัวเองค้นหามิ้งเงาในความมืดนี้ กลับไม่พบร่องรอยของมัน
“อ๊าว”
ทันใดนั้น ท่ามกลางราตรีรำพันกลับมีเสียงร้องโอดครวญขึ้น ตามด้วยเลือดสดสีแดงที่กระเซ็นออก แนบติดบนหินยักษ์ด้านข้างไช่จี้ !
ไช่จี้เผยสีหน้าตกใจออกมาทันที ทันใดนั้น จิตที่ขาดออกจากกันได้พุ่งตรงไปยังวิญญาณของเขา !
สีหน้าของไช่จี้ซีดขาวทันที เส้นเลือดปูดออก มองดูเจ็บปวดอย่างมาก
อาการบาดเจ็บสาหัสของวิญญาณนี้มาจากมิ้งเงาอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่ชู่มู่ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีปกปิดสายตาและประสาทสัมผัสของไช่จี้ไว้ ได้ย้ายตำแหน่งของมิ้งเงาที่ถูกควบคุมเอาไว้แล้ว จึงฆ่าดวงวิญญาณตัวนี้ของไช่จี้อย่างง่ายดาย
ตอนที่วิญญาณของผู้คุมดวงวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุด ชู่มู่ได้คำนวณเวลาไว้แล้ว ในวินาทีที่ฆ่ามิ้งเงาตายได้ออกคำสั่งโจมตีไปยังภูตพันวายุ
ภูตพันวายุไม่ได้ออกโจมตีสองวินาทีแล้ว และเวลาสองวินาทีเป็นเวลาที่ภูตพันวายุขับร่ายคาถาทักษะหมวดลม !
“ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู”
ความกดอากาศที่รุนแรงทำให้สายหมอกด้านล่างเหวนั้นเคลื่อนตัว กลายเป็นการไสยตัวที่ไม่เป็นระเบียบ
ในตอนแรกสุด แรงลมของลมอลวนทำได้แค่ทำให้หินบางก้อนเคลื่อนตัว แต่ในไม่ช้า ได้กลายเป็นกรงเล็บโหดร้ายสีดำ ทิ้งรอยลึกไว้บนหินที่แข็งแรงคงทนยิ่ง !
“อู อู อู อู !!! ”
เสียงลมกลายเป็นเสียงคำรามดังขึ้นข้างหูของไช่จี้อย่างแสบแก้วหู ตำแหน่งที่ไช่จี้อยู่แทบไม่มีที่จะให้เขาหลบซ่อนได้ จักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบก้าวเท้าออก พยายามวิ่งไปยังบริเวณที่พลังต่ำลง
“ค้อนไม้ธรรมชาติ ! ”
ภูตไม้หมุนของเย้ชิงจือไม่ได้มีไว้ให้มอง จักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบพึ่งเคลื่อนตัว รากไม้ราวกับค้อนใหญ่ทั้งหมดได้พันรอบสี่ขาของภูตอสูรตัวนี้เอาไว้ มัดมันไว้กับพื้นอย่างแน่น
ใบหน้าซีดขาวของไช่จี้ได้เผยความหวาดกลัวออกมาในที่สุด เขาเบิกตากว้าง จับจ้องไปยังปีศาจยักษ์ท่ามกลางลมอลวนนั้น ลำตัวเริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว
ปีศาจที่กลายร่างจากลมอลวนยื่นแขนยาวออกมา ซ้ายขวาไขว้กัน วาดเป็นกริดผีลมอลวนที่มีความยาวเกือบร้อยเมตร !
“ซัวะ !!! ซัวะ !!! ”
เสียงวาดผ่านอากาศดังขึ้น กริดลมอลวนสีดำส่องประกายลึกลับออกมา กลายเป็นประกายเย็นเยียบสีดำของดาบทั้งสอง ตวัดลงบนตัวของจักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบ
ร่างกายของจักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบได้ไถลออกหลังจากถูกกริดผีลมอลวนนี้โจมตี กระเด็นเข้าไปในหน้าผาหินด้านหลัง ทำให้หน้าผาเกิดเป็นหลุมยักษ์
และในสี่มุมของหลุมนี้ กลับเป็นรอยสองเส้นที่ไขว้กัน ลึกจนแทบจะตัดยอดเขาลูกนี้ไป !
“พุ พุ”
เลือดสดกระเด็นออกจากจักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบ กระเซ็นออกไปสิบกว่าเมตร
ชู่มู่รู้ว่า การโจมตีเดียวของภูตพันวายุจะฆ่าจักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบไม่ได้ ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีโจมตีด้วยแสงสลายทันที ทำการโจมตีอีกครั้ง !
ภูตไม้หมุนกับอสูรนิมิตชุดม่วงของเย้ชิงจือออกโจมตีพร้อมกัน คิดจะกระแทกจักรพรรดิเทียบเท่าลักษณะสิบนี้ให้ลึกกว่าเดิม หน้าผาทั้งอันเริ่มสั่นด้วยทักษะต่อเนื่องนี้ มองดูเหมือนจะถล่มจากที่สูงลงมา
…
หลังจากการโจมตีต่อเนื่อง ชู่มู่กับเย้ชิงจือถึงหยุดโจมตีในที่สุด
“ไม่มีกลิ่นไอชีวิตแล้ว เหรียญทองสองร้อยล้านจะเข้ามาในมือแล้ว” ชู่มู่ฉีกยิ้มออก กวาดตามองไปยังหลุมหน้าผาหมดสภาพ
“ดูเจ้าสิ ทำท่าทีเหมือนจะกวาดล้างทุกอย่างในด่านที่แปดนี้” เย้ชิงจือบอก
การเพิ่มความแข็งแกร่งให้ภูตพันวายุจำต้องใช้เงินมหาศาล นอกจากภูตพันวายุแล้ว การเพิ่มความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณอื่นก็ต้องใช้เงินมหาศาล ชู่มู่จำต้องใช้กฎกติกาครั้งนี้ให้ดี เพื่อหาเงินมาใช้กับค่าใช้จ่ายสูงนี้ !
“กฎกติกานี้ คือโอกาสอันดีที่จะได้หาเงิน ! ” ชู่มู่ฉีกยิ้มออก !